อ่านตอนที่ 101-199 https://sites.google.com/site/pttpk2020/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B21-100
ตอนที่ 101 ภาพหน้าที่ 312
ข้อแรกสุดในตอนนี้ ขอเรียนถามอาจารย์ว่า อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้อาจารย์หันมาสนใจคัมภีร์ชั้นพระบาลี* ในขณะที่วงการพุทธศาสนาในเมืองไทยสนใจแต่คัมภีร์ชั้นอรรถกถาเท่านั้น
- เรื่องนี้มันมีอยู่ ๒ ความหมาย ความหมายแรก ที่เราสนใจพระบาลีก็เพราะว่าเรื่องที่มันจะแน่นอนเด็ดขาดชัดแจ้งนั้น มันมีอยู่ในคัมภีร์ชั้นบาลีหรือชั้นพระไตรปิฎก อีกความหมายหนึ่ง การศึกษาในโรงเรียนทั่วไปนั้น เขาจัดให้เรียนคัมภีร์ชั้นอรรถกถาเพื่อจะได้ไปอ่านพระบาลี ถ้าใครเรียนอรรถกถาแตกฉานแล้ว จะอ่านพระบาลีได้ด้วยตนเอง แต่เดี๋ยวนี้ก็ปรากฏว่านักเรียนนักศึกษาที่เรียนสอบประโยคต่างๆได้แล้วก็หยุดอยู่เพียงแค่นั้น ไม่ได้ไปสนใจในตัวพระบาลี เพราะไม่มีอะไรบังคับ ทั้งนี้เพราะการสอบไล่นั้นสอบตามหลักสูตรที่เป็นคัมภีร์อรรถกถา ฉะนั้นจะโทษว่าสนใจกันแต่อรรถกถาก็ไม่ถูก เพราะใช้เป็นหลักสูตรนักเรียนก็ต้องสนใจแต่อรรถกถา ก็ไม่มีโอกาสจะไปสนใจพระไตรปิฎก และมันต้องซื้อต้องหา มันแพง แต่ถ้าเราจะต้องการรู้เรื่องที่เป็นหลัก ก็ต้องสนใจพระบาลีไตรปิฎก
ทีนี้ประชาชนส่วนใหญ่ เขาได้รับคําสั่งสอนแนะนําแต่เรื่องชั้นอรรถกถา ชั้นบาลีอาจจะยากหรือสูงเกินไป ชั้นอรรถกถามันมีเรื่องปาฏิหาริย์ หรือเรื่องทํานองที่อาจจะเอามาขยายให้เข้ารูปแบบกับไสยศาสตร์ได้ สําหรับคนทั่วไปมันสนุกดี ไม่ทําให้ง่วงนอน คัมภีร์อย่างไตรภูมิพระร่วง ก็เกิดขึ้นจากการรวบรวมอรรถกถาทั้งนั้น ประชาชนส่วนมากก็เรียนรู้กันแต่ในระดับนั้น เพราะมีโอกาสเพียงเท่านั้น โดยที่จริงแล้วมันไม่ใช่เจตนาของประชาชน เราต้องการรู้เรื่องโดยตรงก็ต้องค้นจากพระบาลี ข้อเท็จจริงมันมีอยู่อย่างนี้
อาจารย์ครับ ทําไมเขาจึงไม่ใช้พระบาลีเป็นตัวแบบเรียนสําหรับหลักสูตรไปเลย ในเมื่อมันมีข้อความที่ลึกซึ้งและการเรียนก็มีตั้งหลายปีหลายประโยค
- เขาจะเรียนภาษาไม่ใช่เรียนธรรมะ เพราะมีความจริงอยู่ว่า ถ้ารู้อรรถกถาแล้วมันไปอ่านบาลีได้ รู้อรรถกถาของทุกๆขั้นตอนของบาลีแล้ว มันไปอ่านบาลีได้เอง เขาก็ให้เรียนอรรถกถา เพื่อไปเรียนบาลีเอาเอง เป็นเรื่องของส่วนตัว แต่แล้วมันก็ตายด้าน (หัวเราะ) หยุดอยู่เพียงแค่นั้น อันนี้มันเป็นความเห็นของผู้วางหลักสูตรว่า ถ้าอ่านอรรถกถาได้ต้องอ่านชั้นบาลีได้ เพราะว่าภาษาอรรถกถามันยากกว่าชั้นบาลี มันมีหลักเกณฑ์อย่างนี้มาตลอด จนบัดนี้
หลักสูตรทุกประเทศ เป็นแบบนี้หรือเปล่าครับ
- ผมเข้าใจว่าไม่แบบนี้ทั้งหมด ในประเทศพม่าก็มีบางประโยคหรือบางขั้นตอน ให้เรียนพระบาลีโดยตรงก็มี แต่ในเมืองไทยเรียนอรรถกถาล้วนตั้งแต่ต้นจนปลาย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 312
ตอนที่ 102 ภาพหน้าที่ 313-314
ก่อนที่จะมาทําสวนโมกข์ ท่านอาจารย์ได้ค้นพระบาลีไปเพียงใดครับ
- ก่อนที่จะมีความคิดเรื่องสวนโมกข์ เราก็ได้สนใจเรื่องจากพระบาลีอยู่มาก ตอนนั้นก็ยังไม่พ้นการเกี่ยวข้องกับอรรถกถา สนใจเรื่องจากทั้งบาลีและอรรถกถา เราเคยมีความใฝ่ฝันที่จะสร้างหนังสือเป็นเล่มๆ เป็นเรื่องๆไป ที่ทําสําเร็จได้พิมพ์หนังสือเล่มออกไปแล้วก็มีอยู่เล่มหนึ่ง เรียกว่า การทําทาน แม้เพียงเท่านี้ ก็เป็นเหตุให้ต้องค้นบาลีมาก คือเรื่องเกี่ยวกับทานมีอยู่ในที่ไหนเอามาใส่กันเข้า อรรถกถานั้นมันอยู่ใกล้มืออยู่แล้ว แต่ใจความที่สําคัญ ที่ไพเราะที่น่าสนใจมันอยู่ในคัมภีร์ประเภทบาลีทั้งนั้น ดังนั้นแม้ก่อนจะมีความคิดเรื่องสวนโมกข์ มันก็มีความคิดเรื่องจะทําหนังสือเป็นเล่มๆเป็นหลักฐาน มันก็เลยสนใจพระไตรปิฎก ไปหาซื้อพระไตรปิฎกเศษๆอยู่นอกชุด ขายถูกๆอยู่แถวเวิ้งนครเขษม ดังที่เคยเล่าแล้ว (หน้า ๑๑๕ เล่ม ๑)
ตอนนั้นฉบับแปลไทย ฉบับหลวงยังไม่มีใช่ไหมครับ
- ยังไม่มีฉบับแปลไทย มีแต่ที่เขาเรียกว่า ชุดธรรมสมบัติ แปลลงในหนังสือธรรมจักษุ สมัยสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส รวมแล้วได้จํานวนหนึ่งเหมือนกัน พออาศัยเป็นเครื่องมือได้และก็ได้อาศัยฉบับของ โรงพิมพ์ไท ๒-๓ เล่มเท่าที่มันมี เป็นเครื่องช่วยเปรียบเทียบคําแปลต่างๆ นอกจากนั้นก็ดิ้นรนเอาเองเพื่อจะหาคําแปลออกมา แล้วก็อาศัยอรรถกถา อาศัยดิกชันนารีชั้นที่มันดีพิเศษ เช่น ดิกชันนารีของสมาคมบาลีปกรณ์ (Pali Text Society) ของอังกฤษ เรามีตั้งแต่ก่อนมาเริ่มสวนโมกข์แล้ว เขามีมาขายในเมืองไทย ดูจะเป็นระยะที่ยังไม่ได้เย็บรวมเป็นเล่มใหญ่ นึกไม่ค่อยออกแล้วว่าซื้อได้ที่ไหน แต่ว่าไม่ได้สั่งจากนอกเองแน่ นักเลงบาลีในเมืองไทย เขารู้จักหนังสือพวกนี้กัน คนที่เขาเป็นนักเลงจริงๆ เขารู้จักในระดับนาคะ ประทีป เสฐียรโกเศศ เขามีหนังสือพวกนี้ทั้งนั้น
อาจารย์ครับ พอลงมาเริ่มสวนโมกข์ ก็เริ่มค้นต่อตามที่ตั้งใจไว้หรือเปล่าครับ
-พอคิดจะมีสวนโมกข์ มันก็เลยตั้งใจจะค้นแต่เรื่องเกี่ยวกับปฏิบัติกัมมัฏฐานวิปัสสนา เรื่องอื่นเช่นเรื่องการทําทาน อะไรพวกนี้เลิกค้น เลิกสนใจ เท่าที่เรี่ยวแรงและเวลามี มันก็เกือบจะไม่พอที่จะค้นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติทางจิตใจอยู่แล้ว เพราะต้องเริ่มสํารวจกันอีกที่หนึ่ง
ขอความกรุณาเล่าถึงวิธีการค้นคว้าเช่นตั้งเค้าโครงอย่างไร เลือกเจาะศึกษาอย่างไร อ่านตามลําดับเรื่อยๆหรืออย่างไร
- มันก็เหมือนกับที่เคยบอกวันก่อนแล้วว่าอยากจะมีหนังสือที่เป็นโครงปฏิบัติโดยสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาก็ใช้ชื่อ ตามรอยพระอรหันต์ เล่มนี้ ใช้เวลานานติดต่อกันมา มันก็ผ่านพระไตรปิฎกทุกเล่ม เพื่อจะหาเฉพาะเรื่องที่ใช้ตามรอยพระอรหันต์ได้ ค้นไปค้นมาได้ออกมาพอสมควรที่จะเขียนเป็นเรื่องตามรอยพระอรหันต์ได้ภาคหนึ่ง ตั้งแต่ได้ฟังเทศน์และก็พอใจในพุทธคุณ ออกบวช และก็ปฏิบัติตามลําดับจนไปถึงขั้นออกป่า ตอนจะปฏิบัติกัมมัฏฐานโดยตรงไม่ทันได้เขียน มันค้างเติ่ง ทิ้งระยะห่างกันหลายปี เพิ่งจะได้มาเขียนกันใหม่ในรูปที่เรียกว่า "อานาปานสติ" เป็นหนังสือ อานาปานสติภาวนา สําเร็จเป็นหนังสือเล่มใหญ่ ก็ถือว่าต่อยอดเรื่องตามรอยพระอรหันต์นั้นเอง
เวลาอาจารย์อ่านเพื่อเก็บเรื่อง "ตามรอยพระอรหันต์" ซึ่งสําเร็จเฉพาะเรื่องศีลนั้น อาจารย์เก็บทั้งศีล สมาธิ ปัญญาไว้แล้ว หรือเก็บเฉพาะศีลครับ
-อ้าว ที่แรกก็สํารวจหมด แล้วกะไว้ตอนไหนเป็นตอนไหน แล้วลงมือเขียนตั้งแต่ตอนแรกๆมาตามลําดับ ตามรอยพระอรหันต์นั้นเรื่องศีลใช้หลัก จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แทนการใช้หลักปาฏิโมกข์
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 313-314
ตอนที่ 103 ภาพหน้าที่ 314-315
อาจารย์อ่านพระบาลีแล้วอ่านอรรถกถาเทียบไปด้วยหรือเปล่า อย่างธุดงค์นี่ต้องอาศัยวิสุทธิมรรคด้วยหรือเปล่า
- ก็อาศัยเหมือนกัน ถ้ามันมีอยู่ที่ไหนบ้างก็เอามาเป็นเครื่องช่วย แต่เรามีหลักแน่นอนว่าจะเอาตามข้อความในพระบาลี คือว่าถ้าอ่านแล้วมันติดเอาเรื่องไม่ได้ จึงเปิดอรรถกถาเพื่อจะเอาเรื่องให้ได้ ก็ต้องใช้คู่กันมา ภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยมี ตอนนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องสมาคมบาลีปกรณ์ ฉบับภาษาอังกฤษนี่ มาเริ่มใช้ตอนหลังๆตั้ง ๒๐ ปีของการมีสวนโมกข์แล้ว มันจึงมาเกี่ยวข้องกับฉบับภาษาอังกฤษมากขึ้น เพื่อเป็นเครื่องช่วยเปรียบเทียบ ไม่ได้เอาจริงจังเพราะว่าตัวจริงมันอยู่ในบาลีแล้ว และเราก็เชื่อของเราเอง ที่เอาจากบาลี ไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องที่คนอื่นแปลแม้แต่ฝรั่ง เราทําไปตามมีตามได้ทําตามสะดวกที่จะมีมา ระยะแรกฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษดูจะมีสักเล่มหนึ่ง เอามาศึกษาเทียบบ้างและก็หายาก และเพิ่มมีฉบับบาลีแปลอังกฤษของ ๓ นิกายแรก เมื่อได้ไปประชุมที่พม่า (๒๔๙๗) แวะร้านขายหนังสือและก็ไม่แพง ก็ซื้อมาหลายเล่ม
การค้นคว้าพระไตรปิฎกมีรสชาติเหมือนการเสพคบกับนางฟ้า(วาณี*)จริง ๆ อย่างที่อาจารย์เคยเขียนไว้หรือเปล่าครับ
- มันเพลินๆเป็นคําที่เขาพูดไว้ก่อนและเราก็ใช้เป็นเครื่องปลุกปลอบตัวเองให้พอใจให้สุดเหวี่ยง และมีลักษณะพอจะเปรียบเทียบได้คล้ายๆกับเกิดความหลงใหลจนไม่อยากจะทําอะไร รู้สึกเป็นของแปลกของใหม่ที่ไม่เคยได้ยิน ดูจะเชื่อว่าหลายๆคนก็คงไม่เคยได้ยิน ความแปลกของคําพูดมันช่วยให้พอใจในฐานะเป็นของแปลกและลึกซึ้ง นี่เป็นลักษณะมัวเมาในแง่ของปริยัติ บางยุคบางสมัยมันหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องอย่างนี้เป็นเนื้อเป็นตัวของวันคืนแห่งการศึกษา เวลากําลังสนุกมันก็สนุกจริงๆเหมือนกัน มันมีอยู่เป็น ระยะเป็นช่วงๆ
อาจารย์ครับ ระหว่างค้นนั้นเคยท้อถอยหมดกําลังใจคิดจะเลิกไหมครับ เช่นเวลาอ่านแล้วตีความไม่แตก
- ไม่เคยมี เมื่อยังไม่รู้และตีความไม่แตก ก็เก็บไว้ก่อนบันทึกไว้ก่อน ต่อมาก็ค่อยๆรู้ พบนั้นพบนี้ก็รู้ขึ้นมาเอง ความที่อยากจะค้นของที่ไม่เคยมีคนรู้ให้ออกมาสู่ประชาชนมันมีมาก มันมีลักษณะกิเลส เหมือนกับว่าจะอวดว่าเป็นผู้เปิดเผยสิ่งที่ยังไม่เคยเปิดเผย กิเลสอย่างนี้ก็มี ทําให้สนุก ฉะนั้นจึงมีเรื่องอะไรหลายเรื่องถูกเปิดเผยออกมา เพราะเราเป็นผู้เปิดเผย ก่อนนี้คําว่าปฏิจจสมุปบาท* เรื่องสุญญตา* เรื่องตถาตา* นั้นชาวบ้านพูดไม่เป็นหรอก (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้ชาวบ้านก็พูดเป็นกันบ้างแล้ว
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 313-314
* 39.วาณี ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
* ท่านเขียนเล่าลักษณะของตัวท่านเองว่า
เกิดในตระกูล "พานิช" บรรพบุรุษ ทำการค้า, ตัวเองก็เคย บัดนี้เปลี่ยนมาเป็นพ่อค้าทางวิญญาณ ในนามว่า พุทธทาส, เป็นลูกเขย ของพระพุทธเจ้า แต่งงานกับวาณี* โดยพิธีรีตองยิ่งกว่ามโหฬาร แต่ไม่มีใครรู้กันกี่คน.
ทำชีวิตโวหาร ตามแบบของพระพุทธเจ้า มิใช่ตามแบบประเพณีเก่า ซึ่งเป็นเรื่องทางวัตถุหรือทางโลก; กำลังมีกำไรเพิ่มขึ้นตามควรแม้ยังไม่ถึงที่สุด, ทำประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น ให้เกิดขึ้นได้เป็นที่พอใจ ชนิดนอนเป็นสุข กว่าคนธรรมดามากอยู่เหมือนกัน.
มีร้านค้าประจำถิ่น ชื่อสวนโมกขพลาราม, ขายของไม่คิดเงิน, มีสินค้าชื่อ "ธรรมโฆษณ์" * สำหรับคนทุกชั้น ทุกวัย ทุกชนิด ทุกเพศ, ยิ่งกว่าห้างสรรพสิ้นค้า.
แต่ก็มีเหมือนกัน ที่บางคนไม่สนใจ แล้วหาว่า ขายของปลอม, พากันด่า คิดทำลายล้าง ใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา แต่ร้านของเราก็ไม่ล้มกลับมีคนสนใจเพิ่มขึ้นอีก.
บัดนี้ ข้าพเจ้าอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว ก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องหยุดการค้า กลับจะทำได้ดี แคล่วคล่อง ว่องไว ไปกว่าเดิมไปเสียอีก, ซ้ำอบรมผู้สนใจให้เข้าใจ สามารถดำเนินรอยตามได้จำนวนหนึ่ง
หวังว่า ท่านทั้งหลาย คงจะรู้จักข้าพเจ้าตามที่เป็นจริงยิ่งขึ้น ให้ข้าพเจ้า และร้านของข้าพเจ้ารับใช้ท่าน ให้ดีที่สุด ยิ่งๆ ขึ้นไป, ตถาตา!
#พุทธทาสภิกขุ #ธรรมะ_สวนโมกข์กรุงเทพ #BIA_Instagram
* ชุดธรรมโฆษณ์ โดย พุทธทาสภิกขุ
* ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
ตอนที่ 104 , ภาพหน้าที่ 315-317
อาจารย์อ่านวันละกี่ชั่วโมงครับ
- มันไม่ได้ตั้งกําหนด ตามสะดวก บางวันก็มีธุระอย่างอื่น ก็ไม่ได้อ่าน ระหว่างอยู่ที่สวนโมกข์พุมเรียง ส่วนมากอ่านตอนกลางคืน เป็นเหตุให้ต้องใช้ตะเกียงหลอด ก่อนนี้ใช้ตะเกียงนํ้ามันมะพร้าว ลอยใส่ไว้ในถ้วย มันไม่สะดวก จึงต้องใช้ตะเกียงหลอด เพราะมันต้องคัดบ้าง ต้องพิมพ์ดีดบ้าง เมื่อมาอยู่สวนโมกข์นั้น ก็คิดว่ามันไม่ต้องการใช้พิมพ์ดีดอีกต่อไป ก็เลยให้ที่คณะธรรมทาน เอ้า! พอมาทําหนังสือเข้าเลยจําเป็นต้องใช้อีก จึงขอคืนมาใช้อีก ใช้กันตลอดเวลาที่ต้องทําต้นฉบับลงหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา หรือส่งโรงพิมพ์ ลองคิดดูคนเดียวทําทุกอย่าง มันจะทําได้สักกี่มากน้อย ค้นคว้า เขียนคัดลอก พิมพ์ดีด คนเดียวทํา
อาจารย์อ่านแล้วผ่านไปแล้วมาทบทวนใหม่ หรืออ่านแล้วหยุดคิดเป็นตอน ๆ
- มันจะต้องอ่านเพื่อเก็บสิ่งที่เราต้องการ แล้วคัดลอกออกมาเพื่อเอามาใช้เอามาอ้างอิง เอามาชนกัน แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่แปลโดยตรงได้ ก็แปลโดยตรง ส่งลงหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ฝ่ายพระไตรปิฎกแปล (หัวเราะ) กลายเป็นพระป่าที่ทํางานกับพระไตรปิฎก รู้สึกมันไม่ค่อยมีหรอก ถ้าอยู่ป่าก็อยู่ป่าไปเลย เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นคนเดียวกัน พระป่าที่ทํางานพระไตรปิฎกก็เพื่อความเป็นพระป่า รอบรู้ในเรื่องของพระป่าค้นคว้าเรื่องการเป็นอยู่ในป่า
ระยะแรก การค้นคว้า การเขียนและการปฏิบัติส่วนตัวสัมพันธ์กันอย่างไรครับ
- ปฏิบัติส่วนตัวเท่าที่จะปฏิบัติได้ สวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิตามเวลา พอเสร็จกิจประจําวันเหล่านั้นแล้วก็อ่านหนังสือ (หัวเราะ) รวมความแล้วเวลาที่ทําหนังสือมากกว่า
ข้อเขียนยุคแรก ๆ ผมเห็นมีตอนที่อาจารย์พูดถึงสัทธรรมปฏิรูป**มาก ทีนี้ในการค้นคว้า อาจารย์มีจุดมุ่งหมายที่อยากจะขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปหรือเปล่าครับ
- มันก็เป็นเรื่องประกอบเรื่องหนึ่ง และมันออกจะเลยขอบเขตของความมุ่งหมาย คือมันมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ลงเรื่องกระทบสัทธรรมปฏิรูป เรื่องกาจําศีล เรื่องสุกรยักษ์ นี้มันมีอยู่ในอรรถกถา คุ้ยเรื่องเหล่านี้ออกมาพักหนึ่ง ได้กระทบกระทั่ง (หัวเราะ) ไม่เฉพาะแต่สัทธรรมปฏิรูปหรอก ได้กระทบอลัชชีทั้งหลายด้วย ไอ้สัทธรรมปฏิรูปนั้นพิสูจน์ยากเพราะว่าเขาทํากันมาจนลงรกลงราก คัดง้างยาก แต่ที่บอกไว้ว่า ในพระบาลีว่าอย่างนี้โว้ย ไม่ใช่ว่าอย่างคุณว่า อย่างนี้ก็มีบ้างเหมือนกัน
อาจารย์จําได้ไหมครับว่าสัทธรรมปฏิรูป**มีอะไรบ้าง
- ก็มีเรื่องอย่างที่เป็นไสยศาสตร์ เรื่องทํานองไสยศาสตร์ เรื่องบูชา เรื่องอ้อนวอนต่าง ๆ ความคิดมันยังมองไปว่า แม้แต่วิธีไหว้พระสวดมนต์ที่ใช้อยู่ก็ยังไม่ถูกตามวิธีพุทธศาสนา มีคําอ้อนวอนหรือมีคําอะไรมาก บทที่มาใช้สวดมีลักษณะเป็นการอ้อนวอนขอร้อง ต่อรอง หรือขอร้อง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้อดโทษ คล้าย ๆ กับว่ามีลักษณะเป็นบุคคลตัวตนเป็น ๆ ก็เริ่มคิดมาตั้งแต่นั้น แต่ก็เห็นว่าไม่สําคัญอะไรนัก เพราะว่าประชาชนในระดับที่ต้องการความเป็นอย่างนั้น มันมีประโยชน์และได้รับประโยชน์ ผมก็ช่วยปรับปรุงคําแปล (หัวเราะ) วิธีสวดให้แจ่มใสขึ้นมา
ที่เรียกว่าสัทธรรมปฏิรูปนี้ก็หมายถึงที่มันเป็นหลักเป็นฐาน เป็นคัมภีร์ เป็นอะไรทํานองนั้น ถ้าเป็นของกะปริบกะปรอยอยู่ตามกลางบ้านนั้นยังไม่ถึงกับจะเรียกว่า สัทธรรมปฏิรูป เช่นเรื่องไสยศาสตร์ (หัวเราะ) มันปนเข้ามาโดยไม่รู้สึกตัว เพราะว่าประชาชนชั้นทั่วไปชอบเพื่อการขอร้อง ชอบการอ้อนวอน ชอบการพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อาจารย์ครับ แล้วชั้นคัมภีร์มีหรือไม่ที่มันชัดเจนแล้วว่าเป็นสัทธรรมปฏิรูป **
- ตามความรู้สึกของผม มี เช่น สูตรที่เขาพิมพ์แจกกันอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ที่เรียกว่า อาการวัตตสูตร เอาอิติปิโสมาทําวนไปวนมาหลายสิบรูปแบบ แล้วท่องกัน อย่างนี้มันเป็นลักษณะไสยศาสตร์ แล้วสูตรที่เขาทําขึ้นด้วยความหวังดี เช่น ชมพูบดีสูตร เรื่องพระยาชมพู ชาวบ้านชอบฟังกันนัก ก็ไม่มีในบาลี ไม่มีในอรรถกถา แต่ว่าจารใบลานขายได้มากและก็อ่าน เทศน์ สอนกันทุกวัดทุกวา แม้สูตรอย่างนี้ก็เรียกว่าสัทธรรมปฏิรูปได้เหมือนกัน เพราะไม่มีในบาลีในอรรถกถา แต่ดูเจตนาแล้ว มันก็เป็นเรื่องเจตนาให้คนนับถือพระพุทธเจ้า เช่นเดียวกับเรื่องจันทิมาสูตร อาทิตยสูตร เรื่องจันทรคราส สุริยคราสนั้น แม้จะมีในพระไตรปิฎกเองก็จะต้องเรียกว่าน่าจะจัดไว้ในพวกสัทธรรมปฏิรูปด้วยเหมือนกัน ในพระไตรปิฎกเองบางสูตรมีลักษณะที่ฟังดูแล้วเป็นสัสสตทิฏฐิ ซึ่งควรนับเนื่องอยู่ในสัทธรรมปฏิรูป
อาจารย์เห็นตั้งแต่สมัยนั้นแล้วหรือครับคัมภีร์พวกนี้
- โอ้ เห็นแต่ก่อนนั้นอีก ก่อนอยู่สวนโมกข์ ตั้งแต่ก่อนบวช หนังสือเล่มนี้เขาชอบเอามาเทิดทูนกัน เราสนใจธรรมะกัน ก็มีคนเอามาให้ดู จะให้เรียนจะให้ท่อง พออ่านเข้าไปได้ สัก ๒-๓ ใบ โอ๊ย! ไม่ไหว ๆ นี่มันไม่ใช่ ๆ อิติปิโสถอยหน้าถอยหลังแล้วว่าทีละตัวสําหรับหนึ่งตัวแล้วว่าถอยหน้าถอยหลังอีก
คัมภีร์พวกนี้แต่งที่ในเมืองไทยหรือว่าแต่งที่ลังกา
- เข้าใจว่าแต่งที่เมืองไทย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 315 -317
** สัทธรรมปฎิรูป หมายถึงธรรมะปลอม ธรรมะเทียม ไม่ใช่ของเดิมแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน (จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 319 - 320)
ตอนที่ 105 ภาพหน้าที่ 317-318
ก่อนมีสวนโมกข์ เรื่องตายเกิด* เรื่องเทวดา อาจารย์มีคติอย่างไรครับ
- ก่อนเรียนบาลี เมื่อแรกเรียนบาลีมาใหม่ ๆ มันก็เทศน์เหมือนเขาเทศน์กัน ตายแล้วต้องเกิด* ต้องเกิดให้ดี ต้องทําให้ดีเพื่อจะเกิดดี แต่ก็ดูไม่เคยยืนยันว่าเกิดแน่หรือไม่เกิด เพราะว่าเราเรียนเหมือนเขา เรียนจากโรงเรียน ซึ่งเรียนเหมือนๆกัน จําได้ว่าผมยังเคยเทศน์อภิธัมมัตถสังคหะ เทศน์เรื่องทํานองว่าตายแล้วเกิด ทํานองเหมือนกับลงทุนไปค้าทะเล เที่ยวท่องเที่ยวไปในทะเล เรือผุแล้ว ผุเล่า ลําแล้วลําอีก จนกว่าคนนั้นมันจะหยุดการค้า ไม่ชอบการค้า เลิกค้า มันจึงจะไม่ลงเรือเที่ยวไปในทะเลอีกต่อไป
เรื่องเกี่ยวกับเทวดานั้นน่าคิด ในพระไตรปิฎกที่เขาถามพระพุทธเจ้าว่าเทวดามีหรือไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสว่า จะถามอะไรอีกล่ะ เพราะว่ามันเชื่อกันอย่างอุโฆษไปแล้ว เชื่อกันไปทั้งบ้านทั้งเมือง จะมาถามอะไรกันอีกล่ะ (หัวเราะ) กลับตอบเสียอย่างนี้ ไม่ตอบว่ามีหรือไม่มี อย่างนี้เราก็เอามาพิมพ์โดยเร็ว แม้กระทั่งข้อความที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าจะดูพวกเทวดา รูปร่างอย่างไรละก็ให้ดูพวกกษัตริย์ลิจฉวี สวยสดงดงามแบบที่เห็นกันอยู่ อย่างนี้ก็เอามาพิมพ์ เอามาพูดให้คนได้ยิน แต่ถ้าถามว่า ทําอย่างไร จึงจะเป็นเทวดาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าอาจจะทรงตอบ (หัวเราะ) หรืออาจจะทรงตอบว่าธรรมะข้อนั้นข้อนี้ ประพฤติแล้วจะได้เป็นเทวดา พวกนี้มีในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาเล่มแรกๆ คุณไปเปิดดูเรื่องอย่างนี้ เราเห็นเป็นของแปลกชิ้นสําคัญที่จะเอามาเปิดเผย เพราะเขาเชื่อเรื่องผีเรื่องเทวดากันมากนัก เป็นวัฒนธรรมไปเลย
อาจารย์ครับ อาจารย์ค้นพบเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
- มันค้นเรื่องที่ต้องการ แล้วก็มาพบเข้า เดี๋ยวนี้ก็ยังมี ลักษณะอย่างนั้น การค้นเรื่องอริยสัจจากพระโอษฐ์*ให้ทั่วถึงนี้ ก็พบไอ้ของอย่างอื่นที่ปลีกย่อย ที่ดี ๆ ลึก ๆ อีกเยอะแยะไปหมด ก็บันทึก ๆ ไว้บ้างและใช้ให้เป็นประโยชน์ และก็พบสิ่งที่เราเคยรู้อยู่แต่น้อย ๆ แล้วมาพบคําอธิบายที่สมบูรณ์มากขึ้น ๆ มันก็มีครบหมด
อาจารย์เคยอ่านพระไตรปิฎกจบทั้งชุดเลยไหมครับ อ่านแบบเปิดทีละหน้าจบทั้งชุดเลยมีไหมครับ
- ไม่ได้อ่านทุกตัว แต่ว่าเปิดทุกใบมี (หัวเราะ) เปิดทุกใบ ก็อย่างน้อยเห็นหัวเรื่องว่านี่เรื่องอะไร เรื่องอะไร เป็นเรื่องที่เราต้องการจะได้เดี๋ยวนี้หรือไม่
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 317-318
45.เกิดใหม่ ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
210.เกิด ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
383.เกิด,ชาติ ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
43.ชาติก่อน ชาติหน้า ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
616.คำว่าภพ ชาติในปฏิจจสมุปบาทกับภพชาติในที่อื่น เช่นวิญญาณต้องไปเกิดภพชาติอื่น แตกต่างอย่างไร
262.ตาย ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
384.ตาย ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
102.วิญญาณ ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
36.วิญญาณ คือ อะไร,อ พุทธทาส
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย พุทธทาสภิกขุ (เสียงอ่าน)
ตอนที่ 106 , ภาพหน้าที่ 318-319
อาจารย์มีพระไตรปิฎกครบชุดเมื่อไรครับ เห็นอาจารย์เคยเล่าว่าต้องเดินมายืมวัดพระบรมธาตุเป็นประจําในระยะแรก ๆ
- มีครบชุดเมื่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวงศ์ องค์สภานายกมหามกุฎราชวิทยาลัยประทานให้ ผมปรารภกับมหาทองสืบว่า สวนโมกข์ควรจะมีพระไตรปิฎก มหาทองสืบเข้าไปทูล สมเด็จฯ สั่งให้ให้มา และต่อมามีใครให้อีก เดี๋ยวนี้มีตั้ง ๔ ชุด ฉบับบาลีอยู่ที่วัดชยารามชุดหนึ่ง อยู่ที่ตู้ตรงโน้นชุดหนึ่ง อยู่ห้องสมุดชุดหนึ่ง เวลาทําอะไรกันหลาย ๆ คนสะดวก มหาวิจิตรเอาไปใช้อยู่ชุดหนึ่ง
แล้วอาจารย์ไม่เคยซื้อเองหรือครับ
- ซื้อเอง เคยซื้อเล่มละ ๕ บาทอย่างที่เล่าแล้ว รวม ๆ กันได้ประมาณตั้ง ๒๐ เล่ม (หัวเราะ) เป็นของที่ถูกใจพอใจที่สุด สมัยนั้นสตางค์ไม่ค่อยมี
หลังจากทํา "ตามรอยพระอรหันต์" แล้วทําอะไรต่ออีกครับ
- เมื่อความคิดเกิด ก็เลยทําชุดจากพระโอษฐ์ดีกว่า นึกดูว่าจะทําเรื่องอะไรดี ทําชุดจากพระโอษฐ์ดีกว่า ก็ทําพุทธประวัติ (หัวเราะ) ทําอริยสัจ เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็หยุด มันทํายากกว่าพุทธประวัติ ซึ่งภายในเวลาไม่นาน ก็ได้พิมพ์เป็นเล่ม เล่มหนาเท่านิ้วโป้ ง ทางมหาทองสืบชอบมาก สั่งให้บรรจุในการเรียนของนักศึกษามหามกุฎฯ ตอนแรก ๆ แปลก ไม่มีใครเลยอุตริทําอย่างนี้ มันเห็นเป็นของแปลก แล้วมันเป็นหลักฐานดีด้วย (หัวเราะ) เรื่องก็จึงเพิ่มเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้หนาเกือบครึ่งคืบ (หัวเราะ)
แล้วเวลาอาจารย์จะทําชุดจากพระโอษฐ์ทีหนึ่งก็ต้องอ่านใหม่หมดหรือครับ
- ต้องเปิดหมด เปิดทุกใบ ฉะนั้นตลอดที่ผ่านมา ๕๐ ปี ก็เปิดหลายรอบ หลาย ๆ เที่ยว หลายคราว แต่ว่าในอภิธรรมนั่นน่ะไม่จําเป็น เพราะมันไม่มีอะไรที่จะต้องการ เปิดเหมือนกัน แต่ว่าเปิดหยาบ ๆ เอาข้อความมาเป็นเชิงอรรถของเรื่องจากพระสูตร เช่นเรื่องปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์นี้ก็มีใจความสําคัญจากอภิธรรมอยู่ประโยคหนึ่งว่าพอจิตเกิดกิเลส ปฏิจจสมุปบาทก็ตั้งต้น อย่างนี้มีในอภิธรรม
ที่อาจารย์บอกว่าพลิกพระไตรปิฎกตลอดเวลา หมายความว่าอย่างไรครับ
- หมายความว่าเกี่ยวข้องหรือค้นคว้าอะไรอยู่จนกระทั่งบัดนี้ ตั้งแต่แรกเริ่ม พอจะพลิกได้ก็พลิกอยู่จนกระทั่งบัดนี้ มันสงสัยนั่นสงสัยนี่อยู่เรื่อย สอบสวนอยู่เรื่อย
มีนิกายไหนที่อาจารย์พลิกมากที่สุดใช้มากที่สุดเลย
- มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย ส่วนอังคุตตรนิกายก็รองลงมา แต่ก็เรียกว่ามาก ฑีฆนิกายใช้น้อย
ทําไมใช้มากที่มัชฌิมนิกายครับ
- มันเรื่องพอดี ๆ กับประชาชน เรื่องพอดี ๆ กับจะศึกษา พอดี ๆ และมันชัดเจน เป็นเบื้องต้นเป็นอะไรชัดเจน อย่างฑีฆนิกาย พรหมชาลสูตร ก็มาทํากันจริงจังเมื่อคราวนี้ คราวทําอริยสัจจากพระโอษฐ์ (๒๕๒๗) ก่อนนั้นดูผิว ๆ
แล้วเวลาที่อาจารย์ติดขัด อาจารย์ทําอย่างไร ได้ปรึกษาใครหรือเปล่า
- ไม่มีที่จะปรึกษาใคร อยู่ที่สวนโมกข์หาคนปรึกษายาก พยายามดิ้นรนอย่างนั้นอย่างนี้ ค้นที่นั่น ค้นที่นี่ หาทางเทียบเคียงอย่างนั้นอย่างนี้ คําบางคําต้องแปลงเป็นสันสกฤต แล้วก็ไปดูปทานุกรมสันสกฤตจึงได้คําแปลที่ดีออกมา เราก็มีดิกชันนารีสันสกฤต เดี๋ยวนี้มอดกินหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไอ้ที่มีเรื่องดี ๆ เบ็ดเตล็ดยังมีแยะ เคยคิดกับมหาวิจิตร ถ้าเขาจะปลีกตัวมาช่วยได้ ทําเรื่องจากพระโอษฐ์เล่มสุดท้าย สมาธิภาวนาจากพระโอษฐ์
อาจารย์ครับ แล้วเวลาอาจารย์ติดขัด อาจารย์ได้ปรึกษากับทางสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดเทพศิรินทร์บ้างหรือเปล่าครับ
- (หัวเราะ) ไม่ได้ปรึกษา เรื่องทางภาษาบาลีไม่ค่อยได้ปรึกษา ถ้าเป็นคนตั้งใจจริงมันเกือบจะไม่มีปัญหา พออาศัยอรรถกถาของสูตร ๆ นั้นจนได้เรื่องออกมา ผิดถูกก็แล้วแต่ บางทีเราก็ไม่เอาตามอรรถกถา เราอวดดี ก็มีอยู่บ่อย ๆ
อาจารย์ใช้เวลานานแค่ไหนที่จะแยกออกได้ว่า สํานวนแบบนี้เป็นสํานวนรุ่นนั้น สํานวนแบบนั้นเป็นรุ่นไหน
- มันก็บอกไม่ถูกว่าเมื่อไร มันเห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รู้จักสังเกตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันชิน วินัยก็สํานวนอย่างนี้ สุตตันตะก็สํานวนเป็นอย่างนี้ อภิธรรมก็สํานวนเป็นอย่างนี้ อย่างน้อย ๓ รูปแบบนี้ไม่เหมือนกัน เรื่องในสุตตันตะนั้นก็มีหลายรูปแบบ เพราะมันหลายยุคหลายสมัย ทับ ๆ กันไป พลิกหลาย ๆ ครั้งเข้าก็แยกออก มันรู้ขึ้นมาเองเพราะมันชินเข้า ๆ ว่าไอ้อย่างนี้ ๆ อ้าว เดี๋ยวอย่างนี้มาอีกแล้วก็รู้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 318 - 319
ตอนที่ 107 , ภาพหน้าที่ 319-320
คําถามสุดท้ายสําหรับตอนนี้ อาจารย์มีเคล็ดลับยังไง ในการที่จะศึกษาบาลีให้แตกฉาน เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่ต้องการศึกษาต่อไปอีก
- ไม่มี เคล็ดลับไม่มี มีแต่ว่าทํามันเรื่อยไป ทํามันเรื่อยไป มันจะค่อย ๆ ชํานาญ คล้าย ๆ มันบอกขึ้นมาเอง มันบอกของมันขึ้นมาเอง ดูจะไม่มีใครมีเคล็ดลับอะไร ถ้ามันติดขัดขึ้นมา มันมีข้อเท็จจริงอยู่อย่างหนึ่งว่าความรู้รอบตัวสําคัญเหมือนกัน ช่วยให้สันนิษฐานคําแปลได้ดี ได้มากขึ้น เอากันแต่ตามแบบฉบับแท้ ๆ ก็ไม่ค่อยตรงจุด
อาจารย์ยกตัวอย่างได้ไหมครับ
- ตัวอย่างมันก็ (หัวเราะเบา ๆ) เรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ต้นไล่ เกี่ยวกับเรื่องเจ็บเรื่องไข้ เรื่องเป็นเรื่องตายอะไรเหล่านี้ ถ้าเรามีความเข้าใจชัดเจน กว้างขวาง พอจะยุติคําแปลของภาษาบาลีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็สรุปความได้ดี เรื่องชาวบ้าน เรื่องบ้าน ๆ เรือน ๆ นี้ ถ้าแตกฉานละก็มีประโยชน์มากเหมือนกัน ผมไม่บอกได้ว่ามีเคล็ดอะไร มีแต่ว่าให้ทําไปเท่านั้น สําเร็จประโยชน์จากการทําให้มาก ทําให้ชํานาญ คนอื่น ๆ เขาไม่ทํานี่ คือเขาไม่ต้องการ เขาไม่จําเป็นจะต้องทํา ไม่จําเป็นจะต้องสนใจกับบาลี อ่านแต่ที่เขาแปล ๆ เขียน ๆ ไว้มันก็พอเสียแล้วสําหรับคนทั่วไป แต่สําหรับเรานี่ไม่พอ มันต้องการมากกว่านั้น ที่จริงถ้าจะทําให้สนุกก็ยังทําได้อีกเรื่องหนึ่ง เรียกว่าของแปลก ๆ ในพระไตรปิฎก (หัวเราะ) เรื่องเดี่ยว ๆ เล็ก ๆ เอามาแสดง เอามาเปิดเผย ก็เป็นหนังสือสนุกอีกสักเล่มหนึ่ง (หัวเราะ) แต่มันไม่มีแรงจะทํา เดี๋ยวนี้มันไม่มีแรงจะทํา
เรื่องสมาธิภาวนาจากพระโอษฐ์ ผมเห็นอาจารย์ตั้งเค้าไว้นานเหมือนกัน ผมเห็นต้นฉบับที่เขียนไม่เสร็จตั้งแต่เริ่มมีสวนโมกข์ใหม่ ๆ
- ก็เคยคิด ๆ เพราะว่ามันอยู่ในขอบเขตของการงานของเรา ถ้ามันมีออกมาสักเล่มจะวิเศษที่สุด ผู้เป็นนักปฏิบัติทั้งหลายจะได้อาศัย
แต่ก่อนเราก็เชื่อว่าพระไตรปิฎกแตะต้องไม่ได้ ครั้นมาถึงเดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกก็ต้อง (หัวเราะ) พิจารณา จะต้องคัดเลือก จะต้องพิสูจน์ เรียกว่าไม่ถือเอาสักว่ามีในพระไตรปิฎก ต้องมองเห็นความดับทุกข์ได้จึงจะถือเอา (หัวเราะ)
* คัมภีร์ชั้นพระบาลี หมายถึงพระไตรปิฎกซึ่งเป็นพุทธวจนะ เรียกย่อ ๆ ว่าพระบาลี
ชั้นอรรถกถา หมายถึงคัมภีร์ที่แต่งโดยพระอาจารย์รุ่นหลัง เพื่ออธิบายพระบาลี
** สัทธรรมปฎิรูป หมายถึงธรรมะปลอม ธรรมะเทียม ไม่ใช่ของเดิมแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 319 - 320
ตอนที่ 108 , ภาพหน้าที่ 321-323
ช่วงนี้เป็นตอนที่ ๔ ของบทนี้ จะขอเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับหลักที่อาจารย์ใช้เป็นเกณฑ์วินิจฉัยหลักธรรมต่าง ๆ คือจากการอ่านพุทธสาสนาเล่มแรก ๆ จะเห็นได้ว่าอาจารย์เริ่มวิพากษ์วิจารณ์พระไตรปิฎก* เช่น บอกว่าพระวินัยกับพระอภิธรรม*นั้นเป็นสํานวนร้อยกรองเพิ่มเติมในภายหลัง ไม่ใช่พุทธพจน์โดยตรง และก็บอกว่าทั้ง ๓ ปิฎกมีบางตอนแต่งเติมจนเฝือไปก็มี เป็นต้น ขอเรียนถามอาจารย์ว่า ตอนนั้นเพิ่งเริ่มงานไม่นานและก็เริ่มก้าวเข้ามาสู่วงการหนังสือ อาจารย์สั่งสมความมั่นใจขึ้นมาได้อย่างไร ที่จะกล้าเสนอความคิดออกมาเช่นนั้น และก็มีหลักอะไรในการที่จะตัดสินว่าอะไรเป็นของเดิมแท้ อะไรเป็นเรื่องที่เพิ่มเข้ามา
- ไม่ได้มีหลัก (หัวเราะ) ว่าไปตามความรู้สึก พออ่าน ๆ เข้าหลาย ๆ เที่ยวเข้า มันก็เกิดความรู้สึกเองตามหลักสามัญสํานึก สังเกตเห็นว่ามันมีอยู่อย่างนั้น ๆ แสดงอะไรอยู่อย่างนั้นแล้วเรื่องก็บอกอยู่ในตัว เรื่องที่เป็นคําอธิบายปลีกย่อยในวินัยปิฎกมันก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทําในสมัยพระพุทธเจ้า อย่างนี้มันก็ไม่ค่อยแปลกเท่าไร ใคร ๆ ก็รู้สึก และโดยเฉพาะพวกฝรั่งนั้น จะรู้สึกง่ายที่สุด เพราะเขาสังเกตสังกาเก่ง เราเริ่มรู้สึก สะดุดสงสัยขึ้นมาว่านี่มันไม่ใช่ ตอนนั้นก็ยังไม่มากเท่าเดี๋ยวนี้ (หัวเราะ) ถ้าเดี๋ยวนี้มันรู้สึกแน่นอน เฉียบขาด และความรู้สึกอย่างนั้นเดี๋ยวนี้มันแน่นแฟ้น
เรื่องทํานองนี้มันมีอยู่ในคัมภีร์ที่ทําขึ้นเป็นภาษาบาลี เช่น พุทธวงส์ หรือ มหาวงส์ หรือหนังสืออย่างสมันตปาสาทิกา ก็มีข้อความว่า สมัยแรกยังไม่มีพระไตรปิฎกเป็น ๓ ปิฎก เพราะอภิธรรมและวินัยรวมอยู่ในขุททกนิกาย ไม่มีคําว่าปิฎก มีคําว่าอาคมหรือนิกายแทน ห้านิกาย ฑีฆนิกายเป็นเรื่องยาว มัชฌิมนิกาย เรื่องกลาง สังยุตตนิกาย เรื่องสั้น อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย เรื่องเบ็ดเตล็ด
ถ้าไม่ไปอ่านเอง ไม่รู้หรอกและก็อธิบายยาก คือบางอย่างมันไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะวินัยมันมากโดยไม่จําเป็น เขาแต่งเป็นทํานองสมมติตัวอย่างคดี (หัวเราะ) ขึ้นมามาก ถ้าเกิดอย่างนั้นวินิจฉัยอย่างนั้นเป็นเรื่อง ๆ ไป วินัยส่วนนี้ที่ว่าเพิ่มเติม ส่วนที่ไม่เพิ่มเติมก็มี ส่วนเดิมที่แท้มันเป็นหลักเกณฑ์แท้ ๆ มันก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่เราก็เห็นว่ามันมีการเพิ่มเติม ส่วนอภิธรรมปิฎกนั้นก็มีเหตุผลหลายอย่าง เคยเขียนไว้แล้ว โดยเฉพาะสํานวนโวหารที่ใช้ และเรื่องที่ต้องไปเทศน์กันบนสวรรค์นั่นยิ่งไม่ไว้ใจ แล้วอีกข้อหนึ่งก็คือว่า เรื่องที่เอาไปอธิบายในอภิธรรมปิฎกหัวข้อแรก ๆ มีอยู่ในสุตตันตปิฎก หาพบได้ในสุตตันตปิฎก
เมื่อลูบคลําหลายปีเข้าก็พบหลักทั่วไปเป็นเกณฑ์วินิจฉัย คือหลักมหาปเทส*ในมหาปรินิพพานสูตร แล้วก็มหาปเทส ๔ ในวินัย ทีนี้ก็หลักตัดสินธรรมวินัยที่ตรัสแก่พระปชาบดีโคตมี และที่เข้มข้นที่สุดก็คือกาลามสูตร* นี้เราก็รู้จักใช้ (หัวเราะเบา ๆ) รู้จักใช้มันตั้งแต่แรก ๆ ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นจะใช้ ๔ เครื่องมือนี้ ใคร ๆ ก็ต้องถือหลักอย่างนั้น
หลักเกณฑ์ทั้ง ๔ หมวดนั้น เราจะใช้หมวดเดียวหรือว่าต้องใช้ร่วมกันครับ
- แล้วแต่เรื่องมันจะเกิดขึ้นในแง่ไหน ควรจะใช้อย่างชุดไหน เรื่องเกี่ยวกับวินัยก็ใช้มหาปเทส*ของวินัย ถ้าเกี่ยวกับสุตตันตะก็ใช้ของสุตตันตะ และสุตตันตะมีตั้ง ๓ แห่ง อ่านดูตามตัวบทนั้นก็พอรู้ได้เองว่าควรใช้ในกรณีอย่างไร กาลามสูตร*นั้นมันเพียงแต่ว่าไม่เชื่อทันทีเท่านั้น ให้เอาไปจับหลักเกณฑ์ที่ว่าดับทุกข์ได้อย่างไรหรือไม่ ส่วนหลักตัดสินธรรมวินัยในโคตมีสูตรนั้นชัด บอกว่าถ้าอย่างนั้น ๆ ใช่ ถ้าอย่างนั้น ๆ ไม่ใช่
อาจารย์ครับ อย่างโคตรมีสูตร ข้อเดียวก็ใช้ได้หรือต้องใช้ทุกข้อร่วมกัน
-เอ้า! มันแล้วแต่เรื่องสิ บางเรื่องจะใช้แต่ข้อ ๒ ข้อเท่านั้น ถ้าทั้ง ๘ ข้อมันครบถ้วน เผื่อไว้หมด ส่วนในมหาปเทส* สุตตันตะนั่นมันกว้าง ๆ ถ้าข้อที่พูดขึ้นมานี้ ที่เสนอขึ้นมานี้อันไหนมันเข้ากันได้กับหลักส่วนใหญ่ ทั้งหมดในสุตตันตะและในวินัยก็นั้นแหละใช้ได้ คือดับทุกข์ตามแบบพุทธศาสนา ถ้ามันใช้กันไม่ได้กับสูตรทั่ว ๆ ไปหรือวินัยทั่ว ๆ ไป ก็ไม่ใช่หลักในพุทธศาสนา นี้กล่าวไว้อย่างกว้างขวางที่สุดแล้วก็ (หัวเราะ) อย่างดีที่สุดแหละ ถ้ามันเข้ากันได้กับส่วนมาก ให้พิจารณาดู ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็หมายความว่ามันพลัดหลงเข้ามา ถ้าเข้ากันไม่ได้ก็เอาออกไปเสีย ท่านใช้คําว่าอย่างนั้น "ขัดกับหลักทั่วไป" เท่าที่มีอยู่ เรายังไม่มีหน้าที่หรือไม่มีความจําเป็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงขนาดนี้ เพียงแต่เอาหลักเกณฑ์อันนี้มาโฆษณา ให้ผู้ศึกษาทั่ว ๆ ไปรู้ไว้ว่ามันมี เตรียมพร้อมอยู่ที่จะวินิจฉัย แต่ก็ยังไม่เคยใช้วินิจฉัยหลักเกณฑ์ข้อไหนแล้วเอามาแสดง ส่วนกาลามสูตรนั้น มันก็พูดกว้าง ว่ายังไม่เชื่อแม้พระพุทธเจ้าตรัสเอง ต้องพิสูจน์เห็นความดับทุกข์ได้เสียก่อนแล้วจึงจะเชื่อ แล้วจึงต้องลองปฏิบัติดู แต่มีคนเข้าใจผิดกันมาก แล้วก็พาลว่าเราว่าอย่างนั้นด้วย เช่นว่า ห้ามไม่ให้ฟังคําบอกเล่า ห้ามไม่ให้ดูที่เขาทําตาม ๆ กันมา ห้ามไม่ให้ฟังเสียงข่าวเล่าลือ ห้ามไม่ให้เปิดพระไตรปิฎก ไม่ใช่อย่างนั้น เข้าใจผิด ทําได้ทั้งนั้นแหละแต่อย่าเพิ่งเชื่อ แล้วก็เอามาวินิจฉัยดูว่ามันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ดับทุกข์ได้ก็เอา สําหรับใครกล่าวก็ได้ ถ้ามันดับทุกข์ได้ เมื่อเรียนหลักทั่ว ๆ ไปมากพอแล้ว มันก็รู้ได้เอง ว่าคํากล่าวนั้นเป็นไปเพื่อบรรเทากิเลสหรือไม่ เพื่อกําจัดกิเลสหรือไม่ เพื่อสกัดกั้นแห่งปฏิจจสมุปบาทหรือไม่ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ใช้ได้ ศึกษากาลามสูตรแตกฉาน แล้วก็เป็นผู้สามารถจะวินิจฉัยอะไรได้ด้วยตนเอง (หัวเราะ) ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น และแม้ที่จะเชื่อตัวเอง เชื่อความคิดเห็นของตนเอง ก็ยังต้องเอาความคิดเห็นตัวเองไปวินิจฉัยดูก่อน ว่ามันถูกกับเรื่องดับทุกข์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าตรงกับความคิดเห็นของตนแล้วจะถูกต้อง ต้องดูว่าดับทุกข์หรือไม่ นี่ควรจะศึกษาหลักกาลามสูตรกันไว้ให้มากที่สุด
แต่ในชีวิตจริงของเรา เราจะต้องเชื่อหลายสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าดับทุกข์ได้หรือไม่
- ถ้าอย่างนั้นเก็บไว้ก่อนดีกว่า ถ้าจะปฏิบัติหลักพุทธศาสนา เมื่อยังไม่เห็นทางที่จะดับทุกข์ได้ก็เก็บไว้ก่อน รอจนกว่ามันจะมีเหตุผลแสดงออกมา คือศึกษาเพิ่มเติมหรือว่าดู ฟัง ได้ยิน ได้ฟังเพิ่มเติม ถ้าสงสัยหรือรู้สึกว่าน่าลองก็ลองดู เดี๋ยวนี้ดีที่ว่าหลักที่ถูกต้อง ที่ดับทุกข์ได้มันมีอยู่มาก พอได้ยินได้ฟังมันก็หมดปัญหา ใช้ได้เลย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังต้องทําตามนี้ ไม่ใช่ว่าพอได้ฟังมาแล้วเอาเลย ให้ปัญญามาก่อนศรัทธาเสมอ สรุปตามหลักกาลามสูตรก็คือ ให้ปัญญามาก่อนศรัทธา พูดถึงปัญญาก็ต้องระวังให้ดี (หัวเราะ) ถ้ายังไม่เคยมีปัญญาอาจจะศึกษามาผิดก็ได้ ฉะนั้น จึงต้องยํ้าลงไปด้วยคําว่ามันทําลายโลภะ โทสะ โมหะ เกือบจะเรียกว่าสามัญสํานึก แต่ก็ไม่ใช่สามัญสํานึกทีเดียว คือมันต้องหยั่ง ต้องทดสอบใคร่ครวญสอบสวนดูให้มากกว่า แต่ให้ใช้ไปในทํานองสามัญสํานึกจึงจะรู้สึกมาได้เอง ด้วยใจตัวเอง ว่าอันนี้จะดับทุกข์ได้ เราเอาเรื่องนี้มาเผยแผ่ก็เพื่อว่าให้ทุกคนรู้จักใช้หลักอันนี้ มันอยู่ในยุคสมัยที่จะต้องเพิกถอนความงมงายหลายอย่างหลายชนิด ก็ต้องอ้างหลักอย่างนี้ออกมาหรือว่าทําให้ผู้อื่นเข้าใจหลักอันนี้เสีย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 321-323
* ไตรปิฏกในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
* หลักมหาปเทส (รายละเอียดดูในหนังสือ โอสาเรตัพพธรรม และ สันทัสเสตัพพธรรม)
คำว่า โอสาเรตัพพ แปลว่า ควรหยั่งลงให้ถึงใจความ, คำว่า สันทัสเสตัพพ แปลว่า ควรสอบถามให้ทั่วถึงโดยรอบด้าน. จากพระพุทธโอวาท เช่น กาลามสูตร เป็นต้น เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงพระประสงค์ให้พุทธบริษัทเป็นคนเชื่อง่าย หรือเชื่ออย่างงมงาย และเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็มีหลักเกณฑ์ที่อาจจะช่วยสะสางปัญหานั้น ๆ ได้ อย่างถูกต้อง. คำ ๒ คำนี้ เป็นคำที่ข้าพเจ้า “ขอยืม”เอามาจากพระพุทธภาษิต ในมหาปริพพานสูตร ที่ตรัสไว้ในรูปของ มหาปเทส คือ หลักสำหรับตัดสินข้อขัดแย้งสงสัย เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์ ที่อาจจะเกิดถุ้งเถียง กันขึ้นในหมู่พุทธบริษัท ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อ้างได้ว่า ได้ฟังมาอย่างนี้ จากพระองค์เอง, หรือจากคณะอาจารย์ ที่ศึกษามาจากพระองค์เอง เป็นต้น.
พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ถ้าเกิดขัดแย้งกันขึ้นด้วยข้อธรรมวินัยใด ก็อย่า เพ่อคัดค้านกัน หรือถึงกับทะเลาะวิวาทกัน ขอให้เอาประเด็นแห่งปัญญานั้น ๆ มาทำ การ “สันทัสเสตัพพ” หรือ “โอสาเรตัพพ” กับหลักเกณฑ์ใหญ่ หรือหลักการทั่วไป ในวินัยและในสูตร ทั้งหลายดู, ถ้าข้อความใด ของผู้ใดลงรอยกันได้กับกฎเกณฑ์ ใหญ่นั้น ๆ แล้ว ให้ถือว่านั้นถูกต้อง หรือตรงตามพระพุทธประสงค์, ถ้าลงกันไม่ได้ก็อย่าได้ถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ, เพราะมันเป็นข้อปลีกย่อย ที่มีผู้จำมาผิด, สอนสืบ ต่อกันมาผิด เป็นต้น. นี่แหละคือความหมายของคำที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า คำทั้งสองนั้น หมายถึง หลักการสำหรับทดสอบให้พบเนื้อแท้ของพุทธศาสนา และทั้งยังเป็นสิ่งที่ พุทธบริษัทจะพึงกระทำ เพี่อเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ให้คงอยู่ตลอดกาลนาน. ข้าพเจ้าขอยํ้า ถึงคำทั้งสองนั้น อีกครั้งหนึ่งว่า: -
โอสาเรตัพพ* : ต้องหยั่งเข้าไปให้ถึงใจความอันแท้จริง,
สันทัสเสตัพพ* : ต้องสอบสวนให้ทั่วถึง โดยรอบด้านจริง ๆ;
เมื่อได้กระทำไปอย่างทั่วถึง ด้วยความระมัดระวัง สุขุมรอบคุมแล้ว ในอาการทั้งสองนี้ เราจะมองเห็นอะไรลึก และ กว้าง, ละเอียดลออ และสมบูรณ์, มากแง่มากมุม และ ทุกระดับ ; ในที่สุดเราก็สามารถเลือก และพบสิ่งที่ดีที่สุด หรือเหมาะสมที่สุด อันอาจจะใช้ให้สำเร็จประโยชน์ได้จริง คือแก้ปัญหา หรือดับทุกข์ทั้งปวงได้ตามความประสงค์ ขอให้คำ ๒ คำนี้ คุ้นปากสำหรับพูด, คุ้นหูสำหรับ ได้ยิน, สืบไปตลอดกาล.
การหยั่งลงไปให้ลึก กับ การสอบให้รอบด้าน นี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะมุ่งทำหน้าที่ต่างกัน แต่จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้, ดังนั้น จึงถือว่าต้องไปด้วยกันอย่างเป็นคู่ฝาแฝด ในทุกกรณีแห่งกิจการที่ต้องใช้สติปัญญาอันเต็มไปด้วยปัญหาอันสลับซับซ้อน. หนังสือชื่อ สันทัสเสตัพพธรรม และ โอสาเรตัพพธรรม ๒ เล่มนี้มีลักษณะดังที่กล่าวนี้ และเป็นการเพียงพอโดยแน่นอน สำหรับการศึกษา ของนักศึกษาสมัยปัจจุบัน ที่รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา แต่มีกิจมากมีเรื่องมาก จนหาเวลามาทุ่มเทให้กับการศึกษาพุทธศาสนาได้ยาก. กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือหนังสือ ๒ เล่มนี้ จะเป็น สูตรสำเร็จ ที่ครบถ้วน สำหรับการเลือกเฟ้นอย่างรุนแรงไม่ไว้หน้า ต่อสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในหมู่มนุษย์ สมัยอวกาศหรือปรมาณู หรือกระทั่งสมัย ปิงปอง นี้เอง.
