Post date: Sep 12, 2013 5:46:26 AM
พระเจ้าทรงใช้วิธีมากมายเพื่อนาเราให้มารู้จักพระองค์และนาเราเข้ามาสื่อสัมพันธ์กับพระองค์ ธรรมชาติไม่เคยหยุดเตือนความรู้สึกของเรา จิตใจที่เปิดกว้างจะซาบซึ้งในความรักและพระสิริของพระเจ้าที่เปิดเผยผ่านพระหัตถกิจของพระองค์ หูที่ตั้งใจฟังจะได้ยินและเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้สื่อผ่านสรรพสิ่งในธรรมชาติ ทุ่งนาเขียวชะอุ่ม ต้นไม้สูงตระหง่าน ดอกตูมและดอกบาน ก้อนเมฆที่ลอยผ่านไปมา สายฝนที่ตกลงมา เสียงน้าไหลของลาธาร รัศมีเจิดจ้าของท้องฟ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนพูดกับจิตใจของเราและเชิญชวนให้เรามาทาความรู้จักพระผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งเหล่านั้น {SC 85.1}
พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงนาบทเรียนอันมีค่าของพระองค์มาเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆในธรรมชาติ ต้นไม้ นก ดอกไม้ในหุบเขา เนินเขา ทะเลสาบ และท้องฟ้าที่สวยงาม รวมทั้งเหตุการณ์และสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตประจาวันของเรา พระองค์นาสิ่งเหล่านี้มาเชื่อมต่อกับพระวจนะแห่งความจริง เพื่อเราจะจดจาบทเรียนต่างๆของพระองค์อยู่เสมอ แม้ในช่วงเวลาที่เรากาลังยุ่งอยู่กับภาระกิจในชีวิตของเราก็ตาม {SC 85.2}
พระเจ้าทรงประสงค์ให้เหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์พึงพอใจในพระหัตถกิจของพระองค์และชื่นชมกับความงามอันเรียบง่ายและสงบเงียบที่พระองค์ทรงใช้ประดับบ้านของเราในโลกนี้ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่รักความสวยงาม และเหนือความงดงามภายนอกใด ๆ พระองค์ทรงโปรดปรานอุปนิสัยที่งดงามมากยิ่งกว่า พระองค์ทรงประสงค์ให้เราบ่มเพาะนิสัยที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ซึ่งเป็นเหมือนความงดงามที่เรียบง่ายของดอกไม้ทั้งปวง {SC 85.3}
ถ้าหากเราเพียงแต่ยอมฟัง สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจะสอนบทเรียนแห่งการเชื่อฟังและการวางใจที่มีคุณค่ายิ่งให้แก่เรา นับตั้งแต่ดวงดาวบนท้องนภาที่โคจรไปในอวกาศตามเส้นทางของมันจากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่งโดยที่ดวงดาวเหล่านั้นไม่มีลู่ทางให้มันเดิน จนถึงอะตอมขนาดเล็กที่สุด ทุกสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติเชื่อฟังตามพระบัญชาของพระผู้สร้าง และพระเจ้าทรงใส่พระทัยทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง และพระองค์ทรงบารุงรักษาสิ่งเหล่านั้น พระองค์ทรงค้าจุนโลกจานวนนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล และในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงใส่พระทัยต่อความต้องการของนกกระจอกสีน้าตาลตัวน้อย ๆ ที่ร้องเพลงอย่างแผ่วเบาโดยปราศจากความกลัว พระบิดาบนสวรรค์ทรงเฝ้ามองดูมนุษย์ทุกคนด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าจะเป็นในขณะที่พวกเขาออกทางานตรากตราของชีวิตประจาวัน พระองค์ทรงเฝ้าเช่นเดียวกับในขณะเมื่อเขาอธิษฐานอยู่ เมื่อเขานอนลงในยามค่าคืน และเมื่อเขาลุกขึ้นในเวลาเช้า เมื่อคนร่ารวยเลี้ยงฉลองกันในคฤหาสน์ หรือเมื่อคนยากจนกับลูก ๆ นั่งล้อมรอบโต๊ะอาหารที่มีอาหารแต่เพียงเล็กน้อย ไม่มีหยาดน้าตาใดที่ไหลออกมาโดยที่พระเจ้าไม่ได้สังเกต ไม่มีรอยยิ้มใดที่พระองค์ไม่ได้เห็น {SC 85.4}
