บทที่ 37
ผู้ประกาศข่าวประเสริฐรุ่นแรก
บทนี้อ้างอิงจากมัทธิว 10; มาระโก 6 ข้อที่ 7-11; ลูกา 9 ข้อที่ 1-6
อัครสาวกเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเยซู และพวกเขาติดตามพระองค์ขณะที่พระองค์เสด็จด้วยพระบาทไปทั่วแคว้นกาลิลี พวกเขาร่วมแบ่งปันกับพระองค์ในงานตรากตรำและความทุกข์ยากลำบากที่เข้ามายังพวกเขา พวกเขาฟังคำสอนของพระองค์ ร่วมเดินและสนทนาไปกับพระบุตรของพระเจ้า และจากคำสั่งสอนของพระองค์ที่ได้รับในแต่ละวันพวกเขาได้เรียนรู้วิธีการทำงานเพื่อยกระดับมนุษยชาติให้สูงขึ้น ขณะที่พระเยซูทรงปรนนิบัติประชาชนจำนวนมากที่มารวมตัวกันรอบพระองค์นั้น พวกสาวกของพระองค์ก็ร่วมอยู่ด้วย พวกเขากระตือรือร้นที่จะทำตามพระบัญชาและเพื่อแบ่งเบาภาระของพระองค์ พวกเขาช่วยจัดระเบียบคนที่เข้ามา ทั้งนำคนเจ็บป่วยเข้าเฝ้าพระผู้ช่วยให้รอด และส่งเสริมความสะดวกสบายของทุกคน พวกเขาคอยมองหาผู้ที่สนใจฟังและช่วยอธิบายพระคัมภีร์ให้แก่พวกเขาเหล่านั้น และ ลงมือด้วยตนเองเพื่อทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ทางฝ่ายจิตวิญญาณด้วยวิธีต่างๆ พวกเขาเอาสิ่งที่เรียนจากพระเยซูมาสอน และได้รับประสบการณ์ที่ดีมากมายในแต่ละวัน แต่พวกเขาต้องการประสบการณ์ของการทำงานตามลำพัง พวกเขายังคงต้องการคำสั่งสอน ความอดทนและความอ่อนโยนอีกมาก บัดนี้ ในขณะที่ตัวพระองค์เองยังทรงอยู่กับพวกเขาเพื่อจะชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดและให้คำปรึกษาและแก้ไขพวกเขา พระผู้ช่วยให้รอดจึงทรงส่งพวกเขาออกไปในฐานะตัวแทนของพระองค์ {DA 349.1}
ขณะที่พวกเขาอยู่กับพระองค์ บ่อยครั้งที่พวกสาวกมักจะงงงวยกับคำสอนของปุโรหิตและพวกฟาริสี แต่พวกเขาได้นำความสับสนมาทูลพระเยซู พระองค์ทรงวางความจริงของพระคัมภีร์ซึ่งตรงกันข้ามกับประเพณีมาไว้ตรงหน้าพวกเขา ด้วยการทำเช่นนี้พระองค์ทรงเสริมสร้างความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้าและทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความกลัวพวกธรรมาจารย์และตกเป็นทาสของประเพณีได้อย่างมากแล้ว ในการฝึกอบรมเหล่าสาวกนั้น แบบอย่างชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดมีประสิทธิภาพมากกว่าการสอนด้วยหลักคำสอนแต่เพียงอย่างเดียว เมื่อพวกเขาแยกตัวจากพระองค์แล้ว พวกเขาหวนคิดถึงทุกการสำแดงออก พระสุรเสียงและพระดำรัสของพระองค์อย่างชัดเจน บ่อยครั้งเมื่อขัดแย้งกับศัตรูของข่าวประเสริฐ พวกเขาจะพูดทวนพระดำรัสของพระองค์ออกมาและเมื่อเห็นผลลัพธ์ที่มีต่อผู้คนแล้ว พวกเขาก็รู้สึกชื่นชมยินดีเป็นอย่างมาก {DA 349.2}
พระเยซูทรงเรียกสาวกทั้งสิบสองคนมาหาพระองค์และบัญชาให้พวกเขาออกไปทีละสองคนไปตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ไม่มีการบัญชาให้ใครคนใดออกไปคนเดียว แต่เป็นการให้พี่ชายไปกับน้องชายและเพื่อนไปกับเพื่อน ด้วยวิธีเช่นนี้พวกเขาจะได้ช่วยเหลือและให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ปรึกษาหารือและอธิษฐานด้วยกัน จุดแข็งของคนหนึ่งช่วยเสริมจุดอ่อนของอีกคน ในเวลาต่อมาพระองค์ทรงจัดส่งเจ็ดสิบคนออกไปประกาศข่าวประเสริฐในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย ในยุคปัจจุบันของเรางานประกาศข่าวประเสริฐจะประสบผลสำเร็จมากขึ้นเมื่อเราใส่ใจเอาแบบอย่างนี้ไปทำให้มากกว่านี้ {DA 350.1}
ข่าวสารของสาวกเหล่านั้นมีลักษณะเหมือนกับข่าวสารของยอห์นผู้ให้บัพติศมาและข่าวสารของพระคริสต์เอง นั่นคือ “แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” พวกเขาต้องไม่ไปขัดแย้งกับประชาชนในเรื่องที่ว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธทรงเป็นพระเมสสิยาห์หรือไม่ แต่ในพระนามของพระองค์พวกเขาต้องทำงานแห่งความเมตตาเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงประกอบกิจมาแล้ว "จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย จงทำให้คนตายแล้วเป็นขึ้น จงทำให้คนโรคเรื้อนหายสะอาด และจงขับผีออก ท่านทั้งหลายได้รับเปล่าๆ ก็จงให้เปล่า ๆ" {DA 350.2}
