ประวัติความเป็นมา

ปืนกล ขนาด 7.62 มิลลิเมตร M60 

ในช่วงศตวรรษที่ 20 หลังสงครามเกาหลี สหรัฐมีความต้องการอาวุธปืนกลสนับสนุนทหารราบ และ สามารถติดตั้งบนยานยนต์ต่างๆได้ในระดับหน่วยที่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนที่ การพัฒนาปืนกลเอนกประสงค์สำหรับกระสุนขนาด 7.62x51mmNATO ภายใต้แนวคิด GPMG  (General-purpose machine gun) การออกแบบ นั้นอยู่ระหว่างปืนกลแบบ belt-fed ปืนกลแบบ 1919 ที่ไม่ค่อยมีความคล่องตัว แต่ สามรถประทับบ่ายิงได้แบบ Browning Automatic Rifle (BAR) ต้นแบบที่ถูกนำมาพิจารนาคือ ปืนกล German MG42 จากอัตราการยิงที่น่ากลัวของ MG 42 (1200 นัด ต่อ นาที ) เลยต้องออกแบบอาวุธใหม่นี้ให้มีอัตราการยิงลดลงมา

ในช่วงแรกนั้นอเมริกันนำ MG 42 มาถอดแบบ เป็น US T24 Machine gun ใช้กระสุน ขนาด.30 - 60 ของอเมริกัน

ต่อมามีการส่งแบบเข้าแข่งขัน แบบของ Saco Defense ( General Dynamics ) ได้รับการคัดเลือกโดย ใช้ชื่อว่า T 44 โดยที่มีคุณลักษณะเหมือน

- และ ใช้ระบบแก๊สแบบ Short stroke pistol ระบบปิดแบบ M1 Carbine 

แต่ยังคงใช้กระสุนขนาด .30 - 60 อยู่ จนเมื่อมีการการบบรรจุกระสุน 7.62X51mm NATO  เข้าเป็นกระสุนมาตรฐาน นาโต้

จากนั้นการพัฒนาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในปี 1952 เมื่อพัฒนาเป็น T52 ใช้กระสุนขนาด 7.62×51 NATO โดยการบรรจุกระสุนจากทางด้านข้างและสามารถเปิดฝาครอบห้องลูกเลื่อนได้

การออกแบบ และ การพัฒนา มีอย่างต่อเนื่องเป็นรุ่น T52E1,E2 และ E3 จากนั้น ได้พัฒนามาเป็น T161 และการพัฒนาเริ่มเข้าสู่ความสมบูรณ์แบบ ในรุ่น T161E3

จนกระทั้งในปี 1957 ปืนกล M60 หรือ United States Machine Gun, Caliber 7.62 mm, M60 ได้เข้าสู่สายการผลิต U.S. Ordnance เพื่อรับใช้ชาติ ในสงครามแรกคือ สงครามเวียดนาม  เป็นอาวุธสนับสนุน ให้แก่หน่วยปืนเล็ก ยานยนต์ หรือ อากาศยาน

M60 เป็นปืนกล แบบ พร้อมยิงขณะลูกเลื่อนเปิด open bolt บริหารระบบด้วยก๊าซ Gas-operated, ใช้ลูกสูบช่วงสั้น short-stroke gas piston โดยที่ชุดลูกสูบจะติดตั้งอยู่ใต้ลำกล้องเป็นชุดเดียวกับลำกล้อง ( M60 ก้านลูกเลื่อน Operating rod ยาวมากจนดูเหมือนเป็น Long-stroke ) หน้าลูกเลื่อนขัดกลอน แบบหมุนตัว rotating bolt และปลดกลอนแบบตามเข็มนาฬิกา บังคับด้วย Camming slot ที่ส่งแรงมาจาก Operating rod ที่ท้าย Operating rod  จะมี Buffer คอยรับอยู่

