บทที่ 40
ค่ำคืนหนึ่งบนทะเลสาบ
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 14 ข้อที่ 22-33; มาระโก 6 ข้อที่ 45-52; ยอห์น 6 ข้อที่ 14-21
พลบค่ำยามเย็นหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิ ณ ที่ราบปูด้วยผืนหญ้า ประชาชนนั่งรับประทานอาหารที่พระคริสต์ทรงจัดเตรียม พระวจนะที่พวกเขาได้ยินในวันนั้นได้มาถึงพวกเขาดั่งพระสุรเสียงของพระเจ้า พระราชกิจแห่งการรักษาที่พวกเขาเห็นเป็นประจักษ์พยานว่าอำนาจของพระเจ้าเท่านั้นที่ประกอบกิจเหล่านี้ได้ แต่การอัศจรรย์ของขนมปังดึงดูดความสนใจของทุกคนในฝูงชนขนาดใหญ่นั้น คนทั้งหมดเป็นผู้ร่วมกันรับผลประโยชน์ ในสมัยของโมเสสพระเจ้าทรงเลี้ยงชนชาติอิสราเอลในทะเลทรายด้วยมานา และบุคคลท่านนี้ผู้ทรงเลี้ยงพวกเขาในวันนั้นคือผู้ใดเล่า นอกเสียจากจะทรงเป็นพระองค์ผู้ที่โมเสสได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้ามิใช่หรือ? ไม่มีอำนาจของมนุษย์ใดใช้ขนมปังข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนและปลาเล็กๆ เพียงสองตัวเลี้ยงคนที่หิวโหยหลายพันคนได้ และพวกเขาต่างพูดต่อๆ กันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นที่จะมาในโลก” {DA 377.1}
ตลอดทั้งวันความเชื่อมั่นของพวกเขาเพิ่มพูนยิ่งขึ้น พระราชกิจอันดีเลิศนั้นสร้างความมั่นใจให้พวกเขาว่าพระผู้ทรงกอบกู้อยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้ว ความหวังของประชาชนเพิ่มมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น พระองค์ท่านนี้แหละที่จะทำให้แผ่นดินยูเดียเป็นสวรรค์บนโลก เป็นดินแดนที่อุดมด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง พระองค์ทรงสนองความต้องการของทุกคน พระองค์ทรงสามารถโค่นอำนาจของชาวโรมันที่พวกเขาเกลียดชังได้ พระองค์ทรงปลดปล่อยชนชาติยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็มได้ พระองค์ทรงรักษาทหารที่บาดเจ็บจากการสู้รบได้ พระองค์ทรงจัดหาอาหารให้กับทั้งกองทัพ พระองค์ทรงสามารถเข้ายึดครองประชาชาติและมอบอธิปไตยที่พวกเขารอคอยมาเนิ่นนานแล้วแก่ประเทศอิสราเอลได้ {DA 377.2}
ด้วยความกระตือรือร้นอย่างตื่นเต้น ประชาชนพร้อมที่จะสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ทันที พวกเขาเห็นว่าพระองค์ไม่ทรงพยายามดึงดูดความสนใจหรือรับเกียรติไว้ให้กับพระองค์เอง ในเรื่องนี้พระองค์ทรงแตกต่างอย่างเด่นชัดจากพวกปุโรหิตและผู้ปกครอง และพวกเขากลัวว่าพระองค์จะไม่มีวันเรียกร้องสิทธิในบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด พวกเขาจึงปรึกษาหารือกันและตกลงจะใช้กำลังจับพระองค์และบังคับและประกาศแต่งตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ของประเทศอิสราเอล สาวกร่วมมือกันกับฝูงชนเพื่อประกาศว่าบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดเป็นมรดกอันชอบธรรมของพระอาจารย์ของพวกเขา พวกเขากล่าวว่าเป็นความสุภาพถ่อมตนของพระคริสต์ที่ทำให้พระองค์ปฏิเสธเกียรติยศเช่นนี้ จงให้ประชาชนยกย่องพระเจ้าผู้ปลดปล่อยของพวกเขา ให้พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองที่หยิ่งยโสถูกบังคับให้ถวายเกียรติแด่พระองค์ผู้เสด็จมาพร้อมกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า {DA 378.1}
