บทที่ 36
สัมผัสแห่งความเชื่อ
บทนี้อ้างอิงจากมัทธิว 9 ข้อที่ 18-26; มาระโก 5 ข้อที่ 21-43; ลูกา 8 ข้อที่ 40-56
เมื่อพระเยซูเสด็จกลับจากเขตแดนกาดาราไปยังฝั่งตะวันตกของทะเลสาบแล้ว พระองค์ทรงพบกลุ่มชนขนาดใหญ่รวมตัวกันรอคอยพระองค์ และพวกเขาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี พระองค์ยังคงอยู่ริมฝั่งทะเลสาบอีกระยะหนึ่ง ทรงสอนและรักษาแล้วจึงทรงปลีกตัวเข้าไปพักที่บ้านของเลวีมัทธิวเพื่อพบปะกับคนเก็บภาษีในงานเลี้ยงรับรอง ณ ที่บ้านแห่งนี้ไยรัสนายธรรมศาลาได้มาเฝ้าพระองค์ {DA 342.1}
ด้วยความทุกข์ใจเป็นอย่างมากยิ่งผู้ปกครองชาวยิวท่านนี้ได้มาเข้าเฝ้าพระเยซูและทรุดตัวลงแทบพระบาทของพระองค์และร้องทูลว่า "ลูกสาวเล็กๆ ของข้าพระองค์ป่วยหนัก ขอพระองค์เสด็จไปวางพระหัตถ์บนเธอ เพื่อเธอจะหายโรคและมีชีวิตอยู่” {DA 342.2}
พระเยซูจึงเสด็จไปกับนายธรรมศาลาท่านนี้ทันทีเพื่อไปยังบ้านของเขา แม้ว่าพวกสาวกจะได้เห็นผลงานแห่งความเมตตาของพระองค์มามากมายแล้วก็ตามที แต่พวกเขาก็ประหลาดใจที่พระองค์ปฏิบัติตามคำวิงวอนของธรรมาจารย์ผู้จองหอง ถึงกระนั้นพวกเขาก็ตามพระอาจารย์ของพวกเขาไปและผู้คนก็ติดตามไปด้วยความตื่นเต้นและด้วยความคาดหวังที่สูง {DA 342.3}
บ้านของผู้ปกครองอยู่ไม่ไกลนัก แต่พระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์ก็มุ่งหน้าไปได้อย่างช้าๆ เพราะฝูงชนเบียดเสียดออกันรอบพระองค์ทุกด้าน บิดากังวลและร้อนใจในความล่าช้า แต่พระเยซูทรงสงสารประชาชนจึงทรงหยุดตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้างเพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ลำบากหรือปลอบประโลมจิตใจของผู้ที่มีปัญหา {DA 342.4}
ในขณะที่พวกเขายังอยู่ระหว่างทาง ผู้ส่งสารคนหนึ่งได้แทรกตัวฝ่าฝูงชนเพื่อนำข่าวมาให้ไยรัสว่าลูกสาวของเขาตายแล้ว และไม่มีประโยชน์ที่จะไปรบกวนพระอาจารย์อีกต่อไป คำพูดนั้นเข้ามายังพระกรรณของพระเยซู “อย่ากลัว” พระองค์ตรัส “จงเชื่อเท่านั้น แล้วลูกจะหายดี” {DA 342.5}
ไยรัสยิ่งหาทางเข้าไปให้ชิดใกล้พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นและพวกเขาก็เดินทางพร้อมกันไปที่บ้านของนายธรรมศาลาด้วยความเร่งรีบ คนรับจ้างร้องไห้ไว้ทุกข์และคนเป่าขลุ่ยก็อยู่ที่บ้านแล้ว ทำให้บรรยากาศมีเสียงดังอลหม่าน ฝูงชนที่เบียดเสียดกันอยู่และความโกลาหลสะเทือนพระทัยของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพยายามที่จะให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ตรัสว่า "พวกท่านร้องไห้วุ่นวายไปทำไม? เด็กคนนั้นยังไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับอยู่เท่านั้น" พวกเขาไม่พอใจกับพระดำรัสของพระองค์ผู้ทรงเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาเห็นแล้วว่าเด็กตกอยู่ในอ้อมกอดแห่งความตายแล้วและพวกเขาก็หัวเราะเยาะพระองค์ พระเยซูมีพระดำรัสสั่งให้พวกเขาทั้งหมดออกไปนอกบ้าน พระองค์ทรงพาบิดามารดาของเด็กหญิงและสาวกสามคนคือเปโตร ยากอบและยอห์นไปกับพระองค์ ทั้งหมดเดินเข้าไปในบ้านแห่งความตายด้วยกัน {DA 343.1}
พระเยซูเสด็จดำเนินไปอยู่ข้างเตียงและทรงจับมือเด็กมาไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์และตรัสเสียงแผ่วเบาด้วยภาษาพื้นบ้านของเด็กน้อยที่เธอคุ้นเคยว่า "เด็กหญิงเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด" {DA 343.2}
ทันใดนั้นก็มีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นในร่างกายที่ไร้ชีวิต ชีพจรแห่งชีวิตเริ่มเต้น ริมฝีปากอ้าออกด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเปิดออกราวกับว่าเพิ่งตื่นนอนและเด็กน้อยมองรอบข้างด้วยความประหลาดใจที่เห็นคนกลุ่มหนึ่งอยู่ต่อหน้าเธอ เธอลุกขึ้น และพ่อแม่ก็กอดเธอไว้พร้อมกับร้องไห้ด้วยความชื่นชมยินดี {DA 343.3}
ท่ามกลางฝูงชนในระหว่างทางไปยังบ้านของนายธรรมศาลา พระเยซูทรงพบหญิงยากจนคนหนึ่งที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคร้ายซึ่งสร้างภาระให้กับชีวิตของเธอมานานถึงสิบสองปี เธอใช้เงินทั้งหมดไปกับการหาแพทย์และการรักษาซึ่งในที่สุดได้แค่เพียงคำประกาศว่าเธอป่วยด้วยโรคที่รักษาให้หายไม่ได้ แต่เธอกลับมีความหวังใหม่เกิดขึ้นเมื่อเธอได้ยินถึงการรักษาที่พระคริสต์ทรงกระทำ เธอมั่นใจว่าเพียงแต่เธอได้ไปหาพระองค์เท่านั้นเธอก็จะหายเป็นปกติ ด้วยความอ่อนแอและทุกข์ทรมานเธอมายังชายทะเลที่พระองค์กำลังสอนอยู่ และพยายามแหวกฝูงชนเพื่อเข้าไปให้ถึงพระองค์ แต่ก็ไร้ผล อีกครั้งเธอติดตามพระองค์จากบ้านของเลวีมัทธิว แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงพระองค์ เธอเริ่มสิ้นหวังจนกระทั่งพระองค์เสด็จฝ่าฝูงชนเข้ามาใกล้บริเวณที่เธอยืนอยู่ {DA 343.4}
โอกาสทองมาถึงแล้ว เธอยืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์นายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่! แต่ท่ามกลางความสับสนเธอไม่อาจทูลพระองค์หรือแม้แต่จะแค่เหลือบมองพระองค์ ด้วยความกลัวที่จะสูญเสียโอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะได้รับการบรรเทาทุกข์ เธอจึงเบียดขึ้นไปข้างหน้าและพูดกับตัวเองว่า "ถ้าฉันได้แตะต้องเพียงฉลองพระองค์ ฉันก็จะหายโรค” ขณะที่พระองค์กำลังดำเนินผ่านไป เธอก็เอื้อมมือไปข้างหน้าและประสบความสำเร็จแตะได้แค่เพียงขอบชายฉลองพระองค์เท่านั้น แต่ในวินาทีนั้นเธอรู้ตัวว่าเธอหายเป็นปกติแล้ว ความเชื่อของทั้งชีวิตเธอมุ่งตรงไปยังการสัมผัสอันนั้น และในทันใดสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงเข้าแทนที่ความเจ็บปวดกับความอ่อนแอของเธอ {DA 343.5}
