บทที่ 66
ความขัดแย้งรุนแรง
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 22 ข้อที่ 15-46; มาระโก 12 ข้อที่ 13-40; ลูกา 20 ข้อที่ 20-47
พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองต่างนิ่งเงียบฟังคำตำหนิของพระคริสต์ พวกเขาหักล้างข้อกล่าวหาของพระองค์ไม่ได้ แต่กลับมุ่งมั่นยิ่งขึ้นที่จะทำให้พระองค์ติดกับดัก และด้วยเป้าหมายนี้พวกเขาจึงส่งสายลับไปเข้าเฝ้าพระองค์ พวกเขา "ใช้ให้บางคนแสร้งทำตัวเป็นคนชอบธรรมตามไปสอดแนม หวังจะจับผิดในคำสอนของพระองค์ เพื่อจะมอบพระองค์ไว้ใต้สิทธิอำนาจของเจ้าเมือง” พวกเขาไม่ได้ส่งพวกฟาริสีแก่ชราที่พระเยซูพบอยู่เสมอ แต่เป็นชายหนุ่มที่มีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าและกระตือรือร้นและเป็นคนที่พวกเขาคิดว่าพระคริสต์ไม่รู้จัก คนเหล่านี้มาพร้อมกับพวกเฮโรดบางคนเพื่อคอยฟังพระดำรัสของพระคริสต์เพื่อจะได้เป็นพยานต่อสู้กับพระองค์ในการพิพากษา พวกฟาริสีและพวกเฮโรดเป็นศัตรูมาตลอด แต่บัดนี้พวกเขารวมตัวกันเป็นศัตรูกับพระคริสต์ {DA 601.1}
พวกฟาริสีรำคาญที่ถูกพวกโรมันขูดรีดภาษีมาตลอด พวกเขาถือว่าการชำระภาษีขัดแย้งกับพระบัญญัติของพระเจ้า บัดนี้พวกเขามองเห็นโอกาสที่จะวางกับดักจับพระเยซู ผู้สอดแนมได้มาเข้าเฝ้าพระองค์และด้วยการแสดงออกอย่างจริงใจ ทำราวกับว่ามีความปรารถนาที่จะรู้หน้าที่ของตน กล่าวว่า "ท่านอาจารย์ เราทราบอยู่ว่าท่านกล่าวและสั่งสอนแต่ความจริง ไม่เคยเห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆ การส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นควรหรือไม่?" {DA 601.2}
คำว่า "เราทราบอยู่ว่าท่านกล่าวและสั่งสอนแต่ความจริง" หากเป็นคำพูดที่จริงใจ ก็น่าจะเป็นการกล่าวคำยอมรับที่ดีเยี่ยม แต่พวกเขาพูดเพื่อหลอกลวง ถึงอย่างไรก็ตามคำให้การของพวกเขานั้นเป็นเรื่องจริง พวกฟาริสีรู้ว่าพระคริสต์ตรัสและสอนถูกต้อง และพวกเขาจะถูกพิพากษาด้วยคำพยานของพวกเขาเอง {DA 602.1}
คนที่เข้ามาซักถามพระเยซูคิดว่าตนปิดบังจุดประสงค์ของตนได้แนบเนียนดีแล้ว แต่พระเยซูทรงอ่านใจของพวกเขาออกราวกับอ่านหนังสือที่เปิดอยู่และทรงได้ยินน้ำเสียงอันหน้าไหว้หลังหลอกของพวกเขา พระองค์ตรัส “พวกท่านมาทดลองเราทำไม?” จึงเป็นการส่งสัญญาณที่พวกเขาไม่ได้ถามให้แก่พวกเขาด้วยการแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงอ่านจุดประสงค์ของพวกเขาที่ซ่อนอยู่ได้ พวกเขารู้สึกสับสนมากยิ่งขึ้นเมื่อพระองค์ทรงเพิ่มเติมต่อไปว่า "จงเอาเงินเดนาริอันเหรียญหนึ่งมาให้เราดู” พวกเขาจึงเอาเดนาริอันเหรียญหนึ่งมาถวายพระองค์ และพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า "’รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?’ เขาทูลตอบว่า ‘ของซีซาร์’" เมื่อทรงชี้ไปที่คำจารึกบนเหรียญ พระเยซูตรัสว่า ด้วยเหตุนี้ "ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า" {DA 602.2}
ผู้สอดแนมคาดว่าพระเยซูจะทรงตอบคำถามของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากพระองค์จะตรัสตอบว่าเป็นการไม่สมวรที่จะส่งส่วยให้ซีซาร์แล้ว พวกเขาก็จะฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐบาลชาวโรมันและจับพระองค์ฐานก่อกบฏ แต่หากพระองค์จะประกาศว่าการส่งส่วยเป็นเรื่องถูกกฎหมายแล้ว พวกเขาก็จะวางแผนใส่ร้ายพระองค์ต่อหน้าประชาชนว่าพระองค์ต่อต้านธรรมบัญญัติของพระเจ้า บัดนี้ พวกเขาเองรู้สึกงุนงงและพ่ายแพ้แล้ว แผนของพวกเขายุ่งเหยิงสับสน ลักษณะการสรุปคำถามของพวกเขาทำให้พวกเขาไม่มีอะไรจะพูดอีกต่อไป {DA 602.3}