ด้วยความร้อนรน พวกเขาจัดเตรียมที่จะดำเนินการตามความมุ่งหมายของพวกเขา แต่พระเยซูทรงมองเห็นการกระทำและเข้าพระทัยในสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ หากพวกเขาดำเนินไปในแนวทางนี้ผลลัพธ์อะไรตามมา แม้แต่ในเวลานี้พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองคอยตามล่าชีวิตของพระองค์อยู่ พวกเขากล่าวหาว่าพระองค์ดึงผู้คนออกไปจากพวกเขา ความรุนแรงและการจลาจลจะเกิดขึ้นตามความพยายามที่จะสถาปนาพระองค์ขึ้นครองบัลลังก์และงานของอาณาจักรฝ่ายวิญญาณจะถูกขัดขวาง โดยไม่ชักช้าพระองค์จะต้องหยุดยั้งการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น พระเยซูทรงบัญชาให้สาวกของพระองค์ลงเรือและกลับไปยังเมืองคาเปอรนาอุมทันที ให้ละพระองค์ไว้เพื่อส่งประชาชนทั้งหลายแยกย้ายกันกลับ {DA 378.2}
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีพระบัญชาใดจากพระคริสต์ที่ดูเหมือนว่าปฏิบัติตามได้ยาก สาวกหวังมาเนิ่นนานแล้วที่จะให้มีการผลักดันเพื่อสถาปนาพระเยซูขึ้นครองบัลลังก์ พวกเขาทนไม่ได้กับแนวคิดว่าความตื่นเต้นนี้จะลงเอยอย่างสูญเปล่า ฝูงชนที่ชุมนุมกันเพื่อฉลองเทศกาลปัสกานั้นต่างกระวนกระวายหวังจะได้ศาสดาพยากรณ์คนใหม่ สำหรับผู้ติดตามของพระองค์ ดูเหมือนว่านี่เป็นโอกาสทองของการสถาปนาเจ้านายอันเป็นที่รักของพวกเขาขึ้นประทับบัลลังก์แห่งชนชาติอิสราเอล ท่ามกลางความทะเยอทะยานใหม่นี้ เป็นเรื่องยากที่จะให้พวกเขาเดินทางออกไปก่อนและปล่อยให้พระเยซูอยู่ตามลำพังบนชายฝั่งที่รกร้างว่างเปล่า พวกเขาประท้วงต่อต้านการจัดการของพระองค์ แต่บัดนี้พระเยซูตรัสกับพวกเขาด้วยอำนาจที่ไม่เคยสำแดงต่อหน้าพวกเขามาก่อน พวกเขาทราบดีว่าหากต่อต้านต่อไปจะไม่เกิดผลอันดีแน่และพวกเขาก็หันหลังมุ่งหน้าไปทางทะเลอย่างเงียบๆ {DA 378.3}
บัดนี้พระเยซูทรงบัญชาประชาชนให้แยกย้ายกันไป และท่าทีของพระองค์เด็ดขาดมากจนพวกเขาต่างไม่กล้าฝ่าฝืน คำสรรเสริญและคำเทิดทูนสิ้นสุดลงที่ริมฝีปากของพวกเขา ในขณะที่กำลังดำเนินการเพื่อจับกุมพระองค์อยู่นั้น ย่างเท้าของพวกเขาถูกห้าม สีหน้าแห่งความยินดีและกระตือรือร้นจางหายไปจากใบหน้าของพวกเขา ท่ามกลางเขาเหล่านั้น บางคนมีจิตใจเข้มแข็งและมุ่งมั่นแน่วแน่ แต่ท่าทางดั่งพระราชาของพระเยซูและพระบัญชาที่ตรัสสั่งอย่างสงบไม่กี่คำปราบความวุ่นวายและทำลายแผนของพวกเขาไป พวกเขามองเห็นอำนาจหนึ่งที่เหนือกว่าอำนาจใดบนโลกและได้ปฏิบัติตามโดยปราศจากข้อสงสัย {DA 378.4}