ในช่วงเวลาที่พระเยซูปรนนิบัติรับใช้นั้น พระองค์ทรงใช้เวลารักษาคนป่วยมากกว่าเทศนา การอัศจรรย์ของพระองค์เป็นพยานให้กับความจริงของพระวจนะของพระองค์ว่าพระองค์เสด็จมาไม่ใช่เพื่อทำลายแต่เพื่อช่วยให้รอด ความชอบธรรมนำหน้าพระองค์ และพระสิริของพระยาห์เวห์ระวังหลังพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด ข่าวดีแห่งพระเมตตาของพระองค์ได้นำหน้าพระองค์ไป ที่ใดที่พระองค์เสด็จผ่าน บรรดาผู้ที่ได้รับความเมตตาจากพระองค์ต่างได้รับความปีติยินดีในเรื่องสุขภาพและได้นำพลังอำนาจที่พบใหม่มาลงมือปฏิบัติ ฝูงชนต่างพากันมาล้อมพวกเขาเพื่อฟังพวกเขาเล่าพระราชกิจของพระเจ้า พระสุรเสียงของพระองค์เป็นเสียงแรกที่พวกเขาเคยได้ยิน พระนามของพระองค์เป็นคำพูดแรกที่พวกเขาเคยพูด พระพักตร์ของพระองค์เป็นใบหน้าแรกที่พวกเขาเคยได้มอง ทำไมพวกเขาจึงไม่รักพระเยซูและสรรเสริญพระองค์เล่า? ขณะที่พระองค์เสด็จผ่านเมืองเล็กเมืองใหญ่ พระองค์ทรงเป็นดังกระแสน้ำที่จำเป็นสำหรับชีวิตซึ่งแผ่ชีวิตและความสุขไปยังทุกที่ที่พระองค์เสด็จผ่าน {DA 350.3}
บรรดาผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องลงแรงทำงานเหมือนที่พระองค์ทรงทำมาแล้ว เราจะต้องให้อาหารแก่คนหิว สวมเครื่องนุ่งห่มให้แก่คนเปลือยกาย และปลอบประโลมคนที่ตกทุกข์และเจ็บป่วย เราต้องปฏิบัติต่อผู้ที่หมดหวังและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่สิ้นหวัง และพระสัญญานี้ก็จะสำเร็จในตัวเราด้วยที่ว่า "ความชอบธรรมของเจ้าจะเดินนำหน้าเจ้า และพระสิริของพระยาห์เวห์จะระวังหลังเจ้า" อิสยาห์ 58 ข้อที่ 8 ความรักของพระคริสต์ซึ่งแสดงออกด้วยการรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตัวจะมีประสิทธิภาพในการปฏิรูปผู้ทำความชั่วได้มากกว่าดาบหรือศาลยุติธรรม สิ่งเหล่านี้จำเป็นเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย แต่มิชชันนารีผู้เปี่ยมด้วยความรักทำได้มากกว่านี้ บ่อยครั้ง หัวใจจะแข็งกระด้างเมื่อได้รับคำเตือน แต่จะหลอมละลายในความรักของพระคริสต์ มิชชันนารีไม่เพียงแต่บรรเทาความเจ็บป่วยทางกายเท่านั้น แต่เขายังนำคนบาปไปหาแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์นี้ได้ พระองค์ทรงชำระจิตวิญญาณจากโรคเรื้อนของบาปได้ พระเจ้าทรงออกแบบว่าผู้เจ็บป่วย ผู้โชคร้าย และผู้ที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิงจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะเป็นผู้ปลอบโยนในแบบที่โลกไม่เคยรู้จักมาก่อนโดยผ่านทางมนุษย์ที่เป็นตัวแทนของพระองค์ {DA 350.4}
ในการเดินทางประกาศข่าวประเสริฐครั้งแรกของสาวกนั้น พวกเขาจะต้องไปหา "แกะหลงของวงศ์วานอิสราเอล" เท่านั้น ในเวลานั้นถ้าพวกเขาประกาศข่าวประเสริฐให้แก่คนต่างชาติหรือชาวสะมาเรีย พวกเขาก็จะสูญเสียอิทธิพลของตนที่มีต่อชาวยิวไป การกระตุ้นอคติของพวกฟาริสีจะทำให้พวกเขาเข้าไปยุ่งกับความขัดแย้งซึ่งจะทำให้พวกเขาหมดกำลังใจตั้งแต่เริ่มลงมือปฏิบัติงาน แม้กระทั่งอัครสาวกเองก็ยังต้องใช้เวลานานเพื่อทำความเข้าใจว่าข่าวประเสริฐจะต้องประกาศไปให้แก่ชนทุกชาติ ตราบจนพวกเขาเข้าใจความจริงข้อนี้แล้วเท่านั้น พวกเขาจึงพร้อมที่จะทำงานรับใช้คนต่างชาติได้ หากชาวยิวจะยอมรับข่าวประเสริฐแล้ว พระเจ้าก็ทรงตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้พวกเขาเป็นผู้สื่อข่าวของพระองค์ไปยังคนต่างชาติ ด้วยเหตุนี้พวกยิวจึงต้องเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้ยินข่าวนี้ {DA 351.1}