หนังสือเพียง ๒ เล่ม จะเพียงพอสำหรับนักศึกษาพุทธศาสนาแห่งยุคปัจจุบัน ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่จะประจักษ์แก่ใจของนักศึกษานั้น ๆ ในเมื่อได้ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือ ๒ เล่มนั้นไปแล้ว ด้วยความพยายามที่จะเข้าใจ โดยวิธีทั้ง ๒ วิธี คือทั้ง
โอสาเรตัพพะ และ สันทัสเสตัพพะ นั้นเอง. โดยไม่ต้องเชื่อตามคำยืนยันของข้าพเจ้า ที่กำลังยืนยันอยู่เช่นนี้, เพราะถ้าไปเชื่อเช่นนั้น มันก็จะผิดจากหลักเกณฑ์แห่งหนังสือ ๒ เล่มนี้ ไปเสียอีก อย่างน่าเวทนา.
หนังสือ ๒ เล่มนี้ บรรจุไว้ด้วยคำบรรยาย ที่เป็นเสมือน การผ่าตัด ตามวิธีโอสาเรตัพพะ และสันทัสเสตัพพะ อย่างเต็มที่ ในทุกแง่ทุกมุมของพระพุทธศาสนา ที่จำเป็นสำหรับผู้ศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน. ถ้าท่านสังเกตดูให้ดี ท่านจะพบว่า ข้าพเจ้าผู้บรรยายกำลังมุ่งหมายจะผ่ากระโหลกศีรษะคน ที่มีมันสมองเติมอัดอยู่ด้วยความ กระหายที่จะศึกษาพุทธศาสนาแต่ตามวิถีทางของปรัชญาเสียท่าเดียว; เกลียดวิธีหรือวิถีทางศาสนา ที่เป็นอิสระจากการใช้เหตุผลอย่างยาเสพติดเพราะกำลังเห่อคำว่า “ปรัชญา” อย่างหลับหูหลับตาแบบสมัยนิยมแห่งยุคปัจจุบัน. ประโยชน์อันแท้จริง ที่มนุษย์จะได้รับจากพุทธศาสนา (ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้คำว่าอย่างแท้จริงพ่วงท้ายเข้าอีก) นั้นก็เลยไม่ได้รับ เพราะมัวแต่ไปเสพติดเฮโรอีนของปรัชญาเสียหมด. ข้าพเจ้าขอยืนยันและวิงวอนซํ้าอีกครั้งหนึ่งว่า ขอให้ช่วยกัน ใช้วิธีการ ๒ อย่างนี้ ตามวิถีทาง ของศาสนา เพื่อการเข้าถึง ตัวแท้ของศาสนา, แล้วหล่อเลี้ยง “ชีวิต” ของศาสนา ให้ยังคงอยู่สำหรับจะช่วยเหลือมนุษย์ ได้อย่างแท้จริง และครบถ้วนทุกระดับของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน โดยธรรมะระดับที่ต่างกัน ตามธรรมชาติแห่งปัจเจกชน นั้นๆ ทุกยุคทุกสมัยทีเดียว.
ขอให้ลองสังเกตดูอย่างธรรมดาสามัญ ว่า ถ้าเราไม่มีการตรวจดูโดยรอบคอบรอบด้านแล้ว เราจะหยั่งลึกลงไปที่ตรงไหน อย่างไรถูก, แม้ที่สุดแต่การที่จะปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่งลงไปในสวน ก็ยังต้องตรวจสอบดูอย่างทั่วถึงเสียก่อนที่จะตัดสินใจลงไปว่าจะปลูกต้นไม้อะไร ที่ตรงไหน. การที่จะปลูกธรรมสักข้อหนึ่งลงไปในขันธสันดาน ก็จำเป็นที่จะต้องทำโดยวิธีการ ดังที่กล่าวมาแล้ว, และที่สำคัญยิ่งไป กว่านั้นอีกก็คือว่า ต้นไม้มีชื่ออย่างเดียวกัน ก็ยังมีหลายชนิด, เช่นกล้วยมีหลายชนิด เราจะปลูกกล้วยอะไร, โดยวิธีใด จึงจะได้ผลที่สุด, กระทั่งถึงการรับประทานผลของมัน ก็ยังจะต้องดูอีกว่าจะรับประทานอย่างไร จึงจะมีแต่คุณโดยส่วนเดียว. "
จาก คำชี้แจงการใช้หนังสือเล่มนี้อย่างไร ในหนังสือโอสาเรตัพพธรรม หน้า 27 - 30
ตอนที่ 109 , ภาพหน้าที่ 323-325
ระยะหลังมานี้ อาจารย์พูดถึงกับว่าแม้กล่าวอยู่ในพระไตรปิฎก* ถ้ามันไม่ถูกต้องตามเหตุผลของยถาภูตสัมมัปปัญญา*แล้ว ปัดทิ้งได้เลย
- มันก็คือไม่ถูกต้องตามกาลามสูตรคําเดียวกัน ถ้าไม่ถูกต้องตามหลักยถาภูตสัมมัปปัญญาก็คือ ไม่ถูกต้องตามหลักกาลามสูตร*
ยถาภูตสัมมัปปัญญาคืออะไร* แปลว่าอะไรครับ
- ก็บอกกันอยู่แล้วนี่ ปัญญารู้ชอบตามที่เป็นจริง ทีนี้ตามที่เป็นจริงมันอยู่ลึก ต้องศึกษา ต้องทบทวน ต้องใคร่ครวญ ต้องหยั่ง(ลงในใจตนเองอย่างแจ่มแจ้ง) ต้องเทียบ
อาจารย์ครับ แล้วปุถุชนจะรู้ได้หรือ
- ปุถุชนมันก็ต้องรู้มาตามลําดับ ที่เรียกว่าทุกข์เกิดอย่างไร โลภะ โทสะ โมหะ คืออะไร ก็ค่อย ๆ รู้ ปุถุชนที่ไม่เคยเล่าเรียนมาเลยแท้ ๆ ไม่มีทางจะรู้ แต่จะค่อย ๆ รู้ขึ้นมาได้ ถ้ารู้จักใช้หลักกาลามสูตร เช่นว่าโกรธขึ้นมาแล้วเป็นทุกข์ไหม นี้ก็เป็นเรื่องเดียวกัน มันเอาความรู้สึกที่เคยผ่านมาแล้ว เป็นเครื่องช่วยตัดสินประกอบ เพราะถ้าว่าไม่บ้าบอเกินไป เราก็จะรู้ความหมายของคําว่าโลภะ โทสะ โมหะ นี้ได้ พอได้ยินเรื่องอะไรแปลกเข้ามาในจิตใจ มันก็สังเกตได้ทันทีว่า มันไปในพวกโลภะ โทสะ โมหะ หรือไปในพวกอโลภะ อโทสะ อโมหะ ถ้ามันเป็นไปในพวกโลภะ โทสะ โมหะ มันก็ดับทุกข์ไม่ได้เราก็ไม่เอา ถ้าว่าหมั่นสังเกตเองก็พอจะเข้าใจได้เองตามหลักว่าความอยาก ความยึดมั่นเป็นทุกข์ ถ้าฟังคําว่า "อยาก" "ความยึดมั่นถือมั่น" ถูก ก็รู้ด้วยตนเองทันทีว่า มันเป็นทุกข์ละ ทีนี้ถ้าความรู้สึกอันใหม่ที่มีปัญหาขึ้นมาในลักษณะที่เป็นไปเพื่อความอยาก เป็นไปเพื่อความยึดมั่นถือมั่นหรือไม่ ก็จะมีส่วนที่รู้ได้มากขึ้น แต่ต้องเป็นปุถุชนที่ (หัวเราะ) ปกตินะ มีความรู้สึกนึกคิดปกติ รู้จักสังเกตเรื่องความทุกข์ เรื่องความไม่ทุกข์ เรื่องโลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เพราะว่าเขา(คนสมัยก่อน)พูดด้วยคําธรรมดาทั้งนั้น ไม่ได้พูดด้วยคําเทคนิค คําเหล่านี้ถือเป็นคําธรรมดาทั้งนั้น ต่อมาถึงสมัยนี้ เมื่อเข้าใจไม่ได้ (หัวเราะ) ต้องเรียนเฉพาะ จึงจัดเป็นคําเทคนิค แต่ในสมัยพุทธกาลแท้ ๆ คําเหล่านี้ไม่ใช่คําเทคนิค คําที่ประชาชนฟังแล้วรู้เรื่องเองฟังออกเอง
อาจารย์ครับ แม้แต่ระยะหลังที่อาจารย์เสนอให้ฉีกพระไตรปิฎก อาจารย์ก็อาศัยหลักอันเดียวกันนี้มาตลอด หรือมีหลักอย่างอื่นด้วย เวลาวินิจฉัยว่าอันไหนควรจะฉีก อันไหนไม่ควรฉีก
- อย่างนั้นใช้หลักอย่างที่ว่า ที่เห็นชัดว่ามันไม่เกี่ยวกับความทุกข์ที่มันไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ เช่นเรื่องสุริยคราส จันทรคราส ไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ แต่เป็นการสร้างความเชื่อในหมู่คนที่ไร้การศึกษาสมัยนั้นให้หันมาสนใจพระพุทธเจ้า ถ้าเพียงแต่ออกชื่อพระพุทธเจ้า ราหูก็ต้องปล่อยพระจันทร์ เข้าใจว่าในอินเดียหรือในลังกา สมัยที่เติมสูตรนี้เข้ามา คนมันเชื่ออย่างนั้นมาก เลยเอามาพูดไว้เสียเลย มาบรรจุไว้ในพระไตรปิฎกเสียเลย เรื่องยักษ์ก็เหมือนกัน คนกลัวยักษ์กันมาก ฉะนั้น ถ้ามีเรื่องที่ไม่ต้องกลัวยักษ์ มันก็มีประโยชน์แก่มหาชน ท่านเหล่านี้คงมองถึงประชาชนชั้นที่ตํ่าสุด ชั้นที่ไร้การศึกษา เขาเชื่อเทวดากันอยู่อย่างนั้นโดยมากถือโอกาสเอาเทวดามาเป็นเครื่องชักจูงให้เขาหันมาถือพุทธศาสนา โดยใจความสําคัญว่า แม้แต่เทวดาก็ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า คนธรรมดาทําไมจะไม่ต้องยอมรับนับถือ ในพระสูตรเรื่องอริยสัจแท้ ๆ เรื่องมรรคมีองค์ ๘ แท้ ๆ ยังต้องเอาเทวดามาช่วยสนับสนุน ว่าสิ่งวิเศษเกิดขึ้นแล้วในโลก บอกกันทุกชั้น ๆ ของเทวดา ธรรมะที่ใคร ๆ ไม่อาจจะคัดค้านได้เกิดขึ้นแล้ว ประชาชนได้ยินถึงเรื่องเทวดาก็ยอมด้วย เพราะเขาฝากกันไว้กับเทวดาอยู่เป็นพื้นฐาน ใช้คําว่าฉีกรู้สึกมันหยาบคาย แต่ไม่รู้จะใช้คําว่าอะไร
อาจารย์หมายความว่าอย่างไรครับ คําว่าฉีกของอาจารย์
- ปลดออก ระงับเสีย สําหรับเมื่อจะแสดงแก่คนชนิดไหน ถ้าจะมีสําหรับคนทั่วไป คนพื้นฐานที่ไร้การศึกษาก็ไม่ต้องฉีกออก และไม่มีอะไรที่จะต้องฉีกออก แต่ถ้าจะแสดงแก่นักวิทยาศาสตร์แท้จริง นักโบราณคดีแท้จริง ต้องปลด ๆ ออกเสีย ๖๐% เหลือ ๔๐% จึงจะสะอาด สะอาดบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เหลือแต่แกนกับแก่น เหลือแต่เพชรเหลือแต่ทองคํา (หัวเราะ)
แสดงว่าอาจารย์ไม่ได้เสนอให้เขาเปลี่ยนแปลงพระไตรปิฎกฉบับหลวงว่า ให้เอาสูตรนั้นออก สูตรนี้ออก
- ไม่ (เสียงดุ) ไม่ได้ไปแตะต้องฉบับไหนโดยตรง ฉบับไหนก็ตรงกันหมด บอกแต่ว่า เมื่อจะเอามาเผยแผ่ ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ และนักโบราณคดี เขาจะรู้ว่าพระไตรปิฎกเป็นมาอย่างไร เขาศึกษาเอาจากสํานวนที่มันต่าง ๆ กัน อย่างอภิธรรมนี่นักโบราณคดีไม่ยอมรับ
อาจารย์ครับ ผมขอให้อาจารย์เล่าความเป็นมาของพระไตรปิฎกสักหน่อยครับ
- ใครจะเล่าถูก มันได้แต่สันนิษฐานเท่านั้น
ครับ เท่าที่อาจารย์สันนิษฐาน
- สันนิษฐานเท่าที่ปรากฏอยู่ในเวลานี้ มันมีข้อความบางตอนหรือบางสูตร ที่มันไม่สมเหตุผลว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าตรัส หรือมันไม่เป็นเหตุผลอย่างวิทยาศาสตร์ที่ว่าต้องดับทุกข์ด้วยการดับกิเลสตัณหา ไม่ต้องใช้เทวดามาช่วย ถ้าตรงไหนต้องอ้างอิงเทวดา ตรงนั้นเอาออกได้ ให้มันทนต่อสติปัญญาของนักศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักโบราณคดี ถ้าถึงขนาดนั้นก็ต้องเอาออกราวสัก ๔๐% บางสูตรเอาออกทั้งสูตร บางสูตรเอาออกบางตอน จะให้เล่าทั้งหมด ใครจะเล่าได้ เพราะเกิดไม่ทัน ไม่ได้เกิดทันเห็น มันได้แต่สันนิษฐานจากสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ว่าอันนี้มันขัดกับอันนี้ อันนี้มันขัดกับอันนี้ อันนี้มันเหลือเกิน เหลือเหตุผล เมื่อดูทั่วถึงแล้วจึงสรุปความว่าก็ต้องเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่มีใครเล่าได้ เหมือนเรื่องที่ตนได้เห็นมาเอง เพราะมันเรื่องก่อนเราเกิดเป็นพัน ๆ ปี
ระยะแรกนี้ พระท่านก็จํา ๆ กันเอาไว้ใช่ไหมครับ
- ตามที่ท่านเขียนไว้ครั้งแรก ๆ ก็ยังจํา ๆ กันเอาไว้ สังคายนา ๓ ครั้งนี่ก็ยังจํา ๆ เอาไว้ ครั้งที่ ๕ จึงจะมีการเขียน แต่ผมไม่เชื่อ อาจจะมีการเขียนบ้างแล้วก็ได้ โดยเฉพาะครั้งที่ ๓ คงจะมีการเขียนบ้างแล้ว แต่ไม่สมบูรณ์ เมื่อจะเอาไปลังกาคงจะมีการเขียนบ้าง แต่เขาพูดว่าการทําสังคายนาครั้งที่ ๕ ที่ลังกาจึงมีการเขียนลงเป็นลายลักษณ์อักษรหมด
อาจารย์ครับ จะจําได้หมดได้อย่างไรตั้งเยอะตั้งแยะ
- อันนั้นคุณก็ไปรู้เอาเอง แต่ที่พม่าเมื่อผมไปยังมีองค์หนึ่งจําได้ทั้งหมด เขายอมรับกันทั้งประเทศ เมื่อเอามาทดสอบ บอกให้กล่าวสูตรไหน ก็ว่าได้หมด แต่ไม่ได้ไล่ไปทั้งพระไตรปิฎก เพราะมันมากเกินไป เพราะมันไม่มีเวลา แต่ว่าจะให้ว่าสูตรไหน บอกมา นิกายไหนสูตรไหน สูตรเท่าไรบอกมา จะว่า แล้วเขาก็นิมนต์องค์นี้มาเป็นผู้วิสัชชนาในการทําสังคายนาครั้งที่ ๖ ที่เขานิมนต์ผมไปร่วม เขาใช้วิธีสมมุติถาม สมมุติตอบ ที่จริงมันไม่ได้ทําอย่างนั้น แต่ว่าเอามาถามตอบเป็นพิธีเหมือนกับเทศน์สังคายนา พระองค์นี้ก็ยังมาหาผมที่ที่พักเป็นส่วนตัว เขาถวายรองเท้ามาคู่หนึ่ง ผมยังเก็บไว้ ยอมรับกันทั้งประเทศ จนรัฐบาลก็ยอมรับ ให้เกียรติให้อะไรเกี่ยวกับว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก ผมก็ไม่อยากเชื่อ แต่ว่ามันก็ (หัวเราะเบา ๆ) ก็มีอย่างนี้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 323 - 325
ไตรปิฏกในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
31.ยถาภูตสัมมัปปัญญาคืออะไร เกี่่ยวกับกาลามสูตรอย่างไร อ.พุทธทาส by สืบสานงานท่านพุทธทาส on #SoundCloud
สิ่งที่เรียกว่ากาลามสูตร 24กย2519
ภาษาคน-ภาษาธรรม คลิปสั้น, 4เมษา2530
ตอนที่ 110 , ภาพหน้าที่ 325-328
แล้วอย่างฉบับที่เราใช้อยู่ นับถอยหลังไปมากที่สุดได้แค่ไหน เพราะทราบว่ามีช่วงหนึ่งถูกเผาด้วยใช่ไหมครับ
- มันก็แลกเปลี่ยนกันเรื่อย ถูกเผาก็ไปขอยืมลังกา ยืมพม่า ยืมเขมร มาคัดลอกไว้อีก มาจารึกลงบนใบลานเก็บไว้อีก ตอนนั้นยังไม่ได้พิมพ์เป็นสมุดกระดาษด้วยกันทั้งนั้น ที่พม่าใช้เป็นหลักฐานได้อย่างยิ่ง เขาสลักในแท่งหินอ่อนแท่งใหญ่ ๗ ร้อยกว่าแท่งเกือบ ๘ ร้อยแท่ง เพื่อว่าไฟจะไม่ไหม้ (หัวเราะ) เมื่อผมไปคราวนั้น เขาพาไปดูที่เมืองมันฑเล
ตอนแรกจารึกด้วยอักษรของอินเดียใช่ไหมครับ
- ไม่ใช่ ตามเรื่องที่เขาพูดไว้มันไปจารึกที่ลังกาด้วยอักษรสิงหล แต่ผมเชื่อตัวเองว่า คงได้เคยจารึกก่อนหน้านั้นบ้างไม่มากก็น้อย และก็เอาไปลังกาในสมัยที่พระมหินทร์ไป ที่เรียกว่า สังคายนาครั้งที่ ๔ พระมหินทร์ไปนี้คงจะได้เอาหนังสือจารึกอะไรนี้ไปบ้าง พระมหินทร์ลูกพระเจ้าอโศก ถ้าจารึกจริงก็จารึกเป็นภาษาปรากฤต เพราะสมัยนั้นมันมีแต่ภาษาปรากฤต สมัยพระเจ้าอโศกก็เริ่มมีการจารึก และใช้ภาษาปรากฤตทั้งนั้น ไม่ว่าหลักไหน ๆ มีอยู่หลักบางหลักใช้ภาษาอะไรไม่รู้ แต่ไม่ใช่ภาษาบาลี พอแปลเป็นปรากฤตก็มีเพี้ยน ๆ นิดหน่อย คงจะเป็นไปตามภาคทิศทางไหนของประเทศอินเดีย ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก จะต้องจารึกด้วยภาษาที่คนพื้นเมืองที่นั่นอ่านออกรู้เรื่อง ภาษาพื้นเมือง ไม่ใช่ภาษาบาลีที่เป็นภาษาสละสลวยมีหลักมีเกณฑ์ ไม่ใช่เป็นภาษานักปราชญ์
ยุคที่จะถ่ายจากภาษาสิงหลกลับเป็นภาษาในอินเดียมีการเผากันอีกใช่ไหมครับ
- เอาแน่ไม่ได้ แต่ที่ว่าพระพุทธโฆษาจารย์เผานั้น เผาอรรถกถาเพราะหาว่าคําอธิบายพระไตรปิฎกที่อธิบายไว้แต่ก่อนนั้นไม่ถูก จึงอธิบายใหม่ เขียนใหม่ ก็เลยเผาของเดิม แต่ว่าพระไตรปิฎกยังไม่เคยเผา พระพุทธโฆษาจารย์ขอดูคําอธิบายพระไตรปิฎกที่เรียกว่าอรรถกถา และก็มาเขียนคําอธิบายใหม่ที่ถือว่าถูกต้อง ที่มันผิดให้เผาเสีย
อาจารย์ครับ พระไตรปิฎกของเราฉบับที่ใช้อยู่ของฝ่ายใต้นี้กับของฝ่ายเหนือ อาจารย์เคยสอบกันไหมครับ
- โอ้! มันไม่มีทางหรอก ไม่มีทางจะสอบ มันคนละอย่างเลย ถ้าว่าถึงพระไตรปิฎกฝ่ายมหายานแล้ว มันเป็นสูตรที่แต่งใหม่ทั้งนั้น แต่ว่าพระสูตรของฝ่ายเราก็มีกระเส็นกระสายอยู่บ้างในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน โดยเฉพาะพวกขุททกนิกาย คุณเสียง เสถียรสุต ไปสอบดูได้ความว่าคงจะเคยมี (หัวเราะ) ร่วมกัน ขุททกนิกายยังตกค้างอยู่ในคัมภีร์ของฝ่ายมหายาน ในคัมภีร์ทั้งหมดของมหายานมีอยู่ชุดหนึ่งที่เป็น เหมือนกับขุททกนิกายในเถรวาท นอกนั้นมันก็คนละแบบคนละสูตรทั้งนั้น
ของพวกมัชฌิมนิกาย ฑีฆนิกายไม่มีเลยหรือครับ
- มีพอเป็นเค้าเงื่อน ไม่มีตรงสูตร ไม่มีเต็มสูตร มีแต่พอเป็นเค้าเงื่อนให้รู้ว่าเคยมี เคยรับไว้ใช้ ผมไม่ได้สํารวจเองก็ตอบไม่ได้ แต่เท่าที่คนอื่นเขาเคยสํารวจดู เพราะมันมีเค้าเงื่อนส่วนน้อยที่สุดที่ตรงกัน ส่วนใหญ่ที่สุดพูดกันคนละแบบ
พระไตรปิฎกที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ ถ่ายมาจากลังกาอีกทีใช่ไหมครับ
- ตามข้อสันนิษฐานว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่าการทําพระไตรปิฎกให้เป็นตัวอักษรนั้น ทําที่ลังกาและประเทศทั้งหลายก็คงจะได้ถ่ายจากลังกา ถ้าถือว่าที่นครปฐมเป็นสุวรรณภูมิ เมืองที่พระเจ้าอโศกส่งผู้ประกาศศาสนามา มันก็จะต้องได้รับพระไตรปิฎก (หัวเราะ) ชนิดนั้นจากอินเดียโดยตรง แต่นี่มันไม่ปรากฏ มันไม่ปรากฏว่าที่ไหนได้รับ ที่รับกันมาใช้อยู่นี้จากลังกาเป็นต้นตอ แต่ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เสียเกียรติ (หัวเราะ) ก็เลยไม่พูด หรือไม่พูดอะไรเสียเลย
ถ้ารับจากลังกานั้น ก็รับยุคสมัยสุโขทัยใช่ไหมครับ
- แล้วแต่จะสันนิษฐาน ถ้ายุคสุโขทัยที่ว่าก็น่าจะเป็นพระนักปฏิบัติมากกว่า ไม่ใช่นักพระไตรปิฎก ที่เป็นพระวิปัสสนา พระป่า มันก็มีหลักฐานชัดอยู่ว่าเป็นพวกอรัญวาสีอยู่ในป่าทั้งนั้น ผมก็ไปดูที่นั่น อรัญญิก จังหวัดสุโขทัย มีพระเจดีย์รูปทรงแปลก จนในหลวงรัชกาลที่ ๖ ใช้คําว่า พระเจดีย์ทรงจอมแห เหมือนกับแห (หัวเราะ) ทอดลงไปอย่างนี้ มีก้อนหินเล็ก ๆ จัดเหมือนคอกหมู ซึ่งเขาเขียนอธิบายนี่คือกุฏิของพระอรัญญิกครั้งกระนู้น (หัวเราะ) มันยิ่งไม่มีทางทําพระคัมภีร์ เอาก้อนหินมาจัดเป็นสี่เหลี่ยมก็มุดเข้าไปได้ คล้ายกับถํ้าที่ก่อขึ้นด้วยก้อนหินเล็ก ๆ
ทางลานนาก็มีคนที่เชี่ยวชาญพระไตรปิฎกมาก่อนแล้วใช่ไหมครับ ก่อนสุโขทัย แต่งคัมภีร์ได้หลายคัมภีร์
- แต่งที่ลานนานั้น มันก็ต้องเมื่อเรียนพระไตรปิฎกและอรรถกถากันแล้ว อย่างแต่งคัมภีร์มังคลัตถทีปนั้นต้องมีการศึกษาบาลี ศึกษาอรรถกถา ศึกษาฎีกาอะไรครบถ้วนแล้ว จึงแต่งได้ อาจจะหลังสุโขทัย แล้วบางเรื่องก็ไม่ใช่พุทธศาสนา เป็นเรื่องพงศาวดาร เช่น พระรัตนปัญญาที่แต่งชินกาลมาลีปกรณ์
เรื่องอย่างนี้เดี๋ยวนี้ผมไม่คิด เคยคิด พยายามจะคิด แต่เห็นว่ามันไม่มีทางจะคิด ก็เลยไม่คิด ก็มันจะเอามาจากไหนสับเปลี่ยนกันกี่ครั้งกี่หน แลกเปลี่ยนกันส่วนไหนบ้าง เมื่อไรไม่ค่อยสําคัญ เพราะว่าเดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกเถรวาทมันก็ตรงตรงกันหมดแล้วทุกประเทศ จะผิดกันแต่ตัวหนังสือสักตัวหนึ่งเท่านั้น ไม่เป็นไร เหมือนกับที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว อัตตทุติโยกับอทุติโย อย่างนี้ไม่เป็นไร
อาจารย์ครับ วินัยปิฎกนี้สันนิษฐานว่าระยะแรกจะเป็นอย่างไร แล้วมันมาถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างไรครับ
- มันต้องพูดตามสังคายนาก่อน เมื่อทําสังคายนา ท่านสังคายนาพระวินัยปิฎกก่อน เอาคนที่รู้วินัยดีคือพระอุบาลีมาสอบถามว่า เรื่องอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสที่ไหนอย่างไร พูดให้หมด และเล่าให้หมด ให้ช่วยกันจําไว้ มันคงจะมีเฉพาะเรื่องใหญ่ ๆ เรื่องเล็ก ๆ อย่างนี้ อย่างที่เห็นในปัจจุบันคงไม่มี ไม่ได้ทํา ทําเรื่องใหญ่ ๆ โดยเฉพาะปาฏิโมกข์ ถ้าฟังดูแล้วเป็นการเล่าเรื่อง มันยังไม่มีการบัญญัติเป็นคําตายตัวอะไร เล่าเรื่องว่า เกิดที่นั้นเป็นอย่างนั้น ๆ เช่น ปฐมปาราชิก และก็ให้ช่วยกันจําเรื่องนี้ไว้ เป็นการอ่านขึ้นในที่ประชุมว่า ข้อความอย่างนี้ ให้ช่วยจํากัน ไม่ได้ร้อยกรองอะไรนัก ครั้นมาถึงสมัยที่หลัง ๆ นี่คงจะร้อยกรองเป็นภาษากะทัดรัดขึ้น อย่างนี้ทุกข้อ ๆ ของวินัย และก็ทุกสูตร ๆ ของสูตร จําไว้แต่เค้าเรื่อง แน่นอนเป็นอย่างนั้น ส่วนที่มันเรียบร้อยเป็นกลอน ตามหลักภาษานี้ คนละยุคไม่ใช่ยุคสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ ๒
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 325 - 328
ตอนที่ 111 , ภาพหน้าที่ 328-330
ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทําสังคายนา ทั้งในอินเดีย ลังกา พม่า และไทย เท่าที่เคยทํามาทั้งหมดครับ
- ถ้าถามอย่างนั้นมันยืดยาว กว้างขวางมาก มันต้องรู้เค้าเงื่อนกันก่อนว่า ชั้นแรกทําในอินเดีย ๓ ครั้ง คือครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ แล้วทางหนึ่งก็แยกไปลังกาเป็นครั้งที่ ๔ และครั้งที่ ๕ ทางลังกาเขายอมรับ ๓ ครั้งแรกนี้ แต่ว่าเพิ่ม ๒ ครั้งเป็น ๕ ครั้ง ฝ่ายพม่าเขายอมรับแต่ครั้งที่ ๕ ของลังกา แต่กลายเป็นครั้งที่ ๔ ในสายที่มาจากพม่า แล้วมาทําในพม่าอีก ๒ ครั้ง ๆ เป็นครั้งที่ ๕ ที่ ๖ ในพม่า ทีนี้ในทางประเทศไทยนี้เอาแน่ไม่ค่อยได้ เพราะว่ายอมรับลังกาทั้ง ๒ ครั้งด้วย เป็น ๕ ครั้งแล้ว ก็เพิ่งมาทําในประเทศไทย ทําทางลานนา ๖ หรือ ๗ ไม่แน่ จําไม่ได้แล้ว แล้วก็ทําครั้งกรุงเทพฯ (หัวเราะ) เป็นครั้งที่เท่าไหร่ ๘ หรือ ๙ จะนับรวมกันไม่ได้หรอก เพราะว่าต่างคนต่างก็มีเครดิตของตัวที่จะนับ
มันก็มีอย่างนี้ มันจะเอาแน่นอนเห็นทีคงจะยาก เพราะมีแต่เค้าเงื่อน พอจะสันนิษฐานกันมา แต่มันไม่มีปัญหาอะไรแล้ว คือว่าเดี๋ยวนี้ ทั้งไทย ทั้งพม่า ทั้งลังกา มันตรงกันหมดแล้ว จารึกเป็นหลักฐานไว้เรียบร้อยแล้ว พิมพ์เป็นเล่มสมุดกันแล้ว
เรามันถือหลักกาลามสูตร เอาเท่าที่เดี๋ยวนี้มีอยู่อย่างไร แล้วพิจารณาเอาแต่ที่ดับทุกข์ได้ ไอ้ที่มันไม่ใช่เรื่องดับทุกข์หรือไม่ใช่การดับทุกข์ก็ปล่อยข้าม จะทํากับพระไตรปิฎก ได้เพียงเท่านั้นสําหรับยุคนี้ อะไรเป็นเรื่องดับทุกข์โดยตรงก็เอามาใช้เป็นหลักปฏิบัติดับทุกข์ ส่วนที่มันไม่เกี่ยวกับเรื่องดับทุกข์ก็ปล่อยไว้ เป็นการบอกให้รู้ว่ามันเคยมีมาอย่างไร เคยมีมาเท่าไร จะเป็นประวัติศาสตร์อยู่ในตัว แล้วส่วนนั้นก็ไม่ต้องใช้ ถ้าจะใช้ก็ใช้สําหรับคนที่เขายึดถืออย่างปรัมปราไปหมดทุกตัวอักษรจําเป็นจะต้องยอมเชื่อว่าราหูจับพระจันทร์ อย่างนี้เป็นต้น
อาจารย์ครับ แล้วที่รัชกาลที่ ๕ ท่านล้อว่า สังคายนาแต้มหัวตะ หมายความว่าอย่างไร
- ท่านใช้คําว่า "ไม่เหมือนสังคายนาแต้มหัวตะของเมืองเรา" คือไม่ได้ทําอะไร ไม่ได้แตะต้องข้อความเนื้อหาของเรื่อง เพียงแต่ดูตัวอักษร บางตัวที่มันผิดเพี้ยน ชํารุด ที่ล้อว่าแต้มหัวตะก็เพราะว่าบางหัวมันเล็กไปมันก็เป็นตัว ค ถ้าหัวมันใหญ่มันก็เป็นตัว ต (หัวเราะ) คล้าย ๆ กับจะสํารวจดูทุกตัวอักษรว่าตัวอักษรนี้ถูกต้องไหม ก็เลยคล้าย ๆ กับแต้ม ๆ หัวของตัวอักษร ซึ่งมันไม่น่าจะเรียกว่าทําสังคายนา สังคายนาเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับตัวหนังสือตัวอักษร ไม่ใช่เรื่องราวที่จะต้องคัดออกเพิ่มเติม
แล้วที่ทําจริง ๆ ทํากันอย่างไรกันครับ ที่ท่านหมายว่าต่างไปจากนี้
- ดูเหมือนท่านจะหมายไปถึงฝ่ายมหายาน ที่ทําสังคายนาเป็นครั้งที่ ๔ ต่อจาก ๓ ครั้งในอินเดีย ทํากันครั้งที่ ๔ ฝ่ายสายเหนือ ไม่ใช่ฝ่ายเถรวาท ทําที่คันธาระ ท่านว่าครั้งนั้นคงจะได้ทํากันถึงขนาดที่เรียกว่าชําระข้อความ ไม่ใช่เพียงแต่เป็นแต้มหัวตัวอักษร อย่างที่เขาพูด มาถึงขั้นพิจารณาว่าข้อความนี้ผิดข้อความนี้ถูก เหมือนที่ทําที่พม่าครั้งหลังนี้ ก็ไม่เพียงแต่แต้มหัวตัวอักษร วินิจฉัยข้อความกันเลย มันจึงมีข้อความที่สันนิษฐานว่าที่ถูกมันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็สั้น ๆ ปลีกย่อยเท่านั้น แล้วเขาก็ไม่แก้ของเดิม เขาจะเขียนบันทึกไว้ต่างหาก แล้วเอามาพิมพ์ไว้ตอนท้ายว่า ประโยคนั้น อย่างนั้น ๆ ที่หน้านั้น ๆ มันควรจะเป็นอย่างนี้ ๆ อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่ใช่แต้มหัวตะ (หัวเราะ)
ของเราเคยทําอย่างนี้ไหมครับ
- เท่าที่ทราบไม่เคยมี ไม่เคยมีทําแก้ไขเนื้อความอย่างนี้ ยังไม่ได้ลงความเห็นว่าจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้ ที่พม่านั้นในที่ประชุมมีผู้เสนอคล้าย ๆ ที่ทําสังคายนาในอินเดีย แล้วที่ประชุมนั้นก็วินิจฉัยตามข้อเสนอ แล้วทั้งหมดนั้นก็นํามาวินิจฉัยกันอีกทีหนึ่งทั้งคณะใหญ่ ในที่สุดก็ลงมติกันว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น ข้อความนั้นควรจะเป็นอย่างนี้ พระไตรปิฎกทุกเล่มถูกวินิจฉัยหลาย ๆ ประโยค สังคายนาเสร็จจะต้องพิมพ์ที่เขียนวินิจฉัยต่าง ๆ ไว้ท้ายเล่ม ไม่ไปแก้ของเก่าเลย นี่ดี ทําอย่างนี้ดี เมืองไทยสังคายนาแต้มหัวตะ (หัวเราะ) เป็นคําล้ออย่างนี้ ก็ยังปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ในคัมภีร์ ในพระไตรปิฎกของเรา คือคําว่า อตมฺมยตา ที่บางแห่งยังคงเป็น อคมฺมยตา ระหว่างตัว ค กับตัว ต นี่ก็ไม่กล้าวินิจฉัยว่าเป็นอย่างไรแน่ คงจะคัดลอกมาจากตัวเก่าซึ่งบางแห่งเป็นอตมฺมยตา บางแห่งเป็น อคมฺมยตา บางแห่งกลายเป็น อกมฺมยตา ก็มี นี่เรียกว่าทําอะไร (หัวเราะ) ตรงไหน ไม่แน่ใจ ก็ไม่กล้าแตะต้องเลย เห็นได้ชัด มีตัวอย่างเห็นอยู่ว่าไม่ได้แตะต้อง
ผมไม่ได้รอบรู้พระไตรปิฎกอะไรนักหนา เพียงแต่ว่าตั้งใจรวบรวมข้อความจากพระไตรปิฎกเท่าที่มีอยู่ เอามาเฉพาะเท่าที่เห็นจําเป็นจะเอามาทําให้มีประโยชน์ได้ เอามาทําเป็นเรื่องราว เป็นหนังสือ เป็นเรื่อง ๆ ไป ไม่ได้มีส่วนแห่งการสังคายนา เพียงเลือกเก็บเอาตามที่พอใจที่มันมีอยู่ในพระไตรปิฎกทั้งหมดที่เขาทํากันแล้ว เอามาทําหนังสือชุดจากพระโอษฐ์
ในการสังคายนาที่พม่า เขาวินิจฉัยกันว่าพระสูตรไหนเพิ่มเข้ามาใหม่ไหมครับ
- ไม่มี ไม่ปรากฏว่าทําถึงอย่างนั้น เท่าที่ทราบ ทําเพียงว่าข้อความบรรทัดนี้ ประโยคนี้ น่าจะเป็นอย่างนั้น มันคงจะผิด คัดลอกผิด หรืออะไรผิด มันเพียงแต่เรียบเรียงบางประโยคหรือหลาย ๆ ประโยคก็ได้ ดูเหมือนจะไม่ได้แตะต้องหรอก สูตรอย่างสุริยคราส จันทรคราสปล่อยไว้ตามเคย ผมไปครั้งเดียว เขาทํากัน ๖ ครั้ง เขาประชุมกัน ๖ ครั้ง ผมไปครั้งเดียว ครั้งที่เขาพิมพ์แล้ว เอามาอ่าน ไม่ได้ไปประชุมเพื่อตรวจสอบแก้ไข แต่ไปเพื่อยอมรับที่เขาตรวจแก้ไขแล้ว เช่นเดียวกับองค์อื่น ๆ ที่ไปในคณะเดียวกัน ไปแค่ตรวจ เหมือนกับพระอื่น ๆ ด้วยซํ้า มันไม่ดีไปกว่า มีตั้ง ๒ พันกว่ารูปหรือ ๓ พันรูปที่จะตรวจอย่างนี้ ตรวจแล้วก็อ่านหนังสืออย่างนี้ ต่างคนต่างก็อ่านไม่ต้องรอพร้อมกัน อ่านเสียงขรมไปหมด พวกพม่าก็อ่านอย่างพม่า พวกลังกาก็อย่างลังกา (หัวเราะ) พวกไทยก็อ่านอย่างไทย แต่ตัวอักษรพม่า ไทยเราเจ้าคุณพิมลธรรมเป็นหัวหน้า (หัวเราะ) ท่านดึงผมไป สมเด็จญาณสังวร ก็ไป แล้วก็เจ้าคุณวัดนรนาถ พอดีประชุม พ.ส.ล.ประจําปี ปีนั้นด้วย ก็ถือโอกาสแยก มีเวลาเข้าประชุม พ.ส.ล.บ้าง
ปราชญ์ที่เขาเชิญมาวินิจฉัย น่าเชื่อถือไหมครับ เมื่ออาจารย์ดูจากข้อความที่เขาวินิจฉัยแล้ว
- มันน่าเชื่อถือ ข้อความที่วินิจฉัยเสร็จแล้วก็น่าเชื่อถือ น่าพิจารณา เขาพิมพ์คําวินิฉัยเป็นภาษาบาลี ก็นับว่ามีประโยชน์ สรุปความแล้วก็ได้รับความคิดเห็น มติของพระสงฆ์ที่คงแก่เรียนหลายประเทศ (หัวเราะ) อย่างน้อยก็ประเทศพม่าเอง ประเทศไทย ประเทศลังกา ประเทศเขมร ประเทศลาวก็มี แล้วประเทศอื่นเขาก็ยังมีอีก ประเทศกลุ่มอัสสัม ถ้าเป็นมหายานก็ไม่ไปเกี่ยวข้องเลย ถ้ามหายาน เข้าไปนั่งคนละแห่ง ไม่ได้นั่งรวม พม่าถือว่ามหายานไม่ใช่พุทธ ไม่ร่วมสังวาส ไม่ร่วมสังฆกรรม เป็นจีน ญี่ปุ่น พม่า ไม่ให้นั่งในที่ประชุม ให้นั่งเสียอีกแห่งต่างหาก
สังคายนาอย่างนั้นมันน่าทํา ทําอย่างที่พม่าทํา แต่มันควรจะทําให้กว้างขวางกว่านั้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 328 - 330
* ไตรปิฏกในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
* ธรรมโฆษณ์ โดย พุทธทาสภิกขุ
ชุดจากพระโอษฐ์ มี 4 เรื่อง
อริยสัจจากพระโอษฐ์ มี 2 ภาค
ตอนที่ 112 , ภาพหน้าที่ 330-332
อาจารย์ครับ แล้วทีนี้พูดมาถึงเรื่องการแปลพระไตรปิฎก*ฉบับบาลีเป็นภาษาไทยนี้ ผมเห็นว่าในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนานี้มีการปรารภเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก ๆ
- เรามีความเห็นว่าควรจะมีการแปลที่จริงจังและถูกต้องกันเสียที เราแสดงความเห็น ถือว่าถ้าใครมีอํานาจก็ควรเป็นจักรกลในการกระทํา
อาจารย์ครับ แล้วที่เขาแปลกันนั้น มีส่วนเนื่องมาจากการกระตุ้นยั่วยุของหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาหรือเปล่า
- อย่าพูดอย่างนั้น เขาเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ถึงประเทศพม่าก็เพิ่งแปลจบ เมื่อไม่นานมานี้ ลังกาก็มี ซึ่งแปลเป็นภาษาลังกาเมื่อไม่นานมานี้ มันยาก เป็นงานใหญ่ ถือว่าจะเป็นพุทธบูชา ๒๕ พุทธศตวรรษ ทําอย่างรีบร้อน มีขลุกขลักบ้าง เป็นการพิมพ์ครั้งแรก ค่อย ๆ พิมพ์ค่อย ๆ แก้ไขไป
อยากฟังอาจารย์ พูดถึงคุณภาพของการแปลครั้งนั้น
- ไม่ได้ดอก คือว่าเรา (หัวเราะ) ก็มีความเห็นไปตามแบบของเรา ยังมีส่วนที่เราไม่เห็นด้วยว่าควรจะแปลอย่างนั้น สําหรับคํานั้นอย่างนั้นก็มีอยู่บ่อย ๆ แล้วก็เงียบ ๆ เพราะว่ามันเป็นเรื่องอํานาจที่มีผู้ได้รับมอบหมายให้ทํา ในฐานะเป็นของหลวง เป็นฉบับหลวง แต่เราก็ใช้ศึกษาเอาเหมือนกัน ก็เทียบเคียงกับที่เราจะแปลออกไปใหม่ ว่าถ้าไม่ตรงกัน มันจะมีนํ้าหนักอย่างไร มันควรจะเป็นอย่างไร ก็ใช้เทียบเคียงกัน มันหาวิธีเพื่อนําไปใช้มากที่สุด
อาจารย์พบที่แปลผิดอย่างจัง ๆ บ้างไหมครับ
- มันไม่ใช่เรื่องสําคัญ เป็นคําบางคําไม่สําคัญ จะเรียกว่าผิดไม่ได้ดอก
ทําไมเขาจึงแปลสํานวนอ่านแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง
- ตั้งแต่โบราณมา เขาไม่นิยมใช้สํานวนภาษาปัจจุบัน ใช้สํานวนคล้าย ๆ กับในโรงเรียนบาลี เมื่อพูดถึงคนอ่าน คนอ่านจะต้องเอามาใคร่ครวญ หาใจความของคําแปลเหล่านั้นอีกที ว่าหลักสําคัญหรือใจความสําคัญจะมีอยู่อย่างไร มันจะใช้เทียบกับหลักกาลามสูตร*ว่า เมื่อว่าอย่างนั้นแล้ว มันจะดับทุกข์ได้อย่างใด ถ้ามันเห็นทางว่าจะทําให้ดับทุกข์ได้คือ มีเหตุผลก็เอา ถ้าเขียนเป็นสํานวนปัจจุบันก็คงได้ แต่คงจะถือกันว่าไม่ขลัง ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าใช้สํานวนตลาด
การเรียนบาลีของเรา อาจารย์คิดว่ามีทางทําให้มันเรียนง่ายขึ้นไหมครับ แทนที่จะต้องใช้เวลาเรียนตั้งมากมาย และเรียนกันแบบโบรํ่าโบราณ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ขณะที่ทางตะวันตกเขาพัฒนาวิธีเรียนบาลีขึ้นมาตั้งเยอะ
- เท่าที่ผมสังเกตเห็นเอง แต่แรกเริ่มเดิมทีทีเดียว ตอนแรกๆเรียนยากมาก ที่เรียนมูลกัจจยานะ หนังสือก็ยังใช้อยู่ ก็เรียนยากมาก เรียนเป็นปี ๆ บางทีก็ยังไม่รู้เรื่อง ให้ท่องสิ่งที่ไม่รู้เรื่อง ท่องคําบาลีบ้าง ปนไทยบ้าง ไม่รู้เรื่องกันอยู่เป็นปี (หัวเราะ) ทีนี้สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรสท่านก็ได้ปรับปรุงให้มันเรียนง่าย คือแบบที่ใช้กันอยู่ในโรงเรียนปัจจุบันนี้ ที่เรียกว่า บาลีไวยากรณ์ เรียกว่าง่ายขึ้นเยอะ ง่ายขึ้นหลายเท่าเลย แต่แล้วก็ไม่มีใครปรับปรุงต่อมาอีก คงใช้เรียนวิธีนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เรียกว่า ยังดีกว่าที่ใช้รวบรัดอย่างที่ฝรั่งใช้วิธีเรียนบาลี คือ รวบรัดมาก ไม่เรียนถึงรากศัพท์ ไม่ค่อยเรียนถึงไอ้วิภัติปัจจัย ถือว่าใช้เรียนอย่างเรียนภาษา ๆ หนึ่ง เหมือนอย่างที่เราเรียนภาษาอังกฤษหรือภาษาไทย อย่างนั้นไม่ลึกซึ้ง ทีนี้เราอยากจะเรียนให้ลึกซึ้งว่าคํา ๆ นี้ มันประกอบด้วยรากศัพท์อะไร ปัจจัยอะไร แปลได้กี่อย่าง สรุปความได้ก็ว่าเรียนอย่างที่ไทยเราเรียนรู้ดีกว่าที่ฝรั่งใช้วิธีเรียนอย่างนั้น ถึงแม้แบบเรียนครั้งหลังที่เขาทําขึ้นในลังกา ไม่ใช่ฝรั่งทําดอก มันก็ยังเสียไปมากนะ หมดไปมากเหมือนกัน ที่จะรู้ถึงรากศัพท์
ถ้าจะรู้ให้ถึงรากต้องอดทนมาก ทั้งความเพียร ทั้งอดทน ภาษาสันสกฤตก็เหมือนกัน ถ้าจะเรียนให้รู้จริง ก็ต้องเรียนด้วยความยากลําบากสักหน่อย มีเรื่องท่องจํามากเหมือนกับภาษาฝรั่งเศส แต่ละคํามันแต่ละศัพท์ มันมีลิงค์เฉพาะ จะเป็นเพศโดยเฉพาะ ก็หมุนแปรไปตามกฎเกณฑ์ของมัน ผมยังชอบวิธีเรียนอย่างเมืองไทย ไม่ชอบวิธีเรียนอย่างที่ฝรั่งเรียนตามแบบเรียนที่ทํากันขึ้นสําเร็จรูปง่าย
แล้วอย่างเมืองไทยนี้มีทางปรับตัวให้มันสะดวกขึ้นกว่าที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันไหม
- โอ้! มันก็เกี่ยวกับอํานาจ อํานาจไหนจะมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ไม่มีทางจะทําได้ ไม่มีใครเคยคิด ทั้งบาลีทั้งนักธรรมมีทางทําให้ง่ายขึ้นอีกมาก แต่จะเอาอํานาจที่ไหนจะไปทําได้ แต่เราก็ได้ทําอยู่โดยอ้อม คือ เราอธิบายธรรมะหรือแปลบาลีวิธีของเรา ให้เขาเห็นอยู่ เขาก็มองเห็นว่าอย่างนั้นชัดเจนดี ง่ายดี สมเด็จพระวันรัต (เฮง)* ที่วัดมหาธาตุ ท่านยังเรียกผมไปสรรเสริญต่อหน้าว่า แปลอย่างนี้เหมาะแก่สมัย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 330 - 332
* ไตรปิฏกในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
ตอนที่ 113 , ภาพหน้าที่ 332-333
อาจารย์ครับ ผมเห็นบทความของอาจารย์วิพากษ์วิจารณ์อภิธรรมมาตั้งแต่ปี ๒๔๗๖ และทํามาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน อจารย์เห็นความจําเป็นอย่างไรหรือครับที่ต้องทํามาอย่างนี้
- คําวินิจฉัยโดยละเอียดในเรื่องนี้ ไปอ่านดูจากหนังสือ อภิธรรมคืออะไร* ที่ผมเขียนตอบพวกอภิธรรมที่เขารุมกันด่าผม แต่ใจความโดยสรุปก็คือ อภิธรรมปิฎกเป็นของที่เพิ่มเข้ามาทีหลัง หลายยุค หลายคราว แล้วในเมืองไทยเรามีการโฆษณาให้คนหลงใหล กลายเป็นเรื่องยึดถือมากมาย ก็อยากจะบอกให้รู้ว่า ไม่ต้องยึดถือกันถึงขนาดนั้น มันจะกลายเป็นเรื่องงมงาย เช่นที่ถือกันว่าสร้างอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ที่เขาทําเป็นผูก ๆ แบบใบลาน จํานวนเจ็ดผูกเล็ก ๆ ที่เจ๊กเอามาขาย ถ้าสร้างอุทิศคนตาย จะได้บุญสูงส่งไม่มีอะไรเท่า ทีนี้แต่ละวัดก็มีคนสร้างมาถวายมาก มันเหมือนกันหมดทุกชุด มากจนไม่มีที่จะไว้ ไว้บนเพดานกุฏิ เพดานโรงฉัน จนหนูกิน ผมเลยเรียกว่าอภิธรรมรังหนู เพื่อจะได้หยุดกันเสียบ้าง
แล้วที่อาจารย์ล้อพวกอภิธรรมเม็ดมะขามหมายความว่าอย่างไร
- นี้มันมาในยุคหลัง ๆ เมื่อการศึกษาอภิธรรมอย่างพม่าเข้ามาในเมืองไทย ต้องเรียนกันว่าจิตมีเท่านั้นดวงเท่านี้ดวง แจกแจงกันออกไป ทีนี้เพื่อไม่ให้หลงก็ต้องเอาของอย่างเม็ดมะขามมาช่วย อภิธรรมแบบนี้ก็คือ อภิธมฺมตฺถสงฺคห คือย่ออภิธรรมที่มีมากมายมหาศาลให้มันกะทัดรัด เพื่อจะได้เอามาเล่าเรียนกันได้ อภิธรรมในครั้งพุทธกาล มีอยู่ไม่มากหรอก เพิ่งมาเติมกันเข้าไป ในการทําสังคายนาครั้งหลัง ๆ จนเป็นเจ็ดคัมภีร์มหาศาล ถ้าเป็นอภิธรรมอย่างครั้งพุทธกาลก็มีประโยชน์ เป็นการอธิบายธรรมะให้ลึกลงไปในทางที่จะดับทุกข์ได้โดยง่ายยิ่งขึ้น ต่อ ๆ มามันลึกจริง แต่ลึกไปในทางปรัชญา ไม่ค่อยมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ฝรั่งเขาเรียกอภิธรรมปิฎกว่า เมตาฟิสิคส์ ที่จริงมันก็น่าสนุก เรียนอย่างปรัชญา แต่ถ้าไปสนใจแบบนั้น ก็ไม่ค่อยสนใจสุตตันตะซึ่งจะดับทุกข์ได้ (หัวเราะ) มันก็ไม่เกิดประโยชน์ คล้าย ๆ กับเฮโรอีน (หัวเราะ) จึงมีเหตุผลเพียงพอที่เราจะพูดถึงอภิธรรมในทํานองคัดค้านบ้าง แต่ไม่ใช่เจตนาจะต่อสู้หรือปะทะ หรือจะล้มล้างกัน แต่เพื่อให้คนหันมาสนใจการปฏิบัติแบบสุตตันตะให้มากพอสมควรจนดับทุกข์ได้
อภิธรรมบางสายเขาก็มีการปฏิบัติด้วยไม่ใช่หรือครับ อย่างสายยุบหนอพองหนอ หรือสายมหาสีสะยาดอของพม่า
- เขาปฏิบัติตามหลักในสุตตันตะ แต่อ้างเอาอภิธรรมเป็นเครดิต จับแพะชนแกะ ให้มันเข้ากันได้ แต่เวลาปฏิบัตินั้น เขาทําสติปัฏฐานตามแนวสุตตันตะ เพราะในอภิธรรมปิฎกไม่มีแนวในการปฏิบัติ
* โคตมีสูตร คือหลักตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ ถ้าธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อ
(๑) ความคลายกําหนัด, ความหายติด
(๒) ความหมดเครื่องผูกรัด, ความไม่ประกอบทุกข์ (๓) ความไม่พอกพูนกิเลส
(๔) ความอยากอันน้อย, ความมักน้อย
(๘) ความเลี้ยงง่าย ธรรมเหล่านี้ พึงรู้ว่าเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคําสั่งสอนของพระศาสดา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 332 - 333
* อภิธรรมคืออะไร , 2514 03 20
มีคำถามเกี่ยวกับ..อภิธรรม..14 คำถาม
จึงรวบรวมมาให้ฟังทั้งหมดที่นี่ครับ
1.นักอภิธรรมพูดว่าจิตว่างไม่มีในพุทธศาสนา จริงหรือไม่ (ปุจฉาที่-4)
2.นรกสวรรค์มีจริงตามที่กล่าวในอภิธรรมหรือไม่ (ปุจฉาที่-5)
3.ท่านถูกกล่าวหาว่าไม่เข้าใจธรรมะตามแบบอภิธรรม มีหลักจำนวนจิตจำนวนเจตสิก (ปุจฉาที่-43)
4.มีผู้กล่าวหาท่านพุทธทาสว่า กล่าวว่า พระอภิธรรมไม่ใช่พุทธพจน์ที่แท้จริง มีข้อเท็จจริงอย่างไร (ปุจฉาที่-73)
5.มีคนบางพวกกล่าวว่าเคยมาศึกษาธรรมะกับท่านแล้วไปเรียนอภิธรรม จึงรู้ว่าคำสอนของท่านผิด (ปุจฉาที่-77)
6.เขาหาว่าท่านว่าติเตียนอภิธรรมปิฎก เป็นเนื้องอกออกมาภายหลังและไม่ใช่คำตรัสของพระพุทธเจ้า (ปุจฉาที่-103)
7.เขาหาว่าท่านว่าควรทดสอบข้อความในพระไตรปิฎกก่อนจะเชื่อ บางคนหมกมุ่นกับพระอภิธรรมมากเกินไป (ปุจฉาที่-104)
8.เขาหาว่าท่านศึกษาพระอภิธรรมไม่เพียงพอ หนังสือท่านใช้ศัพท์อย่างไม่ละเอียดและผิดพลาด (ปุจฉาที่-105)
9.เขาหาว่าท่านไม่รู้อภิธรรมเลย เพราะเกินปัญญาที่จะศึกษาไหว (ปุจฉาที่-222)
10.คนที่เคยมาเรียนกับท่านและต่อมาไปเรียนพระอภิธรรม เขาสารภาพว่าคำสอนท่านเป็นคำสอนเดียรถีย์ (ปุจฉาที่-254)
11.มีผู้กล่าวหาท่านพุทธทาสว่า ไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม ศึกษาแต่พระวินัยและพระสูตรเท่านั้น (ปุจฉาที่-263)
12.ไม่เรียนรู้อภิธรรม จะปฏิบัติธรรมสำเร็จมรรคผลนิพพานได้หรือไม่ (ปุจฉาที่-608)
13.สุตตันตะในคัมภีร์อภิธรรม สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติได้หรือไม่ (ปุจฉาที่-640)
14.อาตมาถูกเข้าใจว่าเป็นผู้ปฏิเสธและยกเลิกพระอภิธรรมที่มีอยู่เดิม (ปุจฉาที่-823)
* ปุจฉา-วิสัชนา กับ พุทธทาสภิกขุ 1,276 ตอน
เลือกฟังที่ต้องการได้ 3 ทาง
1.ใน google sheet...ค้นคำที่สนใจง่ายกว่า...
ปุจฉา วิสัชนา คลิปสั้น 2.1 (1-497)
ปุจฉา วิสัชนา 2.2 (500-1000)
ปุจฉา วิสัชนา 2.3 (1000-1500)
* หลักมหาปเทส (รายละเอียดดูในหนังสือ โอสาเรตัพพธรรม และ สันทัสเสตัพพธรรม)
คำว่า โอสาเรตัพพ แปลว่า ควรหยั่งลงให้ถึงใจความ, คำว่า สันทัสเสตัพพ แปลว่า ควรสอบถามให้ทั่วถึงโดยรอบด้าน. จากพระพุทธโอวาท เช่น กาลามสูตร เป็นต้น เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงพระประสงค์ให้พุทธบริษัทเป็นคนเชื่อง่าย หรือเชื่ออย่างงมงาย และเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็มีหลักเกณฑ์ที่อาจจะช่วยสะสางปัญหานั้น ๆ ได้ อย่างถูกต้อง. คำ ๒ คำนี้ เป็นคำที่ข้าพเจ้า “ขอยืม”เอามาจากพระพุทธภาษิต ในมหาปริพพานสูตร ที่ตรัสไว้ในรูปของ มหาปเทส คือ หลักสำหรับตัดสินข้อขัดแย้งสงสัย เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์ ที่อาจจะเกิดถุ้งเถียง กันขึ้นในหมู่พุทธบริษัท ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อ้างได้ว่า ได้ฟังมาอย่างนี้ จากพระองค์เอง, หรือจากคณะอาจารย์ ที่ศึกษามาจากพระองค์เอง เป็นต้น.
พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ถ้าเกิดขัดแย้งกันขึ้นด้วยข้อธรรมวินัยใด ก็อย่า เพ่อคัดค้านกัน หรือถึงกับทะเลาะวิวาทกัน ขอให้เอาประเด็นแห่งปัญญานั้น ๆ มาทำ การ “สันทัสเสตัพพ” หรือ “โอสาเรตัพพ” กับหลักเกณฑ์ใหญ่ หรือหลักการทั่วไป ในวินัยและในสูตร ทั้งหลายดู, ถ้าข้อความใด ของผู้ใดลงรอยกันได้กับกฎเกณฑ์ ใหญ่นั้น ๆ แล้ว ให้ถือว่านั้นถูกต้อง หรือตรงตามพระพุทธประสงค์, ถ้าลงกันไม่ได้ก็อย่าได้ถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ, เพราะมันเป็นข้อปลีกย่อย ที่มีผู้จำมาผิด, สอนสืบ ต่อกันมาผิด เป็นต้น. นี่แหละคือความหมายของคำที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า คำทั้งสองนั้น หมายถึง หลักการสำหรับทดสอบให้พบเนื้อแท้ของพุทธศาสนา และทั้งยังเป็นสิ่งที่ พุทธบริษัทจะพึงกระทำ เพี่อเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ให้คงอยู่ตลอดกาลนาน. ข้าพเจ้าขอยํ้า ถึงคำทั้งสองนั้น อีกครั้งหนึ่งว่า: -
โอสาเรตัพพ* : ต้องหยั่งเข้าไปให้ถึงใจความอันแท้จริง,
สันทัสเสตัพพ* : ต้องสอบสวนให้ทั่วถึง โดยรอบด้านจริง ๆ;
เมื่อได้กระทำไปอย่างทั่วถึง ด้วยความระมัดระวัง สุขุมรอบคุมแล้ว ในอาการทั้งสองนี้ เราจะมองเห็นอะไรลึก และ กว้าง, ละเอียดลออ และสมบูรณ์, มากแง่มากมุม และ ทุกระดับ ; ในที่สุดเราก็สามารถเลือก และพบสิ่งที่ดีที่สุด หรือเหมาะสมที่สุด อันอาจจะใช้ให้สำเร็จประโยชน์ได้จริง คือแก้ปัญหา หรือดับทุกข์ทั้งปวงได้ตามความประสงค์ ขอให้คำ ๒ คำนี้ คุ้นปากสำหรับพูด, คุ้นหูสำหรับ ได้ยิน, สืบไปตลอดกาล.
การหยั่งลงไปให้ลึก กับ การสอบให้รอบด้าน นี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะมุ่งทำหน้าที่ต่างกัน แต่จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้, ดังนั้น จึงถือว่าต้องไปด้วยกันอย่างเป็นคู่ฝาแฝด ในทุกกรณีแห่งกิจการที่ต้องใช้สติปัญญาอันเต็มไปด้วยปัญหาอันสลับซับซ้อน. หนังสือชื่อ สันทัสเสตัพพธรรม และ โอสาเรตัพพธรรม ๒ เล่มนี้มีลักษณะดังที่กล่าวนี้ และเป็นการเพียงพอโดยแน่นอน สำหรับการศึกษา ของนักศึกษาสมัยปัจจุบัน ที่รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา แต่มีกิจมากมีเรื่องมาก จนหาเวลามาทุ่มเทให้กับการศึกษาพุทธศาสนาได้ยาก. กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือหนังสือ ๒ เล่มนี้ จะเป็น สูตรสำเร็จ ที่ครบถ้วน สำหรับการเลือกเฟ้นอย่างรุนแรงไม่ไว้หน้า ต่อสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในหมู่มนุษย์ สมัยอวกาศหรือปรมาณู หรือกระทั่งสมัย ปิงปอง นี้เอง.