การป้อนกระสุนจากทางด้านซ้ายของตัวปืนโดยสายกระสุน belt-fed มี  ระบบการป้อนกระสุน จะทำงานด้วยBolt cam roller อยู่ท้าย ด้านบนของลูกเลื่อนวิ่งในรางของ Feed cam บังคับให้ Feed cam Lever เคลื่อนที่ในแนวขวาง ตัว Belt feed pawl ดึงป้อนสายกระสุนเข้ามา

อัตราการยิงอยู่ที่ 500 – 650 นัดต่อนาที ระยะหวังผล(รุ่นมาตรฐาน ) 1,100 เมตร มีขาทรายแบบ 2 ขา Bipod ติดตั้งมาพร้อม หรือใช้งานรวมกับขาตั้ง ( ขาหยั่ง ) แบบสามขา Tripod แบบ M122 Tripod,

ในหนึ่งหน่วยยิงจะมีลำกล้อง2ลำกล้องใช้สลับ กันเมื่อลำกล้องร้อน โดยการโยกคันปลดลำกล้องที่อยู่ด้านขวาเหนือโคนลำกล้องขึ้น

M60 มีการพัฒนาและมีรุ่นต่างๆดังนี้

   M60E1: รุ่นนี้ไม่ได้เข้าสู่สายการผลิต.จุดที่แตกต่างจากรุ่นปกติคือหูหิ้วติดตั้งที่ลำกล้อง ระบบกำจัดก๊าซในชุดกระบอกสูบ และขาทราย

   M60E2: ใช้บนยานพาหนะ รถถังหรือ ยานเกราะ แบบปืนกลร่วมแกน ควบคุมการยิงด้วยไฟฟ้า .

   M60B: ใช้บนเฮลิคอปเตอร์ในช่วงยุค 1960 ถึง 1970 แบบไม่มีแท่นวางปืน มันถูกตัดลำกล้องให้สั้นลง ไม่มีขาทราย ไม่มีศูนย์เล็ง พานท้ายแบบตัด

   M60C: ใช้งานบนอากาศยานติดตั้งบนแท่นยิง ช่วง 1960 ถึง 1970  ควบคุ้มการยิงด้วยไฟฟ้า และ มีระบบช่วยยิงแบบไอดรอลิค 

   M60D: พัฒนามาจาก M60B; เป็นรุ่นใช้งานบนเฮลิคอปเตอร์ ติดตั้งบนแท่นยิงแบบเสามีการเปลี่ยนไปใช้ด้ามปืนแบบ Spade-grip pintle mount แบบสองมือ ไม่มีตัวครอบกันความร้อน,.

   M60E3: เป็นรุ่นที่ปรับปรุงให้น้ำหนักเบาลง เปลี่ยนตำแหน่งขาทรายมาใว้กลางลำกล้อง เพิ่มมือจับใต้ลำกล้อง front pistol grip ใช้งานยุค1980 และรุ่นลำกล้องสั้น

   M60E4 พัฒนาในยุค 1990 ลักษณะโยทั่วไปคล้าย E3,แต่มีการปรับปรุง มือจับด้านหน้าเป็นชิ้นเดียวกับรองลำกล้อง มีการออกแบบระบบก๊าซใหม่

Mk43 Mod 0/1:เป็นชื่อที่ กองทัพเรือสหรัฐกำหนดไว้ พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานในหน่วย U.S. Navy SEAL เพื่อทดแทนรุ่น M60E3 มีการใช้ลำกล้องสั้นแบบ " assault barrels " โดยมาตรฐานมาจากรุ่น M60E4 เพียงแต่การใช้งาน นั้นเป็นการใช้งานแบบ การยิงสนับสนุน หรือ การยิงโดยตรง  suppressive fire or direct fire. MK 43 Mod 1นั้นเพิ่มรางติดอุปกรณ์ ที่รองลำกล้องและฝาครอบลูกเลื่อน

   M60E6: เป็นรุ่นที่เบาขึ้นอีกจากรุ่น M60E4. เพื่อใช้งานกับ Danish Army มาทดแทน M/62