ทั่วท้องทุ่งนาที่เป็นพื้นที่การทำงานของพระคริสต์มีจิตวิญญาณที่ตื่นตัวกับความต้องการของตนเอง พวกเขาหิวและกระหายความจริง เวลามาถึงแล้วที่จะต้องส่งข่าวสารแห่งความรักไปให้แก่หัวใจที่โหยหาเหล่านี้ และสาวกในฐานะตัวแทนจะต้องไปหาคนเหล่านี้ ด้วยวิธีนี้ จะนำผู้เชื่อให้มองพวกเขาในฐานะครูที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า และเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดจะถูกพรากไปจากพวกเขาแล้ว พวกเขาก็จะไม่ถูกทอดทิ้งโดยปราศจากครูผู้สอน {DA 351.2}
ในการเดินทางออกไปทำงานครั้งแรกนี้พวกสาวกจะต้องไปเฉพาะสถานที่ที่พระเยซูทรงเคยเสด็จไปล่วงหน้าและผูกมิตรไว้แล้วเท่านั้น การเตรียมตัวสำหรับการเดินทางของพวกเขาจะต้องเรียบง่ายที่สุด จะต้องไม่มีสิ่งใดหันเหความคิดของพวกเขาออกไปจากงานอันยิ่งใหญ่หรือปลุกระดมการต่อต้านและปิดประตูจากการทำงานที่ขยายออกไป พวกเขาจะต้องไม่รับการแต่งกายของครูสอนศาสนาหรือเลียนแบบการแต่งกายใดที่จะแยกพวกเขาออกจากชาวนาผู้ต่ำต้อย พวกเขาจะต้องไม่เข้าไปในธรรมศาลาและเรียกประชาชนให้เข้ามาร่วมกันนมัสการในที่ชุมชน พวกเขาจะต้องลงแรงไปทำงานตามบ้าน พวกเขาต้องไม่เสียเวลาไปกับการทักทายโดยไม่จำเป็นหรือไปตามบ้านเพื่อความบันเทิง แต่ในทุกแห่งพวกเขาต้องยอมรับการต้อนรับจากผู้ที่มีค่าคู่ควรผู้ซึ่งต้อนรับพวกเขาด้วยใจจริงราวกับกำลังถวายการต้อนรับตัวพระคริสต์เอง พวกเขาจะต้องเข้าไปยังที่อยู่อาศัยพร้อมกับคำทักทายอันงดงามว่า "ขอให้บ้านนี้มีสันติสุข" ลูกา 10 ข้อที่ 5 บ้านนั้นจะได้รับพระพรจากคำอธิษฐานของพวกเขา จากบทเพลงสรรเสริญของพวกเขาและจากการเปิดพระคัมภีร์ในแวดวงครอบครัว {DA 351.3}
สาวกเหล่านี้จะต้องเป็นผู้ประกาศความจริงเพื่อเตรียมมรรคาสำหรับการเสด็จมาของพระอาจารย์ของพวกเขา ข่าวสารที่พวกเขาต้องนำเสนอคือพระวจนะแห่งชีวิตนิรันดร์ และชะตากรรมของคนเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการยอมรับหรือปฏิเสธข่าวสารนี้ เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ประชาชนถึงความจริงจังของข่าวสารนี้ พระเยซูจึงตรัสสั่งสาวกของพระองค์ว่า "ถ้าใครไม่ต้อนรับและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากบ้านนั้นหรือเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของพวกท่านออกเสีย เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น" {DA 352.1}
บัดนี้สายพระเนตรของพระผู้ช่วยให้รอดทรงเพ่งมองทะลุไปยังอนาคต พระองค์ทรงมองเห็นอาณาเขตที่กว้างใหญ่ขึ้นซึ่งหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์แล้ว เหล่าสาวกจะต้องเป็นพยานเพื่อพระองค์ สายพระเนตรแห่งการเผยพระวจนะของพระองค์นำผู้รับใช้ของพระองค์ให้มองไปตลอดทุกยุคทุกสมัยจนกว่าพระองค์จะเสด็จมาครั้งที่สอง พระองค์ทรงเปิดเผยให้ผู้ติดตามเห็นถึงความขัดแย้งที่พวกเขาจะต้องเผชิญ พระองค์ทรงเปิดเผยให้เห็นถึงลักษณะและแผนการของการสู้รบ พระองค์ทรงแผ่ภัยอันตรายที่จะต้องเผชิญและการละทิ้งตนที่กำหนดให้ต้องมีต่อหน้าพวกเขา พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขาคำนวณต้นทุน เพื่อไม่ให้ศัตรูจับกุมพวกเขาไว้โดยไม่ทันรู้ตัว การทำสงครามของพวกเขาไม่ใช่เป็นการต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด "แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน" เอเฟซัส 6 ข้อที่ 12 พวกเขาต้องต่อสู้กับกองกำลังภูตฝีปีศาจที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ แต่พวกเขาได้รับความมั่นใจว่าจะได้ความช่วยเหลือที่เหนือธรรมชาติ หน่วยข่าวกรองทั้งหมดของสวรรค์อยู่ในกองกำลังนี้ และกองกำลังนี้ไม่ได้มีแค่ทูตสวรรค์เท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงเป็นตัวแทนผู้บัญชาการกองกำลังของพระเจ้าเสด็จลงมาบัญชาการสู้รบ เราอาจมีความผิดบาปมากมาย บาปและความผิดของเราอาจมหันต์ แต่พระคุณของพระเจ้ามีไว้ให้ทุกคนที่แสวงหาพระคุณด้วยการสำนึกผิด ฤทธานุภาพของพระผู้ทรงอำนาจไม่สิ้นสุดจะเข้ามาสนับสนุนผู้ที่วางใจในพระเจ้า {DA 352.2}
