บทที่ 47

พันธกิจ

บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 17 ข้อที่ 9-21; มาระโก 9 ข้อที่ 9-29; ลูกา 9 ข้อที่ 37-45


เวลาทั้งคืนในภูเขาผ่านไป และขณะดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือขอบฟ้า พระเยซูและสาวกของพระองค์ก็เสด็จลงไปยังที่ราบ  สาวกทั้งหลายต่างพากันครุ่นคิดอยู่ด้วยความรู้สึกเกรงขามและในความเงียบ  แม้กระทั่งเปโตรเองก็ยังไม่มีถ้อยคำที่จะพูด  พวกเขาคงจะยินดีปรีดาหากจะยังคงรีรออยู่ในสถานศักดิ์สิทธิ์ที่นั่นซึ่งสัมผัสด้วยแสงจากสวรรค์และที่ซึ่งพระบุตรของพระเจ้าทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ แต่มีงานที่จะต้องทำเพื่อประชาชน พวกเขาต่างตามหาพระเยซูทั้งใกล้และไกล  {DA 426.1}            

ตรงเชิงเขามีฝูงชนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ เป็นกลุ่มคนที่นำโดยสาวกที่เหลืออยู่  สาวกทราบดีว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด  ขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาใกล้ พระองค์ทรงกำชับสหายทั้งสามว่าอย่าเปิดเผยเรื่องที่พวกเขาเห็น พระองค์ตรัสว่า  “นิมิตซึ่งท่านทั้งหลายเห็นนั้น อย่าเล่าให้ใครฟังจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย”  การเปิดเผยที่สาวกเห็นนั้นพวกเขาต้องเก็บไว้ใคร่ครวญในหัวใจของตนเอง ไม่ต้องประกาศให้คนอื่นรับรู้  หากเล่าให้มหาชนฟังก็เพียงแต่ปลุกความเย้ยหยันหรือความพิศวงไร้สาระ  และแม้อัครสาวกทั้งเก้าคนก็ไม่อาจเข้าใจภาพเหตุการณ์จนกระทั่งหลังจากพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว  สาวกคนโปรดทั้งสามก็ช่างเชื่องช้าเสียนี่กระไรที่จะเข้าใจ ทั้งๆ ที่เห็นจากข้อเท็จจริงที่ว่าพระคริสต์ตรัสถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ปรากฏต่อพระองค์แล้ว พวกเขาก็ยังตั้งคำถามในท่ามกลางพวกเขากันเองว่าการเป็นขึ้นจากความตายหมายถึงอะไร  แต่กระนั้นพวกเขาไม่ได้ขอให้พระเยซูอธิบาย  พระดำรัสของพระองค์อันเกี่ยวข้องกับอนาคตทำให้พวกเขาโศกเศร้า  พวกเขาไม่มุ่งค้นหาการเปิดเผยเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเขาเชื่อด้วยความยินดีว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้น  {DA 426.2}                  

เมื่อประชาชนในที่ราบเห็นพระเยซู พวกเขาก็วิ่งกรูเข้าไปเฝ้าพระองค์ด้วยการแสดงออกถึงความเคารพและความสุข  กระนั้น สายพระเนตรของพระองค์ทรงเห็นว่าพวกเขามีความกระวนกระวายเป็นอย่างมากยิ่ง  สาวกแสดงออกถึงความทุกข์  มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่ทำให้พวกเขาผิดหวังและอับอายขายหน้าอย่างขมขื่น  {DA 427.1}                

