บทที่ 64

ประชาชนที่ชะตาถูกกำหนดแล้ว

บทนี้อ้างอิงจาก มาระโก 11 ข้อที่ 11-14, 20, 21; มัทธิว 21 ข้อที่ 17-19


การเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัยนั้นเป็นภาพเลือนลางล่วงหน้าชี้ให้เห็นถึงการเสด็จมาของพระองค์ในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ด้วยอำนาจและรัศมีอันเจิดจ้าท่ามกลางความมีชัยของทูตสวรรค์และความชื่นชมยินดีของวิสุทธิชน  เมื่อนั้นพระดำรัสของพระคริสต์ที่ตรัสกับพวกปุโรหิตและพวกฟาริสีทั้งหลายจะสำเร็จที่ว่า "เจ้าจะไม่เห็นเราอีกจนกว่าพวกเจ้าจะกล่าวว่า‘ขอให้ท่านผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’"  มัทธิว 23 ข้อที่ 39  ในนิมิตแห่งการพยากรณ์ เศคาริยาห์ได้รับการเปิดเผยถึงวันแห่งชัยชนะครั้งสุดท้าย และเขายังได้เห็นจุดจบของผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ในสมัยที่พระองค์เสด็จมาครั้งที่หนึ่ง  "เขาทั้งหลายจะมองดูเราผู้ซึ่งเขาเองได้แทง เขาจึงจะไว้ทุกข์เพื่อท่านเหมือนคนไว้ทุกข์เพื่อบุตรชายคนเดียวของตน และจะร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อท่าน เหมือนอย่างคนร้องไห้อย่างขมขื่นเพื่อบุตรหัวปีของตน" เศคาริยาห์ 12 ข้อที่ 10 TKJV  พระคริสต์ทรงเห็นฉากเหตุการณ์นี้ล่วงหน้าขณะทอดพระเนตรเมืองและร่ำไห้คร่ำครวญถึงเมืองนั้น  ในการทำลายกรุงเยรูซาเล็มที่เกิดขึ้นในโลก พระองค์ทรงมองเห็นการทำลายครั้งสุดท้ายของผู้ที่ทำผิดต่อพระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า {DA 580.1}                

พวกสาวกเห็นความเกลียดชังของชาวยิวที่มีต่อพระคริสต์ แต่พวกเขายังมองไม่เห็นว่าจะนำไปถึงขั้นไหน  พวกเขายังไม่เข้าใจสภาพที่แท้จริงของชนชาติอิสราเอลและไม่เข้าใจถึงการลงโทษที่จะตกลงมายังกรุงเยรูซาเล็ม  เรื่องนี้พระคริสต์ทรงเปิดเผยให้พวกเขาเห็นด้วยบทเรียนที่สำคัญบทหนึ่ง  {DA 580.2}                    

คำวิงวอนสุดท้ายที่ประทานให้แก่กรุงเยรูซาเล็มนั้นไม่เกิดผล  บรรดาปุโรหิตและธรรมจารย์ต่างก็ได้ยินเสียงร้องของคำพยากรณ์ในอดีตที่ดังสะท้อนมาจากฝูงชนที่ตอบคำถามว่า “นี่ใครกัน?" แต่พวกเขาไม่ยอมรับว่าเป็นเสียงจากการทรงดลใจของพระเจ้า  ด้วยความโกรธและความประหลาดใจพวกเขาจึงพยายามปิดปากประชาชน  มีเจ้าหน้าที่ชาวโรมันอยู่ในฝูงชนและต่อหน้าพวกเขาศัตรูของพระองค์ได้ประณามพระเยซูว่าเป็นผู้นำการกบฏ  พวกเขาอธิบายให้เห็นว่าพระองค์กำลังจะยึดครองพระวิหารและขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในกรุงเยรูซาเล็ม  {DA 580.3}                      