คำตอบของพระคริสต์ไม่ได้เป็นคำตอบที่บ่ายเบี่ยง แต่เป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมา พระองค์ทรงถือเหรียญโรมันซึ่งจารึกพระนามและพระฉายาลักษณ์ของซีซาร์ไว้ในพระหัตถ์ พระองค์ทรงเปิดเผยว่าเนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจโรมันพวกเขาควรต้องให้การสนับสนุนผู้มีอำนาจตราบเท่าที่อำนาจนั้นไม่ขัดต่อหน้าที่ในระดับที่สูงขึ้น แต่ในขณะที่อยู่อย่างสงบสุขภายใต้กฎหมายของแผ่นดิน พวกเขาจะต้องถวายความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาก่อนเป็นอันดับแรก {DA 602.4}
พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า "ของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า" เป็นคำตำหนิชาวยิวเจ้าเล่ห์อย่างรุนแรง หากพวกเขาปฏิบัติตามพันธะผูกพันที่มีต่อพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์แล้ว พวกเขาคงจะไม่เป็นชนชาติล้มละลายและต้องมาตกอยู่ภายใต้อำนาจคนต่างชาติ จะไม่มีธงของชาวโรมันโบกสะบัดอยู่เหนือกรุงเยรูซาเล็ม จะไม่มีทหารรักษาการณ์ของโรมันยืนอยู่ที่ประตูเมืองของเธอ และจะไม่มีผู้ปกครองโรมันปกครองภายในกำแพงของเธอ ประชาชาติยิวจึงกำลังรับโทษเพื่อชดใช้การละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า {DA 602.5}
เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำตอบของพระคริสต์ "พวกเขาก็ประหลาดใจ จึงละพระองค์ไว้และกลับไป" พระองค์ทรงประณามความหน้าซื่อใจคดและการถือสิทธิทึกทักของพวกเขา และด้วยการทำเช่นนี้พระองค์ตรัสหลักการยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักการที่กำหนดไว้อย่างชัดเจนถึงขอบข่ายหน้าที่ของมนุษย์ที่มีต่อการปกครองฝ่ายพลเรือนของรัฐและหน้าที่ของเขาที่มีต่อพระเจ้า ในสมองของหลายคน ปัญหาก่อกวนนี้ได้ถูกแก้ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาพวกเขายึดหลักการที่ถูกต้องนี้ไว้ และแม้ว่าหลายคนจากไปอย่างไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ได้เห็นว่าหลักการพื้นฐานของปัญหานี้ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว และพวกเขาก็ประหลาดใจกับการหยั่งรู้อันกว้างไกลของพระคริสต์ {DA 602.6}
ในทันทีที่พวกฟาริสีถูกปราบจนนิ่งไปแล้วนั้น พวกสะดูสีก็ได้เข้ามาพร้อมกับคำถามเจ้าเล่ห์ของพวกเขา คนสองกลุ่มนี้ขัดแย้งกันอย่างรุนแรง พวกฟาริสียึดติดธรรมเนียมประเพณีอย่างเหนียวแน่น พวกเขาถือปฏิบัติพิธีกรรมอย่างเคร่งครัด ใส่ใจเรื่องพิธีการล้างชำระ การถืออดอาหารและการอธิษฐานยืดยาว โอ้อวดเรื่องการให้ทาน แต่พระคริสต์ทรงประกาศว่าพวกเขาทำให้พระบัญญัติของพระเจ้าเป็นโมฆะด้วยคำสอนของมนุษย์แทนคำสอนของพระเจ้า โดยภาพรวมแล้ว พวกเขาดื้อรั้นและหน้าซื่อใจคด แต่กระนั้น ท่ามกลางพวกเขายังมีคนที่เคร่งครัดอย่างจริงใจ พวกเขายอมรับคำสอนของพระคริสต์และเข้าร่วมเป็นสาวกของพระองค์ พวกสะดูสีปฏิเสธธรรมเนียมประเพณีของพวกฟาริสี พวกเขายอมรับว่าเชื่อพระคัมภีร์แทบทั้งเล่มและยอมรับว่าเป็นกฎเกณฑ์ของการกระทำ แต่ในทางปฏิบัติพวกเขาเป็นคนขี้สงสัยและเป็นพวกวัตถุนิยม {DA 603.1}
