บทที่ 8 

ทรงเข้าร่วมเทศการปัสกา

อ้างอิงจากลูกา 2 ข้อที่ 41-51


       ท่ามกลางชนชาวยิว ปีที่สิบสองของเด็กผู้ชายเป็นช่วงแบ่งระหว่างวัยเด็กกับวัยหนุ่ม  เด็กชายชาวฮีบรูที่มีอายุครบในปีนี้จะเรียกว่าเป็นบุตรแห่งธรรมบัญญัติและเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย  เขาได้รับโอกาศพิเศษเพื่อรับการสั่งสอนเรื่องของทางศาสนาและคาดหวังให้พวกเขาเข้าร่วมและปฏิบัติกิจในเทศกาลและพิธีกรรมทางศาสนา  เพื่อปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมนี้ ในวัยเด็ก พระเยซูจึงทรงเข้าร่วมเทศกาลปัสกาที่กรุงเยรูซาเล็ม  เหมือนเช่นชนชาติอิสราเอลที่สัตย์ซื่อทั้งหลาย โยเซฟและมารีย์เดินทางไปเข้าร่วมเทศกาลปัสกาทุกปี และเมื่อพระเยซูมีอายุครบตามกำหนด พวกเขาก็พาพระองค์ไปพร้อมกันด้วย  {DA 75.1}      

       เทศกาลปัสกา เทศกาลเพ็นเทคอสต์และเทศกาลอยู่เพิง เป็นสามงานเทศกาลเลี้ยงประจำปีที่ชายอิสราเอลต้องเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์พระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม  ในเทศกาลเลี้ยงทั้งหมดนี้เทศกาลปัสกาเป็นเทศกาลที่มีคนเข้าร่วมมากที่สุด  คนจำนวนมากเดินทางมาจากประเทศต่างๆ ที่มีชาวยิวกระจายอยู่  ผู้เข้าร่วมนมัสการมากมายมาจากทุกมุมของแผ่นดินปาเลสไตน์  การเดินทางจากแคว้นกาลิลีใช้เวลาหลายวัน  และพวกเขามักเดินทางกันมาเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อเป็นเพื่อนร่วมเดินทางด้วยกันและเพื่อความปลอดภัย  สตรีและผู้สูงอายุนั่งวัวหรือลาผ่านทางเดินที่ชันและขรุขระ  ผู้ชายและเยาวชนที่แข็งแรงกว่าเดินด้วยเท้า  ช่วงเทศกาลปัสกาตรงกับปลายเดือนมีนาคมหรือต้นเดือนเมษายนและทั่วทั้งประเทศสดใสด้วยดอกไม้และรื่นเริงด้วยเสียงเพลงของนก  ตลอดทางมีอนุสรณ์ทางประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลตั้งอยู่และบิดามารดาทั้งหลายต่างเล่าเรื่องราวอันอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงประกอบกิจเพื่อประชากรของพระองค์ในอดีตให้เด็กๆ ฟัง  ระหว่างการเดินทาง พวกเขาให้ความเพลิดเพลินกันด้วยบทเพลงและดนตรี และในที่สุดเมื่อมองเห็นหอสูงของกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาจะเปล่งเสียงร้องเพลงอย่างมีชัยชนะด้วยกันว่า

       เยรูซาเล็มเอ๋ย เท้าของเรากำลังยืนอยู่ภายในประตูของเธอ

. . . .ขอสันติภาพจงมีอยู่ภายในกำแพงของเธอ

และขอให้ความปลอดภัยอยู่ภายในป้อมของเธอ”

สดุดี 122 ข้อที่ 2-7  {DA 75.2}

 