แต่พระสุรเสียงอันสงบนิ่งของพระเยซูทำให้เสียงโห่ร้องดังวุ่นวายของฝูงชนเงียบไปชั่วขณะในขณะพระองค์ทรงประกาศอีกครั้งหนึ่งว่าพระองค์ไม่ได้มาเพื่อจัดตั้งการปกครองชั่วคราวในโลก อีกไม่นานนักพระองค์จะเสด็จกลับไปหาพระบิดาของพระองค์ และผู้กล่าวหาของพระองค์จะไม่ได้เห็นพระองค์อีกต่อไปจนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาด้วยสง่าราศีอีกครั้ง   หลังจากนั้นพวกเขาจะยอมรับพระองค์ซึ่งสายเกินไปสำหรับความรอดของพวกเขา  พระดำรัสเหล่านี้พระเยซูตรัสด้วยความโศกเศร้าและด้วยอำนาจเฉพาะตน  เจ้าหน้าที่ชาวโรมันแน่นิ่งและเงียบไป  แม้ว่าหัวใจของพวกเขาจะไม่คุ้นชินกับอิทธิพลของพระเจ้าแต่กลับได้รับความประทับใจอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน  ในพระพักตร์อันสงบและเคร่งขรึมของพระเยซูพวกเขามองเห็นความรัก ความเมตตาและความสง่างามอันสงบนิ่ง  พวกเขาถูกปลุกเร้าด้วยความเห็นใจที่ไม่อาจเข้าใจได้  แทนที่จะมาจับพระเยซู พวกเขามีแนวโน้มที่จะถวายความเคารพอย่างยำเกรงแด่พระองค์ พวกเขาหันกลับเข้าหาพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ตั้งข้อหาพวกเขาที่สร้างความวุ่นวาย  ผู้นำเหล่านี้รำคาญใจและพ่ายแพ้ จึงหันเข้าหาประชาชนพร้อมคำกล่าวหาร้องเรียนและโต้แย้งกันเองด้วยความโกรธฉุนเฉียว  {DA 581.1}                

ในขณะเดียวกันพระเยซูเสด็จดำเนินไปยังพระวิหารโดยไม่มีใครสังเกต  ที่นั่นเงียบสงบดีเพราะภาพเหตุการณ์บนยอดเขามะกอกเทศรวบรวมผู้คนไปที่นั่น  พระเยซูประทับที่พระวิหารชั่วขณะหนึ่ง  ทอดพระเนตรด้วยสายพระเนตรเศร้าสร้อย  จากนั้นพระองค์และสาวกก็ออกไปจากที่นั่นและเดินทางกลับหมู่บ้านเบธานี  เมื่อประชาชนหาพระองค์เพื่อจะสถาปนาพระองค์ขึ้นประทับบัลลังก์ พวกเขาจึงหาพระองค์ไม่พบ  {DA 581.2}                      

พระเยซูทรงใช้เวลาตลอดทั้งคืนอธิษฐาน และในเวลาเช้าพระองค์เสด็จมายังพระวิหารอีก  ระหว่างทาง พระองค์ดำเนินผ่านสวนมะเดื่อ  พระองค์ทรงหิว "พอทอดพระเนตรเห็นต้นมะเดื่อมีใบต้นหนึ่งแต่ไกล จึงเสด็จเข้าไปดูว่าจะมีผลหรือไม่ เมื่อมาถึงต้นนั้นแล้ว ไม่เห็นมีผล มีแต่ใบเท่านั้น เพราะยังไม่ถึงฤดูผลมะเดื่อ" {DA 581.3}                        