พวกสะดูสีไม่เชื่อว่ามีทูตสวรรค์ การเป็นขึ้นจากความตาย และคำสอนเรื่องชีวิตในอนาคตที่จะได้รับรางวัลตอบแทนและการลงโทษ พวกเขาต่างจากพวกฟาริสีในประเด็นเหล่านี้ทั้งหมด โดยเฉพาะเรื่องการเป็นขึ้นจากตายเป็นหัวข้อที่พิพาทกันอย่างรุนแรงระหว่างสองกลุ่ม พวกฟาริสีเชื่ออย่างแน่วแน่เรื่องของการเป็นขึ้นจากตาย แต่เมื่อมีการถกกันถึงเรื่องนี้ ความคิดเห็นของพวกเขาในเรื่องสภาพอนาคตกลับกลายเป็นเรื่องที่สับสน สำหรับพวกเขาแล้วความตายเป็นเรื่องลึกลับที่อธิบายไม่ได้ ความไม่สามารถโต้พวกสะดูสีทำให้เกิดความระคายเคืองระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง การพูดคุยระหว่างทั้งสองฝ่ายมักจะส่งผลให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายเหินห่างกันมากขึ้นกว่าเดิม {DA 603.2}
ในเรื่องจำนวนคนแล้ว พวกสะดูสีมีน้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามมาก และพวกเขาควบคุมประชาชนทั่วไปไม่ค่อยได้ แต่พวกสะดูสีที่ร่ำรวยมีอยู่มากมาย และพวกเขามักใช้อิทธิพลจากความมั่งคั่ง ปุโรหิตส่วนใหญ่มาจากคนในตำแหน่งสังคมของพวกเขา และจากคนกลุ่มนี้ก็มักจะได้รับเลือกให้เป็นมหาปุโรหิต อย่างไรก็ตาม มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าจะต้องไม่นำความคิดเห็นที่น่ากังขาของพวกเขาออกมาเสนออย่างโจ่งแจ้ง เนื่องจากจำนวนฟาริสีมีมากกว่าและเป็นที่นิยมกว่า พวกสะดูสีจึงจำเป็นต้องทำตัวให้เห็นว่า ในขณะที่ดำรงตำแหน่งปุโรหิตนั้นพวกเขายินยอมรับหลักคำสอนของพวกฟาริสี แต่ความจริงที่ว่าพวกเขามีคุณสมบัติเหมาะกับตำแหน่งดังกล่าวมีอิทธิพลต่อความผิดของพวกเขา {DA 604.1}
พวกสะดูสีปฏิเสธคำสอนของพระเยซู พระองค์ทรงได้รับการขับเคลื่อนด้วยวิญญาณองค์หนึ่งที่พวกเขาไม่ยอมรับตามการสำแดงออกมาเช่นนี้ และคำสอนของพระองค์ในเรื่องของพระเจ้าและชีวิตในอนาคตขัดแย้งกับทฤษฎีของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวผู้ทรงเหนือกว่ามนุษย์ แต่พวกเขาโต้ว่าอำนาจเหนือกว่าที่ปกครองอยู่และการมองการณ์ไกลของพระเจ้าจะทำให้มนุษย์ไม่สามารถเลือกระหว่างความผิดและความถูกต้องได้และทำให้เขาตกต่ำลงไปสู่ฐานะทาสคนหนึ่ง พวกเขามีความเชื่อว่าเมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว พระเจ้าทรงปล่อยให้พวกเขาอยู่ตามลำพังตนเอง ไม่ขึ้นกับอิทธิพลใดในระดับสูง พวกเขาถือว่ามนุษย์มีเสรีที่จะควบคุมชีวิตของตนเองและที่จะปั้นแต่งเหตุการณ์ของโลกและถือว่าชะตาของเขาอยู่ในกำมือของเขาเอง พวกเขาปฏิเสธพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงประกอบกิจผ่านความพยายามของมนุษย์หรือผ่านวิธีการธรรมชาติ กระนั้นพวกเขาก็ยังถือว่า โดยผ่านการใช้พลังทางธรรมชาติอย่างถูกต้อง มนุษย์สามารถยกระดับให้สูงขึ้นและได้รับความกระจ่างแจ้งขึ้นได้ ถือว่าโดยการควบคุมอย่างเข้มงวดและอย่างกวดขัน ชีวิตของเขาจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ {DA 604.2}