หนังสือเพียง ๒ เล่ม จะเพียงพอสำหรับนักศึกษาพุทธศาสนาแห่งยุคปัจจุบัน ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่จะประจักษ์แก่ใจของนักศึกษานั้น ๆ ในเมื่อได้ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือ ๒ เล่มนั้นไปแล้ว ด้วยความพยายามที่จะเข้าใจ โดยวิธีทั้ง ๒ วิธี คือทั้ง
โอสาเรตัพพะ และ สันทัสเสตัพพะ นั้นเอง. โดยไม่ต้องเชื่อตามคำยืนยันของข้าพเจ้า ที่กำลังยืนยันอยู่เช่นนี้, เพราะถ้าไปเชื่อเช่นนั้น มันก็จะผิดจากหลักเกณฑ์แห่งหนังสือ ๒ เล่มนี้ ไปเสียอีก อย่างน่าเวทนา.
หนังสือ ๒ เล่มนี้ บรรจุไว้ด้วยคำบรรยาย ที่เป็นเสมือน การผ่าตัด ตามวิธีโอสาเรตัพพะ และสันทัสเสตัพพะ อย่างเต็มที่ ในทุกแง่ทุกมุมของพระพุทธศาสนา ที่จำเป็นสำหรับผู้ศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน. ถ้าท่านสังเกตดูให้ดี ท่านจะพบว่า ข้าพเจ้าผู้บรรยายกำลังมุ่งหมายจะผ่ากระโหลกศีรษะคน ที่มีมันสมองเติมอัดอยู่ด้วยความ กระหายที่จะศึกษาพุทธศาสนาแต่ตามวิถีทางของปรัชญาเสียท่าเดียว; เกลียดวิธีหรือวิถีทางศาสนา ที่เป็นอิสระจากการใช้เหตุผลอย่างยาเสพติดเพราะกำลังเห่อคำว่า “ปรัชญา” อย่างหลับหูหลับตาแบบสมัยนิยมแห่งยุคปัจจุบัน.
ประโยชน์อันแท้จริง ที่มนุษย์จะได้รับจากพุทธศาสนา (ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้คำว่าอย่างแท้จริงพ่วงท้ายเข้าอีก) นั้นก็เลยไม่ได้รับ เพราะมัวแต่ไปเสพติดเฮโรอีนของปรัชญาเสียหมด. ข้าพเจ้าขอยืนยันและวิงวอนซํ้าอีกครั้งหนึ่งว่า ขอให้ช่วยกัน ใช้วิธีการ ๒ อย่างนี้ ตามวิถีทาง ของศาสนา เพื่อการเข้าถึง ตัวแท้ของศาสนา, แล้วหล่อเลี้ยง “ชีวิต” ของศาสนา ให้ยังคงอยู่สำหรับจะช่วยเหลือมนุษย์ ได้อย่างแท้จริง และครบถ้วนทุกระดับของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน โดยธรรมะระดับที่ต่างกัน ตามธรรมชาติแห่งปัจเจกชน นั้นๆ ทุกยุคทุกสมัยทีเดียว.
ขอให้ลองสังเกตดูอย่างธรรมดาสามัญ ว่า ถ้าเราไม่มีการตรวจดูโดยรอบคอบรอบด้านแล้ว เราจะหยั่งลึกลงไปที่ตรงไหน อย่างไรถูก, แม้ที่สุดแต่การที่จะปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่งลงไปในสวน ก็ยังต้องตรวจสอบดูอย่างทั่วถึงเสียก่อนที่จะตัดสินใจลงไปว่าจะปลูกต้นไม้อะไร ที่ตรงไหน. การที่จะปลูกธรรมสักข้อหนึ่งลงไปในขันธสันดาน ก็จำเป็นที่จะต้องทำโดยวิธีการ ดังที่กล่าวมาแล้ว, และที่สำคัญยิ่งไป กว่านั้นอีกก็คือว่า ต้นไม้มีชื่ออย่างเดียวกัน ก็ยังมีหลายชนิด, เช่นกล้วยมีหลายชนิด เราจะปลูกกล้วยอะไร, โดยวิธีใด จึงจะได้ผลที่สุด, กระทั่งถึงการรับประทานผลของมัน ก็ยังจะต้องดูอีกว่าจะรับประทานอย่างไร จึงจะมีแต่คุณโดยส่วนเดียว. "
จาก คำชี้แจงการใช้หนังสือเล่มนี้อย่างไร ในหนังสือโอสาเรตัพพธรรม หน้า 27 - 30
ตอนที่ 114 , ภาพหน้าที่ 334-335
* จากครูบาอาจารย์ในอดีต *
อาจารย์ครับ มีผู้กล่าวหาอาจารย์ว่า ดูถูกดูหมิ่นคําอธิบายของครูบาอาจารย์ในอดีตว่าผิดพลาดหมด และอาจารย์ได้ตอบว่าไม่จริง เพราะว่าอาจารย์ได้อาศัยความรู้ของครูบาอาจารย์ในอดีตเป็นอันมาก แต่มีบางอย่างที่อาจารย์ไม่เห็นด้วย ก็ต้องปฏิเสธ กระผมขอให้ท่านอาจารย์ช่วยเล่าให้ฟังว่า อาจารย์ศึกษาความรู้จากครูบาอาจารย์ในอดีตอย่างไรบ้างครับ
- ครูบาอาจารย์ที่เป็นบุคคลนั้นเราก็มีการรวบรวมมาฟัง มาวินิจฉัยกันอยู่เรื่อย ๆ ข้อนี้ทํากันมาตั้งแต่ก่อนมีสวนโมกข์ เรียกว่าใครมีอะไร ที่ไหน เราก็เอามาใคร่ครวญพิจารณาดู โดยมากเป็นเรื่องเทศน์ของผู้มีชื่อ องค์นั้นองค์นี้ เจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) สมเด็จฯ วัดเทพศิรินทร์ หรือใครหลาย ๆ คน คนที่น่านับถือ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักแก่สังคมธรรมดาสามัญ ผมก็เคยอ่าน แต่มันเป็นเรื่องที่เนื่องมาจากการจะหัดเทศน์ เรียกว่าผู้ต้องการจะเป็นนักเทศน์จะทําอย่างนั้นกันทุกคนนะ (หัวเราะ) เพื่อนฝูงของเราก็ทํา อุตส่าห์รวบรวมค้นหา อย่างเช่นหนังสือของใครที่มีชื่อเสียง ต้องให้เจ๊กเสาะหามาให้ครบชุด เจ๊กที่แบกห่อหนังสือขาย เป็นอย่างนี้ อาจารย์ที่เป็นบุคคลพยายามที่สุดเท่าที่จะหามาได้ หามาฟัง ไม่กล้าที่จะวิจารณ์ว่าผิดว่าถูก แต่เราก็มีธรรมเนียมกันว่าได้ฟังว่าคนนั้นว่าอย่างนั้น คนนี้ว่าอย่างนี้ เรื่องนั้นเป็นอันว่าอย่างนั้น เรื่องเดียวกันอีกคนว่าอย่างไร ก็รู้ส่วนที่เขาคัดค้านกัน การอธิบายธรรมะที่แหวกแนวที่สุดก็คงเจ้าคุณอุบาลีฯ แหวกแนวที่ผู้อื่นทํากันอยู่ ผมไม่มีความคิดที่ว่าดูถูกดูหมิ่น ยืนยันได้ แต่ว่าฟังไว้ ๆ แปลก ๆ ฟังไว้ เรามันยังเป็นเด็ก จะไปมีความคิดลบล้างผู้เฒ่านั้นทําไม่ได้
เคยพบกันโดยตรงไม่ผ่านหนังสือมีบ้างไหมครับ
- โอ้ ยากที่จะพบเพราะว่าเป็นผู้สูงอายุและก็ตายไปเสียแล้วก็มี และเราจะไปพบได้ยังไง เราเป็นพระเด็ก ๆ ไม่มีใครรู้จัก แม้ที่เป็นฆราวาสก็มีอย่างเช่น (หัวเราะ) กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ผมอ่านหนังสือของท่านมาก ฟังความคิดเห็นมาก นั่นล่ะแบบมหายาน เรื่องวิญญาณ เรื่องชาติหน้าอะไรแบบมหายาน แต่มันก็มีประโยชน์ที่ทําให้คน (หัวเราะ) มีศีลธรรม เกลียดบาป กล้าบุญกันได้เหมือนกัน และส่วนที่เห็นตรงกันก็มี ทีนี้ก็เหลือแต่อรรถกถา อรรถกถานี้พูดได้ว่าไม่ยอมรับตามอรรถกถาไปเสียทั้งหมด แต่ก็ขอบคุณมากที่ว่าเราได้อาศัยบางเรื่องที่ถ้าไม่อาศัยอรรถกถาละก็ ไม่มีทางตีความออกได้ อย่างนี้ก็มี พูดยากว่าจะทําอะไรกับอรรถกถา เราคัดเลือกเอาที่ว่ามีประโยชน์หรือว่าใช้เป็นประโยชน์ได้ ที่ไม่เห็นด้วยก็เฉยเสีย ก็เงียบเสีย ก็ไม่เอามา คําอธิบายธรรมะที่อธิบายข้อธรรมะแท้ ๆ ของอรรถกถา เราก็รับเอาแต่บางส่วน ส่วนที่เป็นการเล่านิทานท้องเรื่อง (หัวเราะ) ก็ไม่ค่อยรับ เพราะเห็นว่าท่านมักจะเอาเรื่องที่มันอยู่ในที่ที่ท่านมีชีวิตอยู่มาปน อย่างพระพุทธโฆษาจารย์* เขียนอรรถกถาธรรมบทนั้น เอาเรื่องในที่ที่ท่านมีชีวิตอยู่มาสวมเข้ากับเรื่องครั้งพุทธกาล เช่น เรื่องเกี่ยวกับสถานที่ เรื่องเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องเกี่ยวกับการดูหมิ่นกษัตริย์ ยกย่องพราหมณ์ เป็นเรื่องในลังกาเสียมากกว่า สําหรับผมไม่ค่อยจะมีความหมายอย่างนั้น เพราะว่ามันมีความคิดอิสระ เอาตามที่ตัวเห็นตัวรู้สึก ถ้าตีความมันก็ตีความเป็นของตัวไปเลย ไม่เป็นของอรรถกถา แม้ว่าบางทีเค้าเงื่อนได้มาจากอรรถกถา หรือคิดออกตามแนวของอรรถกถาก็มี ไม่ใช่ไม่มี จึงไม่มีเหตุผล ไม่มีความจําเป็นอะไรที่จะต้องไปดูหมิ่นอรรถกถา แต่นั่นแหละคําพูดมักจะหลุดปากไปเสมอว่า "เป็นเพียงอรรถกถาเท่านั้น" มีบ่อยหลุดปากแบบนี้ แต่ในใจจริง ไม่ได้คิดจะลบหลู่ดูหมิ่น เราก็อธิบายไปตามต้องการที่จะอธิบาย คนเขาแกล้งกล่าวโทษว่าผมลบหลู่อรรถกถา หรือก็คัดค้านอรรถกถา มันไม่ถึงกับคัดค้าน แต่เราไม่เอาด้วย (หัวเราะ) มันมีอยู่บ่อย ๆ แต่เป็นเรื่องอะไรบ้าง ลืมเสียแล้ว ไม่ค่อยจะจําได้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 334-335
ตอนที่ 115 , ภาพหน้าที่ 335-337
อรรถกถาที่อธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทถูกต้องมีไหมครับ
- เรียกว่า (หัวเราะ) คนละแนว ที่ว่าอรรถกถาอธิบายปฏิจจสมุปบาทเพราะเป็นเรื่องหลายชาติ เกี่ยวข้องกันระหว่างชาติ เรียกว่ารอบหนึ่งเกี่ยวข้องกันระหว่างชาติหลายชาติ อรรถกถาทั้งหมดนั้นผู้เขียนเป็นคนเดียวกับที่เขียนวิสุทธิมรรค เราตอนแรกก็เรียนอย่างนั้น แล้วก็ยอมรับอย่างนั้น แล้วเมื่อสอนผู้อื่น ก็สอนอย่างนั้น ต่อมา (หัวเราะ) เราแหวกแนวมาเป็นเรื่องชาติในความคิดนึกรู้สึก ตอนนี้เป็นเรื่องที่แยกทางกันเดินเลย แล้วมันก็ไม่ต้องกระทบกัน เลยยกให้เป็นเรื่องทางศีลธรรม และทางปรมัตถธรรม คําอธิบายอย่างนั้นก็มีประโยชน์ทางศีลธรรม คนนั้นตายแล้วไปเกิดเป็นอีกคน คนเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นมันเป็นสัสสตทิฏฐิ ส่วนเราไม่พูดถึงคนตายแล้วไปเกิด พูดว่าเมื่อไรมันเกิดตัณหา เมื่อนั้นมันก็เป็นปฏิจจสมุปบาทรอบหนึ่งแล้ว ฉะนั้น วันเดียวมันเกิดตัณหาได้หลายหน เกิดตัณหาทุกที เป็นทุกข์ทุกที หมายความว่าเป็นทุกข์ทีหนึ่งก็ปฏิจจสมุปบาทรอบหนึ่ง ในวันเดียวมีได้หลายรอบ มันขัดกับอรรถกถาที่ว่าเอาส่วนเหตุไว้ชาตินี้ เอาส่วนผลไว้ชาติโน้น แล้วกลายเป็นเหตุเพื่อผลในชาติต่อไปอีก แล้ว (หัวเราะ) มันจะเป็นได้อย่างไรเพราะในวันเดียวมันยังเกิดตัณหาได้หลายที สําหรับเรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ มันเดินกันคนละแนว ถึงพวกโน้นก็คัดค้านไม่ได้ ที่เราจะพูดว่าเกิดตัณหาทีหนึ่งก็ปฏิจจสมุปบาทรอบหนึ่ง มันไม่มีใครคัดค้านได้ดอก แม้ในอภิธรรมก็ยอมรับคล้าย ๆ อย่างนั้น คือบัญญัติว่า พอมันเกิดกิเลสวันละกี่หน ปฏิจจสมุปบาทก็ตั้งต้นเท่านั้นหนเท่านั้นรอบ
อาจารย์ครับ อย่างเกี่ยวกับพระพุทธโฆษาจารย์โดยตรงนี้ อาจารย์เคยเขียนไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ ว่า มีผู้ลงความเห็นว่า ท่านเป็นเพียงผู้แปลเท่านั้นไม่ใช่ผู้แต่ง นอกจากปกรณ์พิเศษ เช่น วิสุทธิมรรค แต่ว่าแม้แต่ วิสุทธิมรรค ตอนหลัง ก็มีคนบอกว่าลอกมาจาก วิมุตติมรรค อีกที แล้วก็เผาต้นฉบับเสีย
- ไม่ถึงอย่างนั้น ท่านแต่งตามนั้น แต่งตามเค้าวิมุตติมรรค เพียงแต่เพิ่มเติมตัวอย่างที่เป็นท้องนิทานเข้าให้มันมากกว่าเดิม
แล้วทําไมท่านต้องเผาฉบับเดิมทิ้งด้วยครับ
- มันก็น่าเห็นใจนะ ถ้ามันมีอยู่ ๒ ฉบับแล้ว มันก็ค้านกันตายเลย คนจะศึกษายังไงไหว (หัวเราะเบา ๆ)
มันเหมือนกับท่านเป็นนักฉวยโอกาส
- จะว่าอย่างนั้นมันก็มีทาง แต่ว่าไม่ถึงกับเป็นอย่างนั้น ท่านอาจตั้งใจจะทําให้ดีที่สุด อาจหวังดี จะให้ดีที่สุด หรือว่าเพื่อแสดงภูมิของตัวให้มากที่สุด วิมุตติมรรค ถ้าไม่มีใครแปลเป็นภาษาจีนก็หมด เท่าที่อธิบายในวิมุตติมรรคมันพอดีและก็เป็นหลักฐานดี กะทัดรัดพอดี พระพุทธโฆษาจารย์ ไปอธิบายอีกมากมาย ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลก มันเป็นเพียงขยายความ ทางไวยากรณ์ทางภาษาบ้าง เอานิทานเป็นเรื่อง ๆ มาประกอบบ้าง มีนิทานไม่รู้กี่สิบเรื่องในคัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์วิมุตติมรรคไม่ต้องมี เขาอธิบายได้โดยไม่ต้องเอานิทานมาเป็นเรื่องให้นํ้าหนัก
แล้วตอนที่อาจารย์แต่งตามรอยพระอรหันต์ อาจารย์กะจะจัดลําดับแบบวิสุทธิมรรคหรือเปล่า คือศีลนิเทศ สมาธินิเทศและปัญญานิเทศ กะไว้แบบนั้นหรือเปล่าครับ
- มันไม่ชัดถึงอย่างนั้น แต่มันก็ไม่หลีกความเป็นอย่างนั้น เพราะว่าทางปฏิบัติในพระศาสนามันก็ต้องเป็นอย่างนั้น อธิบายพื้นฐานด้านศีลไปก่อน แล้วก็ขึ้นมาถึงสมาธิ จนไปถึงปัญญา ถึงใครแต่งก็ต้องแต่งอย่างนั้น
แล้วตอนนั้นอาจารย์เห็นรึยังครับว่า การอธิบายหมวดปัญญานี้อาจารย์ไม่เห็นด้วย
- ยัง ยัง ยังไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ก็คือว่ามันมีระเบียบ หรือมีธรรมเนียมที่จะอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา แต่เดี๋ยวนี้ มันมามองกันดูอีกทางหนึ่งในการปฏิบัติจริง ๆ ของคนจริง ๆ นั้น ต้องให้ปัญญานําหน้าอยู่เรื่อยไป ให้มีศีล ให้มีสมาธิ โดยมีปัญญานํา ตามหลักอัฏฐังคิกมรรค ให้หมวดปัญญา มาก่อนหมวดศีล หมวดสมาธิ เมื่อแต่งหนังสือตามรอยพระอรหันต์ ยังยึดหลักศีล สมาธิ ตามธรรมเนียม ตาม (หัวเราะ) หลักทั่วไป และก็หาเรื่องที่มีนํ้าหนักมีความหมายดีเอามารวม ๆ กันไว้เป็นหมวด ๆ หมวดศีล หมวดสมาธิ หมวดปัญญา ส่วนหมวดธุดงค์นั้นใช้แทรกประกอบ มันก็อยู่ระหว่างศีลกับสมาธิเรียกว่าหมวดธุดงค์ แต่ในหลักเกณฑ์แท้ ๆ เรามีตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าว่าจะให้สมาธิเป็นไปโดยสะดวกโดยง่าย ผู้นั้นควรจะถือธุดงค์ด้วย (หัวเราะ) ศีลก็มีเพื่อสะดวกแก่การที่จะเป็นสมาธิ จะมีสมาธิ ไอ้ที่สําคัญแท้ ๆ มันก็มีอยู่ แต่ข้อนี้มันเห็นได้ชัดและง่ายเลยว่า เมื่อพระพุทธเจ้าท่านตรัสวิธีดับทุกข์ทั้งหลายโดยมากก็จะตรัสเป็นอัฏฐังคิกมรรค มีองค์ ๘ แต่บางทีท่านก็ไม่ตรัสอัฏฐังคิกมรรค ตรัส ๒ คําสั้น ๆ ว่า สมถะและวิปัสสนา ศีลหายไปเลยเพราะรวมอยู่ในสมถะ ธุดงค์ถ้าใครเห็นว่าจําเป็นก็รู้เสียว่ามันรวมอยู่ในสมถะ ระบบสมถะทั้งหมดมันทําให้ระงับ จึงรวมเอาศีลเอาธุดงค์ไว้ด้วยได้ ส่วนระบบปัญญาหรือระบบเห็นแจ้ง ๆ แทงตลอดต้องแยกตัวออกเป็นระบบหนึ่งต่างหาก มันก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอัฏฐังคิกมรรค ไปตรัสคําสั้น ๆ ๒ คํา ว่าสมถะและวิปัสสนา ทีแรกคํานี้ผมไม่ค่อยจะสนใจคิดว่ามันเหมือนคําพูดของชาวบ้าน แต่เมื่อมาดูทีหลังพบในพระบาลีเอง แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสแบบสั้น ๆ ด้วยคําเพียง ๒ คําว่าสมถะและวิปัสสนามากเหมือนกัน ซึ่งถ้าขยายออกก็เท่ากับอัฏฐังคิกมรรค สมถะเป็นหมวดสมาธิ วิปัสสนาก็เป็นหมวดปัญญา หมวดศีลก็รวมอยู่ในคําว่าสมถะ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 335-337
หลักปฏิบัติเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท
ตอนที่ 116 , ภาพหน้าที่ 337
ช่วงไหนที่อาจารย์เริ่มเห็นว่าการตีความปฏิจจสมุปบาท*ตามวิสุทธิมรรค*ไม่ถูก
- มันก็อยู่ในช่วงที่มาศึกษาปฏิจจสมุปบาทมากเข้า มีสวนโมกข์แล้ว ค้นคว้าพระไตรปิฎกมากขึ้น เมื่อก่อนมีสวนโมกข์หรือแรกมีสวนโมกข์ใหม่ ๆ ปี ๒ ปี (หัวเราะ) ก็ยังสอนอย่างเดิม และพอมาเกี่ยวข้องพระไตรปิฎก อ่านข้อความในพระบาลีโดยตรงมากขึ้น และในที่สุดมันสะดุดขึ้นมาเองว่าก็หลักปฏิจจสมุปบาทมันมีอยู่ชัดแล้วนี่ว่า ถ้ามีตัณหาก็ต้องมีอุปทาน มีภพ* มีชาติ* และเราก็มีตัณหาวันละหลาย ๆ หน (หัวเราะ) จะไปคาบเกี่ยวกันตั้งชาติชนิดเข้าโลงทีหนึ่งอย่างนี้ อย่างไรได้ ก็เลยหาทางพิจารณาว่าเป็นอย่างไรกัน ในที่สุดก็พบว่า คําว่าชาติ*นี้มัน ๒ ความหมาย ถ้าทางร่างกายเกิด*จากท้องแม่มันครั้งหนึ่งครั้งเดียว เกิดแล้วก็เลิกกันไปแล้ว แต่ชาติที่เกิด*มาจากตัณหาอุปาทาน*มันมีทุกคราวที่เกิดตัณหา วันหนึ่งได้หลาย ๆ หน เป็นอุปาทานวันละหลาย ๆ หน จะมีภพมีชาติได้วันละหลาย ๆ หน คือไม่ใช่ชาติทางกาย ไม่ต้องเข้าโลง จึงแยกตัวออกมาและมันก็ต้องยิ่งหาเหตุผลและหลักฐานอะไรมาส่งเสริมมากขึ้น และก็พบขึ้นเรื่อย ๆ และความคิดนึกทางเหตุผลที่มันออกมาเอง อย่างที่ว่านี้ มันก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เราเลยพบหลักที่เรียกว่าภาษาคนภาษาธรรม*เพราะเหตุนี้ ชาติในภาษาคน เด็ก ๆ มันก็เห็นเกิดจากท้องแม่ ชาติภาษาธรรมเกิดโดยจิตใจ เกิดเป็นความคิดเป็นตัวกูของกูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีใครมองเห็น แล้วมันไม่ต้องเกิดทางท้องแม่ มันเกิดผลุงขึ้นมาในความรู้สึกนึกคิด ถ้าความอยากมันเป็นไปแก่กล้าแล้ว ความคิดว่าตัวกูผู้อยากมันเกิดขึ้นมาเอง เกิดอย่างนี้คือความเกิดทางภาษาธรรม ก็เลยในที่สุดเอาเป็นว่า ยกปฏิจจสมุปบาทแบบอธิบายกันคร่อมภพคร่อมชาติไว้เพื่อส่งเสริมศีลธรรมแบบปรมัตถธรรมหรือสัจธรรมโดยแท้จริง คือแบบที่ไม่ต้องข้ามภพข้ามชาติ เพียงในชาติเดียวก็มีหลายรอบหลายวงแล้ว และมันก็คาบเกี่ยวกันระหว่างวงความคิดว่าตัวกูครั้งนี้ มีผลเนื่องไปถึงการเกิดตัวกูครั้งหลัง แต่มันไม่เป็นคน มันเป็นเพียงกระแสจิต ชนิดนี้เก็บไว้สอนในขั้นปรมัตถธรรมเพื่อความหลุดพ้นโดยตรง
- ก็เป็นปี ๆ คิดดู สวนโมกข์มัน ๕๐ ปี (หัวเราะ) สักครึ่งหนึ่งก็ ๒๕ ปีเห็นจะได้ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นยํ้าเหมือนตอกตะปูว่า ต้องเป็นอย่างนี้ อย่างอื่นไม่สําเร็จประโยชน์ จะกั้นกระแสปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร ถ้ามันอยู่คนละชาติ เรื่องอยู่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ซึ่งจะต้องมีสติกั้นกระแสของปฏิจจสมุปบาทอย่าให้ไกลไปถึงความทุกข์ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น ควบคุมให้ดี อย่าให้ปรุงไปจนถึงความทุกข์ นี้เป็นวิทยาศาสตร์*อย่างยิ่ง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 337
สิ่งที่เรียกว่า "ภพ" 4กย2531
เกิด ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
เกิด,ชาติ ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
ภาษาคน ภาษาธรรม+ปทานุกรมธรรม
เลือกฟังคำที่สนใจได้ , 800 คำ
ฟังคลิปสั้นๆ เลือกคำที่สนใจได้
ฟังภาษาคน ภาษาธรรม ในยูทูป
ธรรมะในฐานะวิทยาศาสตร์ 14กค2522
ตอนที่ 117 , ภาพหน้าที่ 338-339
กลับมาถึงงานครูบาอาจารย์ในอดีตอีกสักนิด อย่างงานของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ นั้น หลังจากตั้งสวนโมกข์แล้วอาจารย์ยังศึกษาอยู่อีกหรือเปล่า
- อ้าว มันแน่นอน เพราะมันเป็นหนังสือหลักที่ต้องศึกษาอยู่ ต้องใช้คําว่าศึกษา คําอธิบายต่าง ๆ ของสมเด็จกรมพระยาฯ ในนวโกวาทก็ดี ธรรมวิภาคเล่ม ๒ ก็ดี ธรรมวิจารณ์สําหรับนักธรรมเอกก็ดี ยังต้องเอามาศึกษา ก็พบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า ท่านต้องอธิบายอย่างนั้นเพราะในสมัยนั้นมันมีเท่านั้น และเรื่องเกี่ยวกับภาษาคนภาษาธรรม*ไม่มีวี่แววใน (หัวเราะ) ความรู้สึกนึกคิดของท่านเลย
คติเรื่องเปลือก กระพี้ แก่นอะไร ดูเหมือนท่านก็เคยใช้มาก่อน
- นั่นแน่นอน ก็ท่านมีปัญญา และก็เห็นว่าส่วนไหนเป็นแก่น ส่วนไหนเป็นกระพี้
ในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ผมเห็นอาจารย์เอางานของสมเด็จพระวันรัต (พลับ) มาลงหลายเรื่องหลายตอน
- มีบ้าง คือถ้าดีเป็นที่พอใจก็นํามาเปิดเผยให้เป็นที่รู้กัน ก็เอามาลงของใครก็ได้ หลายอย่างอธิบายอย่างสอดคล้องกันก็มี แต่ถ้าให้อธิบายปฏิจจสมุปบาท*ก็คงจะไม่พ้นอย่างข้ามภพ*ข้ามชาติ* ท่านเป็นคนในรัชกาลที่ ๔ ที่ ๕ คาบเกี่ยว จัดเป็นฝ่ายอรัญวาสี
งานของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เรื่อง อภิธานัปปทีปิกา อาจารย์ได้ใช้ประโยชน์มากไหมครับ เห็นอาจารย์เขียนบรรณวิจารณ์อย่างชื่นชม
- เป็นเรื่องทางภาษา ไม่ใช่ทางธรรมะ ธรรมะนิดหน่อยเป็นส่วนประกอบ เป็นประโยชน์ทางภาษา ทางที่จะแปลภาษา เข้าใจว่าไม่ใช่งานของท่านเอง ตัวงานของท่านคือ ท่านชําระหนังสือเล่มนี้ให้มันถูกตามตัวอักษรและก็พิมพ์ออกมา คนที่แต่งคัมภีร์นี้ไม่รู้ว่าใครเหมือนกัน ผมไม่ได้ฟังไม่สนใจ ท่านเอาชื่อเอาคําที่เป็นไวพจน์แทนกันได้มาประมวลรวมกันไว้ สําหรับคําว่าพระพุทธเจ้าก็หลาย ๆ สิบคํา คําว่าพระอรหันต์ ก็หลายสิบคํา คําอะไรล้วนแต่หลาย ๆ คําทั้งนั้น เราได้ใช้ประโยชน์อันนี้ ได้ประโยชน์ จากผู้ที่แต่งเดิม สมเด็จพระสังฆราชเจ้านั้น ท่านได้ทําให้มีขึ้นในภาษาไทย เราก็ได้รับประโยชน์มาก คําซินโนนีมในประเภทไวพจน์ แม้กระทั่งเรื่องต่าง ๆ ที่ซึ่งไม่ใช่เรื่องทางธรรมะเป็นเรื่องต้นไม้ เป็นเรื่องบ้านเมือง เป็นเรื่องภูเขา เป็นเรื่องธรรมชาติ ทําให้ความรู้กว้างขวาง หนังสือเล่มนั้นมีประโยชน์ ถ้ารู้จักใช้ หรือว่า มันอยู่ในฐานะที่จะใช้หนังสือเล่มนั้น ก็เรียกว่าใช้ได้มาก (หัวเราะ) แต่พวกอภิธรรม*ไม่ได้รับประโยชน์จากหนังสือนี้แม้แต่นิดเดียว เพราะเขาไม่มีเรื่องที่จะต้องสนใจอย่างนี้ หรือจะใช้อย่างนี้ เขามีหน้าที่จะนั่งนับเม็ดมะขาม (หัวเราะ) ถ้าเป็นนักศึกษาแท้จริง ต้องศึกษาในส่วนที่เป็นภาษาศาสตร์ อักษรศาสตร์ด้วย ในอภิธรรม*ไม่มี และเรื่องราวในหนังสือนี้มีพอ เกินที่จะศึกษาจะท่อง จะนั่งคํานวณเสียอีก
* พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นพระภิกษุชาวอินเดีย (สมัยราว ๆ พ.ศ. ๑๐๐๐) เดินทางมาศึกษาพระไตรปิฎกในลังกาและแต่งคัมภีร์อรรถกถาขึ้นใหม่ทั้งยังเป็นผู้แต่งปกรณ์พิเศษ ชื่อ "วิสุทธิมรรค" ซึ่งอธิบายเรื่องปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ* การศึกษาปริยัติธรรมระดับสูงสุดในประเทศไทย ใช้คีมภีร์เล่มนี้เป็นหลัก
* อภิธรรมคืออะไร , 2514 03 20
หลักปฏิบัติเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท
สิ่งที่เรียกว่า "ภพ" 4กย2531
เกิด ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
เกิด,ชาติ ในภาษาคน กับ ภาษาธรรม คืออะไร
คำชี้แจง3เกี่ยวกับ พระพุทธโฆษาจารย์
73.มีผู้กล่าวหาท่านพุทธทาสว่า กล่าวว่า พระอภิธรรมไม่ใช่พุทธพจน์ที่แท้จริง มีข้อเท็จจริงอย่างไร
822.อาตมาถูกเข้าใจว่าเป็นผู้ยกเลิกปฏิจจสมุปบาทตามแบบเดิมของพระพุทธโฆษาจารย์ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ตอนที่ 118 , ภาพหน้าที่ 340-341
* มหายานศึกษาและจีนวิทยา *
อาจารย์ครับ ตอนนี้ผมจะขอเรียนถามเรื่องเกี่ยวกับมหายานศึกษา และจีนวิทยา อยากทราบว่าอาจารย์เริ่มมาสนใจมหายานตั้งแต่เมื่อไร และอะไรเป็นจุดเริ่มต้น
ผมไม่ได้แตกฉานเรื่องมหายานอะไร เกี่ยวข้องบ้างเท่านั้น มันมีความเห็นตัดบทออกไปว่า ไม่ค่อยมีอะไรมาก หรือดีกว่าเถรวาท (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ค้นคว้าอะไรถึงที่สุด ถึงจะได้อะไรมาจากมหายาน ก็ไม่ดีกว่าหรือเหนือกว่าที่เถรวาทมี ทีแรกทีเดียวผมก็ไม่รู้เรื่องมหายานได้ยินแต่ชื่อ และก็ได้ยินไปในแง่ที่เป็นฝ่ายร้ายฝ่ายลบ ว่ามหายานนี้เขาเพิ่มเติมอะไรขึ้นมามาก ทําให้ยุ่งยาก ไอ้เราก็อยากจะรู้ว่ามันอะไรบ้าง มันจริงหรือเปล่า พอพวกมหายานผ่านมา หรือเราพอจะอ่านได้ที่ไหน ก็หาอ่าน ศึกษาพิจารณา ในที่สุด มันก็จับเค้าใจความสําคัญได้ว่าเขาต้องการจะให้ง่ายขึ้น สําหรับคนที่ไม่มีการศึกษาชาวบ้านนอกคอกนา เขาจะบัญญัติคําสอนลัทธิอะไรต่าง ๆ ให้มันง่ายเข้า เช่นการพิจารณาพระพุทธคุณอย่างลึกซึ้งเขาทําไม่ได้ มันก็ลดลงมาจนเหลือออกชื่อท่านก็แล้วกัน จึงมีการสวดมนต์เพียงออกชื่อพระพุทธเจ้าบางองค์ เช่น อมิตาภะเป็นต้น แล้วก็ขยายออกไปว่าถ้าใครสวดได้ ๘ หมื่นครั้ง หรือ ๔ หมื่นครั้ง ก็เป็นอันว่าแน่นอนว่ารอดตัวไปสวรรค์แน่ ไปสวรรค์ตามแบบนั้น มันก็น่าเห็นใจ เพราะว่าเขาจะรักษาชนกลุ่มที่ด้อยการศึกษาปัญญาน้อยเอาไว้ในวงพุทธศาสนา ไม่ให้มันแตกคอกนอกออกไปเป็นศาสนาอื่นที่ง่ายกว่า และอย่าลืมว่ามันเกิดขึ้นในอินเดีย แล้วก็ค่อยไปเมืองจีน มันก็น่าชมเชยที่เขาจะรวบรัดเอาประชาชนที่ไม่มีการศึกษาเอาไว้ได้ ถ้าเอากันอย่างเถรวาทตรง ๆ แล้ว บางคนมันอาจจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรก็ได้ ทีนี้ มหายานบัญญัติกันให้มันง่ายเข้ามา เพียงแต่ออกชื่อ ๘ หมื่นครั้ง ก็ไปสุขาวดีทางทิศตะวันตกของพระพุทธเจ้าองค์ที่ออกชื่อ (หัวเราะ) นี้เป็นเหตุให้เขามีพระพุทธเจ้ามาก ๆ ชนิด ตามเหตุผลที่มาจากความต้องการของคนที่ไร้การศึกษา ฉะนั้นจึงบัญญัติพระพุทธเจ้าเสียมากมาย ยังไม่พอ ยังบัญญัติโพธิสัตว์ขึ้นมาช่วยพระพุทธเจ้า บัญญัติตาราขึ้นมาช่วยโพธิสัตว์ องค์หนึ่งนับเป็นพันเป็นหมื่น ก็สมกับชื่อที่เรียกว่ามหายานแล้ว หมายความว่าจะเป็นยานใหญ่ขนเอาคนไปทั้งหมด ถ้าเป็นเถรวาทคนไปได้ไม่กี่คน (หัวเราะ) เขาจึงเปรียบเทียบมหายานเท่ากับว่าเกวียนที่เทียมด้วยวัว แล้วก็เถรวาทนี่เป็นเกวียนที่เทียมด้วยแพะหรือด้วยกระต่าย (หัวเราะ) มันขนคนไปได้น้อย
อาจารย์ครับ แต่ถ้าเผื่อว่าเขาทําไว้สําหรับคนโง่เท่านั้น ทําไมคัมภีร์บางอย่างของมหายานจึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง อย่างเช่นมัธยามิกะของนาครชุน
- นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่สําหรับคนโง่ คนโง่ไม่อาจเข้าใจมัธยามิกะมหายานส่วนที่ลึกซึ้ง มันก็ไม่แปลกไปกว่าเถรวาท มัธยามิกะมันก็สงเคราะห์เข้าในมัชฌิมาปฏิปทา คืออธิบายให้มันเหมาะสมกับสมัยมากขึ้น จะพูดอย่างนี้ก็ได้ว่า มหายานนั้นขยายออกไปให้ใหญ่ ทางหนึ่งขยายออกไปทางตํ่า คือทางประชาชนที่ไร้การศึกษา แล้วอีกทางก็ขยายออกไปในทางสูง คือในผู้ที่มีสติปัญญามีการศึกษาดี บางสูตรที่เกิดขึ้นสําหรับคนที่มีการศึกษาดีก็มีมาก แต่แล้วก็มันไม่พ้นจากที่จะใช้ความเชื่อเป็นใหญ่ ใช้ศรัทธาเป็นใหญ่ สูตรสําคัญ ๆ เช่น สัทธัมมปุณฑริกสูตรก็ยังมีเค้าเงื่อนใช้ศรัทธาเป็นใหญ่อยู่เหมือนกัน ผมจึงพูดว่ามันไม่มีอะไรสูงกว่า ลึกกว่า แปลกกว่า ของเถรวาทอยู่นั่นเอง และก็มีองค์ประกอบส่วนที่เขาต้องการพิเศษเข้าไปด้วยในสูตรนั้น มันจึงเป็นสูตรที่ยืดยาวและมีทุกขั้น ง่าย ๆ สําหรับคนโง่ ๆ ส่วนที่ลึกซึ้งขึ้นไปสําหรับคนมีสติปัญญา เรื่องอานุภาพของพระพุทธเจ้า ของพระโพธิสัตว์ มันก็ยังเป็นของสําหรับคนโง่อยู่นั่นเอง ยึดมั่นถือมั่นในพระพุทธเจ้า ในพระโพธิสัตว์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายว่า พอไปถึงเมืองจีนต้องสอนกันอีกแบบหนึ่ง จึงเกิดเซนขึ้นมา ซึ่งล้อเลียนหรือตอบโต้มหายานปรับปราครํ่าครึของอาซิ้ม เมื่ออาซิ้มออกชื่ออมิตาภะ ๘ หมื่นครั้งแล้วจะได้ไปสุขาวดี มันก็มีคําล้อว่าอมิตาภะอะไรกัน แง่สําคัญในเซน อมิตาภะคือจิตเดิมแท้ ออกชื่อจิตเดิมแท้ถึง ๘ หมื่นครั้ง มันคงรู้เค้าเงื่อนของจิตเดิมแท้ได้บ้าง แล้วมันก็เพื่อหลุดพ้นไม่ใช่ไปสวรรค์หรือสุขาวดี ฉะนั้น เซนจึงไม่มีเรื่องสวรรค์สุขาวดี ส่วนนิกายสุขาวดี*ของมหายานแบบสําหรับประชาชนทั่วไปเป็นนิกายต่างหาก เรียกเทียนไท้ หรือสุขาวดี ข้อที่น่าสังเกตของเซนก็คือทําปัญญากับสมาธิควบคู่กันไป ไม่แยก เบ่งออกมาทีเดียวทั้ง ๒ อย่าง ซึ่งมาเทียบเคียงดูเดี๋ยวนี้ เห็นได้ว่าระบบอานาปานสติ* สามารถรับหน้า เผชิญหน้ากับเซนได้ คือมันควบคู่กันไปหมดทั้งสมถะและทั้งวิปัสสนา* ทําระบบเดียวออกมาทั้ง ๒ อย่าง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 340-341
สนทนาธรรมกับนายเป็งฮั้ว (วิญญาณ,สุขาวดี)
อานาปานสติภาวนา(และจิตตภาวนา วิปัสสนา สมาธิ สติปัฏฐาน4 อานาปานสติ 16 ขั้น)
ตอนที่ 119 , ภาพหน้าที่ 341-344
ตําราที่อาจารย็ใช้ศึกษามหายานใช้ภาษาอะไรครับ
- ส่วนมากก็เป็นภาษาอังกฤษ ที่เป็นภาษาไทยก็พิเศษอยู่เล่มหนึ่ง คือคําวิจารณ์ลัทธิมหายานของรัชกาลที่ ๕ ออกความเห็นถวายสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส หนังสือเล่มนี้ดีมาก เดี๋ยวนี้ชักจะหายาก พระราชวิจารณ์มหายานของรัชกาลที่ ๕ ท่านเขียนดีมาก คือเล่าเรื่องมาก อ้างไปถึงพวกชาดกอะไรต่าง ๆ จะเกิดมหายานขึ้นมาได้อย่างไร และแสดงว่าท่านก็เห็นว่ามีส่วนดี และบางทีจะเห็นไปถึงกับว่าน่ากลัวมันจะมาครอบงําประเทศไทย ผมเคยมีเล่มหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าไปเก็บไว้ที่ตรงไหน หนังสืออื่นที่เป็นภาษาไทยมันมีเขียนแต่อย่างสั้น ๆ ตื้น ๆ ง่าย ๆ ขยายออกไปรับคนได้มาก มันไม่ถึงตัวมหายานจริง ๆ และพอนิกายเซนมา บางคนก็เอาเป็นมหายานเสียอีก อย่าไปออกชื่อเขาเลย นี่เรียกว่ามันไม่ได้รู้จักมหายานกันอย่างแท้จริง เซนเป็นผู้ล้อมมหายาน ผู้คัดค้านมหายาน มหายานเมื่อยังอยู่ในอินเดียก็ไปเรื่องทางฝ่ายสูง จะขยายไปทางฝ่ายสูงไปครอบงําปรัชญาต่าง ๆ หรืออะไร พอมาทางตะวันออก มาทางเมืองจีน มันขยายไปในทางตํ่า ไปรวมเอาคนที่ไม่มีการศึกษาไว้ จะให้มันง่ายถึงขนาดว่าออกชื่ออมิตาภะกี่หมื่นครั้งแน่นอน คนนั้นพอจะตายก็มีรถมารับอยู่บนหลังคา อาซิ้มจึงสวดแค่ว่านะโมอมิตาภะเท่านั้น
แล้วหนังสือภาษาอังกฤษที่อาจารย์ศึกษานั้น อาจารย์สั่งซื้อมา หรือว่าไปซื้อเองหรือว่ามีคนส่งมาให้
- ไม่แน่ มันแล้วแต่จะมีมาได้ เดี๋ยวนี้ผมก็มีไม่กี่เล่ม ไม่ครบ สูตรสําคัญ ๆ ของมหายาน ชั้นเลิศ หรือชั้นเอกก็ ๙ สูตรหรือ ๑๔ สูตร ผมก็มี เช่น ลังกาวตารสูตร สัทธัมมปุณฑริกสูตร สัทธัมมปุณฑริกสูตร ก็มีอยู่ในชุด The Sacred Books of The East ซึ่งคําแปลเชื่อถือไม่ค่อยได้นัก
อาจารย์เอาเรื่องมหายานลงในพุทธสาสนา โดนต่อต้านบ้างไหม
- ไม่ ไม่ปรากฏว่าใครต่อต้านคัดค้านถึงกับจะด่าว่า กลับขอบใจว่าได้ฟังของแปลก แล้วบางคนมาพูดกับผม ว่ารู้พุทธศาสนาเพราะเซนนี้ก็มีมากเหมือนกัน อ่านหนังสือเว่ยหล่างก็มีมากเหมือนกัน ไม่รู้มันจะจริงหรือเปล่า (หัวเราะ) ว่าอ่านได้รู้เรื่อง ผมก็สงสัยอยู่เหมือนกัน แต่มีมากผู้ที่อวดดีขนาดที่พูดว่า เขาอ่านแต่หนังสือเว่ยหล่าง ไม่อ่านหนังสือเรื่องอื่น
รู้สึกอาจารย์ชาเคยพูดคล้าย ๆ แบบนี้
- อาจารย์ชาเลยได้รับสมัญญาว่าอาจารย์เซนแห่งเถรวาทของภาคอีสาน
อาจารย์เริ่มจากหนังสือเล่มไหนก่อนครับ
- ก็เริ่มจากเว่ยหล่าง เจ้าคุณลัดพลีฯ ส่งมาให้และขอร้องให้แปล ผมไม่สามารถจะแปล แต่ก็ยังดันทุรังที่จะแปล ภาษาอังกฤษค่อนข้างง่าย แต่การตีความให้ถูกตรงนี่ยากมาก ถ้าไม่รู้ธรรมะแท้จริงอยู่บ้างแล้ว คงจะแปลออกไปผิด เพราะหนังสือใช้คําธรรมดา ๆ มีประโยคธรรมดา ๆ ที่มีความหมายลึก ๆ อาศัยที่เรารู้หลักธรรมะแท้ ๆ ของฝ่ายเถรวาทอยู่ ถ้ามันมีปัญหาอย่างนั้นก็เอาตามหลักนี้ มันอาจจะผิดไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ผมเชื่อว่าถูกตรงตามความหมายของเว่ยหล่าง
ทําไมเจ้าคุณลัดพลีฯ ท่านถึงอยากให้แปล
- เพราะท่านชอบเรื่องที่ใช้สติปัญญา เหมือนอย่างหนังสือเล่มเล็ก ๆ นี้ อ่านดู ก็เรียกว่าพอใจมาก สนใจเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่าชุดแรกออกมาใหม่ พิมพ์เป็นครั้งแรก ภาษาอังกฤษ ว่องมูหลํ่า เป็นผู้แปลจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ หมอตันม่อเซี้ยง*คัดค้านว่าไม่ถูกอยู่บางแห่ง ไม่ถูกอยู่หลายแห่ง แต่ผมก็ไม่รู้แน่ว่าจริงหรือไม่จริง แกว่าว่องมูหลํ่าแปลไม่ถูก แปลจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษทําให้เขว แต่เราก็รักษาหลักสําคัญหลักถูกต้องไว้ได้ในการแปลเป็นภาษาไทย
ฉบับภาษาไทยมีใครช่วยอาจารย์ตรวจคําแปลให้หรือเปล่า
ที่หมอตันม่อเซี้ยง เขาบอกว่าแปลไม่ถูกนั้นเขาเทียบจากภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยที่อาจารย์แปล
- แกรู้ภาษาจีน ภาษาอังกฤษก็รู้บ้าง แต่แกอาจจะรู้จากที่เราแปลก็ได้ เรายืนยันว่าแปลตามภาษาอังกฤษ แกก็ว่าบางอย่างไม่ถูกมันเป็นส่วนน้อยไม่ใช่ส่วนใจความ ไอ้คําเล็ก ๆ น้อย ๆ ไอ้เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ คุยกัน เวลาผมไปกรุงเทพฯ ทุกทีต้องไปคุยกับหมอตันม่อเซี้ยง เรียกว่าทุกครั้งก็ได้ ตอนหลังไปไม่ไหว แกก็ยังมาหาผมที่โรงพยาบาล ที่ที่นอนพัก แกก็งอมเต็มทีแล้วเหมือนกัน คนรุ่นพอ ๆ กัน แกก็แก่มาก เมื่อผมแปลหนังสือ ฮวงโปนั้น มันมีที่ปรึกษาคําคือ คุณวทัญญู ณ ถลาง เมื่อบวชอยู่ที่นี่ได้เคยซักถามเรื่องคําภาษาอังกฤษ
เวลาอาจารย์ไปคุยกับหมอตันม่อเซี้ยงทุกครั้ง คุยกันเรื่องอะไรครับ
- สารพัด สารพัดอย่างแกชอบเล่าเรื่องเบ็ดเตล็ด ลืมหมดจําไม่ไหว เรื่องพาดพิงถึงคนนั้นพาดพิงถึงคนนี้ ถ้าเรียกภาษาจีนละก็ แกเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง แกก็รู้แต่ทางธรรม ส่วนทางประวัติศาสตร์แกก็พูดได้บ้าง คือแกไม่ได้ (หัวเราะ) สนใจมากมายอะไร แกสนใจแต่ธรรมะ
เทียบกับเสถียร โพธินันทะล่ะครับ
-บางอย่างก็คัดค้านกัน บางอย่างก็ขัดแย้งกัน ทฤษฎีบางอย่างขัดแย้งกัน นายแพทย์ตันม่อเซี้ยงอธิบายให้ผมฟังอย่างนั้น แต่ว่าคุณเสถียรก็นับถือหมอตันม่อเซี้ยงมาก
-ผมสังเกตเห็นว่ามหายานนั้นมันเรียกว่ามันขยายตัวออกไปทั้งในเบื้องตํ่า ที่สําหรับคนที่ไร้การศึกษา และเบื้องสูงสําหรับคนที่มีการศึกษามาก และในอินเดียนั้นก็มีการศึกษาทางนี้มาก เมื่อสมัยมหาวิทยาลัยนาลันทา เขามีนักคิด นักศึกษา เพราะฉะนั้น มันอาจจะเป็นผลงานของที่นั่นก็ได้ หรือว่าทําเพื่อให้นักศึกษาที่นั่นได้ (หัวเราะ) โต้กันให้สนุก เรียกว่าสูตรสําคัญ ๆ ตั้งต้นมาจากอินเดีย แล้วก็มาที่เมืองจีน ก่อนเกิดนิกายเซน สูตรมหายานเหล่านี้ไปถึงเมืองจีน คงจะไปตั้งแต่ครั้งยวนฉ่าง (ถังซําจั๋ง) ส่วนฟาเหียนนั้นมันเป็นเรื่องไปสืบเสาะเรื่องชนิดขลังศักดิ์สิทธิ์เสียมากกว่า แกม ๆ ไสยศาสตร์ปนฮินดูมา ไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ถ้าว่ายวนฉ่างเขาเป็นนักศึกษาแท้จริง เอาเรื่องโดยตรง โดยแท้จริงมา นั่นจึงได้พระคัมภีร์โดยตรงมา สําหรับฟาเหียนนั้นจะเป็นนักบันทึกประวัติศาสตร์ บันทึกของแกจะเป็นเรื่องประวัติศาสตร์เสียมาก จนได้อาศัยใช้อยู่จนบัดนี้ ส่วนอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงพอ ๆ กันก็อี้จิง คนนี้สนใจเรื่องการปฏิบัติ บันทึกแต่เรื่องการปฏิบัติ ที่เมืองนั้นเมืองนี้ที่ผ่านไป มีการปฏิบัติอะไร แกก็บันทึก สรุปความสั้น ๆ ว่า อี้จิงบันทึกในแง่ของการปฏิบัติ ๓ คนนี้ทําประโยชน์มาก ผมมีหนังสืออี้งจิงและยวนฉ่าง ของฟาเหียนไม่มี ไม่ต้องการเพราะมันไม่ได้พยายาม ไม่พยายามจะมี เพราะเห็นว่ามันไม่ต้องก็ได้
ใช้เวลามากไหมครับ ตอนแปลเว่ยหล่าง
- หลายเดือนเหมือนกัน เพราะมันทําตามสบาย ทําทีละตอน ๆ พิมพ์ทีหลัง แล้วยัง ๒-๓ บทสุดท้ายขี้เกียจแล้ว แล้วมันเกิดอะไรแทรกแซง ไม่ได้แปล ไปพิมพ์เป็นเล่มเท่านั้นมันพอแล้ว ข้อความที่คล้าย ๆ กัน ซํ้า ๆ กัน แล้วคุณอะไรมาแปลทีหลัง เอามาต่อท้ายเข้าในการพิมพ์ครั้งหลัง
เมื่ออาจารย์ตีความไม่ออกนี่อาจารย์ทําอย่างไรครับ
- มันไม่เคยจนปัญญาถึงกับจะยอมแพ้ มันด้นไปได้ด้วยความรู้จากหลักธรรมที่เราศึกษามาก่อนแล้ว มันหยุดไม่ได้ มันต้องพิมพ์ในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาเป็นตอน ๆ ก็ต้องให้ออกไปเท่าที่จะได้ รวมความแล้ว มันยังมีประโยชน์ คําแปลนั้นยังมีประโยชน์ ใช้ประโยชน์ได้ ฮวงโปนั้นยากกว่าลึกกว่า คําพูดพูดลึกกว่า พูดกันในแง่สุญญตา ลึกกว่า เอาสุญญตามาพูดสําหรับประชาชนได้อย่างลึกกว่า
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 341-344
ตอนที่ 120 , ภาพหน้าที่ 344-345
หมอตันม่งเซี้ยง หรือว่านายเสถียร โพธินันทะ อ่านแล้วก็ไม่ได้ค้านว่าอาจารย์แปลผิดตรงไหนใช่ไหมครับ
-ไม่เห็นมี คุณเสถียรก็ทันอ่านหนังสือนี้ และก็ได้อ่านที่เราแปล ไม่ปรากฏว่าคุณเสถียรวิพากษ์วิจารณ์หรือเขียนอะไร
ที่อาจารย์ศึกษาเซนนี้มีส่วนทําให้อาจารย์มาเข้าใจเถรวาทบางแง่บางมุมชัดขึ้น หรือว่าเปลี่ยนความคิดบางอย่างหรือไม่
-ไม่มี ที่ว่าเปลี่ยนความคิดบางอย่างก็ไม่มี แต่ให้ความรู้ไปในทางปฏิภาณ การพูดให้เฉียบแหลม ให้คมคาย ให้ลึกซึ้ง พูดอย่างเว่ยหล่าง น่าฟัง พูดอย่างนักปราชญ์ ดูตามบันทึกแล้วปรากฏว่าพวกที่ศึกษาเหลาจื้อ เต๋ามาแล้ว ก็ยินดีมาฟังเว่ยหล่างซึ่งเป็นพระไม่รู้หนังสือ (หัวเราะ)
ตอนพิมพ์ครั้งแรก ทําไมอาจารย์ใช้ชื่อว่ากองตํารา คณะธรรมทานแปลครับ
-ก็จะได้ไม่ (หัวเราะ) ยกตัวเอง (หัวเราะ) แต่แล้วก็ไม่ตรงตามความจริง เพราะว่าแปลคนเดียว กองตําราคณะธรรมทานก็ไม่มีใคร นอกจากนายธรรมทาส และเขาไม่ได้ทํางานนี้แม้แต่นิดเดียว (หัวเราะ)
ผมเห็นอาจารย์เคยเขียนไว้ในพุทธสาสนาปีที่ ๔ เล่มที่ ๑ (ปี ๒๔๗๙) บอกว่าได้เห็นสารบาญละเอียดพระไตรปิฎกแปลภาษาญี่ปุ่น จากพระญี่ปุ่นรูปหนึ่ง อยากทราบว่าอาจารย์พบกันอย่างไร เป็นจุดเริ่มต้นให้สนใจมหายานหรือเปล่า
-เขาถือเป็นหนังสือคู่มือ บัญชีหนังสือของนันโซ รวบรวมมาทําบัญชีสารบาญเพื่อการศึกษา แล้วมันสะดวกที่จะอ้างอิง ผมเคยเห็นของใครผมก็ลืมแล้ว (เว้นนาน) อ้อ! แต่ก่อนนี้มีบ่อย พระญี่ปุ่นเขามาเพื่อจะศึกษาพุทธศาสนา เพื่อจะขอบวช มีมา ๒-๓ รุ่น รุ่นละ ๒-๓ องค์ แล้วบวชอยู่ทางวัดอรุณฯ ที่อยู่ทางฝั่งธน เราก็ไปพบ ในฐานะว่าแปลก อยากพบพระญี่ปุ่นในฐานะที่ว่าแปลก บางคนอุตส่าห์เรียนภาษาไทย ตอนแรก ๆ มีสวนโมกข์นั้นไปกรุงเทพฯ เสมอ มากกว่า ๑ หนต่อปี ทีนี้ได้ยินข่าวหนังสือพิมพ์ว่าพระญี่ปุ่นมาและก็อยากจะพบ บางทีก็ไปอาศัยร้านถ่ายรูปชาวญี่ปุ่นที่เรารู้จักคุ้นเคยกัน เพราะเราเคยไปติดต่อเรื่องถ่ายรูปล้างรูป วานแกเป็นล่าม (หัวเราะ) พวกนี้พยายามที่จะมาบวชอย่างไทย หนุ่ม ๆ ทั้งนั้นคงเห็นว่ามันแปลกและจะมีอะไรที่มีค่า แต่แล้วก็ไม่สําเร็จประโยชน์ เพราะไม่ได้อุทิศจริง ไม่ได้เสียเวลาทั้งชีวิตเพื่อจะทํางานอันนี้ เดี๋ยวเดียวพอมันเหน็ดเหนื่อยลําบากเข้าก็เลิก เราไปคุย ๒-๓ ครั้งก็ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวอะไรมากนัก มันคุยกันยาก ต้องผ่านล่าม
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 344-345
ตอนที่ 121 , ภาพหน้าที่ 345-347
การที่อาจารย์ได้รับนิมนต์ให้ไปพูดที่พุทธสมาคมไทย-จีนประชานั้น เริ่มต้นอย่างไรครับ
-นี่เป็นเรื่องของหมอตันม่อเซี้ยงทั้งนั้น หมอตันม่อเซี้ยงอยากให้พวกจีนได้ฟังธรรมะอย่างเถรวาท หรือธรรมะเปรียบเทียบระหว่างเถรวาทกับมหายาน ผมก็ชอบพูดในลักษณะเปรียบเทียบ
หมอตันม่อเซี้ยงได้รู้จักกันอย่างไรครับ
-ก็คงผ่านหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ผมก็ลืมเสียแล้วครั้งแรกที่สุดมันพบกันโดยวิธีอย่างไร รู้สึกแกมาหาผมเมื่อไปพักที่กรุงเทพฯ และก็แลกเปลี่ยนกันมาเรื่อย ๆ และก็คุยกันตั้งนาน แกเคยเขียนโคลงสดุดีผมในภาษาจีน (หัวเราะ) ผมเก็บไว้ไม่รู้หายไปไหนเสียแล้ว อ่านให้ฟังแล้วแปลให้ฟัง (หัวเราะ) ผมไปพูดหลายครั้งหลายแห่ง หมอตันม่อเซี้ยงเป็นล่ามโดยมาก เข้าใจว่าเริ่มไปพูดหลังจากเว่ยหล่าง ลงพิมพ์ในพุทธสาสนาได้ไม่เท่าไร หมอตันม่อเซี้ยงเคยมาสวนโมกข์ครั้งหนึ่ง เมื่อคราวประชุมสมาคมพุทธศาสนาทั่วประเทศที่ค่ายลูกเสือธรรมบุตร (ติดสวนโมกข์)
อาจารย์ครับเสถียร โพธินันทะนี่ได้รู้จักกันหรือเปล่า
-เขาอ่านหนังสือพุทธสาสนา อยากรู้จัก และก็พยายามติดต่อกัน อย่างไรก็ไม่ทราบในครั้งแรก จนกระทั่งว่าถ้าผมไปกรุงเทพฯ ก็ต้องไปคุยกันที่วัดกันมาตุยาราม ระหว่างที่คุณสุชีพ ยังเป็นพระอยู่ คุยเรื่องวินิจฉัยธรรมะข้อนั้นข้อนี้มากกว่าอย่างอื่น เขาความรู้ดี ความจําดีแน่ แต่ความรู้บางอย่างที่เกี่ยวกับความคิดความเห็น เป็นธรรมดาที่มันไม่ตรงกัน ก็มี คือผมอธิบายเรื่องจิตว่างกับจิตประภัสสรและจิตเดิมแท้นั้น มีอะไรบางแง่ ที่คุณเสถียรเขาไม่เห็นด้วย เขาเขียนค้านอย่างค่อนข้างรุนแรงในหนังสือบางเล่ม
คุณเลียง เสถียรสุตรู้จักอาจารย์ได้อย่างไรครับ
-จําไม่ได้ว่าเป็นครั้งแรกเมื่อไร แต่รู้จักผ่านหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาอีก ที่จําได้เพราะชอบไปหาผมที่วัดปทุมคงคา ที่ไปพักตอนแรก ๆ แล้วเขาก็คุยกับหมอตันม่อเซี้ยงอยู่เสมอ คงจะคุยกับหมอตันม่อเซี้ยงเรื่องผมด้วย แกคิดจะแปลคัมภีร์เถรวาทออกเป็นภาษาจีน ตั้งใจจะทําหรือลงมือทําแล้วบ้าง แต่ไม่สําเร็จ จะแปลมัชฌิมนิกาย หรือแปลอะไรก็ลืมเสียแล้ว คิดว่าจะแปลอวดของดีของเถรวาทบ้าง แกก็เป็นคนสอบสวนอยู่เสมอว่าคัมภีร์เถรวาทอะไรไปตกหล่นอยู่ที่เมืองจีน แกบอกแกเคยพบ เดี๋ยวนี้เรา (หัวเราะ) ไม่ต้องการเถรวาท ไม่ต้องการมหายาน ต้องการคําพูดอะไรก็ได้ที่มันพิสูจน์ได้ว่าดับทุกข์ได้ก็พอแล้ว
อาจารย์ครับ นอกจากพุทธศาสนาและเซนแล้ว วิชาความรู้เกี่ยวกับปรัชญาจีนอื่น ๆ อาจารย์ศึกษาหรือเปล่า
-ไม่ค่อยได้ศึกษา เพราะมันเหลือวิสัย แต่หนังสือเบ็ดเตล็ดบางส่วน ซึ่งเป็นของกระเส็นกระสาย อย่างเหลาจื๊อ จางจื๊อ ขงจื๊อก็ศึกษานิดหน่อย อ่านจากภาษาอังกฤษบ้าง ภาษาไทยบ้างแล้วแต่โอกาส อ่านจาก (หัวเราะ) ลัทธิของเพื่อน (หัวเราะ) ของพระยาอนุมานฯ ก็เคยอ่าน เหลาจื๊อก็อ่าน อย่างเล่มเล็ก ๆ ที่ฝรั่งพิมพ์ออกมีหลายฉบับ ๑๐ กว่าฉบับ เราเคยมี ๒-๓ ฉบับ แปลคนละคนไม่เหมือนกัน บ้างก็น่าไว้ใจ บางคนก็ไม่น่าไว้ใจ ของจางจื๊อก็มี