เธอพยายามถอยออกไปจากฝูงชนด้วยหัวใจที่สำนึกในพระคุณ แต่ทันใดนั้นพระเยซูก็ทรงหยุดและผู้คนก็หยุดชะงักตามพระองค์ด้วย พระองค์ทรงเหลียวหลังและทรงถามด้วยน้ำเสียงที่ได้ยินอย่างชัดเจนเหนือความสับสนอลหม่านของฝูงชนว่า "ใครแตะต้องเสื้อของเรา? " ประชาชนตอบคำถามนี้ด้วยการมองอย่างแปลกใจ เพราะพระองค์แทบจะถูกกระแทกจากทุกด้านและเบียดเสียดไปมาอย่างเห็นได้ชัด คำถามนี้จึงดูแปลกประหลาด {DA 344.1}
เปโตรซึ่งพร้อมที่จะพูดอยู่เสมอได้ทูลพระองค์ว่า “‘พระอาจารย์ ฝูงชนที่อยู่ล้อมรอบพระองค์กำลังเบียดเสียดพระองค์’ แต่พระเยซูตรัสว่า ‘มีคนหนึ่งแตะต้องตัวเรา เพราะเรารู้สึกได้ว่าฤทธิ์ซ่านออกจากตัวเรา’” พระผู้ช่วยให้รอดทรงแยกแยะการสัมผัสด้วยความเชื่อออกจากการสัมผัสที่ไม่ตั้งใจของฝูงชนได้ จะต้องไม่ปล่อยความไว้วางใจเช่นนี้ให้ผ่านไปโดยไม่ได้กล่าวถึง พระองค์ทรงประสงค์ที่จะตรัสคำปลอบโยนกับหญิงยากจนคนนั้นซึ่งจะทำให้เธอมีความสุข พระดำรัสนั้นเป็นพระดำรัสที่จะเป็นพระพรให้แก่ผู้ติดตามของพระองค์เมื่อใกล้ถึงเวลาสิ้นยุค {DA 344.2}
ขณะที่พระองค์ทรงมองไปยังหญิงคนนั้น พระเยซูตรัสยืนยันว่ามีใครสักคนสัมผัสพระองค์ เมื่อเธอตระหนักว่าไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไปแล้ว เธอจึงเดินก้าวออกมาด้วยอาการตัวสั่นสะท้านและทิ้งตัวลงแทบพระบาทของพระองค์ เธอทูลเล่าเรื่องความทุกข์ทรมานของเธอและวิธีที่เธอพบกับการบรรเทาทุกข์ด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้ง พระเยซูตรัสอย่างแผ่วเบาว่า "ลูกหญิงเอ๋ย ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด" พระองค์ไม่ทรงเปิดโอกาสให้กับความเชื่องมงายที่อ้างว่าการรักษาเกิดขึ้นได้จากเพียงแค่สัมผัสเสื้อของพระองค์ เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการสัมผัสพระองค์แค่เพียงภายนอก แต่โดยความเชื่อซึ่งยึดอำนาจของพระเจ้าไว้ที่ทำให้เกิดการรักษาขึ้น {DA 344.3}
ฝูงชนที่งุนงงซึ่งเบียดเสียดอยู่ใกล้พระคริสต์สัมผัสไม่ได้ถึงพลังแห่งชีวิต แต่เมื่อหญิงผู้ทุกข์ทรมานยื่นมือของเธอมาสัมผัสพระองค์พร้อมทั้งเชื่อว่าเธอจะหายเป็นปกติ เธอก็ได้สัมผัสกับฤทธิ์อำนาจของการรักษา เรื่องทางฝ่ายจิตวิญญาณก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน การพูดถึงเรื่องศาสนาอย่างผิวเผินปกติธรรมดาและอธิษฐานโดยปราศจากความกระหายทางจิตวิญญาณและความเชื่อที่มีชีวิตนั้น