เวลานั้นไม่ใช่ฤดูมะเดื่อสุกยกเว้นในบางท้องที่ และอาจพูดได้อย่างเต็มปากว่าบนที่ราบสูงรอบกรุงเยรูซาเล็มนั้น "ยังไม่ถึงฤดูผลมะเดื่อ"  แต่ในสวนมะเดื่อที่พระเยซูเสด็จมานั้น มีอยู่ต้นหนึ่งดูเหมือนจะล้ำหน้าไปกว่าต้นอื่นๆ ทั้งหมด  ทั้งต้นมีใบหนาทึบปกคลุมแล้ว  โดยธรรมชาติของต้นมะเดื่อ ผลจะติดต้นก่อนใบจะแตก  ดังนั้นต้นไม้นี้ที่มีใบเต็มต้นจึงน่าจะให้ความหวังอย่างเต็มที่ว่าจะพบผลเต่งงาม  แต่รูปลักษณ์ภายนอกของต้นนี้หลอกลวง  เมื่อพระเยซูทรงมองหาจากกิ่งที่ห้อยลงมาต่ำสุดไปจนถึงยอดกิ่งสูงที่สุด พระองค์ก็พบว่า "ไม่เห็นมีผล มีแต่ใบเท่านั้น"  เป็นต้นไม้ที่มีแต่ใบหนาแน่นอย่างหลอกลวงและไม่มีอย่างอื่นมากกว่านั้น   {DA 581.4}                      

พระคริสต์ทรงลั่นคำสาปแช่งใส่ต้นให้มันเหี่ยวแห้งว่า "ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าอีก"  เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดและสาวกของพระองค์กำลังเดินทางไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง กิ่งไม้และใบที่เหี่ยวแห้งห้อยลงต่ำตามคำสาปนั้นดึงดูดความสนใจของพวกเขา "พระอาจารย์ " เปโตรกล่าว "ดูต้นมะเดื่อที่พระองค์ทรงสาปไว้นั้นสิ มันเหี่ยวแห้งไปแล้ว"  {DA 582.1}                       

การกระทำของพระคริสต์ที่ทรงสาปแช่งต้นมะเดื่อทำให้สาวกทั้งหลายรู้สึกแปลกประหลาดใจ  สำหรับพวกเขาแล้วการนี้ดูไม่เหมือนการทรงประกอบกิจและพระราชกิจของพระองค์  บ่อยครั้งเพียงไรที่พวกเขาได้ยินพระองค์ประกาศว่าพระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น พวกเขาจำพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า "เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเขาทั้งหลายให้รอด" ลูกา 9 ข้อที่ 56 TKJV  พระราชกิจอันประเสริฐของพระองค์ก็เพื่อการฟื้นฟูไม่เคยทรงทำเพื่อการทำลาย  เหล่าสาวกรู้จักพระองค์ในฐานะพระเจ้าแห่งการฟื้นฟูและพระเจ้าแห่งการรักษาเท่านั้น  เป็นผลงานเดียวที่พวกเขาเห็น  พวกเขาถามด้วยความสงสัยว่า พระองค์ทำไปเพื่ออะไร?  {DA 582.2}

พระเจ้า "ทรงพอพระทัยในความเมตตา"  "เรามีชีวิตอยู่แน่นอนอย่างไร เราไม่พอใจในความตายของคนอธรรม"  มีคา 7 ข้อที่ 18; TKJV  เอเสเคียล 33 ข้อที่ 11  พระราชกิจแห่งการทำลายล้างและการพิพากษาในที่สาธารณะอย่างเปิดเผย "เป็นพระราชกิจที่แปลก" สำหรับพระองค์ อิสยาห์ 28 ข้อที่ 21  แต่ด้วยความเมตตาและความรัก พระองค์ทรงยกผ้าที่ปิดบังอนาคตออกและเปิดเผยให้มนุษย์เห็นผลลัพธ์ของวิถีทางแห่งบาป  {DA 582.3}                