ภาพนิทานจีนนิทานเต๋าในโรงหนังได้มาอย่างไรครับ
-อ้าว ก็รวบรวมเท่าที่จะหาได้ เท่าที่เอามาได้ มันไม่ลึกซึ้ง หรือว่าลึกลับ หมอตันม่อเซี้ยงช่วยรวบรวมแล้วถ่ายก๊อปปี้มา จากหนังสือ จากภาพเขียนของที่สมาคมจีนอะไรไม่รู้ในกรุงเทพฯ ภาพบางชุดได้มาจากหนังสือภาษาอังกฤษก็มี
ดูเหมือนอาจารย์เคยเล่าว่ามีพระที่รู้ภาษาจีนดีมาอยู่กับอาจารย์รูปหนึ่ง ได้เคยศึกษาอะไรร่วมกันหรือเปล่าครับ
-ไม่ได้ศึกษาร่วม แต่เราให้อ่านให้ฟัง ชื่อซ้าง เขามีชื่อไทย ผมจําไม่ได้แล้ว ความรู้ภาษาจีนพอใช้ได้ ไม่รู้เรียนมาอย่างไร พออ่านหนังสือออกและเชื่อว่าถูกด้วย เข้าใจธรรมะอย่างจีนพอไปได้ ผมให้อ่านเรื่อง (หัวเราะ) แปลก ๆ นิทานสั้น ๆ หลายเรื่องซึ่งคมคายทั้งนั้นเลย (หัวเราะ) ให้เขาเลือก คําอธิบายเว่ยหล่างอย่างทํานองอรรถกถาก็มีอยู่ในชุดนั้น ดูจะได้เคยให้แกทําสารบาญชื่อทีหนึ่ง และก็หายไปไหนแล้ว ชื่อของหนังสือทุกเล่ม สารบาญทุกเล่ม เล่มไหนมีเรื่องอะไร มันตั้งร้อยเล่ม
อาจารย์ครับ ภาพปริศนาธรรมแบบธิเบตในโรงหนังนั้นได้มาอย่างไรครับ
-มันมี ๒ ภาพเท่านั้น ภาพยักษ์แสดงปฏิจจสมุปบาท กับภาพช้างและลิงดําขาว ภาพแรกนั้นเราขอให้คุณระบิล (บุนนาค) ช่วยก๊อปปี้มาจากภาพเขียนในผ้าแพรซึ่งเป็นสมบัติของจอห์น โบลเฟลต์ เขาได้มาจากธิเบตโดยตรง เป็นภาพที่เขียนอยู่แทบทุกโบสถ์ในธิเบต มีความหมายอย่างเดียวกัน แต่ลายเขียนหยาบบ้าง ละเอียดบ้าง อีกรูปนั้นท่านทะไลลามะให้ไว้เป็นภาพแสดงวิปัสสนาญาณขั้นต่าง ๆ เข้าใจว่าเป็นภาพที่เขียนขึ้นตามความคิดริเริ่มของท่านเอง ท่านให้ไว้ตอนที่มาเยี่ยมสวนโมกข์ ความหมายก็พอจะเทียบ พอจะอนุโลมกับของเราได้แต่ไม่ตรงกันเผงทีเดียวนัก
--------------------------------------------
* หมอตันม่อเซี้ยงเป็นนักศึกษาทางด้านมหายาน และเป็นนักเทศน์ผู้มีชื่อเสียงในหมู่พุทธบริษัทจีนของเมืองไทย และได้นําคําสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสไปประยุกต์เทศน์ให้เหมาะแก่ชาวจีนเป็นอันมาก
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 345-347
ตอนที่ 122 , ภาพหน้าที่ 348-349
อาจารย์เคยเล่าว่ามีอยู่สมัยหนึ่งที่ศึกษาเกี่ยวกับปรัชญาอินเดียอย่างค่อนข้างจะจริงจัง ตอนนี้จะขอเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เริ่มจากว่าอาจารย์เริ่มศึกษาอย่างไรครับ
-มันนึกไม่ค่อยออกเสียแล้ว คือมันนาน และเราก็ไม่ได้รับเอาไว้ในฐานะเป็นเรื่องจําเป็น มันเป็นเรื่องใหญ่โตและผมก็ไม่ค่อยจะแตกฉาน ผมมาเริ่มศึกษา เมื่อสมัยที่สวามี สัตยานันทบุรีเข้ามาเผยแพร่ความรู้หรือลัทธิของเขาที่กรุงเทพฯ ยังจําได้ว่า เป็นสมัยพระปกเกล้าฯ ที่สวามี สัตยานันทบุรีเข้ามา และก็แสดงปาฐกถาที่จุฬาฯ สมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จไปฟังด้วย เขาพูดยืดยาว แต่ที่น่าข้องใจที่สุดก็คือเขาบอกว่าเบื้องหลังหรือรากฐานของพระพุทธศาสนาคือเวทานตะ พระพุทธศาสนาออกมาจากเวทานตะ เราก็รู้สึกเป็นเรื่องที่รุกลํ้าหรือว่ากระทบกระเทือน (หัวเราะ) ก็เลยอยากรู้ขึ้นมาว่าเวทานตะ ที่เขาพูดถึงกันอยู่นั้นคืออะไร รวมทั้งทัศนะทั้ง ๖ อย่างของอินเดียด้วย ก็ศึกษาดู มันก็ไม่น่าจะต้องสนใจดอก แต่ว่าเวทานตะนี้มันมาใกล้ชิดกันมาก แต่แล้วมันก็ไม่ใช่อันเดียวกัน เพราะว่ามีตัวตน เวทานตะอยู่ในพวกที่มีตัวตนสําหรับจะทําความบริสุทธิ์หลุดพ้นแล้วไปรวมกับปรมาตมัน หลักการมันคล้าย ๆ อย่างนั้น ก็เลยไม่ใช่พุทธศาสนา แต่จะสอนเรื่องการละกิเลส สอนเรื่องการให้มีทัศนะที่ถูกต้องนั้นคล้ายกันมาก ผมก็เลยไม่สนใจอะไรอีก เพราะไม่มีอะไรที่จะใช้ประโยชน์ได้ ในที่สุดก็เลิกไป ไม่ค่อยรู้อะไรนัก ถ้าจะรู้กันจริงต้องศึกษากันมาก ต้องศึกษากันอย่างละเอียด แล้วมันก็จะไม่คุ้มค่า รู้สึกไม่คุ้มค่า ก็เลยเลิกในที่สุด แม้ที่สวามีคุยว่าลัทธิที่อาฬารดาบสสอนพระพุทธเจ้านั้นก็คือลัทธิสางขยะ (หัวเราะ) ผมเอามาดูแล้ว เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ปรากฏในพระบาลีนั้น อาฬารดาบสสอน อากิญจัญญายตนะคือ อรูปฌานที่ ๗ ผมเลยเลิกเสีย ไม่ค่อยมีความรู้อะไรที่เกี่ยวกับปรัชญาฮินดูทั้ง ๖ ทัศนะนั้น เพราะมันจบแค่เวทานตะ มันเข้ากันไม่ได้ คือไม่รู้สึกว่าจะดับทุกข์ได้ เป็นเพียงปรัชญา ทัศนะทั้ง ๖ นั้นเมื่อจะปฏิบัติเขาจะปฏิบัติตามหลักที่เรียกว่า โยคะ เป็นนิกาย ๑ ใน ๖ เหมือนกัน ผมก็เอาเรื่องโยคะสูตรมาอ่านดู สวามีเขาแปลออกเป็นภาษาไทยทั้ง ๒ ภาค คนที่สนใจทํามากที่สุด ก็คือพระยาภะรตราชสุพิช ก็ไม่สําเร็จตามนั้น เราเอามาใคร่ครวญดูก็ไม่อาจจะกลมกลืนกันได้กับอานาปานสติ ก็เลยระงับไป แต่บางคําหรือบางประโยคของเขาเข้าที เรื่องปรัชญาอินเดียนั้น ผมความรู้ไม่ถึงงู ๆ ปลา ๆ หรอก เพียงอ่านบ้างด้วยความพยายามที่จะเข้าใจ พอเห็นว่าจะเอาเป็นประโยชน์หรือเป็นที่พึ่งไม่ได้ ก็เลิกกัน มุ่งมั่นเอาแต่พุทธปรัชญาซึ่งเป็นเรื่องในพระบาลีโดยตรง จนกระทั่งมาพบอานาปานสติสูตร (หัวเราะ) ก็พอใจ ด้วยเห็นว่าเป็นที่พึ่งได้และก็เป็นพุทธแท้ ๆ เลยละทิ้งไอ้เรื่องอื่น ๆ อย่างนั้นเสีย แม้ว่าจะเป็นของอินเดียด้วยกัน
ก่อนที่อาจารย์จะพบอานาปานสตินั้น การปฏิบัติของอาจารย์รู้สึกติดขัดหรือครับถึงไปหาทางโยคะ
-มันก่อนนั้นอีก โยคะเกิดนิยมเกิดแตกตื่นในกรุงเทพฯ ในสมัยของสวามี มีคนไปศึกษากันมาก รวมทั้งนาคะประทีปด้วย ผมเคยพบนาคะประทีปที่สํานักสวามี หลายหน มีช่วงหนึ่งนาคะประทีปไปขอให้สวามีอธิบายอภิธรรม นัดเป็นนัด ๆ ไปเลย ๓ วันครั้ง ๕ วันครั้ง ผมก็ไปด้วย ๒-๓ ครั้ง ในที่สุดก็ไม่ไหว ผมไปแย้งขึ้นอย่างค่อนข้างไม่มีมารยาทว่าที่แปลนั้นไม่ถูก ที่แปลโลภมูลํ เป็นมูลแห่งโลภะ จิตดวงนี้เป็นมูลแห่งโลภะ ผมว่าในเมืองไทยเราแปลว่ามีโลภะเป็นมูล (หัวเราะ) จิตดวงนั้นมีโลภะเป็นมูล ไม่ใช่เป็นมูลแห่งโลภะ (หัวเราะ) เถียงกันไปเถียงกันมา (หัวเราะ) นาคะประทีปบอกว่า ถูกของท่านมหาแล้ว ๆ สวามีก็ยังไม่ยอม (หัวเราะ) จะเอาอะไรกับผมเรื่องปรัชญาอินเดียมากไม่ได้ พูดไปก็หยาบคายคือไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อ ในที่สุดสรุปความว่าเราจัดปรัชญาฮินดูทั้งหมด มีเวทานตะเป็นสูงสุดในสายวิวัฒนาการของความคิดนึกในประเทศอินเดียเรื่อย ๆ มา และก็ยังไม่กระโดดพ้นห้วงแห่งอาตมัน มีอาตมันเป็นสูงสุด ทีนี้พอมาถึงพุทธศาสนามันกระโดดมาจากขอบเขตของอาตมัน ไม่มีอาตมัน มันอยู่กันคนละชั้น อย่างที่กล่าวไว้ในบาลีถึงคําสอนบางลัทธิที่ว่าไม่มีอะไรเลย ไม่มีแม้แต่อาตมันนั้นก็ไม่ได้รวมอยู่ใน ๖ ทัศนะที่ว่านี้ แต่กลับมามีปรากฏอยู่ในบาลีไตรปิฎกคือ นัตถิกทิฏฐิ ทัศนะทั้ง ๖ ที่เขานิยมยกย่องกัน มันก็ไม่พ้นอิทธิพลของคําสอนหรือความเชื่อเรื่องอาตมัน ต้องมีอาตมันเป็นผู้หลุดพ้น ส่วนพุทธศาสนานั้นถือว่าจิตหลุดพ้น (หัวเราะ) เลยตรงกันข้าม เขามีอาตมันเป็นตัวยืนโรง แล้วมีจิตนี้เป็นสมบัติของอาตมัน เป็นเปลือกนอกของอาตมัน ผู้หลุดพ้นที่แท้จริงก็คืออาตมัน ส่วนในพุทธศาสนายืนยันชัด เป็นพระพุทธภาษิตในพระบาลีว่า สิ่งที่หลุดพ้นคือจิต และตัวตนคืออาตมันนั้นไม่มี ฉะนั้น ผมจึงเตือนอยู่เสมอว่า พุทธบริษัทต้องพูดให้ถูก ต้องพูดว่าจิตหลุดพ้น อย่าพูดว่าตัวตนหรือบุคคลหลุดพ้น เพราะมันไม่มี นี่เป็นความแตกต่างที่เข้ากันไม่ได้ ก็เลยยุติการศึกษาปรัชญาอินเดีย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 348-349
ตอนที่ 123 , ภาพหน้าที่ 349-350
อาจารย์ครับ ถ้าผมอ่านแล้วจําไม่ผิด อาจารย์เขียนไว้ว่า เวทานตะนี้เขาก็สอนให้ละในเรื่องโลกียธรรม
-ต้องละสิ จะเข้าถึงอาตมันก็ต้องละโลกียธรรมที่เลว ๆ หยาบ ๆ เช่น ละกามารมณ์ ข้อนี้บางแง่เขาอธิบายดี เป็นคําอธิบายของสวามีเองที่อธิบายน่าฟังมาก ตอนที่อาตมันจะหลุดพ้นมาได้ก็ต้องหลุดพ้นจากโลกียรมณ์ โดยเฉพาะคือกามคุณ
ถ้าหลุดพ้นได้จริง ๆ แสดงว่าเขามายึด12อสังขตธรรม* ว่าเป็นตัวตน ใช่ไหมครับ
-เขาพูดถึงน้อยมาก เรื่องอสังขตะ แต่เขาว่ามีสิ่งที่เป็นตัวตนในชีวิตทุกชีวิตมีอาตมัน ตัวตนนั้นแหละทําผิด ทําถูกจนก้าวหน้า จนวิวัฒนาการ จนหลุดพ้นออกไป จนไม่มีแบ่งแยก จะเป็นของใหม่หรือของเก่าก็ไม่รู้ เขาว่าถ้ามันแก่เต็มที่ จะหลุดพ้นก็เรียกว่ามหาตมัน เช่น มหาตมะคานธี (หัวเราะ) เมื่อเป็นมหาตมันแล้ว หลังจากนี้ก็แน่นอนว่าไปสู่ปรมาตมัน เท่าที่ศึกษามาบ้างก็ได้ความอย่างนี้
ถ้าพ้นโลกียธรรมได้ก็แสดงว่าก็สามารถเป็นอริยบุคคลขั้นต้น ๆ ของเราก็ได้ใช่ไหมครับ
-คงไม่ได้ เพราะมันมีอาตมัน เพราะมันไม่ละสักกายทิฏฐิ ถ้าเป็นโสดาบันต้องละสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นศูนย์กลางหรือใจกลางของอาตมัน ตรงนี้แหละที่บัญญัติไว้ไม่เหมือนกัน คือเขาไม่มีละอัตตวาทุปาทาน เพราะเขาต้องการให้อาตมันนั้นแหละเป็นผู้ได้ เป็นตัวตนที่มีอยู่ตลอดกาล จึงละอาตมันเสียไม่ได้ พุทธศาสนาต้องการให้ละอัตตวาทุปาทาน คือความรู้สึกที่ว่ามีตัวตนเสียให้ได้ นี้ทําให้ต้องจัดไว้คนละพวกเลย
แต่ของเราจะไม่มีตัวตนก็ตอนที่ละขั้นสูงขึ้นไปแล้ว ที่เป็นพระอรหันต์แล้ว ใช่ไหมครับ ระยะแรก ๆ มันก็ยังมีอยู่
-เริ่มแรกก็ละบางส่วนสิ เริ่มขุดเจาะเข้าไปจนเหลือน้อยเข้า ๆ จนหมดไปเอง สักกายทิฏฐิคือละอัตตวาทุปาทานในชั้นต้น ในชั้นต้น ๆ แต่เผอิญคําอธิบายไปอธิบายเหมือนกันเสีย เป็นละอุปาทานในขันธ์ ๕ เหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น การละสักกายทิฏฐิของพระโสดาบัน ก็กลายเป็นพระอรหันต์ (หัวเราะ) ไป คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็จะงงเพราะว่าในบาลีเป็นอย่างนั้น อธิบายการละสักกายทิฏฐิกับละอัตตวาทุปาทานเหมือนกันทุกตัวอักษร ละความสําคัญว่าตน ว่ามีตนในขันธ์ มีขันธ์ในตน มีตนเป็นของขันธ์ นั้นเหมือนกัน แต่เรารู้ได้ทันทีว่าโสดาบันอยู่ในระดับที่ไม่สิ้นสุด ในระดับที่ไม่ถึงขนาด
แสดงว่าสักกายทิฏฐิกับมานานุสัย ทั้ง ๒ อย่างนี้จัดอยู่ในหมวดอัตตวาทุปาทานเหมือนกัน
-อยู่ในกลุ่มเดียวกันแต่ว่าคนละระดับ มานานุสัยมันใช้เป็นคํารวมเป็นชั้นที่พระโสดาบันจะต้องละขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ รวมเรียกมานานุสัย ต้องใช้คําเต็มว่า อหังการมมังการมานานุสัย คําอันยืดยาวนี้เป็นที่รวมหมด พระโสดาบันก็ละตามส่วนเท่านั้น ละส่วนนอกส่วนหยาบ พระอรหันต์ละหมด
ถ้าอย่างนั้นแม้เขาจะละโลกียธรรมแบบของเขาได้ จะจัดให้เขาเป็นอริยบุคคลขั้นต้น ๆ ของเรา ก็ยากใช่ไหม
-ก็ไม่มีทาง ไม่มีทาง จะต้องเป็นอย่างของเขา ของเขาก็มีอริยบุคคล มีคําอรหันต์ใช้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าอย่างนี้ฮินดูธรรมนี่มีทางที่จะเข้ากับพุทธธรรมสนิท เหมือนกับที่อาจารย์ตีความคริสตธรรมได้ไหม
-อ้อ นั่นเราพยายามที่จะให้กลมกลืนกัน ต้องผ่อนสั้นผ่อนยาวมาก ถ้าจะให้กลมกลืนกันก็ได้ แต่อย่าไประบุข้อจํากัดต่าง ๆ ใน (หัวเราะ) คัมภีร์ พูดกันถึงแต่ว่าพระเจ้าก็คืออย่างนั้น ๆ แต่เวทานตะนี้ไปไกล ไม่มีพระเจ้าอย่างชนิดที่ต้องอ้อนวอนต้องอะไรกัน มีพระเจ้าเป็นพรหม เป็นปรมาตมันโน่น เป็นพระเจ้าที่สูงกว่าพระเจ้าทั่วไป ลัทธิเวทานตะนี้ คําอธิบายมีส่วนที่น่าฟังมาก เกือบ ๆ ถึงพุทธศาสนา สวามีเขาเรียกว่าบ่อเกิดแห่งพระพุทธศาสนา คือเวทานตะ และผมเข้าใจเอาเองว่าไม่มีใครเข้าใจกี่คน หนังสือเล่มนั้นก็ควรอ่าน แต่ไม่มีใครอ่านกี่คน บ่อเกิดแห่งมติพุทธศาสนา สวามี สัตยานันทบุรีแต่ง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 349-350
ตอนที่ 124 , ภาพหน้าที่ 351-353
นอกจากอาจารย์จะอ่านหนังสือของสวามีแล้ว อาจารย์ศึกษาหนังสืออย่างอื่นอีกหรือเปล่า
-ก็มีบ้าง ถ้ามันมีหนังสือเล่มไหนพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ก็อ่านทั้งนั้น อ่านอย่างที่จะฟังดูว่ามีอะไรแปลกออกไปอีก และในที่สุดมันก็ไม่มีอะไรแปลกออกไปอีกก็เลยเลิกกัน หนังสือฝรั่งอธิบายสู้สวามีอธิบายไม่ได้ ทั้ง ๖ ทัศนะนั้น ฝรั่งก็มีอธิบายหลายคนมีหลายเล่ม สวามีเขาก็ออกหนังสืออะไรอยู่ตอนนั้น เป็นหนังสือภาษาไทยรายเดือน ของสํานักของแกเอง แกลงเรื่องอย่างนี้อยู่มาก ในที่สุดเราก็ต้องระงับการอ่านเรื่องประเภทนั้น แต่จะฟังเหมือนกัน ถ้าเขาพูดคําประโยคไหนอะไรมาในฐานะที่ว่าจะดับทุกข์ได้ ฟังเหมือนกัน (หัวเราะ) แล้วดู ๆ ไปไม่เห็นมีเรื่องจะดับทุกข์ได้ ก็เลยเลิก เดี๋ยวนี้มีหลักอย่างนี้เสียแล้ว แม้ในฝ่ายคัมภีร์ฝ่ายพุทธเอง ผมก็มารู้สึกอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝ่ายนอกวงพุทธออกไป ยินดีจะฟังถ้ามันพูดมาน่าฟัง เรื่องปรัชญาอินเดีย ผมจับมาประมาณ ๒๐-๓๐ ปี มีช่วงศึกษาจริงจังตอนแต่งพุทธประวัติระยะหนึ่ง แต่ก็ได้แค่นั้น ถ้าศึกษาละเอียดจริงต้องมากกว่านั้น หนังสือก็ใช้ของหลายคนหลายเล่ม ถ้าหนังสือเล่มไหนจะพูดถึงเรื่องธรรมะชั้นสูงทางปรัชญา มันจะมีทัศนะ ๖ นี้มาเป็นเครื่องเปรียบเทียบด้วยเสมอ หรือว่าเกริ่นเป็นบทนํา ถ้าเป็นปรัชญาหรือวิชาของฮินดูมันก็ต้องอันนี้เป็นบทนําทุกเล่ม
ผมดูในจดหมายหรือว่าในตู้ของอาจารย์ เห็นว่าอาจารย์ศึกษาต่อลงมาถึงนักคิดฮินดูรุ่นหลัง ๆ ด้วย อย่างวิเวกนันทะหรือรามกฤษณะหรือรพินทรนาถ ฐากูร หรือกฤษณมูรติ
-ต้องมี ก็ต้องมีบ้าง เพราะว่าวิเวกนันทะนั่นแหละคือผู้เผยแผ่ฮินดูธรรมไปทั่วโลก วิเวกนันทะนั่นแหละเป็นอาจารย์ของสวามี สัตยานันทบุรี วิเวกนันทะภาคภูมิใจที่สุด ที่จะพูดว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของรามกฤษณะ ซึ่งผมเอามาอ่านดูแล้ว (หัวเราะ) มันเป็นบ้าดี บ้าดี นี่เอง รามกฤษณะไม่ไหว มีอาการเพ้อคลั่งเหมือนคนบ้า แต่เขาว่ามาจากคําสอนธรรมะของพระเจ้า หนังสือนั้นมันต้องมีชุดหนึ่ง ๗ เล่ม เล่มหนึ่งว่าด้วยรามกฤษณะ แล้วก็ ๖ เล่มว่าด้วยวิเวกนันทะ ทั้งหมดนี้เป็นชุด Complete Works of Vivekananda เจ้าคุณลัดพลีฯ ซื้อให้ชุดหนึ่ง กฤษณมูรตินั่นทีหลังมาอีก นี้มันคนละอย่าง กฤษณมูรตินี้ไม่ได้เผยแผ่ลัทธิใดลัทธิหนึ่งเลย และเขาจะเลิกคําว่าลัทธิ เลิกคําว่าคุรุ ให้เหลือเป็นความจริงของธรรมชาติ คล้าย ๆ กับเราพูด ไม่ส่งเสริมลัทธิไหน
แต่ในจดหมายที่อาจารย์เขียนถึงเจ้าคุณลัดพลีฯ อาจารย์บอกว่า คําสอนของกฤษณมูรติก็เข้าทํานอง เวทานตะที่ยึดตัวชีวิตที่แท้ว่าเป็นตัวตน แต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเอง
-ไม่ใช่สิ นั่นจะพูดว่า ถ้าจะสงเคราะห์ในลัทธิไหน มันก็พอจะจัดเข้าในเวทานตะ แต่จริง ๆ มันไม่ได้ดอก เพราะเขาไม่มีพระเจ้า ไม่มีคณะ ไม่มีลัทธิ เขากระโดดไปไกลกว่าคําว่า พระเจ้า หรือ ระบบนั้นระบบนี้ซึ่งผูกพันอยู่กับพระเจ้า หรือกับครูบาอาจารย์ หรือกับธรรมะ ผมนึกถึงคําว่าเป็นผู้ปลดปล่อยอย่างยิ่ง ปลดปล่อยอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่รู้จะไปเอาอะไร จะไปมีหลักเกณฑ์อย่างไร มันปลดปล่อยมากเกินไป จน (หัวเราะ) ไม่รู้จะไปเอาอะไร พุทธศาสนาเรานี้ก็อาจจะใช้ได้นะคําว่า ผู้ปลดปล่อย คือปลดปล่อยจากโลกียะไปสู่โลกุตระ กฤษณมูรติก็คล้าย ๆ อย่างนี้แหละ เขาใช้คําว่า เลิกผูกพันกับสํานักนั้น สํานักนี้ เป็นตัวเอง ศึกษาเอาจากความรู้สึกนึกคิดในภายในก็แปลว่าเพื่ออิสระ จะเรียกให้ถูก ก็เรียกว่าลัทธิปลดปล่อยอย่างอิสระ ถ้ามีสํานักก็ขึ้นอยู่กับสํานัก ต้องพูดตามหลักของสํานัก คือหลักของลัทธิ ซึ่งไม่ต้องตามความจริงของตัวเองในภายใน ที่มองเห็นแล้วก็พูดออกมาตามนั้น เปรียบคล้ายพุทธศาสนา (หัวเราะ) แต่ไม่เป็นพุทธศาสนา เป็นลัทธิอิสระในทางความคิด มีใครให้เทปผมมาตั้ง ๕ ม้วนใหญ่ ๆ ไม่เคยเปิดฟังเลย (หัวเราะ)
อาจารย์รู้จักสวามี สัตยานันทบุรีได้ยังไงครับ
-เจ้าคุณลัดพลีฯ เป็นคนพาไป เจ้าคุณลัดพลีฯ เป็นคนรู้ก่อนว่า เขามีสนทนาเรื่องแบบนี้กันที่นั่น เขามาชวนผมไป ทีหลังก็รู้จักคุ้นเคยกันขึ้น ครั้งแรก ๆ สนทนาที่บางลําภู ห้องแถวที่สวามีเช่าพักอยู่ ครั้งหนึ่งย้ายมาสนทนาที่ถนนสี่พระยา เป็นบ้านใครหรือสํานักงานของใคร อยู่ชั้น ๒ พบกันอยู่หลายครั้ง ต่อมาผมก็ไม่ค่อยได้ติดตาม ไปอ่านหนังสือที่แกเขียนสะดวกกว่า นึกออกแล้ว แกออกหนังสือชื่อ Voice of the East ออกอยู่หลายเล่ม เป็นรายเดือน มีทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ผมอยากจะพูดว่า แกจะมองผมเป็นผู้ต่อต้านด้วยซํ้าไป
อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์กรุณา กุศลาสัยนี่มีส่วนเกี่ยวพันกับอาจารย์ในเรื่องการศึกษาทางด้านอินเดียหรือเปล่า
-ก็เรียกว่ามีส่วน ช่วยหาซื้อหนังสือดี ๆ ที่ว่าควรจะอ่านน่ะส่งมาให้ระหว่างไปอยู่ที่อินเดีย เมื่ออยู่อินเดียเขียนถึงกันมากกว่า เมื่อกลับมาแล้วไม่ค่อยพบกัน เขาคงจะเข้าใจผิดว่าผมไม่ยินดีคบกับคนที่ลาสิกขา (หัวเราะ) เข้าใจผิดอย่างนั้น เข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น
แล้วกับอาจารย์กรุณารู้จักกันได้อย่างไรครับ ครั้งแรกนี่
-อ้อ ก็อยู่ในชุดนั้นนะ ชุดที่ไปกับพระโลกนาถ อยู่ในชุดพระโลกนาถ ผมก็จําไม่ได้ ใครจะเขียนถึงใครก่อน ช่วงที่ติดต่อกันตอนอยู่ที่อินเดีย ติดต่อกันส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องงานหนังสือ หนังสืออะไรที่ดี ราคาถูก หนังสือของสมาคม Theosophy ให้ช่วยเลือกหาเลือกซื้อเล่มที่มีประโยชน์ ราคาไม่แพงส่งมาให้ เรามันทําอย่างคนจน ๆ ทํา
เรื่องเกี่ยวกับปรัชญาอินเดียก็คงมีแค่นี้ครับ
-นั่นแหละผมรู้น้อยมาก รู้ไม่ถึงงู ๆ ปลา ๆ ด้วยซํ้าไป แต่มันรู้ชัดลงไปอย่างหนึ่งว่า มันไม่ตรงไม่เผงกับหลักพุทธศาสนา รู้ว่ามันลดลงไปชั้นหนึ่ง ไม่ขึ้นมาจนถึงชั้นสูงสุดยอด คือว่างตามแบบพุทธศาสนา เขายังต้องการจะมีตัวตนอยู่ มีที่สุดจุดจบอยู่ที่ตัวตนถาวร ไม่ใช่จบที่มีความดับที่ถาวร ก็เรียนให้รู้หัวใจที่แตกต่างกันอย่างนี้มันก็พอเสียแล้ว มันก็ไม่รู้จะศึกษาไปทําไม เพราะมันใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่รู้ว่ามันมากมายมหาศาล ปรัชญาอินเดียมากลัทธิมากนิกาย แล้วก็มากมาย แล้วก็ไม่ดับทุกข์ ตามแบบของพุทธศาสนา คือ ไม่มีเรื่องเช่นเรื่องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาทโดยตรง ก็มีนิด ๆ หน่อย ๆ ถ้าอย่างนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ตามหลักของพุทธศาสนา มันยังอดมีสิ่งที่สูงสุดเบื้องบนที่มีอํานาจบันดาลสร้างสรรค์อะไรไม่ได้
------------------------------------
* อสังขตธรรม คือ สิ่งที่ปัจจัยไม่ปรุงแต่ง หมายถึงนิพพาน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 351-353
ตอนที่ 125 , ภาพหน้าที่ 354-355
อาจารย์ครับ ตอนนี้อยากให้อาจารย์เล่าเรื่องไปอินเดีย ครั้งนั้นปรารภเหตุอะไรครับจึงได้ไป ผมทราบว่าตอนแรกอาจารย์กะจะไปเพียงเดือนเดียว แล้วอยู่ต่อมาอีก ๓ เดือน
-ผมไม่ได้ตั้งใจจะไปร้อยเปอร์เซ็นต์ ก่อนหน้านั้นเคยปรารภไว้บ้าง มันคาบเกี่ยวกับเรื่องพงศาวดารพุทธศาสนาและโบราณคดีที่เราสนใจอยู่ แต่แท้จริงแล้วตอนจะไป (๒๔๙๘) มันก็ไปด้วยความเคี่ยวเข็ญชักชวน เจ้าชื่นขอร้องให้ไป เป็นผู้ออกทุนออกค่าใช้จ่ายให้ ซื้อหนังสือกลับมาคราวนั้นคงเป็นเงินหลายหมื่น กะจะไปลังกาด้วย แต่เที่ยวเพลินจนจะครบ ๓ เดือน มันเหนื่อยที่สุดแล้ว เลยกลับ ความจริงลงไปถึงมัทราสแล้ว อีกไม่กี่มากน้อยก็ถึงแล้ว แต่มันรู้สึกไม่ไหว ก็กลับ สรุปแล้วมันก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันทางจิตใจ ทางวัตถุได้หนังสือมา ๔-๕ หีบ
ไปคราวนั้น ไปถึงก็ไปดาร์จิลิ่งก่อน เพราะฤดูกาลบังคับ ช้ากว่านั้นมันจะหนาวเกินไป และก็สะดวกแก่การศึกษาเรื่องธิเบต เพราะที่นั่นชนชาวธิเบตมาก เป็นพ่อค้า เป็นกรรมกรอยู่ที่นั่น เคยอ่านพบในหนังสือว่านํ้าชาใส่เนยเป็นของดีของธิเบต ก็ได้พบที่ดาร์จิลิ่ง พบทั่วไปหมด เอาทั้งนํ้าชาและเนยใส่ลงไปในกระบอก (หัวเราะ) แล้วตําจนเข้ากันก็รินออกมากิน (หัวเราะ) ผมไม่กล้าลอง ได้แต่มอง มันเหมือนกับขี้อะไรสักอย่างหนึ่ง แต่เขาบอกว่าดีที่สุด (หัวเราะ) ไปพบความหนาวที่ไม่เคยพบที่ไหน หนาวที่สุดที่เคยพบ ขึ้นไปอยู่บนยอดภูเขา ขึ้นไปด้วยรถจิ๊ป ไปดูอาทิตย์ขึ้นมาจากข้างล่าง ที่ ๆ เรายืนมันอยู่ระดับเมฆหรือเหนือเมฆ พระอาทิตย์ค่อย ๆ ทะลุขึ้นมา สวยมาก (หัวเราะ) ไปดูพระอาทิตย์จากหลังเมฆ ได้ถ่ายรูปมาเหมือนกัน แต่คงเน่าหมดแล้ว มีคนบอกว่าวันที่ผมเห็นนั้นสวยขนาดกลาง มีบางวันสวยกว่านั้นมาก ไอ้ของอย่างนี้แหละนับว่าได้หลายอย่าง แต่ทางจิตใจไม่ค่อยได้อะไร มันรู้สึกประหลาด รู้สึกหัวกลับ (หัวเราะ) มันรู้สึกไม่คุ้มกับพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่อุตส่าห์มาถึงอินเดีย จะไหว้อย่างไร จะเอาหัวโขกพื้นสักหมื่นครั้ง มันก็ไม่คุ้มกับพระคุณของพระพุทธเจ้า เอาธูปเทียนมาจุดเท่าไรก็ไม่คุ้ม เห็นชาวธิเบตเขาไหว้ตามแบบธิเบต ก็นึกอยู่ในใจว่ามันคุ้มหรือ พวกธิเบตเขากราบอย่างที่เรียกว่าอัษฎางคประดิษฐ์ ยืนขึ้น แล้วก็ทรุดตัวลง เหยียดตัวไปข้างหน้าราบกับพื้นหมด แล้วค่อย ๆ ลากเข่าเข้าไปแล้วจึงคู้ตัวลุกขึ้นยืน ทําแบบนี้เรื่อย ๆ ไปเหมือนตัวทาก เขาทําตลอดเวลา วนไปรอบ ๆ เว้นเวลากินอาหาร เราก็จนปัญญาที่จะตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าได้โดยวัตถุโดยกิริยา ธูปเทียนที่เขาฝากไปจากเมืองไทย ผมก็เอาไปทิ้งถังขยะหมด ไม่ได้บอกใคร เจ้าของฝากไปจะเสียใจ มันละอายตัวเอง จุดไปก็เหมือนหัวเราะเยาะตัวเองเหมือนไปล้อเล่น คณะที่ไปด้วยกันเขาไปไหว้กราบอะไรกันตามธรรมเนียม ผมขอแยกตัว ออกมานั่งซึมอยู่พักหนึ่ง ไปเห็นความใหญ่โตของพุทธคยา มันทําให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้น เราจะไปเผาธูปเทียน จะเผาขี้เลื่อยสักเท่าไรมันก็ไม่คุ้ม
ความรู้สึกนี้เกิดมาจากอะไรครับ
-เข้าใจว่ามันเกิดจากสถานที่หรือความซาบซึ้ง (หัวเราะ) อาจจะเป็นเรื่องของความโบราณ ความศักดิ์สิทธิ์บ้าง (หัวเราะ) ความจริงอยู่ที่ไหนมันก็ควรจะเกิดได้ เพราะมันนึกคิดได้ คํานวณได้ แต่มันไม่พลุ่งขึ้นมาในใจเหมือนกับอยู่ที่นั่น ทีนี้พอเป็นแบบนี้ที่พุทธคยาแล้ว ที่อื่นมันก็ไม่ประทับใจเท่าแล้ว มีแต่ซากอิฐซากหิน ที่ลุมพินีก็มีแต่เสาหลัก (หัวเราะ) ที่กุสินาราก็มีแต่วิหารพระนอน ที่พุทธคยาเป็นที่รวมของความรู้สึก เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่นี่ มันปรุงความรู้สึกคล้าย ๆ กับว่าถ้าพระพุทธเจ้าอยู่ก็อยู่ที่นี่
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 354-355
ตอนที่ 126 , ภาพหน้าที่ 355-357
ที่อาจารย์ตั้งใจจะไปหาร่องรอยหลักฐานทางโบราณคดีเกี่ยวกับพุทธศาสนานั้น ได้เรื่องได้ราวไหมครับ
-มันก็เพียงแต่ไปเห็นว่าสถานที่นั้นที่นี้รับสมอ้างกับที่เราเคยอ่านในหนังสือ แต่ที่พุทธคยามีอํานาจอะไรอย่างหนึ่งที่อธิบายยาก รู้สึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้ามากมายมหาศาลกว่าอยู่ที่นี่ ความจริงเวลาที่เราคิดนึกที่อื่น มันก็คิดนึกได้มหาศาลเหมือนกัน แต่มหาศาลทางเหตุผล ไม่ได้มหาศาลทางอารมณ์ความรู้สึก แล้วคราวนั้นมันเกิดความคิดชนิดที่ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ภายในตัวเรา เมื่อเกิดอย่างนี้ก็เลยกลายเป็นเรามาหาสิ่งที่มีอยู่ในตัวเรา บ้าชัด ๆ (หัวเราะ)
-ตามสบาย แล้วแต่เจ้าชื่น เที่ยวไปตามโบราณสถานที่เขาเขียนไว้ พิมพ์ไว้แล้วในหนังสือนําเที่ยว ไปกันตามสบายไม่มีอะไรบังคับ กลางคืนก็พักตรงโน้น ตรงนี้ ไม่ได้ติดต่ออะไรไว้ล่วงหน้า ขลุกขลัก แต่ก็กลายเป็นสนุกไป แรกสุดก็ไปพักที่สมาคมมหาโพธิที่กัลกัตตา แล้วออกตระเวนรอบอินเดีย แล้วก็กลับมาที่มหาโพธิ ขึ้นเครื่องบินกลับ
พักอยู่ที่สมาคมตั้งเกือบเดือนหนึ่ง เที่ยวตามร้านหนังสือ โดยมากรู้สึกว่าที่กัลกัตตาจะมีร้านหนังสือมากกว่าที่ไหนหมด วันนี้ไปร้านนั้น วันนั้นไปร้านโน้น ส่วนใหญ่ก็ซื้อหนังสือโบราณคดีมากกว่าเพื่อน แล้วก็หนังสือพระไตรปิฎกภาษาอังกฤษ หนังสือปรัชญาอินเดีย ตอนนั้นผมกําลังบ้าโบราณคดี เสาะหาหนังสือโบราณคดีเฉพาะที่เกี่ยวกับศรีวิชัย เยอะแยะไปหมด บางเล่มที่ต้องการหาซื้อในร้านไม่ได้ มันขาดคราวแล้วเป็นส่วนมาก ก็ไปตามห้องสมุด ไปขอดูหนังสือเกี่ยวกับศรีวิชัย หนังสือที่เขาขายก็เป็นหนังสือใหม่ ๆ ที่เขียนทีหลัง หนังสือของ ดร.มะชุมทาร์ ที่เขียนเกี่ยวกับศรีวิชัยซื้อมาทั้งชุด (หัวเราะ) คนเขียนเป็นโปรเฟสเซ่อร์ทางโบราณคดีที่มีชื่อเสียงมาก อุตส่าห์รวบรวมไว้ละเอียดลออ เก็บมาจากบันทึกของจีนบ้าง ของอาหรับบ้าง
คณะเราเดินทางเหมือนกับธุดงค์ พักบ้านพักบ้าง พักบนรถไฟบ้าง ถ้าลงจากรถไฟหาที่พักไม่ได้ ก็จัดหาที่พักตามมีตามได้ ครั้งหนึ่งลงรถไฟที่เมืองปัตตนะ คุณสีลานันทะบอกว่ารู้จักกับพระธิเบตรูปหนึ่งที่เช่าบ้านคนมั่งมีคนหนึ่งอยู่ คํ่าแล้วก็ไปถามหา พบบ้าน แต่เจ้าของบ้านไม่อยู่เสียอีก พระองค์ที่ว่าเช่าที่พักเจ้าของบ้านก็ไม่อยู่ กลายเป็นต้องพักที่โรงเลี้ยงม้า เอาเสื่อเอาอะไรปูแล้วก็นอน ลุกขึ้นเช้าที่ไหนได้ ที่ปูเสื่อทับนั้น ขี้ม้าทั้งนั้น (หัวเราะ) เรียกว่าธุดงค์แท้ ๆ ต่างคนต่างก็มีมุ้งของตัวเอง ค่อยยังชั่วหน่อย ปรากฏว่าน้องชายของเจ้าของบ้านนั้นเป็นนักโบราณคดี แกเอาหนังสือที่น้องชายของแกแต่งมาให้ผมเล่มหนึ่ง เรื่องสูกรกันทะ อาหารมื้อสุดท้ายของพระพุทธเจ้า นั่นแหละเป็นเหตุการณ์สุดท้ายที่แปลกที่สุด แกยืนยันว่าเดี๋ยวนี้ยังเรียกกันว่าสูกรกันทะ ดูจากที่อธิบายลักษณะต่าง ๆ แล้ว ก็จะต้องเป็นหัวต้นบุกชนิดหนึ่ง บุกมีหลายชนิด ชนิดที่เป็นหัวกินได้ ตามชายทะเลมีมาก เขาไปขุดเอาหัวมากินกัน ต้นคล้าย ๆ บอน แต่ใบมีแฉกมาก ต้นเอามาแกงส้มได้ ที่แหลมซุยแถวพุมเรียงมีมาก เขาเอาหัวมาทําแป้งบุก ก็คือแป้งไม้เท้าที่ซื้อขายราคาแพงมาก เพราะต้องสั่งเข้ามาจากเมืองจีน เขาเอามาทําขนม หรือเวลาคนไข้กินอะไรไม่ได้ เขาก็จะเอาแป้งบุกชงให้กินข้น ๆ ทําให้มีแรง
อาจารย์ไปพักเมืองฤาษีเกศด้วยหรือเปล่าครับ
-ไป แต่ไม่ได้พัก พวกสวามีทั้งหลายชวนให้พักแต่พวกเราไม่ได้พัก มีแปลกที่ว่าสวามีศิวานันทะหัวหน้าใหญ่ของที่นั่น พอเห็นผมเดินเข้าไปกับคณะ เห็นผมเป็นพระกับพระอีกองค์หนึ่ง แกลุกขึ้นจากเก้าอี้พนมมือขึ้นว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ทําให้เรานึกว่าแกเล่นตลก หรือว่ารวมเอาพระพุทธเจ้าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาฮินดูที่แกถืออยู่ แกอยู่ในคณะเดียวกับวิเวกนันทะเหมือนกัน แต่ว่าสอนไม่เก่งเหมือนสัตยานันทะ แต่ก็พิมพ์หนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่แกเขียนขึ้น แล้วก็ขาย ทํายาขายด้วย มีแจกบ้าง ได้ความว่าเมื่อหนุ่ม ๆ เคยมาขายยาที่สิงคโปร์ มลายู พออายุมากก็กลับไป บวชเป็นสวามี ควบคุมสวามีเด็ก ๆ ทั้งหลาย อยู่ฝั่งแรกที่ไปถึง ถ้าข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นพวกสวามีที่อยู่กันอย่างอิสระ ก็ไม่ได้คุยสนทนาเรื่องลึกซึ้งอะไร เวลาก็จวนคํ่าแล้ว แกก็ให้หนังสือ คณะเราก็ทําบุญบ้าง ดูจะพอใจ (หัวเราะ) ทุกแห่งในอินเดีย ถ้าให้สตางค์ดูจะพอใจมาก ถ้าคุยก็คุยเรื่องโยคะแบบฮินดู เราก็ไม่รู้จะเอาไปทําอะไร
อาจารย์ใช้ภาษาอังกฤษหรือครับ
-ถ้าพูดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็พูดภาษาอังกฤษ ถ้าพูดมาก ๆ พูดลึกซึ้งก็ให้คุณกวงช่วยแปล มีวันหนึ่งเขาให้ผมพูดปราศรัยเนื่องในโอกาสอะไรอย่างหนึ่งที่สมาคมมหาโพธิ ผมเขียนให้คุณกวงช่วยแปล เสร็จแล้วช่วยอ่านเลย (หัวเราะ) พวกนั้นเขาคล้าย ๆ จะรู้ว่าเราทําอะไรกันอยู่ในเมืองไทย เห็นต้อนรับพิเศษกว่าธรรมดา เขาขอเลี้ยงอาหารตลอด เราไม่รับ ขอรับแต่มื้อเช้า มื้อเพลหาเอาตามร้าน ดูเขาจะเอาอกเอาใจ แม้จะเอาอาหารเนื้อมากินกัน เขาก็ไม่ว่าอะไร (หัวเราะ) ธรรมดาเขาถือมังสวิรัติกัน ผมสนใจแมวเป็นพิเศษ แมวที่นั่นก็พลอยมังสวิรัติไปด้วย เอาขนมปังปิ้งยังไม่ทันจะทาเนยโยนให้ วิ่งตะครุบเลย (หัวเราะ) มังสวิรัติได้ถึงแมวตัวโต ๆ และก็อ้วนด้วย เราสมัครไปเที่ยวอย่างอิสระที่สุด ไม่ต้องคํานึงถึงเรื่องอาหาร มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเช้า
กาแฟคนละถ้วยกับขนมอะไรชิ้นหนึ่ง แล้วไปขึ้นภูเขากัน (หัวเราะ) แถวเมืองราชคฤห์ ภูเขาเวภาระ ที่นั่นมีแต่กระจับ ก็เลยซื้อกระจับกินกัน กระจับต้มบ้าง กระจับดิบบ้าง วันนั้นก็ได้กินกระจับดิบแทนนํ้า กระจับต้มแทนข้าว (หัวเราะ) ไปอย่างนั้น มันไม่มีปัญหาเลย เพราะมันไม่รู้จะไปเรียกร้องเอาจากใคร ต่างก็สมัครใจกันเอง
อาจารย์สังเกตชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรหรือเปล่าครับ
-ทุกหนทุกแห่งที่ผ่านไปก็ศึกษาสังเกตไปเรื่อย ๆ ที่ยากจนก็จนมาก ที่มั่งมีก็เหมือนอยู่บนวิมาน ข้าง ๆ ตึกของคนมั่งมีเต็มไปด้วยขอทาน บาทวิถีเต็มไปด้วยขอทาน รู้สึกว่าเต็มที เหมาะสําหรับจะดูทีเดียวก็พอ ไม่เหมาะสําหรับจะอยู่ มันมีแต่ภาพที่น่าเศร้า ขอทานมากเกินไป วัวก็มาก สกปรก ผู้หญิงที่สวยก็พันธุ์แคชเมียร์ซึ่งมีน้อย ที่ดาร์จิลิ่ง ผู้หญิงชาวบ้านก็ดํา ๆ อย่างนิโกรบ้าง ตัวดํา ๆ ทั้งนั้น นุ่งห่มไม่มิด เราไม่ชอบการนุ่งห่มแบบนั้น ตรงท้องก็เปิด พันไปพันมา ตรงหลังก็เปิด พวกแขกซิกข์พันธุ์แท้ ๆ สวยทั้งผู้หญิงผู้ชาย ซิกข์หนุ่ม ๆ บางคนไว้ผมมวยเหมือนกับภาพพระกฤษณะที่เขาพิมพ์ขายกัน แล้วผู้หญิงก็สวย แต่อินเดียทั่วไปไม่ใช่อย่างนั้น ล้วนแต่ดํา ร่างใหญ่ก็มี ร่างเล็กก็มี ล้วนแต่ดําไปหมด
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 355-357
ตอนที่ 127 , ภาพหน้าที่ 357-359
อาจารย์ครับ พระพุทธเจ้าของเรานี่เป็นพันธุ์ไหนครับ
-ความเห็นของผมไม่เหมือนใคร ผมคิดว่าจะพันธุ์เหลือง พันธุ์พวกออสตราลอยด์มากกว่าจะเป็นพันธุ์มองโกลอยด์ เพราะถ้าเป็นมองโกลอยด์ จะต้องเหมือนกับธิเบตหรือญี่ปุ่น ตาเล็ก ๆ หยี ๆ ไม่เปิดโต แต่รูปร่างพระพุทธเจ้าตามสันนิษฐานไม่ใช่อย่างนั้น แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่เป็นฝรั่งจ๋า ที่มาจากเปอร์เชีย อย่างพวกเผ่าอารยัน เป็นไปไม่ได้ เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นชาวเนปาล มีลักษณะผิวเหลือง สูงโปร่ง จมูกงุ้มน้อย ๆ ไม่ใช่พันธุ์คอเคเซียนแบบฝรั่ง หรือมองโกลอยด์แบบธิเบต ผมคิดว่าคงจะเป็นออสตราลอยด์ซึ่งเป็นพันธุ์เดียวกับเนปาล กับเซมัง กับกระเหรี่ยงนี่แหละ คนไทยก็พันธุ์นี้ เขาฮากันใหญ่ โดยเฉพาะท่านสุภัทรฯ เขาไปคุยให้คุณคึกฤทธิ์ฟัง ได้ยินว่าคุณคึกฤทธิ์บอกว่าบ้า อะไร ๆ ก็ให้เป็นไทยไปเสียทั้งนั้น (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้หมดปัญหาเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าเป็นชาติอะไรก็ได้ (หัวเราะ) ท่านจะเกิดที่ไหนก็ได้ จะเป็นอะไรก็ได้ ไม่รู้ไม่ชี้ รู้แต่ว่าสอนให้ดับทุกข์ได้อย่างไร ถ้าดับทุกข์ได้ก็เลื่อมใส
อาจารย์ครับ ภาพหินสลักพุทธประวัติชุดที่ยังไม่มีรูปพระพุทธเจ้านั้น อาจารย์ได้มาคราวไปอินเดียนี้หรือครับ
-โอ้! มันหลายทิศหลายทาง ต้องลงทุน ต้องเที่ยวติดตาม พยายามสุดเหวี่ยงเท่าที่จะหามาได้จากหนังสือ จากตัวจริง จากของจริง จากที่ไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ทางพิพิธภัณฑ์เขาเอื้อเฟื้อมาก เราแสดงความจํานงอยากจะได้ภาพอะไร เขาก็จัดให้เจ้าหน้าที่ส่งมาให้ แล้วก็คิดเงินเหมือนกับค่ารูปธรรมดา หินสลักที่ดี ๆ คงหายไปมาก เป็นของส่วนบุคคลคงหายไปด้วยการซื้อขายต่อ ๆ กันไป เมื่ออังกฤษมาปกครองอินเดียนั้นอังกฤษทําอะไรได้ตามพอใจ ประชาชนไม่รู้เรื่อง สิ่งเหล่านี้รัฐบาลก็ยังไม่รู้ ไม่มีเวลาสนใจเรื่องเหล่านี้ ชาวบ้านเที่ยวงัดเที่ยวขุด เจอก็เอามาขาย ขายฝรั่งเป็นของส่วนตัว เจ้าหน้าที่ของบริษัทอิสต์อินเดียนั้น (หัวเราะ) ซื้อมาก ส่วนมากมันไปตกอยู่ที่ British Museum ผมก็ขอร้องให้เขารวบรวมให้ แต่ที่สูญหายไปเลยก็คงไม่น้อยเหมือนกัน
ที่ไปอินเดียคราวนั้นไปหาจากไหนบ้างครับ
-ที่สาญจี นั้นถ่ายเอง มันมีดีกว่าที่เขาพิมพ์ลงในหนังสือ ที่พุทธคยาก็มีบ้าง ส่วนในพิพิธภัณฑ์อินเดียมิวเซียมนั้นของยุคภารหุตทั้งหมด เขารื้อมาจากในดงในป่ามาไว้ที่นั่น แล้วก็มีบางแห่งอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ เราจะเอามาปั้นจําลองใหม่ ถึงแม้พอเป็นเค้าเงื่อนก็พอทําได้ สําหรับที่สาญจี โดยมากมันอยู่บนเสา เสาใหญ่ ๆ เสาประตูทุกด้าน มันสลักภาพเหล่านี้ไว้เป็นตอน ๆ ประตูทิศนั้น ประตูทิศนี้ ประตูทิศนู้น อยู่ที่เสาประตูเป็นส่วนมาก ส่วนที่ภารหุตนั้นมีที่รั้วหรือมันจะอยู่ในอะไรก็รู้ไม่ได้ เพราะมันเอาชิ้นกลมมาติดไว้ในอาคารใหม่ แต่ก่อนจะอยู่ยังไงก็ไม่รู้ เจ้าหน้าที่บอกว่าที่เหลืออยู่ถึงปัจจุบัน เราเก็บมาได้ประมาณ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ ไม่รู้มันหายไปไหนแล้ว
ของสวนโมกข์เองนี้ได้มาจาก British Museum สักกี่เปอร์เซ็นต์ครับ
-น้อยมาก น้อยกว่าที่เอามาจากอินเดีย ได้มาสัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ชุดอมราวดีได้จากพิพิธภัณฑ์ที่มัทราส เขาขนจากที่เดิมไปใส่ไว้ในพิพิธภัณฑ์มัทราส ที่เดิมเขาทําเขื่อน นํ้าท่วม โบราณสถานแห่งนั้นจมอยู่ใต้นํ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ก็เลยไปดูเอาจากที่เขาขนไปไว้ในพิพิธภัณฑ์แล้วไปถ่ายรูป กับบางรูปที่เขาถ่ายไว้ก่อน ถ่ายไว้ชัดเจน ถ่ายไว้สวย ที่มาปั้นใหม่ ปั้นไว้สมบูรณ์ บางรูปเลยสวยกว่าเก่า โดยเฉพาะรูปเทวดาเชิญพระโมลีขึ้นสวรรค์
อาจารย์ตั้งใจตั้งแต่แรกใช่ไหมครับว่าจะเอามาเป็นตัวอย่างสําหรับปั้นแบบนี้ จึงได้เตรียมกล้องหรืออะไร ๆ ไปเพื่อการนี้
-(หัวเราะ) มันก็ทุกอย่างแหละ ผมเคยเห็นในหนังสือก่อนแล้ว ผมเคยเห็นในหนังสือว่ามีอยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่มีพระพุทธรูป แล้วก็มีความรู้ว่ามันเป็นรุ่นเก่า ก่อนจะมีพระพุทธรูป พ.ศ. ๖๐๐ จึงเริ่มมีพระพุทธรูป แล้วก็อยากรู้เรื่องก่อนมีพระพุทธรูปให้มันสมบูรณ์ จึงรวบรวมขึ้นมา ยังไม่มีโรงหนัง* ยังไม่ได้ทําโรงหนัง แต่มันอยากรู้ มันรวบรวมเอาไว้ อยากรู้ก็เตรียมมาด้วย สําหรับจะทําไว้เป็นหลักเป็นฐานขึ้นที่ไหนสักแห่ง ก็พอดีสร้างโรงหนัง ก็ไปติดที่ฝาผนังโรงหนังจะสะดวกกว่าอย่างอื่น
อาจารย์ครับ สรุปว่าไปอินเดียได้ประโยชน์อะไรบ้าง
-หยุมหยิม ๆ มากมาย ที่สําคัญก็คือไปเกิดความรู้สึกว่า เราไม่สามารถจะตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าได้ ด้วยการกราบไหว้บูชา ด้วยวัตถุธูปเทียน แล้วก็ไปได้ภาพชุดพุทธประวัติที่ว่าที่ยังไม่มี กับได้หนังสือหลายหีบ (หัวเราะ)
คราวหลังไปก็ไม่มีอะไรจะเล่า เจ้าคุณวัดไทยพุทธคยานิมนต์ไปร่วมในการผูกพัทธสีมา เขาจัดให้ผมเป็นพวกที่มีเกียรติ ไปเป็นเกียรติ ใช้งบประมาณหลวง ไม่มีเวลาไปเที่ยวไหน ไปร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ไปซื้อรูปยับยัมมารูปหนึ่ง (หัวเราะ) ที่เคยเล่าแล้วใช่ไหม ไม่ได้ไปทําอะไรมากนักนอกจากสวดกรรมวาจาถอนสีมารอบหนึ่ง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 357-359
เล่าโดยคุณหมอบัญชา พงษ์พานิช
สนทนาเรื่องมหรสพทางวิญญาณ กับ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์
โรงหนัง(โรงมหรสพทางวิญญาณ)
ตอนที่ 128 , ภาพหน้าที่ 359-361
ต่อไปนี้อยากจะขอให้ท่านอาจารย์เล่าเกี่ยวกับที่อาจารย์เล่นทางโบราณคดีอยู่พักหนึ่งนะครับ อยากทราบว่า มูลเหตุมายังไง แล้วอาจารย์มาเล่นพวกนี้ได้ยังไง ทําไมถึงเลิกราไปในตอนหลัง อยากให้เล่าเกร็ด ๆ ไว้ให้ด้วยครับ
-สําหรับผมก็จะต้องพูดว่า เข้ามาเกี่ยวข้องกับโบราณคดี สมัยที่มาเป็นครูสอนนักธรรมอยู่ที่วัดพระบรมธาตุไชยาเมื่อพรรษาที่ ๔ ปี ๒๔๗๓ ระหว่างจําพรรษาอยู่ที่วัดพระธาตุ มีเจ้าหน้าที่โบราณคดีคนนั้นคนนี้ โดยเฉพาะหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์เขามา มาจัดมาทําพิพิธภัณฑ์ ดําริกับท่านพระครูโสภณเจตสิการาม (เอี่ยม) ท่านก็รวบรวมสิ่งของไว้เป็นส่วนตัวแยะ ซึ่งต่อมาก็ยกให้พิพิธภัณฑ์ แล้วผมก็ได้ยินได้ฟังเขาพูดกันเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องโน้น ฟังดูเรื่องมันก็น่าสนใจจนในที่สุดจับเค้าเงื่อนเรื่องศรีวิชัยอย่างใหญ่โต อย่างมโหฬาร อย่างมีเกียรติ ก็เป็นธรรมดาอยู่นั่นเอง (หัวเราะ) ที่จะต้องสนใจบ้าง เพราะว่าเป็นบ้านเกิดเมืองนอน นี้ก็พลอยเข้าไปดูเข้าไปศึกษาสังเกต เข้าไปออกความคิดความเห็น มันเป็นเรื่องก่อหวอดตั้งแต่นั้นมา แล้วผมก็มีนิสัยชนิดที่ทําอะไรก็มักจะเอากันจริง ๆ ก็เป็นบ้าไปพักหนึ่ง (หัวเราะ) บ้าไปพักหนึ่ง จนกระทั่งพิมพ์หนังสือเรื่องแนวสังเขปโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอนขึ้นมา ความสนใจมันก็มีขนาดนั้น ได้ฟังของเขาบ้าง ได้สังเกตเอาเองบ้าง อะไรบ้าง
ก่อนหน้าที่อาจารย์จะได้ทําหนังสือแนวสังเขปโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอนนั้น อาจารย์ได้แนวจะสํารวจศึกษาจากไหน14**
-หนังสือของดร.ควอริทช์ เวลส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษ Towards Angkor เป็นหนังสือเล่มแรกที่เราอ่านเมื่อสนใจในเรื่องศรีวิชัย เรื่องการเดินทางจากตะกั่วป่าถึงไชยา เอามาอ่านดูกลายเป็นเรื่องสนุก เรื่องเบ็ดเตล็ดมีมากในหนังสือเล่มนั้น หมายความว่าจากอินเดียแล้วก็ข้ามแหลมมลายูที่ตะกั่วป่าแล้วมุ่งไปยังเขมร แกเชื่ออย่างนั้น ก็ใช้คําว่าสะกดรอย หรือตามรอย ตามรอยชาวอินเดีย ออกจากอินเดียตรงไปสู่เขมร หนังสือเล่มนั้นสนุกมากเลย แล้วเราก็เลยค้น (หัวเราะ) ค้นหา สังเกต อะไรตามที่เขาเคยเขียนไว้ ซึ่งมันก็ไม่สมบูรณ์นักหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่มันก็มีส่วนมาก แล้วตอนที่เกี่ยวกับไชยานี้เขาเขียนไว้วิจิตรพิสดาร (หัวเราะ) ระบุเรื่องนั้นเรื่องนี้ในไชยามาก ก็เลยสนุก เราก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง แล้วแต่ความรู้สึก
อาจารย์เคยไปพบสมเด็จกรมพระยาดํารงฯ นั้นมีเรื่องอะไรเป็นเหตุหรือครับ
-หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์เป็นผู้ชักนําให้ได้พบกัน ไปเล่าเรื่องชาวเพ-ลาถวาย เพราะมีชาวบ้านจํานวนหนึ่งเขาเชื่อว่า ที่เขาเพ-ลานั้นอาจจะเป็นเมืองไชยาเก่าก็ได้ เขาเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าเมืองไซหยา (หัวเราะ) ตามเสียงชาวบ้าน ซึ่งก็คือ ไทรยา ต้นไทรที่เป็นยานั่นเอง แล้วก็มีคนเฉลียวใจว่า อาจจะเป็นเมืองไชยาเก่า ก็ไปดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร เป็นภูเขาธรรมชาติเป็นที่วงล้อมด้วยภูเขา เขาเลยใช้เป็นที่ต้อนช้างป่าเข้าไปในนั้น แล้วก็รักษาไว้ได้จนกว่าจะทําคอกเสร็จจึงต้อนเข้าคอก
อาจารย์อ่านหนังสือของท่านหรือเปล่าครับ