เมื่ออยู่ลำพังแล้ว พระเยซู “เสด็จขึ้นไปบนภูเขาตามลำพังเพื่ออธิษฐาน” เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่พระองค์ทรงอ้อนวอนต่อพระเจ้า เป็นคำอธิษฐานไม่ใช่เพื่อตัวพระองค์เอง แต่เพื่อคนทั้งหลายเหล่านั้น พระองค์ทรงอธิษฐานขออำนาจที่จะเปิดเผยให้มนุษย์ได้เห็นถึงลักษณะนิสัยของพระเจ้าในพันธกิจของพระองค์ เพื่อไม่ให้ซาตานทำให้พวกเขาตาบอดกับการเข้าใจและทำให้การตัดสินใจของพวกเขาผิดเพี้ยนไป พระผู้ช่วยให้รอดทรงทราบว่าวันเวลาของพันธกิจส่วนบุคคลของพระองค์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วและมีเพียงไม่กี่คนที่ยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ ในความทุกข์ยากลำบากและความขัดแย้งของจิตวิญญาณพระองค์ได้ทรงอธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์ พวกเขาต้องถูกทดสอบอย่างสาหัส ความหวังของพวกเขาที่เก็บถนอมมานานซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจผิดที่เป็นที่นิยมนั้นจะถูกทำให้ผิดหวังอย่างน่าเจ็บปวดและน่าอับอายที่สุด แทนที่พระองค์จะได้รับการเทิดทูนขึ้นบนบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดพวกเขากลับต้องเห็นพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน นี่คือการราชาภิเษกที่แท้จริงของพระองค์ แต่พวกเขาไม่เข้าใจเรื่องนี้ และผลที่ตามมาคือการทดลองอย่างรุนแรงจะมาถึงพวกเขา ซึ่งเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะมองเห็นว่ามันเป็นการทดลอง ถ้าปราศจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยส่องสว่างและขยายความเข้าใจของพวกเขาแล้ว ความเชื่อของสาวกก็จะล้มเหลว เป็นเรื่องเจ็บปวดสำหรับพระเยซูที่แนวคิดส่วนใหญ่ของพวกเขาเกี่ยวกับอาณาจักรของพระองค์นั้นจำกัดอยู่ที่ความยิ่งใหญ่และเกียรติยศทางโลก เพื่อพวกเขาแล้วภาระนี้จึงเป็นสิ่งที่หนักในพระทัยของพระองค์ พระองค์จึงทรงเทคำวิงวอนของพระองค์ออกมาด้วยความทุกข์ทรมานและน้ำตาอันขมขื่น {DA 379.1}
สาวกไม่ได้ถอยเรือออกจากฝั่งทันทีตามพระบัญชา พวกเขารอสักครู่ใหญ่ ด้วยหวังว่าพระองค์จะเสด็จตามพวกเขามา แต่เมื่อเห็นว่าความมืดกำลังมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึง “ลงเรือข้ามฟากไปยังคาเปอรนาอุม” พวกเขาจากพระเยซูไปด้วยจิตใจที่ไม่พอใจและไม่อดทนต่อพระองค์มากขึ้นกว่าเดิมเมื่อนับตั้งแต่ยอมรับพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา พวกเขาบ่นพึมพำเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ประกาศแต่งตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ พวกเขาตำหนิตัวเองที่ยอมทำตามพระบัญชาของพระองค์อย่างรวดเร็ว พวกเขาให้เหตุผลว่าถ้าพวกเขายืนกรานหนักแน่นมากกว่านี้ พวกเขาอาจบรรลุเป้าหมายของพวกเขาก็ได้ {DA 379.2}
ความไม่เชื่อเข้าครอบงำจิตใจของพวกเขา ความรักเกียรติยศทำให้พวกเขาตาบอด พวกเขารู้ว่าพวกฟาริสีเกลียดชังพระเยซูและพวกเขากระตือรือร้นที่จะเห็นพระองค์ได้รับการเทิดพระเกียรติขึ้นให้สูงส่งอย่างที่พวกเขาคิดว่าพระองค์ควรจะเป็น การเข้าร่วมกิจการกับครูผู้มีความสามารถประกอบการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่แต่กระนั้นกลับถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนหลอกลวงถือเป็นการทดลองที่พวกเขาต้องทนรับอย่างยากลำบาก พวกเขาจะต้องถูกจัดเข้าไปเป็นสาวกของผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จอยู่เช่นนั้นหรือ? พระคริสต์จะไม่ยืนยันสิทธิอำนาจของพระองค์ในฐานะกษัตริย์หรือ? เหตุใดพระองค์ผู้มีอำนาจดังกล่าวจึงไม่ทรงเปิดเผยตัวตนในลักษณะที่แท้จริงของพระองค์และทำให้หนทางของพวกเขาเจ็บปวดน้อยลง? เหตุใดพระองค์จึงไม่ช่วยยอห์นผู้ให้บัพติศมารอดจากความตายอันทารุณโหดร้าย สาวกคิดหาเหตุผลดังที่กล่าวมานี้จนกระทั่งพวกเขานำความมืดทางจิตวิญญาณมาสู่ตนเอง พวกเขาถามกันว่าพระเยซูทรงเป็นคนหลอกลวงตามที่พวกฟาริสีกล่าวอ้างหรือไม่? {DA 380.1}