การสาปต้นมะเดื่อเป็นอุปมาชีวิตจริง  ต้นไม้ไม่เกิดผลที่มีใบเขียวโบกสะบัดเต็มต้นอย่างเสแสร้งที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระคริสต์เป็นสัญลักษณ์ถึงชนชาติยิว  พระผู้ช่วยให้รอดทรงปรารถนาที่จะอธิบายให้สาวกของพระองค์ทราบถึงสาเหตุและชะตากรรมที่แน่นอนของชนชาติอิสราเอล  เพื่อวัตถุประสงค์นี้ พระองค์จึงใช้ต้นไม้เพื่อสอนบทเรียนทางศีลธรรมและเพื่อเป็นผู้อธิบายความจริงของพระเจ้า  ชาวยิวโดดเด่นอยู่ท่ามกลางชนชาติอื่น  อ้างว่าตนภักดีต่อพระเจ้า  พวกเขาเป็นคนที่พระองค์ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษและพวกเขาอ้างสิทธิ์ของความชอบธรรมเหนือคนอื่น  แต่พวกเขาถูกทำให้เปรอะเปื้อนเนื่องจากการรักโลกและโลภผลกำไร  พวกเขาโอ้อวดความรู้ฝ่ายตน แต่ไม่รู้ข้อกำหนดของพระเจ้า และเต็มไปด้วยความหน้าไหว้หลังหลอก  เหมือนเช่นต้นไม้ที่ไม่เกิดผลซึ่งแผ่กิ่งก้านอย่างโอ้อวดเสแสร้ง ดูแล้วมีลักษณะหรูหราโอ่อ่าอุดมสมบูรณ์และสวยงามจับตา แต่ "ไม่เห็นมีผล มีแต่ใบเท่านั้น"  ศาสนายิวที่มีวิหารอันงดงาม มีแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ มีนักบวชที่สวมหมวกนักบวชและพิธีการที่น่าประทับใจนั้นจริงๆ แล้วมีความงดงามแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่ขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน ความรักและความเมตตากรุณา  {DA 582.4}                    

ต้นไม้ทั้งหมดในสวนมะเดื่อไม่เกิดผล แต่ต้นไม้ที่ไร้ใบไม่สร้างความหวังและไม่เป็นเหตุก่อให้เกิดความผิดหวัง  ต้นไม้เหล่านี้เป็นตัวแทนถึงชาวต่างชาติ  พวกเขาขัดสนแร้นแค้นความเลื่อมใสในศาสนาไม่ต่างจากชาวยิว  แต่พวกเขาไม่ได้อ้างตนว่ารับใช้พระเจ้า  พวกเขาไม่ได้โอ้อวดอ้างถึงความดี พวกเขามองไม่เห็นการประกอบกิจและวิถีของพระเจ้า  สำหรับพวกเขาแล้ว เวลาของผลมะเดื่อยังมาไม่ถึง  พวกเขายังคงรอคอยว่าสักวันหนึ่งเมื่อแสงสว่างและความหวังจะมาถึง  ชาวยิวซึ่งได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่าจากพระเจ้าจะต้องรับผิดชอบที่ใช้ของประทานเหล่านี้อย่างไม่ถูกต้อง  สิทธิพิเศษที่พวกเขาโอ้อวดทำให้พวกเขาได้แต่รับความผิดมากยิ่งขึ้น  {DA 583.1}                