จะไม่เกิดผลอันใดเลย ความเชื่อพระคริสต์แต่เพียงในนามโดยการแค่ยอมรับว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกจะไม่มีทางนำการรักษามาให้จิตวิญญาณได้ ความเชื่อที่นำไปสู่ความรอดไม่ใช่เป็นเพียงแค่การยอมรับความจริงด้วยสติปัญญา ผู้ที่เฝ้ารอให้มีความรู้ทั้งหมดก่อนแล้วจึงค่อยลงมือฝึกฝนความเชื่อจะไม่สามารถรับพระพรจากพระเจ้าได้ การเชื่อในเรื่องที่เกี่ยวกับพระคริสต์นั้นเป็นการไม่เพียงพอ แต่เราต้องเชื่อในพระองค์ ความเชื่อเดียวที่จะให้ประโยชน์แก่เราคือตัวเราเองจะต้องเชื่อและยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยส่วนตัวของเรา เมื่อมีความเชื่อเช่นนี้แล้วเราเองจะได้รับปันส่วนคุณความดีของพระองค์ คนมากมายถือว่าความเชื่อเป็นความคิดเห็น ความเชื่อที่นำไปสู่ความรอดคือการดำเนินการที่ผู้รับพระคริสต์นำตัวเองเข้าไปผูกสัมพันธ์ในพันธสัญญากับพระเจ้า ความเชื่อแท้คือชีวิต ความเชื่อที่มีชีวิตหมายถึงความมีชีวิตชีวที่เพิ่มขึ้น ความเชื่ออย่างวางใจ จิตวิญญาณที่มีความเชื่ออย่างมีชีวิตนี้จะเปลี่ยนเป็นพลังแห่งชัยชนะ {DA 347.1}
หลังจากรักษาหญิงคนนั้นให้หายแล้ว พระเยซูทรงประสงค์ให้เธอประกาศยอมรับพระพรที่เธอได้รับ ของประทานที่ข่าวประเสริฐมอบให้จะต้องไม่เก็บไว้อย่างลับๆ หรือเพื่อชื่นชมในที่ลี้ลับ ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเชิญชวนให้เราเปิดเผยคุณความดีของพระองค์ "พวกเจ้าเป็นสักขีพยานของเรา เราคือพระเจ้า" อิสยาห์ 43 ข้อที่ 12 {DA 347.2}
คำประกาศยอมรับความซื่อสัตย์ของพระองค์คือสื่อตัวแทนของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เพื่อเปิดเผยพระคริสต์ให้แก่ชาวโลก เราจะต้องยอมรับพระคุณของพระองค์ตามที่ได้เปิดเผยผ่านผู้บริสุทธิ์ในสมัยโบราณ แต่วิธีที่ได้ผลที่สุดคือคำพยานจากประสบการณ์ของเราเอง เราเป็นพยานของพระเจ้าเมื่อเราเปิดเผยอำนาจของพระเจ้าที่ประกอบกิจในตัวเรา แต่ละคนมีชีวิตที่แตกต่างจากคนอื่น และมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน พระเจ้าทรงปรารถนาให้คำสรรเสริญของเราขึ้นไปยังพระองค์โดยมีลักษณะที่เฉพาะของเราแต่ละคน คำกล่าวยอมรับที่มีคุณค่าเหล่านี้ซึ่งกล่าวถวายพระเกียรติแด่พระคุณของพระองค์เมื่อได้รับการสนับสนุนด้วยชีวิตที่มีลักษณะเหมือนพระคริสต์แล้ว จะมีพลังที่ปฏิเสธไม่ได้เพื่อประกอบกิจของการช่วยจิตวิญญาณให้ได้รับความรอด {DA 347.3}