ขณะรอกันอยู่ตรงเชิงเขา มีพ่อคนหนึ่งพาลูกชายมาหาเพื่อขอสาวกช่วยให้ลูกชายหลุดพ้นจากผีใบ้ที่ทรมานเขาอยู่  เมื่อครั้นที่พระเยซูทรงบัญชาให้สาวกสิบสองคนไปประกาศเทศนาทั่วแคว้นกาลิลีนั้น พระองค์ประทานอำนาจเหนือวิญญาณโสโครก เพื่อขับไล่พวกมันให้ออกไป  ในขณะที่พวกเขาเดินทางออกไปด้วยความเชื่อเข้มแข็ง วิญญาณชั่วเชื่อฟังคำพูดของพวกเขา  บัดนี้ ในพระนามของพระคริสต์พวกเขาสั่งให้วิญญาณที่ทรมานอยู่ออกจากเหยื่อของมันไป แต่ปีศาจเพียงแค่เย้ยหยันพวกเขาด้วยการแสดงพลังของมันใหม่อีกครั้ง  พวกสาวกหาเหตุผลอธิบายความพ่ายแพ้นี้ไม่ได้  พวกเขารู้สึกว่าได้นำความเสื่อมเสียมาสู่ตัวเองและพระอาจารย์ของพวกเขา  และในฝูงชนมีพวกธรรมาจารย์ที่ใช้โอกาสนี้ทำให้พวกเขาอับอายขายหน้าอย่างมากที่สุด  คนเหล่านี้ล้อมอยู่รอบสาวกและกระหน่ำปัญหาใส่พวกเขาเพื่อหาทางพิสูจน์ว่าพวกเขาและพระอาจารย์เป็นคนหลอกลวง  พวกธรรมาจารย์ประกาศอย่างมีชัยว่า ณ ที่นี่มีวิญญาณชั่วที่ทั้งสาวกและพระคริสต์ไม่มีทางพิชิตได้  ประชาชนมีแนวโน้มที่จะเข้าข้างพวกธรรมาจารย์ และความรู้สึกดูถูกและเหยียดหยามแผ่ไปทั่วฝูงชน  {DA 427.2}                  

แต่ทันใดนั้นข้อกล่าวหายุติไป  ฝูงชนเห็นพระเยซูและสาวกสามคนกำลังเดินกันมา ด้วยความรู้สึกขยะแขยงที่เกิดขึ้นในทันที ประชาชนหันหน้าไปต้อนรับพวกเขา  การสนทนาอย่างสนิทสนมกับรัศมีภาพแห่งสวรรค์ตลอดคืนยังทิ้งร่องรอยไว้บนพระผู้ช่วยและมิตรสหายของพระองค์  บนใบหน้าของพวกเขามีแสงสว่างที่ทำให้ผู้พบเห็นแล้วตกตะลึง  พวกธรรมาจารย์ถอยหลังกลับด้วยความกลัวในขณะที่ประชาชนต้อนรับพระเยซู  {DA 427.3}         

พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมายังที่เกิดเหตุแห่งความขัดแย้งราวกับว่าพระองค์ทรงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และทรงจ้องไปยังพวกธรรมาจารย์ถามว่า “พวกท่านถกเถียงกับพวกเขาด้วยเรื่องอะไร?”  {DA 427.4}           

แต่เสียงที่กล่าวอย่างห้าวหาญและท้าทายก่อนหน้านี้กลับเงียบไป  ความเงียบปกคลุมอยู่เหนือคนทั้งปวง  ในเวลานี้คุณพ่อที่ทุกข์ใจเดินฝ่าฝูงชนและหมอบลงแทบพระบาทของพระเยซู เล่าเรื่องราวความทุกข์ยากและความผิดหวังของเขา  {DA 427.5}                  

“ท่านอาจารย์” เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้พาลูกชายมาหาท่านเพราะมีผีใบ้เข้าสิง  เมื่อไหร่ก็ตามที่ผีเข้าสิงตัวเขา มันจะทำให้เขาล้มชัก. . . .. ข้าพเจ้ามาขอให้พวกสาวกของท่านขับมันออก แต่พวกเขาไม่สามารถทำได้”  {DA 428.1}             

พระเยซูทอดพระเนตรไปรอบเห็นฝูงชนที่ยืนตะลึงงัน พวกธรรมาจารย์ที่คอยตำหนิติเตียนและสาวกที่งุนงง  พระองค์ทรงอ่านความไม่เชื่อในทุกหัวใจ  และด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกทรงอุทานว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน? และจะต้องอดทนกับพวกท่านนานเพียงไร?”  จากนั้นพระองค์ทรงกล่าวกับบิดาที่ทุกข์ใจว่า “จงพาเด็กคนนั้นมาหาเราเถิด”  {DA 428.2}                                                        