ด้วยความหิวพระเยซูเสด็จมายังต้นมะเดื่อเพื่อหาอาหาร  เช่นเดียวกัน  พระองค์เสด็จมายังแผ่นดินอิสราเอลทรงกระหายหาผลแห่งความชอบธรรมในพวกเขา  พระองค์ประทานของประทานอย่างเอนกอนันต์ให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะเกิดผลเพื่อเป็นพรแก่โลก  ทุกโอกาสและสิทธิพิเศษได้ทรงโปรดประทานให้แก่พวกเขาแล้ว และในทางกลับกันพระองค์ทรงแสวงหาความเห็นใจและความร่วมมือในการประกอบกิจแห่งพระคุณของพระองค์  พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเห็นความเสียสละส่วนตนและความเมตตาในตัวของพวกเขา ความกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้า และความปรารถนาอย่างสุดซึ้งในความรอดของเพื่อนมนุษย์  หากพวกเขาถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าพวกเขาก็น่าจะทำงานที่ไม่เห็นแก่ตัวแบบเดียวกันกับที่พระคริสต์ทรงกระทำ  แต่ความหยิ่งยโสและและความพอเพียงบดบังความรักที่ถวายพระเจ้าและมีต่อมนุษย์  พวกเขานำความพินาศมาใส่ตัวเองโดยปฏิเสธที่จะปรนนิบัติรับใช้ผู้อื่น  ขุมทรัพย์แห่งความจริงที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่พวกเขานั้น พวกเขาไม่ได้นำไปให้แก่คนในโลก  ในต้นที่ไม่เกิดผลนี้ พวกเขาน่าจะอ่านพบทั้งบาปและการลงโทษบาป  มันเหี่ยวและเฉาแห้งไปจนถึงรากภายใต้คำสาปของพระผู้ช่วย ต้นมะเดื่อนี้แสดงให้เห็นถึงสภาพที่ชนชาติยิวจะเป็นเมื่อพระคุณของพระเจ้าถูกถอนไปจากพวกเขา  เมื่อพวกเขาปฏิเสธที่จะแจกจ่ายพระพร พวกเขาก็จะไม่ได้รับพระพรอีกต่อไป "โอ อิสราเอลเอ๋ย" พระเจ้าตรัสว่า "เจ้าได้ทำลายตัวเอง" โฮเชยา 13 ข้อที่ 9  TKJV  {DA 583.2}                    

คำเตือนนี้มีไว้ให้กับทุกยุค  การกระทำของพระคริสต์ในการสาปต้นไม้ซึ่งพระองค์ทรงสร้างด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์เองนั้น มีไว้เพื่อเตือนคริสตจักรทั้งหมดและคริสเตียนทุกคน  ไม่มีใครดำรงชีวิตด้วยพระบัญญัติของพระเจ้าได้โดยไม่ปรนนิบัติรับใช้คนอื่น  แต่มีคนมากมายที่ไม่ดำเนินตามความเมตตากรุณาอย่างไม่เห็นแก่ตัวของพระคริสต์  บางคนคิดว่าตนเองเป็นคริสเตียนที่ดีเลิศ ไม่เข้าใจว่าอะไรคือการรับใช้พระเจ้า  พวกเขาวางแผนและศึกษาเพื่อเอาใจตัวเอง  พวกเขาทำตามที่ตนต้องการ  เวลามีค่าสำหรับพวกเขาเท่าที่พวกเขาเองจะรวบรวมเพื่อตัวเองได้เท่านั้น  ในทุกเรื่องของชีวิตนี่คือเป้าหมายของพวกเขา  พวกเขาปรนนิบัติไม่ใช่เพื่อคนอื่นแต่เพื่อตัวเอง  พระเจ้าทรงสร้างพวกเขาให้อยู่ในโลกที่ต้องรับใช้โดยไม่เห็นแก่ตัว  พระองค์ทรงออกแบบให้พวกเขาช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้  แต่อัตตานั้นพองใหญ่ขึ้นมากจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใด  พวกเขาสัมผัสกับมนุษยชาติไม่ได้  ผู้ที่ดำรงชีวิตในลักษณะเช่นนี้เพื่อตนเองเป็นเหมือนต้นมะเดื่อ ซึ่งแสร้งทำได้ทุกเรื่องแต่ไม่เกิดผล  พวกเขาปฏิบัติตามรูปแบบของการนมัสการ แต่ไม่กลับใจหรือมีความเชื่อ  ในอาชีพการงานพวกเขาถวายเกียรติพระบัญญัติของพระเจ้า แต่ขาดการเชื่อฟัง  พวกเขาพูดแต่ไม่ปฏิบัติ  ในประโยคที่ทรงลั่นวาจาใส่ต้นมะเดื่อ พระคริสต์ทรงสำแดงให้เห็นว่าในสายพระเนตรของพระองค์ ทรงเกลียดชังความเสแสร้งที่ไร้สาระนี้มากเพียงไร  พระองค์ทรงเปิดเผยว่าคนบาปที่เปิดเผยตนเองนั้นมีความผิดน้อยกว่าคนที่อ้างว่ารับใช้พระเจ้า แต่ไม่เกิดผลเพื่อพระสิริของพระองค์  {DA 584.1}  