แนวความคิดเรื่องพระเจ้าของพวกเขาหล่อหลอมลักษณะอุปนิสัยของพวกเขาเอง ตามทัศนะของพวกเขา พระองค์ไม่ได้สนใจในตัวมนุษย์ ดังนั้น พวกเขาจึงเอาใจใส่ต่อกันเพียงเล็กน้อยและร่วมมือระหว่างกันน้อย ด้วยการปฏิเสธการทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่อการกระทำของมนุษย์ ในชีวิตของพวกเขาจึงขาดอำนาจของพระองค์ เช่นเดียวกับชาวยิวทั่วไป พวกเขาโอ้อวดสิทธิโดยกำเนิดของพวกเขาในฐานะบุตรของอับราฮัมและโอ้อวดถึงการปฏิบัติพระบัญญัติอย่างเคร่งครัดของพวกเขา แต่พวกเขากลับขาดแคลนวิญญาณที่แท้จริงของพระบัญญัติและความเชื่อและความเมตตากรุณาของอับราฮัม ความเห็นอกเห็นใจอย่างธรรมชาติของพวกเขาถูกจำกัดอยู่แค่ในวงแคบ พวกเขาเชื่อว่าเป็นไปได้ที่มนุษย์ทุกคนจะได้รับความสะดวกสบายและพระพรแห่งชีวิต ความขัดสนและความทุกข์ทรมานของผู้อื่นไม่ได้สัมผัสหัวใจของพวกเขา พวกเขาอยู่เพื่อตัวเอง {DA 604.3}
โดยพระดำรัสและการประกอบกิจของพระองค์ พระคริสต์ทรงพิสูจน์ให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ทำให้เกิดผลเหนือธรรมชาติ ให้เห็นถึงชีวิตในอนาคตที่อยู่ไกลออกไป ให้เห็นถึงพระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของมนุษย์พระผู้ทรงใส่พระทัยถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของพวกเขาอยู่เสมอ พระองค์ทรงเปิดเผยฤทธิ์อำนาจแห่งการประกอบกิจของพระเจ้าในความเมตตากรุณาและความเห็นอกเห็นซึ่งเป็นสิ่งที่ตำหนิการผูกขาดอย่างเห็นแก่ตัวของพวกสะดูสี พระองค์ทรงสอนว่าเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของมนุษย์ทั้งทางโลกและทางนิรันดร์กาล พระเจ้าจึงทรงขับเคลื่อนในหัวใจโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่าเป็นการผิดพลาดที่วางใจในอำนาจของมนุษย์ว่าจะทำให้อุปนิสัยเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งสิ่งนี้มีเพียงพระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้นที่จะประกอบกิจได้ {DA 605.1}
พวกสะดูสีมุ่งมั่นที่จะทำให้คำสอนเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อถือ ถึงแม้พวกเขาจะกำหนดโทษตายใส่พระองค์ไม่ได้ แต่ในความพยายามหาเรื่องขัดแย้งกับพระเยซูพวกเขาก็มั่นใจว่าจะทำให้พระองค์เสื่อมเสียชื่อเสียงจนไม่เป็นที่ยอมรับ การกลับเป็นขึ้นจากความตายเป็นเรื่องที่พวกเขาเลือกที่จะซักถามพระองค์ หากพระองค์ทรงเห็นด้วยกับพวกเขา พระองค์ก็จะสร้างความเกลียดชังกับพวกฟาริสีต่อไป หากพระองค์ทรงเห็นต่าง พวกเขาก็วางแผนว่าจะยกคำสอนของพระองค์ขึ้นเป็นที่เย้ยหยัน {DA 605.2}
พวกสะดูสีชี้แจงว่าถ้าร่างกายในสภาพอมตะและสภาพมตะประกอบด้วยอนุภาคของสสารชนิดเดียวกันแล้ว เมื่อพวกเขาถูกปลุกขึ้นจากความตายก็จะต้องมีเนื้อหนังและเลือด และชีวิตที่ตัดขาดไปในขณะอยู่บนโลกจะดำเนินใหม่ต่อไปอีกครั้งในโลกนิรันดร์ ในกรณีเช่นนี้พวกเขาสรุปว่าความสัมพันธ์ทางโลกจะกลับดำเนินต่ออีกครั้ง สามีและภรรยาจะกลับมารวมกันอีกครั้ง ชีวิตสมรสจะกลับมาสู่ความสมบูรณ์อีกครั้ง และทุกสิ่งจะดำเนินไปเช่นเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นก่อนความตาย ความอ่อนแอและอารมณ์ในชีวิตนี้จะดำเนินต่อไปในชีวิตภายภาคหน้า {DA 605.3}
เพื่อตอบคำถามของพวกเขา พระเยซูทรงยกผ้าคลุมออกจากชีวิตในอนาคต "เมื่อมนุษย์เป็นขึ้นจากความตายนั้น" พระองค์ตรัส "จะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนบรรดาทูตในฟ้าสวรรค์" พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่าความเชื่อของพวกสะดูสีผิด สมมติฐานของพวกเขานั้นผิด "ท่านทั้งหลายผิดแล้ว" พระองค์ตรัสเพิ่มเติมว่า "เพราะท่านไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า" พระองค์ไม่ทรงกล่าวหาพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงกล่าวหาพวกฟาริสีว่าเป็นคนหน้าหน้าซื่อใจคด แต่ทรงกล่าวหาว่าพวกเขาเชื่อผิด {DA 605.4}