-อ้าว อ่านซิ พยายามอ่านทุกเล่มของท่านที่เกี่ยวกับโบราณคดีในภาษาไทย ไม่มีหนังสืออะไรจะน่าสนใจเท่าหนังสือของท่าน แต่ตอนนั้นหนังสือประเภทนี้ก็มีไม่กี่เล่ม จําได้ว่าเล่มแรกก็อ่านตํานานพุทธเจดีย์ในประเทศสยาม แนวอื่นของท่านไม่ค่อยได้อ่าน เรื่องบ้านเมืองเรื่องปกครองอะไรไม่ค่อยได้อ่าน ประวัติพุทธศาสนาอ่านบ้าง เกี่ยวกับลังกาอะไรนั้นก็ได้อ่าน
จากหนังสือโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน ดูเหมือนอาจารย์ออกไปสํารวจหลายแห่ง อาจารย์เริ่มอย่างไรครับ
-ไม่มีการเริ่ม เวลาว่างเหมาะที่จะไปที่ไหนก็ไปที่นั่น ไกล ๆ ก็แค่เวียงสระ ซึ่งมีแต่โบราณวัตถุสมัยหินทรายแดงทั้งนั้น ที่นั่น ดร.ควอริทช์ เวลส์ได้พบพระพุทธรูปเท่าฝ่ามือ ลักษณะเหมือนของคุปตะ แต่เป็นของเล็กใส่กระเป๋ามาจากอินเดียก็ได้ แต่ก็แปลกที่เป็นหินทรายแดง อินเดียไม่เคยปรากฏทําอะไรด้วยหินทรายแดง เขาทําด้วยก้อนดินเผา ที่ตะกั่วป่าก็เคยไป ไปหลายแห่ง ไปรถได้ก็ไปรถ ต้องไปเรือก็ไปเรือ ตามโอกาส เรื่องอาณาจักรศรีวิชัยนี้ หลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับ ดร.เวลส์ จึงแบ่งเป็น ๒ ค่าย ค่ายที่ว่าต้องอยู่บนแหลมมลายู แถวไชยาลงไป นี่ก็เป็นอีกค่ายหนึ่ง พวกนี้ถือตามความเห็นของดร.มะชุมทาร์ชาวอินเดียผู้เป็นนักคิดค้นคว้าเรื่องบนแหลมมลายู ดร.เวลส์ก็เดินตามความคิดของดร.มะชุมทาร์ กับอีกหลายคน ส่วนอีกค่ายหนึ่งก็มีศาสตราจารย์ยอร์จ เซเดส์ (หัวเราะ) เป็นผู้นําเสนอว่าอยู่บนเกาะสุมาตรา แต่ถ้าไปดูพื้นที่กันแล้ว มันก็ไม่ค่อยมีอะไร ที่ปาเล็มบัง ไม่ค่อยมีอะไร ผมเชื่อว่าเกือบทุกแห่งบนแหลมมลายูนี้เคยเป็นศูนย์กลางความรุ่งเรืองของศรีวิชัย ทั้งที่ไชยา ทั้งที่นครฯ ทั้งที่เกดาห์ สมเด็จกรมพระยาดํารงฯ ก็ดูท่านจะมีความเห็นอย่างนี้ ว่าเขามาจากอินเดีย ทีแรกก็ตรงเผงมาที่ตะกั่วป่าแล้วข้ามมาที่ไชยา แล้วค่อย ๆ เลื่อนลงไป ทางใต้ทางหนึ่ง และอีกทางหนึ่งไปเขมร ทางตะวันออก ผมสังเกตดูโบราณวัตถุที่พบที่ไชยา มีลักษณะเหมือนอินเดีย มากกว่าที่อื่น ที่อื่นก็เป็นพื้นบ้านมากขึ้น ๆ โดยเฉพาะที่บาหลี ไม่มีเค้าหน้าของอินเดียเหลืออยู่เลย เรื่องพวกนี้เป็นสมมติฐานที่ต้องเปลี่ยนไปตามหลักฐานที่ขุดค้นพบใหม่ ๆ การติดตามเสียเวลามาก ต้องใช้เวลาพอ ๆ กับศึกษาพระไตรปิฎกทั้งหมด เราเลยเลิก ไม่มีเวลาพอ เหมือนที่เคยเล่าแล้ว สรุปว่าโบราณคดีไม่มีประโยชน์สําหรับความดับทุกข์
อาจารย์ครับ การศึกษาโบราณคดีนั้นมันสนุกตรงไหน บางคนจึงได้ทุ่มเทแบบหลงใหลได้
-ผมมันไม่มีอะไรดอก เรื่องโบราณคดีมันยังน้อยกว่าสมัครเล่นเสียอีก มันเป็นเรื่องบ้านเกิดเมืองนอนก็สนใจบ้างเป็นธรรมดา ส่วนใหญ่มันเพลินเพราะเป็นของแปลก ได้ยินของแปลกของใหม่เกี่ยวกับบ้านเกิดของตัวเอง พบหลักฐานทางจีน ภาษาอาหรับ อาณาจักรซัมฮุดซีหรือสีบูซาอะไรพวกนี้ ส่วนนักโบราณคดีตัวยงที่ถึงขนาดหลงใหลนั้น ก็คงสนุกกับการสันนิษฐานตามเหตุผล หลักฐานที่ค้นพบ ทั้งโบราณวัตถุ โบราณสถาน หลักฐานเอกสาร เรื่องทางภูมิศาสตร์มันต้องดึงมาหมด ประกอบเป็นแนว คิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อีกอย่างหนึ่งมันก็เป็นงานมีเกียรติ ความอยากมีชื่อเสียง ได้ค้นพบ ได้เสนอในที่ประชุม แล้วก็คงได้เงินเลี้ยงชีวิตด้วย ที่เล่นกันจริง ๆ จัง ๆ ก็คงแบบนั้น
-------------------------------------------
* คําว่าโรงหนังในที่นี้ หมายถึงตึกหลังใหญ่ที่สร้างขึ้นเพื่อการสอนธรรมะด้วยภาพเขียนและภาพปั้นในสวนโมกข์
* คําถามนี้เป็นของครูภิญญู ภิญโญศิริกุล นักโบราณคดีท้องถิ่นของไชยา ซึ่งกรุณามาร่วมสัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องโบราณคดี
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 359-361
ตอนที่ 129 , ภาพหน้าที่ 362-364
อาจารย์ครับ อาจารย์ศึกษาคริสต์และอิสลามอย่างไรครับ
-มันก็ตามหลักทั่วไป ถ้าจะศึกษาคริสต์ศาสนาก็ตั้งต้นจากไบเบิ้ล ถ้าจะศึกษาอิสลามก็ตั้งต้นจากอัล กุรอ่าน
-(หัวเราะ) อ่านไบเบิ้ลละเอียดกว่าอ่านอัล กุระอ่าน แต่จะเรียกว่าละเอียดที่สุดก็คงจะไม่ได้ (หัวเราะ) เพราะว่าเรามันไม่มีข้อผูกพันอะไร อ่านเท่าที่ต้องการจะอ่าน เกิดความรู้สึกเปรียบเทียบอยู่ในใจเสมอ ว่าข้อนี้มันตรงเรื่องราวหรือหลักเกณฑ์ในพุทธศาสนาอย่างไร จนถึงกับเอามาพูดในลักษณะเปรียบเทียบ เป็นเรื่องสมัครเล่น มากกว่าที่จะเอามาเป็นเรื่องดับทุกข์ เป็นเรื่องเปรียบเทียบเพื่อทําความเข้าใจกัน ไม่ต้องรังเกียจกันมากกว่า
การกระทบกระทั่งระหว่างชาวพุทธกับชาวคริสต์ในสมัยที่อาจารย์ตั้งสวนโมกข์ใหม่ ๆ มีหรือไม่ครับ
-ไม่ปรากฏ ชาวคริสต์เขากําลังเผยแผ่กันตามความประสงค์ของเขา ประชาชนคนไทยก็ถือว่ารัฐบาลไทยก็ไม่ได้ตั้งข้อรังเกียจอะไร แต่ความรู้สึกโดยธรรมชาติมันก็มี เรียกว่าต่างศาสนา โดยหลักทั่ว ๆ ไป ประชาชนชาวพุทธหรือปู่ย่าตายายก่อนโน้น เขาก็ถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้ามิใช่พุทธก็ต้องถูกจัดเป็นลัทธิมิจฉาทิฏฐิ กระทั่งว่าตัวหนังสือฝรั่ง กระดาษพิมพ์เป็นตัวอักษรฝรั่ง หนังสือพิมพ์ฝรั่งผมก็ได้ยินว่าคนแก่ ๆ เขาเรียกว่าหนังสือของมิจฉาทิฏฐิ (หัวเราะ) เอาเข้ามาไม่ได้ แม้แต่กระดาษห่อของก็เอาเข้ามาไม่ได้ นี่มันเรียกว่าโดยพื้นฐานมันก็เรียกว่าต่อต้านหรือรังเกียจกันอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ทําอะไรให้มันเกิดขึ้น เพียงแต่เป็นการป้องกันตัว หรือทํารั้วป้องกันไว้ไม่ให้เข้ามาอย่างนั้น ฉะนั้น อ่านหนังสือฝรั่งไม่ได้ ถือว่าอ่านหนังสือของมิจฉาทิฏฐิ เมื่อผมไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ท่านเจ้าคุณที่วัดปทุมคงคา ท่านก็ยังถือหลักอย่างนี้ ซึ่งไม่นานนักเมื่อผมไปอยู่กรุงเทพฯ นี้เอง แสดงว่าไม่ต้องอ่านกันแล้ว ถ้าหนังสือของพวกฝรั่งไม่ต้องอ่านกันเลย ถือว่าไปอ่านหนังสือของมิจฉาทิฏฐิ เดี๋ยวพวกมิจฉาทิฏฐิมันจะครอบงําเอาไม่ทันรู้ นี่พื้นฐานจิตใจของประชาชนทั่วไปเป็นอย่างนี้ นี่แสดงว่าแรงหรือไม่แรง ความรู้สึกมันก็ลดลงไป ๆ เมื่อพวกฝรั่งเขาแสดงบทบาทอะไรที่เป็นที่ถูกใจคนไทยมากขึ้น ๆ ไอ้ความรู้สึกนี้มันก็หายไป ๆ เขาก็ประกาศเผยแผ่ศาสนาคริสต์ได้เพิ่มขึ้น ๆ แต่ก็อย่างที่เห็นกันอยู่ ได้ผลน้อยมาก ไม่ทําให้เกิดเปลี่ยนแปลงอะไร
ในหนังสือพุทธสาสนาหลายเล่ม อาจารย์เขียนในลักษณะที่คล้าย ๆ กับว่าน่าจะทําอะไร ๆ ให้เป็นการแข่งกับเขาใช่ไหมครับ หรือแม้แต่การทําโรงเรียนพุทธนิคมก็รู้สึกว่าจะต้องทําแบบชาวคริสต์
-ไม่มีความรู้สึกว่าแข่ง แต่มีความรู้สึกว่าเลียนแบบ ถ้ามันเป็นวิธีการที่ดี การตั้งโรงเรียนและก็มีสอนศาสนาตามแบบที่เขาทําอยู่มันเป็นวิธีการที่ดี เราก็อยากจะเลียนแบบ ความคิดจะต่อต้านแข่งขันนั้นมันก็ไม่ค่อยจะมีอะไรนัก ถ้าเป็นวิธีการที่ดี ที่จะทําให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองก็เอามาใช้ ในคัมภีร์ของเขาที่มันสอดคล้องกับพุทธศาสนาก็มีอยู่บ่อย ๆ เช่น ว่าจะไปเขี่ยผงในตาของผู้อื่น ทั้งที่ไม้ท่อนหนึ่งอยู่ในตาของตนก็มองไม่เห็น อย่างนี้มีทั่วไป เอามาใช้แทนกันได้ หลักหรือคําพูดเบื้องต้นที่ยังไม่ถึงจุดสุดท้าย ใช้แทนกันได้เกือบจะทุกศาสนา รู้สึกว่าอย่างนั้น แต่คําพูดที่จะดับทุกข์สิ้นเชิงในตอนสุดท้ายนั้น ก็ต่างกันเป็นธรรมดา
พระเถระผู้ใหญ่ในสมัยนั้น ท่านมีความรู้สึกว่าต้องระวังตัวเกี่ยวกับคริสต์ศาสนาหรือไม่
-ที่เห็น ไม่ค่อยมี สมัยเมื่อผมแรกบวช รู้สึกว่าไม่มี ไม่มีความหวั่นไหวถึงขนาดนั้น คิดกันว่าเขาทําไปก็แค่นั้น
บุคคลอย่างสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์หรือว่าพระผู้ใหญ่อย่างพระพิมลธรรม เวลาท่านทํางานเกี่ยวกับบริหารคณะสงฆ์ในฐานะสังฆมนตรีอะไรนี้ ท่านรู้สึกว่าต้องระวังในเรื่องนี้หรือไม่
-ไม่เห็นวี่แวว ท่านไม่เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่จะเป็นอันตราย เป็นภัยอันตรายอะไร บางทีท่านก็คงจะนึกเมตตากรุณาบ้างก็ได้ และเขาก็หวังดีแก่ประชาชน แจกเงินแจกของแก่คนเจ็บคนไข้นี้มันก็ดี ถูกหลักพุทธศาสนา
บางแห่งเห็นอาจารย์เขียนไว้แรงเหมือนกัน เช่นว่า พวกโรมันคาทอลิกครอบงําพวกเราบางหมู่บางเหล่าอยู่ในปัจจุบัน (เขียนเมื่อ ๒๔๘๔) คล้าย ๆ กับว่าเราต้องทําให้ดีไม่แพ้เขา หรือว่าต้องระวังอย่าให้เขามาครอบงํา มันมีเหตุอะไรเป็นรูปธรรม ทําไมอาจารย์จึงพูดอย่างนี้
-นั่นคงจะเป็นยุคตอบปัญหาบาทหลวง แต่เท่าที่ผมจําได้ยังนึกได้อยู่ในความรู้สึก ไม่เคยกลัวโดยแท้จริง แต่อาจจะเขียนออกไปอย่างนั้นก็ได้ เพื่อคนอื่นหรือเพื่ออนาคต
เรื่องตอบปัญหาบาทหลวงเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ
- บาทหลวงยอน อุลลิอานาเป็นคนแรก ที่เขียนจดหมายมาถามปัญหาเป็นข้อ ๆ เช่นว่า เกี่ยวกับความเกิดใหม่ในพุทธศาสนามีหลักอย่างไร เกี่ยวกับพระเจ้ามีหลักอย่างไร เป็นต้น ตั้งปัญหามาเป็นข้อ ๆ ชาวพุทธมีความเห็นอย่างไร เมื่อสังเกตดูปัญหาเหล่านั้นแล้ว ต้องเรียกความรู้สึกฝ่ายร้ายมันเกิดขึ้น มองรู้สึกไปในแง่ว่า พวกนี้ถามล้วงความลับในพุทธศาสนาเอาไปเป็นประโยชน์ในการเผยแผ่หรือต่อต้าน มันก็เกิดกิเลส (หัวเราะ) ไม่ชอบขึ้นมา ก็เลยตอบชนิดที่เรียกว่า ไม่มีทางที่จะเข้ากันได้ และตอนนั้นมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะผมมันมุ่งหมายพระเจ้าอย่างบุคคลเท่านั้น ไม่มีพระเจ้าอย่างธรรมะเหมือนเดี๋ยวนี้ ก่อนนั้นมีพระเจ้าองค์เดียว (หัวเราะ) พระเจ้าอย่างที่เขามี เดี๋ยวนี้มีพระเจ้า ๒ องค์ พระเจ้าอย่างบุคคลกับพระเจ้าอย่างธรรมะ มันก็เลยเขียนตอบป้องกันไว้ล่วงหน้าอย่างรุนแรง เกือบกระเทือนถึงพวกอิสลาม พวกอิสลามก็เขียนจดหมายโดยตรงมาต่อว่า เพราะอ่านหนังสือเล่มนั้นเข้า ตอนนั้นมันรู้สึกมากทีเดียว รู้สึกในทางร้าย มุ่งร้าย เพราะว่า (หัวเราะ) พระเจ้าแบบที่ว่าผูกขาดกันหมดอย่างนั้น เราไม่ชอบ ต่อมาอีกนานจึงมองเห็นว่าพระเจ้าไม่จําเป็นจะต้องเป็นอย่างนั้น แม้คําพูดเขียนไว้อย่างนั้น แต่ความมุ่งหมายเป็นอย่างอื่นก็ได้ เดี๋ยวนี้มีพระเจ้าชนิดที่เป็นกฎของธรรมชาติ เขาอาจจะเขียนมุ่งหมายถึงว่ากฎธรรมชาติเป็นพระเจ้า แต่เขาเขียนในรูปบุคคลหรือวัตถุมันก็ออกมาอย่างนั้น ต่อมาบาทหลวงยอน อุลลิอานา ก็กลายเป็นคนรู้จักคุ้นเคยกันเข้าทุกที ๆ มาประชุมมาที่นี่มา ๒ หน เขาคงเปลี่ยนความรู้สึกหมดแล้ว เพราะตอนหลัง ๆ ไม่พูดอย่างนั้น เลยกลายเป็นคล้าย ๆ เป็นเพื่อนเป็นมิตรอะไรกัน จนเมื่อแกเสียชีวิตนี้ เขายังเขียนจดหมายมาเชิญผมไปงานศพ เป็นอันว่าจบกัน เลิก ปิดฉากกัน ที่ตอบเขารุนแรงนั้น เดี๋ยวนี้ยังรู้สึกละอายอยู่
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 362-364
ตอนที่ 130 , ภาพหน้าที่ 364-365
ที่อาจารย์ไปแสดงปาฐกถาให้พวกโปรเตสแตนต์นั้นเป็นมาอย่างไรครับ
-นานมามาก ห่างกันมาก นานมากตอนหลัง ผมก็เขียนเป็นเรื่องทํานองว่าจะประสานความเข้าใจซึ่งกันและกัน แล้วโปรเตสแตนต์ที่เชียงใหม่เขามาเชิญไปพูด ทํานองจะทําความเข้าใจซึ่งกันและกัน ใช้ความมุ่งหมายอย่างนี้ เราจึงพยายามพูดในลักษณะเปรียบเทียบ ตีความเสียใหม่เพื่อให้เข้ากันได้ การเปรียบเทียบตามความรู้สึกแท้จริงนั้นมันทําได้ทั้ง ๒ อย่าง ผมรู้สึกจะทําได้ทั้ง ๒ อย่าง ทําให้ไม่มีทางพูดให้เข้ากันเลยก็ได้ พูดให้มีทางที่จะอะลุ่มอล่วยจะกลมกลืนกันก็ได้ มันแล้วแต่เจตนา ถึงเดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน แล้วแต่เจตนาจะพูด ถ้าจะพูดให้เกลียดชังยิ่งขึ้นก็ทําได้ แต่มันจะมีประโยชน์อะไร ในโลกซึ่งมันแคบเข้า ๆ คนต้องมาอยู่รวมกันเข้า สัมพันธ์กัน แล้วเขาต้องมีศาสนาที่ถูกต้องกับจิตใจของเขา ฉะนั้น เราก็ต้องให้อภัย เดี๋ยวนี้ผมจึงพูดเสียใหม่ว่าต้องมีทุกศาสนา (หัวเราะ) ต้องทรงไว้ทุกศาสนา สําหรับคนทุกแบบทุกรูปทุกระดับ
อาจารย์ครับ ยุคที่ไล่ ๆ กับที่อาจารย์ตอบปัญหาบาทหลวงนั้น รู้สึกว่าอาจารย์จะเน้นเรื่องศาสนาสากลมาก เพราะอะไรครับ คือในแง่ที่ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาที่สากล เป็นความจริงสากล
-นั่นมันก็พูดค่อนมาทางจะเข้าข้างตัว หรือว่าเป็นโอกาสที่จะให้ประโยชน์แก่ตัว มันก็ชวนพูดในลักษณะว่า ใครจะเป็นสากลกันได้มากกว่า เราก็หวังกันอยู่ว่า พุทธจะเป็นสากลได้มากกว่า จึงชวนพูดเรื่องศาสนาอาจจะเป็นศาสนาสากล แต่เดี๋ยวนี้คําว่าสากลผมมันเปลี่ยนความหมาย ก่อนโน้นสากลแต่ในพวกมีปัญญา พวกมีสติปัญญา นักเรียน นักศึกษา เดี๋ยวนี้มาสากลถึงคนโง่ ถึงคนล้าหลัง คนชาวป่า ชาวนา ชาวไร่ ถ้าสากลลงมาถึงพวกนี้แล้วมันก็ต้องมีหมดทุกศาสนา ต้องมีครบหมดทุกศาสนา ฉะนั้น ศาสนาที่จะสากลแต่เพียงศาสนาเดียวคงจะไม่ได้ เพราะว่ามนุษย์ชนิดที่ยังต้องพึ่งพระเจ้า พึ่งผู้อื่นนั้น ยังมีอยู่มาก ถ้าจะให้เป็นศาสนาสากล ดูเหมือนต้องรวมกันทุกศาสนามากกว่า แต่ดูจะไม่มีใครยอมคิดอย่างนี้ ส่วนเราเห็นว่าอย่างนั้น ต้องอยู่ร่วมกันหมด จึงจะได้ศาสนาสากล คือเอามาเรียงกัน คําสอนแบบไหนเอามาแต่คน ส่วนไหนก็ใช้ได้หรือเหมาะสมกับคนส่วนนั้น แล้วแต่คนพวกไหนมันจะเลือกเอา จะไหว้พระเจ้า (หัวเราะ) อย่างภูติผีปีศาจก็ได้ จะไหว้พระเจ้าอย่างสูงอย่างที่พวกคริสต์เขาพูดก็ได้ หรือไม่มีพระเจ้าอย่างพุทธศาสนา มีแต่กฎของธรรมชาติก็ได้ ถ้าในศาสนาไหนมีให้ครบทุกอย่าง อย่างนี้มันก็เป็นสากลแน่ แต่ดูจะไม่มีใครทําได้ มันไม่มีศาสนาไหนที่จะมีครบถ้วนอย่างนั้น เพราะมันเกิดกันคนละที่ คนละแห่ง คนละยุค คนละสมัย คนละเหตุการณ์ ฉะนั้น ถ้าจะมีศาสนาสากลก็คืออยู่ร่วมกันหมด
พวกโปรเตสแตนต์มารู้จักกันได้อย่างไร
-เขาอ่านหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน ตอนที่ผมโต้ตอบปัญหาบาทหลวง เขาคงอ่านกัน เขาเห็นว่าเราคงจะมีอะไร ๆ ที่ควรจะสนทนากัน เขาอาจจะมีความคิดไปไกลถึงขนาดว่าอาจจะชนะเรา ชนะนํ้าใจเราได้ ถ้ามาพูดจากัน
ในห้องหนังสือของอาจารย์ ผมเห็นหนังสือของนักคิดสมัยใหม่ฝ่ายคริสต์ศาสนา ๒-๓ เล่ม ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้อ่านหรือเปล่า เป็นนักคิดที่ตีความพระเจ้าค่อนข้างสมัยใหม่ เช่น The Phenomena of Man และ The Future of Man ของ Teilhard de Chardin หรือ The New Man ของ Thomas Merton
-(หัวเราะ) ไม่ค่อยได้สนใจอ่าน เคยแต่เปิดแพล็บ ๆ (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้มันหมดปัญหาแล้ว จะดับทุกข์มันต้องเป็นอย่างถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ
อาจารย์ครับ ที่เขานิมนต์ไปพูดที่เชียงใหม่ ไม่ได้ติดต่อกันเป็นส่วนตัวใช่ไหมครับ
-ไม่ ไม่รู้จักเป็นส่วนตัว แต่เขาคงรู้จากกิจการงานของเรา และเขาก็อยากจะได้คนแปลก ๆ ไปพูด ให้เป็นการปาฐกถาที่น่าฟัง เขาพูดไปถึง ๔-๕ ครั้งแล้ว ผมไปเป็นครั้งที่ ๕ แล้วกระมัง
หนังสือหลักที่อาจารย์ใช้ศึกษามีแต่คัมภีร์ไบเบิ้ล เล่มอื่นอาจารย์ไม่ได้ใช้เท่าไรใช่ไหมครับ
- (หัวเราะ) มันไม่มี มันไม่มีหนังสืออะไร หนังสือที่เขาเขียนเป็นความคิดเห็น มันก็มีบ้าง หนังสือ The Immitation of Christ อะไรนั่น ก็พอจะมีเรื่องที่น่าสนใจ
อาจารย์ได้ศึกษาในลักษณะที่แลกเปลี่ยนความเห็นกันไหม แบบว่ามานั่งคุยกันอย่างนี้ บาทหลวงยอนห์ อุลลิอานา เคยมานั่งถกเถียงกันไหม
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 364-365
ตอนที่ 131 , ภาพหน้าที่ 366
อาจารย์พูดที่เชียงใหม่ครั้งแรกแล้ว มีคนต่อต้านไหม
-ไม่มี และมันเกือบจะไม่มีใครได้อ่านกันกี่คนดอก นอกจากฝ่ายโน้น ตอนนั้นก็เรียกว่าพระเจ้าพระสงฆ์ไม่เคยสนใจเรื่องอะไรมากมายเหมือนเดี๋ยวนี้ เพิ่งจะมาเอะอะขึ้นเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วที่เกิดความกลัวว่าเขาจะกลืนเรา และคุณก็ดูซิ มันก็ยังเป็นส่วนน้อย ไอ้ส่วนที่ไม่นึกไม่รู้สึกอะไร ก็ยังมีอยู่มาก พากันตื่นตูมไปเอง คิดถึงข้างหน้าในอนาคตกันดีกว่า ว่ามันจะมีศาสนาอะไรรับหน้านักวิทยาศาสตร์ขั้นสุดท้าย การที่วิทยาศาสตร์เจริญถึงที่สุด ศาสนาอะไรจะรับหน้า หมายถึงในแง่ดีที่ใช้เป็นประโยชน์ได้มากกว่า
อาจารย์ครับ แล้วอย่างเพื่อนทางอิสลามสัมพันธ์กันมาอย่างไรครับ
-คือว่า คุณประยูร วทานยกุล เป็นเพื่อนกับคุณฟัก ณ สงขลา นักการเมืองซ้ายสมัยนั้น แล้วคุณฟักนี่เขาศึกษาพุทธศาสนา ทั้งที่นิยมคอมมูนิสต์ แล้วก็ใช้สํานักงานพบปะกันที่ร้านสุวิชานน์ คนนั้น คนนี้ คนโน้น หลาย ๆ คน รวมคุณประยูรเข้าไปด้วย เพราะเขาเป็นเพื่อนส่วนตัวกัน คุณประยูรจึงได้มารู้เรื่องของสวนโมกข์มากขึ้น แล้วต่อมานานเข้าคงจะเห็นว่าจะพูดกันรู้เรื่องได้ แกก็เลยติดต่อทางช่วยบริจาคบํารุงกิจการของคณะธรรมทานและสวนโมกข์ คุณประยูรนี่บริจาคมาก จนถ้าถือตามหลักอิสลามแล้วก็ต้องว่าผิดหลัก เพราะเป็นการทําบุญนอกศาสนา (หัวเราะ) เพื่อนอิสลามส่วนมากก็คงไม่พอใจ คุณประยูรไม่เพียงแต่พอใจเลื่อมใสเท่านั้น ยังได้บริจาคในลักษณะที่เป็นการทําบุญด้วย นอกจากนั้นผมยังได้ขอร้องให้แกช่วยแปลเรื่องที่พูดโดยภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษอยู่บ่อย ๆ กระทั่งเรื่องที่ไปพูดที่เชียงใหม่นั้น แกแปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษ แกเข้ามาสู่ความรู้จัก ด้วยการสังคมกับเพื่อน ๆ ที่เป็นชาวพุทธ ก็เป็นเหตุให้รู้จักสวนโมกข์ และก็พอใจ แกก็สนใจ สนทนาพาทีเรื่องต่าง ๆ มันก็เข้ากันได้ เพราะแกก็เริ่มมีพระเจ้าอย่างที่ไม่ใช่บุคคล แม้กระนั้นแกก็ยังเรียกตัวเองเป็นอิสลามอย่างยิ่ง (หัวเราะ) คราวหนึ่งเมื่อไปอินเดียด้วยกัน ไปถึงที่แห่งหนึ่งไปขอพัก เป็นที่พักของพระสงฆ์ลังกา ผมก็พูดไม่ทันยั้งคิดว่าพวกเราชาวพุทธมาท่องเที่ยวอินเดีย คุณประยูร (หัวเราะ) แกสวนขึ้นมา ผมคนหนึ่งเป็นอิสลาม (หัวเราะ) แกไม่ยอมให้พูดตีคลุม บอกเจ้าของที่พักเลยว่าผมเป็นอิสลาม พวกเราไปไหว้ที่ไหน คุณประยูรซึ่งไปด้วยกันก็ทําละหมาดที่นั่น และถ่ายรูปมามากเหมือนกัน สนใจเรื่องพระเซน เขาสนใจมหาตมะคานธี และบางเวลาแกปลีกตัวไปมัสยิด ที่เผอิญอาจจะหาได้ในขณะที่ท่องเที่ยวไปนั้น เดี๋ยวนี้แกก็ไม่ค่อยสบาย เป็นโรคเบาหวาน คงจะลําบาก
นอกจากคุณประยูรแล้ว อาจารย์ไม่รู้จักเพื่อนอิสลามคนอื่น ๆ อีกหรือ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 366
ตอนที่ 132 , ภาพหน้าที่ 367-368
อาจารย์ครับ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในการทํางานเผยแผ่ของอาจารย์ จะเห็นได้ว่าตั้งแต่เริ่มเขียนหนังสือ อาจารย์ก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์วัฒนธรรมตะวันตกมาโดยตลอด ผมอยากเรียนถามว่าอาจารย์มีวิธีอย่างไรในการศึกษาเรื่องทางตะวันตกครับ
-ไม่ค่อยมี คุณสังเกตดูเถอะ ที่ว่าจะตั้งใจวิพากษ์วิจารณ์โดยตรงไม่ค่อยมี มีเขียนถึงบ้างในฐานะที่เปรียบเทียบ หรือว่าน่าสนใจ น่าจะเอามาผสมผสานกัน แต่ที่เขียนวิพากษ์วิจารณ์โดยตรงดูจะไม่มี คุณเห็นตรงไหนบ้าง เช่นอะไรบ้าง
อย่างการที่อาจารย์พูดถึงการตามก้นฝรั่งมากเกินไปก็เป็นเรื่องใหญ่ ประเด็นใหญ่ประเด็นหนึ่ง ที่อาจารย์โยนลงมาในสังคมยุคนี้ เราจะต้องทําให้คนตื่นตัวว่าเราจะต้องมีทางออกของเราเอง
-(หัวเราะ) ถูกแล้ว เรื่องนี้อยู่ในความรู้สึกมากทีเดียว เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเสียหายและเป็นเรื่องขัดขวางความเจริญของธรรมะ แทนที่พุทธบริษัทจะปฏิบัติธรรมะ ก็หันไปตามก้นฝรั่งเสียหมด ไม่ค่อยเข้าใจถึงโทษของการจัดการศึกษาตามแบบก้นฝรั่ง คนเหล่านี้ก็ไม่เหมาะที่จะศึกษาหรือปฏิบัติธรรมะ ถ้ามันเข้ามาเกี่ยวข้องในแง่อย่างนี้ เราจึงจะพูดไปบ้าง ไม่ได้มีเจตนามากมายอะไรหรอก มันจะสะดุดขึ้นมานาน ๆ ครั้งว่า ไอ้นี่มันติดอยู่ที่ว่าตามก้นฝรั่ง แต่ก็ไม่ได้พูดในลักษณะตําหนิติเตียนฝรั่งนะ แต่บอกให้เห็น บอกให้รู้ว่า นี่มันเป็นอุปสรรคที่จะเจริญในทางธรรมะ แม้การเมืองของประเทศชาติก็ต้องอาศัยธรรมะ ธรรมะเป็นไปไม่ได้เพราะว่าตามอย่างฝรั่ง โดยเฉพาะที่มันขัดขวางกันอย่างยิ่ง ก็คือเรื่องไม่บังคับตัวเอง วัฒนธรรมฝรั่งหรืออุดมคติการศึกษาฝรั่ง มันไม่มีเรื่องการบังคับตัวเอง ไม่สอนให้บังคับตัวเอง พากันเห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เลยให้เด็ก ๆ เป็นอิสระ ไม่บังคับตัวเอง อย่างนี้ เราเห็นว่าเสียหายอย่างยิ่ง เด็กเหล่านั้นย่อมไม่เหมาะที่จะรู้ธรรมะ วัฒนธรรมไม่บังคับตัวเองเป็นปฏิปักษ์โดยตรง โดยจัง ๆ กับพุทธศาสนา เช่น การจูบกอดกันตามที่สาธารณะ โดยเห็นเป็นการถูกต้องไปเสีย นี่คือการไม่บังคับความรู้สึก มันก็มีนิสัยปล่อยตามความรู้สึก ปล่อยตามกิเลส มันหันหลังให้กับหลักธรรมะ ที่จะต้องบังคับความรู้สึกไว้ให้อยู่ในระเบียบ นี้เป็นเรื่องไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรมฝรั่ง หรือหลักศึกษาอย่างฝรั่งให้มีประชาธิปไตยระหว่างครูกับศิษย์มากเกินไป ผมก็พูดบ้างเฉพาะเมื่อมีอะไรมากระทบความรู้สึก ถ้าเข้ามาในขอบเขตที่ว่าขัดกับความรู้สึกแล้วก็พูดบ้าง เจตนาที่จะค้านโดยตรงหรือตะพึดนั้นก็ไม่มี ไม่มีแผนการต่อต้าน แต่จะพูดถึงบ้างในเมื่อมันมาขัดขวางกับเรื่องของเราที่จะเผยแผ่ธรรมะ
อาจารย์ครับ อย่างบางเรื่องที่อาจารย์พูดแล้วอ้างไปถึงว่าฝรั่งเขาคิดอย่างไรบ้าง เช่น ว่าในการอบรมผู้พิพากษา ผมจําได้ว่ามีปีหนึ่งอาจารย์พูดถึงวัตถุนิยม อาจารย์ก็จะแจกแจงว่าฝรั่งเขาคิดอย่างไรในเรื่องวัตถุนิยม หรือว่า อย่างไรเรื่องเกี่ยวกับอนัตตา ฝรั่งคิดอย่างไรบ้าง คนนั้น คนนี้ ความรู้อย่างนี้อาจารย์ศึกษาอย่างไรครับ
-อ้าว ก็ศึกษาเท่าที่มันมี เท่าที่มันพิมพ์ออกมาให้ปรากฏ หรือว่าอ่านหนังสือเรื่องราวนั้น ก็เห็นว่ามันตรงหรือไม่ตรง เข้ากันได้หรือเข้ากันไม่ได้กับหลักพุทธศาสนา โดยเฉพาะเรื่องอัตตา-อนัตตา นี้เราเหมาได้เลยว่า นอกจากพุทธแล้วมันก็เป็นเรื่องอัตตาในรูปแบบอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ จะสอนจะพูดให้คนที่นิยมอัตตามาเข้าใจอนัตตามันก็ลําบาก ต้องพูดประท้วงขึ้นมาบ้าง นี่เรียกว่าไม่ได้เป็นเรื่องของฝรั่งหรือไม่ฝรั่ง เป็นเรื่องของมนุษย์ส่วนใหญ่ยึดหลักอัตตาโดยไม่รู้ตัว แต่เราก็ได้พยายามเปรียบเทียบชี้แจงให้เขาเห็นประโยชน์ของการถืออนัตตา นี้ก็พยายามอยู่เหมือนกัน
เวลาอาจารย์วิจารณ์นักคิดคนไหน อาจารย์ไปอ่านของนักคิดคนนั้นเลย หรือว่าอ่านที่เขาตีความงานของนักคิดคนนั้นอีกทีหนึ่ง
- ทั้ง ๒ อย่าง แล้วแต่มันจะมีมาทางไหน บางทีผมอ่านเรื่องของคนที่เขาวิพากษ์วิจารณ์อีกต่อหนึ่ง หนังสือบางเล่มก็มีฝรั่งหรือคนอินเดียเขียน พยายามจะเอามติเรื่องอัตตาของพวกฝรั่งคนนั้นฝรั่งคนนี้ฝรั่งคนโน้น มารับรองเรื่องอัตตา ในคัมภีร์ภควัทคีตาก็เป็นเรื่องอัตตาไปหมด เราต้องการจะดึงไปสู่อนัตตา เราไม่มีห้องสมุดที่สมบูรณ์ บางทีก็อ่านหนังสือพิมพ์ (หัวเราะเบา ๆ) และหนังสือบางเล่มก็ยืมเขามาอ่าน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 367-368
ตอนที่ 133 , ภาพหน้าที่ 368-370
เวลาอาจารย์ค้นว่าเขาคิดยังไง อาจารย์ใช้หนังสือชุดไหนเป็นหลัก
-ไม่อาจจะเป็นหลัก มันตามสบาย คือว่าเราไม่ได้ตั้งโครงการทําให้มันเหมือนกับว่าต่อต้านกันทั้งหมด เป็นความคิดส่วนน้อยส่วนหนึ่งเท่านั้นที่จะวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเรื่องอัตตาของพวกอื่น บางทีก็ได้เค้าเงื่อนนิด ๆ หน่อย ก็มาขยายความมาตีความให้มันเป็นเรื่องของมนุษย์พวกหนึ่งขึ้นมา และก็ใช้เป็นเรื่องคู่เปรียบเทียบต่อสู้ ขัดแย้ง วิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็เป็นเรื่องไม่มากมายอะไร สําหรับเอ็นไซโคลปีเดียก็ใช้ไม่บ่อย ใช้เฉพาะเรื่อง สงสัยเรื่องอะไรก็เปิดดูเฉพาะเรื่อง โดยมากแล้วจะพูดได้ว่าในเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรมเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ค่อยได้ใช้ ที่ใช้จริง ๆ จัง ๆ ก็เรื่องศีลธรรม (หัวเราะ) ส่วน The Great Books of The West นี่ เกือบจะไม่ได้ใช้ ดูผิว ๆ ถึงแม้จะมีหนังสือเหล่านี้ก็เหมือนกับไม่มี ยังใช้น้อยมาก เอ็นไซโคลปีเดีย ดูเฉพาะของพุทธะคําหนึ่งเท่านั้น แล้วคําอื่น ๆ ที่เนื่องกันกับพุทธะเขาบอกไว้ให้เสร็จ แล้วก็ดูคําว่า Morality คําหนึ่งและคําอื่น ๆ ที่เนื่องกันกับคํา ๆ นี้ ดูเหมือนกับว่าจะใช้ไม่คุ้มค่านัก
เวลาอาจารย์วิจารณ์มากซ์ หรือว่าวิจารณ์ dialectic materialism อาจารย์อ่านของมากซ์หรือเปล่า
-ไม่ค่อยได้อ่าน (หัวเราะ) อ่านเท่าที่สะดวก หนังสือบางเล่ม หรือหนังสือพิมพ์หรือที่เขาพูด ๆ กัน พอรู้ว่าเค้าเงื่อนเป็นอย่างไร แล้วก็ตัดบทเลย ตัดไปเสียเลยว่าไม่ต้องอ่าน คือผมประมาณว่ามากซ์ไม่เคยศึกษาพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ศึกษาพุทธศาสนาผิว ๆ ในชั้นแรกที่พูดกันผิด ๆ คาล มากซ์ก็ไปจัดพุทธศาสนาไว้ในกลุ่มเดียวกับศาสนาอื่น ๆ เขาก็เลยพูดเกี่ยวกับศาสนาผิด ผิดสําหรับพุทธศาสนา ถ้ารู้พุทธศาสนาจริงคงไม่พูดอย่างที่พูด พอเห็นว่าอย่างนี้แล้วก็เลยไม่สนใจ ใน The Great Books of The West มีเล่มใหญ่เล่มหนึ่งเรื่องมากซ์คนเดียว แต่ก็อ่านไม่ไหว (หัวเราะ) อ่านไม่ไหว เปิดเห็นแล้วผ่านเลย เปิดเห็นแล้วก็อ่านไม่ไหว เพราะปฏิเสธตั้งแต่ทีแรกแล้วว่า เราไม่ถือเอาตามความคิดของมากซ์เป็นหลักอะไรได้ เพราะเขาไม่รู้พุทธศาสนา ก็เลยไม่ค่อยอยากอ่าน
แล้วเวลาอาจารย์วิจารณ์เขา อาจารย์ไม่กลัววิจารณ์ผิดหรือครับ
-ไม่น่าจะผิด เพราะวิจารณ์ว่าไม่รู้พุทธศาสนา เขาไม่มีทางที่จะวางหลักธรรมะสําหรับโลก ถึงจะวางก็ไม่ถูกสําหรับมนุษย์ และการที่เอาศาสนาไปแปลความหมายอย่างนั้นก็ไม่ถูกกับความจริง พอได้ยินคําว่าศาสนาเป็นยาเสพติดแล้วก็หมดศรัทธาแล้ว เพราะว่าศาสนาพุทธนี้ไม่เป็นยาเสพติด แต่กลับจะเป็นเครื่องปราบปรามยาเสพติด เช่น ไสยศาสตร์ เป็นต้น
อาจารย์ครับ ทีนี้กลับมาทางด้านเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ อ่านจากงานของท่านอาจารย์ ผมรู้สึกว่าอาจารย์ให้เครดิตกับวิทยาศาสตร์พอสมควรตั้งแต่ต้น ทีนี้ผมอยากเรียนถามอาจารย์ว่า สมัยที่อาจารย์เริ่มมาสู่วงการหนังสือ คนไทยสมัยนั้นมีทัศนะอย่างไรต่อวิทยาศาสตร์ อย่างในหนังสือของปัญญาชนยุคนั้น ที่อาจารย์อ่านนี่เขาพูดถึงวิทยาศาสตร์ในทางไหนกันครับ
-ผมไม่สนใจวิทยาศาสตร์ทั้งหมด วิทยาศาสตร์แขนงอื่น ๆ นอกจากวิทยาศาสตร์ที่เอามาใช้อธิบายพุทธศาสนาได้ คือเอามาสนับสนุนพุทธศาสนาได้ อย่างนี้จะเป็นตอนแรก ๆ เรียกว่าดึงวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวกับเรื่องศาสนา ที่น่าอ่านก็คือหนังสือของนายสมัคร บุราวาศ แกแต่งตั้งแต่อยู่เมืองนอก และเป็นเค้าเงื่อนเป็นข้อ ๆ ข้อปลีกย่อยของหลักวิทยาศาสตร์สนับสนุนหลักใหญ่ของพุทธศาสนา โดยเฉพาะสนับสนุนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อ่านและพยายามศึกษา แต่พอเห็นว่าเป็นเรื่องสนับสนุนได้ ดังนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจะศึกษาไปทําไมอีก (หัวเราะ) มันพอแล้ว เพราะแน่ใจพอแล้ว ตอนแรก ๆ นายสมัคร บุราวาศเขาเขียนพุทธศาสนาเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์ มาตอนหลังเขียนมาก ๆ เขียนเป็นปรัชญาเลย พุทธศาสนาเป็นปรัชญาอ่านไม่ไหว
แต่ว่าอาจารย์เขียนถึงวิทยาศาสตร์ก่อนที่นายสมัคร เขาจะเขียนหนังสือเล่มนี้นะครับ เพราะนายสมัครเพิ่งเขียนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ กว่า แต่อาจารย์อ้างถึงวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕
-(หัวเราะ) ก็นั่นแหละวิทยาศาสตร์อย่างที่เขาว่า ๆ กัน อย่างที่เขาว่า ๆ กัน ตอนนั้นมันยังไม่รู้ว่าวิทยาศาสตร์คืออะไรด้วยซํ้าไป รู้แต่เพียงว่าถ้าเป็นเรื่องพิสูจน์และทดลองก็เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ถ้าเป็นเรื่องการคํานวณและก็เป็นเรื่องปรัชญา เรามองเห็นอยู่ หลักพุทธศาสนา หัวข้อธรรมะ ต้องการพิสูจน์ทดลอง ไม่ต้องการคาดคะเนคํานวณ มันผิดหลักกาลามสูตร ตรรกเหตุ นยเหตุ มันต้องพิสูจน์ ทดลอง จนทนต่อการพิสูจน์ ว่ามันจะดับทุกข์ได้ ฉะนั้น เรื่องนี้ไม่สําคัญอะไรเกี่ยวกับผม เพราะไม่ได้ตั้งใจจะสอนวิทยาศาสตร์อะไรให้มันมากมาย เพียงแต่ว่าพอใจแล้วว่าพุทธศาสนานี่มันมีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ จะต้องใช้วิธีการอย่างวิทยาศาสตร์มาแตะต้อง มาเกี่ยวข้อง ก็เลยพูดออกไปให้เพื่อน ๆ รู้ด้วยเท่านั้นเอง ถ้ายิ่งถอยหลังลงไปถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว ผมยิ่งไม่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์อะไรนัก รู้อยู่นิดเดียวว่าต้องพิสูจน์และทดลองค้นคว้า ถ้าว่าเป็นเรื่องคํานวณละก็เป็นเรื่องปรัชญา เป็นเรื่อง logic เป็นเรื่องอะไรไปตามเรื่อง อย่าเอามาเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเลย ไม่ได้อธิบายกันอย่างแตกฉาน ชี้แจงชัดเจนอะไร เรื่องเหมา ๆ ว่าพวกเราถือพุทธศาสนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์กันเถิด ให้พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ชั้นเอกชั้นเลิศของโลก คือเป็นเรื่องดับทุกข์ เกี่ยวกับเรื่องดับทุกข์สิ้นเชิง เป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวกะจิตใจ
ถ้าอย่างนั้น ระยะแรก ๆ อาจารย์ก็อ่านจากหนังสือแบบเรียน อะไรอย่างนี้หรือครับ
-ก็เคยอ่านหนังสือแบบเรียน เท่าที่เคยเรียนมาในหนังสือแบบเรียน ก็สรุปความหมายของคําว่าวิทยาศาสตร์เอาเอง ตอนนั้นมันมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง เพราะว่าคําว่าวิทยาศาสตร์ ที่ใช้กันอยู่ในเมืองไทย (หัวเราะ) มันหมายถึงการเล่นแร่แปรธาตุเสียเป็นส่วนใหญ่ อย่างในตลาดเขาจะมีคําพูดว่าทองวิทยาศาสตร์หรือทองจริง อย่างนี้เป็นต้น คําว่าวิทยาศาสตร์ประชาชน (หัวเราะ) เข้าใจความหมายไปอีกทางหนึ่ง กลายเป็นเรื่องหลอกลวงและเป็นเรื่องทําเทียมอะไรไปเสีย และที่พระเถระผู้ใหญ่ก็ยังพูดว่าไอ้วิทยาศาสตร์ ไอ้พวกวิทยาศาสตร์ หมายถึงว่าเป็นเรื่องพวกปลอม ๆ พวกที่สนุกสนาน พวกเอร็ดอร่อย พวกหลอกลวงทั้งนั้นแหละ และก็เกลียดคําว่าวิทยาศาสตร์ เกลียดพวกวิทยาศาสตร์ ทีนี้ (หัวเราะ) เราก็ลําบากที่จะเสนอขึ้นมาใหม่ เอาวิทยาศาสตร์เป็นหลักเกณฑ์ที่มันมีประโยชน์ที่จะรู้ธรรมะ ใช้กับธรรมะ ทําธรรมะให้เป็นวิทยาศาสตร์ มันขัดกันยุ่งไปหมด กับความรู้สึกของประชาชนหรือแม้แต่ของพระเถระ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่สมัยนั้นเป็นคําที่เสียหาย ไม่ใช่เป็นคําที่มีเครดิต
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 368-370
ตอนที่ 134 , ภาพหน้าที่ 370-372
ปัญญาชนที่กลับมาจากเมืองนอก เขายกย่องวิทยาศาสตร์กันใช่ไหมครับ หนังสือที่อาจารย์อ่านอย่าง น.ม.ส. หรือว่าครูเทพ หรือว่าหลวงวิจิตรฯ อะไรอย่างนี้
-ก็ไม่ได้เขียนเรื่องวิทยาศาสตร์กันนักดอก ไปดูเถอะ เขียนเรื่องอื่นกันทั้งนั้น แต่ว่าที่เต็มอัดอยู่ในหมู่ประชาชน ถือว่าวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องหลอกลวงเป็นเรื่องฉาบทา จนถือว่ามันเป็นเรื่องไว้ใจไม่ได้ (หัวเราะ) เพราะมันจะทําอะไรหลอกใครที่ไหนเมื่อไรก็ได้ อย่างทองวิทยาศาสตร์ก็หมายความว่าทองปลอม
ถ้าอย่างนั้น แรก ๆ อาจารย์ไม่ได้ค้นคว้าเกินกว่าตําราแบบเรียนภาษาไทยที่มีอยู่
-ไม่เกิน หนังสือค้นคว้าก็ไม่มีด้วย แล้วมันไม่สามารถจะอ่านภาษาอังกฤษชนิดยาก ๆ ได้
แล้วทําไมอาจารย์ถึงมาแปลคําบางคําเป็นภาษาไทยได้ อย่างเช่นอีเล็คตรอน โปรตอน เป็นวิชชุรูป มูลรูป อะไรพวกนี้
-(หัวเราะ) ไม่ใช่ผมเป็นคนแรก คนอื่นพูด ไม่ใช่ผมเป็นคนแรก จะเป็นเรื่องของนายสมัครก็ได้ นายสมัคร บุราวาศ หมายความว่าไม่มีอะไรนักดอกเกี่ยวกับผม เป็นแต่ชอบคําว่าวิทยาศาสตร์ เพราะว่ามันเป็นเรื่องทนต่อการพิสูจน์เท่านั้นเอง (หัวเราะ) ธรรมะทนต่อการพิสูจน์เหมือนวิทยาศาสตร์
อาจารย์ครับ การศึกษาวิทยาศาสตร์มีส่วนช่วยให้อาจารย์เข้าใจธรรมะหรือเปล่า
-ก็ผมไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์อะไรมามากมาย เรียนธรรมะออกไปหาวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เรียนวิทยาศาสตร์เข้ามาหาธรรมะ มันมาเรียนธรรมะเต็มเนื้อเต็มตัวแล้วก็คืบคลานออกไปหาวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุน
แต่การอธิบายธรรมะของอาจารย์ก็ได้รับอิทธิพลของวิทยาศาสตร์ไม่น้อย เช่นอ้างถึงทฤษฎีของวิวัฒนาการของดาร์วิน การอ้างถึงหลักจิตวิทยาของฟรอยด์อะไรพวกนี้
-เท่าที่มองเห็นและเข้าใจ ก็อยากจะพูดให้เพื่อนกัน เพื่อนฝูงกัน คิดทํานองนี้บ้าง
แล้วอาจารย์มองอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนาอย่างไรครับ
-ถ้าอย่างนี้ละก็เป็นเรื่อง (หัวเราะ) ที่คิดต่อกันมาเรื่อย ๆ จนบัดนี้ก็อย่างที่กําลังพูดอยู่ (หัวเราะ) เกือบทุกคราว ว่าหลักธรรมะที่ทนต่อการพิสูจน์แบบวิทยาศาสตร์นั้นมีอยู่ จะต้องคัดเลือกเอามาเฉพาะหลักธรรมะชนิดนี้ ฉะนั้น จึงต้องเว้นพระไตรปิฎกบางส่วนออกไป ที่ไม่ทนไม่เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ เช่นเรื่องจันทรคราส สุริยคราส เรื่องเมืองยักษ์ เรื่องอะไรพวกนี้ ผมยังคิดอยู่ในใจเสมอว่าพุทธศาสนาจะเผชิญหน้ากับโลกในสมัยวิทยาศาสตร์ได้ถึงที่สุด คือโลกในอนาคต เมื่อวิทยาศาสตร์ไม่สามารถจะช่วยโลกได้ เราก็เสนอหลักธรรมะหรือธรรมะเข้าไป ให้นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้วิทยาศาสตร์ช่วยโลกได้
เพราะอะไรวิทยาศาสตร์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ถึงไม่สามารถจะช่วยโลกได้
-เพราะมันไม่มองในเรื่อง (หัวเราะ) ดับทุกข์เสียเลย วิทยาศาสตร์ทั้งหลายไม่มองในเรื่องดับทุกข์ในจิตใจของคนเสียเลย มองออกข้างนอก ก้าวหน้าในทางวัตถุเรื่อยไป เท่ากับไม่ได้ใช้วิทยาศาสตร์ดับทุกข์ของโลก ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อความก้าวหน้าของโลกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แล้วถ้าอย่างนี้แล้วมันก็ช่วยให้คนมีกิเลสมากขึ้น ต้องให้เวลากลับตัวอีกสักพัก จึงจะเอาปัญหาเรื่องดับทุกข์เป็นเรื่องใหญ่ และใช้วิธีหรือวิชาความสามารถทางวิทยาศาสตร์มาเป็นเครื่องมือ อย่างว่าจะใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนในการละกิเลส (หัวเราะ) แม้ในทางวัตถุ หรือไปจากทางวัตถุ ก็ยังได้ ยังดี ยังดีมาก มันอาจจะไปถึงกะว่าใช้ยากินเพื่อบรรเทาโลภะ โทสะ โมหะได้ (หัวเราะ) ก็ยังดี แต่เขาจะคิดหรือไม่ก็ไม่รู้
ใช้ได้หรือครับ ถ้าใช้ยากินเพื่อละกิเลส
-อ้าวเราก็ได้ยาทางระบบประสาททางร่างกายเป็นยาระงับอย่างที่ใช้กันอยู่ทุกวัน คงไม่เหลือวิสัยที่วิทยาศาสตร์จะมียาคือวัตถุทางเคมีที่ทําให้โกรธไม่ได้ ผมคิดว่าทําได้ ให้โกรธไม่ได้ หรือให้ผิดปกติเกินไปไม่ได้ มันก็ยังมีผลดีชั่วระยะหนึ่ง ถ้าศึกษารู้ว่าความโกรธเกิดขึ้นมา มันมีปฏิกิริยาทางเคมีของอะไร ก็มียากินเพื่อระงับไอ้อาการนั้นเสีย มันก็อาจจะป้องกันหรือระงับความโกรธได้ ถ้าเอาวิทยาศาสตร์มาใช้กันในแง่ดับกิเลสดับทุกข์ มันอาจจะขวนขวายมาได้ถึงขนาดนี้ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางเคมีในระบบประสาท วิทยาศาสตร์จะค้นได้ จะสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงนั้นให้มีผลในทางให้หยุดกิเลสหรือป้องกันกิเลส แม้ชั่วคราวก็ยังดีกว่าไม่มีเสียเลย เหมือนกับใส่ทองวิทยาศาสตร์นั้นแหละ มันยังดีกว่าไม่มีทองอะไรจะใส่เสียเลยใช่ไหมล่ะ
สงสัยจะมีแล้ว ผมเคยคุยกับจิตแพทย์สมัยใหม่
-แต่มันยังไม่จริง ยังไม่จริงจัง ยังไม่เหมือนกะที่ไปคิดทําปรมาณู ทําคอมพิวเตอร์ทําอะไรต่าง ๆ ถ้าใช้ความคิดทั้งหมดมาค้นในเรื่องนี้มันก็คงจะดี แต่นั่นมันเป็นส่วนร่างกายหรือในส่วนระบบประสาท ต้องศึกษาเรื่องจิตให้ถึงที่สุด โดยเฉพาะเรื่องปฏิจจสมุปบาท ให้เข้าใจถึงที่สุดจนควบคุมกระแสของปฏิจจสมุปบาท นี่ จะมีผลในการดับทุกข์ได้ถาวร เดี๋ยวนี้ทางวัตถุมันมุ่งไปทางผลิตสิ่งที่ส่งเสริมกิเลส ไม่มีที่จะมาในทางควบคุมหรือระงับกิเลส ถึงจะทํายาชนิดนี้ขึ้นมาไม่มีใครซื้อแน่ เพราะเขาต้องการสิ่งที่ส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 370-372
ตอนที่ 135 , ภาพหน้าที่ 372-374
หลักทั่ว ๆ ไปของวิทยาศาสตร์นี้ อาจารย์คิดว่าพระสงฆ์ปัจจุบันควรจะรู้หรือไม่
-แน่นอนซิ ในส่วนที่เป็นประโยชน์แก่การเข้าใจหลักธรรมะแล้ว ควรจะรู้อย่างยิ่ง เพราะอิทัปปัจจยตานั่นมันเป็นกฎวิทยาศาสตร์
ส่วนไหนของวิทยาศาสตร์จะช่วยให้เข้าใจธรรมะได้ดีขึ้น
-กฎของวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยเหตุผล เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี กฎอิทัปปัจจยตามีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์อยู่อย่างเต็มที่ แล้วมนุษย์ก็จะเริ่มสนใจเรื่องต้นเหตุของความทุกข์ ต้นเหตุของวิกฤตการณ์กันอย่างเต็มที่ พบแล้วก็กําจัด หรือควบคุมตามแต่กรณี เรื่องร้าย ๆ ในจิตใจของมนุษย์ก็จะลดลง
อาจารย์เห็นข้อจํากัด หรือว่าเห็นขอบเขตของวิทยาศาสตร์แบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่ามันมีข้อจํากัดอยู่ตรงไหน
-ต้องพูดว่ายังไม่มีขอบเขต ยังไปได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด จะทําของแปลกของใหม่ออกมาได้อีกไม่มีที่สิ้นสุด หลักก็คือ(หัวเราะ) อาศัยสิ่งที่เป็นเหตุปัจจัยถูกต้อง ก็ได้ผลออกมาอย่างถูกต้อง
ผมถามใหม่ หมายความว่าวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้มีจุดอ่อนอะไรบ้าง
-ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ คือไม่เอามาใช้ในทางที่จะดับทุกข์ เอาไปใช้ในฝ่ายที่ส่งเสริมความทุกข์ ส่งเสริมกิเลส เป็นอุปกรณ์ส่งเสริมกิเลส
มันมีข้อต่างกันไหมครับระหว่างวิทยาศาสตร์อย่างนั้นกับวิทยาศาสตร์แบบดับทุกข์ เพราะว่าวิทยาศาสตร์แบบดับทุกข์มันเป็นเรื่องปัจจัตตัง วิทยาศาสตร์แบบนั้นมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์แล้วมันใช้เป็นสาธารณะได้
-มันเป็นเรื่องจะหาประโยชน์ของคนที่จะใช้วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือ ถ้าเขาเอาความคิดอย่างนั้นมาทุ่มเทในเรื่องธรรมะ จะชักชวนกันมาแต่ในเรื่องอย่างนี้ มันก็จะสนใจในเรื่องดับทุกข์ได้มากขึ้น เดี๋ยวนี้บุคคลแต่ละคนมันถูกจูงถูกดึงไปโดยไม่รู้สึกตัว ให้ไปเมามายในเรื่องปัจจัยของกิเลส นั่นแหละคือผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ อยากมีอะไรให้แปลก ให้สวย ให้อร่อย ให้วิจิตรพิสดารยิ่ง ๆ ขึ้นไป มันเป็นผลของการประพฤติถูกต้องตามหลักของวิทยาศาสตร์ ในการให้เกิดของใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย แปลกออกมาเรื่อย แล้วมันก็น่าอัศจรรย์มากยิ่งขึ้นจนคนหลงใหล อย่างปรากฏว่าไอ้นาฬิการุ่นใหม่ที่มีวันที่ เขาคํานวณให้มันมีวันที่ตรงในตัวมันเอง ทั้งที่บางเดือนมี ๒๘ วัน บางเดือนมี ๓๑ วัน โดยเราไม่ต้องไปแตะต้อง (หัวเราะ) มันน่าอัศจรรย์ อย่างนี้เป็นต้น นี่เสียหัวคิดไปตั้งเท่าไหร่ ๆ ถ้ามันเอาหัวเหล่านี้มาใช้ในเรื่องเกี่ยวกับความดับทุกข์ทางจิตทางใจกันบ้าง รวมกันแล้วมันเสียหัวไปทางที่ส่งเสริมเหตุปัจจัยที่ส่งเสริมกิเลส