หากเราจะเชื่อเช่นนี้ด้วยความเต็มใจแล้ว เราก็จะขจัดความกังวลที่ไม่จาเป็นทั้งหมดออกไปได้ ชีวิตของเราจะไม่เต็มไปด้วยความผิดหวังเหมือนกับสภาพที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เพราะทุกสิ่ง ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็กน้อยสักเพียงใด จะจัดวางไว้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ความกังวนใจมากมายหลากหลายและภาระที่หนักจะไม่ไปรบกวนพระองค์ แล้วจิตวิญญาณของเราจะได้ชื่นชมกับการพักผ่อนซึ่งคนมากมายปรารถนาที่จะรับ {SC 86.1}
เมื่อท่านรู้สึกประทับใจกับความสวยงามที่ดึงดูดใจของโลกนี้แล้ว ขอให้ท่านลองคิดถึงโลกที่กาลังจะมาถึงในภายภาคหน้า ซึ่งเป็นโลกที่ไม่เคยประสบกับความหายนะของความบาปและความตาย ไม่มีเงามืดแห่งคาแช่งสาปบดบังพื้นผิวของธรรมชาติ ให้ท่านจินตนาการถึงบ้านที่บรรดาคนที่ได้รับความรอดจะไปอยู่อาศัย และขอให้ท่านจดจาไว้ว่า บ้านหลังนั้นจะยิ่งใหญ่กว่าการจิตนาการที่ดีที่สุดของเราจะคิดพรรณนาขึ้นมาได้ จากของประทานมากมายของพระเจ้าที่มีอยู่ในธรรมชาติ เรามองเห็นพระสิริของพระเจ้าได้แค่เพียงเลือนรางเท่านั้น พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึงคือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สาหรับคนที่รักพระองค์” (1 โครินธ์ 2:9) {SC 86.2}
กวีและนักธรรมชาติวิทยามีเรื่องราวมากมายที่จะพูดถึงธรรมชาติ แต่มีเพียงคริสเตียนเท่านั้นที่จะชื่นชมกับความงดงามของโลกด้วยความซาบซึ้งใจที่สุด เพราะพวกเขามองเห็นพระหัตถกิจของพระบิดาและรับรู้ถึงความรักของพระองค์ที่มองเห็นได้ในดอกไม้ พุ่มไม้และต้นไม้ ไม่มีผู้ใดจะเข้าใจความสาคัญของเนินเขาและหุบเขา แม่น้าและทะเลได้อย่างเต็มที่ โดยที่เขามองไม่เห็นว่า สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีไว้ให้แก่มนุษย์ {SC 87.1}
พระเจ้าตรัสกับเราโดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์และโดยผ่านทางอิทธิพลของพระวิญญาณที่มีต่อจิตใจ ในสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของเรา ในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวของเรา หากเราจะเปิดใจกว้างเพื่อเข้าใจสิ่งเหล่านั้น เราจะรับบทเรียนอันมีค่ามากมาย เมื่อผู้ประพันธ์สดุดีได้ติดตามพระราชกิจแห่งการทรงนาของพระเจ้า พระองค์ได้ตรัสว่า “แผ่นดินโลกเต็มไปด้วยความรักมั่นคงของพระเจ้า” “ผู้ใดฉลาดก็ขอให้ฟังสิ่งเหล่านี้ ให้เขาพิจารณาถึงความรักมั่นคงของพระเจ้า” (สดุดี 33:5; 107:43) {SC 87.2}
พระเจ้าตรัสกับเราโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ ในพระวจนะซึ่งได้เปิดเผยไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เราทราบถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์และพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของการไถ่ให้รอด พระวจนะนี้ทาให้เรามองเห็นประวัติศาสตร์ของเหล่าปิตุลาและผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมของพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่ในอดีต พวกเขา “เป็นคนเหมือนอย่างเราทุกประการ” (ยากอบ 