พวกสะดูสียกย่องว่าตนเองเป็นผู้ยึดมั่นพระคัมภีร์อย่างเคร่งครัดที่สุดเหนือกว่ามนุษย์คนใด แต่พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่รู้ความหมายที่แท้จริง พวกเขาจะต้องเอาความรู้เข้าไปให้ถึงใจด้วยการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้กระจ่างแจ้ง พระองค์ทรงประกาศว่าการขาดความรู้พระคัมภีร์และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเป็นสาเหตุของความเชื่อที่สับสนและความมืดมนในจิตใจ พวกเขาพยายามนำความลึกลับของพระเจ้ามาให้อยู่ภายในกรอบของเหตุผลอันจำกัดของพวกเขา พระคริสต์ทรงเรียกเชิญให้พวกเขาเปิดใจรับความจริงอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นซึ่งจะขยายและเสริมสร้างความเข้าใจ คนนับพันกลายเป็นคนไม่เชื่อพระเจ้าเพราะความคิดจิตใจอันจำกัดของพวกเขาไม่อาจเข้าใจความล้ำลึกของพระเจ้าได้ พวกเขาอธิบายการสำแดงออกอันยอดเยี่ยมของการทรงจัดเตรียมของอำนาจของพระเจ้าไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิเสธหลักฐานของฤทธิ์อำนาจเช่นนี้ โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นจากหน่วยงานตัวแทนของธรรมชาติซึ่งพวกเขาเข้าใจยิ่งน้อยไปกว่าเดิม กุญแจดอกเดียวที่จะไขความลึกลับที่อยู่รอบตัวเราคือการยอมรับการทรงร่วมสถิตและอำนาจทั้งหมดของพระเจ้าในสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ต้องยอมรับว่าพระเจ้าเป็นพระผู้สร้างจักรวาล พระองค์ทรงเป็นผู้บัญชาการและทรงดำเนินการทุกสิ่ง พวกเขาต้องการมุมมองที่กว้างขึ้นในเรื่องพระลักษณะนิสัยของพระองค์และความลึกลับของหน่วยงานตัวแทนของพระองค์ {DA 605.5}
พระคริสต์ทรงเปิดเผยให้แก่ผู้ฟังของพระองค์ว่าหากไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย พระคัมภีร์ที่พวกเขาอ้างว่าเชื่อนั้นก็จะไม่มีประโยชน์ พระองค์ตรัสว่า "เกี่ยวกับเรื่องที่คนตายจะเป็นขึ้นจากความตายนั้น พวกท่านยังไม่ได้อ่านสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้กับท่านหรือว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’ พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น" พระเจ้าไม่ได้ประเมินสิ่งต่างๆ จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว พระองค์ทรงมองเห็นเบื้องปลายตั้งแต่เริ่มต้น และทรงมองเห็นผลของพระราชกิจของพระองค์สำเร็จราวกับว่าเกิดขึ้นแล้วในเวลานี้ คนตายอันเป็นที่รักตั้งแต่อาดัมจนถึงวิสุทธิชนคนสุดท้ายที่ตายจะได้ยินเสียงของพระบุตรของพระเจ้า และจะออกมาจากหลุมฝังศพเข้าสู่ชีวิตอมตะ พระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขาและพวกเขาจะเป็นประชากรของพระองค์ จะมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและอ่อนโยนระหว่างพระเจ้ากับวิสุทธิชนที่เป็นขึ้นจากตาย สภาพเช่นนี้คาดหวังไว้แล้วในพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงมองเห็นราวกับว่าเกิดขึ้นแล้ว คนตายมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ {DA 606.1}