       เทศกาลปัสกาเป็นพิธีกรรมทางศาสนาที่เริ่มขึ้นเมื่อประชาชาติฮีบรูก่อกำเนิดขึ้น  ในวันสุดท้ายของการเป็นทาสในประเทศอียิปต์  เมื่อพวกเขามองไม่เห็นเครื่องหมายแห่งการช่วยกู้  พระเจ้าตรัสสั่งให้เตรียมพร้อมเพื่อการปลดปล่อยในทันที  พระองค์ทรงเตือนฟาโรห์ถึงการพิพากษาสุดท้ายที่จะตกลงมายังชาวอียิปต์และพระองค์ทรงแนะให้ชาวฮีบรูรวบรวมครอบครัวให้อยู่ภายในบ้านพักของตน  เมื่อได้พรมเลือดของลูกแกะที่ฆ่าบนวงกบประตูแล้ว พวกเขาต้องรับประทานเนื้อลูกแกะปิ้ง พร้อมขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าจงเลี้ยงกันดังนี้คือ ให้คาดเอว สวมรองเท้า และถือไม้เท้าไว้ในมือ และรีบกินโดยเร็ว การเลี้ยงนี้เป็นปัสกาแปลว่า การผ่านเว้นของพระยาห์เวห์”  อพยพ 12 ข้อที่ 11  เวลาเที่ยงคืนบุตรหัวปีทุกคนของชาวอียิปต์ถูกสังหาร  แล้วกษัตริย์ส่งข่าวไปยังชนชาติอิสราเอลว่า  “จงลุกขึ้นและออกไปจากประชากรของเรา ไปนมัสการพระยาห์เวห์ตามที่ขอไว้นั้น”  อพยพ 12 ข้อที่ 31  ชาวฮีบรูออกจากประเทศอียิปต์ในฐานะประชาชาติที่อิสระ พระเจ้าตรัสสั่งให้ถือรักษาเทศกาลปัสกาเป็นประจำทุกปี พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อลูกหลานของพวกท่านถามว่า ‘พิธีนี้หมายความว่าอะไร?’  พวกท่านจงตอบว่า ‘เป็นการถวายสัตวบูชาปัสกาแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงผ่านเว้นบ้านของชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ เมื่อพระองค์ทรงประหารคนอียิปต์”  อพยพ 12 ข้อที่ 26, 27  ด้วยประการฉะนี้  เรื่องราวอันอัศจรรย์แห่งการทรงช่วยกู้นี้จะเล่าต่อกันซ้ำแล้วซ้ำอีกจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง  {DA 76.1}         

       หลังจากงานเทศกาลปัสกาแล้ว จะมีวานเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อถวายแด่พระเจ้าเจ็ดวัน  ในวันที่สองของงานเทศกาลจะทำการยื่นถวายฟ่อนข้าวผลแรกของการเก็บเกี่ยวแด่พระยาห์เวห์  พิธีกรรมทั้งหมดเป็นเงาชี้ไปยังพระราชกิจของพระคริสต์  การทรงช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์เป็นบทเรียนของการทรงไถ่  โดยให้การถือเทศกาลปัสกาเป็นเครื่องช่วยเตือนความทรงจำ  ลูกแกะที่ถูกฆ่า ขนมปังไร้เชื้อ ฟ่อนข้าวที่เกี่ยวรุ่นแรกหมายถึงพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 77.1}            

       สำหรับคนส่วนใหญ่ในสมัยของพระคริสต์แล้ว การเฉลิมฉลองเทศกาลได้ถดถอยไปจนกลายเป็นเพียงพิธีกรรม  แต่ว่าเป็นเทศกาลที่มีความหมายสำคัญอย่างยิ่งเพียงไรสำหรับพระบุตรของพระเจ้า!  {DA 77.2}            

       เด็กน้อยเยซูทรงเฝ้ามองพระวิหารเป็นครั้งแรก  พระองค์ทรงทอดพระเนตรพวกปุโรหิตในเสื้อชุดยาวสีขาวประกอบพิธีอันเคร่งขรึม  พระองค์ทรงทอดพระเนตรเลือดที่ไหลจากเหยื่อบนแท่นเผาบูชา  พระองค์ทรงก้มกราบอธิษฐานพร้อมกับผู้ร่วมนมัสการอื่นๆ  ขณะที่ควันการเผาเครื่องหอมลอยขึ้นไปยังเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ทรงร่วมพิธีอันประทับใจของเทศกาลปัสกา  แต่ละวันผ่านไป  พระองค์ทรงเข้าใจความหมายได้แจ่มชัดขึ้น  ดูเสมือนหนึ่งว่ากิจกรรมที่ทำไปทุกขั้นตอนนั้นสัมพันธ์กับชีวิตของพระองค์เอง  แรงกระตุ้นใจใหม่ๆ กำลังเริ่มก่อตัวขึ้นภายในพระองค์  ในความเงียบและความซาบซึ้ง  ดูประหนึ่งว่าพระองค์ทรงกำลังศึกษาปัญหายิ่งใหญ่ปัญหาหนึ่งอยู่  ความลึกลับของพระราชกิจของพระองค์กำลังเปิดเผยอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอด  {DA 78.1}                    