5:17) เราเห็นเขาเหล่านั้นต่อสู้กับความท้อแท้เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับเรา เห็นพวกเขาพ่ายแพ้ต่อการทดลองเหมือนกับที่เราประสบ แต่ถึงกระนั้น พวกเขากลับใจและได้รับชัยชนะโดยพระคุณของพระเจ้า และด้วยการมองไปยังคนเหล่านี้ เราจะได้กาลังใจในการปล้าสู้เพื่อความชอบธรรม ในขณะที่เราอ่านเรื่องของประสบการณ์อันมีค่าที่ทรงปรดประทานให้แก่พวกเขา เรื่องของแสงสว่างและความรักและพระพรที่พวกเขาชื่นชอบ และเรื่องของผลงานที่เขาทาโดยพระคุณที่ทรงโปรดประทานให้นั้น พระวิญญาณที่ทรงดลใจเขาเหล่านั้นจะจุดประกายขึ้นในจิตใจของเรา เพื่อให้พวกเราทาตามสิ่งที่บริสุทธิ์นั้น และทาให้เราต้องการมีอุปนิสัยเหมือนเช่นพวกเขา นั่นคือ ได้ดาเนินร่วมไปกับพระเจ้าเหมือนที่พวกเขาเคยทามาแล้ว {SC 87.3}
พระเยซูตรัสถึงพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมว่า “พระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา” (ยอห์น 5:39) และพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวถึงพระองค์มากกว่าพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์กล่าวถึงองค์พระผู้ไถ่ ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางของความหวังแห่งชีวิตนิรันดร์ของเรา พระคัมภีร์ทั้งเล่มกล่าวถึงพระคริสต์ เริ่มตั้งแต่บันทึกครั้งแรกสุดเกี่ยวกับการทรงสร้างโลกที่กล่าวว่า “ในบรรดาที่เป็นมานั้นไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ” (ยอห์น 1:3) จนถึงพระสัญญาสุดท้ายในพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “เราจะมาในเร็ว ๆ นี้แน่นอน” (วิวรณ์ 22:12) เรากาลังอ่านพระราชกิจของพระองค์และคอยฟังพระสุรเสียงของพระองค์ หากท่านต้องการรู้จักพระผู้ช่วยให้รอด ก็ขอให้ท่านศึกษาพระคริสตธรรมคัมภีร์ {SC 88.1}
จงเติมพระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในจิตใจของเราให้เต็มล้น พระวจนะของพระเจ้าเป็นเหมือนน้าพุแห่งชีวิตที่ดับความกระหาย พระวจนะของพระเจ้าเป็นทิพย์อาหารแห่งชีวิตที่มาจากสวรรค์ พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านไม่กินเนื้อและไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน” แล้วพระองค์ทรงอธิบายความหมายของข้อความเหล่านี้ด้วยการตรัสว่า “ถ้อยคาซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้นเป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต” (ยอห์น 6:53, 63) ร่างกายของเราสร้างมาจากสิ่งที่เรารับประทานและดื่มเข้าไป ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณมีลักษณะคล้ายคลึงชีวิตทางฝ่ายกาย สิ่งที่เรานามาไตร่ตรองจะสร้างสมรรถภาพและพละกาลังให้แก่จิตวิญญาณของเรา {SC 88.2}
การไถ่ให้รอดเป็นหัวข้อที่บรรดาเหล่าทูตสวรรค์ปรารถนาจะติดตาม หัวข้อนี้จะเป็นศาสตร์และบทเพลงของบรรดาผู้ที่ได้รับความรอดตลอดทุกยุคสมัยอย่างไม่มีวันสิ้นสุด เรื่องนี้ไม่มีค่าเพียงพอที่จะไตร่ตรองและศึกษาอย่างระมัดระวังในปัจจุบันนี้หรือ พระเมตตาคุณและความรักของพระเยซูอันไม่มีขอบเขต การเสียสละที่พระองค์ทรงกระทาให้แก่เรา เชิญชวนให้เราไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างจริงจังและเคร่งขรึมที่สุด เราจะต้องไตร่ตรองถึงพระลักษณะขององค์พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ทรงเป็นทนายที่รักของเรา