"นี่แน่ะ" พระเยซูตรัส " เราใช้ท่านทั้งหลายไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางพวกหมาป่า เพราะฉะนั้นจงเฉลียวฉลาดเหมือนงู และไม่มีพิษมีภัยเหมือนนกพิราบ" พระคริสต์เองไม่เคยยกเลิกความจริงแม้สักคำ แต่พระองค์ตรัสด้วยความรักเสมอ พระองค์ทรงใช้ปฏิภาณและความรอบคอบ การใส่พระทัยอย่างเมตตาในการปฏิสัมพันธ์กับประชาชนอย่างยอดเยี่ยมที่สุด พระองค์ไม่เคยหยาบคาย ไม่เคยตรัสคำรุนแรงโดยไม่จำเป็น ไม่เคยก่อความเจ็บปวดอย่างไม่จำเป็นกับจิตใจที่อ่อนไหว พระองค์ไม่เคยตำหนิความอ่อนแอของมนุษย์ พระองค์ทรงประณามความหน้าซื่อใจคด ความไม่เชื่อและความชั่วช้าอย่างไม่เกรงกลัว แต่น้ำพระเนตรคลออยู่ในพระสุรเสียงของพระองค์ขณะที่พระองค์ทรงเปล่งคำตำหนิที่น่ารังเกียจ พระองค์ทรงกันแสงให้กับกรุงเยรูซาเล็มเมืองที่พระองค์ทรงรักซึ่งปฏิเสธที่จะรับพระองค์ผู้ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต พวกเขาปฏิเสธพระองค์พระผู้ช่วยให้รอด แต่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความอ่อนโยนสงสารและด้วยความเศร้าโศกอย่างแสนสาหัสจนทำให้พระทัยของพระองค์แตกสลาย จิตวิญญาณทุกดวงนั้นมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์ ในขณะที่พระองค์ทรงดำรงไว้ด้วยศักดิ์ศรีของพระเจ้า พระองค์ก็ยังทรงก้มลงมายังสมาชิกของครอบครัวพระเจ้าด้วยความเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนที่สุด ในตัวมนุษย์ทุกคนพระองค์ทรงมองเห็นจิตวิญญาณที่ล้มลงในบาปซึ่งเป็นพันธกิจของพระองค์ที่จะต้องช่วยให้รอด {DA 353.1}
ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระคริสต์จะต้องไม่ทำตามคำสั่งของหัวใจฝ่ายธรรมชาติ พวกเขาต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าเกลือกว่าภายใต้การยั่วยุ อัตตาจะลุกและกระหน่ำชุดวาจาที่ไม่เหมาะสมออกมาซึ่งไม่ใช่วาจาที่เป็นน้ำค้างหรือฝนตกแผ่วเบารดต้นพืชเหี่ยวเฉาให้ฟื้นสดชื่นขึ้น นี่คือสิ่งที่ซาตานต้องการให้พวกเขาทำ เพราะเป็นวิธีของมัน ตัวที่โกรธแค้นคือพญานาค และความโกรธและการตำหนิกล่าวโทษที่เปิดเผยให้เห็นนั้นเป็นวิญญาณของซาตาน แต่ผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องเป็นตัวแทนของพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขาซื้อขายด้วยเงินตราของสวรรค์ซึ่งคือความจริงประทับด้วยพระฉายาและเครื่องหมายของพระองค์เอง อำนาจที่พวกเขาจะเอาชนะความชั่วคือฤทธานุภาพของพระคริสต์ พระสิริของพระคริสต์คือกำลังของพวกเขา พวกเขาต้องจับตาอยู่ที่คุณความดีของพระองค์ แล้วพวกเขาจึงจะนำเสนอข่าวประเสริฐด้วยชั้นเชิงและความอ่อนโยนได้ และจิตวิญญาณที่ยังคงเงียบสงบอยู่ภายใต้การยั่วยุจะพูดเพื่อเข้าข้างความจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการโต้เถียงอย่างรุนแรง {DA 353.2}
ผู้ที่เข้าสู่ความขัดแย้งกับศัตรูแห่งความจริงจะไม่เพียงต้องพบเจอมนุษย์เท่านั้นแต่ต้องพบกับซาตานและตัวแทนของมันด้วย ให้พวกเขาจดจำพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า "ไปเถอะ เราใช้พวกท่านออกไปเหมือนอย่างลูกแกะที่อยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า" ลูกา 10 ข้อที่ 3 จงให้พวกเขาหยุดพักในความรักของพระเจ้าและจิตวิญญาณจะสงบนิ่งแม้ตัวเองจะถูกข่มเหง องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเอาโล่ป้องกันของพระองค์สวมให้แก่พวกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะส่งอิทธิพลต่อความคิดและหัวใจ เพื่อเสียงโต้ตอบของพวกเขาจะไม่ประสานเข้ากับเสียงหอนของหมาป่า {DA 353.3}