ในแง่นี้ สมมติว่ามีคนระดมสมองมาคิดวิธีที่จะแก้ความทุกข์ได้ แต่เราคิดออกไปแล้วมันไม่สามารถแจกไปใช้ทุกคนได้ ไม่เหมือนกับนาฬิกาที่มันขายเอาไปใช้ได้ทุกคน
-(หัวเราะ) ถูกแล้ว แต่ถ้าเราพิสูจน์ว่ามันดับทุกข์ได้ เขาก็หันมาสนใจเอง ทําขายเฉพาะคนเป็นโรคประสาทอย่างเดียวก็พอแล้ว เป็นเบื้องต้นง่าย ๆ กําจัดความรู้สึกที่เป็นเหตุให้เกิดโรคประสาท หรือกําจัดโรคประสาทที่กําลังเกิดอยู่ก็ดีถมไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้เราพูดเพื่อจะเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างศาสนาที่มีพระเจ้า กับศาสนาที่ไม่มีพระเจ้ามากกว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องมีพระเจ้า ศาสนาที่มีพระเจ้าไม่มีทางที่จะเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะว่าอะไร ๆ ก็แล้วแต่พระเจ้า ซึ่งมีอารมณ์อย่างบุคคลนี่ มันเสียหายมากตอนนี้ ถ้ามีความรู้สึกคิดนึกอย่างบุคคล ถ้าพระเจ้าเป็นอย่างนั้นจริง พระเจ้าก็ต้องสร้างโลกดีกว่านี้ ช่วยสร้างไม่ให้โลกมีปัญหา
ผมเคยอ่านเจอที่คุณสมัคร บุราวาศเขียนไว้ว่า อาจารย์เป็นนักธรรมชาติวิทยาและก็รู้จักต้นไม้ทุกต้นในสวนโมกข์นี่จริงหรือเปล่าครับ
-(หัวเราะ) เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่พยายามรู้จักให้มากเท่าที่จะรู้จักได้
อาจารย์ศึกษาธรรมชาติวิทยาโดยอาศัยหนังสือหรือศึกษาจากของจริงครับ
-ก็ทั้ง ๒ อย่าง ไปอ่านมาจากหนังสือเรื่องชีววิทยาเป็นรากฐาน พื้นฐาน ไอ้ต้นไม้เหล่านี้จะรู้จักกันในแง่ไหน ถ้ารู้จักมันในแง่หยูกยาผมก็สนใจมาพอสมควร สนใจกันในแง่พฤกษศาสตร์ ก็สนใจอยู่เหมือนกัน ศึกษาอยู่เสมอว่าไอ้ไม้ต้นไหนเนื้อของมันมีคุณลักษณะอย่างไร คุณสมบัติอย่างไร ก็สนใจอยู่มาก เป็นเรื่องเล่นเป็นเรื่องสนุก ผมก็สนใจมากกว่าคนที่ไม่เคยสนใจเท่านั้น จนมันค่อย ๆ รู้ว่าไอ้พวกนี้มันพวกไหน สกุลไหน มันมีทางสังเกตกันโดยศึกษาอย่างนี้ จนรู้เป็นพวก ๆ พวกต้นไม้ดีที่สุด แล้วก็รองลงมา มันก็ไม้สกุลเดียวกัน ไม้สายเดียวกัน คนละชนิดแต่ว่ามันก็สายเดียวกัน ผมเคยสํารวจดูว่าไม้เคี่ยมแข็งที่สุด แล้วไปไม้ตะเคียน แล้วก็ไปไม้ที่ระหว่างนั้น ไปไม้ยาง แล้วก็เลวกว่าไม้ยาง มันก็พบกันว่ามันเป็นสายเดียวกันแท้ ๆ แล้วก็ธรรมชาติมันมาตามกฎเกณฑ์ของมัน
ทางหยูกยานี่ก็สนใจเหมือนกัน ก่อนนี้ต้องใช้หยูกยา ก็รู้ว่าเมื่อต้นนี้มันกินแก้อะไรได้ ที่คล้ายกันมันก็ต้องได้ด้วย (หัวเราะ) ก็เลยใช้ยาอย่างตรัสรู้เอาเอง (หัวเราะ) นี่เรามีอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งรู้ว่า โอ้! มันก็เหมือนกัน มันก็แก้ได้ด้วยกัน แต่ว่าไอ้ต้นไม้บางชนิดมันมีส่วนที่ทําให้แสลง มีส่วนที่ทําให้เหม็นหื่น ให้อาเจียนอยู่ด้วย ต้นไม้ต้นนี้เลยใช้ไม่ได้ ถ้าใช้ได้ก็ต้องเอาไปสกัดออกเสียก่อน หรือมิฉะนั้นก็กินเข้าไปยอมอาเจียนยอมทนความยากลําบากและก็เอาผลคือโรคหายได้ก็ยังได้ เช่น เรื่องต้นเลี่ยนกับต้นควินินที่เคยเล่าแล้ว
-ไม่เคย แต่เคยให้คนอื่นลอง นึกถึงคําที่เขาพูดว่า หมอชีวกโกมารภัจจ์เดินไปที่ไหน ต้นไม้ทั้งหลายก็ร้องบอกว่าตัวแก้อะไร มีคุณสมบัติอะไรกันทั้งป่าเลย นี่คือความชํานาญ เคยเห็นไม้มาหลายอย่างแล้ว ไม้นี้มันตระกูลคล้ายกันอย่างนี้ ก็เลยบอกได้ว่ามันแก้อะไร เพียงแต่ฉีกใบมาดมดู ก็พอจะรู้ว่ามันอยู่ในพวกไหน แต่เราไม่ถึงอย่างนั้น รู้อะไรบ้างมากกว่าคนธรรมดา ที่ว่าธรรมชาติวิทยานั้นมันหลายแขนง หลายแง่ หลายมุม หลายด้าน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 372-374
ตอนที่ 136 , ภาพหน้าที่ 375-376
เรื่องนกเรื่องอะไรนี่อาจารย์ศึกษาหรือเปล่าครับ
-มันก็เล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ อ่านหนังสือเรื่องนก อ่านหนังสือเรื่องปลา อ่านหนังสือเรื่องสัตว์ อ่านหนังสือเรื่องแร่ธาตุ เคยสะสมไอ้แร่ธาตุไว้ ศึกษาตัวอย่างเป็นกระบะ ๆ เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว
อาจารย์ครับ แร่ธาตุนี่เล่นสนุกด้วยหรือครับ มันไม่สวยไม่อะไร
-มันไม่สนุกเท่าไรดอก แต่ว่ามันก็มีแง่ที่น่าสนใจ เป็นแร่ธาตุยุคแรก แร่ธาตุยุคหลัง แร่ธาตุยุคหลังมาอีก นายสมัคร บุราวาศเขามาหาแถวเขานํ้าร้อนในไชยานี้ก็พบหินรุ่นแรก เรียกอิ๊กเนียส ที่ว่าพอโลกเย็นลงก็มีอิ๊กเนียส (หัวเราะ) อิ๊กเนียสนี่ค่อยถูกทําให้ละลายไปแล้วจับกลุ่มกันใหม่ สลายไปแล้วจับกลุ่มกันใหม่ เกิดเป็นแร่ธาตุนั้น แร่ธาตุนี้ แร่ธาตุโน้นขึ้นมา เป็นแม่ของแร่ธาตุ ของคําว่าธาตุที่ประกอบกันเป็นโลก ที่ภูเขานํ้าร้อนนี่บางชิ้นมี เขาเอาให้ผมดูตามที่เขาเรียนมา จะจริงเท็จยังไงสุดแท้ เขาว่าภูเขานํ้าร้อนลูกนี้มันก็คงจะเนื่องกันมาตั้งแต่แรกสร้างโลก เคยเป็นภูเขาไฟตรงนี้และก็ละลายไปหมดแล้ว ก็ไม่รู้กี่ล้าน ๆ ปี นายสมัครเขามาค้างที่นี่ ๒-๓ คืน มาหนหนึ่งก็พาไปเที่ยวดูตามที่เห็นว่าควรจะให้แกดู พาไปเดินรอบเขานํ้าร้อนและเขานางเอ แกจะอ่อนกว่าผมไม่กี่ปี พอ ๆ กัน ตั้งแต่แกอยู่เมืองนอกแกอ่านหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา แล้วพ่อแกก็เป็นคนศึกษาพุทธศาสนา เป็นอุบาสกวัดไหน เป็นพระยาอะไร ผมก็ลืมแล้ว คล้าย ๆ กระทรวงเกษตร พระยาอะไร พระยาโภชากรหรืออะไรทํานองนั้น แต่แล้วก็ดูซิ คุณสมัครไม่ได้สนใจเรื่องดับทุกข์ (หัวเราะ) สนใจแต่จะไปพูดเรื่องที่มันมีเหตุผลเกี่ยวโยงกัน ไม่สนใจเรื่องนิพพานหรืออิทัปปัจจยตาให้เต็มที่ ตอนหลังดูเหมือนจะหันไปหาทางดูฤกษ์ดูยามอะไรด้วย
มนุษย์เวลามันหวั่นไหวกับโลกธรรมนี่มันอดมาหาทางไสยศาสตร์ไม่ได้
-ผมว่าเรื่องไสยศาสตร์นี่มันสําคัญ
๙๙ เปอร์เซ็นต์ ของโลกมนุษย์ คงต้องอยู่กับพวกนี้
- เวลาผิดหวังก็ต้องนึกถึงสิ่งที่เข้าใจไม่ได้
-ถ้าคนที่ศึกษาธรรมะให้มาก ให้มากเท่า ๆ กับศึกษาวิทยาศาสตร์นี่คงจะดีมาก แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น
โหราศาสตร์มันก็มีส่วนหนึ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ด้วยเหมือนกันใช่ไหมครับ
เขาเก็บสถิติกันนานพอรู้ว่าถ้าดวงดาวดวงนี้มันมา มันจะมีผลอย่างนั้น ๆ
-มันก็ได้ ถ้ามันมีเหตุผลอย่างนั้น มันก็เป็นวิทยาศาสตร์ได้ เดี๋ยวนี้โหราศาสตร์ไม่ได้รู้อย่างนั้นเลย และก็สมมติว่าวันนั้นเป็นเทวดาองค์นั้น วันนี้เป็นเทวดาองค์นี้ ดาวนั้นเป็นเทวดาองค์นั้น ดาวพุธ ดาวพระเกตุ ดาวราหู ดาวอะไร ฯลฯ ว่ากันไปตามแบบนั้น (หัวเราะ) ดาราศาสตร์น่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ไม่ใช่
โหราศาสตร์เอาดาราศาสตร์มาโยงกับชีวิตมนุษย์อีกทีหนึ่ง
-สู้แรงกรรมได้หรือ แรงของดวงดาวจะสู้แรงกรรมคือการกระทําได้หรือ
คิดอย่างนี้ ก็คิดอย่างพุทธมาก ๆ คนต้องไม่กลัวกับโลกธรรมเท่าไหร่ก็ทําได้ ด้นไปเรื่อย ๆ
-การกระทําที่ถูกต้อง (หัวเราะ) สําคัญเหนือสิ่งใดอื่น แต่เขาก็แย้ง แม้แต่ทําให้ถูกต้องมันก็ยังไม่ได้ผล (หัวเราะ) ก็เลยหันไปหาไสยศาสตร์ เขาทําดีที่สุด ถูกต้องที่สุด ตามหลักวิชามันก็ยังขาดทุน ที่จริงมันไม่ดูให้ดี มันมีอะไรแฝงอยู่ในนั้นที่ไม่ถูกต้อง แฝงอยู่ในนั้นแล้วก็มองไม่เห็น ก็เข้าใจว่าเราทําถูกต้องหมดทุกอย่างแล้ว มันก็ยังไม่สําเร็จหรือยังขาดทุนอยู่ และพวกนี้ก็ไม่ได้ค้นคว้าศึกษาในส่วนที่มันยังไม่ถูกต้อง ไม่ได้ค้นคว้าศึกษาเท่าไร ตอนหลังคุณสมัครเขียนหนังสือทางปรัชญาออกมาจนอ่านไม่หวาดไหว มากมายก่ายกอง ผมก็เลยอ่านไม่ไหว
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 375-376
ตอนที่ 137 , ภาพหน้าที่ 376-377
ผมเห็นอาจารย์เขียนถึงเรื่องจิตวิทยาบ่อย ๆ อยากทราบว่าอาจารย์อ่านหนังสือของใคร
-อ้าว ก็อ่านหนังสือทั่ว ๆ ไป (หัวเราะ) เมื่อสวามีสัตยานันทบุรีเขาออกหนังสือ Social Science พักหนึ่ง ออกมาได้หลาย ๆ เล่ม เขาก็ลงแต่เรื่องอย่างนี้ เขาแปลมา แล้วก็เขียนขึ้นด้วย สวามีก็เคยเขียนเรื่องวิทยาศาสตร์ สะดวก อ่านง่ายไม่ต้องอ่านยุ่งยากอะไร อ่านง่าย ๆ สรุปใจความได้ง่าย ๆ แล้วเราก็สนใจที่เขาพูดถึงฟรอยด์ว่าเป็นผู้พูดว่าอะไร ๆ ก็ล้วนมีมูลรากมาจากความรู้สึกทางเพศทั้งนั้น มันก็จริง มันก็จริงที่สุดล่ะ แต่มันก็มีขอบเขตอยู่เพียงกามาวจรภูมิ ส่วนพวกที่มีจิตเป็นรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ มันก็ไม่ค่อยเป็นอย่างนั้นด้วย และฟรอยด์ไม่รู้เรื่องนี้ รู้แต่เรื่องกาม กามคือเรื่องมนุษย์ธรรมดา ก็เลยเขียนออกไปอย่างนั้น ผมจึงถือว่าฟรอยด์ไม่รู้เรื่องรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ คําพูดนั้นจึงถูกครึ่งเดียว
แสดงว่าอาจารย์ไม่ได้ศึกษาจิตวิทยาตะวันตกอย่างเป็นลํ่าเป็นสันเท่าไหร่
-ไม่ คือเอามาใช้ประกอบในการศึกษาพุทธศาสนา อ่านก็ไม่ค่อยจะออก หนังสือแนวนี้ไม่มีมาก เพียงได้ยินเค้าเงื่อนใหญ่ ๆ หลักใหญ่ ๆ ก็มาสนใจแยกแยะเอาเอง เช่นได้ยินว่ามีผู้ว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับความรู้สึกทางเพศ มันก็จริงที่สุด พอมีความต้องการก็เกิดความโลภ พอไม่สมประสงค์ก็เกิดโทสะ เกิดโมหะ เกิดอะไร ความรู้สึกทางเพศเป็นเหตุบันดาลให้เกิดอะไรขึ้นทุกอย่าง แต่จริงเฉพาะในหมู่ผู้ที่ยังมีจิตใจอยู่ในระดับกาม (หัวเราะ) ภายใต้ความรู้สึกของกาม มันก็เว้นพวกรูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ เว้นพระอรหันต์ นี่ฟรอยด์ไม่รู้เรื่องพระอรหันต์ แต่มันก็เป็นคําพูดชนิดที่เรียกว่า เอาข้างเข้าถู เช่นว่าทําไมจึงออกบวช ก็เพราะความรู้สึกเบื่อกาม (หัวเราะ) นี่ก็เรียกว่าอาศัยกามอยู่ดี (หัวเราะ) แต่เป็นในแง่ตรงข้ามว่ากามมันบีบคั้นให้ออกบวช พูดได้ว่าทุกเรื่องในปุถุชนคนธรรมดามีมูลเหตุมาจากสิ่งที่เรียกว่าเซ็กส์ ทําสงครามกันก็เพราะต้องการปัจจัยแห่งเซ็กส์
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 376-377
ตอนที่ 138 , ภาพหน้าที่ 377-379
ผมเห็นอาจารย์เขียนคํานําเกี่ยวกับอรรถรสแห่งโอมาร์คัยยัม เป็นต้นฉบับที่ไม่ได้พิมพ์ ก็ดูเหมือนอาจารย์จะชอบปราชญ์คนนี้มาก นี่ก็เป็นตะวันตกอีกด้านหนึ่งที่อาจารย์ได้เล่นอยู่ ผมเลยอยากทราบว่าทําไมอาจารย์ถึงชอบครับ
-เขาเป็นคนแรกที่ล้อพวกที่ถือพระเจ้า หรือหลงงมงายในพระเจ้า แล้วมันก็มีอะไรที่กลับกันอยู่มาก คือคนทั่วไปนะหาว่าโอมาร์คัยยัม บูชากาม อะไรก็อ้างโอมาร์คัยยัม ในลักษณะที่บูชากาม ถึงมีเขียนแต่เรื่องกาม ความจริงเป็นคําล้อ เป็นเรื่องล้อ เขาล้อพวกบูชากาม แล้วก็พวกที่บูชาพระเจ้านั่งอ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วย เขาจึงว่าไปกินเหล้าเสียดีกว่าไปอยู่กับผู้หญิงเสียดีกว่า แต่งให้ผู้หญิงมันชวนไปทําอะไร ๆ กันเสียดีกว่ามานั่งไหว้พระเจ้าอยู่ ตอนท้ายใช้ว่า กามมันดีกว่าพระเจ้า เป็นคนล้อกาม หรือล้อพระเจ้าอย่างแยบคาย จนคนไม่รู้เท่า ไม่มีใครคิดออก เพิ่งเร็ว ๆ นี้ มีคนแปลโอมาร์คัยยัมออกมาอีกครั้งหนึ่ง คน ๆ นี้เข้าใจโอมาร์คัยยัมถูก เพราะว่าไม่ได้ชักชวนให้ไปบริโภคกาม มันทําได้ละเอียด แนบเนียน แยบคาย ไพเราะ เราเริ่มรู้สึกมาตั้งแต่แรกอ่าน ว่านี่มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่ชวนให้บูชากาม เป็นเรื่องที่ไปบริโภคกามเสียดีกว่ามานั่งไหว้พระเจ้าอยู่ ความจริงเขาพูดเพื่อด่าคนที่หลงพระเจ้า ทีนี้คนก็หาว่าบูชากาม แรกที่สุดก็อ่านโอมาร์คัยยัมของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ตอนนั้นก็ไม่มีใครแปลอีก ตอนหลังก็มาอ่านภาษาอังกฤษ รู้ว่าเขาแปลมีส่วนถูกอยู่มาก โดยใจความ แต่ดูคนทั่วไปจะไม่เข้าใจเรื่องว่ามุ่งหมายจะล้อคนที่นั่งไหว้พระเจ้า แต่ว่าดูเหมือนกรมพระนราฯ คงจะเข้าใจถูก ท่านเขียนต่อท้าย ๆ ที่ฟุตโน้ตนั่นไม่รู้ของเดิมมาจากไหน เช่นที่ว่า "ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว" ที่คนชอบพูดกันมากนั้น เข้าใจว่าจะเป็นคําของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ แล้วมีอยู่คําหนึ่งที่ว่า "พระเจ้าสร้างเรา ใครเล่าสร้างพระ" นี่แสดงว่าท่านก็ไม่เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน อยู่ในพวกที่ไม่เชื่อพระเจ้า เป็นอย่างเดียวกับโอมาร์คัยยัมที่คัดค้านพระเจ้า ดูเหมือนใครพูดว่าโอมาร์คัยยัมนี้ ฉบับภาษาอังกฤษ มีตั้ง ๓๐ สํานวน แปลต่าง ๆ กัน แปลตามความเห็นของตัว ไม่ค่อยเหมือนกัน แต่ในที่สุดสรุปความได้ว่าทุกคนเชื่อไปอย่างนั้นหมด เชื่อว่าโอมาร์คัยยัมเป็นคนบ้ากามหมด
(หัวเราะ) พวกที่อ่านหนังสือโอมาร์คัยยัมก็เลย (หัวเราะ) ได้ความรู้ผิด ๆ จากของเดิม พระดุลยนาถนัยพิจิตรให้ผมเล่มหนึ่ง ปกหนังแกะ (หัวเราะ)
งานในทํานองวรรณกรรมคลาสสิคของตะวันตกนอกจากคนนี้แล้ว อาจารย์อ่านของใครอีกบ้างหรือเปล่า
-ควรจะเรียกว่า ไม่ เพราะไม่อ่านจริง ๆ จัง ๆ แต่ว่าอ่านบ้าง ผ่านมาแล้วเป็นอ่าน สําหรับโอมาร์คัยยัมนี้อ่านมากหน่อย ผมไปได้มาจากนครศรีธรรมราช คุณนายสุด แกมี แกอ่านไม่รู้เรื่อง แกให้ผม แล้วนายธรรมทาสเขาชอบมาก หนังสือเล่มนั้นก็เลยตกอยู่ที่นายธรรมทาส ความคิดลึก มองเห็นพระเจ้าอะไรเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ก็ล้อพวกที่มันนั่งไหว้พระเจ้า มานั่งหมอบนั่งกราบอยู่หน้าแท่นบูชา ไปหาผู้หญิงไปกินเหล้าไปอะไรกันดีกว่า แกเขียนคมคายมาก เพราะว่าเล่นสํานวนชวนกันไปอยู่กับผู้หญิงดีกว่า ไปกินเหล้าดีกว่า เป็นเหตุให้ผู้อ่านเข้าใจว่า เอ๊ะ ไอ้นี่มันชอบอย่างนั้น ความลึกลับของมันอยู่ตรงนี้ อย่างนี้ ผมเข้าใจว่าฝรั่งไม่กี่คนหรอกที่จะรู้ถูกต้องอย่างนี้ เขาใช้โอมาร์คัยยัมเป็นตัวอย่างบุคคลบ้ากามทั้งนั้น จัดเป็น materialism อย่างยิ่ง อย่างหนัก จัดเป็นพวกที่ว่าไปดื่มกันดีกว่า พรุ่งนี้อาจจะตายแล้ว พรุ่งนี้เราอาจจะตายเสียก็ได้ ไปบริโภคกามเสียดีกว่า เอาเป็นตํารับ เจ้าตํารับ โอมาร์คัยยัม แต่มันมีคําเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอสังเกตได้ว่า แกไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก ล้อ ๆ อย่างยิ่ง ด่า ๆ อย่างยิ่ง ด่าพระ ด่าพวกเจ้าหน้าที่บูชาพระโดยเฉพาะ คือเอาพระเจ้ามาล้อ ใน catalog หนังสือชั้นปรัชญานี้ถ้าตรวจดูจะมีชื่อหนังสือโอมาร์คัยยัมหลายเล่มแล้วก็ในลักษณะที่ต่างคนต่างแปล ไม่ใช่แปลคนเดียวกัน ของบริษัทนั้น ของบริษัทนี้ ผมเคยสังเกตเห็นหนังสือโอมาร์คัยยัมแพร่หลายมาก ฉบับเต็มมันก็มี ๒๐๐ กว่าบท ฉบับย่อก็มี ๑๐๐ กว่าบท
แล้ววรรณกรรมฝรั่งเล่มอื่นที่ประทับใจอาจารย์มีอีกไหม ที่อ่านผ่านไปแล้วรู้สึกอยู่ในใจอยู่ว่า เออ เขาเขียนได้ลึกซึ้ง
-ยังนึกไม่ออก เพราะแม้แต่เรื่องอย่างนี้ก็ไม่ได้ประทับใจอะไรจนเกินไป
เช็คสเปียร์ อาจารย์อ่านหรือเปล่าครับ
-อ่านภาษาไทย เคยคัดคําบางคํามา (หัวเราะ) ใช้เป็นคําสุภาษิต คําตัดพ้อ คําอะไรต่าง ๆ คมคายมาก แล้วผมก็อ่านเพียง ๓ เรื่องเท่านั้น เรื่องตามใจท่าน เรื่องเวนิสวาณิช และโรมิโอจูเลียต อีกเรื่องเป็น ๓ เรื่อง โรมิโอจูเลียตดูเหมือนไม่ได้อะไรเลย ๆ เรื่องเวนิสวาณิช ยังมีสุภาษิต "เขาช่างสอนจริงหนอไอ้ขอทาน แล้วสอนให้คัดค้านคนช่างสอน" (หัวเราะ) ทีแรกสอนไม่ให้ขอ ทีหลังก็กลับขอ คําแปลของรัชกาลที่ ๖
แล้วอย่างวรรณกรรมของฝ่ายซ้าย อาจารย์ได้อ่านบ้างหรือเปล่า พวกนิยายของฝ่ายซ้ายอ่านไหมครับ
-ไม่รู้ว่าอะไรซ้าย อย่างไร เช่นอะไรล่ะ
เช่นงานเขียนของศรีบูรพา ของแม็กซิม กอกี้ อะไรพวกนี้มาถึงอาจารย์ไหมครับ
-เคยผ่าน ๆ ไม่ได้อ่าน แม็กซิม กอกี้นั่นเคยอ่านบ้าง
แล้วนิยายไทย อาจารย์อ่านบ้างหรือเปล่า
-ถ้าเป็นนิยายไทยก็อ่านเกือบทุกเรื่องเท่าที่ผ่านมา ก็อ่านทุกเรื่อง
ดอกไม้สดนี่อาจารย์อ่านหรือเปล่า
อ๋อ นิยายอย่างนี้หรือ อ่าน ๆ บ้าง อ่านบ้าง ก่อนนี้เคยอ่านในหนังสือพิมพ์รายวัน ตามประสาคนหนุ่ม ๆ ก็อ่านหนังสืออย่างนี้
สมัยบวชแล้วก็ยังอ่านไหมครับ
-บวชแล้วก็ไม่ค่อยมี ไม่ค่อยมีโอกาสพบ เรื่องของสันต์ เทวรักษ์ที่เขียนสํานวนหยดย้อยก็เคยอ่าน แต่ว่าถ้าเราจะเอามาใช้บ้างก็จะดูน่าขยะแขยง
เกี่ยวกับทางด้านวิชาการในด้านตะวันตก อาจารย์มีใครเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นเพื่อนปรึกษา หรือเป็นเพื่อนศึกษาด้านนี้ไหม
-ไม่มี อยู่ที่นี่ไม่มี ปรึกษากันทางจดหมายก็ไม่มี มีนิด ๆ หน่อย ๆ ก็คุณผ่อง มิลินทางกูร คุณผ่องสมัยนี้แกก็เปลี่ยนเป็นนักสมาธิ ทําสมาธิอย่างยิ่ง เป็นคนคราวเดียวกัน เจอกันอยู่ที่วัดปทุมคงคา เมื่ออยู่วัดปทุมคงคาได้คุยกับเขาบ้างเรื่องชนิดนี้ คนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแต่เดี๋ยวนี้มาไม่ไหวแล้ว คงงอมเต็มทีเหมือนกัน เป็นนักศึกษาปรัชญา ตามความคิดของตนเอง (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 378-379
ตอนที่ 139 , ภาพหน้าที่ 380-382
ต่อไปนี้จะเป็นตอนเกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์รู้จักสังคมไทยอย่างไรนะครับ ผมจะถามเป็นข้อ ๆ ข้อแรกจะเห็นได้ว่าตลอดเวลา ๕๐ ปีที่อาจารย์สอนธรรมะมานี้ อาจารย์มีการพูดอ้างอิงเหตุการณ์ทางสังคมขณะนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้น เห็นว่าอาจารย์พยายามหาทางออกให้กับสังคมโดยอาศัยหลักธรรมะ บางอย่างนี่ผมก็เห็นด้วยกับอาจารย์ บางอย่างผมก็ไม่เห็นด้วย บางเรื่องผมว่าอาจารย์ตีประเด็นไม่ค่อยแตก อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะขอความกรุณาอาจารย์ได้เล่าถึงวิธีที่อาจารย์ศึกษาปัญหาสังคมหรือว่าจะทําความเข้าใจสังคมที่เป็นอยู่ อาจารย์มีวิธีการอย่างไร
-ไม่มีเทคนิคอะไร โครงการไม่มี มันมีแต่เพียงว่าจะช่วยให้ประชาชนให้รู้ธรรมะได้อย่างไรเท่านั้น แล้วก็ดูว่ากับพวกไหนควรจะพูดอย่างไร มันมีเท่านั้น ดูจากพวกไหน ชนิดไหน ควรจะพูดอย่างไร ไม่มีการ (หัวเราะ) วางแผนการหรือวางอะไร ผมเป็นตามแบบนักเทศน์ทั่ว ๆ ไปตามความคิดนึกชั่วขณะเสียมากกว่า
แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์จะติดตามเหตุการณ์อยู่ประจํา
-ถ้ามีโอกาสก็ฟังจากวิทยุ รายการประจําก็คือข่าว (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้ก็มีข่าวโดยตรงของสถานีประเทศไทย ข่าวโดยอ้อมของสมหญิง เป็นต้น ผมยังนึกไม่ออกว่า มันหมายความว่าอย่างไรที่ว่าศึกษาสังคม
เราต้องทําความเข้าใจใช่ไหมครับ เราถึงจะประยุกต์ธรรมะให้เข้ามาเหมาะกับการแก้ปัญหาสังคมได้
-(หัวเราะหึ ๆ) ไม่ได้ละเอียด ไม่ได้เจาะจงถึงขนาดนั้น พูดธรรมะไปตามสบาย โดยคิดว่าเรื่องนี้คงจะมีประโยชน์ คงจะน่าฟัง ส่วนใหญ่ก็เหมือนที่พูดจะให้ศีลธรรมของสังคมกลับมา มองสังคมว่าขาดศีลธรรม จะให้ศีลธรรมกลับมา ก็พูดชักชวนชี้แจงอยู่เรื่อย ๆ
ความรู้เกี่ยวกับสังคมมันเละอย่างไร อาจารย์เอามาจากไหน
-ตามความรู้สึกที่เห็นได้ตามธรรมดาจากหนังสือพิมพ์ จากวิทยุ จากข่าวคราวต่าง ๆ เห็นได้ว่ามันเลวลง ๆ คนมีจิตใจเห็นแก่ตัวมากขึ้น ๆ
วิทยุนอกจาก ๒ รายการนี้แล้ว อาจารย์ฟังอย่างอื่นอะไรอีกบ้าง
-ไม่ได้ฟังนะ เพราะไม่ค่อยมีเวลาจะฟัง และไม่มีเรื่องที่ว่าจะต้องฟัง บางยุคบางสมัย ไม่ใช่เรียกว่าฟังประจํา เคยฟังวิทยุปักกิ่ง วิทยุบีบีซี วิทยุญี่ปุ่น ฟังสนุก ๆ มันไม่ได้เรื่องที่ถูกใจ
อาจารย์ครับ แล้วอย่างหนังสือพิมพ์ที่อาจารย์อ่าน ยุคหลัง น.ม.ส.มาแล้ว อาจารย์มีแฟนนักเขียนประจําบ้างไหมที่เป็นนักวิจารณ์สังคมที่อาจารย์ชอบ
-(หัวเราะ) งาน น.ม.ส. เราก็ไม่ได้มองไปในเรื่องวิจารณ์สังคม เป็นเรื่องวรรณคดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษาวัฒนธรรม ไม่ได้ฟังเพื่อจะฟังความคิดของผู้อื่น ฟังเป็นข่าว แล้วเอามาสรุปเองว่า อะไรจะเป็นอย่างไร ไอ้ความคิดของผู้อื่นเราไม่ค่อยชอบ มันเพียงแต่เหมาเอาว่าสังคมเป็นอย่างไร คือพูดโน้มน้าวให้สนใจศีลธรรม ศีลธรรมกลับมา ก็ยังพูดอยู่ แม้ครั้งหลังสุดนี้ยังพูดอยู่ ศีลธรรมกลับมา ต้องใช้คําว่ากลับมา เพราะมันเคยมี แล้วมันหายไป ก็ต้องใช้คําว่ากลับมา
จากการคุยกับคน อาจารย์ได้เข้าใจสังคม โดยอาศัยวิธีนี้บ้างไหม มีคนเอาข่าวคราวข้อมูลมาให้อาจารย์เป็นพิเศษหรือเปล่า
-ไม่ค่อยมี สนทนาเรื่องธรรมะ เรื่องธุระ ไม่ได้สนทนากันอย่างการเมืองการบ้าน
มีบางยุคอย่างเช่นยุคนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อาจารย์ก็คุยกันเยอะใช่ไหมครับ
-ก็บางครั้งบางคราว เขามาที่นี่ก็คุยกันรู้จักกันในฐานะเด็กวัด เด็กวัดราชาธิวาส อยู่วัดเรียนหนังสือแล้วเขาเป็นคนเรียนอักษรศาสตร์ ก็ช่วยเขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาบ้าง เป็นเหตุให้ติดต่อ แล้วเขาเคยช่วยแปลเรื่องฝรั่งลงหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาบ้าง ตอนนั้นไม่มีวี่แววการเมือง ต่อมาอีกนานแล้วจึงหันไปหาคอมมิวนิสต์เข้า แล้วก็มาอธิบายเรื่องคอมมิวนิสต์ให้ฟัง ว่าดีอย่างงั้น ๆ ผมก็เรียกว่าฟังไม่ถูก เขาหาหนังสือมาให้อ่านบ้าง หนังสือไทย ๆ แต่ก็ไม่มีความรู้สึกถึงขนาดที่เรียกว่าจะเข้าใจ หรือชอบ ผมไม่ได้ศึกษาสังเกตสังคมวิทยาอย่างจริงจังอะไร
อาจารย์ครับ แล้วคราว ๒๔๗๕ นี่ข่าวคราวมาถึงพุมเรียงอย่างไร
-อ้าว มันก็มีหนังสือพิมพ์ยังไงล่ะ น่าหัว (หัวเราะ) เพื่อนยังเหลืออยู่คนหนึ่ง ที่เขาจะมาอยู่สวนโมกข์ด้วยกัน เป็นพระ ผมมานี่แล้ว พอเขาเกิดปฏิวัติ แกก็เขียนเล่ามาอย่างไม่รู้ว่าเขาทําอะไรกัน (หัวเราะ) ไม่รู้ว่าทําอะไรกัน ต่อมาก็รู้ตามข่าวหนังสือพิมพ์ ตามข่าวแถลงการณ์ของรัฐบาล
แล้วประชาชนในพุมเรียงมีปฏิกิริยาอย่างไร
-ไม่มี เรียกว่าไม่มีก็ได้ นายธรรมทาสเขาเกณฑ์ให้ผมพูด เทศน์ครั้งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องเปลี่ยนแปลงการปกครอง เทศน์เป็นลักษณะว่าประชาธิปไตยน่ะเข้ารูปเข้ารอยกันกับหลักพระพุทธศาสนา (หัวเราะ) ผมก็ว่าไปตามนั้นแหละ ว่าประชาธิปไตยเหมือนกับการปกครองสงฆ์ ในพุทธศาสนาพระสงฆ์เป็นใหญ่ ประชุม
สงฆ์ ลงมติแล้ว ก็ถือเป็นเด็ดขาด แล้วก็ทุกคนมีเสรีภาพ มีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน สรุปความว่าพูดให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยนั้นยิ่งตรงกับหลักพุทธศาสนา ชาวบ้านพวกนั้นเขาจะฟังถูกที่ไหน ชาวบ้านแบบนี้ฟังถูกไม่กี่คน แม้แต่พุทธศาสนา เขายังไม่ค่อยรู้ แล้วประชาธิปไตยก็ยิ่งแปลก เป็นของแปลก
อย่างนี้แสดงว่า สมัยนั้นอาจารย์กับคุณธรรมทาสก็เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลง ๒๔๗๕
-(หัวเราะ) ไม่มีความคิดว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จําเป็นจะต้องยอมรับสภาพการณ์ว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อจะให้ประชาชนชาวบ้านไม่ตกใจ แตกตื่น ก็พูดทํานองนั้น เราก็ไม่ตื่นเต้น มันมีบ้าง ตื่นเต้นในทางที่มันแปลกออกไป ไม่ตื่นเต้นถึงขนาดใหญ่โต เราก็เคยได้ยินได้ฟังกันอยู่ก่อนหน้านู้นแล้วว่า เมืองนอกเขามีระบอบประชาธิปไตย เดี๋ยวนี้ก็เข้ามาถึงเมืองเรา ไม่รู้สึกไปในทางไม่ดี รู้สึกมันจะเป็นไปในทางดี แต่ก็ไม่ได้มองบุคคล เหมาว่าประชาธิปไตยนี้คงจะดี
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 380-382
ตอนที่ 140 , ภาพหน้าที่ 382-384
อาจารย์ครับ แล้วอย่างสภาพทางสังคมหลังจาก ๒๔๗๕ มานี้ ในความคิดของอาจารย์หลังจากนั้นแล้ว รู้สึกอย่างใดบ้างกับสภาพสังคม
-ไม่ได้เจตนาหรือตั้งใจจะมาศึกษา แต่ก็รู้สึกว่ามันเคลื่อนไหวไปในทางประชาธิปไตย กําลังเหไปในทางประชาธิปไตย จนกระทั่งเกิดประชาธิปไตยพระกันขึ้นมา แล้วก็เกิดที่วัดปทุมคงคาเสียด้วย (หัวเราะ) เตรียมจะยึดอํานาจเจ้าอาวาส (หัวเราะ) ทําให้เปลี่ยนระบบการปกครองใหม่ให้มันเสมอกัน ให้เจ้าอาวาสอยู่ใต้อํานาจของคณะกรรมการอย่างนี้เป็นต้น แต่ผมไม่ได้ยุ่งด้วย ไม่ได้เห็นด้วย แล้วผมก็มาเสียแล้ว ไม่ได้อยู่ที่นั่น ที่วัดปทุมคงคาที่ผมเคยอยู่ มหาน้อยเป็นตัวตั้งตัวตีเห่อประชาธิปไตยจะเอามาใช้กับวงการคณะสงฆ์ แล้วต่อมามันก็ได้เป็นไปในทํานองนั้น มีพรบ.คณะสงฆ์ ออกเป็นกฎหมายใหม่มีเป็นแบบเดียวกันกับประชาธิปไตย มีสังฆสภา มีคณะสังฆมนตรี สังฆนายก แบบเดียวกันนั้นเลย
ระหว่างที่เขาเคลื่อนไหวจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคณะสงฆ์นี้ อาจารย์รู้เรื่องหรือเปล่า
-รู้ พระรูปที่ว่านั่นแหละเขียนมาเล่าให้ฟังเรื่อย มันเกิดที่วัดปทุมคงคาก่อน คณะปฏิสังขรณ์ มหาผิน มหาน้อยเป็นตัวตั้งตัวตี
อย่างปัญญาชนนอกวัด มีปฏิกิริยาอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลง ๒๔๗๕ อย่างพวก น.ม.ส. หรือใครต่อใครที่อาจารย์เป็นแฟนที่อ่านงานเขาอยู่ประจํา พวกนี้แสดงออกอย่างไร
-พวกที่เป็นปัญญาชนที่เด่น ๆ ในสมัยนั้น พวกครูเทพ น.ม.ส. เขาคงเห็นว่าต้องไปตามนั้น ต้องร่วมมือด้วยกัน ถือหลักอํานาจเป็นใหญ่ในโลก ใครกุมอํานาจไว้ได้ต้องเชื่อฟังคนนั้น คือว่าอย่าไปปะทะขัดขวางคนนั้น น.ม.ส.ก็ดูร่วมมือดี ครูเทพก็ร่วมมือดี น.ม.ส.เป็นผู้เอาเรื่องประชาธิปไตยในประเทศอังกฤษมาเล่า ตั้งแต่ก่อนมีสวนโมกข์ ผมอยู่วัดปทุมคงคา น.ม.ส.แสดงปาฐกถาให้ชื่อว่าเรื่อง ปาร์เลียเม้นต์ในประเทศอังกฤษ ก็เล่าเรื่องประชาธิปไตยที่นั่น จึงเกิดเป็นชนวน (หัวเราะ) ให้คนสนใจประชาธิปไตย ที่จําได้เล่าในปาฐกถานั้นว่าลูกหมูของนายโจอยู่เฉย ๆ ก็มีคนมาซื้อตั้ง ๑๐ ปอนด์อย่างนี้ ที่จริงยังไม่ถึงปอนด์ มีคนมาซื้อตั้ง ๑๐ ปอนด์ คนจะมาซื้อเพื่อเป็นการหาเสียง โดยที่เจ้าของก็ยังไม่รู้ว่าทําไมมันจึงต้องแพงอย่างนี้ (หัวเราะ) กะหลํ่าปลีมีคนมาซื้อหัวหนึ่งตั้งหลาย ๆ ปอนด์ ตัวอย่างที่ยกมาเล่าให้ฟัง ผมก็ไปฟังปาฐกถาคราวนั้น แต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แต่ว่ามันต่างกันมากกับในประเทศไทย
พูดที่สามัคคยาจารย์สมาคมหรือครับ
-สมัยนั้นคงจะแสดงปาฐกถา เป็นชิ้นเป็นอันหน่อยก็ต้องที่สามัคคยาจารย์สมาคม โรงเรียนสวนกุหลาบ เป็นที่แสดงปาฐกถาครั้งสําคัญ ๆ ของคนสําคัญ ๆ ของแขกสําคัญ ๆ คราวนั้นเราก็ฟัง พระอื่นก็ไปฟัง แต่ไม่เข้าใจ ฟังครั้งแรก ฟังไม่เข้าใจ
สภาพสังคมในพุมเรียงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหมครับ
-ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่เนื่องกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประชาชนก็จะฟัง (หัวเราะ) เจ้านายเจ้าหน้าที่ไปตามเดิม อะไร ๆ ก็คอยฟังเจ้านาย เจ้าหน้าที่ตามเดิม ข้าราชการแบบราชาธิปไตยอยู่ในบ้านนอก มันต้องแบบบ้านนอก บ้านนอกก็ต้องเบ่งได้แบบบ้านนนอก ประชาชนจะต้องเคารพเชื่อฟัง คนที่เคยเคารพนับถือเชื่อฟังมาแต่กาลก่อน ก็ยังคงเรียกพ่อนายแม่นายกันไปตามที่เคยเรียก
สภาพทางด้านศีลธรรมของสังคมนับจาก ๒๔๗๕ มาถึงปัจจุบันนี้ อาจารย์เห็นเป็นแนวโน้มอย่างไรบ้างหรือไม่
-ศีลธรรมคงไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเกี่ยวกับการเจริญของโลก ความก้าวหน้าทางวิทยาการ มนุษย์ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มนุษย์ก็เห่อเรื่องทางวัตถุมากขึ้น สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ถึงแม้ในสมัยราชาธิปไตยก็เห่อฝรั่ง คนที่ทําอะไรเห่อสมัยใหม่นัก บางทีก็จะเห็นพุทธศาสนาเป็นเรื่องล้าหลัง แต่นี่เป็นธรรมดา การที่ไปตามฝรั่งมากนักก็เห็นพุทธศาสนาแบบเก่าล้าหลัง พระเลิกฉันข้าวด้วยมือ (หัวเราะ) ฉันข้าวด้วยช้อนส้อม ความรู้สึกส่วนตัวผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสําคัญอะไร แค่นั้นแหละ ก็คืออย่างนั้น มนุษย์อย่างนั้น แต่เรายังมีหน้าที่ต้องสอนเรื่องดับกิเลส ดับทุกข์ อยู่ไปตามเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เวลาความเจริญสมัยใหม่เข้ามาถึงไชยา มันมีผลกระทบต่อชีวิตประชาชนอย่างไรบ้างครับ
-โอ้ มันไม่ได้เข้ามาตูมตาม มันเข้ามาทีละนิด ๆ มันก็เปลี่ยนไปทีละนิด จนไม่ค่อยรู้สึก เช่น ชอบแต่งตัวสวย ชอบโก้ ชอบหรู ชอบสูบบุหรี่ ชอบนั่งร้านกาแฟ นั่นก็มีขึ้นมา ซึ่งแต่ก่อนนั้นไม่มี ไม่มีร้านกาแฟ แล้วจะนั่งร้านกาแฟได้อย่างไร (หัวเราะ)
อาจารย์เห็นตัวอย่างเป็นรูปธรรมอะไร ทําไมอาจารย์ถึงเห็นโทษของความเจริญสมัยใหม่ ตั้งแต่สมัยนั้นครับ
-เหมาทั้งหมด เหมาทั้งประเทศ หรือทั้งโลก หมายถึงยุคที่วัตถุก้าวหน้า คนทั้งโลกไม่เฉพาะในประเทศไทย หลงแต่ความสุขความก้าวหน้า มีความเจริญแผนใหม่ทางวัตถุ ก็เกิดเห็นแก่ตัว เกิดเกลียดศาสนา เกลียดสิ่งที่มันตรงกันข้าม เห็นศาสนาเป็นเรื่องขัดคอในเรื่องความเสวยสุขแบบใหม่ ตัวอย่างรูปธรรม เช่น คนมาฟังเทศน์ที่วัดน้อยลง คนที่จะทําบุญทําทานแบบเก่าน้อยลง แม้แต่แห่พระลากพระตามแบบประเพณีก็น้อยลง ลดลง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 382-384
ตอนที่ 141 , ภาพหน้าที่ 384-385
แล้วพวกที่โจมตีพุทธศาสนานั้นส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่มไหนครับ อย่างแม้แต่ความคิดที่เห็นศาสนาเป็นยาเสพติด ก็เริ่มมีแล้วใช่ไหมตั้งแต่สมัยนั้น
-ไอ้ที่เห็นศาสนาเป็นยาเสพติดนี่มันเมื่อเกิดคอมมิวนิสต์แล้ว มีคําว่าศาสนาเป็นยาเสพติด ก่อนนี้ไม่มี ใครมาพูดว่า ประชาชนก็จะบอกว่ายินดีสมัครรับยาเสพติดคือศาสนาอยู่แล้ว แล้วก็เสพติดอยู่แล้ว คอมมิวนิสต์มาพูดว่าศาสนาเป็นยาเสพติด ก็ไม่มีใครเชื่อ รู้สึกว่าไม่ค่อยมีใครยอมเห็นว่าเป็นเช่นนั้น
แล้วกลุ่มที่โจมตีศาสนาก่อนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มไหนเป็นพวกไหน
-ไม่ปรากฏชัดเจน ไอ้พวกอันธพาลมันก็ตามแบบอันธพาล เพียงแต่มันไม่ชอบ มันก็ไม่เอา ไม่ได้มาตั้งป้อมต่อสู้กันนัก ทุกคนไม่มีที่จะโจมตีศาสนาของตน คงจะเหมือนกันไปหมดทุกแห่ง ๆ จนกว่าจะมีนักศึกษาแหวกแนว เห็นศาสนาเป็นของล้าหลังหรือว่ามันไปมองบางแง่ มองแต่บางแง่แล้วก็ไปพูดอย่างนั้น ซึ่งมันไม่ถูก มันไม่ยุติธรรม พวกที่อุตริมาโจมตีศาสนาก็เพราะไม่เข้าใจพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์ เขามองกันในแง่ที่ทําให้คนอ่อนแอ ทําให้คนล้าหลัง ทําให้คนเกียจคร้าน อย่างนี้ก็มี มันก็มีมูลมาจากทางฝรั่ง ทางคนไทยก็ไม่ได้คิดนึกกันถึงขนาดนั้น ที่ว่า "สันโดษ" ในทางพุทธศาสนาทําให้คนไม่ทํางาน มันก็เข้าใจคําว่าสันโดษผิด คนอย่างโชเปนฮาวเออร์มองพุทธศาสนาในแง่ร้าย เป็นเพสสิมิสม์ เขาเป็นปัญญาชนถึงขนาดนั้น แต่เมื่อมันมองไม่รอบคอบ (หัวเราะ) ไม่ถี่ถ้วน ก็เป็นเครื่องถ่วงทําให้พุทธศาสนาชะงัก ในการที่จะเข้าไปในหมู่คนพวกนั้น ที่จริงต้องพูดว่าพุทธศาสนามองโลกในแง่ที่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แก้ไขให้ดีก็ได้ แก้ร้ายให้ดีก็ได้ ถ้าเขาเข้าใจมาถูกต้อง เขาจะต้องเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่แง่ดี ไม่ใช่แง่ร้าย เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เขาต้องการอะไรก็สามารถจะทําได้ ประชาชนไทยไม่มีปัญหาเกี่ยวกับหลักพุทธศาสนา แล้วเขาเอาแต่ตามแบบง่าย ๆ แบบบูชา นับถือจนกลายเป็นไสยศาสตร์อย่างนี้ ทําตามขนบธรรมเนียมประเพณีก็แล้วกัน
ได้ยินว่าคุณเสนีย์ ปราโมชเวลากลับจากเมืองนอก เขาเขียนบทความโจมตีพุทธศาสนา อาจารย์นึกออกไหม
-นึกออก ที่ใช้นามปากกาว่าองุ่นเปรี้ยว แล้วก็โจมตีพุทธศาสนาก็ไม่มีใครเชื่อ ในที่สุดไม่มีใครเชื่อ (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 384-385
ตอนที่ 142 , ภาพหน้าที่ 385-386
การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ที่อาจารย์เล่าเมื่อกี้นี้ อาจารย์มีส่วนร่วมอะไรหรือเปล่า กับคณะปฏิสังขรณ์
-ไม่เลย ไม่ได้มีส่วนร่วม ไม่ได้ร่วมทั้งความคิดและการกระทํา ผมยังไม่แน่ใจ ยังหวั่น ๆ อยู่ ถ้าเวลานั้นผมอยู่ที่นั่นน่าจะเอากับเขาด้วยก็ได้ (หัวเราะ) ก็เรามีความคิดก้าวหน้าอยู่
อาจารย์เห็นการเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ๒๔๘๔ เป็นอย่างไรครับ
-ไม่รู้สึกเลย (หัวเราะ) แทบจะไม่ได้สนใจเรื่อง พ.ร.บ.จนออกมาแล้ว จนเขาปฏิบัติกันแล้ว เราก็รู้ว่ามันเปลี่ยน แล้วมันเปลี่ยนอย่างนี้ เขาก็แต่งตั้งผมให้เป็นองค์การเผยแผ่ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี
แล้วอาจารย์รู้สึกว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับนี้ออกมาแล้ว ในทางปฏิบัติมีผลต่อคณะสงฆ์อย่างไรบ้าง มีผลต่อสังคมอะไรบ้าง
-มันพูดยาก เพราะมันไม่ทันจะได้ทําอะไรโดยแท้จริง ชั่วไม่กี่ปี มันไม่ได้ทําอะไร โดยแท้จริงตามหลักการนั่น มันก็ทําเป็นพิธีเสียมากกว่า ไม่ค่อยมีผลแท้จริง แล้วมันก็เท่านั้น เท่าที่ว่าแบ่งหน้าที่กันทํา มันก็ไปบังคับ หรือว่าไปกระตุ้น ไอ้ผลที่เห็น มีน้อยเต็มที แม้แต่ปล่อยอยู่อย่างเก่าก็ไม่แตกต่างกันนัก แต่เราก็สะดวกในการเผยแผ่ขึ้น ก็มีอํานาจทางราชการ (หัวเราะ) ขึ้นมา ก็เลยบวกเข้าด้วยกัน การเผยแผ่ก็เอาความมุ่งหมายของสวนโมกข์บวกกันเข้าไป การเผยแผ่ตามหน้าที่ราชการดูเหมือนจะเคยเล่าแล้วว่าเจ้าคณะภาคองค์ที่เป็นธรมยุต อยู่วัดราชาธิวาส ก็สนับสนุนผมมาก สนับสนุนเพื่อให้ทําหน้าที่ไปบรรยายในที่ประชุมในนามเจ้าคณะภาค ประกาศให้เป็นเผยแผ่ประจําภาค แต่ผมก็ไม่ได้ทําอะไร ไม่กล้า รู้สึกว่ามันเสี่ยง การปกครองแบบประชาธิปไตยนี้ถ้าจัดให้ดี ๆ ให้เป็นจริง ก็เข้ากับหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าด้วย ไม่เสียหลาย
หลักธรรมวินัยในแง่ไหนครับ
-สงฆ์เป็นใหญ่นั่นแหละ เมื่อจะปรินิพพาน ก็ตั้งหลักการให้สงฆ์เป็นใหญ่
ถ้าอย่างนั้นทําไมอาจารย์ถึงเสนอเรื่องเผด็จการ
ให้สงฆ์เผด็จการ ก็ไม่ใช่เผด็จการซิครับ
-ก็ยังดีกว่ารุ่มร่าม งุ่มง่าม โอ้เอ้ ไม่มีอํานาจ ไม่มีความเด็ดขาด
ถ้าพระสงฆ์เผด็จการ มันก็ประชาธิปไตย เราเรียกเผด็จการไม่ได้เพราะว่า…
-ทําไมจะเรียกไม่ได้ เป็นคอมมิวนิสต์ก็เรียกเผด็จการได้
คอมมิวนิสต์นี่ซิครับเผด็จการ แต่พระสงฆ์เป็นใหญ่นี่มันไม่ใช่เผด็จการ เพราะมันอาศัยการตัดสินใจร่วมกัน
-อ้าว ก็ตอนหลังผมเขียนว่า ขอให้สงฆ์มีการกระทําชนิดที่มันเฉียบขาด ๆ ไม่ใช่โอ้เอ้
คือถ้าเฉียบขาดหลังจากสงฆ์ตัดสินนี่ ก็ใช้ได้แน่ ไม่ใช่เผด็จการตามที่เขาใช้กันทั่วไป เป็นเรื่องอํานาจอันชอบธรรมเพราะมาจากการตัดสินใจของหมู่คณะ
-เฉียบขาดโดยธรรมวินัย สงฆ์เผด็จการตามธรรมวินัย เผด็จการเดี๋ยวนี้มันไม่เป็นตามนี้ ก็ยังโอ้เอ้
อย่างนี้ อาจารย์ต้องเขียนนิยามคําว่าเผด็จการใหม่ ถ้าอาจารย์ให้สงฆ์เผด็จการ นี่มันไม่ใช่เผด็จการในความหมายที่เข้าใจโดยทั่ว ๆ ไป คนละความหมายครับ
-เผด็จการโดยธรรมวินัย โดยสงฆ์ ไม่ใช่เผด็จการโดยกิเลสของบุคคลใด
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 385-386
ตอนที่ 143 , ภาพหน้าที่ 386-389
อาจารย์ศึกษาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์อย่างไร หรือไม่ ในการที่จะนํามาเป็นหลักเกณฑ์จัดตั้งสวนโมกข์
-ก็เหมือนที่เล่ามาแล้ว มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีเจตนาเจาะจงเป็นรูปเป็นร่างเป็นลํ่าเป็นสันอย่างนั้น เป็นเรื่องรู้สึกเบื่อชนิดนั้นก็เลยอยากจะกอบกู้ชนิดนี้ มันไม่มีแบบฉบับที่จะมาดูมาจากที่ไหน เราปรับปรุงแบบฉบับหรือหลักเกณฑ์ที่มาจากพระคัมภีร์ ภายในพระคัมภีร์ มันไม่มีที่จะไปเอาที่ไหนมาเป็นหลัก นอกจากคัมภีร์แล้ว ประวัติการปฏิรูปศาสนาในยุครัตนโกสินทร์ก็อ่านผาด ๆ ดูเหมือนไม่ค่อยมีและก็เชื่อว่าใช้ไม่ได้ มันใช้ไม่ได้ มันแบบตามบุญตามกรรม
แล้วอย่างการเปลี่ยนแปลงในสมัย ร.๔ ล่ะครับ
-ไม่มีความรู้สึกอะไร นอกจากตั้งนิกายใหม่ เป็นการยั่วยุให้ปฏิบัติวินัยให้เคร่งครัดขึ้น (หัวเราะ) แล้วก็ใครทําก็ได้ เรื่องนี้ไม่พูดดีกว่า พูดแล้วมันมีผลกระทบกระเทือน
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในรัชกาลที่ ๔ มีผลมาถึงยุคอาจารย์ด้วยหรือเปล่า
-ไม่มีผลต่อผมโดยตรง มีผลต่อบ้านเมือง มันก็มีธรรมยุตเกิดขึ้น มีปัญหาที่เกิดมาจากมี ๒ นิกายเกิดขึ้น
แล้วมีส่วนให้ทําให้มหานิกายปรับปรุงตัวดีขึ้นไหมครับ
-ก็ต้องเรียกว่าดีขึ้น มีส่วนทําให้ปฏิบัติดีขึ้น ในยุคสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสท่านมีหลักที่จะให้รวมกันอีก ทําให้มหานิกายดีขึ้นจนรวมกับธรรมยุตได้ ท่านก็มุ่งหมายอย่างนั้น แต่ก็ทําไม่สําเร็จ
อาจารย์ครับ การเรียนปริยัติที่เป็นลํ่าเป็นสัน ก็ต้องถือเป็นผลจากที่รัชกาลที่ ๔ ท่านทรงวางฐานไว้ด้วยหรือเปล่า
-ทราบไม่ได้ แต่มันแสดงออกมาเมื่อรัชกาลที่ ๕ เมื่อสมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ อาจจะมีผลเนื่องกันก็ได้ รัชกาลก็เนื่องกัน แล้วท่านก็เป็นพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๔ คงจะได้รับอิทธิพล แต่ว่าสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการเปลี่ยนแปลงมาก ก็เชื่อว่าท่านหวังผลดีให้ทัดเทียมกันไป ให้กลับกลมกลืนกันไป แต่แล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น กลับตรงกันข้าม นี่ต้องเรียกว่ามันเป็นกิเลสของมนุษย์ มานะทิฏฐิ
อาจารย์ครับ สมัยแรก ๆ มีสวนโมกข์ การปีนเกลียวกันระหว่างฝ่ายปริยัติกับฝ่ายวิปัสสนามีหรือยัง
-ไม่ค่อยมีโอกาสกระทบกัน เพราะไม่ได้สัมพันธ์ เสียงมาจากพระป่าตําหนิพระบ้านว่าไม่ปฏิบัติมีมาก ได้ยินมาก พระบ้านก็มักจะตอบโต้ว่าพระป่านั้นดีแต่ปฏิบัติไปอย่างงมงาย ไม่รู้พระบาลีไม่รู้พระพุทธประสงค์อย่างถูกต้อง มันก็มีแต่ต่างฝ่ายต่างพูดกันบ้าง
เสียงจากพระป่าตอนนั้น เป็นพระป่าทางฝ่ายไหนครับ
-ทางภาคอีสานมีมาก ทางภาคใต้มีประปราย น้อยมาก ภาคใต้มีพระธุดงค์อยู่บ้าง เป็นสํานักหลักแหล่งไม่ค่อยมี มีทางภาคอีสาน
เห็นอาจารย์เขียนเกี่ยวกับพระที่อวดเคร่งไว้บ้าง เขาอวดกันอย่างไรครับ สมัยนั้น
-ก็เคร่งกันแบบวินัย ถือวินัยให้เคร่ง (หัวเราะ) จนใคร ๆ เห็นว่าเคร่ง ๆ จนเกือบจะทําอะไรไม่ได้ เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องนุ่ง เรื่องห่ม เรื่องไป เรื่องมา เรื่องขึ้นรถ ลงเรืออะไรก็ตามแต่ เรื่องอวดเคร่งกันอยู่ได้ก็มีเรื่องไม่ยอมจับสตางค์ ไม่ยอมฉันนม แต่ก่อนนี้ก็ไม่รู้ว่านมนี้ฉันไม่ได้ด้วยกันทั้งนั้น เคยฉันด้วยกัน เพิ่งมารู้ทีหลังว่านมฉันไม่ได้ พรรคพวกไม่ฉันนม เขาว่าเป็นอาหาร ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ตามวินัยเกี่ยวกับอาหาร ฉันอาหารเวลาวิกาลไม่ได้ แต่นมนี้ไม่รู้แน่นอนว่าอยู่ในข่ายของอาหารหรืออยู่ในข่ายเภสัช บางพวกก็เคยหลงว่าเป็นเภสัชไปพักใหญ่ ก่อนที่มารู้ว่าไม่ใช่เภสัช
อาจารย์ครับ แล้วการตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้นอาจารย์มีความหวังอะไรบ้างไหม
-ไม่รู้เรื่อง คือว่าเราเกือบจะไม่รู้เรื่องว่าเขากําลังทําอะไรกัน ก็เลยไม่รู้จะหวังอะไรถูก เท่าที่รู้เรื่องก็คือ คงจะมีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องทางโลก ทันสมัยมากขึ้น
ส่วนหนึ่งก็เหมือนกับที่อาจารย์เรียกร้องมาตลอดในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ให้ปรับปรุงการศึกษาของคณะสงฆ์