       ขณะที่ทรงจดจ่อกับภาพของสิ่งเหล่านี้นั้น  พระองค์ไม่ทรงอยู่เคียงข้างบิดามารดาของพระองค์อีกต่อไป  พระองค์ทรงปรารถนาอยู่ลำพัง  เมื่อประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของเทศกาลปัสกาเสร็จสิ้นแล้ว  พระองค์ยังคงเสด็จดำเนินไปยังรอบบริเวณลานพระวิหารและเมื่อผู้ร่วมนมัสการทั้งหลายเดินทางออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระองค์ก็ยังทรงคงอยู่ที่นั่น  {DA 78.2}             

       ในการเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มครั้งนี้  บิดามารดาของพระเยซูตั้งใจนำพระเยซูไปเชื่อมสัมพันธ์กับบรรดาครูยิ่งใหญ่ของชนชาติอิสราเอล  ในขณะที่พระเยซูทรงเชื่อฟังปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ตามแต่พระองค์ไม่ทรงเห็นพ้องต้องกันกับพิธีกรรมและธรรมเนียมประเพณีของพวกธรรมาจารย์  โยเซฟและมารีย์หวังว่าจะนำพระเยซูให้เคารพพวกธรรมาจารย์ที่มีความรู้และเอาใจใส่ข้อกำหนดของพวกเขาให้มากกว่านี้  แต่พระเจ้าทรงสอนพระเยซูขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในพระวิหาร  สิ่งที่พระองค์ทรงรับมานั้นพระองค์ทรงเริ่มแบ่งปันทันที  {DA 78.3}         

       ในยุคนั้น มีการจัดห้องหนึ่งข้างพระวิหารไว้ให้เป็นโรงเรียนสอนศาสนาตามแบบอย่างของโรงเรียนของผู้เผยพระวจนะ  ธรรมาจารย์ชั้นผู้นำและศิษย์ทั้งหลายชุมนุมกัน ณ ที่นี่  และเด็กน้อยเยซูเสด็จมายังห้องนี้  พระองค์ประทับลงแทบเท้าของเหล่าผู้คงแก่เรียนทั้งหลายเพื่อสดับฟังคำสั่งสอนของพวกเขา  ในฐานะของผู้แสวงหาทางปัญญา พระองค์ทรงตั้งคำถามครูเหล่านี้ในเรื่องของคำพยากรณ์และถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่ชี้ไปยังการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์  {DA 78.4}

       พระเยซูทรงนำเสนอตัวเองในฐานะผู้หนึ่งที่กระหายหาความรู้เรื่องพระเจ้า  คำถามของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความจริงลึกซึ้งที่ถูกปิดบังมาเนิ่นนาน แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นความจริงที่สำคัญสำหรับความรอดของจิตวิญญาณ  ในขณะที่พวกคนฉลาดทำตัวให้เห็นว่ามีปัญญาอันคับแคบและผิวเผินเพียงไรก็ตาม ทุกคำถามที่นำเสนอมีบทเรียนของพระเจ้าและความจริงในมุมมองใหม่  พวกธรรมาจารย์กล่าวถึงการยกชูประชาชาติยิวให้สูงขึ้นอย่างน่ายอดเยี่ยมเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา แต่พระเยซูทรงเสนอคำเผยพระวจนะของอิสยาห์และซักถามพวกเขาถึงความหมายของข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นที่ชี้ไปยังการทนทุกข์และความมรณาของพระเมษโปดกของพระเจ้า  {DA 78.5}

