บที่ 49

ณ เทศกาลอยู่เพิง

บทนี้อ้างอิงจาก ยอห์น 7 ข้อที่ 1-15; 37-39


ชาวยิวจะต้องเข้าร่วมชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็มปีหนึ่งสามครั้งเพื่อประกอบกิจทางศาสนา  พระเจ้าพระผู้ทรงนำที่ตาเปล่ามองไม่เห็นของชนชาติอิสราเอลที่ปกคลุมด้วยเสาเมฆนั้นทรงเป็นผู้กำหนดทิศทางแก่ชุมนุมชนเหล่านี้  ในช่วงที่ชาวยิวตกเป็นเชลย พวกเขาฉลองเทศกาลเหล่านี้ไม่ได้ แต่เมื่อพวกเขากลับมายังท้องถิ่นของตนเองแล้ว จึงได้เริ่มต้นฉลองอนุสรณ์ต่างๆ อีกครั้ง  พระเจ้าทรงประสงค์ให้เทศกาลประจำปีเหล่านี้เตือนความทรงจำของประชาชนให้รำลึกถึงพระองค์  แต่ทว่าพวกปุโรหิตและพวกผู้นำของประเทศทั้งหมดแทบมองไม่เห็นจุดประสงค์ของการฉลองเทศกาลเหล่านี้เสียแล้ว  พระองค์ผู้ทรงสถาปนาการชุมนุมระดับชาติและทรงเข้าพระทัยความสำคัญของการเฉลิมฉลองได้ทอดพระเนตรถึงการบิดเบือนของพวกเขา  {DA 447.1}              

เทศกาลอยู่เพิงเป็นงานเทศกาลของการรวมตัวปิดท้ายของปี  พระเจ้าทรงออกแบบเพื่อให้ประชาชนใช้เวลานี้ใคร่ครวญถึงคุณความดีและพระเมตตาของพระองค์  ทั้งแผ่นดินอยู่ภายใต้การทรงนำของพระองค์ โดยได้รับพระพรจากพระองค์  การดูแลของพระองค์ดำเนินไปอย่างสงบต่อเนื่องตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน  ดวงอาทิตย์และสายฝนบันดาลให้แผ่นดินเกิดผล การเก็บเกี่ยวได้รวบรวมเข้ามาจากหุบเขาและที่ราบของแผ่นดินปาเลสไตน์ ผลมะกอกก็เก็บเข้ามาและน้ำมันอันล้ำค่าได้ถูกบรรจุเก็บไว้ในขวด ต้นปาล์มให้ผลผลิต  พวงองุ่นสีม่วงของเถาวัลย์ผ่านเครื่องคั้นน้ำองุ่น  {DA 447.2}                

งานเทศกาลดำเนินติดต่อกันเจ็ดวันและเพื่อการเฉลิมฉลองนี้ ชาวแผ่นดินปาเลสไตน์รวมทั้งคนอีกจำนวนมากมายจากดินแดนอื่นๆ ก็ได้ออกจากบ้านของตนและเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม  ผู้คนจากทั้งใกล้และไกลต่างเดินทางมา นำสัญลักษณ์แสดงความชื่นชมยินดีติดมือของพวกเขามาด้วย  คนสูงวัยและคนหนุ่มสาว คนร่ำรวยและคนยากจน ทุกคนนำของขวัญมาเพื่อเป็นเครื่องบรรณาการแห่งการขอบพระคุณถวายพระองค์ผู้ประทานปีทองแห่งความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ รอยรถของพระองค์มีความไพบูลย์ย้อยหยด  สดุดี 65 ข้อที่ 11  ทุกสิ่งที่นำความสุขสำราญมาสู่ความพึงพอใจของสายตาและการแสดงออกถึงความสุขทั่วไปจะถูกนำมาจากป่า ทำให้เมืองมีลักษณะเป็นป่าอันสวยงาม  {DA 448.1}            

งานเทศกาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขอบพระคุณสำหรับการเก็บเกี่ยวเท่านั้น แต่เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการทรงปกป้องดูแลชนชาติอิสราเอลของพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร  เพื่อเป็นการรำลึกถึงชีวิตของการอยู่เต็นท์ของพวกเขา ในช่วงของเทศกาลนี้ ชนชาติอิสราเอลอาศัยอยู่ในเพิงหรือกระโจมทำด้วยกิ่งก้านใบเขียว  ที่พักเหล่านี้สร้างขึ้นตามถนน ในลานของพระวิหารหรือบนหลังคาบ้าน  เนินเขาและหุบเขารอบกรุงเยรูซาเล็มก็มีที่พักอาศัยทำด้วยใบไม้กระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ทั่วไปและดูราวกับว่ามีชีวิตชีวาด้วยผู้คน  {DA 448.2}           

ในช่วงงานเทศกาลนี้ผู้ร่ามนมัสการเฉลิมฉลองด้วยบทเพลงศักดิ์สิทธิ์และโมทนาสาธุการขอบคุณพระเจ้า  ก่อนงานเทศกาลเพียงเล็กน้อยเป็นวันลบบาป เป็นวันของการสารบาปของพวกเขา  ประชาชนได้รับการประกาศว่าอยู่อย่างสันติกับพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์แล้ว  ด้วยประการฉะนี้ จึงเป็นการปูทางให้กับงานเทศกาล  เสียงเพลง “จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” สดุดี 106 ข้อที่ 1 ดังขึ้นอย่างมีชัยในขณะที่ดนตรีทุกประเภทผสมผสานไปด้วยเสียงโห่ร้องโฮซันนาที่ร้องอย่างประสานร่วมกัน  พระวิหารเป็นศูนย์กลางแห่งความสุขของทั่วทั้งโลก  ณ ที่แห่งนี้พิธีของการถวายเครื่องบูชามีขึ้นอย่างโอ่อ่า  ณ ที่แห่งนี้สองด้านของบันไดหินอ่อนของอาคารศักดิ์สิทธิ์มีนักร้องประสานเสียงชาวเลวียืนเรียงแถวนำการร้องเพลงสรรเสริญ  มหาชนที่นมัสการโบกกิ่งปาล์มและไม้เมอเทิล ขับร้องเพลงรับเสียงสะท้อนดังก้องจากที่ใกล้และไกลขานรับกันอย่างไพเราะจนส่งเสียงร้องสรรเสริญสะท้อนดังก้องไปรอบเนินเขาที่ล้อมอยู่รอบ  {DA 448.3}              

ในเวลากลางคืน พระวิหารและลานของวิหารสว่างไสวด้วยแสงที่ประดิษฐ์ขึ้นมา  เสียงดนตรี การโบกกิ่งปาล์ม เสียงร้องชื่นชมยินดีโฮซันนา ชุมนุมชนขนาดใหญ่ที่ล้อมอยู่ใต้ตะเกียงแขวน ปุโรหิตที่จัดแถวอย่างมีระเบียบ และความยิ่งใหญ่ตระการของพิธีกรรมรวมเข้าด้วยกันเป็นภาพที่สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเห็น  แต่มีอยู่พิธีหนึ่งของงานเทศกาลที่สร้างความประทับใจมากที่สุด เป็นพิธีที่สร้างความชื่นชมยิ่งใหญ่ เป็นพิธีหนึ่งที่ฉลองการรำลึกถึงเหตุการณ์ในขณะเดินทางในถิ่นทุรกันดาร  {DA 448.4}           