วันนั้นเหล่าสาวกได้เป็นพยานเห็นถึงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ ดูเหมือนว่าสวรรค์ลงมายังโลกแล้ว การระลึกถึงวันนั้นที่มีค่าและรุ่งโรจน์น่าจะทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความเชื่อและความหวัง หากพวกเขาได้สนทนากันในเรื่องเหล่านี้ด้วยความอิ่มเอมใจแล้วพวกเขาก็จะไม่ตกลงสู่การล่อลวง แต่ความผิดหวังของพวกเขาได้ยึดครองความคิดของพวกเขาไว้ พระดำรัสของพระคริสต์ที่ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” ถูกมองข้ามไป เวลาทั้งหมดนั้นเป็นพระพรยิ่งใหญ่สำหรับสาวกแต่พวกเขาลืมไปหมดแล้ว พวกเขาอยู่ท่ามกลางทะเลอันปั่นป่วน ความคิดของพวกเขานั้นสับสนวุ่นวายและไร้เหตุผล และองค์พระผู้เป็นเจ้ายังประทานสิ่งอื่นให้แก่พวกเขาเพื่อทำให้จิตวิญญาณของพวกเขาเจ็บปวดและครอบครองความคิดของพวกเขาไว้ พระเจ้ามักจะทรงทำเช่นนี้เมื่อมนุษย์สร้างภาระและปัญหาให้กับตนเอง สาวกไม่จำเป็นต้องสร้างความยุ่งยาก บัดนี้ภัยอันตรายกำลังคืบคลานใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว {DA 380.2}
พายุรุนแรงกำลังโหมกระหน่ำใส่พวกเขาและพวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะรับมือกับมัน อากาศแปรปรวนที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน ช่างแตกต่างจากสภาพอากาศที่ดีตลอดทั้งวัน และเมื่อพายุพัดกระหน่ำพวกเขาก็กลัว ต่างลืมความบาดหมาง ความไม่เชื่อ และความไม่อดทนนานของตนเอง ทุกคนลงมือพื่อช่วยไม่ให้เรือจม จากเมืองเบธไซดาไปทางทะเลเพื่อไปยังจุดที่พวกเขาคาดว่าจะได้พบกับพระเยซูนั้นเป็นเพียงระยะทางสั้นๆ และในสภาพอากาศที่ปกติจะใช้เวลาการเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่บัดนี้พวกเขาถูกพัดให้ออกห่างจากเป้าหมายไกลออกไปเรื่อยๆ พวกเขาพยายามพายต่อไปจนถึงยามที่สี่ของค่ำคืนนั้น จากนั้นพวกชายหนุ่มที่เหนื่อยล้าก็ยอมแพ้ให้แก่ความพินาศ พายุและความมืดของทะเลสอนให้พวกเขารู้ว่าพวกเขาช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และพวกเขาก็โหยหาการปรากฏตัวของพระอาจารย์ของพวกเขา {DA 380.3}
พระเยซูไม่ทรงเคยลืมพวกเขา พระองค์ผู้ทรงเฝ้าดูพวกเขาอยู่บนฝั่งเห็นกลุ่มชายที่หวาดกลัวกลุ่มนั้นกำลังต่อสู้กับพายุ พระองค์ไม่ทรงละสายพระเนตรจากสาวกของพระองค์ไปแม้ชั่วขณะ พระเนตรของพระองค์คอยติดตามเรือบรรทุกสัมภาระอันมีค่าที่ถูกซัดไปมาด้วยความเป็นห่วงอย่างลึกซึ้งที่สุด เพราะคนเหล่านี้จะเป็นแสงสว่างของโลก ดั่งแม่คนหนึ่งที่เฝ้าดูลูกน้อยด้วยความรักอันอ่อนโยนฉันใด พระอาจารย์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจก็ทรงเฝ้าดูสาวกของพระองค์เช่นนั้น เมื่อจิตใจของพวกเขาสงบลง ความทะเยอทะยานที่ไม่บริสุทธิ์ถูกปราบและด้วยความถ่อมตนพวกเขาอธิษฐานอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ การวิงวอนของพวกเขาก็ได้รับคำตอบ {DA 381.1}