เมื่อนำเด็กชายคนนั้นเข้ามาแล้ว และขณะที่สายพระเนตรของพระผู้ช่วยให้รอดมองมาที่ตัวเขา วิญญาณชั่วก็เหวี่ยงเขาลงกับพื้นทำให้เขาชักด้วยความเจ็บปวดอย่างทรมาน  เขากลิ้งเกลือกกับพื้นและน้ำลายฟูมปาก ส่งเสียงกรีดร้องน่ากลัวดังก้องไปในอากาศ  {DA 428.3}        

อีกครั้งหนึ่งพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นเจ้าชายแห่งชีวิตและเจ้าชายแห่งความมืดได้มา ประจัญหน้ากันในสนามรบ  พระคริสต์เสด็จมาเพื่อทำให้พันธกิจของพระองค์ของการ “ประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย. . . .ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ” สำเร็จ ลูกา 4 ข้อที่ 18  ซาตานลงแรงจับเหยื่อให้อยู่ใต้การควบคุมของมัน  ทูตสวรรค์แห่งความสว่างและกองกำลังของทูตสวรรค์ชั่วที่ตามองไม่เห็นกำลังล้อมอยู่รอบเพื่อติดตามความขัดแย้งนี้  พระเยซูทรงยอมให้วิญญาณชั่วแสดงฤทธิ์อำนาจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เพื่อให้ผู้ที่มองดูเหตุการณ์เข้าใจถึงการช่วยกู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น  {DA 428.4}

ฝูงชนหายใจไม่เต็มท้องขณะมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  ผู้เป็นพ่อมองดูด้วยความหวังและความกลัวบนความทุกข์ปวดร้าวใจ  พระเยซูตรัสถามว่า “เขาเป็นอย่างนี้มานานเท่าไหร่?” คุณพ่อเล่าเรื่องของความทุกข์ทรมานที่มีมานานนับปี และแล้วราวกับว่าเขาอดทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วจึงร้องอุทานขึ้นมาว่า “ถ้าท่านสามารถช่วยได้ก็โปรดสงสารและช่วยเราทั้งสองด้วย”  “ถ้าท่านสามารถช่วยได้!” แม้จนถึงกระทั่งบัดนี้ ผู้เป็นพ่อก็ยังตั้งแง่สงสัยในฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์  {DA 428.5}               

พระเยซูตรัสตอบว่า “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง”  ในส่วนของพระคริสต์ไม่มีคำว่าขาดอำนาจ  การรักษาของลูกชายขึ้นอยู่กับความเชื่อของผู้เป็นพ่อ  ด้วยน้ำตาที่ไหลพุ่งออกมาเมื่อตระหนักถึงความอ่อนแอของตัวเอง พ่อจึงทิ้งตัวลงให้กับความเมตตาของพระคริสต์พร้อมกับร้องว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด”  {DA 428.6}         

พระเยซูทรงหันไปหาผู้ที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์และตรัสว่า “เจ้าผีใบ้หูหนวก เราสั่งให้เจ้าออกจากตัวเขา และอย่ากลับเข้ามาสิงในตัวเขาอีก”  มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมาน  ดูเหมือนว่าด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ปีศาจกำลังจะคร่าเอาชีวิตไปจากเหยื่อของมัน  และแล้วเด็กชายคนนี้ก็นอนแน่นิ่งและดูจากสภาพภายนอกแล้วไม่มีชีวิตเหลืออยู่  ฝูงชนกระซิบว่า “เขาตายแล้ว”  แต่พระเยซูทรงจับมือเขาไว้และพยุงเขาขึ้นด้วยสภาพที่สมบูรณ์ทั้งจิตใจและร่างกายมอบคืนให้แก่พ่อของเขา  คุณพ่อและลูกสรรเสริญพระนามของพระผู้ทรงช่วยกู้ชีวิตให้รอดของพวกเขา  ฝูงชนทั้งหมด “ต่างก็ประหลาดใจมากในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า”  ในขณะที่พวกธรรมาจารย์เดินจากไปด้วยความบึ้งตึงในสภาพที่พ่ายแพ้และคอตก  {DA 428.7}         

“ถ้าท่านสามารถช่วยได้ก็โปรดสงสารและช่วยเราทั้งสองด้วย”  มีจิตวิญญาณที่แบกภาระบาปสักกี่ดวงได้สะท้อนกล่าวคำอธิษฐานนี้  และคำตอบจากพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสงสารที่ทรงมีให้สำหรับทุกคน คือ  “ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง”  ความเชื่อเป็นสิ่งที่เชื่อมเราเข้ากับสวรรค์และทำให้เรามีความเข้มแข็งเพื่อรับมือกับอำนาจแห่งความมืด  ในพระคริสต์พระเจ้าทรงจัดเตรียมวิธีเอาชนะทุกนิสัยที่บาปชั่ว และต่อต้านทุกการทดลอง ไม่ว่าการทดลองนั้นจะหนักหนาเพียงไร   แต่หลายคนรู้สึกว่าพวกเขาขาดความเชื่อ และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตีตัวออกห่างจากพระคริสต์  ขอให้จิตวิญญาณเหล่านี้มอบถวายตัวเองในสภาพที่ไร้ค่าและช่วยตัวเองไม่ได้ให้ไปอยู่ภายใต้พระเมตตาของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเห็นอกเห็นใจ  อย่ามองมาที่ตัวเอง แต่จงมองไปยังพระคริสต์  พระองค์ผู้ทรงรักษาคนป่วยและขับผีออกเมื่อพระองค์ทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางมนุษย์ก็ยังทรงเป็นพระผู้ไถ่ผู้ทรงฤทธานุภาพองค์เดียวกันในวันนี้  ความเชื่อจะได้มาจากพระวจนะของพระเจ้า  ดังนั้น ให้ยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ที่ว่า “คนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย” ยอห์น 6 ข้อที่ 37  จงกราบลงแทบพระบาทของพระองค์พร้อมกับร้องว่า “ข้าพระองค์เชื่อ พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ยังขาดความเชื่อนั้น ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยให้เชื่อเถิด” มาระโก 9 ข้อที่ 24 TKJV  คุณจะไม่มีวันพินาศเมื่อคุณทำเช่นนี้ ไม่มีวันพินาศเลย  {DA 429.1}        

ในช่วงเวลาสั้นๆ สาวกคนโปรดเห็นรัศมีภาพและความอัปยศอดสูสุดขั้ว  พวกเขาเห็นความเป็นมนุษย์ทรงจำแลงพระกายไปสู่พระฉายของพระเจ้า และความตกต่ำของมนุษย์จนเป็นเหมือนซาตาน  จากภูเขาที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์และพระสุรเสียงอันเจิดจ้าแห่งพระสิริประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พวกเขาเห็นพระเยซูเสด็จลงจากภูเขาไปพบกับภาพที่น่าเวทนาและน่ารังเกียจที่สุด เด็กชายบ้าคลั่งหน้าตาบูดเบี้ยว ขบเขี้ยวกัดฟันด้วยอาการชักกระตุกอย่างทุรนทุรายที่ไม่มีอำนาจมนุษย์ใดปลดเปลื้องได้  และเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้พระผู้ไถ่ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ประทับอย่างสง่าผ่าเผยเปี่ยมด้วยพระสิริต่อหน้าสาวกที่งุนงง ทรงก้มลงต่ำเพื่อยกเหยื่อของซาตานเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้นดิน พระองค์ทรงนำเขากลับคืนสู่บิดาและครอบครัวด้วยสุขภาพจิตใจและร่างกายที่ดีดังเดิม  {DA 429.2}            

นี่เป็นบทเรียนอุทธาหรณ์แห่งการไถ่บาป  พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จากพระสิริของพระบิดาทรงก้มลงต่ำเพื่อมนุษย์ที่หลงทางไป  เหตุการณ์นี้ยังแสดงถึงพันธกิจของสาวกอีกด้วย  ชีวิตของบรรดาคนงานของพระคริสต์จะไม่ใช่เพียงแค่อยู่ร่วมกับพระเยซูบนยอดเขาในช่วงเวลาที่ได้รับความเจิดจ้าทางฝ่ายจิตวิญญาณเท่านั้น  ยังมีงานในพื้นที่ราบที่รอพวกเขาอยู่อีกด้วย จิตวิญญาณที่ถูกซาตานผูกมัดไว้เป็นทาสกำลังรอคอยพระคำแห่งความเชื่อและคำอธิษฐานเพื่อปลดปล่อยพวกเขาไปสู่เสรีภาพ  {DA 429.3}                  