ในทันทีที่ฟ้าสางปุโรหิตก็จะเป่าแตรเงินด้วยเสียงแหลมสูงอย่างยาวนาน และเสียงแตรตอบรับและเสียงร้องขานรับแห่งความชื่นชมยินดีของประชาชนจากเพิงที่พักสะท้อนอยู่เหนือเนินเขาและหุบเขา เพื่อต้อนรับวันเทศกาลรื่นเริง  จากนั้นปุโรหิตจึงเอาคนโทตักน้ำที่ไหลมาจากห่วยขิดโรนและชูขึ้นสูง ในขณะที่เสียงแตรยังคงดังอยู่นั้น เขาก็เดินขึ้นขั้นบันไดกว้างของพระวิหาร ก้าวไปตามจังหวะดนตรีอย่างช้าๆ และเป็นจังหวะ ในขณะเดียวกันร้องเพลงไปพลางว่า "เยรูซาเล็มเอ๋ย เท้าของเรากำลังยืนอยู่ภายในประตูของเธอ"  สดุดี 122 ข้อที่ 2  {DA 448.5}     

เขาถือคนโทน้ำไปยังแท่นบูชาซึ่งตั้งอยู่ตรงใจกลางลานของปุโรหิต  ณ บริเวณนี้มีอ่างเงินอยู่สองใบ ปุโรหิตยืนอยู่ข้างอ่างแต่ละใบ  เขาเทน้ำในคนโทหนึ่งลงในอ่างหนึ่ง คนโทน้ำองุ่นลงในอีกอ่าง  และของเหลวทั้งสองไหลลงไปยังท่อที่ไหลต่อไปยังห้วยขิดโรน  และลำเลียงต่อไปยังทะเลตาย  พิธีน้ำศักดิ์สิทธิ์แสดงให้เห็นถึงน้ำพุที่พุ่งออกมาจากศิลาตามพระบัญชาของพระเจ้าเพื่อดับการกระหายของชนชาติอิสราเอล  และแล้วเสียงร้องแห่งความปลาบปลื้มปีติยินดีดังขึ้น "พระยาห์เวห์เองทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า”  “ท่านทั้งหลายจะตักน้ำจากบ่อน้ำแห่งความรอดด้วยความชื่นบาน”  อิสยาห์ 12 ข้อที่  2, 3 {DA 449.1}          

ขณะที่บุตรชายของโจเซฟเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมเทศกาลอยู่เพิงนั้น  พวกเขาได้เห็นว่าพระคริสต์ไม่ทรงแสดงท่าทีว่าจะเข้าร่วมงานเทศกาลเลย  พวกเขามองพระองค์ด้วยความวิตกกังวล  นับตั้งแต่การอัศจรรย์ของการรักษาที่ข้างสระน้ำเบธซาธา พระองค์ไม่ทรงเข้าร่วมการชุมนุมระดับชาติเลย  เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งอย่างไร้สาระกับผู้นำในกรุงเยรูซาเล็มนั้น พระองค์ทรงจำกัดพระราชกิจของพระองค์อยู่ที่แคว้นกาลิลี  การละเลยของพระองค์อย่างเห็นได้ชัดที่จะเข้าร่วมการชุมนุมทางศาสนาที่ยิ่งใหญ่ และความเป็นศัตรูของพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ที่แสดงออกต่อพระองค์นั้นสร้างความงุนงงสับสนให้กับคนรอบข้างพระองค์ และแม้กระทั่งต่อสาวกและญาติของพระองค์เองด้วย  ในคำสอนของพระองค์เอง พระองค์ทรงกล่าวถึงการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และกระนั้นพระองค์เองก็ดูเหมือนว่าไม่ใส่พระทัยในพิธีกรรมที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้ด้วย  การคลุกคลีกับคนเก็บภาษีและคนอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงไม่ดี ความไม่สนพระทัยในธรรมเนียมปฏิบัติและปัดทิ้งข้อกำหนดของประเพณีในเรื่องวันสะบาโต รวมทั้งหมดแล้วทำให้ดูเหมือนว่าพระองค์เป็นปฏิปักษ์กับเจ้าหน้าที่ศาสนา ทำให้ตั้งแง่สงสัยขึ้นมามากมาย  พี่น้องของพระองค์คิดว่าเป็นความผิดพลาดที่พระองค์จะตีตัวออกห่างไปจากบุคคลสำคัญที่ยิ่งใหญ่และมีการศึกษาของระดับประเทศชาติ  พวกเขาคิดว่าคนเหล่านี้จะต้องเป็นฝ่ายถูกและพระเยซูเป็นฝ่ายผิดที่เอาตนเองไปเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขา  แต่พวกเขาเป็นพยานเห็นถึงชีวิตที่ไร้ด่างพร้อยของพระองค์และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้จัดตนเองไปอยู่ฝ่ายสาวกของพระองค์ พวกเขาประทับใจอย่างสุดซึ้งกับพระราชกิจของพระองค์  ความนิยมของพระองค์ในแคว้นกาลิลีเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับความทะเยอทะยานของพวกเขา พวกเขายังคงหวังว่าพระองค์จะให้หลักฐานเพื่อแสดงถึงอำนาจของพระองค์ซึ่งจะทำให้พวกฟาริสีเห็นตามที่พระองค์ทรงอ้างไว้  หากพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์พระเจ้าแห่งชนชาติอิสราเอลก็จะเป็นเช่นไรละ!  พวกเขาเก็บถนอมความคิดนี้ไว้ด้วยความพึงพอใจอย่างภาคภูมิใจ  {DA 450.1}