       แต่นักปรัชญาโต้กลับด้วยคำถามและพวกเขาตะลึงกับคำตอบของพระองค์  ด้วยความถ่อมตนของเด็กชายตัวน้อย พระองค์ทรงกล่าวย้ำถึงพระวจนะในพระคัมภีร์ ประทานความหมายอันลึกซึ้งที่นักปราชญ์ทั้งหลายไม่เคยแม้จะคิดมาก่อน  หากพวกเขาปฏิบัติตามคำตรัสแห่งความจริงที่ทรงเน้นเหล่านั้นแล้ว  จะทำให้เกิดผลแห่งการปฏิรูปทางศาสนาของสมัยนั้นอย่างแน่นอน  จะมีการปลุกให้ตื่นตัวเพื่อสนใจในเรื่องทางฝ่ายจิตวิญญาณ และเมื่อพระเยซูเริ่มพระราชกิจของพระองค์ จะมีคนมากมายเตรียมพร้อมต้อนรับพระองค์  {DA 78.6}            พวกธรรมาจารย์ทราบดีว่าพระเยซูไม่เคยเข้าเรียนในโรงเรียนของพวกเขา แต่กระนั้น พระองค์เข้าใจคำพยากรณ์ลึกซึ้งมากยิ่งกว่าพวกเขาเสียอีก  พวกเขามองเห็นอนาคตอันยิ่งใหญ่ในเด็กชายชาวแคว้นกาลิลีที่ทรงมีพระอัจฉริยภาพอันรอบรู้พระองค์นี้  พวกเขาต้องการได้พระองค์มาเป็นนักเรียนคนหนึ่งเพื่อเป็นครูของชนชาติอิสราเอลต่อไป  พวกเขาต้องการกำกับการศึกษาของพระองค์ โดยคิดว่าสมองที่มีความคิดริเริ่มเช่นนี้จะต้องอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของพวกเขา  {DA 80.1}             

       พระดำรัสของพระเยซูสัมผัสหัวใจของพวกเขาที่ไม่เคยมีคำพูดจากปากมนุษย์ใดสัมผัสได้เช่นนี้มาก่อน  พระเจ้าทรงหาทางประทานแสงสว่างแก่พวกผู้นำในชนชาติอิสราเอล และพระองค์ทรงใช้วิธีดังกล่าววิธีเดียวเพือเข้าถึงพวกเขา  ในความทะนงตนพวกเขาจะถูกดูหมิ่นที่จะต้องยอมให้ผู้อื่นใดสั่งสอน  หากพระเยซูทรงสำแดงตนว่ากำลังสอนพวกเขาอยู่  พวกเขาคงรังเกียจที่จะฟัง แต่พวกเขาหลอกลวงตนเองว่ากำลังสอนพระองค์หรืออย่างน้อยกำลังทดสอบพระองค์ในเรื่องความรู้พระคัมภีร์  ความสงบเสงี่ยมอันเยาว์วัยและความสุภาพของพระเยซูปลดอาวุธอคติของพวกเขาไป  พวกเขาเปิดใจให้กับพระวจนะขอพระเจ้าโดยไม่รู้ตัวและพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับหัวใจของพวกเขา  {DA 80.2}         

       พวกเขามองไม่เห็นเป็นอย่างอื่นนอกจากว่าคำพยากรณ์ไม่ได้รับรองความคาดหวังของพวกเขาในเรื่องของพระเมสสิยาห์ แต่พวกเขาไม่ยอมละทิ้งทฤษฎีที่ยกยอปอปั้นความทะเยอทะยานของพวกเขา  พวกเขาไม่ยอมรับว่าเข้าใจพระคำที่พวกเขาอ้างในการสอนผิดไป  จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งคำถามสงสัยส่งต่อๆ กันออกไปว่า ชายหนุ่มท่านนี้ได้รับความรู้มาอย่างไรทั้งๆ ที่ไม่เคยเล่าเรียน?  แสงสว่างส่องเข้าไปในที่มืด แต่ “ความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้”  ยอห์น 1 ข้อที่ 5  {DA 80.3}         