สาวกเก้าคนยังคงครุ่นคิดถึงความจริงอันขมขื่นของความล้มเหลวของตนเอง  และเมื่อพระเยซูประทับอยู่ตามลำพังกับพวกเขาอีกครั้ง พวกเขาทูลถามว่า “ทำไมพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้?” พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เพราะเหตุพวกท่านไม่มีความเชื่อ ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเลื่อน และไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับท่านเลย  แต่ผีชนิดนี้จะไม่ยอมออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร” TKJV  ความไม่เชื่อของพวกเขาที่ปิดกั้นพวกเขาจากความเห็นอกเห็นใจต่อพระคริสต์อย่างลึกซึ้งและการที่พวกเขาไม่เอาใจใส่ในพระราชกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่ทรงโปรดมอบให้แก่พวกเขาเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับอำนาจของความมืด  {DA 429.4}           

ถ้อยคำของพระคริสต์ที่ชี้ไปยังการสิ้นพระชนม์ของพระองค์นำมาซึ่งความเศร้าและความสงสัย  และการเลือกสาวกสามคนเพื่อตามพระเยซูไปยังภูเขาทำให้เกิดความอิจฉาริษยาในท่ามกลางสาวกเก้าคน  แทนที่จะส่งเสริมความเข้มแข็งของความเชื่อด้วยการอธิษฐานและการใคร่ครวญพระวจนะของพระคริสต์  พวกเขากลับหมกมุ่นอยู่กับความท้อแท้และความคับแค้นใจที่สร้างขึ้นมาเอง  ในสภาพแห่งความมืดเช่นนี้พวกเขาได้เข้าร่วมกับซาตานในการขัดแย้ง  {DA 431.1}            

เพื่อจะได้ชัยชนะในความขัดแย้งเช่นนี้ พวกเขาจะต้องทำงานด้วยจิตวิญญาณที่แตกต่างไปจากเดิม  ความเชื่อของพวกเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นด้วยการอธิษฐานอย่างร้อนรนและการอดอาหารและหัวใจที่ถ่อมลง  พวกเขาต้องละทิ้งตนเองและเติมพระวิญญาณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าให้เต็ม  การทูลวิงวอนพระเจ้าอย่างจริงจังพากเพียรด้วยความเชื่อซึ่งเป็นความเชื่อที่จะนำไปสู่การพึ่งพิงพระเจ้าอย่างสิ้นเชิงและอุทิศตนเพื่องานรับใช้ของพระองค์อย่างไม่สงวนตัว  ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้นที่จะอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เสด็จมาช่วยมนุษย์ในสงครามการต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ และพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน   {DA 431.2}           

     “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง ” พระเยซูตรัส “ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเลื่อน”  แม้ว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดจะมีขนาดเล็กมาก แต่มันก็บรรจุด้วยกฎแห่งชีวิตอันลึกลับเช่นเดียวกันกับที่ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่านยิ่งใหญ่ที่สุด  เมื่อนำเมล็ดพันธุ์ผักกาดไปปลูกลงดิน จมูก [ส่วนสืบพันธุ์ขนาดเล็กของพืช  ผู้แปล] ขนาดเล็กที่มีแร่ธาตุทุกชนิดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เพื่อเป็นอาหารของมันนั้นจะทำให้เมล็ดนั้นเติบใหญ่มั่นคงขึ้นอย่างรวดเร็ว  หากคุณมีความเชื่อเช่นนี้คุณจะยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าและในทุกสื่อตัวแทนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้  ด้วยประการฉะนี้ความเชื่อของคุณจะเข้มแข็งและจะนำการทรงช่วยของอำนาจจากสวรรค์มายังตัวคุณ  อุปสรรคที่ซาตานกองขวางทางของคุณไว้แม้จะดูอย่างชัดแจ้งว่าเราไม่อาจเอาชนะเหมือนเช่นภูเขาซึ่งคงอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่กลับจะอันตรธานหายไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกแห่งความเชื่อ  “สิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย” {DA 431.3}                           

*************