ด้วยความกระวนกระวายใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมากจนพวกเขาเร่งเร้าให้พระคริสต์เดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  “จงออกจากที่นี่” พวกเขากล่าว "ไปแคว้นยูเดียเพื่อให้พวกสาวกเห็นกิจการที่กำลังทำอยู่  เพราะว่าไม่มีใครแอบทำอะไรเงียบๆ ในเมื่ออยากให้ตัวเองปรากฏ ถ้าจะทำสิ่งเหล่านี้ก็จงแสดงตัวให้ปรากฏต่อโลกเถิด”  คำว่า "ถ้า" นี้แสดงออกถึงความสงสัยและความไม่เชื่อ  พวกเขาถือว่าพระองค์ขี้ขลาดและอ่อนแอ  ถ้าพระองค์รู้ตัวว่าตนเองเป็นพระเมสสิยาห์ ทำไมถึงเก็บตัวและไม่ทำอะไรอย่างน่าประหลาดเช่นนี้เล่า?  หากพระองค์ทรงมีอำนาจเช่นนี้ ทำไมไม่เดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความกล้าและยืนยันในสิ่งที่ตนอ้างเล่า?  ทำไมไม่ปฏิบัติพระราชกิจอันยอดเยี่ยมที่รายงานเกี่ยวกับพระองค์ในแคว้นกาลิลีที่กรุงเยรูซาเล็มเล่า?  พวกเขาบอกว่า อย่ามัวแต่เก็บตัวในอาณาเขตที่ห่างใกลโดดเดี่ยวและประกอบกิจยิ่งใหญ่เพื่อประโยชน์ของชาวนาและชาวประมงที่ไร้ความรู้  ให้ไปเสนอตัวเองในเมืองหลวง ดึงพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองให้มาสนับสนุน และร่วมมือจัดตั้งอาณาจักรใหม่  {DA 450.2}

น้องๆ ของพระเยซูใช้เหตุผลจากแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัวที่บ่อยครั้งพบได้ในใจของคนเหล่านั้นที่มีความทะเยอทะยานต้องการแสดงออกอย่างโอ่อวด  วิญญาณเช่นนี้เป็นวิญญาณที่ปกครองชาวโลก  พวกเขาขุ่นเคืองเพราะแทนที่จะแสวงหาบัลลังก์ทางโลกพระคริสต์ทรงประกาศว่าทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต  พวกเขาผิดหวังเมื่อสาวกจำนวนมากละทิ้งพระองค์  พวกเขาเองก็หันออกจากพระองค์เพื่อหลีกหนีกางเขนของการยอมรับสิ่งที่พระราชกิจของพระองค์เปิดเผยว่าพระองค์ทรงเป็นพระองค์ที่พระเจ้าประทานให้โลก  {DA 451.1}

"พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกน้องนั้นได้ทุกเมื่อ โลกเกลียดชังพวกน้องไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย  พวกน้องจงขึ้นไปที่งานเทศกาล เราจะไม่ขึ้นไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา’  เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้วพระองค์ก็ประทับในแคว้นกาลิลีต่อไป”  น้องๆ ของพระองค์พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงอำอาจเพื่อกำหนดทางเดินให้พระองค์ปฏิบัติตาม  พระองค์ทรงโยนคำตำหนิกลับไปหาพวกเขา ไม่ทรงจัดพวกเขาให้อยู่ในกลุ่มของสาวกที่ละทิ้งตน แต่จัดรวมกับชาวโลก “โลกเกลียดชังพวกน้องไม่ได้” พระองค์ตรัส “แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย”  โลกนี้ไม่เกลียดชังคนที่มีจิตวิญญาณเหมือนกันกับโลกนี้  โลกรักพวกคนเหล่านี้ราวกับว่าเป็นของมันเอง  {DA 451.2}               

สำหรับพระคริสต์แล้วโลกไม่ได้เป็นสถานที่ไร้กังวล สะดวกสบายและมุ่งใฝ่หาผลประโยชน์เพื่อตนเอง  พระองค์ไม่ทรงเฝ้าคอยโอกาสเพื่อยึดอำนาจและความรุ่งเรืองของโลก  โลกไม่มีรางวัลดังกล่าวยื่นให้กับพระองค์  โลกเป็นสถานที่ซึ่งพระบิดาของพระองค์ทรงบัญชาให้พระองค์เสด็จมา  ทรงโปรดประทานชีวิตของพระองค์ให้แก่โลกเพื่อประกอบกิจแผนการยิ่งใหญ่แห่งการไถ่โลกให้รอด  พระองค์ทรงประกอบกิจให้แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ล้มลงในบาป  แต่พระองค์จะต้องไม่อวดดีทึกทักเอาเอง ไม่เร่งเข้าสู่ภัยอันตราย ไม่เร่งเข้าหาวิกฤต  เหตุการณ์แต่ละฉากมีเวลาที่กำหนดไว้แล้ว พระองค์ทรงต้องคอยด้วยความอดทน  พระองค์ทรงทราบดีว่าจะต้องได้รับความเกลียดชังของโลก พระองค์ทรงทราบดีว่าพระราชกิจของพระองค์จะนำไปสู่ความตาย แต่การเอาตัวเข้าไปก่อนถึงกำหนดเวลาจะไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระบิดาของพระองค์ {DA 451.3}                

จากกรุงเยรูซาเล็มมีรายงานว่ากิตติศัพท์เรื่องการอัศจรรย์ของพระคริสต์ได้แพร่ไปยังทุกที่ที่ชาวยิวกระจัดกระจายไป และแม้ว่าเป็นเวลาหลายเดือนมาแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสด็จไปเข้าร่วมงานเทศกลเลี้ยง แต่ประชาชนก็ยังไม่ลดละที่จะสนใจพระองค์  หลายคนจากทั่วทุกมุมโลกที่มาร่วมเทศกาลอยู่เพิงตั้งความหวังที่จะได้พบพระองค์  ในช่วงเริ่มต้นของงานเทศกาลมีคนมากมายถามถึงพระองค์  พวกฟาริสีและพวกผู้ปกครองมองหาการเสด็จมาของพระองค์โดยหวังว่าจะมีโอกาสกำหนดโทษพระองค์  พวกเขาถามด้วยใจจดใจจ่อว่า "คนนั้นอยู่ที่ไหน? " แต่ไม่มีใครรู้  ในใจของพวกเขาคิดถึงพระองค์มาเป็นอันดับหนึ่ง  ด้วยความกลัวพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง จึงไม่มีใครกล้ายอมรับพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์และทุกแห่งหนมีการพูดคุยถึงพระองค์อย่างเงียบๆ แต่กระนั้นอย่างเอาจริงเอาจัง  หลายคนเข้าข้างพระองค์ว่าทรงเป็นพระองค์ที่พระเจ้าประทาน ในขณะที่คนอื่นๆ ประณามว่าพระองค์ทรงเป็นผู้หลอกลวงประชาชน  {DA 451.4}         