เราจะต้องเพ่งพินิจถึงพันธกิจของพระองค์ที่เสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้นจากความบาปของเขา ในขณะที่เราใคร่ครวญเรื่องที่มาจากสวรรค์ ความเชื่อและความรักที่มีอยู่ในตัวของเราก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น และพระเจ้าจะทรงยอมรับคาอธิษฐานของเรามากยิ่งขึ้น เพราะคาอธิษฐานนั้นจะประกอบด้วยความเชื่อและความรักที่เด่นชัดขึ้น พวกเขาจะมีปัญญาและมีความร้อนรน จะมีความวางใจในพระเยซูได้แน่วแน่มากยิ่งขึ้น และในทุก ๆวัน พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์ชีวิตโดยอาศัยอานาจแห่งการช่วยให้รอดของพระองค์ที่ทรงนาทุกคนที่เข้ามาหาพระเจ้าโดยทางพระเยซู {SC 88.3}
เมื่อเราใคร่ครวญถึงความดีรอบคอบขององค์พระผู้ช่วยให้รอด เราก็ปรารถนาที่จะรับการเปลี่ยนแปลงและรับการสร้างใหม่อย่างหมดสิ้นในพระฉายาอันบริสุทธิ์ของพระองค์ จิตวิญญาณจะหิวกระหายที่จะเป็นเหมือนพระองค์ที่เรารักบูชา เมื่อเรานึกคิดถึงพระคริสต์มากขึ้นเพียงไร เราก็จะกล่าวถึงพระองค์ให้ผู้อื่นฟังและเป็นตัวแทนของพระองค์ในโลกนี้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น {SC 89.1}
พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้เขียนให้ผู้คงแก่เรียนเท่านั้น ในทางกลับกัน พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้คนสามัญทั่วไป ด้วยความจริงยิ่งใหญ่ที่จาเป็นต่อความรอดนั้นแจ่มแจ้งชัดเจน ดังเช่นเวลาเที่ยงวัน และจะไม่มีผู้ใดเข้าใจผิดและหลงทางไปได้ นอกจากผู้ที่ทาตามความคิดของตนเองแทนพระประสงค์ของพระเจ้าที่ได้ทรงเปิดเผยไว้อย่างชัดเจน {SC 89.2}
เราจะต้องไม่เชื่อคาพูดของผู้อื่นมากเท่ากับการเชื่อในสิ่งที่พระคัมภีร์สอน แต่เราจะต้องศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง หากเราปล่อยให้คนอื่นคิดแทนเรา พลังความคิดของเราจะพิการไปและความสามารถของเราก็จะหดหายไป พลังสมองอันประเสริฐจะแคระแกร็น เพราะขาดการฝึกฝนในหัวข้อที่มีคุณค่าซึ่งต้องเอาใจใส่จนทาให้ความสามารถในการเข้าใจความหมายลึกซึ้งในพระวจนะของพระเจ้าขาดหายไป ความนึกคิดจะเพิ่มพูนขึ้นถ้านาไปใช้เพื่อติดตามความสัมพันธ์ของเรื่องต่างๆในพระคัมภีร์ โดยเปรียบเทียบข้อพระคัมภีร์ด้วยข้อพระคัมภีร์ และเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณด้วยเรื่องของฝ่ายวิญญาณ {SC 89.3}
ไม่มีสิ่งใดที่จะเสริมสร้างสติปัญญาให้แข็งแกร่งขึ้นได้ดีกว่าการศึกษาพระคัมภีร์ ไม่มีหนังสือเล่มใดที่มีอานาจในการยกระดับความคิด สร้างความกระชุ่มกระชวยให้แก่สติปัญญาได้ดีเท่ากับความจริงอันกว้างขวางและสูงส่งของพระคัมภีร์ ถ้าหากทุกคนจะศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างที่เขาควรจะทาแล้ว มนุษย์จะมีความคิดที่เปิดกว้าง มีอุปนิสัยที่สง่างาม และมีความมุ่งหมายมั่นคงที่มีให้เห็นน้อยมากในยุคนี้ {SC 90.1}