พระเยซูทรงสั่งสอนสาวกของพระองค์ต่อไปว่า "จงระวังผู้คนให้ดี" พวกเขาจะต้องไม่วางใจอย่างไร้ข้อกังขาในผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าและเปิดใจรับคำปรึกษาของพวกเขา เพราะการทำอย่างนี้จะเปิดโอกาสให้ตัวแทนของซาตานได้เปรียบ บ่อยครั้งที่สิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ขัดต่อแผนการของพระเจ้า ผู้ที่สร้างพระวิหารของพระเจ้าจะต้องสร้างตามรูปแบบที่แสดงไว้บนภูเขา นั่นคือตามแบบของพระเจ้า พระเจ้าได้รับการหลู่พระเกียรติและข่าวประเสริฐถูกทรยศเมื่อผู้รับใช้ของพระองค์พึ่งพาคำแนะนำของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ปัญญาทางโลกเป็นความโง่เขลาต่อพระเจ้า ผู้ที่พึ่งพาปัญญาเช่นนี้จะหลงผิดอย่างแน่นอน {DA 354.1}
"เขาทั้งหลายจะมอบท่านทั้งหลายไว้กับศาล. . . .จะมอบพวกท่านให้เจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเรา เพื่อว่าพวกท่านจะได้เป็นพยานแก่พวกเขาและแก่พวกต่างชาติ" มัทธิว 10 ข้อที่ 17, 18 การกดขี่ข่มเหงจะเผยแผ่ความสว่างออกไป ผู้รับใช้ของพระคริสต์จะถูกนำมาอยู่ตรงหน้าบุคคลยิ่งใหญ่ของโลกซึ่งอาจไม่เคยได้ยินข่าวประเสริฐนอกจากด้วยวิธีนี้ ความจริงถูกนำเสนออย่างผิดๆ ให้แก่คนเหล่านี้มาตลอด พวกเขาได้รับฟังข้อกล่าวหาเท็จที่มีต่อความเชื่อของสาวกของพระคริสต์ บ่อยครั้งหนทางเดียวที่จะเรียนรู้ลักษณะที่แท้จริงของความจริงคือจากคำพยานของผู้ที่ถูกนำตัวขึ้นศาลเพราะความเชื่อของพวกเขา ภายใต้การตรวจสอบ คนเหล่านี้จำเป็นต้องตอบและผู้พิพากษาของพวกเขาต้องฟังคำพยาน พระคุณของพระเจ้าจะประทานแก่ผู้รับใช้ของพระองค์เพื่อเผชิญกับภาวะฉุกเฉิน พระเยซูตรัสว่า "เมื่อถึงเวลานั้น คำที่พวกท่านจะพูดนั้น พระเจ้าจะประทานแก่พวกท่าน เพราะว่าผู้ที่พูดไม่ใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่านผู้ตรัสผ่านท่าน" ในขณะที่พระวิญญาณของพระเจ้าส่องสว่างให้แก่จิตใจผู้รับใช้ของพระองค์ ความจริงจะถูกนำเสนอด้วยพลังของพระเจ้าและด้วยความล้ำค่า ผู้ที่ปฏิเสธความจริงจะยืนหยัดที่จะกล่าวหาและกดขี่พวกสาวก แต่ภายใต้การสูญเสียและความทุกข์ทรมานแม้กระทั่งถึงตาย บุตรของพระเจ้าจะต้องแสดงความอ่อนโยนตามแบบอย่างของพระเจ้าของพวกเขาให้ประจักษ์ ด้วยเหตุนี้ จะทำให้มองเห็นความแตกต่างระหว่างผู้แทนของซาตานกับตัวแทนของพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดจะได้รับการยกชูขึ้นต่อหน้าผู้ปกครองและประชาชน {DA 354.2}
เหล่าสาวกจะยังไม่ได้รับความกล้าหาญและความทรหดของผู้พลีชีพจนกว่าพวกเขาต้องการพระคุณนี้ ในเวลานั้น พระสัญญาของพระผู้ช่วยให้รอดจึงจะสำเร็จและเกิดขึ้นจริง เมื่อเปโตรและยอห์นต้องขึ้นเป็นพยานต่อหน้าสภาซันเฮดริน ผู้คนต่าง "ก็อัศจรรย์ใจ แล้วจำได้ว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู" กิจการ 4 ข้อที่ 13 ในกรณีของสเทเฟนมีคำเขียนไว้ว่า "พวกสมาชิกสภาต่างจ้องดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์" "คนเหล่านั้นไม่สามารถต่อสู้ถ้อยคำที่ท่านกล่าวโดยสติปัญญาและพระวิญญาณบริสุทธิ์" กิจการ 6 ข้อที่ 15, 10 เปาโลเขียนถึงการพิจารณาคดีของเขาเองที่ศาลของซีซาร์ว่า "ในการแก้คดีเบื้องต้นของข้าพเจ้านั้น ไม่มีใครอยู่เคียงข้างข้าพเจ้าสักคนเดียว พวกเขาทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ขออย่าให้พวกเขาต้องรับโทษเลย อย่างไรก็ดีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยืนอยู่ใกล้และประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อว่าข่าวประเสริฐจะได้รับการประกาศออกไปอย่างเต็มที่ผ่านทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหมดจะได้ยิน แล้วข้าพเจ้าจะได้รับการช่วยให้รอดจากปากสิงโต" 2 ทิโมธี 4 ข้อที่ 16, 17 {DA 354.3}
ผู้รับใช้ของพระคริสต์ไม่จำเป็นต้องเตรียมเขียนคำปราศรัยสำเร็จรูปเพื่อนำเสนอในกรณีที่ถูกนำตัวเข้าสู่การพิจารณาคดี การเตรียมตัวของพวกเขาจะต้องทำในแต่ละวันโดยการสะสมความจริงอันล้ำค่าจากพระคำของพระเจ้าและโดยการอธิษฐานเสริมความเชื่อของพวกเขา เมื่อพวกเขาถูกนำตัวขึ้นศาล พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำให้พวกเขาระลึกถึงความจริงที่ต้องการได้ {DA 355.1}