เมื่อคนโรคเรื้อนสิบคนมาหาพระเยซูเพื่อขอการรักษา พระองค์ทรงให้พวกเขาไปแสดงตัวต่อปุโรหิต ระหว่างทางพวกเขาได้รับการชำระ แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กลับมาถวายพระสิริแด่พระองค์ ส่วนคนอื่นๆ เดินตามทางต่อไปลืมพระองค์ผู้ทรงทำให้พวกเขาหายป่วย มีสักกี่คนที่ยังทำแบบเดียวกัน! พระเจ้าทรงประกอบกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อทำประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ พระองค์ประทานพระพรอันอุดมของพระองค์ พระองค์ทรงปลุกคนป่วยให้ลุกขึ้นจากความอ่อนแรง พระองค์ทรงช่วยกู้มนุษย์จากภัยอันตรายซึ่งพวกเขามองไม่เห็น พระองค์ทรงบัญชาให้ทูตสวรรค์ช่วยพวกเขาให้ออกจากความทุกข์ยาก เพื่อปกป้องพวกเขาจากความ "กลัวโรคภัยที่ไล่มาในความมืด” และ “ความหายนะซึ่งทำลายในเที่ยงวัน” สดุดี 91 ข้อที่ 6 แต่พวกเขาไม่ได้รับความประทับใจ พระองค์ประทานทรัพย์สมบัติทั้งหมดจากสวรรค์เพื่อไถ่พวกเขา ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่แยแสในความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ ด้วยความไม่ซาบซึ้งในพระคุณ พวกเขาปิดใจต่อต้านพระคุณของพระเจ้า เหมือนเช่นพุ่มไม้ที่ขึ้นในทะเลทราย พวกเขาไม่เคยทราบว่าความดีมาถึงเมื่อใดและจิตวิญญาณของพวกเขาก็อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารอันแห้งแล้ง {DA 348.1}
เพื่อประโยชน์ของตัวเราเอง เราต้องเก็บของขวัญทุกชิ้นของพระเจ้าให้สดใหม่อยู่ในความทรงจำของเรา ด้วยการทำเช่นนี้ ความเชื่อจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะอ้างสิทธิ์ได้มากขึ้นและเพื่อรับได้มากยิ่งขึ้น เพราะในพระพรน้อยนิดที่สุดที่เราได้รับจากพระเจ้าจะให้กำลังใจยิ่งใหญ่แก่เราได้มากยิ่งกว่าการอ่านเรื่องราวความเชื่อและประสบการณ์ของผู้อื่นทั้งหมด จิตวิญญาณที่ตอบสนองต่อพระคุณของพระเจ้าจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรดอย่างชุ่มฉ่ำ สุขภาพของเขาจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสว่างของเขาจะปรากฏออกมาจากที่มืดมิดและพระสิริของพระเจ้าจะปรากฏออกมาจากตัวของเขา ดังนั้นให้เราระลึกถึงความรักความกรุณาของพระเจ้าและความเมตตาอันอ่อนโยนของพระองค์ที่มีอย่างเอนกอนันต์ เหมือนดั่งชนชาติอิสราเอลให้เราตั้งแท่นศิลาคำพยานและจารึกเรื่องราวอันล้ำค่าที่พระเจ้าทรงประกอบกิจในตัวเราไว้บนนั้น และในขณะที่เราทบทวนการปฏิบัติของพระองค์ที่ทรงมีต่อเราในขณะที่เราเดินทางไปยังแผ่นดินสวรรค์ ขอให้เรามีหัวใจที่หลอมละลายด้วยการสำนึกในพระคุณและประกาศว่า "ข้าพเจ้าจะเอาอะไรตอบแทนพระยาห์เวห์? สำหรับความดีทั้งสิ้นของพระองค์ที่มีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกถ้วยแห่งความรอด และร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะแก้บนแด่พระยาห์เวห์ต่อหน้าประชาชนทั้งปวงของพระองค์" สดุดี 116 ข้อที่ 12-14 {DA 348.2}
***********