-อู้ เราก็ต้องให้ศึกษาเพื่อรู้หลักธรรมวินัยลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทีนี้พอตั้งมหาวิทยาลัยเหล่านี้ขึ้น ก็ไม่ได้สนใจธรรมวินัยยิ่งขึ้น สนใจเรื่องนอก ๆ สนใจตามแบบเมืองนอก
ตอนหลังจาก พ.ร.บ. ๒๔๘๔ ออกมาแล้ว การแบ่งแยกนิกายนี่ลดลงไหม
-มันก็มีการกระทบกันน้อยลง เรียกว่าการปกครองไม่ขึ้นต่อกัน แล้วเหตุการณ์มันก็ผ่านมามาก พอจะสํานึกตัวด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย
เมื่อมีการกล่าวหาและก็จับกุมพระพิมลธรรมนั้น มีผลต่อคณะสงฆ์อย่างไรบ้าง
-มันก็อย่างนั้นแหละ ก็พอมองเห็นได้ ทางมหานิกายก็รู้สึกเป็นปมด้อย รู้สึกเสียหายต่อนิกาย มีพระจํานวนใหญ่เขากําลังต่อสู้ดิ้นรนต่อสู้ มันก็ทําลําบาก ทําไปยากหรือทําไม่ได้ แต่ท่านเหล่านั้นจะต่อสู้จนชนะความหรือชนะอะไรก็ตาม ที่เกี่ยวกับพระศาสนารู้สึกจะไม่คุ้มเลย เพราะมันไม่ได้เสียหายเฉพาะมหานิกายอย่างเดียว มันเสียหายต่อพระศาสนาโดยส่วนรวมด้วย จะทําอย่างไรได้ เรื่องมันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว ใครจะทําอย่างไรได้ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้น
การที่ท่านถูกจับกุม มันเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.ฉบับ ๒๕๐๕ ด้วยใช่ไหม ทําไมถึงมีการเปลี่ยนมาใช้ พ.ร.บ.๒๕๐๕
-มีการเคลื่อนไหวเพราะมีผู้ถือว่าไม่เป็นธรรมอะไรบางอย่างต่อฝ่ายธรรมยุต ไม่ใช่จากมหานิกาย คือการเปลี่ยนจาก พ.ร.บ. ๒๔๘๔ เป็นการดิ้นรนฝ่ายธรรมยุต
-ผมไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แต่เท่านั้น แต่พูดกันอย่างขวานผ่าซาก มองเห็นการเสียเปรียบ จึงพยายามย้อนกลับหา พ.ร.บ. รศ.๑๑๒ ซึ่งถือกันว่าฝ่ายธรรมยุตได้เปรียบ (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 386-389
ตอนที่ 144 , ภาพหน้าที่ 389-391
อาจารย์ครับ ถ้ามองโดยรวมแล้ว ในรอบ ๕๐ ปีที่ผ่านมา อาจารย์รู้สึกว่าสังคมไทยมีด้านไหนดีขึ้น ด้านไหนเลวลง อาจารย์รู้สึกอย่างไรบ้าง
-ไม่รู้สึก รู้สึกมันไปตาม (หัวเราะ) ธรรมชาติ ไปตามเหตุตามปัจจัย ตามธรรมดาที่มันจะต้องเป็นอย่างนั้น ไม่แปลก ในทางศีลธรรมไม่เห็นดีขึ้น ในด้านความรู้ ด้านหลักวิชาดีขึ้นมาก ความเลวร้ายทางศีลธรรมมากขึ้น
อาจารย์ครับ ต่อไปเป็นคําถามเบ็ดเตล็ด ๒-๓ ข้อ ตก ๆ หล่น ๆ จากตอนต้น ๆ นะครับ สมัยอาจารย์เริ่มงานใหม่ ๆ มีการซื้อขายพระเครื่องกันเป็นแบบอุตสาหกรรมแบบที่เป็นอยู่ปัจจุบันหรือเปล่า
-ตามท้องสนามหลวงเริ่มมีแล้ว เมื่อผมไปบรรยายอบรมผู้พิพากษาตอนเลิกแล้ว ผมก็ไปดูที่สนามหลวง เขาขายพระเครื่องกัน ผมยังจําติดตามีฝรั่งเล็ก ๆ ผอม ๆ แอบถ่ายรูปผม รูปร่างคล้ายสแวเรอร์* (หัวเราะ) ผมกําลังมองดูกระจาดที่เขาวางพระเครื่องขาย ไม่ได้นั่งลงไป แต่ว่าเดิน อยากไปดู ๆ เท่านั้นเอง
อีกเรื่องหนึ่ง ผมคุยกับตาหลุน แกว่าแกเป็นเด็กวัดรุ่นเดียวกับอาจารย์ และว่าเด็กวัดรุ่นนั้นมีคําล้อทุกคน อาจารย์จําได้ไหม
-(หัวเราะ) อาจารย์ของผมเป็นคนผูกเป็นบทประพันธ์ขึ้นมาว่า (หัวเราะ) ขี้กินไอ้ชิด ขี้ชิดไอ้เงื่อม เทื้อม ๆ เณรนาค ปากมากไอ้หลุน สัปดุนไอ้จ้อง ขี้ร้องไอ้หยุด มุดหัวไอ้ช่วย สุดสวยหิรัญ สําคัญไอ้เกตุ ขี้เหลด ตาหลวงนาค (หัวเราะ) คําว่าขี้ชิดคือขี้เหนียว เป็นภาษาของบ้านนี้ ผมจะขี้เหนียวหรือไม่ ไม่รู้หมายความว่าอย่างไร รู้แต่เพียงว่าไม่อยากเอาของใคร และไม่อยากให้อะไรแก่ใครเท่านั้น เณรนาคเขาชอบเดินเทื้อม ๆ คือเดินก้ม ๆ หย่ง ๆ คําว่าสัปดนบ้านนี้เขาออกเสียงว่าสัปดุน ไอ้จ้องมันชอบไปเก็บพริกเก็บมะเขือที่ปลูกไว้ยังไม่ทันจะได้ที่ ขี้ร้องไอ้หยุด มันเป็นญาติผู้พี่ของผม อะไร ๆ ก็ร้อง ไม่ทันพูดก็ร้อง หัวมุดไอ้ช่วย ถามอะไรหัวมุดเสีย ไม่พูด สุดสวยหิรัญ (หัวเราะ) เป็นลูกของผู้พิพากษา บ้านอยู่หน้าวัด พ่อเอาไปฝากอยู่วัดบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ หน้าตาสวย แก้มแดง ในที่สุดไปเป็นอธิบดีกรมสรรพากร เพิ่งตายไป ในชุดนั้นก็เหลือแต่ผมกับตาหลุนเท่านั้น (หัวเราะ)
โดยปกตินี่อาจารย์เป็นคนอ่านหนังสือเร็วหรืออ่านช้าครับ
-อ่านลวก (หัวเราะ) คืออ่านหนังสือนี่อ่านหยาบ อ่านเอาแต่ใจความลวก ๆ ไม่ค่อยได้อะไรนัก มีนิสัยหยาบ ๆ ไม่ได้อ่านถึงขนาดขีดเส้นใต้ หรือว่าจดบันทึก มันอวดดีว่าไอ้เรื่องอย่างนี้มันรู้กันอยู่แล้ว ตรง ๆ กับที่เรารู้ ไม่ต้องขีดเส้นใต้ บางทีผมอ่าน ๆ ดู ไม่ได้มีขีดเส้นใต้ ถ้ามีก็น้อยเต็มที ไม่เหมือนหนังสือคุณกวง หนังสือคุณกวงขีดเส้นใต้เกือบจะทุกบรรทัด (หัวเราะ)
ผมเห็นกล่องบัตรกล่องหนึ่งของอาจารย์มีโน้ตบัตรคํา คําเหล่านี้เป็นคําอะไรประเภทไหนที่อาจารย์จะทําโน้ตออกมาครับ
อ๋อ มี แต่เคยทําอยู่พักหนึ่ง เป็นบัตรคําประเภทธรรมะ เพื่อความสะดวกที่จะใช้แล้วก็ทําได้ไม่เท่าไหร่ ทําอะไรไม่จริงด้วยผมน่ะ และก็ไม่เคยมีความอดทน แต่ความคิดน่ะมี คิดจะทําอย่างนั้น คิดจะทําอย่างนี้ คิดจะเก็บความคิดดี ๆ ไว้เป็นระบบ เป็นอะไรคล้าย ๆ เพื่อจะสะดวก ความคิดยังมีจนกระทั่งบัดนี้ แต่เราทําไม่ได้ จะทําบัญชีเรื่องในพระไตรปิฎก ก็เคยคิด เดี๋ยวนี้เป็นอันว่า ยอมไม่มีความคิดอย่างนั้น คือความคิดมันเหลืออยู่เพียงเรื่องเดียว เรื่องจะดับทุกข์อย่างไรเท่านั้นเอง
เวลาอาจารย์ไปกรุงเทพฯ อาจารย์เป็นแฟนหนังสือร้านไหนประจํา ถ้าต้องไปซื้อหนังสือ จะซื้อร้านไหน
-ส่วนมากไปที่ร้านสี่กั๊กพระยาศรี กรุงเทพมหานคร ที่หน้าร้านเขียนว่ามาดีไปดี ร้านนั้นไปบ่อย แล้วหนังสือฝรั่งเขาขายถูก ๆ เช่น National Geographic แยะทีเดียว เขาขายถูก ๆ แต่ไม่มีปก เป็นหนังสือที่ขายไม่ได้ ที่จะต้องส่งบริษัท เขาขอฉีกปกคืน แล้วก็เอาตัวหนังสือนั้นไว้ ทีนี้เขาเอาไว้ขายถูก ๆ เข้าไปเลือกไอ้รูปสวย ๆ ซื้อเอาไว้ดูรูปเล่น หนังสือในร้านนั้นมันมีมาก แต่ราคาเต็มอัตราทั้งนั้น เป็นร้านหนังสือสมบูรณ์แบบ แล้วกรุงเทพบรรณาคารก็เลิกไปในที่สุด
แล้วหนังสือสั่งจากนอกโดยตรงมีไหม
-ไม่มี ถ้ามีก็นายธรรมทาส นายธรรมทาสเขามี ผมไม่รู้เรื่องที่จะสั่ง คนที่รู้จักซื้อมาให้หรือสั่งมาให้มีบ้าง ตอนคุณกรุณาอยู่อินเดียเคยให้ช่วยหาให้บ้างที่เล่าแล้ว
* สัมภาษณ์ก่อนพระพิมลธรรม จะได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์
* โดแนลด์ เค. สแวเรอร์ เป็นนักวิชาการชาวตะวันตกคนแรกที่ศึกษางานคิดงานเขียนของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างจริงจัง และมีส่วนสําคัญที่ทําให้นักวิชาการด้านพุทธศาสนาชาวตะวันตกหันมาสนใจงานของท่านอาจารย์ ได้แปลงานของท่านอาจารย์เป็นภาษาอังกฤษ และเขียนบทความเกี่ยวกับท่านอาจารย์หลายชิ้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 389-391
ตอนที่ 145 , ภาพหน้าที่ 392-393
อาจารย์ครับ ในตอนนี้ ผมจะขอเรียนถามอาจารย์ถึงชีวิตด้านปฏิบัติธรรมของอาจารย์เอง เพื่อจะให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจถึงชีวิตด้านในของอาจารย์ เพราะคนรุ่นผม เริ่มไม่เข้าใจว่า ชีวิตพระสงฆ์นั้นอยู่ได้อย่างไร โดยเฉพาะชีวิตของพระสงฆ์รุ่นอาจารย์ มีความสุข ความทุกข์อะไร มีค่าตรงไหน อีกอย่างหนึ่ง ถ้าอาจารย์เล่าถึงชีวิตด้านปฏิบัติ ผู้ที่เลือกจะดําเนินชีวิตตามแบบพระสงฆ์ที่ดีงาม จะได้ข้อคิดข้อเตือนใจต่าง ๆ รวมทั้งด้านกําลังใจด้วย ผมเชื่อว่าจากจุดเริ่มต้น เมื่อท่านอาจารย์เริ่มทําสวนโมกข์ ถึงปัจจุบันนี้ อาจารย์คงต่อสู้กับอะไรในตัวเองอยู่ไม่ใช่น้อย แล้วก็มีข้อผิดพลาดมากมาย ที่จะเป็นบทเรียนให้กับคนรุ่นหลัง ๆ
-(หัวเราะ) มันไม่มีเรื่องอะไรมากมาย ที่จะต้องนึกไปถึงขนาดนั้น มันเป็นเรื่องของคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ค้นคว้ามา จะเรียกว่า ตามบุญตามกรรมก็ได้ แล้วมันก็ประสบผลเป็นอย่างนี้ อย่างที่เห็นอยู่นี้ ไหนถามใหม่ซิ ถามว่าอย่างไร ให้มันเป็นคําถาม เป็นข้อ ๆ ไปซิ
ครับ เมื่อมองชีวิตการปฏิบัติธรรมของอาจารย์โดยรวมแล้ว มีช่วงเปลี่ยนแปลงที่เห็นแตกต่างกันอย่างชัดเจนไหมครับ
เช่นในเรื่อง "สมัยโน้นเมื่อเรายังเที่ยวหาอัตตา" ที่อาจารย์เขียนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ จะเห็นเหมือนกับว่า ครั้งหนึ่ง อาจารย์เคยยึดความว่างว่าเป็นตัวเป็นตน แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลง รู้ว่าไม่ใช่แล้ว ผิดแล้ว เหมือนกับเปิดเข้าสู่มิติใหม่ อะไรแบบนั้น
-บทความนั้นมันเขียนสําหรับทุกคน สําหรับชีวิตทุกคน เป็นลักษณะอย่างนั้น ไม่ใช่ของเราคนเดียว แต่มันใช้ชื่ออย่างนั้น ก็เพื่อว่าให้มันสะดุดหรือกระตุ้นอะไรสักหน่อย ไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียวที่เป็นอย่างนั้น คือทุกคนจะเป็นอย่างนั้น กว่าจะรู้เรื่องอนัตตา ถ้าไม่รู้เรื่องมันก็แล้วไป มันก็ยึดอัตตาจนตาย มันรู้ขึ้นมา มันก็เปลี่ยนแปลง เมื่อยังไม่รู้เรื่องอนัตตา นึกกันอย่างนี้ เมื่อรู้กันแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นอีกอย่าง เขียนเป็นคําล้อ ล้อชวนหัวด้วย จึงออกมาในรูปอย่างนั้น
คําถามผมตอนนี้มุ่งประเด็นว่า ในชีวิตอาจารย์ มีช่วงการเปลี่ยนแปลงสําคัญ ๆ ทางคุณภาพของชีวิตอะไรบ้างครับ
-ผมก็ต้องบอกว่า มันไม่มีช่วงที่เปลี่ยนแปลงใหญ่โต มันมาทีละนิด ๆ ค่อยเติบโตมาทีละนิด ๆ เราเกิดมาเป็นทารกจนโต ช่วงเปลี่ยนแปลงโดยแท้จริงมันก็พูดยาก แต่มันก็เปลี่ยนทีละนิด ๆ จนมาอยู่สภาพอย่างนี้ ผมนึกไม่ออกนี่ว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร มันก็บวช แล้วก็มาพบเรื่องที่ดีกว่า ก็ไม่สึก แล้วศึกษาเล่าเรียนค้นคว้ามาทีละนิด ๆ มันไม่มีการเปลี่ยนแบบเหวี่ยง หรือขนาดเหวี่ยงทางนั้น เหวี่ยงทางนี้ มันไม่มีหรอก
เปลี่ยนในแง่ของคุณภาพข้างใน เช่นกิเลสเรื่องนี้ มันเด็ดขาดไปแล้ว เรื่องนั้นมันไม่เด็ดขาดมีไหมครับ
-ไม่มี ให้พูด พูดไม่ได้แน่ มันเปลี่ยนทีละนิด พร้อม ๆ กันแหละ ทั้งร่างกาย จิตใจ สภาพของชีวิตเปลี่ยนมา ๆ ทีละนิด ๆ มันมองไม่เห็นเลยว่ามันเปลี่ยนแบบเลี้ยวเป็นมุม ขอให้ทุกคนตั้งต้นเดินมาตามหลักเกณฑ์ทีละนิด ๆ แล้วก็เปลี่ยนทีละนิด เหมือนต้นไม้ งอกขึ้นทีละนิด ๆ จนกว่ามันจะเติบโต จะให้เอาอะไรเป็นการเปลี่ยน ยังนึกไม่ออก
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 392-393
ตอนที่ 146 , ภาพหน้าที่ 393-394
อย่างเกจิอาจารย์หลายคน มักจะเล่าเรื่องของตัวเอง ว่ามีประสบการณ์พิเศษอย่างนั้น อย่างนี้ ที่ทําให้รู้สึกว่า บัดนี้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เข้าสู่สภาพของชีวิตใหม่แล้ว เป็นช่วง ๆ ไป ของอาจารย์ไม่มีหรือครับ
-ไม่มี แล้วก็ไม่มีเรื่องขนาดนั้น ที่จะเล่าให้ใครฟัง มีแต่การศึกษาเพิ่มเติม การปฏิบัติเพิ่มเติม การศึกษาเพิ่มเติม แล้วรู้ หรือเห็น แล้วเข้าใจ รู้สึกเข้าไป ๆ ไม่รู้ว่าได้รู้เมื่อไร พูดเป็นภาษานั่น ๆ หน่อย ไม่รู้ว่ามันตรัสรู้เมื่อไร แต่ที่จริงมันไม่ได้ตรัสรู้อะไรมากมาย จะถามว่าเมื่อไรก็ยังไม่รู้ ค้นคว้ามากขึ้น เผยแผ่มากขึ้น ปฏิบัติมากขึ้น เรื่อย ๆ ไป
อาจารย์ครับ ตามหลักนั้น ถ้าหากเรารู้แล้ว มันต้องรู้ใช่ไหมครับว่าเราหมดไปแล้ว กิเลสอันนั้นอันนี้ ตามหลักวิชาที่เขาเรียกว่า เกิดญาณอย่างนั้น ญาณอย่างนี้
-ที่ไปตัดสินกันอย่างนั้นก็มี แต่เราไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เจตนา ไม่ได้ประสงค์จะรู้ รู้ว่ามันดีขึ้นก็พอแล้ว แต่วันละเท่าไรไม่ต้องรู้ รู้แต่ว่าสิ่งไม่พึงปรารถนามันลดลง ลดลง เท่าไรก็ไม่รู้ เรียกว่าลดลง มีเรื่องในบาลีพูดเกี่ยวกับเรื่องทํานองนี้ว่า นายช่างทั้งหลายรู้ว่า ด้ามเครื่องมือนั้น สึกไปทุกวัน ทุกวัน แต่ไม่รู้ว่าสึกไปวันละเท่าไร ปีหนึ่งสึกไปเท่าไร ก็ไม่ต้องรู้ มันไม่มีอะไรวัด แล้วมันก็วัดยาก รู้แต่ว่าถ้าเป็นอยู่โดยชอบ อะไรจะลดลงไป แต่สักเท่าไรก็ไม่รู้ รักษาความเป็นอยู่โดยชอบไว้เท่านั้น
อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์เคยใช้วิธีลองออกไปเผชิญกับอารมณ์ที่มากระทบ เพื่อให้รู้ว่าเราหมดอันนั้นไปแล้วหรือยัง บ้างหรือไม่
-ไม่เคย ถ้ามันจะเป็น เป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยเจตนาจะลองไม่มี เช่นรู้แต่ว่าเรากลัวผีน้อยลง ๆ จนเดี๋ยวนี้ ไม่กลัวผีเลย รู้อย่างนี้
ก่อนที่อาจารย์จะลงมือปฏิบัติธรรม อาจารย์ได้ตั้งแนวไว้หรือเปล่าครับว่า ในบรรดาหนทางหลาย ๆ แบบที่จะบรรลุธรรม เช่น โดยการฟังธรรม โดยการเทศน์ โดยการตรึกตรอง โดยการทําวิปัสสนา หลาย ๆ แบบนี้ อาจารย์ใช้แบบไหนสําหรับตัวเอง
-ไม่ ไม่ เพิ่งรู้ทีหลัง มาอ่านบาลีวิมุตตายตนสูตรทีหลัง ก่อนนี้ค้นคว้ามากขึ้น มันก็รู้มากขึ้น เรายังใช้วิธีที่เรียกว่า เรียนจากพระคัมภีร์ เรียนจากหนังสือสมุด มากขึ้น ๆ มันก็พอจะสงเคราะห์กันได้ กับหลักที่ว่าฟังธรรม ฟังธรรม ในบางเวลา จิตใจเหมาะสม ปลอดโปร่ง ก็รู้สว่างไสว ชั้นใดชั้นหนึ่ง เต็มที่เสียทีหนึ่ง ที่เหลือ ก็ยังเหลือต่อไปอีก เดี๋ยวนี้ถ้าจะพูด มันพูดไม่ได้ว่าใช้วิธีหนึ่ง วิธีใดโดยเฉพาะ ใน ๕ วิธีนั้น คือมันเรียนมากขึ้น ค้นคว้ามากขึ้น แล้วมันก็พอใจที่จะเป็นอย่างนั้นมากขึ้น แล้วมันละไปเอง ละไปเองโดยไม่รู้สึกตัว
ความจริงทําวิปัสสนาอย่างเคร่งครัด เคร่งเครียด ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี ก็ไม่เคยทํา แต่มันเป็นของมันในตัวเอง ในขณะที่ได้ฟังอะไรใหม่ ความจริงต้องเรียกว่า ค้นพบ เราไม่ได้ฟังจากที่ไหน แต่ว่าเราค้นพบ คือฟังจากหนังสือ ฟังจากที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ มันก็อยู่ในพวกที่ฟัง ฟังธรรม คืออ่านเอาจากพระคัมภีร์ ก็ต้องสังเคราะห์เข้าในการฟังธรรม รู้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้นก็พอใจ ความพอใจก็ทําให้ปฏิบัติอยู่ในตัวโดยอัตโนมัติ รู้อะไรใหม่ก็ปฏิบัติเข้ากันกับที่รู้อะไรใหม่ ๆ เรียกว่าวันละนิด วันละนิดก็ได้ การอ่านมันมีทุกวัน สมัยแรกมีสวนโมกข์ อ่านทุกวัน เคยอยู่กับหนังสือทั้งวัน ๆ ไม่ได้มีเข็มทิศหรือเบนทิศอะไรไปเป็นรูปธรรมอย่างนั้น จนเดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ว่ามันรู้อะไร เมื่อไร ไม่ได้จําไว้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 393-394
ตอนที่ 147 , ภาพหน้าที่ 394-396
อาจารย์ครับ อย่างในชีวิตของอาจารย์ ในด้านการเทศน์คือการเขียน การพูดนั้น มีมาก ทีนี้ระหว่างการอ่านหรือการเทศน์ หรือการพูดให้คนอื่นฟังนั้น มันมีผลในเรื่องการเข้าใจมากน้อยอย่างไร คือมันมีวิธีหนึ่งในวิมุตตายตนสูตร ที่เราอาจจะบรรลุได้ ด้วยการสอนคนอื่น แล้วทีนี้ อาจารย์สอนคนอื่นมากมาอย่างนี้ มีส่วนเปลี่ยนแปลงคุณภาพจิตของอาจารย์แค่ไหน
-โอ๊ย มันไม่สู้รับเข้ามา คือรับเข้ามามาก มีผลมากกว่าที่ให้ออกไป การศึกษาเพิ่มเติมเข้ามา มากกว่าที่เราสอนมากนัก ที่สอนนี้นิดเดียวเท่านั้น แล้วมันก็เป็นผลจากการที่รับเข้ามา คือฟังเข้ามา แล้วว่าที่จริงมันเรียกว่าทําทุกอย่าง รับเข้ามา หรือฟังเข้ามาก็ทํา สอนออกไปก็ทํา สาธยายก็ทํา ใคร่ครวญโดยตรรกนี้ก็ทํา ทําวิปัสสนา ทําสมาธิก็ทํา เลยเรียกว่าครบทั้ง ๕ อย่าง อย่าทําแบบเบนไปเบนมา เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา หรือทิศทางใด ต้องเร่งขึ้นมาพร้อม ๆ ทุกอย่าง เร่งขึ้นมาพร้อม ๆ ทีละนิด ๆ เหมือนการก่อจอมปลวก บอกคนชั้นหลังเถอะว่า ทํามาอย่างนี้ ไม่ได้มีการเบนหรือเลี้ยวไปเลี้ยวมา ทําพร้อม ๆ กันมา แล้วก็โดยไม่ได้ตั้งเจตนา มีความอยากรู้ก็อ่าน ฟัง ค้น ถึงเวลาเทศน์ ก็เทศน์ ตามสะดวก ตามพอใจ เวลาท่อง อย่างไหว้พระสวดมนต์ทําวัตร เป็นเวลาท่อง ก็ท่อง หรือท่องอะไรอื่นโดยเฉพาะก็มีบ้าง ซึ่งมีน้อย คิดค้นเพื่อได้ตอบปัญหาฝึกปฏิญาณอย่างนี้มาก ทํามากเหมือนกัน ในสมัยที่เล่าเรียน ชอบโต้แย้งออกความเห็นกับเพื่อนเสมอกันก็ได้ เพื่อนที่ตํ่ากว่าก็ได้ การเพ่งมาให้เห็นแจ้งในทางภายในนี้ มันฝาก ๆ กับเรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุญญตานี้ เป็นเรื่องที่รีดออกมาจากทุกอย่าง ที่ศึกษา ที่ตั้งใจปฏิบัติ คั้น ๆ ออกมา เพื่อจะเข้าใจของตัวเอง และจะพูดให้คนอื่นฟัง แล้วก็เพื่อจะกําจัดความทุกข์ ความกระวนกระวาย ไม่ให้กระวนกระวายใจ ในบางครั้งบางคราวด้วย ออกมาเป็นเช่นนั้นเองบ้าง ช่างหัวมันบ้าง
อาจารย์ครับ การที่อาจารย์พูดยํ้าเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา เรื่องเช่นนั้นเอง บ่อย ๆ นี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นการพูด เพื่อยํ้ากับตัวเองด้วยใช่ไหม หรือเพื่อทําให้ตัวเองซาบซึ้งด้วยใช่ไหมครับ
-เมื่อพูดกับผู้อื่น ก็มุ่งหมายให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ให้เขาเข้าใจ เรื่องของตัวเองมันมีอยู่ทุกเรื่อง ทุกระยะ ทุกเหตุการณ์ มันก็ยํ้าได้ทั้งในการศึกษาเพิ่มเติม ทั้งการเทศน์สอนออกไป หรือแม้ ในการสวดมนต์ภาวนา หรือว่าคิดใคร่ครวญที่จะแต่งอะไรให้มันลึกซึ้ง นาน ๆ ก็มาเพ่งทางจิตใจให้เห็นลึกถึงภายใน ให้ซ้อม ให้ฝัง ให้ลงรกลงราก
อาจารย์ครับ แล้วใน ๕ วิธีนี้ ธรรมชาติร่วมกันเองของ ๕ วิธีนี้ ที่ทําให้คนเราบรรลุธรรมคืออะไร อะไรทําให้เราเข้าใจสัจจะมากขึ้น อะไรคือธรรมชาติร่วมกันของ ๕ วิธีนี้
-ก็มันกลมกลืนกันนี่ ทั้ง ๕ ส่วน ๕ องค์ประกอบ มันกลมกลืน มันไม่ตีกัน มันไม่ขัดกันเลย มันกลมกลืนกันมากขึ้น
ผมหมายถึงว่า ธรรมชาติร่วมของมัน คือแต่ละวิธี มันไปทําอย่างไรในจิต ทําให้คนเราคลายความยึดมั่นลง อะไรคือกลไกการทํางานของมัน
-คือทุกเรื่องมันทําให้เกิดความพอใจ เกิดปีติ เกิดสุข คือความพอใจ อันนี้มันเป็นธรรมชาติมากที่สุด เมื่อฟังเกิดความพอใจ เมื่อเทศน์ก็เกิดความพอใจ เกิดความพอใจในธรรม ความพอใจในธรรมนี้ ออกจากการที่ทําอย่างนั้น ผ่านมาทางความพอใจ แล้วก็เป็นสุขก่อน แล้วจึงจะปัสสัทธิ จึงเป็นสมาธิ จึงจะเห็น จึงจะเดินไปตามกระแสจิตล้วน ๆ ทั้ง ๕ องค์ในวิมุตตายตนสูตร มีหลักเดินอย่างเดียว เรียกว่าปลุกให้เกิดความพอใจ เป็นสุข พอใจ จิตใจชนิดนั้นก็เป็นสมาธิ ในความเป็นสมาธิ หรือขณะในความเป็นสมาธิจะเห็นแจ้ง ตามที่เป็นจริง นี่มันเป็นเรื่องธรรมะแล้ว ไม่ใช่เรื่องบุคคล เรียกว่าหลักธรรมะหรือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเกี่ยวกับเรื่องอย่างนี้
แต่ถ้าทุกคนทําถูก มันก็จะผ่านขบวนการอันนี้ทุกคนใช่ไหมครับ
-มันเหมือนกันทุกคน ใน ๕ อย่างนี้ มันมีแต่ว่าบางคนมีอย่างนั้นมากบ้าง อย่างนี้มากบ้าง แล้วแต่โอกาส คนที่ไม่มีโอกาสจะสอนใครเลย มันก็ไม่ได้พบผลที่จะได้รับอย่างนี้ จากการที่สอน ที่เทศน์ บางคนไม่เคยทําสมาธิวิปัสสนาเสียเลย มันก็ขาดไปอีกอันหนึ่ง ทีนี้อย่างไหนทําผิว ๆ ผลก็เป็นผิว ๆ ไป อย่างจะท่องทําวัตรสวดมนต์ให้เกิดผลลึก ๆ จริง ๆ แล้ว มันต้องตั้งใจมากเป็นพิเศษ ฟังแล้วเข้าไปในความรู้สึก ชุ่มฉํ่าลงไปโดยการท่องเอง หรือการฟังผู้อื่นท่อง แต่การท่องเองรู้สึกว่ามันยังไม่เท่าไร มันมีการท่องเพื่อความสนุกมากกว่า เว้นไว้แต่ผู้นั้นมีความรู้ ความฉลาด สามารถพอ ตั้งใจท่อง เพื่อเอาความหมายอันลึกซึ้งของคําที่ท่อง อย่างนี้ถ้าทําได้ ก็ดี ถ้าให้ครบทั้ง ๕ วิธีมันสนุก มีรสมีชาติ ไม่เบื่อ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 394-396
ตอนที่ 148 , ภาพหน้าที่ 396-397
อาจารย์ครับ ถ้าอย่าง มองโดยสรุป ระหว่างปริยัติ ปฏิบัติ กับการเผยแผ่ ของอาจารย์ สัมพันธ์กันอย่างไรครับ
- ทําพร้อมกันไป (หัวเราะ) บางเวลาศึกษาคืนนี้ พรุ่งนี้ก็ไปเทศน์ บางเวลาก็เป็นกรรมกรก่อสร้าง (หัวเราะ) บางเวลาก็ลงคลองไปพัฒนา (หัวเราะ) นอกหน้าที่ของภิกษุตามธรรมดา หรือความหมายของภิกษุ เราเป็นช่างก่อสร้าง บางทีก็ไปหาไม้ในป่า บางทีก็ไปแต่งคลองให้ใช้ประโยชน์ได้ ไปทําถนนให้ใช้ประโยชน์ได้ บางสมัยไปทําถนนทุกวัน ทุกวัน ถ้าเราไม่ไป คนก็ไม่มา ถ้าเราไป คนก็มาช่วยมาก ถ้าเราไม่ไป ไม่มีใครเอาอาหารมาเลี้ยงคน ถ้าเราไป ก็อ้างเราให้เอาอาหารมาเลี้ยงพระ เสร็จแล้วเลี้ยงคน มันทําทุกอย่างที่มันไม่ผิดวินัย หรือมันไม่เสียหาย ทําทุกอย่าง ศึกษาเรื่องหยูกเรื่องยา ไปช่วยคนเจ็บคนไข้ บางเวลา บางสมัยก็ทํามาก สรุปให้มันจริงที่สุดก็คือมันทําทุกอย่างที่รู้สึกว่าทําได้ และพอใจ ทําทุกอย่างมากกว่า ๕ อย่างนั้นก็มี (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ นอกเหนือจาก ๕ อย่างนี้ มันมีส่วนช่วยให้เข้าใจธรรมะ ให้เห็นถึงธรรมะเหมือนกันหรือเปล่า
-ทั้งนั้นแหละ การทําอะไรก็ตาม ถ้ามันมีปัญญา มีความเฉลียวฉลาดกันบ้าง จะมองเห็นแง่ของธรรมะเสมอ มองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของมนุษย์ทั้งหลาย มองเห็นกิเลสก็มี ในแง่ของความดีก็มี ในแง่ของธรรมดาของธรรมชาติล้วน ๆ ก็มี ฝึกเป็นคนรู้จักสังเกตคนทุกชนิด ตามที่มันกระทําได้ กลายเป็นความรู้มาในชั้นหลัง คนนี้เห็นหน้า เห็นกิริยาท่าทาง ฟังพูดจาอะไรบ้าง ก็พอทายได้ ว่าคนนี้ต้องเป็นอย่างไร ก็คุณลองนับดูเอาเอง เกิดมาทําอะไรบ้าง แม้เกี่ยวกับสวนโมกข์ ทําอะไรบ้าง เป็นสมุหบัญชีก็เคย เป็นศิลปินก็เคย เป็นนักโบราณคดีก็เคย มันไม่เคยขัดขวางกับธรรมะเลย มันก็ให้การงานสําเร็จลุล่วงไปด้วย ฝึกให้เรารอบรู้ เฉลียวฉลาด รอบด้านด้วย เรื่องที่ควรจะทําก่อนบวช แต่มันไม่มีโอกาส มันเพิ่งมาทํา มันเพิ่งมีโอกาส เมื่อบวชอย่างนี้ก็มี ก่อนนี้ผมไม่เคยเลื่อยไม้ ไม่เคยไสกบไม้ บางยุคบางสมัย ก็ต้องทําหน้าที่ บางทีทําได้ดีกว่าคนอื่น เช่น พิจารณาซุงท่อนนี้ จะเลื่อยมันอย่างไรจึงจะถูก ได้ผลดีที่สุด และมีส่วนผิดพลาดบิดเบี้ยว เสียหายน้อยที่สุด เพราะเรามีความรู้อะไรอยู่บ้าง ที่เล่าเรียนมา เลขคณิตบ้าง เรขาคณิตบ้าง รู้จักเหลี่ยม รู้จักอะไรบ้าง โดยเฉพาะไม้ที่เป็นท่อนกลม มันเลื่อยยาก ทําไม่ดีบูดเบี้ยวหมด
อาจารย์ครับ แล้วมีไหมว่างานที่นอกจาก ๕ อย่าง มันทําให้รู้สึกว่ารําคาญแล้วจิตใจไม่ก้าวหน้า จนอยากจะทิ้ง อยากจะเลิก อย่างนี้มีไหม คือทําไปแล้วมันยิ่งรู้สึก ทําให้เราภาระหนักขึ้น กิเลสมากขึ้น อะไรอย่างนี้
-(หัวเราะ) ไม่ค่อยมี เราจะทําตามที่มันมีเหตุผลให้ทํา ทําไปแล้ว ได้ประโยชน์ทั้งนั้น ได้รับประโยชน์ทั้งนั้น ไปลากไม้กับช้างลากไม้ ก็ได้ความรู้ตั้งหลายอย่าง ผมอัศจรรย์ใจที่สุดคือที่ผูกซุงให้ช้างลากอย่างง่าย ๆ ซึ่งเราคิดเองก็ไม่ออก มันง่าย ๆ ตะหวัดทีเดียวช้างวิ่งอย่างไรก็ไม่หลุด เดี๋ยวนี้ผมยังพอใจในความรู้ของมนุษย์ที่เขาได้ค้นได้พบกันมาแล้ว ถ้าคบกับคน มันควรจะรู้จักกิเลสของคนนานาชนิด เพราะคนมันนานาชนิด กิเลสมันก็นานาชนิด
จะให้เอาผมเป็นตัวอย่าง ก็ต้องบอกว่าลองทุกอย่างเท่าที่จะทําได้ และควรลอง ที่ควรลอง หรือลองได้ (หัวเราะ) ทุกด้านทุกแง่ทุกมุม ที่มันอยู่ในวิสัยที่ลองได้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 396-397
ตอนที่ 149 , ภาพหน้าที่ 397-398
อาจารย์ครับ ถ้าจะถามว่าธรรมะข้อไหน หรือว่าธรรมะหมวดไหน ที่อาจารย์ใช้มากที่สุดในชีวิตปฏิบัติธรรม อาจารย์จะตอบว่าอย่างไร
-ตอบไม่ถูก ถ้าคะเน ๆ เหมา ๆ กันก็ไม่พ้นเรื่องที่เป็นธรรมะอยู่แล้ว การพินิจพิจารณา สติสัมปชัญญะ ใคร่ครวญโดยโยนิโสมนสิการ ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดก็โยนิโสมนสิการ การเพิ่มพูนความรู้หรือปัญญาอันลึกซึ้งมันก็มาจากโยนิโสมนสิการ ไม่ว่าเรื่องบ้าน เรื่องเรือน เรื่องโลก เรื่องธรรมะ การรับเข้ามาโดยวิธีใดก็ตาม เช่น ฟังจากผู้อื่น อ่านจากหนังสือ หรือจากอะไรก็ตาม ที่เรียกว่านอกตัวเรา ฟังเข้ามาพอถึงแล้ว ก็โยนิโสมนสิการเก็บไว้เป็นความรู้ เป็นสมบัติ พอจะทําอะไร จะลงมือทําอะไร ก็โยนิโสมนนิการในสิ่งที่จะทํา ให้ดีที่สุด มันก็ผิดพลาดน้อยที่สุด เรียกว่าไม่ค่อยจะผิดพลาดเลย เท่าที่จําได้ ในความรู้สึก อะไรที่ควรกระทํา จะได้ จะมี มันไม่เคยพลาด เพราะเราเป็นคนโยนิโสมนสิการตลอดเวลา และรู้สึกว่า ฉลาดขึ้นมาก็เพราะเหตุนี้ ถ้าจะเรียกว่าฉลาดนะ
อาจารย์ครับ แต่คนทั่ว ๆ ไปนั้น เรื่องที่เข้ามาทําให้เราพิจารณามันมีเยอะใช่ไหม ถ้าเราพิจารณาทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตนี้ เวลาในชีวิตก็คงไม่พอ
-ไม่ใช่อย่างนั้น เรื่องที่มันมีเรื่อง เรื่องที่มันเป็นเรื่อง เรื่องที่มันต้องพิจารณา นอกนั้นมันละลายไปเอง ก็คุณดูซิ วันหนึ่ง ๆ มันมีเรื่องอะไรบ้างที่ควรจะพิจารณา เราก็ทําแต่เรื่องที่เราจะทํา เป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่อง การเป็นเรื่องงาน เรื่องหยุมหยิม เรื่องประกอบหยุมหยิม ผมไม่สนใจ ไม่มีนิสัยสนใจ ฉะนั้น จึงอ่านหนังสือบางเล่มไม่ได้ เช่นมันพิถีพิถัน จู้จี้
ผมไม่มีเข็ม ไม่มีความมุ่งหมายอะไรที่ตั้งไว้แต่แรก โดยเฉพาะตั้งแต่เด็กแล้วยิ่งไม่มี มันตั้งไม่ถูก มันก็เป็นมา ๆ ตามบุญตามกรรมของมัน เล่าเรียนมาเท่านั้น ได้บวชเท่านี้ ที่ผ่านมาในความรู้สึก ที่รู้สึกว่ามันดีมีประโยชน์ก็สนใจ นับแต่ไม่ได้คิดจะบวชนะ บวชเพื่อโยมให้โยมพอใจเท่านั้น จะมีเข็มอะไรที่เป็นเป้าหมายก็ไม่มี ก็เปะปะมา บวชแล้วมาพบธรรมะเข้า พอใจ ผมก็พอใจธรรมะ (หัวเราะ) คิดอยู่กับธรรมะ เป็นเรื่องของสติปัญญา ผมคงเป็นพวกที่เรียกว่า พุทธิจริต ชอบสนุกกับการคิดการนึก การใช้ปัญญา มาบวชเข้า มันได้พบอันนี้ ก็เลยสนุก เป็นความสุขในการคิดนึกพิจารณา พบของแปลก พบของใหม่
สิ่งต่าง ๆ มันก็เช่นนั้นเอง ก็ไม่ได้ลองทุกสิ่ง มันลองสัก ๑๐% จะไม่ถึง แต่มันรู้หมดเลย ว่ามันเช่นนั้นเอง แค่นั้นเอง อย่างเรื่องเพศตรงข้ามก็ไม่มีโอกาสลองอะไร แต่มันมีความแน่ใจว่า มีไป ก็เช่นนั้นเอง แค่นั้นเอง สักว่าแค่นั้นเอง ๆ มันก็หมดไป ปัญหาก็หมดไป สติปัญญาที่เล่าเรียนมาทางอื่น ศึกษามาทางอื่น พอที่จะรู้ได้ว่ารสทางเพศ เพศรสก็แค่นั้นเอง แค่บ้าวูบเดียวเท่านั้นเอง วิเศษวิโสอย่างไรไปไม่ได้ เพราะมันวูบเดียว มันเป็นเรื่องของกิเลส ไม่ใช่เป็นเรื่องของสติปัญญา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 397-398
ตอนที่ 150 , ภาพหน้าที่ 398-399
อาจารย์ครับ ในทางทฤษฎี จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม ต้องเริ่มจากเห็นทุกขสัจในอริยสัจ ๔ ทีนี้ชีวิตอาจารย์ ไม่ได้ผ่านการครองเรือนมาก่อน จะเข้าใจทุกขสัจได้อย่างไรครับ
-โอย ถามแบบนี้แหละแสดงว่า คุณไม่รู้จักทุกขสัจ สิ่งที่เป็นความทุกข์นั้น เรารู้จักมันโดยที่ไม่รู้ว่าเรียกความทุกข์ เกินรู้จักเสียอีก แต่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร คุณพูดถึงอริยสัจได้อย่างนี้ เพราะมันเรียนแล้ว (หัวเราะ) จึงพูดได้ ที่จริงมันควรจะรู้อริยสัจมามากมายโขอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้เรียกชื่อตามที่เขาเรียก เพราะไม่รู้ แต่เรารู้ว่าโลภะเป็นอย่างไร โทสะเป็นอย่างไร ความทุกข์เป็นอย่างไร ตัณหาเป็นอย่างไร สิ่งที่เรียกว่าตัณหาเกิดกับจิตใจเยอะแยะ แต่เราไม่รู้ว่าตัณหา เรื่องขันธ์ ๕ ก็เหมือนกัน ที่เรารู้จักกันดี ๆ แต่เราไม่รู้ว่าเรียกว่าอย่างนั้น พอมาเรียนเข้าก็รู้ว่าเรียกว่าอย่างนั้น
อาจารย์ครับ อย่างเรื่องอริยสัจ เราจะรู้เกินจากตัวหนังสือได้อย่างไรครับ
-รู้ว่าสิ่งที่เป็นความทุกข์ เคยกัดเรา เคยทรมานเรา เราก็รู้จักสิ่งนั้น โดยความรู้สึกอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้เรียกเป็นภาษาบาลีอย่างนั้นอย่างนี้ ตัณหาความอยากอย่างโง่เขลา อย่างอวิชชา เราก็เคยมา เรารู้สึกเพราะเราเคยมา แต่เราไม่รู้จักเรียกชื่อภาษาบาลี ถ้าเราสังเกต ทุกทีที่เราอยากอย่างบ้า ๆ มันทรมานใจ นั่นแหละทุกขสัจ ส่วนที่ว่าง ไม่เกิดสิ่งเหล่านี้ มีความสงบสุข เราก็เคยผ่านมาบ้าง เพราะมันก็มีกันมาทุกคน เวลาที่กิเลสมันไม่ปรากฏ นั่นแหละคือความดับทุกข์ การปฏิบัติที่ถูกต้องก็ปฏิบัติได้ ตามที่ได้ยินได้รับฟัง ได้รับคําสอนมา การเจริญมรรคให้ครบเป็นองค์ ๘ นี้ต้องศึกษามาก แต่มันรู้สึกได้โดยธรรมชาติ เริ่มจากมีความเข้าใจถูก มีความใฝ่ฝันถูก ต้องการถูก ที่ควรจะต้องการ แล้วก็ทําถูก ทําถูกต้องอย่างนั้น ก็ยึดเป็นหลักเกณฑ์แน่นแฟ้น เป็นอริยมรรค มีองค์ ๘ ในตัวโดยอัตโนมัติ แต่เรายังไม่รู้จักชื่อ บางคนมีมรรคองค์ ๘ ก็ไม่รู้จัก ถ้าตั้งอกตั้งใจศึกษาจากชีวิตโดยตรง มันก็รู้ได้ แต่เราไม่ได้เรียนเรื่องจะศึกษาอย่างไร ไม่ได้รับคําสอนว่าจะศึกษามันอย่างไรก็เลยไม่ได้ศึกษา
อาจารย์ครับ เวลาศึกษาชีวิตโดยตรง เราต้องอาศัยหลักธรรมพวกนี้เป็นแนวใช่ไหม หรือไม่จําเป็น
-มันรู้ทีหลัง มันรู้ได้จากที่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร จากภายในโดยตรง มันรู้ได้ รู้ได้ก่อนจะมาศึกษา เรื่องชื่อเสียงเรียงนามของธรรมะของสิ่งเหล่านี้มาทีหลัง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 398-399
ตอนที่ 151 , ภาพหน้าที่ 399-401
การที่เราจะรู้โดยตรงต้องทําอย่างไรบ้างครับ อย่างสัมมาทิฏฐิ เราจะให้มันงอกงามขึ้นเรื่อย ๆ ต้องทําอย่างไร จึงจะรู้โดยตรงจากชีวิตอย่างนี้
-มันก็ตั้งต้นตั้งแต่ ก.ข. มา อย่างไปจับไฟเข้า มันก็ร้อน มันมีความเข้าใจถูกต้องขึ้นมาว่า ไฟนี้จับไม่ได้ รู้อย่างนี้เพิ่มขึ้น ๆ อะไรเป็นอย่างไร ๆ เป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นมา นี้เรียกว่าเรียนโดยธรรมชาติ เด็ก ๆ รู้ว่าจับไฟไม่ได้ เพราะมันไปจับไฟเข้าแล้ว หรือแมลงบางชนิดจับไม่ได้ มันจับแล้วเคยต่อย มือมันก็รู้ไม่จับอีก ความรู้ความเข้าใจอะไรที่ถูกต้อง แล้วก็ลงเป็นของตายตัว แน่นแฟ้ นว่า เป็นอย่างนั้น ๆ ถูกต้อง พระพุทธเจ้าก็อาศัยการ "คลํา" อย่างนี้ จึงค่อยรู้เรื่องที่จะต้องรู้ เช่นเรื่องอริยสัจ แล้วคํานวณดูและหยั่งเห็นว่าอะไรเป็นอย่างไร ๆ ผมเคยพูดว่าอาจารย์ของพระพุทธเจ้าชื่อนายคลํา แล้วก็ยังยืนยันอยู่บัดนี้ว่าอาจารย์ของพระพุทธเจ้าชื่อนายคลํา ความไม่รู้ อวิชชา หรือว่าตัณหา กามตัณหา กามารมณ์ มันมีอํานาจปิดบังไม่ให้รู้ ไม่ให้คิดลึกลงไปได้ มันก็มีอยู่แค่นี้ มันติดอยู่เท่านั้น แต่มนุษย์ควรจะทะลุออกไปได้ สัตว์เดรัจฉานทะลุออกไม่ได้
อาจารย์ครับ การที่เราจะเอาประสบการณ์ของชีวิตมาคิดให้เป็นประโยชน์ได้ มันจะต้องหลังจากที่ความทุกข์ผ่านไปแล้วใช่ไหม ระหว่างที่มันมีความทุกข์อยู่ เราไม่มีจิตที่เป็นสมาธิพอที่จะคิดใช่ไหม
-(หัวเราะ) บางอย่างพร้อมกัน บางอย่างก็ไปด้วยกันพร้อมกัน ทีหน้าทีหลังมันเป็นพิเศษ มันก็สอนทุกทีที่เราไปสัมผัสอะไรเข้า มันก็สอนให้ทุกที ไปหลงในรสอร่อยของมัน มันก็เริ่มคิดผิด มันทําให้เราต้องเจ็บปวดเสียทีก่อน จึงค่อยรู้อีก
โชคดีที่มีธรรมะให้เรียนโขอยู่แล้ว มันไม่ต้องคลํามาก เพราะพระพุทธเจ้าคลําให้จนเพียงพอ เราก็สะดวก ง่ายที่จะเดินตามนั้น คือคลําตามนั้น ตามที่ได้แนะไว้แล้ว ตามที่อธิบายไว้แล้ว เรื่องที่สําคัญที่สุดคือเกิดมาควรจะได้อะไร เกิดมาทําไม มันไม่ได้สอนกัน ปล่อยให้รู้สึกเอาเอง มันก็เกิดมาเพื่อสิ่งเอร็ดอร่อยที่สุด เท่าที่ธรรมชาติมันจะให้รู้สึก แต่ที่จริงอร่อยก็ตาม ไม่อร่อยก็ตาม ไม่ใช่การพักผ่อน มันต้องไม่มีทั้ง ๒ อย่าง คือการว่าง หรือพักผ่อน ค่อยรู้ทีหลังว่ามีชั้นสูงสุด กว่าจะรู้เรื่องว่าบุญและบาป สุขหรือทุกข์ ดีหรือชั่วเป็นเรื่องยุ่งทั้งนั้น ว่างจากสิ่งเหล่านี้เสียได้แหละสูงสุด ผมเกิดมาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทําไม เป็นเด็ก ๆ ไม่มีทางรู้ ไม่มีทางจะรู้ว่าเกิดมาทําไม พ่อแม่ก็ไม่ได้สอนว่าเกิดมาทําไม แต่ก็ได้รับการดูแลว่าทําอย่างนั้นทําอย่างนี้ ที่เรียกว่าดี ๆ ให้เรียนหนังสือ ให้ประพฤติดี ก็ดี ไม่รู้ว่าเกิดมาทําไม จนกระทั่งเป็นหนุ่ม ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทําไม เพื่อประโยชน์อะไร แต่มันก็ได้กระทําทุกอย่างตามที่เขาสอนให้ทํา ตามขนบธรรมเนียมประเพณีมีให้ทํา จึงมีการศึกษา มีการทํามาหากิน มีการเป็นอยู่อย่างที่ว่าตามธรรมเนียม ตามประเพณีให้ทํา ทีนี้พอถึงคราวที่จะบวชนี้ โยมอยากจะเห็นบวช หรือบวชตามธรรมเนียม ก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทําไม แต่เอาละ บวชตามธรรมเนียมคงจะดีแน่ มิฉะนั้น เขาคงไม่ตั้งธรรมเนียมบวช มันก็บวช บวชแล้วมันก็เรียนธรรมะมา ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทําไม เรียนธรรมะ ๓ ชั้นแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเกิดมาทําไม เป็นครูแล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทําไม จนกระทั่งเรียนบาลีก็ยังไม่รู้ มันเพิ่งรู้เมื่อมีสวนโมกข์แล้ว ศึกษาธรรมะในชั้นนี้ ในชั้นลึกมากเข้า ๆ จึงค่อย ๆ รู้ ว่าเราควรจะถือหรือจะสรุปความว่า เราเกิดมาทําไม ความคิดมันก็แย้งว่าก็เราไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมานี่ ทําไมเราจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้นักเล่า แต่ในที่สุดมันก็ว่าต้องรับผิดชอบแหละ ถึงไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา เพราะมันเกิดมาแล้ว ก็ต้องทําอะไรจึงจะดี ก็พบเรื่องนี้ ทําเรื่องที่ไม่เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น เราเกิดมาอย่าอยู่อย่างเป็นทุกข์ อย่าทําสิ่งเป็นทุกข์ เกิดมาให้ได้รับสิ่งดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ สรุปครั้งแรกอย่างนี้กันก่อน แต่ก็ยังไม่ค่อยรู้ว่าอะไร จะพูดว่าเพื่อนิพพาน เพื่อได้นิพพานมันก็พูดไม่เป็น พูดไปไม่ถูก นึกไปไม่ถึงตัวนิพพานคืออะไร แต่เมื่อทํางานกับธรรมะมากเข้า ๆ ทั้งการเรียนด้วยตนเองและเผยแผ่แก่คนอื่นนี้ มันบังคับมาทีละน้อย ๆ ให้ตอบคําถามว่า เราควรจะเกิดมาทําไม มาพบคุณวิโรจน์พวกนี้ เขามันก็มีปัญหาที่ตรงกับเรา จึงถือว่าสําคัญที่จะต้องศึกษาว่าเกิดมาทําไม ผมก็สรุปเอาเองว่า เกิดมาเพื่อได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นี่มันตรรกะ มันไม่ได้รู้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่รู้สึกว่ามันถูกต้อง ทางตรรกะมันจะถูกต้องแล้ว ถ้าเราได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วมันคืออะไร มันจึงค่อยไต่ไปตามทางของนิพพาน ให้มีชีวิตที่เย็น ไม่เป็นทุกข์เลย นั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เรียกว่าเพื่อจะให้ชีวิตที่จะไม่เป็นทุกข์ มิฉะนั้นก็เท่ากับเกิดมาไม่มีค่าอะไร ไม่รู้จักทําไม่ให้เกิดความทุกข์ พอสมควร ไม่ถึงที่สุดหรอก ใช้คําว่าที่สุดไม่ได้ แต่ว่าถึงขนาดที่เป็นที่พอใจ อย่างนี้
เราไม่มีความทุกข์ก็เลยพลอยผสมโรงกับความเพลิดเพลินในการทําเพื่ออย่างนี้ ฝึกฝนให้ทําอย่างนี้ให้ดีที่สุด มันเพลิดเพลินอยู่กับการให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดแล้วก็เผยแผ่ให้มากขึ้น เรียกว่าต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ค่อย ๆ รู้ละเอียดมากเข้าก็เข้าร่องรอยของธรรมะที่ว่า ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ใด ๆ ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ คือไม่มีความทุกข์ ผลสุดท้ายสรุปความว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้คือไม่มีความทุกข์ ชีวิตที่ไม่มีความทุกข์เลย
ทีนี้ก็มาคิดเรียนลัดเอาบ้าง ว่าไม่มีความทุกข์เลยนั้น จะทําได้อย่างไรบ้าง (หัวเราะ) มันก็ยังมีที่จะเรียนลัด ไม่ต้องการอะไรให้มากไปกว่าที่จําเป็น นี่มันก็เรียนลัด กระทั่งรู้ว่าทําจิตอย่างไร เราจะไม่เป็นทุกข์เหมือนกัน ทําจิตอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น เราก็ไม่เป็นทุกข์ก็แล้วกัน เรียกว่าเรียนลัด ระหว่างนี้ก็สอนวิธีเรียนลัดแต่โดยมาก ผสมโรงกับพระธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้ามันรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วมันก็จะไม่เป็นทุกข์ มันจะเฉยได้เอง มันจะเช่นนั้นเอง พูดเรื่องเช่นนั้นเองมากขึ้น ประกอบกับอายุมันมากเข้า อายุมันมากเข้าทุกที เวลาเหลือน้อยลงทุกที มันก็ยิ่งง่าย ไม่เท่าไรมันก็ตาย ก็เหมือนกับว่า ให้พอดีกับตายเท่านั้น
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยสนใจที่จะมีเกียรติ ไม่สนใจจะบรรลุถึงนิพพานหรือไม่ เป็นพระอรหันต์หรือไม่ ไม่อยู่ในความคิด รู้แต่ว่าอยู่อย่างไม่มีทุกข์เรื่อย ๆ ไปก็พอแล้ว ทําประโยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุดด้วย ตัวเองก็สบายดีด้วย ทําผู้อื่นให้ได้รับประโยชน์อย่างที่เราได้รับด้วยเรื่อย ๆ ไป แค่นี้ก็พอแล้ว จะเป็นอะไร สักแค่ไร ไม่สนใจ เรื่องความบัญญัติว่าเป็นอย่างนั้นว่าเป็นอย่างนี้ เป็นโสดา สกทาคา อรหันต์ เดี๋ยวนี้ไม่อยู่ในความสนใจ ไม่อยู่ในความรู้สึก เพราะต้องการเพียงว่าเราจะไม่มีความทุกข์ ทําประโยชน์ผู้อื่นให้พร้อมไปในตัว อย่างมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ต้องการจะเป็นอะไรไปมากกว่านั้น พอที่จะสงเคราะห์ได้ว่า มันไม่ต้องการภพคือความเป็น มันอยู่ในลักษณะที่ว่างจากภพ ว่างจากความเป็น เหลือแต่ร่างกาย จิตใจ นามรูปเคลื่อนไหวไป ในลักษณะที่ไม่เป็นทุกข์ ให้มีประโยชน์กับผู้อื่นมากที่สุด จนกว่ามันจะดับลงไป เหมือนกับว่าตะเกียงหมดนํ้ามัน ไม่ต้องถามว่าไปไหน ไฟหมดเชื้อเพลิง ไม่ต้องถามว่าไปไหน จบกันแค่นั้น นี้แหละเรื่องที่พูดได้มีแค่นี้ ถ้าใครเห็นด้วย มันก็ทําตามได้โดยไม่ยากเลย ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีทางที่จะทําอะไรได้ เพราะเขาต้องการจะเป็นนั่นเป็นนี่ ได้นั่นได้นี่ อะไรก็ไม่รู้ อุดมคติบ้า ๆ บอ ๆ เราไม่ต้องการ ต้องการแต่วันหนึ่ง ๆ ไม่มีความทุกข์
มันคงจะแปลก ถ้าไปเล่าให้ใครฟัง ไปพูดให้ใครฟัง มันเคยหวังจะได้บรรลุมรรค ผล นิพพานอย่างยิ่งอย่างแรงเหมือนกัน เมื่อสมัยที่มันไม่รู้ว่านั่นคืออะไร ตามเขาว่า ตามเขาอธิษฐานกัน ต้องการกัน ปรารถนากัน เราก็พลอยกับเขา เดี๋ยวนี้ไม่ต้องการความเป็นอะไรอย่างที่ว่า ให้มันอยู่อย่างไม่มีความทุกข์ เมื่อมันยังไม่ตาย ยังมีเรี่ยวมีแรงก็ทําสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นให้มากที่สุดด้วย ตัวเองไม่เป็นทุกข์ด้วย คนอื่นได้รับประโยชน์ด้วย พอใจแล้ว ไม่ต้องเป็นอะไรมากกว่านั้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 399-401
ตอนที่ 152 , ภาพหน้าที่ 402-403
อาจารย์ครับ แต่ถ้าเป็นคนหนุ่ม ๆ ความอยากเป็นนั่นเป็นนี่มันก็แรง
-ก็แรงซิ มันก็แรง เพราะมันไม่รู้ว่า เป็นอะไรเข้า คืออะไร คืออย่างไร ก็เหมือนผมแหละ เมื่อหนุ่มอยู่ มันก็อยากตามที่เขานิยมกันว่าดี ว่าประเสริฐ ว่าวิเศษตามที่ได้ยินได้ฟังเขาว่า ทุกคนมันจะเป็นอย่างนั้น เมื่อหนุ่ม ๆ จนกว่าจะได้เรียนรู้ธรรมะในชั้นลึกที่สุด ว่าความรู้สึกที่ว่าเป็นอะไรนั่น หนัก เป็นของหนัก ทรมานจิตใจ เป็นอะไร ๆ พิเศษเท่าไร ไม่ดับทุกข์หรอก ถ้าไม่มีการเป็น ต้องการจะเป็นอยู่ มันยังไม่สิ้นทุกข์ ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเป็นอะไร มันหมดปัญหา มันไม่ต้องเป็นภาระหนัก ชีวิตที่ไม่มีภาระ ก็คือชีวิตที่ไม่ได้เป็นอะไร ไม่ได้หมายมั่นยึดมั่นให้เป็นอะไร มันเป็นหลักที่ใช้ได้ทั่วสากลโลก เฉพาะผู้ที่เข้าใจได้ เมื่อเข้าใจไม่ได้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกัน คิดอย่างนี้