การลงแรงอย่างจริงจังทุกวันเพื่อจะรู้จักพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา จะนำพลังและประสิทธิภาพมาสู่จิตวิญญาณ ความรู้ที่ได้รับจากการค้นหาพระคัมภีร์อย่างขยันขันแข็งจะแวบเข้ามายังความทรงจำในเวลาที่ต้องการอย่างเหมาะสม แต่ถ้าผู้ใดละเลยที่จะทำให้ตนเองคุ้นเคยกับพระวจนะของพระคริสต์ ถ้าพวกเขาไม่เคยทดสอบอำนาจของพระคุณของพระองค์ในความยากลำบากแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจคาดหวังได้ว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้พวกเขาจดจำถ้อยคำของพระองค์ได้ พวกเขาจะต้องรับใช้พระเจ้าทุกวันด้วยความรักที่ไม่ไปแบ่งให้กับผู้อื่น จากนั้นก็วางใจในพระองค์ {DA 355.2}
ความเป็นศัตรูต่อข่าวประเสริฐอาจจะขมขื่นมากจนถึงขั้นมองข้ามสายสัมพันธ์ทางโลกที่รักใคร่ที่สุด สาวกของพระคริสต์จะถูกสมาชิกในครัวเรือนของพวกเขาเองทรยศจนถึงตาย "คนทั้งหลายจะเกลียดชังพวกท่าน เพราะนามของเรา " พระองค์ตรัสเพิ่มเติมต่อไปว่า "แต่คนที่สู้ทนจนถึงที่สุดจะรอด" มาระโก 13 ข้อที่ 13 แต่พระองค์ทรงบัญชาพวกเขาว่าอย่าเข้าหาการข่มเหงโดยไม่จำเป็น พระองค์เองมักจะละทิ้งงานในที่หนึ่งเพื่อไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อหลีกหนีจากผู้ที่ต้องการชีวิตของพระองค์ เมื่อครั้นที่พระองค์ถูกปฏิเสธที่เมืองนาซาเร็ธและชาวเมืองของพระองค์เองก็พยายามฆ่าพระองค์นั้น พระองค์จึงลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุมและที่นั่นผู้คนต่างประหลาดใจในคำสอนของพระองค์ "เพราะพระดำรัสของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ" ลูกา 4 ข้อที่ 32 ดังนั้นผู้รับใช้ของพระองค์จะต้องไม่ท้อถอยจากการถูกกดขี่ข่มเหง แต่ให้แสวงหาสถานที่ที่พวกเขายังสามารถตรากตรำทำงานเพื่อความรอดของดวงวิญญาณได้ {DA 355.3}
บ่าวไม่ได้เหนือกว่านาย เจ้าชายแห่งสวรรค์ถูกเรียกว่าเบเอลเซบูลและสาวกของพระองค์ก็จะถูกใส่ร้ายด้วยเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเกิดภัยอันตรายใด ผู้ติดตามของพระคริสต์จะต้องยืนหยัดอยู่ในหลักการของพวกเขา พวกเขาต้องหมิ่นการปกปิด พวกเขาคงอยู่อย่างไม่แสดงจุดยืนเพื่อคอยให้มั่นใจว่าปลอดภัยแล้วถึงจะประกาศยอมรับเชื่อความจริงไม่ได้ พวกเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคนยามเตือนมนุษย์ถึงภัยอันตราย และจะต้องบอกความจริงที่ได้รับจากพระคริสต์ให้คนทั้งหลายทราบอย่างเสรีและอย่างเปิดเผย พระเยซูตรัสว่า "สิ่งที่เรากล่าวแก่พวกท่านในที่มืด ท่านจงกล่าวในที่แจ้ง และสิ่งที่ได้ยินจากการกระซิบจงตะโกนจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน" {DA 355.4}
พระเยซูเองไม่ทรงเคยซื้อสันติสุขโดยการประนีประนอม หัวใจของพระองค์เต็มล้นด้วยความรักที่มีต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่พระองค์ไม่เคยยอมผ่อนผันต่อบาปของพวกเขา พระองค์ผู้ทรงเป็นมากกว่ามิตรสหายทรงรักพวกเขาเกินกว่าจะทนนิ่งเฉยขณะที่พวกเขาดำเนินตามเส้นทางของการทำลายจิตวิญญาณของตนเอง พวกเขาเป็นจิตวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงทำงานอย่างตรากตรำเพื่อที่มนุษย์ควรจะซื่อสัตย์ต่อตัวเอง และซื่อสัตย์ต่อผลประโยชน์ชั่วนิรันดร์อันสูงส่งยิ่งขึ้นของเขา ผู้รับใช้ของพระคริสต์ได้รับการทรงเรียกให้ทำงานเดียวกันนี้ และพวกเขาควรระวังเกลือกว่าในขณะที่พยายามป้องกันความบาดหมางนั้น พวกเขากลับยอมละทิ้งความจริงไป พวกเขาต้อง "ประพฤติในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุข" (โรม 14 ข้อที่ 19) แต่สันติสุขที่แท้จริงจะไม่มีทางได้มาด้วยการประนีประนอมหลักการ และไม่มีใครจะยึดมั่นในหลักการโดยปราศจากการกระตุ้นให้เกิดการต่อต้านขึ้น ศาสนาคริสต์ที่ฝักใฝ่ฝ่ายในด้านจิตวิญญาณจะถูกเหล่าบุตรที่ไม่เชื่อฟังต่อต้าน แต่พระเยซูทรงย้ำสาวกของพระองค์ว่า "อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ" ผู้ที่แน่วแน่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวอำนาจของมนุษย์หรือการเป็นศัตรูกับซาตาน ในพระคริสต์ชีวิตนิรันดร์ของพวกเขาจะปลอดภัย ความกลัวเดียวของพวกเขาคือการปล่อยความจริงไปและนั่นเป็นการทรยศความวางใจที่พระเจ้าทรงให้เกียรติมอบให้แก่พวกเขา {DA 356.1}
ซาตานทำงานเพื่อเติมความสงสัยลงในหัวใจมนุษย์ มันทำให้พวกเขามองว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่เกรี้ยวกราด มันล่อลวงให้พวกเขาทำบาป แล้วหลังจากนั้นก็ทำให้คิดว่าตัวเองเลวเกินกว่าที่จะเข้ามาใกล้พระบิดาแห่งสรวงสวรรค์หรือทำให้พระองค์ทรงเมตตาสงสาร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเข้าพระทัยเรื่องทั้งหมดนี้ พระเยซูทรงให้ความมั่นใจแก่บรรดาสาวกของพระองค์ถึงความเห็นใจของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาในยามที่พวกเขาขัดสนและอ่อนแอ พระบิดาสัมผัสได้แม้แต่แรงกระเพื่อมที่สั่นไปถึงพระหทัยโดยไม่ต้องมีการถอนใจ ไม่ต้องมีความเจ็บปวดที่สัมผัสได้ ไม่ต้องมีความเศร้าโศกที่ทิ่มแทงจิตใจ {DA 356.2}
พระคัมภีร์อธิบายให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าผู้สถิตในที่สูงอันบริสุทธิ์ของพระองค์ไม่ได้ทรงอยู่อย่างนิ่งดูดาย ไม่ได้ทรงดำรงอยู่ในความเงียบและโดดเดี่ยว แต่ทรงแวดล้อมด้วยสิ่งมีชีวิตที่บริสุทธิ์นับจำนวนเป็นแสนๆ เป็นล้านๆ ทั้งหมดนี้ต่างเฝ้าคอยที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ทรงสื่อสารกับทุกอาณาเขตการปกครองของพระองค์ผ่านทางช่องทางที่พวกเราไม่เข้าใจ แต่ความสนพระทัยของพระองค์และความสนใจของชาวสวรรค์ทั้งหมดรวมศูนย์อยู่ในจุดด่างขนาดเล็กของโลกใบหนึ่งและในจิตวิญญาณที่พระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเพื่อไถ่ชีวิตนั้น จากพระบัลลังก์พระเจ้าทรงโน้มพระองค์ลงต่ำเพื่อสดับเสียงร้องไห้ของผู้ถูกกดขี่ ทุกคำอธิษฐานที่จริงใจนั้น พระองค์ทรงตอบว่า "เราอยู่นี่" พระองค์ทรงยกชูบรรดาผู้ที่เจ็บปวดเศร้าใจและถูกบีบบังคับ ในความทุกข์ยากทั้งหมดของเรานั้น พระองค์ทรงร่วมทุกข์อยู่ด้วย ในทุกการทดลองและทุกการทดสอบทูตสวรรค์ที่อยู่เบื้องพระพักตร์จะมาอยู่ใกล้เพื่อช่วยให้รอด {DA 356.3}
นกกระจอกแม้สักตัวเดียวจะไม่ตกลงบนพื้นโดยที่พระบิดาไม่ทรงทราบ ความเกลียดชังของซาตานต่อพระเจ้าทำให้มันเกลียดทุกวัตถุที่อยู่ภายใต้การดูแลของพระผู้ช่วยให้รอด มันลงแรงทำให้พระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระเจ้ามัวหมอง และมันชื่นชอบการทำลายแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่พูดไม่ได้ ภายใต้การดูแลปกป้องของพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงอนุรักษ์นกไว้เพื่อร้องเพลงแห่งความสุขให้เราชื่นชมปรีดา แต่พระองค์ไม่ทรงเคยลืมแม้แต่นกกระจอก "เพราะฉะนั้นอย่ากลัวเลย พวกท่านก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว" {DA 356.4}
พระเยซูตรัสต่อไปว่า เมื่อท่านทั้งหลายรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะรับท่านต่อหน้าพระเจ้าและทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ด้วย ท่านทั้งหลายจะเป็นพยานของเราบนโลก ซึ่งเป็นช่องทางที่พระคุณของเราจะไหลผ่านเพื่อเยียวยารักษาโลก ดังนั้นเราจึงเป็นตัวแทนของท่านในสวรรค์ พระบิดาไม่ทรงมองเห็นลักษณะอุปนิสัยที่บกพร่องของท่าน แต่พระองค์ทรงเห็นท่านที่สวมเสื้อคลุมแห่งความสมบูรณ์แบบของเรา เราเป็นสื่อกลางที่พระพรจากพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะมายังท่าน และทุกคนที่ยอมรับเราด้วยการแบ่งปันการเสียสละของเราแก่ผู้หลงหายจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ร่วมแบ่งรับพระสิริและความสุขของผู้ที่ได้รับการไถ่ให้รอดแล้ว {DA 357.1}