แต่การอ่านพระคัมภีร์อย่างรีบเร่งจะให้ประโยชน์เพียงเล็กน้อย บางคนอ่านพระคัมภีร์จนจบเล่ม แต่มองไม่เห็นความงดงามและไม่เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ภายใน การศึกษาพระคัมภีร์เพียงตอนหนึ่งจนกระทั่งสมองเข้าใจความสาคัญของพระคัมภีร์ข้อนั้นอย่างชัดเจน และมองเห็นหลักฐานที่สัมพันธ์กับแผนการแห่งความรอด จะมีค่ามากยิ่งกว่าการอ่านหลายบทโดยไม่มีเป้าหมายแน่นอนและไม่ได้รับคาสอนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ ขอให้ท่านนาพระคัมภีร์ติดตัวไว้เสมอ เมื่อมีโอกาส ให้เปิดอ่าน ใส่ข้อพระคัมภีร์เข้าไปในความจาของท่าน แม้ในขณะที่เดินอยู่ตามถนน ท่านอาจจะอ่านพระคัมภีร์สักตอนหนึ่งและใคร่ครวญถึงตอนนั้น การทาเช่นนี้จะทาให้สมองจดจาข้อพระคัมภีร์ได้ดี {SC 90.2}
การไม่ใส่ใจศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังและการไม่อธิษฐานจะทาให้เราไม่ได้รับปัญญา มีพระคัมภีร์บางตอนที่กล่าวไว้ชัดเจนมากจนไม่มีทางที่จะเข้าใจผิดได้ แต่ก็มีพระคัมภีร์หลายตอนที่ไม่ได้มีความหมายอย่างผิวเผินที่จะให้เราเข้าใจได้ด้วยการมองแค่เพียงผ่านตา เราจะต้องเอาข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งมาเปรียบเทียบกับข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่ง เราจะต้องค้นคว้าอย่างเอาใจใส่และไตร่ตรองคิดคานึงด้วยการอธิษฐาน และการศึกษาเช่นนี้จะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า คนทาเหมืองได้ค้นพบสายแร่อันมีค่าที่ซ่อนอยู่ภายใต้ผิวโลกเช่นไร ผู้ที่ศึกษาค้นหาพระวจนะของพระเจ้าด้วยความพากเพียรเหมือนเช่นการค้นหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้จะพบความจริงล้าค่าที่สุดเช่นเดียวกัน เป็นความจริงซึ่งถูกปกปิดจากสายตาของผู้ที่แสวงหาอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อจิตใจไตร่ตรองพระวจนะที่ได้รับการดลใจ พระวจนะนั้นก็จะเป็นธารน้าที่ไหลออกมาจากน้าพุแห่งชีวิต {SC 90.3}
อย่าศึกษาพระคัมภีร์โดยไม่อธิษฐาน ก่อนที่จะเปิดหน้าพระคัมภีร์ เราจะต้องทูลขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความกระจ่างแก่เรา และพระองค์จะทรงประทานให้ เมื่อนาธานาเอลมาหาพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า “ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพระองค์ได้อย่างไร” พระเยซูตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกท่าน เมื่อท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นท่าน” (ยอห์น 1:47,48) และพระเยซูจะทรงทอดพระเนตรเราในที่ลี้ลับแห่งการอธิษฐานด้วยเช่นกัน หากเราจะแสวงหาพระองค์เพื่อขอแสงสว่างที่เราจะได้รู้ว่าความจริงคืออะไร ทูตสวรรค์ที่มาจากโลกแห่งความสว่างจะร่วมสถิตอยู่กับผู้ที่แสวงหาการทรงนาของพระเจ้าด้วยจิตใจที่ถ่อมตน {SC 91.1}
พระวิญญาณบริสุทธิ์เชิดชูและถวายเกียรติพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นาเสนอพระคริสต์ ความชอบธรรมอันบริสุทธิ์ของพระองค์และความรอดยิ่งใหญ่ที่เราจะได้รับโดยทางพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “พระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสาแดงแก่ท่านทั้งหลาย” (ยอห์น 16:14) พระวิญญาณแห่งความจริงทรงเป็นพระอาจารย์ผู้สอนเรื่องของพระเจ้าได้อย่างเกิดผลเพียงพระองค์เดียว พระเจ้าทรงประเมินค่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากเพียงไรในการที่พระองค์ได้ทรงประทานพระบุตรของพระองค์ให้ลงมาสิ้นพระชนม์เพื่อเขาและทรงบัญชาพระวิญญาณของพระองค์ให้เสด็จมาเป็นพระอาจารย์และพระผู้ทรงนาของมนุษย์ตลอดไป {SC 91.2}