พระดำรัสของพระคริสต์ทำให้พวกสะดูสีนิ่งเงียบไป พวกเขาตอบพระองค์ไม่ได้ ไม่มีพระดำรัสใดที่เอื้อต่อความได้เปรียบแม้เพียงน้อยนิดที่พวกเขาจะใช้กำหนดโทษพระองค์ได้ ศัตรูของพระองค์ไม่ได้อะไรไปนอกจากความเหยียดหยามจากประชาชน {DA 606.2}
อย่างไรก็ตาม พวกฟาริสียังไม่สิ้นหวังที่จะผลักดันพระองค์ให้ตรัสสิ่งที่พวกเขาจะนำไปใช้ต่อต้านพระองค์ พวกเขาโน้มน้าวธรรมาจารย์ที่มีความรู้คนหนึ่งให้มาทูลถามพระเยซูว่าธรรมบัญญัติข้อใดมีความสำคัญมากที่สุด {DA 606.3}
พวกฟาริสียกย่องพระบัญญัติสี่ข้อแรกซึ่งชี้ให้เห็นถึงหน้าที่ของมนุษย์ต่อพระผู้สร้างของเขาราวกับว่าให้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าผลที่ได้จากอีกหกข้อซึ่งกำหนดหน้าที่ของมนุษย์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผลที่ตามมาคือพวกเขาละเลยการแสดงออกถึงพระคุณแห่งความดีในทางปฏิบัติ พระเยซูทรงสำแดงให้ประชาชนเห็นความบกพร่องยิ่งใหญ่ของพวกเขาและทรงสอนถึงความจำเป็นของการกระทำที่ดีโดยประกาศว่าต้นไม้ดีจะเห็นได้จากผลของมัน ด้วยเหตุผลนี้พระองค์จึงได้รับข้อกล่าวหาว่าทรงยกย่องพระบัญญัติหกข้อหลังให้อยู่เหนือสี่ข้อแรก {DA 606.4}
ทนายคนนี้เข้ามาเฝ้าพระเยซูด้วยการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า "ในธรรมบัญญัตินั้น พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?" คำตอบของพระคริสต์นั้นตรงและโน้มน้าวจิตใจ "พระบัญญัติซึ่งเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า ‘โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทั้งหลายเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว และพวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสิ้นสุดความคิด และด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน’ นี่เป็นพระบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่" พระคริสต์ตรัสต่อไปว่าพระบัญญัติประการที่สองก็เหมือนพระบัญญัติประการแรก เพราะขยายออกจากข้อแรก "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง พระบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าพระบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี" มาระโก 12 ข้อที่ 29-31 TKJV “ธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับพระบัญญัติสองข้อนี้” {DA 607.1}
พระบัญญัติสี่ข้อแรกรวมสรุปได้เป็นบัญญัติข้อใหญ่ข้อเดียวว่า "จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน ด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน" หกข้อสุดท้ายรวมอยู่ในอีกข้อหนึ่งคือ "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" พระบัญญัติทั้งสองนี้เป็นการแสดงออกถึงหลักการแห่งความรัก จะถือรักษาพระบัญญัติข้อแรกและล่วงละเมิดพระบัญญัติข้อที่สองไม่ได้ หรือถือรักษาพระบัญญัติข้อที่สองและล่วงละเมิดพระบัญญัติข้อแรกไม่ได้ เมื่อพระเจ้าได้รับการเทิดทูนขึ้นอย่างชอบธรรมในบัลลังก์หัวใจของเราแล้ว เราก็จะปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านได้อย่างถูกต้อง เราจะรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง และมีเพียงเมื่อเรารักพระเจ้าอย่างสิ้นสุดหัวใจเท่านั้นที่เราจะรักเพื่อนบ้านได้อย่างไม่ลำเอียง {DA 607.2}