       ในขณะเดียวกันโยเซฟและมารีย์ตกอยู่ในความกังวลและความทุกข์ยิ่งใหญ่  ขณะที่พวกเขาเดินทางออกจากกรุงเยรูซาเล็ม  ก็ไม่ได้เห็นพระเยซูแล้ว และไม่คิดว่าพระองค์ยังคงอยู่ต่อในกรุง  ประเทศในช่วงเวลานี้มีคนอยู่กันอย่างหนาแน่น กลุ่มคนจากแคว้นกาลิลีเป็นคาราวานขนาดใหญ่ ขณะที่เดินทางออกจากเมืองมีความวุ่นวายเกิดขึ้นพอสมควร  ในขณะเดินทางไป ความเพลิดเพลินของการเดินทางร่วมกับมิตรสหายและผู้คุ้นเคยดึงดูดความสนใจของพวกเขา และไม่ได้สังเกตว่าพระเยซูไม่ทรงอยู่ร่วมกับพวกเขาจนกระทั่งค่ำแล้วและขณะที่พวกเขาหยุดพักผ่อน พวกเขาจึงตระหนักว่าขาดมื่อของเด็กช่วยงาน  พวกเขาคิดกันเองว่าพระองค์ทรงอยู่ในกลุ่มที่มาด้วยกัน พวกเขาเองจึงไม่มีความห่วงกังวลใจ  แม้ว่าพระองค์ทรงเยาว์วัย พวกเขาวางใจในพระองค์อย่างเต็มที่ โดยหวังว่าเมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือพระองค์จะเสด็จมาทันที่ โดยพระองค์ทรงคอยเฝ้าดูความต้องการของพวกเขาอยู่เสมอ แต่บัดนี้พวกเขาเริ่มวิตกขึ้นมาทันที  พวกเขาหาพระองค์ในหมู่เพื่อนฝูงแต่ไม่พบ ในความวิตก พวกเขาคิดถึงเหตุการณ์ที่กษัตริย์เฮโรดประสงค์ทำลายพระองค์ในขณะยังทรงเป็นทารกน้อย ภัยมืดท่วมหัวใจของเขาทั้งสองและตำหนิตนเองอย่างขมขื่น  {DA 80.4}         

       เมื่อพวกเขาเดินทางกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว จึงได้เริ่มตามหาพระองค์  ในวันรุ่งขึ้นขณะอยู่ร่วมกันกับผู้คนทั้งหลายที่เข้ามานมัสการในพระวิหาร มีเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยทำให้พวกเขาชะงัก  พวกเขาจำเสียงนี้ได้ไม่ผิด ไม่มีเสียงอื่นใดเหมือนพระสุรเสียงของพระองค์ จริงจังและจริงใจ ถึงกระนั้นยังเปี่ยมล้นด้วยสำเนียงของเสียงดนตรี  {DA 81.1}           

       พวกเขาพบพระเยซูในโรงเรียนของพวกธรรมาจารย์  แม้ว่าจะมีความปีติยินดีอย่างล้นพ้นเพียงไร พวกเขาไม่อาจลืมความทุกข์และความกังวนได้  เมื่อพระเยซูทรงอยู่ร่วมกับเขาทั้งสองอีกครั้ง ผู้เป็นแม่พูดด้วยคำพูดที่แสดงถึงการว่ากล่าว  “ลูกเอ๋ย ทำไมถึงทำกับเราอย่างนี้ ดูซิ พ่อกับแม่เที่ยวตามหาลูกด้วยความทุกข์ใจ”  {DA 81.2}      

       พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม?” พระเยซูตรัสตอบ “พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?”  และดูเสมือนว่า เขาทั้งสองไม่เข้าใจพระดำรัสตรัสของพระองค์ พระองค์จึงทรงชี้ขึ้นไปยังเบื้องบน  บนพระพักตร์มีแสงซึ่งทำให้เขาทั้งสองแปลกประหลาดใจ  สภาพของพระเจ้าทรงเปล่งรัศมีผ่านมายังพระพักตร์ความเป็นมนุษย์ของพระองค์  ในขณะพบพระเยซูอยู่ในพระนิเวศ เขาทั้งสองได้ยินการสนทนาระหว่าพระองค์กับธรรมาจารย์ทั้งหลาย และทั้งสองตะลึงกับคำถามและคำตอบของพระองค์  พระดำรัสของพระองค์เป็นจุดริเริ่มกระบวนแนวคิดที่ไม่อาจลืมเลือนได้  {DA 81.3}        