ในวินาทีที่พวกเขาเชื่อว่าตัวเองหลงทาง มีแสงหนึ่งที่เปล่งประกายขึ้นมาเผยให้เห็นร่างลึกลับหนึ่งกำลังดำเนินบนผิวน้ำทะเลเข้ามาหาพวกเขา แต่พวกเขาหารู้ไม่ว่านั่นคือพระเยซู ผู้ทรงมุ่งหน้ามาเพื่อช่วยเหลือพวกเขา พระองค์จึงถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรู ความหวาดกลัวครอบงำพวกเขา มือที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงเหมือนเหล็กซึ่งจับไม้พายอยู่ก็ปล่อยไม้พายไป เรือโยกไปตามแรงคลื่น ตาทุกดวงต่างจับจ้องไปยังภาพของชายคนหนึ่งที่กำลังดำเนินอยู่บนฟองคลื่นสีขาวของทะเลอันปั่นป่วน {DA 381.2}
พวกเขาคิดว่านี่เป็นภาพลวงตาที่บ่งบอกถึงความพินาศของพวกเขา จึงร้องเสียงดังด้วยความหวาดกลัว พระเยซูทรงก้าวไปข้างหน้าราวกับว่าจะเสด็จดำเนินผ่านพวกเขาไป แต่พวกเขาจำพระองค์ได้และร้องขึ้นด้วยเสียงดังเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระองค์ พระอาจารย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเขาหันกลับมา เสียงของพระองค์ทำให้ความกลัวของพวกเขาเงียบลง “ทำใจดีๆ เถิด นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” {DA 381.3}
ทันทีที่พวกเขาวางใจในความจริงอันแสนวิเศษนี้ เปโตรเกือบจะควบคุมความสุขของตนเองไม่ได้ เขาจึงได้ร้องขึ้นราวกับตนเองแทบจะยังไม่อยากเชื่อแต่ก็เชื่อว่า “’องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเป็นพระองค์แน่แล้วขอตรัสให้ข้าพระองค์เดินบนน้ำไปหาพระองค์’” พระองค์ตรัสว่า ‘มาเถิด’” {DA 381.4}
เมื่อมองตรงไปยังพระเยซู เปโตรเดินได้อย่างมั่นคง แต่ด้วยความพึงพอใจในตนเองเขาจึงมองกลับไปที่เพื่อนร่วมทางในเรือและดวงตาของเขาก็หันออกไปจากพระผู้ช่วยให้รอด ลมพัดโหมกระหน่ำอย่างอึกทึกครึกโครม คลื่นซัดสูงเข้ามาคั่นกลางระหว่างเขากับพระอาจารย์และเขาก็กลัว ชั่วขณะที่พระคริสต์ถูกซ่อนจากสายตาของเขาและความเชื่อของเขาสลายไปเขาก็เริ่มจมลง แต่ในขณะที่คลื่นกำลังส่งเสียงแห่งความตาย เปโตรก็ละสายตาจากผืนน้ำที่เกรี้ยวกราดและจับจ้องไปที่พระเยซู พลันร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย” ทันใดนั้นพระเยซูทรงจับมือที่ยื่นออกมาตรัสว่า “ช่างมีความเชื่อน้อย ท่านสงสัยทำไม?” {DA 381.5}
ทั้งสองจับมือเดินเคียงข้างก้าวเข้าไปในเรือด้วยกัน แต่บัดนี้เปโตรนิ่งและเงียบไป เขาไม่มีเหตุผลใดที่จะโอ้อวดกับเพื่อนสาวก เพราะโดยความไม่เชื่อและการยกชูตนขึ้นเขาจึงเกือบจะสูญเสียชีวิต เมื่อเขาละสายตาออกไปจากพระเยซู ความมั่นคงของย่างก้าวของเขาก็หายไปและเขาก็จมลงไปกลางคลื่นทะเล {DA 381.6}