และเนื่องจากสาระสำคัญทั้งหมดของพระบัญญัติอยู่ที่ความรักที่มีต่อพระเจ้าและมนุษย์ จึงสรุปได้ว่าเราล่วงละเมิดพระบัญญัติข้อหนึ่งข้อใดไม่ได้โดยไม่ล่วงละเมิดหลักการนี้ ด้วยประการฉะนี้พระคริสต์ทรงสอนผู้ฟังว่าพระบัญญัติของพระเจ้าไม่ใช่ข้อกำหนดที่แยกออกจากกันเป็นข้อๆ โดยมีบางข้อที่สำคัญอย่างมากยิ่งในขณะที่อีกหลายข้อมีความสำคัญน้อยและละเลยไปได้โดยไม่ต้องรับโทษ พระเจ้าของเราทรงเสนอพระบัญญัติสี่ข้อแรกและหกข้อหลังว่าเป็นพระบัญญัติร่วมของพระเจ้า และทรงสอนว่าความรักที่ถวายให้พระเจ้าจะแสดงออกด้วยการเชื่อปฏิบัติตามพระบัญญัติทั้งหมดของพระองค์ {DA 607.3}
ธรรมาจารย์ที่ถามพระเยซูนั้นศึกษาพระบัญญัติมาแล้วเป็นอย่างดี และเขาก็รู้สึกประหลาดใจกับพระดำรัสของพระองค์ เขาไม่ได้คาดว่าพระองค์จะทรงสำแดงความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ได้อย่างลึกซึ้งและละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้ เขาได้รับมุมมองที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับหลักการที่เป็นพื้นฐานของพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ ต่อหน้าพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองที่รวมตัวกันนั้น เขายอมรับด้วยความจริงใจว่าพระคริสต์ทรงตีความกฎหมายได้อย่างถูกต้องโดยกล่าวว่า {DA 607.4}
"จริงทีเดียวท่านอาจารย์ ท่านกล่าวถูกต้องที่ว่า พระเจ้ามีแต่องค์เดียว นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นอีกเลย และการที่จะรักพระองค์ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำลัง และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองก็สำคัญกว่าเครื่องเผาบูชาและของถวายทั้งสิ้น" {DA 607.5}
พระปัญญาในคำตอบของพระคริสต์ทำให้ธรรมาจารย์คนนี้เกิดความเชื่อมั่น เขารู้ดีว่าศาสนาของยิวประกอบด้วยพิธีกรรมที่แสดงออกนอกกายมากกว่าศรัทธาที่มีอยู่ภายใน เขาพอตระหนักได้ถึงความไร้ค่าของการถวายเครื่องบูชาตามพิธีกรรมและการหลั่งเลือดอย่างไร้ความเชื่อเพื่อการลบบาป เขามองเห็นแล้วว่าความรักและการเชื่อฟังพระเจ้ารวมถึงการใส่ใจดูแลมนุษย์อย่างไม่เห็นแก่ตัว มีคุณค่ามากกว่าพิธีกรรมเหล่านี้ การที่ชายคนนี้พร้อมที่จะยอมรับความถูกต้องในเหตุผลของพระคริสต์และพร้อมที่จะตัดสินใจตอบสนองอย่างฉับพลันต่อหน้าประชาชนนั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าจิตวิญญาณของเขาแตกต่างไปจากจิตวิญญาณของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองอย่างสิ้นเชิง พระทัยของพระเยซูเมตตาสงสารธรรมาจารย์ที่จริงใจผู้นี้ ที่เขากล้าเผชิญหน้ากับการคิ้วขมวดของพวกปุโรหิตและคำขู่ของพวกผู้ปกครองจนกล้าที่จะพูดถึงสิ่งที่ใจเชื่อมั่น "เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าคนนั้นตอบสนองอย่างมีปัญญา จึงตรัสกับเขาว่า ‘ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า’ " {DA 608.1}