อุปมาเรื่องต้นมะเดื่อที่พระเยซูตรัสก่อนการเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มสัมพันธ์โดยตรงกับบทเรียนที่พระองค์ทรงสอนด้วยการสาปต้นไม้ที่ไม่เกิดผล  เพราะต้นไม้ที่ไม่เกิดผลในอุปมา คนสวนอ้อนวอนขอไว้อีกปี ลองให้ข้าพเจ้าพรวนดินใส่ปุ๋ยดู  ถ้าปีหน้ามันเกิดผลก็ดีไป แต่ถ้าไม่ ท่านจะโค่นมันทิ้งก็ได้  จะต้องเพิ่มการดูแลเอาใจใส่ให้กับต้นไม้ที่ไม่เกิดผล  มันจะต้องได้สิ่งดีที่ให้ประโยชน์มากที่สุด  แต่ถ้ายังคงไม่ออกผลก็ไม่มีทางใดจะช่วยให้รอดพ้นจากการถูกทำลายได้  ในอุปมาเรื่องนี้ ไม่ได้บอกล่วงหน้าว่างานของคนสวนได้ผลเช่นไร  มันขึ้นอยู่กับประชาชนที่พระคริสต์ตรัสถ้อยคำเหล่านี้  พวกเขาเป็นตัวแทนของต้นไม้ที่ไม่เกิดผล และทั้งหมดขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะเป็นผู้ตัดสินชะตาของตนเอง  ทุกความได้เปรียบที่พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะจัดสรรให้นั้นได้ประทานไว้ให้แล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ประโยชน์จากพระพรที่เพิ่มมากขึ้น  ในการกระทำของพระคริสต์ที่ทรงสาปแช่งต้นมะเดื่อที่ไม่เกิดผลนั้น ผลลัพธ์ได้ถูกแสดงให้เห็นแล้ว  พวกเขากำหนดความพินาศของตนเองไปแล้ว  {DA 584.2}                        

เป็นเวลานานกว่าพันปีที่ชนชาติยิวเอาพระเมตตาคุณของพระเจ้าไปใช้ในทางที่ผิดและเชื้อเชิญการพิพากษาของพระเจ้า  พวกเขาปฏิเสธคำเตือนของพระองค์และสังหารผู้เผยพระวจนะ  คนในสมัยของพระคริสต์ทำให้ตัวเองต้องรับผิดชอบบาปเหล่านี้ด้วยการประพฤติในแนวทางเดียวกัน การปฏิเสธความเมตตาและคำเตือนในปัจจุบันของพวกเขาทำให้คนรุ่นนั้นต้องรับผิด  โซ่ตรวนที่ประชาชาติได้หล่อหลอมมาเป็นเวลาหลายศตวรรษนั้น บัดนี้ประชาชนในสมัยของพระคริสต์เอามาผูกมัดตัวเอง  {DA 584.3}                          

ในทุกยุคทุกสมัยมีวันแห่งแสงสว่างและสิทธิพิเศษที่ประทานให้แก่มนุษย์ซึ่งเป็นเวลาแห่งการพิสูจน์ที่มอบให้แก่มนุษย์เพื่อให้คืนดีกับพระเจ้า  แต่พระคุณนี้มีขีดจำกัด  ความเมตตาอาจอ้อนวอนเป็นเวลาหลายปีและถูกดูแคลนและถูกปฏิเสธ แต่เวลาจะมาถึงเมื่อความเมตตาจะอ้อนวอนเป็นครั้งสุดท้าย  หัวใจแข็งกระด้างมากจนสนองตอบพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้  จากนั้นเสียงอันไพเราะและมีชัยจะไม่วิงวอนคนบาปอีกต่อไป และคำตำหนิและคำเตือนก็จะยุติลง  {DA 587.1}                            