เมื่อปัญหามาถึงเรา บ่อยครั้งเพียงไรที่เราจะทำตัวเหมือนเปโตร! เรามองไปที่คลื่นลมแทนที่จะจับจ้องไปที่พระผู้ช่วยให้รอด ฝีเท้าของเราลื่นไถลและน้ำที่โอหังก็ไหลบ่ามาท่วมจิตวิญญาณของเรา พระเยซูไม่ได้ร้องเรียกให้เปโตรมาหาพระองค์เพียงเพื่อให้เขาพินาศ พระองค์ไม่ได้เรียกให้เราติดตามพระองค์แล้วทอดทิ้งเราไป “อย่ากลัวเลย” พระองค์ตรัส “ เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ เจ้าเป็นของเรา เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า และเมื่อข้ามแม่น้ำ มันจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าเดินผ่านไฟ เจ้าจะไม่ถูกไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาเจ้า เพราะเราคือยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเจ้า องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลผู้ช่วยให้รอดของเจ้า” อิสยาห์ 43 ข้อที่ 1-3. {DA 382.1}
พระเยซูทรงอ่านลักษณะอุปนิสัยของสาวกของพระองค์ออก พระองค์ทรงทราบดีว่าความเชื่อของพวกเขาจะถูกทดสอบอย่างเจ็บปวดเพียงไร ด้วยเหตุการณ์ในทะเลนี้พระองค์ทรงประสงค์เปิดเผยให้เปโตรมองเห็นถึงความอ่อนแอของตัวเขาเอง นั่นคือเพื่อแสดงให้เขาเข้าใจว่าความปลอดภัยเดียวของเขาอยู่ที่การพึ่งอำนาจของพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางพายุแห่งการล่อลวงเขาจะเดินได้อย่างปลอดภัยก็ต่อเมื่อเขาไม่ไว้วางใจในตนเองอย่างเด็ดขาดแต่พึ่งพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อเขาอยู่ในจุดที่เขาคิดว่าตัวเองเข้มแข็งจะทำให้เขาอ่อนแอ และจนกระทั่งเมื่อเขามองเห็นความอ่อนแอของตนแล้ว เขาจึงจะตระหนักได้ว่าเขาต้องการพึ่งพระคริสต์ หากเขารับบทเรียนที่พระเยซูทรงหาทางสอนเขาจากประสบการณ์ในทะเลแล้ว เขาคงจะไม่ล้มลงเมื่อการทดสอบครั้งใหญ่มาถึงตัวเขา {DA 382.2}
วันแล้ววันเล่าพระเจ้าทรงสั่งสอนเหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์ โดยสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน พระองค์กำลังเตรียมพวกเขาให้ทำหน้าที่ส่วนของตนในเวทีที่กว้างขึ้นตามการทรงจัดเตรียมของพระเจ้าได้กำหนดไว้ ผลที่เกิดขึ้นจากการทดสอบประจำวันจะเป็นตัวกำหนดชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ในวิกฤตครั้งใหญ่ของชีวิต {DA 382.3}
ผู้ที่ล้มเหลวในการตระหนักว่าตนเองต้องพึ่งพาพระเจ้าอย่างต่อเนื่องจะพ่ายแพ้ต่อการทดลอง บัดนี้เราอาจคิดว่าเท้าของเราตั้งมั่นคงและเราจะไม่มีวันหวั่นไหว เราอาจพูดด้วยความมั่นใจว่า “ฉันรู้ว่าฉันเชื่อใครอยู่ ไม่มีสิ่งใดจะสั่นคลอนความเชื่อของฉันในพระเจ้าและในพระวจนะของพระองค์ได้” แต่ซาตานกำลังวางแผนที่จะใช้ความได้เปรียบทางลักษณะอุปนิสัยที่ตกทอดมาทางสายเลือดและที่ปลูกฝังขึ้นมา และเพื่อทำให้เราตาบอดมองไม่เห็นความจำเป็นและข้อบกพร่องของตัวเราเอง มีเพียงการตระหนักถึงความอ่อนแอของตัวเราเองและมองไปที่พระเยซูอย่างแน่วแน่เท่านั้นที่เราจะเดินอย่างมั่นคงปลอดภัยได้ {DA 382.4}
ในทันทีที่พระเยซูเสด็จประทับในเรือ ลมก็หยุด “ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น" ค่ำคืนแห่งความสยดสยองตามมาด้วยแสงสว่างของรุ่งอรุณ สาวกและคนอื่นๆ ที่อยู่บนเรือต่างกราบลงแทบพระบาทของพระเยซูด้วยใจขอบพระคุณและกล่าวว่า "พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว!" {DA 382.5}
*************