ธรรมาจารย์ผู้นี้เข้าใกล้อาณาจักรของพระเจ้าแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะเขามองเห็นว่าพระเจ้าทรงยอมรับการกระทำแห่งความชอบธรรมมากกว่าเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชา แต่เขาจำเป็นต้องมองเห็นพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าในตัวพระคริสต์และรับอำนาจผ่านพระคริสต์เพื่อทำกิจแห่งความชอบธรรม ระบบพิธีกรรมไม่มีคุณค่าอันใดเว้นแต่มันจะเกี่ยวโยงกับพระคริสต์ด้วยความเชื่ออันมีชีวิต แม้แต่พระบัญญัติแห่งศีลธรรมก็ไปไม่ถึงเป้าหมายเช่นกันเว้นเสียแต่จะทำความเข้าใจพระบัญญัตินั้นผ่านทางความสัมพันธ์ของพระบัญญัติกับพระผู้ช่วยให้รอด พระคริสต์ทรงสำแดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระบัญญัติของพระบิดาบรรจุบางสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าพระบัญชาที่มีอำนาจ ในพระบัญญัติประกอบด้วยหลักการอันเดียวกันกับที่เปิดเผยไว้ในข่าวประเสริฐ พระบัญญัติชี้มนุษย์ให้มองเห็นหน้าที่และแสดงให้เขาสำนึกได้ถึงความผิดของเขา เขาจะต้องหันหน้าไปหาพระคริสต์เพื่อรับการอภัยบาปและรับพลังอำนาจที่จะทำในสิ่งที่พระบัญญัติกำหนด {DA 608.2}
พวกฟาริสีได้มาล้อมรอบพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงตอบคำถามของธรรมาจารย์คนนี้ บัดนี้พระองค์ทรงถามพวกเขากลับไปว่า “ท่านทั้งหลายคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องพระคริสต์? พระองค์ทรงเป็นเชื้อสายของใคร?” คำถามนี้มุ่งหวังที่จะทดสอบความเชื่อของพวกเขาเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ และเพื่อให้เห็นว่าพวกเขาถือว่าพระองค์เป็นเพียงมนุษย์หรือเป็นพระบุตรของพระเจ้า เสียงประสานตอบว่า "เป็นเชื้อสายของดาวิด" คำนี้เป็นตำแหน่งที่คำพยากรณ์แต่งตั้งให้แก่พระเมสสิยาห์ เมื่อพระเยซูทรงเปิดเผยความเป็นพระเจ้าของพระองค์ด้วยการอัศจรรย์อันยิ่งใหญ่มากมายของพระองค์และเมื่อพระองค์ทรงรักษาคนป่วยและทำให้คนตายเป็นขึ้นนั้น ผู้คนต่างถามกันและกันว่า "คนนี้ใช่บุตรดาวิดไหม?" “พระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด ลูกสาวของข้าพระองค์มีผีสิงอยู่ เป็นทุกข์ลำบากอย่างยิ่ง” มัทธิว 15 ข้อที่ 22 ขณะที่พระองค์ทรงลาเข้ากรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ได้รับการยกย่องด้วยเสียงโห่ร้องยินดี "โฮซันนาแก่บุตรของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ โฮซันนาในที่สูงสุด" มัทธิว 21 ข้อที่ 9 วันนั้นเด็กเล็กๆ ในพระนิเวศก็ส่งเสียงสะท้อนคำบรรยายอันน่าชื่นชมยินดีนี้ แต่หลายคนที่เรียกพระเยซูว่าบุตรดาวิดกลับมองไม่เห็นความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พวกเขาไม่เข้าใจว่าบุตรของดาวิดเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยเช่นกัน {DA 608.3}
พระคริสต์ทรงตอบประโยคที่บอกว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของดาวิด พระเยซูตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมดาวิดจึงทรงเรียกพระองค์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยเดชพระวิญญาณ [พระวิญญาณแห่งการดลใจจากพระเจ้า] และทรงกล่าวว่า ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า ‘จงนั่งที่ขวามือของเราจนกว่าเราจะปราบศัตรูของท่านให้อยู่ใต้เท้าของท่าน’ ‘ฉะนั้นถ้าดาวิดทรงเรียกท่านว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะเป็นเชื้อสายของดาวิดได้อย่างไร?’ ไม่มีใครสามารถตอบพระองค์สักคำหนึ่ง ตั้งแต่วันนั้นมาไม่มีใครกล้าซักถามพระองค์อีก" {DA 609.1}
**********