       และคำถามของพระองค์ที่ประทานให้เขาทั้งสองนั้นเป็นบทเรียนบทหนึ่งที่สอนพวกเขา  พระองค์ตรัสว่า “พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?”  พระเยซูทรงปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์เสด็จมาปฏิบัติ แต่โยเซฟและมารีย์ละเลยหน้าที่ของพวกเขา  พระเจ้าประทานเกียรติสูงส่งด้วยการมอบพระบุตรให้แก่พวกเขา  ทูตสวรรค์บริสุทธิ์เป็นผู้นำวิถีของโยเซฟเพื่อรักษาชีวิตของพระเยซู  แต่ตลอดทั้งวันพวกเขาไม่เห็นพระองค์ผู้ซึ่งพวกเขาไม่ควรลืมแม้เสี้ยววินาทีเดียว  และเมื่อความกังวลได้รับการบรรเทาแล้ว พวกเขาไม่ได้ติเตียนตนเอง แต่กลับกล่าวโทษใส่พระเยซู  {DA 81.4}               

       เป็นเรื่องธรรมดาที่พ่อแม่ของพระเยซูถือว่าพระองค์เป็นบุตรของตนเอง  พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับพวกเขาทุกวัน ชีวิตของพระองค์ในหลายแง่มุมคล้ายชีวิตของเด็กอื่นๆ และเป็นเรื่องยากสำหรับเขาทั้งสองที่จะตระหนักว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า  พวกเขาตกอยู่ในภัยอันตรายของการไม่ซาบซึ้งในพระพรที่ทรงโปรดประทานให้อยู่ร่วมกับพระผู้ช่วยของโลก  ความโศกเศร้าของการแยกตัวจากพระองค์และการติอย่างนิ่มนวลของพระดำรัสตรัสมีจุดประสงค์เพื่อให้เขาทั้งสองตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย  {DA 81.5}           ในคำตอบที่ประทานให้กับมารดา พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่าทรงเข้าพระใจความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระเจ้า  ก่อนการเสด็จมาบังเกิดของพระองค์ ทูตสวรรค์บอกกับมารีย์ว่า “บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน  และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่มีวันสิ้นสุดเลย”  ลูกา 1 ข้อที่ 32, 33  คำเหล่านี้มารีย์ตรึกตรองไว้ในใจ ถึงกระนั้นในขณะที่เธอเชื่อว่าบุตรของเธอทรงเป็นพระเมสสิยาห์ของชนชาติอิสราเอล เธอก็ไม่เข้าใจพันธกิจของพระองค์  บัดนี้เธอไม่เข้าใจพระดำรัสของพระองค์ แต่เธอทราบดีว่าพระองค์ทรงปฏิเสธความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับโยเซฟและทรงประกาศการเป็นพระบุตรของพระเจ้า  {DA 81.6}           