ในขณะเดียวกัน พระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็มอย่างเงียบๆ แล้ว  พระองค์ทรงเลือกเส้นทางที่คนมักใช้ไม่บ่อยนักเพื่อหลีกเลี่ยงคนเดินทางที่มุ่งหน้าจากทุกทิศไปยังเมืองหลวง  หากพระองค์ทรงเข้าร่วมกลุ่มคนเดินทางใดสักกลุ่มที่มุ่งหน้าไปยังเทศกาลแล้ว ข่าวนี้คงจะดึงดูดความสนใจในขณะที่พระองค์ทรงก้าวเข้าสู่เมืองหลวงและการแสดงออกอย่างนิยมชมชอบเข้าข้างพระองค์ การปรากฏตัวเช่นนี้จะปลุกให้ผู้มีอำนาจต่อต้านพระองค์  เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เช่นนี้ พระองค์ทรงเลือกเดินทางโดยลำพัง  {DA 452.1}         

ในท่ามกลางเทศกาลขณะที่ความตื่นเต้นเรื่องพระองค์มาถึงจุดสูงสุดนั้น พระองค์เสด็จเข้าไปยังลานพระวิหารต่อหน้าฝูงชน  เนื่องจากพระองค์ไม่ทรงอยู่ในงาน จึงมีการพูดกันอย่างกว้างขวางว่าพระองค์ไม่กล้าเอาตัวเองเข้ามาอยู่ท่ามกลางอำนาจของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง  คนทั้งหมดแปลกใจเมื่อพระองค์ทรงปรากฏตัว  ทุกเสียงเงียบไป ทุกคนประหลาดใจกับความภูมิฐานและความกล้าหาญของพระองค์ที่ทรงปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางศัตรูที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ที่กระหายชีวิตของพระองค์  {DA 452.2}                  

พระเยซูประทับอยู่ท่ามกลางความสนใจของฝูงชนขนาดใหญ่ ตรัสกับพวกเขาด้วยคำพูดที่ไม่มีมนุษย์คนใดเคยเอ่ยมาก่อน  พระดำรัสของพระองค์แสดงออกถึงความรู้ในเรื่องพระบัญญัติและสถาบันของชนชาติอิสราเอล เรื่องระบบการถวายบูชาและคำสอนของผู้เผยพระวจนะที่เหนือกว่าของพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์มาก  พระองค์พังทลายสิ่งกีดขวางของพิธีการและธรรมเนียมประเพณี  ดูเหมือนว่าภาพของชีวิตในอนาคตแผ่ออกต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์  ในฐานะพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ทรงมองเห็นพระเจ้าที่ตาเปล่ามองไม่เห็น พระองค์ตรัสด้วยอำนาจอย่างหนักแน่นถึงเรื่องของทางโลกและของแผ่นดินสวรรค์ เรื่องของมนุษย์และของพระเจ้า  พระดำรัสของพระองค์นั้นชัดถ้อยชัดคำและโน้มน้าวใจและอีกครั้งหนึ่งเหมือนเช่นที่เมืองคาเปอรนาอูม ประชาชนต่างตะลึงด้วยความอัศจรรย์ใจในคำสอนของพระองค์ "เพราะพระดำรัสของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ" ลูกา 4 ข้อที่ 32  ด้วยการใช้ตัวอย่างหลากหลาย พระองค์ทรงเตือนผู้ฟังถึงหายนะที่จะตามทุกคนที่ปฏิเสธพระพรที่พระองค์เสด็จมาประทาน  พระองค์ประทานการพิสูจน์ทุกประการที่จะทำได้เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์เสด็จมาจากพระเจ้าและพยายามทุกวิถีทางเพื่อนำพวกเขาให้กลับใจ  พระองค์จะไม่ถูกคนในชาติตัวเองปฏิเสธและประหารหากพระองค์จะช่วยพวกเขาให้หลุดพ้นจากความผิดของการกระทำนี้  {DA 452.3}