วันนั้นมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระเยซูทรงกันแสงด้วยความปวดร้าวเหนือเมืองที่ชะตาถูกกำหนด แต่พระองค์ไม่อาจช่วยเธอให้รอดได้  พระองค์ทรงใช้ทุกทรัพยากรจนหมดสิ้นแล้ว  ด้วยการปฏิเสธคำเตือนของพระวิญญาณของพระเจ้า ชนชาติอิสราเอลจึงได้ปฏิเสธความช่วยเหลือเดียว  ไม่มีฤทธิ์อำนาจอื่นใดที่จะช่วยพวกเขาให้รอดได้อีก  {DA 587.2}         

ชนชาติยิวเป็นสัญลักษณ์แทนคนทุกยุคทุกสมัยที่เหยียดหยามคำวิงวอนซึ่งมาจากความรักอันไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า  น้ำพระเนตรของพระคริสต์ที่ทรงกันแสงเหนือกรุงเยรูซาเล็มก็เพื่อบาปของคนตลอดทุกยุค  ในคำตัดสินที่ประกาศใส่ชนชาติอิสราเอลนั้น ผู้ที่ปฏิเสธคำตำหนิและคำเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะได้อ่านคำกล่าวโทษของตนเอง  {DA 587.3}                        

มีคนจำนวนมากในยุคนี้ที่เหยียบย่ำอยู่บนพื้นดินเดียวกันกับชาวยิวผู้ไม่เชื่อ  พวกเขาเห็นการสำแดงของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับหัวใจของพวกเขาแล้ว แต่พวกเขายังคงยึดติดอยู่กับความไม่เชื่อและการต่อต้านของตนเอง  พระเจ้าประทานคำเตือนและคำตำหนิมาให้แก่พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาไม่เต็มใจสารภาพข้อผิดพลาดและพวกเขาปฏิเสธข่าวสารของพระองค์และผู้สื่อข่าวของพระองค์  วิธีที่พระองค์ทรงใช้เพื่อนำพวกเขากลับมาสู่สภาพดีดังเดิมกลับกลายเป็นก้อนหินสะดุดสำหรับพวกเขา  {DA 587.4}  