       พระเยซูไม่ทรงละเลยความสัมพันธ์ของพระองค์ที่มีต่อบิดามารดาทางฝ่ายโลก  จากกรุงเยรูซาเล็มพระองค์ทรงดำเนินกลับบ้านพร้อมพวกเขาและทรงรับภาระตรากตรำของชีวิต  พระองค์ทรงเก็บซ่อนความลึกลับพระราชกิจของพระองค์ไว้ในใจ  ทรงคอยเวลาที่ทรงจัดวางไว้สำหรับพระองค์เพื่อรับพระราชกิจอย่างนอบน้อม  เป็นเวลาสิบแปดปีหลังจากการตระหนักว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงรับความสัมพันธ์ของพระองค์กับบ้านที่เมืองนาซาเร็ธและปฏิบัติพระราชกิจในฐานะบุตร พี่น้อง มิตรสหายและราษฎร   {DA 82.1}              ในขณะที่พันธกิจของพระเยซูถูกเปิดเผยให้แก่พระองค์ในวิหารแล้วนั้น พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงการคบหาฝูงชน พระองค์ทรงหวังที่จะกลับจากกรุงเยรูซาเล็มด้วยความสงบเงียบ พร้อมกับผู้ที่ทราบความลับของชีวิตพระองค์  โดยผ่านพิธีปัสกา พระเจ้าทรงแสวงหาทางเพื่อเรียกหาประชากรของพระองค์ให้ออกจากความกังวลฝ่ายโลกและเพื่อเตือนให้พวกเขาระลึกถึงผลงานอันมหัศจรรย์ในการช่วยกู้พวกเขาออกจากอียิปต์  ในพระราชกิจนี้พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขาเข้าใจพระสัญญาแห่งการทรงช่วยกู้จากบาป  เหมือนเช่นเลือดของลูกแกะที่ถูกฆ่าคุ้มครองครอบครัวของชนชาติอิสราเอล ดังนั้นพระโลหิตของพระคริสต์จะช่วยจิตวิญญาณของพวกเขาให้รอดแต่พวกเขาจะรอดได้โดยพระคริสต์เท่านั้น หากแต่โดยความเชื่อรับชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตของพวกเขา  พิธีกรรมสัญลักษณ์มีคุณความดีก็ต่อเมื่อพิธีกรรมนี้นำคนมนัสการทั้งหลายหันมุ่งไปหาพระคริสต์ว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวเท่านั้น  พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขาศึกษาด้วยการอธิษฐานและใคร่ครวญในเรื่องอันเกี่ยวกับพันธกิจของพระคริสต์  แต่ในขณะที่ฝูงชนเดินทางออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มความตื่นเต้นของการเดินทางและบ่อยครั้งการสื่อสัมพันธ์ทางสังคมดึงดูดความสนใจของพวกเขาไป และลืมพิธีกรรมที่ได้เข้าร่วม  พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงถูกฝูงชนเหล่านั้นดึงดูดความสนใจไป  {DA 82.2}          

       ในขณะที่โยเซฟและมารีย์ต้องเดินทางพร้อมกับพระเยซู กลับจากกรุงเยรูซาเล็มโดยลำพัง พระองค์ทรงหวังนำพาความคิดของเขาทั้งสองไปยังคำพยากรณ์ของการทนทุกข์ของพระผู้ช่วย  พระองค์ทรงประสงค์ทำให้ความทุกข์โศกในเรื่องกางเขนคาลวารีของมารดาเบาลง พระองค์ทรงคิดถึงเธอในขณะนี้  มารีย์จะเห็นความทุกข์ทรมานสุดท้ายของพระองค์ และพระเยซูทรงปรารถนาให้เธอเข้าใจพันธกิจของพระองค์ เพื่อเธอจะเข้มแข็งขึ้นเมื่อดาบจะแทงทะลุจิตวิญญาณของเธอ  ในขณะที่พระเยซูทรงถูกแยกออกไปจากเธอและเธอตามหาพระองค์ด้วยความทุกข์โศกถึงสามวัน ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงถูกถวายพลีชีพเพื่อบาปของโลก พระองค์จะหายไปจากเธอเป็นเวลาสามวัน  และเมื่อพระองค์ทรงก้าวออกจากอุโมงค์ฝังศพความโศกเศร้าของเธอจะเปลี่ยนเป็นความชื่นชมยินดีอีกครั้งหนึ่ง  แต่เธอจะแบกรับความโศกเศร้าของการวายพระชนม์ของพระองค์ได้ดีกว่าเพียงไรหากเธอเข้าใจพระคัมภีร์ที่พระองค์ทรงพยายามเบนความคิดของเธอเข้าไปหา  {DA 82.3}       