ผู้ที่จะประกาศยอมรับพระคริสต์จะต้องมีพระคริสต์สถิตอยู่ด้วย เขาจะไม่มีทางสื่อสารในสิ่งที่เขาไม่เคยรับ สาวกอาจจะพูดถึงหลักข้อเชื่อได้อย่างคล่องแคล่ว พวกเขาอาจจะกล่าวซ้ำพระดำรัสที่พระคริสต์ตรัสไว้ด้วยพระองค์เองได้ แต่หากพวกเขาไม่ได้ครอบครองความอ่อนโยนและความรักเหมือนพระคริสต์แล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ยอมรับพระองค์ จิตวิญญาณที่ตรงกันข้ามกับจิตวิญญาณของพระคริสต์จะปฏิเสธพระองค์ไม่ว่าเขาจะอ้างตัวว่าอย่างไรก็ตาม มนุษย์ปฏิเสธพระคริสต์ได้ด้วยการพูดจาดูหมิ่น ด้วยการพูดอย่างโง่เขลา ด้วยคำพูดเท็จหรือไม่ปรานี พวกเขาอาจปฏิเสธพระองค์โดยหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่ของชีวิต โดยการแสวงหาความสุขที่เป็นบาป พวกเขาอาจปฏิเสธพระองค์โดยลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ โดยการประพฤติที่ไม่สุภาพ โดยชื่นชอบแต่ความคิดเห็นของตนเอง โดยอ้างเหตุผลเพื่อแก้ตัว โดยการเก็บถนอมความสงสัยไว้ โดยยืมปัญหาล่วงหน้าและหมกตัวอยู่ในความมืด ด้วยวิธีการทั้งหมดนี้พวกเขาประกาศว่าพระคริสต์ไม่ได้อยู่ในพวกเขา และ "ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์” พระองค์ตรัส “เราก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ด้วย" {DA 357.2}
พระผู้ช่วยให้รอดทรงย้ำเตือนสาวกของพระองค์ว่า อย่าหวังที่จะเอาชนะการเป็นปฏิปักษ์ที่โลกมีต่อข่าวประเสริฐและอย่าหวังว่าเมื่อช่วงเวลาหนึ่งผ่านพ้นไปการต่อต้านของโลกก็จะยุติลง พระองค์ตรัสว่า "เราไม่ได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา" การสร้างความขัดแย้งนี้ไม่ได้เป็นผลกระทบจากข่าวประเสริฐ แต่เป็นผลจากการต่อต้านที่มีต่อข่าวประเสริฐ ในบรรดาการข่มเหงทั้งหมด การขมเหงที่ทนได้ยากที่สุดคือความขัดแย้งในครอบครัวซึ่งเป็นความหมางเมิงจากมิตรทางโลกที่เรารักมากที่สุด แต่พระเยซูตรัสว่า "ใครที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเรา ก็ไม่มีค่าควรกับเรา และใครที่รักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเราและใครที่ไม่รับกางเขนของตนและตามเราไป คนนั้นก็ไม่มีค่าควรกับเรา” {DA 357.3}
พันธกิจของผู้รับใช้พระคริสต์จัดเป็นเกียรติอันสูงส่งและเป็นความไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์ "ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย" พระองค์ตรัส "ก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเราก็ต้อนรับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา" ไม่มีการกระทำแห่งความเมตตาที่แสดงออกให้แก่พวกเขาในพระนามของพระองค์จะไม่ได้รับการยอมรับหรือรางวัลตอบแทน และในการยอมรับเดียวกันนี้ พระองค์ได้ทรงรวมคนอ่อนแอและต่ำต้อยที่สุดของคนในครอบครัวของพระเจ้าเอาไว้ด้วย "ถ้าผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่ง ให้คนเล็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่งดื่ม” คือคนที่อยู่ในฐานะบุตรแห่งความเชื่อและความรู้ในพระคริสต์ “เพราะเป็นสาวกของเรา เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า คนนั้นจะไม่ขาดบำเหน็จแน่นอน" {DA 357.4}
พระผู้ช่วยให้รอดสิ้นสุดการสั่งสอนของพระองค์ด้วยประการฉะนี้ สาวกสิบสองคนที่ได้รับเลือกก็ออกเดินทางในพระนามของพระคริสต์เหมือนอย่างที่พระองค์เสด็จออกไปเพื่อ "ให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนยากจน. . . .ให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ฟกช้ำเป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า" ลูกา 4 ข้อที่ 18, 19 TKJV {DA 358.1}
**********