ชนชาติอิสราเอลที่ละทิ้งความเชื่อเกลียดชังผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เพราะพวกเขาเปิดเผยบาปที่ซ่อนอยู่ออกมาในที่แจ้ง  กษัตริย์อาหับถือว่าเอลียาห์เป็นศัตรูของเขาเพราะผู้เผยพระวจนะสัตย์ซื่อในการประณามตำหนิความชั่วช้าลับของกษัตริย์  ทุกวันนี้ก็เช่นกัน ผู้รับใช้ของพระคริสต์และผู้ตำหนิบาปจึงพบกับการดูถูกเหยียดหยามและการปฏิเสธ  ความจริงของพระคัมภีร์ซึ่งคือศาสนาของพระคริสต์จะต้องดิ้นรนฟันฝ่ากระแสอันแรงกล้าของความไม่บริสุทธิ์ทางด้านศีลธรรม  อคติในใจของมนุษย์ในทุกวันนี้รุนแรงกว่าในสมัยของพระคริสต์  พระคริสต์ไม่ทรงประกอบกิจตามความคาดหวังของมนุษย์ ชีวิตของพระองค์ตำหนิบาปของพวกเขา และพวกเขาปฏิเสธพระองค์  ปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน ความจริงของพระวจนะของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติและความโน้มเอียงตามธรรมชาติของมนุษย์ และคนนับพันปฏิเสธแสงสว่างของความจริงนั้น  มนุษย์ที่ถูกซาตานกระตุ้นจึงตั้งแง่สงสัยพระวจนะของพระเจ้าและเลือกใช้วิจารณญาณอย่างเสรีของตนเอง   พวกเขาเลือกความมืดมากกว่าความสว่าง แต่พวกเขาเอาจิตวิญญาณของตนเข้าไปเสี่ยง  คนที่คอยจับผิดพระวจนะของพระคริสต์ก็จะพบสาเหตุที่จะจับผิดเพิ่มขึ้นอยู่เสมอจนกระทั่งพวกเขาหันไปจากพระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริงและชีวิต  ทุกวันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น  พระเจ้าไม่ทรงเสนอที่จะกำจัดทุกความคิดเห็นต่างอันเกิดจากหัวใจเนื้อหนังต่อสู้กับความจริงของพระองค์  ผู้ที่ปฏิเสธลำแสงอันมีค่าที่จะส่องสว่างเข้าไปในความมืดมิดของเขานั้น ความลึกลับของพระวจนะของพระเจ้าก็จะเป็นความลึกลับสำหรับพวกเขาไปตลอดกาล  ความจริงจะถูกซ่อนจากพวกเขา  พวกเขาเดินไปอย่างคนตาบอดและไม่รู้ว่าหายนะอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว  {DA 587.5}                            

จากยอดเขามะกอก พระคริสต์ทอดพระเนตรภาพของโลกและไปจนตลอดทุกยุคทุกสมัย พระดำรัสของพระองค์ประยุกต์ใช้ได้กับจิตวิญญาณทุกดวงที่มองข้ามการอ้อนวอนแห่งพระเมตตาคุณของพระเจ้า  สำหรับบรรดาผู้ที่เหยียดหยามความรักของพระองค์ ในวันนี้พระองค์ตรัสกับคุณอย่างตรงไปตรงมาว่า "เจ้าเอง ตัวเจ้า" ที่ต้องรู้ถึงสิ่งที่เป็นสันติสุขของเจ้า  พระคริสต์กำลังหลั่งน้ำพระเนตรอันขมขื่นเพื่อคุณเองที่ไม่มีน้ำตาหลั่งให้กับตัวเอง  ความแข็งกระด้างของหัวใจที่ทำลายพวกฟาริสีนั้นปรากฏชัดในตัวคุณแล้ว  และทุกหลักฐานแห่งพระคุณของพระเจ้า ทุกลำแสงของพระเจ้า กำลังหลอมละลายและทำให้จิตวิญญาณอ่อนลง หรือกำลังยืนยันว่าสิ้นหวังแล้วที่จะกลับใจสำนึกผิด  {DA 588.1}                        

พระคริสต์ทรงเห็นล่วงหน้าแล้วว่ากรุงเยรูซาเล็มจะยังคงใจแข็งไม่เปลี่ยนและไม่สำนึกผิด  แต่กระนั้นความผิดทั้งหมดและผลที่ตามมาทั้งหมดของการปฏิเสธความเมตตาได้กองอยู่ตรงประตูทางเข้าของเธอเอง  ดังนั้นแหละ จิตวิญญาณทุกดวงที่เดินไปตามแนวทางนี้ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน  พระเจ้าทรงประกาศว่า "โอ อิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้ทำลายตัวเอง" "พิภพเอ๋ย จงฟังเถิด นี่แน่ะ เรากำลังนำการร้ายมาเหนือประชาชนนี้ คือผลแห่งกลอุบายของเขาเพราะเขาไม่ได้เชื่อฟังถ้อยคำของเรา  ส่วนธรรมบัญญัติของเรานั้นเขาปฏิเสธเสีย" โฮเชยา 13 ข้อที่ 9; เยเรมีย์ 6 ข้อที่ 19  {DA 588.2}

**********