       หากโยเซฟและมารีย์มุ่งเน้นใส่ใจในพระเจ้าด้วยการตรึกตรองใคร่ครวญและอธิษฐานแล้ว เขาทั้งสองจะตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ของภาระที่ได้รับมอบหมายและจะไม่ละสายตาออกไปจากระเยซู  โดยการละเลยไปหนึ่งวัน พวกเขาหลงไปจากพระผู้ช่วยให้รอด แต่พวกเขาต้องเสียเวลาอย่างวุ่นวายใจไปถึงสามวันตามหาพระองค์  พวกเราก็เช่นกัน โดยคำพูดที่ไร้สาระ การกล่าวร้ายหรือละเลยการอธิษฐาน เราอาจสูญเสียการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระผู้ช่วยให้รอดในวันเดียว และอาจต้องใช้เวลาหลายวันค้นหาด้วยความทุกข์โศกเพื่อพบพระองค์และนำสันติสุขที่สูญไปกลับคืนมา  {DA 83.1}               

       ในการคบหาสมาคมกับผู้อื่น เราควรใช้ความระมัดระวังเกลือกว่าเราจะลืมพระเยซู และดำเนินชีวิตผ่านไปโดยไม่ใส่ใจว่าพระองค์ไม่ทรงร่วมสถิตกับเรา  เมื่อเราหมกมุ่นอยู่กับสิ่งของทางฝ่ายโลกจนเราไม่คิดถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของความหวังชีวิตนิรันดร์แล้ว เราก็ตัดตัวเองขาดจากพระเยซูและจากทูตแห่งฟ้าสวรรค์  ทูตสวรรค์บริสุทธิ์เหล่านี้อยู่ร่วมกับผู้ที่ไม่ประสงค์การทรงร่วมสถิตของพระผู้ช่วยและไม่ตระหนักว่าพระองค์ไม่ทรงอยู่ร่วมด้วยไม่ได้  นี่คือสาเหตุว่าทำไมบ่อยครั้งการท้อถอยมีอยู่ท่ามกลางผู้ที่อ้างตนเป็นผู้ติดตามพระคริสต์  {DA 83.2}       

       คนมากมายเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาและฟื้นชื่นขึ้นและรับการเล้าโลมจากพระวจนะของพระเจ้า แต่โดยการละเลยการใคร่ครวญพระวจนะ การเฝ้าระวัง และอธิษฐาน พวกเขาสูญเสียพระพรไป และตกสู่สภาพแร้นแค้นยิ่งกว่าก่อนรับพระพระวจนะเสียอีก  บ่อยครั้งพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่ปรานี  พวกเขามองไม่เห็นว่าความผิดมาจากตัวของพวกเขาเอง  โดยการแยกตัวออกห่างไปจากพระเยซู พวกเขาปิดแสงแห่งการทรงร่วมสถิตของพระเจ้าออกจากตัวเอง  {DA 83.3}               

       จะเป็นการดีหากเราจะใช้เวลาสักหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อใคร่ครวญอย่างเอาจริงเอาจังกับการศึกษาชีวิตของพระคริสต์  เราควรต้องศึกษารายละเอียดแต่ละจุดและให้ความนึกคิดจับเอาแต่ละภาพ โดยเฉพาะภาพของเหตุการณ์ช่วงสุดท้ายชีวิตของพระองค์   ขณะที่เราให้ความสนใจในเรื่องการทรงเสียสละยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่ประทานแก่เราและความวางใจของเราที่มีต่อพระองค์จะมั่นคงยิ่งขึ้น ความรักของเราจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นและเราจะรับพระวิญญาณของพระองค์ได้ลึกซึ้งมากขึ้น หากเราจะได้รับความรอดในที่สุด เราต้องเรียนรู้บทเรียนของการสำนึกผิดและความถ่อมตนที่เชิงไม้กางเขน  {DA 83.4}     

       เมื่อเราเชื่อมสัมพันธ์กัน เราจะเป็นพระพรให้แก่กันและกัน  หากเราเป็นคนของพระคริสต์ เรื่องของพระองค์จะเป็นความคิดอันหวานชื่นที่สุดของเรา  เราชื่นชอบที่จะพูดถึงพระองค์ และขณะที่เราพูดกับผู้อื่นถึงความรักของพระองค์ หัวใจของเราจะอ่อนโยนด้วยการทรงดลใจของพระเจ้า  เมื่อเราเฝ้ามองความงามของพระลักษณะนิสัยของพระองค์เราจะ “เปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป”  2 โครินธ์ 3 ข้อที่ 18  {DA 83.5}                        

**************