ทุกคนพิศวงในความรู้ของพระองค์เรื่องธรรมบัญญัติและคำพยากรณ์และต่างคนต่างถามกันว่า "คนนี้รู้พระธรรมได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยเรียนเลย?"  ไม่มีใครคนใดจะมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นครูสอนศาสนานอกเสียจากว่าเขาเคยผ่านการอบรมจากโรงเรียนของพวกธรรมจารย์และทั้งพระเยซูและยอห์นผู้ให้บัพติศมาถูกยกขึ้นเป็นตัวอย่างของคนไม่มีความรู้ เพราะไม่เคยเข้ารับการอบรมเช่นนี้  ผู้ที่เคยได้ยินทั้งสองนี้ตะลึงใจในความรู้เรื่องพระคัมภีร์ "ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย?"  แท้จริงแล้ว  พวกเขาไม่ได้เรียนจากมนุษย์ แต่พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงเป็นพระอาจารย์ของพวกเขา และทั้งสองนี้ได้รับพระปัญญาสูงที่สุด  {DA 453.1}             

ขณะที่พระเยซูตรัสในลานพระวิหาร ประชาชนฟังด้วยความตะลึง  คนที่ต่อต้านพระองค์อย่างรุนแรงที่สุดบัดนี้หมดหนทางที่จะทำอันตรายพระองค์  พวกเขาลืมผลประโยชน์อื่นๆ ไปแล้วชั่วขณะหนึ่ง  {DA 453.2}         

วันแล้ววันเล่าพระองค์ทรงสั่งสอนผู้คนจนถึง "วันสุดท้ายของเทศกาลซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น"  เช้าวันนี้ ประชาชนเหนื่อยล้าจากช่วงเทศกาลที่ยาวนาน  ทันใดนั้นพระเยซูทรงเปล่งพระสุรเสียงของพระองค์ด้วยน้ำเสียงที่ดังไปทั่วลานพระวิหารว่า  {DA 453.3}                  

"ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’"  สภาพของผู้คนทำให้พระดำรัสเชิญชวนนี้มีพลังอำนาจ  พวกเขาร่วมฉลองมาอย่างต่อเนื่องด้วยภาพที่เอิกเกริกและรื่นเริงของเทศกาล  แสงและสีทำให้ตาพร่าไป และหูได้ยินเสียงดนตรีไพเราะยิ่งใหญ่  แต่ไม่มีสิ่งใดในพิธีกรรมรอบแล้วรอบเล่าที่จะสนองความต้องการทางฝ่ายวิญญาณจิต ไม่มีสิ่งใดที่ไม่เสื่อมสลายจะดับความกระหายของจิตวิญญาณ  พระเยซูทรงเชิญพวกเขาให้มาและดื่มจากน้ำพุแห่งชีวิตซึ่งจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวของเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ {DA 453.4}          

ในเช้าวันนั้นปุโรหิตประกอบพิธีซึ่งรำลึกถึงการตีก้อนหินในถิ่นทุรกันดารแล้ว  หินก้อนนั้นเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงพระองค์  โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์จะทำให้สายน้ำแห่งความรอดอันมีชีวิตไหลไปสู่ทุกคนที่กระหาย  พระดำรัสของพระคริสต์เป็นน้ำแห่งชีวิต  ณ ตรงบริเวณแห่งนั้นที่อยู่ต่อหน้าที่ชุมนุมชนที่มารวมตัวกัน พระองค์ทรงแยกพระองค์เองออกมาเพื่อให้ถูกตี เพื่อน้ำแห่งชีวิตจะไหลไปยังโลก  ด้วยการตีพระคริสต์อย่างแรง ซาตานคิดที่จะทำลายพระเจ้าผู้ทรงเป็นเจ้าชายแห่งชีวิต แต่จากพระศิลาที่ถูกตีนั้นมีน้ำแห่งชีวิตไหลออกมา  ขณะที่พระเยซูตรัสกับประชาชน หัวใจของพวกเขาก็ตื่นเต้นด้วยความกลัวเกรงที่ประหลาด  และหลายคนพร้อมที่จะร้องอุทานพร้อมกับหญิงชาวสะมาเรียว่า "ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก" ยอห์น 4 ข้อที่ 15  {DA 454.1}              

พระเยซูทรงทราบความขาดสนของจิตวิญญาณ  ความเอิกเกริก ความร่ำรวยและเกียรติยศสนองความต้องการของหัวใจไม่ได้  "ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา"  คนร่ำรวย คนยากจน คนชนชั้นสูง คนชนชั้นต่ำจะได้รับการต้อนรับที่เหมือนกัน  พระองค์ทรงสัญญาว่าจะบรรเทาจิตใจที่แบกภาระ ปลอบโยนคนเศร้าโศกและประทานความหวังแก่ผู้ที่สิ้นหวัง  หลายคนที่ฟังพระเยซูอยู่นั้นเป็นผู้โศกเศร้าเพราะความผิดหวัง หลายคนเก็บความทุกข์ใจไว้อย่างลับๆ หลายคนแสวงหาทางที่จะสนองความปรารถนาสิ่งของทางโลกและคำสรรเสริญของมนุษย์อย่างกระสับกระส่าย  แต่เมื่อได้มาทั้งหมดแล้ว พวกเขาค้นพบว่าการตรากตรำทำงานอย่างหนักไปนั้นก็เพื่อจะได้แค่ถังน้ำแตก ซึ่งดับกระหายของพวกเขาไม่ได้เลย  ท่ามกลางความเจิดจ้าของภาพแห่งความชื่นใจ  พวกเขายืนอยู่อย่างไม่พึงพอใจและอย่างเศร้าใจ  ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “ถ้าใครกระหาย” ซึ่งเป็นเสียงที่ทำให้พวกเขาตกใจจากการใคร่ครวญอย่างศร้าใจและเมื่อพวกเขาฟังถ้อยคำแล้ว จิตใจของพวกเขาก็ถูกปลุกขึ้นมาด้วยความหวังใหม่  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงสัญลักษณ์ต่อหน้าพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะเห็นถึงของประทานแห่งความรอดอันหาค่ามิได้  {DA 454.2}

พระสุรเสียงของพระคริสต์ที่มาถึงจิตวิญญาณที่กระหายน้ำยังคงดังก้องออกไป และทรงเชิญชวนพวกเราด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าที่ผู้คนในพระวิหารได้ยินในวันสุดท้ายของงานเทศกาล  น้ำพุนี้เปิดไว้ให้แก่ทุกคน  คนทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าจะได้รับความสดชื่นจากน้ำแห่งชีวิตนิรันดร์  พระเยซูยังทรงเชิญว่า "ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม"  TKJV  "คนที่กระหายเชิญเข้ามา ใครที่มีใจปรารถนา จงมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย"  "แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์"  วิวรณ์ 22 ข้อที่ 17; ยอห์น 4 ข้อที่ 14  {DA 454.3}                

********