อาจารย์ครับ แล้วอย่างที่พระอานนท์เคยบอกว่า ให้เอามานะละมานะ เอาตัณหะละตัณหา เราจะนํามาใช้จัดการกับความอยากมีอยากเป็นเพื่อให้นําไปสู่ความไม่มีไม่เป็นในภายหลังได้ไหม
-มันเป็นสํานวนของพระอานนท์องค์เดียวเท่านั้น ที่ใช้สํานวนอย่างนี้ อาศัยตัณหาละตัณหา แต่มันคนละความหมาย แล้วเป็นตัณหาที่ไม่ควรจะเรียกว่าตัณหา ตัณหาคือความอยากอย่างโง่ เข้าในอํานาจของอวิชชา ความอยากที่มาจากสติปัญญาไม่ควรเรียกว่าตัณหา แต่ขอยืมใช้สํานวนนี้ ตัณหาที่มาจากสติปัญญา คือความต้องการที่มาจากสติปัญญานั่นแหละเอามาละความต้องการอย่างโง่เขลาด้วยกิเลสตัณหาเสีย จึงใช้คําว่าอาศัยตัณหาละตัณหา อาศัยมานะละมานะ มันก็เหมือนกัน มันคนละมานะ มานะของกิเลสตัณหาคือเป็นตัวเป็นตนอย่างนั้นอย่างนี้ มานะของสติปัญญา คือรู้ว่าเราก็เป็นคนคนหนึ่งเหมือนกัน เมื่อคนนั้นมันละได้ คนนี้ก็ต้องละได้ เป็นมานะที่มาจากสติปัญญา อาศัยมานะนี้ละมานะที่มาจากกิเลสตัณหา สํานวนอย่างนี้ต้องเรียกว่าพิเศษ ก็มีแห่งเดียว มีแต่พระอานนท์พูดสํานวนอย่างนี้ ตัณหาหมายถึงกิเลสตามธรรมดา แต่พระอานนท์ให้หมายถึงตัณหาของปัญญา ของวิชชา เอามาละตัณหาของอวิชชา ของกิเลส เพื่อพูดให้สะดุดใจภิกษุณีองค์นั้น ส่วนกามารมณ์นั้นอย่าไปเกี่ยวข้องเลย จงชักสะพานเสียเถิด (เสตุฆาต) ชักสะพานคือ ตัดขาดไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกัน คําพูดพระอานนท์มี ๓ บรรทัด ใช้ตัณหาละตัณหา มานะละมานะ ส่วนกามคุณนั้น ทําการชักสะพานเสียเถิด อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องแตะต้องเลย ถ้าแปลความหมายไม่ถูกต้อง ก็ฟังไม่ถูก และยิ่งไปกว่านั้นอาจจะทําผิดก็ได้ ทําไปผิด ๆ ก็ได้ เพิ่มตัณหาใหญ่เลย เพิ่มกามารมณ์ใหญ่เลย ไม่ได้ละตัณหา จนเกิดลัทธิที่เอากามารมณ์มาแก้ปัญหา เช่น ลัทธิตันตริกบางนิกาย เป็นต้น
หลักสําคัญที่สุดในการอบรมปัญญามันมีว่า พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่ พิจารณาให้ชัดขึ้น ๆ โดยวิธีใดก็ตาม ให้ชัดขึ้น ๆ และเมื่อมันจะละอะไรได้ขั้นหนึ่ง แล้วพิจารณาอีก ซํ้าที่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะละไป ๆ ซํ้า ๆ จนกว่าจะหมดทุกข์ เป็นโสดาบันแล้วก็เพ่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนเป็นสกทาคามี เป็นสกิทาคามีแล้วก็เพ่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนเป็นอนาคามี เป็นอนาคามีแล้วก็เพ่งจนกลายเป็นพระอรหันต์ คือเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสิ่งทั้งปวง นี่มันมีอยู่อย่างนี้ มันน่าอัศจรรย์ตรงที่ไม่ต้องเพ่งอันอื่น นอกจากอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 402-403
ตอนที่ 153 , ภาพหน้าที่ 403-404
เพ่งนี้หมายความว่าอย่างไรครับ
-อะไรที่เข้ามาในความรู้สึก มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของมัน เปลี่ยนแปลงอย่างน่าเกลียด เห็นความที่ไปจับแล้วก็เป็นทุกข์ เช่นความสุข ความรู้สึกเป็นสุข อร่อย นี้เอามาทําเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา คือความสุขอันอร่อยนั่นแหละเปลี่ยนแปลง มองดูในแง่ที่เปลี่ยนแปลง เห็นความเปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงก็เห็นความน่าเกลียด ที่หลอกลวงที่เป็นทุกข์ ไปหลงรักมันเข้าก็เป็นทุกข์ พอเห็นว่าไม่เที่ยงและหลอกลวงอย่างนี้แล้ว มันก็คืออนัตตา คือไม่ใช่ตัวตนของอะไร มันอาจจะทําพร้อมกันไปได้ทั้งโดยคํานวณด้วยเหตุผลก็ได้ แล้วเห็นแจ้งในสิ่งนั้น ๆ ว่าเป็นเช่นนั้นจริงก็ได้ เสร็จแล้วมันสําเร็จประโยชน์ตรงที่เห็นเช่นนั้นจริง ๆ โดยไม่ต้องคํานวณด้วยเหตุผล เพราะถ้าคํานวณด้วยเหตุผล เดี๋ยวมันก็กลับไปตามเดิมอีก ต้องพ้นการคํานวณ คือเห็นเป็นน่าเบื่อหน่ายแบบสังเวชคลายกําหนัด โดยการเห็นจริง โดยไม่ใช้เหตุผล เห็นเด็ดขาดตลอดไป ดูเหมือนวิมุตตายตนสูตรข้อที่ ๕ ข้อสุดท้ายนั้นเห็นด้วย ญาณทัศนะ ข้อ ๔ ใคร่ครวญ นั่นแหละใคร่ครวญโดยตรรกะ โดยวิธี logic เห็นด้วยวิธี logic ที่ฝรั่งจะศึกษาได้มากที่สุดเวลานี้ ก็คือโดยวิธี logic โดยวิปัสสนาแท้ ๆ ยังไกลอยู่
-เพราะมันไม่เป็น มันทําไม่ได้ เพราะมันทําไม่ถึง เพราะเขานิยมยึดถือมันแต่เรื่องการใช้เหตุผล ตามวิธี logic เป็นวิสัย ฝรั่งมันทําได้อย่างมากก็แค่นั้น
อาจารย์ครับ เราจะดูของจริงโดยไม่ใช้เหตุผล จิตต้องไม่มีนิวรณ์ใช่ไหม ถ้ามีนิวรณ์ มันก็ดูไม่ได้
-ถูกแล้ว เรียกว่ามันเป็นสมาธิ มันก็ไม่มีนิวรณ์ จิตเป็นสมาธิเรียกว่านิ่มนวล อ่อนโยน นิ่มนวลควรแก่การงานทางจิต เหมาะสมที่สุด ถูกต้องที่สุด ควรแก่การงานทางจิต จิตนี้จึงจะเห็นโดยไม่ต้องคิด
อาจารย์ครับ อย่างนี้คนธรรมดาก็ไปถึงยาก เพราะว่ากว่านิวรณ์จะหมด มันต้องได้ฌานแล้ว นิวรณ์จึงจะหมด
-มันก็ได้ มันแล้วแต่เหตุปัจจัย ถ้ามันคิดถูก บํารุงจิตถูก นิวรณ์มันก็ไม่เกิด
-ถ้านิวรณ์ไม่เกิดขึ้น ก็ควรจะถือว่ายิ่งกว่าได้ฌานเสียอีก คือได้สมาธิโดยถูกต้องแล้ว
อาจารย์ครับ แล้วมนุษย์ทั่วไปต่างมีอนุสัย นิวรณ์มันไม่ได้เกิดอยู่ตลอดเวลาหรือครับ
-ถูกแล้ว เวลาที่มันไม่เกิดนี่แหละ ใช้เวลานั้นให้เป็นประโยชน์ เวลาที่นิวรณ์ไม่เกิด กิเลสไม่เกิด จิตเป็นอย่างไรก็ดูซิ เกิดกิเลสนิวรณ์ตลอดเวลามันก็ตาย เป็นบ้าและตาย เวลาที่นิวรณ์ไม่เกิดก็มี แต่มันมักจะเกิดหรือเกิดจนธรรมดาเนือย ๆ เรื่อยไป ๆ ติดต่อกันไป ต่อเนื่องกันไป ระยะว่างมันเป็นส่วนน้อย แต่มันมีพอที่จะไม่ให้เป็นบ้าตาย ถ้านิวรณ์ไม่ว่างเว้นเสียเลยมันก็เป็นโรคประสาท เป็นบ้า แล้วก็ตาย กิเลสก็เหมือนกัน โลภะ โทสะ ร้อนเป็นไฟ ถ้าเกิดตลอดเวลาก็ตาย เส้นโลหิตแตกตาย วิธีคิดนึกของพวกฝรั่งทั้งหลายอาศัยฝ่าย logic ไม่ใช่ฝ่ายวิปัสสนา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 403-404
ตอนที่ 154 , ภาพหน้าที่ 404-406
อาจารย์ครับ แต่ถ้าหากว่าคิดตรง คิดถูกตามหลัก จิตมันก็สลดเหมือนกันใช่ไหมครับ
-สลด คอยรู้จักถือเอาประโยชน์ที่จิตมันมองเห็น แล้วเสริมให้มองเห็นด้วยวิปัสสนาให้ได้ แม้จะตั้งต้นแต่การคิดจากตรรกะ พอเห็นแล้ว ทําให้ความเห็นชัด ลึก ดิ่งถึงรกถึงราก แจ่มแจ้ง จนเป็นวิปัสสนา ที่เป็นเพียง intellect หรือ comprehension อะไรพวกนี้ยังไม่พอ อย่างมาก ฝรั่งมีคําใช้ก็คือ intuitive wisdom ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะถึงขนาดวิปัสสนาขนาดสูงสุดหรือไม่ ดูมันไม่มีคําอื่นใช้ อาศัยคําเหล่านี้พอเป็นเครื่องแบ่งปันจัดระยะขั้นตอน
ปัญญา ๓ ขั้นนั้นแหละ ศึกษาไว้ให้ดี ๆ เข้าใจให้ดี ๆ สุตมยปัญญาจากการศึกษาค้นคว้า จินตามยปัญญาจากการคิด ภาวนามยปัญญาจากวิปัสสนาภาวนา เรามักมีแต่การศึกษากัน อย่างมากก็เพียงการคิดคํานวณ ใคร่ครวญ คํานวณตามวิถีทาง logic บ้าง philosophy บ้าง ไม่ขึ้นไปถึงขั้นที่เรียกว่าวิปัสสนา ภาษาฝรั่งใช้คําว่า insight เราก็ไม่รู้คํานั้นจะมีความหมายสักเท่าไร แต่ถ้าว่ามันสูงไปกว่า intellect ก็พูดกันไปทีก่อน ถือว่า intuitive wisdom หรือ insight อยู่ในระดับวิปัสสนา
อาจารย์ครับ อย่างข้อสัมมาสังกัปปะมันก็อยู่ในระดับปัญญาขั้นคิดใช่ไหมครับ เราป้ องกันไม่ให้จิตคิดไปทางก่อทุกข์ ดังนั้นเราก็ต้องให้จิตคิดไปในทางที่จะไม่ก่อทุกข์
-ไม่ใช่การคิด สัมมาสังกัปปะ ไม่ใช่การคิดด้วยเหตุผล มันเป็นความรู้สึก ที่ไปตามอํานาจของสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิมันบอกให้รู้อย่างนี้ผิด อย่างนี้ถูก ความต้องการก็เกิดขึ้นสมคล้อยกับความจริงข้อนั้น ฉะนั้นสัมมาสังกัปปะ จึงไม่มีทางผิด มันคิดไปแต่ทางถูก เพราะมันมีมูลจากความเห็นที่ถูก ความรู้ที่ถูก ความเชื่อที่ถูก สังกัปปะ คํานี้แปลว่าความต้องการ ต้องการด้วยสติปัญญา ถ้าต้องการด้วยกิเลสตัณหาก็เรียกว่าตัณหา และอะไรอีกหลายชื่อ ล้วนแต่เป็นพวกตัณหาทั้งนั้น เพราะเป็นความต้องการที่ไม่ถูก อวิชชาตัณหาครอบงําเข้าไป ความต้องการในความหมายกลาง ๆ เรียกว่าสังกัปปะ คือมันมาฝ่ายวิชชาแล้ว มาฝ่ายสัมมาทิฏฐิแล้ว ไม่ต้องเจตนาคิดเพื่อจะดําริอะไรขึ้นมาใหม่ ปล่อยมันไปตามอํานาจของสัมมาทิฏฐิ ฉะนั้น ทําสัมมาทิฏฐิให้รุ่งเรืองอยู่เสมอ มันเป็นครูให้เกิดสัมมาสังกัปปะเอง เมื่อมีสัมมาทิฏฐิควบคุมอยู่ สัมมาสังกัปปะก็ปรารถนาอยู่ มันก็เกิดการกระทําที่ถูกต้อง สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว ถูกต้องไปตามอํานาจของ ๒ ข้อข้างต้น ซึ่งเป็นปัญญา ศีลเป็นไปตามอํานาจของปัญญา และก็ง่ายที่จะเกิดสมาธิ ซึ่งก็เป็นไปตามอํานาจของปัญญาอีก
อาจารย์ครับ สัมมาทิฏฐิตามตํารามักจะพูดถึง ๒ อย่าง คือเห็นพระไตรลักษณ์กับเห็นอริยสัจ ๔ ทีนี้ ๒ อย่างนี้มันสัมพันธ์กันอย่างไรครับ
-โอ้ ก็ดูซิ ถ้าเราเห็นความจริงแบบอริยสัจ ๔ ก็เห็นเป็นทุกข์และความดับทุกข์ ถ้าเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความจริงของธรรมชาติ ถ้าเห็นแล้วมันก็ตัดตัณหา ทีนี้สัมมาทิฏฐิที่ไม่ได้เอามาพูดกัน อยู่ในพระไตรปิฎกมีอีกเยอะ เช่นเห็นสุญญตา เห็นอิทัปปัจจยตา เห็นสุญญตานั่นแหละมาก เห็นอนัตตาที่เป็นไปถึงที่สุด เห็นว่าไม่มีตัวตน อย่างนั้นไม่มี มิใช่คนนี้ มิใช่คนอื่น มิใช่อย่างนี้ มิใช่อย่างอื่น คําเหล่านี้ไม่ค่อยได้เอามาพูดกัน มันพูดยาก พูดลําบาก คือไม่เห็นอย่างที่คนธรรมดาเห็น โดยประการทั้งปวง
อาจารย์ครับ ทําไมมีหลายอย่างนัก
- มันก็อย่างนั้นแหละ ธรรมชาติมีอย่างนั้น แล้วแต่จะดูกันแง่ไหน จะดูนามรูป กายใจ จะดูกันแง่ไหน ในแง่ไม่เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาก็ได้ ในแง่ว่าง ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน ก็คืออนัตตานั่นเอง เมื่อเห็นอนัตตาของสิ่งใด ก็เกิดปัญหาในสิ่งนั้นไม่ได้ มันก็เป็นมรรคที่ดับทุกข์
แล้วในแง่อริยสัจ ๔ ล่ะครับ
-มันจัดรูปไว้เป็นระบบให้เห็นง่าย ๆ ให้เห็นสัมพันธ์กันง่าย ๆ เป็นหลักเบื้องต้น เห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ภาวะตรงกันข้ามคือความดับทุกข์ แล้ววิธีการที่จะเข้าถึงอันนั้น คือพูดให้เป็นหลัก ให้มันง่าย ให้มันชัดขึ้นมา สัมมาทิฏฐิ เห็นตามที่เป็นจริง ใช้คําว่าเห็นตามที่เป็นจริง เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเห็นหลักอริยสัจ ๔ นั่นเอง
ผมจัดไม่ค่อยลงตัวระหว่างอริยสัจ ๔ กับไตรลักษณ์ มันลงกันอย่างไรครับ
-ต้องนึกถึงสัมมาทิฏฐิ เห็นถูกต้องตามที่เป็นจริง มีหลาย ๆ แบบคือเห็นความจริงในรูปแบบของอริยสัจ ๔ เห็นความจริงในรูปแบบของไตรลักษณ์ เห็นความจริงในรูปแบบของปฏิจจสมุปบาท เห็นความจริงในตถาตา อิทัปปัจจตยา ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา จนกระทั่งมีคําอธิบายเกี่ยวกับความว่าง กระทั่งเห็นไม่เป็นบวกไม่เป็นลบ ไม่เป็นแง่ดีไม่เป็นแง่ร้าย มันก็รวมอยู่ในข้อนี้ รวมในข้อสัมมาทิฏฐิ ถ้าเห็นความสุขเป็นบวกอยู่ มันก็ยังโง่อยู่ คือหลงในความสุข เห็นความสุขในฐานะเป็นของหลอกลวงให้หลง มันก็ดีขึ้นไปกว่า แต่ก็มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับหลงอะไรกันอยู่ เห็นความสุขเป็นความว่าง ว่างไม่มีตัวตนของความสุข จะเป็นตัวตนของใครก็ไม่ได้ เห็นความสุขอย่างนี้ เรียกว่าเห็นเลยขึ้นไป เลยความบวก เลยความเป็นลบ อะไรก็ตามที่มนุษย์จะหลงยึดถือเป็นคู่ ๆ ตามหลักที่ฝรั่งทําไว้ละเอียดลออเหมือนกัน เรื่องอย่างนี้เป็นวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ เพราะมันเป็นเรื่องทางจิตใจ วิทยาศาสตร์ของฝรั่ง เป็นเรื่องทางวัตถุเสียส่วนใหญ่ เป็นเรื่องทางจิตใจน้อย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 404-406
ตอนที่ 155 , ภาพหน้าที่ 406-407
อาจารย์ครับ ถ้าเรามองจากแง่มุมของอริยสัจ ๔ ลักษณะทุกข์นี้เราควรจะกําหนดรู้ แล้วสมุทัยเราควรละ นิโรธนี้ควรทําให้แจ้ง มรรคควรทําให้เกิดมี แต่ในทางปฏิบัติจริง ๆ แล้ว มันต้องเริ่มจากมรรคก่อนใช่ไหมครับ คือมันไม่ได้มาตามลําดับ การที่เราเริ่มจากมรรคนั้น มันก็เท่ากับกําหนดรู้ทุกข์ กําหนดละสมุทัยใช่ไหมครับ
- อะไรก่อน แล้วแต่เหตุการณ์ แล้วแต่เหตุการณ์จะทําให้เห็นอะไรก่อน แต่ถ้าว่าจะพูดโดยทั่วไป ตามหลักต้องถูกความทุกข์คุกคามข่มขี่เอา แล้วอยากจะดับทุกข์ จึงดิ้นรนเพื่อจะดับทุกข์ จึงไปสนใจเรื่องดับทุกข์ที่เรียงไว้เป็นลําดับดีแล้ว เป็นลําดับตามธรรมชาติ ที่จะต้องเห็นโดยลําดับอย่างนั้น ถ้าไม่มีจุดตั้งต้นว่าเห็นความทุกข์เป็นของที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าขยะแขยง มันก็ไม่ขวนขวาย เห็นความทุกข์แล้วมันอยากจะดับทุกข์ ก็ปฏิบัติ แต่เห็นความทุกข์ล้วน ๆ ไม่เห็นถึงราก เหตุของความทุกข์ก็เรียกว่ายังไม่เห็นโดยสมบูรณ์ ความดับทุกข์ก็เหมือนกัน ต้องเห็นวิธีที่จะให้ดับได้ด้วยจึงจะสมบูรณ์ แยกเป็น ๒ คู่ คําแรกเป็นตัวประธาน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ คู่หลังความดับทุกข์และทางให้ถึงการดับทุกข์ คําแรกของทั้ง ๒ ตอนเป็นคําสําคัญคือ ทุกข์กับการดับทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์มันก็ประกอบอยู่กับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เพื่อประกอบความดับทุกข์ เพื่อให้ได้ความดับทุกข์ การปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ มันเป็นการปฏิบัติชนิดที่ว่าเป็นพื้นฐาน ให้มีความถูกต้องอย่างนั้นตลอดเวลา จะไม่เกิดกิเลสและไม่เกิดทุกข์ สัมมาวิหาโร เป็นอยู่โดยชอบ เป็นอยู่โดยอริยมรรคมีองค์ ๘ มันก็ไม่อาจจะเกิดทุกข์ หรือเกิดกิเลส ไม่เกิดโดยเด็ดขาดก็คือพระอรหันต์ จึงตรัสว่าถ้าเป็นอยู่โดยชอบแล้ว โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์
อาจารย์ครับ ถ้าเราไม่เดินองค์มรรค เราจะละสมุทัยหรือเราจะเห็นนิโรธก่อนได้หรือไม่ ถ้าไล่มาตามลําดับ
-เรารู้ได้โดยนัยตรงกันข้าม ถ้าความทุกข์เกิดมาจากตัณหา ดับตัณหาเสียก็คือความไม่มีทุกข์ เป็นการเห็นผ่านมาจากความทุกข์ที่เกิดมาจากตัณหา ถ้าดับตัณหาเสีย ก็จะดับทุกข์ ทีนี้วิธีจะดับตัณหาทําอย่างไร ก็มายึดมรรคมีองค์ ๘ ศึกษาอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ผมถือว่าเป็นอภิธรรมที่แท้จริง อภิธรรมตามศาลาวัด นับเม็ดมะขาม มันอภิธรรมเกิน เฟ้อ อภิธรรม แปลว่าธรรมอย่างยิ่ง ถ้าอย่างยิ่งก็คืออย่างนั้น คือ
ไม่เกิน การแจกจิต แจกเจตสิก แจกรูป แจกอะไรเกินความต้องการ เป็นอภิธรรมเกิน อภิธรรมยิ่งคืออย่างนี้ อภิธรรมเกินคืออย่างนั้น ต้องศึกษาในระดับที่เป็นอภิธรรมไว้บ้างก็ดี แต่อย่าให้ไปเป็นอภิธรรมเกินเราว่าอย่างนี้ พวกนั้นเขาโกรธ
อาจารย์ครับ ถ้านิโรธคือทําให้แจ้ง นิโรธน่าจะมาทีหลังมรรค เป็นผลของมรรค
-คือเรายังไม่ได้ทําให้แจ้งอย่างนั้น แต่เรารู้เรื่องของนิโรธในฐานะที่ว่า ถ้าดับตัณหาเสีย ทุกข์ก็ดับ เดี๋ยวนี้เราแจ่มแจ้งในทุกข์ ตัณหาที่ให้เกิดทุกข์ ก็เลยรู้ว่าถ้าดับตัณหาเสีย ไม่มีตัณหาเสีย ทุกข์ก็ไม่มี
รู้โดยอนุมานหรือรู้โดยเห็นครับ
ปุถุชนก็รู้ได้ทั้ง ๒ อย่างหรือครับ
-ถ้ารู้โดยอนุมาน มันก็ไม่สําเร็จประโยชน์ แต่มันก็เป็นเงื่อนให้พยายามดับทุกข์ เป็นจุดตั้งต้นได้เหมือนกัน รู้โดยอนุมานว่าดับตัณหาเสีย ทุกข์จะดับ อันนี้มันทําให้ขวนขวายในการที่จะดับตัณหาเสีย จึงไปหามรรค ปุถุชนก็มีปัญญาในชั้นอย่างนี้ได้ เป็นเรื่องจินตามยปัญญา มีได้
แต่ถ้าสมมติว่าถ้าเราเห็นใจของเราเวลามันไม่มีกิเลส ตรงนี้จะอยู่ในลักษณะเห็นนิโรธหรือเปล่าครับ
-แล้วแต่เราเห็นอย่างไรซิ ถ้าเห็นในแง่ที่ดับตัณหาแล้วทุกข์ดับ ก็เห็นนิโรธ
ถ้าเห็นในภาวะที่ไม่มีกิเลสเฉย ๆ อย่างนี้
-ไม่รู้ว่ามันเห็นในลักษณะอย่างไร จะเห็นเพ้อ ๆ หรือเห็นเหมือนกับเห็นสิ่งธรรมดาสามัญเสียก็ได้ ไม่ได้รู้โดยประจักษ์ว่า ดับตัณหาแล้ว ทุกข์ดับ
ถ้าเรารู้ว่า อ้อ ตอนนี้ไม่มีกิเลส ใจมันสบาย อย่างนี้เห็นนิโรธหรือเปล่า
-ก็เป็นความรู้เท่านั้น ความรู้อย่างนั้นเท่านั้นก็ยังดีกว่าไม่รู้
แต่ไม่ถือว่าอยู่ในนิโรธใช่ไหมครับ
-สงเคราะห์เข้าในหมวดนี้ ไม่มีทางจะไปสงเคราะห์เข้าในหมวดอื่น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 406-407
ตอนที่ 156 , ภาพหน้าที่ 408-409
อาจารย์ครับ เรื่องสัมมาสังกัปปะอีกครั้งหนึ่งครับ ผมอ่านเจอในชุดจากพระโอษฐ์ของอาจารย์ มีตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ช่วงก่อนที่ท่านตรัสรู้นั้น ท่านก็ดําริไปในทางออกจากกาม ดําริไปในทางเนกขัมมะ แต่ว่าพอสมาธิไม่พอ ก็ฟุ้งซ่าน ต้องกลับมาทําสมาธิใหม่ อย่างนี้ผมรู้สึกว่า ตัวสัมมาสังกัปปะ เป็นสิ่งที่มีเจตนาด้วย มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่เป็นผลของสัมมาทิฏฐิอย่างเดียว สมมติอย่างปกติ คนปุถุชนทั่ว ๆ ไป เวลาเรามีอารมณ์มากระทบ เช่นอารมณ์ที่น่ารัก เราก็ดําริไปในทางที่จะเอามาหาเรา เอาเข้ามาหาตัวเรา ทีนี้ สัมมาสังกัปปะ ก็คือดําริที่ไม่เอาเข้ามาโดยเจตนา
-มันก็ต้องเป็นการปฏิบัติทุกข้อ ทั้ง ๘ ข้อแหละ ทีนี้ที่พูดว่าสัมมาสังกัปปะ มันเป็นไปตามอํานาจของสัมมาทิฏฐิ ฉะนั้นจึงไม่มีทางจะผิด การปฏิบัติต้องปฏิบัติทั้ง ๘ ข้อ แต่เราอย่าไปตั้งเจตนาเอาเอง ขอให้มันเป็นไปตามอํานาจของสัมมาทิฏฐิ สังกัปปะ ความปรารถนานั้น ก็จะถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ ความต้องการ หรือใฝ่ฝันก็ถูกต้อง เมื่อความใฝ่ฝันถูกต้อง การกระทําก็ถูกต้องตามที่จะดับทุกข์ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว มันก็จะถูกต้องสําหรับจะดับทุกข์ ทีนี้ก็มีความพากเพียรที่ถูกต้อง ให้มีสติที่ถูกต้อง มีสมาธิที่ถูกต้อง ครบอย่างนี้แล้วมันก็ดับทุกข์ เกิดเป็นสัมมาญาณ มีความรู้ถูกต้อง สัมมาวิมุติ มีความหลุดพ้นถูกต้อง ความถูกต้องมี ๑๐ องค์ประกอบ แต่มาพูดกัน เฉพาะในแง่การปฏิบัติมีองค์ ๘ นอกนั้นมันเป็นผลของการปฏิบัติ มีความรู้ถูกต้อง หลุดพ้นถูกต้อง เป็นผล
ถ้าอย่างนี้ ในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะสัมมาสังกัปปะ ก็หมายถึงว่า เราระวังความคิดของเรา ไม่ดําริไปในทางกาม ทางพยาบาท ทางวิหิงสา ให้มันดําริไปในทางตรงกันข้ามกับพวกนี้ ใช่ไหมครับในทางปฏิบัติ
-มันก็เหตุผลมาจากสัมมาทิฏฐิ มันดับทุกข์อย่างไร มันไม่ดับทุกข์อย่างไร ปรารถนาถูกทางที่จะดับทุกข์ คือออกจากกาม คือไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน ธรรมะจะสัมพันธ์กันอย่างถูกต้องกลมกลืนกันทั้งหมด ถ้าขัดขวางกัน ไม่เข้ากัน มันก็ผิดแล้ว มันไม่ใช่ธรรมะด้วย
อาจารย์ครับ แล้วอย่างนี้ ถ้าเป็นฆราวาส เขาคิดเรื่องแต่งงาน เรื่องมีลูก มีเมีย แล้วเขาจะปฏิบัติสัมมาสังกัปปะได้อย่างไร ในแง่ของเนกขัมมสังกัปโป
-ก็มีสัมมาทิฏฐิที่จะดับทุกข์เลย มามีสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง แล้วมีสัมมาสังกัปปะ แม้แต่การครองเรือนก็ต้องเป็นธรรม แตกต่างกับคนที่ไม่รู้คือไม่ครองเรือนเพื่อกามตัณหา แต่ครองเรือนเพื่อสืบพันธุ์บริสุทธิ์ มันก็มีหลักที่พึงเชื่อถืออยู่ได้ว่า พระโสดาบันครองเรือน ไม่ลุ่มหลงในกามตัณหา แต่ว่ามันยังเป็นคนอย่างนี้อยู่ มันก็ต้องการสืบพันธุ์ แต่การสืบพันธุ์ชนิดที่ไม่ใช่เพื่อกามตัณหา มันเป็นการสืบพันธุ์เพื่อการสืบพันธุ์ ไม่ใช่อํานาจของกามคุณหรือกามตัณหา ฆราวาสที่จะต้องสืบพันธุ์ก็ทําเป็นหน้าที่
อาจารย์ครับ ในทางปฏิบัติทําได้หรือครับ
-ได้ ไม่ได้ ก็ต้องมีหลักอย่างนี้
อย่างพระโสดาบัน ท่านยังละกามราคะไม่ได้ใช่ไหมครับ
-ก็ต้องเป็นไปตามลําดับ ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ตั้ง ๓ อย่างก่อน จึงจะไปเป็นโสดาบัน สกทาคามี ละกามราคะขั้นต้น พระอนาคามีโน้นละได้สิ้นเชิง สําหรับฆราวาสที่คุณว่าเมื่อกี้ สําหรับสัมมาสังกัปปะ ใฝ่ฝันจะออกจากกาม ถึงแม้บริโภคกามอยู่ ถ้าเข้าไปเพื่อจะออกจากกาม ก็เป็นสัมมาสังกัปปะได้ เป็นฆราวาสครองเรือนบริโภคกามอยู่ แต่มีความตั้งใจความปรารถนาที่จะออกจากกาม มันก็เป็นสัมมาสังกัปปะได้
ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมคิดว่าเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
-แต่เรื่องที่ผมว่า ต้องไปรู้จักแยกแยะของ ๒ อย่างนั้นออกจากกันคนละเรื่อง คือ กามคุณกับการสืบพันธุ์
ในแง่ทฤษฎีหรือในแง่ตรรกะมันแยกได้ แต่ในทางธรรมชาติ รู้สึกมันจะไม่แยกกัน
- แล้วแต่สติปัญญา กามคุณทําด้วยอวิชชาตัณหากิเลส การสืบพันธุ์ ก็ไม่มีสติสัมปชัญญะ มีเรื่องขัน ๆ คือปฐมบัญญัติพระสุทิน ที่แม่เขาเอาลูกสะใภ้หรือเมียมาให้สืบพันธุ์ ไม่รู้ว่าสืบพันธุ์ชนิดไหน ตามเค้าเรื่องมันต้องไม่ใช่ตามกามารมณ์ เป็นเพียงสืบพันธุ์ตามความประสงค์ของแม่ จะเป็นไปได้หรือไม่ ก็แล้วแต่
ตามเค้าเรื่องพระสุทิน ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ใช่ไหมครับ
-นั่นแหละ เป็นภิกษุธรรมดาอยู่ ต้องการให้แม่ได้มีผู้สืบสกุล ตามความประสงค์ของการสืบพันธุ์ อย่างนี้เห็นได้ เจตนาไม่ใช่เพื่อกามคุณ เจตนาเพื่อให้แม่ได้มีพันธุ์ เรื่องของจิตมันลึกซึ้ง พูดอะไรได้ง่ายโดยส่วนเดียวไม่ได้ มีข้อยกเว้นหลายอย่าง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 408-409
ตอนที่ 157 , ภาพหน้าที่ 409-411
อาจารย์ครับ ในหนังสือ ตามรอยพระอรหันต์ อาจารย์เขียนไว้ว่า พระวินัยหรือศีลจําเป็นแก่การปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงโลกุตระโดยแท้ พวกมีศีลเศร้าหมองอยู่ภายในใจตนเอง แม้ไม่เป็นที่เสียหายแก่หมู่คณะก็ตาม แต่ผู้นั้นไม่อาจก้าวผ่านขึ้นสมาธิไปได้เลย ความทุศีลภายในใจ แม้รู้แต่คนเดียว ก็เป็นข้าศึกอย่างแรงต่อการบรรลุผลของสมาธิ กล่าวคือฌาน ศีลนี้เป็นบาทฐานของมรรคผลทั้งหลาย เพราะพอจิตจะเริ่มสงบ ความรู้สึกทุศีลย่อมเกิดขึ้นมาแทนทุกครั้งไป อาจารย์ยังถือตามคตินี้จนถึงทุกวันนี้หรือเปล่าครับ
-ก็ถือ ถึงไม่ต้องถือก็เป็นการถืออยู่ หลักอันนี้ยึดได้ตลอดไป อย่าให้มีความรู้สึกอะไรที่มีลักษณะว่าทุศีล มันเป็นหลักทั่วไป เมื่อความรู้สึกว่าทุศีลมารบกวน จิตไม่มีทางเป็นสมาธิได้
อาจารย์ครับ ระยะหลัง ๆ ต่อมา ผมเห็นข้อความอาจารย์เขียนว่า การรู้จักกําหนดปฏิบัติอย่างกว้าง ๆ จึงจะสําคัญ และฉลาดทันกาลยิ่งกว่า โดยเฉพาะกรณีรีบด่วนเกี่ยวกับการตามรอยพระอรหันต์ ซึ่งไม่เคยทราบถึงสิกขาบทอันหยุมหยิมเหล่านี้เลย ทีนี้การปฏิบัติตามพระวินัย อาจารย์ถืออย่างไร ถือทุกข้อหรือเปล่า
ทุกข้อที่เล่าเรียนมา ความตอนนั้นมันหมายความว่า ถ้ามาสนใจเรื่องปฏิบัติ มันมุ่งอยู่แต่ปฏิบัติทางจิต สิ่งที่เรียกว่าศีลก็ดีเองโดยไม่ต้องคํานึงถึง ไม่ต้องมาท่องอยู่อะไรอยู่อย่างที่คิดกันโดยมาก หากทําความเพียรทางจิตใจไป พวกศีลก็เกิดขึ้นมา เรียกว่ามีอยู่โดยอัตโนมัติ เจตนาที่จะทําสมาธิก็คือศีล นี่มันเลื่อนขึ้นมาอย่างนี้ ก่อนนี้เจตนาที่จะรักษาศีลสิกขาบทก็คือศีล ถ้าล่วงพ้นมาจากนั้น อะไร ๆ ที่มันเป็นเจตนาสําหรับจะทําจะบังคับตัวให้ทํา อันนั้นเป็นศีล จนบังคับตัวให้ทําสมาธิข้อนี้ก็เป็นศีล บังคับให้เพ่งปัญญา อันนั้นก็เป็นศีล ไม่ใช่ตัวสิกขาบทหรอก แต่มันไม่มีการล่วงสิกขาบทใด ถ้ามันมาเพ่งจดจ่ออยู่ จะทําสิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งเป็นตัวสมาธิหรือตัวปัญญา บางคนจะเข้าใจว่าขณะทําสมาธิหรือเจริญปัญญาก็ไม่มีศีล ศีลมันมีโดยความหมายว่าบังคับตัวให้ทําอะไรอยู่อย่างจริงจัง เรียกว่าศีล คือสําหรับระวังและบังคับ จากศีลสิกขาบทมาเป็นศีลเพ่งจิต ศีลคือการเพ่ง เพ่งจิต ควบคุมให้มีการเพ่งจิตให้อยู่ในความถูกต้องอยู่เสมอ การควบคุมส่วนนี้เป็นศีล ส่วนที่เป็นความสงบระงับก็เป็นสมาธิ ส่วนที่เป็นความเห็นแจ้งก็เป็นปัญญา นี่เรียกว่าเริ่มมีศีลแท้จริงกันอย่างนี้
อาจารย์ครับ ในตามรอยพระอรหันต์ บางตอนนี้ ดูเหมือนกับอาจารย์คิดว่าน่าจะเปลี่ยนศีล ๒๒๗ ข้อนี้ เช่นมีข้อความตอนหนึ่งบอกว่า "บัดนี้ เราควรแก้ไขตัดทอนเพิ่มเติมจํานวนสิกขาบทในปาฏิโมกข์ที่สวดกันหรือไม่"
-เราทําอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเพื่อนไม่ยอม ถือหลักว่าพระพุทธเจ้าไม่ให้เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์อะไรที่ได้บัญญัติไว้แล้ว เช่นสิกขาบท ๒๒๗ หรือ ๑๕๐ ก็ตาม ที่นํามาสวดทุกกึ่งเดือน ตอนนั้นมันเป็นความคิดชั่วขณะว่า ถ้ามันไม่ติดขัดกับข้อนี้ ไม่ติดขัดข้อที่ว่าไม่ควรเปลี่ยนแปลงแก้ไขในสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ ก็ควรเปลี่ยนให้เหมาะสมได้ แต่ที่จริงมันก็ไม่มีบัญญัติโดยตรง ให้เอาสิกขาบทจํานวนเท่านี้มาสวด มันเพียงแต่ว่าทําทํากันอย่างที่สงฆ์ได้ทํากันมา ก็เลยไม่มีใครกล้าไปเปลี่ยนแปลง ผมมันมีความคิดอิสระหน่อย ถ้ามันจะเปลี่ยนแปลงให้มันเหมาะสมยิ่งขึ้นมันก็ควรจะได้ มีความหมายเพียงเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเราจเปลี่ยนแปลงได้ หรือว่าเราจะเปลี่ยนแปลงกฎที่เรียกว่ากฎของเถรวาท มติของพระอรหันต์ชุดแรก ข้อตกลงพระเถระในการประชุมสังคายนาครั้งแรก
อาจารย์ครับ แล้วสมัยอาจารย์อยู่รูปเดียวใน ๒ ปีแรก อาจารย์ลงปาฏิโมกข์หรือเปล่า
อาจารย์ครับ ในตามรอยพระอรหันต์ อาจารย์เขียนว่า การปลงอาบัติควรจะปลงเฉพาะข้อที่ตัวเองอาบัติ แล้วก็ปลงให้รู้เรื่องว่าเราต้องอาบัตินั้น ๆ อาจารย์ทําตามที่เขียนไว้หรือเปล่า สําหรับตัวอาจารย์เอง
-มันก็ทําตามแบบมหานิกาย ซึ่งไม่รู้กันได้ว่า อาบัติอะไรที่มีอยู่ที่ต้องอยู่ ถือว่ารู้กันทั้ง ๒ ฝ่าย เขาแสดงอาบัตินั้น เรียกว่ามันปลงอาบัติก็แล้วกัน เป็นการปลงอาบัติแบบเก่าเดิม ๆ ที่ทํากันมา ถ้าต้องระบุสิกขาบทนั้น เป็นธรรมยุต ซึ่งบางทีก็ทําเหมือนกัน แบบระบุอาบัติที่ต้อง แต่โดยมากไม่ได้ทํา เป็นมหานิกายทําตามแบบมหานิกาย
อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์เคยต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือเปล่า
สมัยที่มีสวนโมกข์ใหม่ ๆ เคยมีพระต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือเปล่า
-ไม่มี พระ ๒-๓ องค์เท่านั้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 409-411
ตอนที่ 158 , ภาพหน้าที่ 411-412
อาจารย์ครับ แล้วเรื่องเงินทอง อาจารย์ถือหลักปฏิบัติอย่างไร ตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้
-ไม่มีเป็นของตัว ไม่รับเป็นของตัว ถือหลักมาอย่างนั้น ถ้าเขาให้ เขาถวายก็ถือเสียว่าเขาวานให้ทําอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาไม่ได้ให้เราแม้เขาระบุให้ เราก็ไม่รับเป็นของเรา ช่วยใช้แทนเขาในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะมันหลีกไม่ได้ มันอยู่ในยุคในสมัยในสังคมที่มันหลีกไม่ได้ ที่ต้องทําเหมือนกับพระทั้งหลาย
ทราบว่าระยะแรกสวนโมกข์พยายามถือปฏิบัติเรื่องไม่จับเงินจับทอง
- เมื่อมันยังทําได้ เมื่อมันยังไม่มีกี่องค์ ยังทําได้ พอมันมากเข้าก็เหลือที่จะควบคุม เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งไม่ตรงตามวินัยกันหลาย ๆ เรื่อง ไม่รับเงินแต่มีเงิน อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ ผมไม่ได้ถืออะไร ถือแต่ว่าไม่มีเป็นของตัว ไม่รับเป็นของตัว มีคนเขาให้ ให้เพื่อทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นของผู้นั้น เราเป็นเพียงผู้จัดการ ถ้าไม่อย่างนั้น ทําไม่ได้ ลองคิดดู จะทําอะไรไม่ได้ จะทําสิ่งที่เป็นประโยชน์กับมหาชนกว้างขวางทําไม่ได้ เมื่อยังเห็นแก่ประโยชน์ที่แท้จริงส่วนใหญ่อยู่ ก็ไม่ให้เรื่องส่วนน้อยมาเป็นอุปสรรค อย่างเขาทําบุญประจําวันก็รับไว้ แล้วก็ใช้ทําอะไรเสียอย่างหนึ่งแล้ว แล้วเลิกกัน รับไว้แต่ไม่ใช่รับไว้เป็นของตัว เรื่องจับนี้ผมมันมีความเห็นอย่างอื่นไม่เหมือนกับที่เขาถือ ๆ อยู่ แต่ก็ไม่อยากจะพูด มันจะเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา วัตถุอนามาสนั้นเป็นโลหะเงินและทอง ส่วนใบสั่งจ่ายทั้งหลาย แม้ธนบัตรเป็นต้น ก็เป็นใบสั่งจ่าย ไม่จําเป็นที่จะรับก็ไม่รับ จําเป็นที่จะต้องรับก็รับ รับเงินที่ใส่ซองมา เจ้าของถวายมา นั้นก็ไม่ถือว่าเป็นวัตถุอนามาสไม่ใช่เงินและทอง และเรื่องวัตถุอนามาสนี่อยู่นอกปาฏิโมกข์เป็นอภิสมาจาร เดี๋ยวนี้มีการใช้เช็คกันเกร่อไป ถ้ามีจิตใจที่ถูกต้องมันก็ไม่ควรเป็นอนามาส เป็นการสั่งจ่าย ใบสั่งจ่ายอะไร ความหมายสําคัญมันก็อยู่ที่ว่าจะรับเป็นของตัวหรือไม่ ถ้ารับเป็นของตัวก็มีปัญหา เราขี้เกียจสนใจเรื่องนี้ ตัดบทไม่รับอะไรเป็นของตัว ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งไม่ต้องรับอะไรไว้เป็นของตัว ไม่มีเรื่องที่จะต้องใช้เงิน ที่ส่วนตัวนั้นไม่มี ที่เป็นของส่วนรวมก็ใช้ไป รับของก็รับไม่หวาดไหว โดยไม่ต้องรับเงิน ไม่นึกถึงเรื่องเหล่านี้เลยก็ได้ ผู้ที่ปฏิบัติพัฒนาจิตใจไม่ต้องนึกถึงเรื่องนี้ ถือว่าไม่มีที่จะรับเป็นของตัว จิตใจ ที่ไม่รับเป็นของตัว แล้วตั้งหน้าตั้งตาทําสมาธิภาวนายิ่งดีใหญ่ เช่นเขาให้เงิน ถ้ามาแต่ที่ไกล เขาให้เงินค่ารถไฟมา มันก็ควรจะเลิกกัน เสร็จกันที่ค่ารถไฟ
อาจารย์ครับ อย่างอภิสมาจารข้ออื่น ๆ อาจารย์ถือหรือเปล่าครับ
อย่างเช่นการรักษาบาตรในวินัยมีอย่างละเอียดว่า ต้องรักษาอย่างนั้นอย่างนี้ อาจารย์ทําตามนั้นหรือ
-ทําก็มี ไม่ได้ทําก็มี เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับบาตรมากขึ้น ๆ
พินทุผ้าอาจารย์ทําหรือเปล่า
-ทํามาตั้งแต่แรกบวชเลย เป็นหลักปฏิบัติ แต่เดี๋ยวนี้บางทีก็เผลอไปไม่ได้ทํา สมัยหนุ่ม ๆ
สมัยอาจารย์ยังเดินไหว การลงอุโบสถ อาจารย์ถือเคร่งหรือเปล่า ต้องไปลงทุกครั้งหรือเปล่า
-ไม่เคร่ง แต่ว่า (หัวเราะ) มันไม่เคยขาด แต่ไม่ได้ถือเคร่ง แต่ไปลงไม่ได้ขาด
การเคารพกันตามอาวุโสนี้ อาจารย์ถือหรือเปล่า
-พยายามถือเท่าที่จะทําได้ เผลอไปก็มีบ้าง มันเป็นมรรยาทของมนุษย์ด้วย ไม่ใช่เป็นวินัยอย่างเดียว
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 411-412
ตอนที่ 159 , ภาพหน้าที่ 413
อาจารย์ครับ แล้วอย่างเรื่องรองเท้าเห็นอาจารย์เขียนไว้บอกว่า พระพุทธเจ้าท่านปรับอาบัติภิกษุที่ใช้ร่ม และสวมรองเท้าในที่ใกล้บ้านหรือละแวกบ้าน ตอนหลังอาจารย์ทําไมไม่เน้นเรื่องนี้อีก แม้แต่พระในสวนโมกข์ก็ใส่รองเท้ากัน
-อ๋อ มันมากขึ้น มันก็คุมไม่ไหว มันเรื่องที่ไม่สําคัญนัก มันควบคุมไม่ไหว แต่คอยตักเตือนอยู่เสมอ เรื่องร่ม เรื่องรองเท้า
ทําไมพระพุทธเจ้าไม่ให้สวมตอนเข้าบ้านครับ
-ไปดูในปฐมบัญญัติซิ คงเป็นธรรมเนียมของนักบวชทั่วไป ใช้รองเท้าเฉพาะเดินทางไกล นอกบ้านนอกวัดก็ใช้ แต่ว่าในวัดมันไม่ใช้ บ้านยังพอจะสวมได้ตามโอกาส แต่โดยมากเขาถือ เขายกเว้นตรงที่ว่าเป็นผู้ป่วยถือว่าเป็นผู้ป่วย การไม่ใส่รองเท้าเป็นเรื่องแสลงกับความเจ็บป่วย ซึ่งเดี๋ยวนี้ในบ้านก็สวม ผมเคยไม่สวมไปบ้านหมอตันม่อเซี้ยงครั้งหนึ่งในตรอกนั้น คันเกือบตาย นํ้าลายทั้งนั้นที่พื้น จะทําอย่างไร มันก็ต้องสวมแม้เข้าไปในบ้าน โดยจัดตัวเป็นผู้ป่วย พื้นถนนนํ้าลายหนาเปรอะไปหมด หรือนํ้าอะไรก็ไม่ทราบ เหยอะแหยะ ๆ ไปหมด
ถ้ากรณีนั้นก็ควรจะสวมรองเท้าใช่ไหมครับ
-แล้วแต่ ตัดสินเอาเอง แต่เราถือว่าเป็นคนป่วย จะปล่อยอย่างนั้นไม่ได้เป็นอันตราย
เรื่องการขุดดินตัดหญ้าปลูกต้นไม้ อาจารย์ถือหรือเปล่าครับ
-เคยทําบ้างเหมือนกัน เคยทําบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ (หัวเราะ) นี้ก็ไม่ได้เจตนาจะทําจริงจังอะไร เพียงทําให้เป็นตัวอย่าง ให้คนอื่นเขาทําถูกเรียกว่าน้อยมากแหละ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว อาบัติเป็นสิ่งที่จะต้องต้อง เพราะเป็นสิ่งที่จะต้องแสดงอาบัติ หรือออกจากอาบัติ มันมีว่าอย่างนั้น
อาจารย์ครับ ทําไมถึงจะต้องต้อง
-คิดดูเอาเอง เพราะธรรมดาคนมันก็จะต้องต้อง ทําอย่างที่เรียกว่าอาบัติแหละ ไม่อยากพูดมากไป แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังมีบทเขียนยืนยันว่าต้องอาบัติหรือแสดงอาบัติ ทั้ง ๆ ที่เนื้อแท้ไม่มีอาบัติ ไม่เป็นอาบัติ แต่ต้องทําตามระเบียบวินัย เพื่อเป็นตัวอย่างอันดีแก่พวกที่ไม่ได้เป็นอรหันต์ เพราะฉะนั้นอาบัติมีมาสําหรับไว้ต้อง ต้องแล้วต้องทําคืน ตามอาบัตินั้น ๆ นอกจากลาสิกขาไปเสีย หรือทําปริวาส หรือว่าแสดงอาบัติ แล้วแต่ระเบียบถือไว้อย่างไร
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 413
ตอนที่ 160 , ภาพหน้าที่ 414
อาจารย์ครับ สมมติว่าเราต้องอาบัติสังฆาทิเสส เราลาสิกขาไป โดยไม่ได้เข้าปริวาส มาบวชใหม่ต้องเข้าปริวาสอีกหรือเปล่า
-ไม่เคยพบ ตั้งแต่ศึกษาไม่เคยพบ แต่ที่เขาถือเป็นหลักทั่วไปกันอยู่จะต้องทําอย่างนั้น ที่ถูกมันควรจะถือว่า มันเสร็จกันไปแล้ว เลิกกันไปแล้ว ไปเป็นฆราวาสแล้ว พ้นจากความเป็นพระแล้ว ควรจะเลิกกันไปหมด แต่ก็ยังมีบางคน หรืออาจจะมีในอรรถกถาฎีกาอะไรก็ไม่ทราบ ที่เขียนไว้อย่างนั้น คนเขาเอามาถือกันอย่างนั้น เป็นความเห็นของพระอาจารย์บางพวก ถ้าถือกันตามเหตุผล หรือโดยธรรมชาติ มันควรจะยุติกันเมื่อลาสิกขา
อาจารย์ครับ ในเรื่องข้อควรศึกษาเกี่ยวกับอริยสัจ ๔ อาจารย์บอกว่าเวลาสนทนากัน เราควรสนทนากันแต่เรื่องอริยสัจ จะทําให้คนเราเข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้น มีกําลังใจที่จะเห็น พิจารณาจนเห็นแจ้งเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น ไม่ให้สนทนาในเรื่องเดรัจฉานกถา แต่ว่าจริง ๆ แล้วมนุษย์มันต้องสนทนานอกเรื่อง ที่เรียกว่าเดรัจฉานกถาอยู่ดี แม้แต่พระก็ขาดไม่ได้
-มันไม่ต้องสนทนา ไม่ใช้คําว่าสนทนา สนทนาเป็นเรื่องที่ยกเอามาเป็นจริงเป็นจัง มันจะพูดจะถามเรื่องบ้านเมืองบ้าง ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเอามาสนทนาในฐานะที่เป็นบริวารเรื่องอริยสัจ เอาเรื่องบ้านเมืองมาสนทนาจนให้รู้ในข้อที่ว่าตัณหาเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อย่างนี้ก็ไม่เห็นเป็นอะไร แต่ถ้าเอามาสนทนาเป็นความลุ่มหลง เช่นบ้าการเมือง สนทนาแต่เรื่องการเมืองก็ใช้ไม่ได้
อาจารย์ครับ แล้วในศีล ๒๒๗ ข้อ ที่ใช้ถึงปัจจุบันนี้ ตามประเพณีของพุทธศาสนาในสังคมไทยนี้ อาจารย์เห็นว่ามีข้อไหนที่ตีความหมายไม่ถูกต้องตามพระบาลีหรือเปล่า เช่น ที่เขียนไว้ในวินัยมุขอย่างนี้ ที่ตีความไม่ถูกมีบ้างไหม
-อ้อ ไม่พูด ถ้าเป็นเรื่องอย่างนั้นจะไม่พูด
-ปฏิบัติเฉไฉ รู้สึกตัวว่ามันก็มี เช่นเรื่องเกี่ยวกับเงินทองอย่างหนึ่ง แม้แต่เรื่องจีวรก็ผิดวินัยทั้งนั้น จีวรนี้มันใหญ่เท่าจีวรสุคต หรือใหญ่กว่าเสียแล้ว นิยมใช้จีวรใหญ่กันอย่างนี้เสียแล้ว
อาจารย์ครับ แล้วอย่างความหมายของข้ออทินนาทานในปาราชิกนั้น จํานวนที่ต้องอาบัติปาราชิก ความหมายจริง ๆ มันน่าจะหมายถึงแค่ไหนครับ ที่ว่า ๕ มาสก
-บาทหนึ่ง เท่ากับทองคําหนักเท่ากับข้าวเปลือก ๕ เม็ด สําหรับครั้งกระโน้นทองคําหนักเท่ากับข้าวเปลือก ๕ เม็ด เป็นบาทภาษาอินเดีย
อาจารย์ครับ อย่างที่เราถือกันเป็นบาทสตางค์ก็ไม่ถูกใช่ไหม
-ยิ่งดีเสียอีก ถือให้มันเล็กเข้ามา คือถ้า ๕ มาสกเท่ากับทองคํา ๕ เม็ดข้าวสารคงจะหลายสิบบาท หรือหลายร้อยบาท นี่มันหนึ่งบาทเท่ากับบาทไทย มันยิ่งดีเสียอีก คือมันพอสมควรแก่การที่จะถือว่าเป็นอทินนาทานแล้ว เงินจํานวนหนึ่งซึ่งประชาชนถือกันว่าเป็นมาตรฐาน สําหรับบัญญัติเรื่องลักเรื่องขโมย
อาจารย์ครับ คติเรื่องพ้นอาบัติ หรือคติเหนืออาบัติ แบบพระเก่า ๆ บางรูปสามารถที่จะทําอะไรที่นอกเหนือบัญญัตินี้ เป็นคติที่มีมานานแล้วใช่ไหม ในสังคมสงฆ์ อย่างที่อาจารย์เล่าถึงตาหลวงมิน
-มันเป็นเรื่องสมมติ ใคร ๆ ถือว่าแกไม่มีอาบัติ อาบัติเข้าไม่จุแล้ว จะไม่ปรับอาบัติ พวกที่ไม่อาบัติก็คือพระอรหันต์เท่านั้น เรียกว่าปาปมุตตะ พ้นจากบาป พ้นจากอาบัติ ทําอะไรไม่เป็นอาบัติ ทําอะไรไม่เป็นบาป มีแต่พระอรหันต์ผู้หมดตัวตนเท่านั้น
ผมไปทางภาคกลาง รู้สึกมีคติที่เขาเรียกว่าพ้นจังไร คล้าย ๆ เขาเป็นพระผู้เฒ่า ชาวบ้านก็อภัยให้ อะไรอย่างนี้ คตินี้ก็มีเหตุผลใช่ไหม
-เหตุผลเป็นเรื่องสมมติ เป็นปาปมุตตะที่สมมติ คนแก่งก ๆ เงิ่น ๆ หลง ๆ ลืม ๆ ให้อภัย บางอย่างยกให้เป็นปาปมุตตะไป แต่ไม่ใช่ปาปมุตตะเดียวกับพระอรหันต์
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 414
ตอนที่ 161 , ภาพหน้าที่ 415-416
อาจารย์ครับ ในตามรอยพระอรหันต์ อาจารย์มีการพูดถึงเรื่องการสํารวมอินทรีย์มาก อาจารย์ปฏิบัติตามนั้นหรือเปล่า
-พยายามเท่าที่จะทําได้ เพราะกลัวกิเลส พยายามเท่าที่จะปฏิบัติได้
มีตอนหนึ่งอาจารย์เขียนไว้ว่า ให้หลบสิ่งที่ควรหลบ ให้เอาชนะสิ่งที่ควรเอาชนะ อาจารย์กรุณายกตัวอย่างที่เราควรหลบ แล้วหลบหมายความว่าอย่างไร
-บอกอยู่ในตัวแล้ว อะไรหลบได้ หลบ ถ้ามันหลบไม่ได้ก็ต้องเอาชนะ ต้องแล้วแต่เรื่อง
ชนะนี้หมายถึงอย่างไร ทําอย่างไรจึงเรียกว่าสํารวมเพื่อเอาชนะ
-ก็ไม่หวั่นไหวไปตาม ไม่มีความหมายขึ้นมา มันเป็นหลักทั่วไป สิ่งที่หลบไม่ได้ หรือแม้แต่สิ่งที่เอาชนะไม่ได้ มันก็ยังมีมันก็ต้องไปตามเหตุผลตามปัจจัยของมัน เรื่องมาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวกับเรื่องในสังคม เรื่องที่ว่า ถ้าเข้าไปแล้วมันยุ่ง อย่าเข้าไปในสังคมนั้น หรืออย่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลนี้นะ นี้เรียกว่าหลบ แต่ถ้าหลบไม่ได้ ทําชนิดที่ไม่ให้เกิดโทษเมื่ออันนั้นยังต้องเข้าไป จะทําอะไรไม่ให้มันเกิดผิดพลาดไป เรียกว่าเอาชนะมันให้ได้ ต้องเอาชนะในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าไปรบราฆ่าฟันต่อตีอะไรกัน คือไม่ให้มันทําอะไรเราได้ คือชนะ
ตอนสํารวมนี้ จําเป็นเฉพาะตอนที่เรายังอยู่ในขั้นการฝึกใช่ไหม อย่างอาจารย์อายุมากอย่างนี้ ไม่ต้องสํารวมแล้วก็ได้ใช่ไหม
-ไม่ได้ พร้อมกันไปหมด ที่ต้องสํารวมก็สํารวม
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 415-416
ตอนที่ 162 , ภาพหน้าที่ 416-417
ทุกวันนี้อาจารย์ยังต้องสํารวมอยู่หรือครับ
-ยังต้องสํารวมเหมือนกัน เพราะมันกลัวกิเลส กลัวความทุกข์ ให้สํารวมสําหรับผู้ฝึกอย่างขั้นแรก ขั้นเด็ก ขั้นประถม ขั้นอะไรนั้น มันก็สํารวม สํารวมในความหมายหนึ่ง เขาไม่รู้จัก แม้แต่ความทุกข์อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อจะต้องมาฝึกก็ฝึกตามบทสํารวมที่กําหนดให้ ค่อย ๆ รู้ขึ้นมา ๆ มันมีความหมายอย่างหนึ่ง คําพูดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งพูดว่าอยู่เหนือการสํารวม พ้นจากการต้องสํารวม ตามธรรมดาก็ใช้กับพระอรหันต์ คือใช้ในกรณีที่มันต้องวางเฉย คําว่าสํารวมมีทั้งอย่างศีล มีทั้งอย่างธรรมะ ของพวกที่สํารวมอย่างธรรมะ ก็คือ สํารวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สํารวมอย่างศีล ก็สํารวมในสิกขาบทในปาฏิโมกข์
อาจารย์ครับ การสํารวมที่เรียกว่าอินทรียสังวรนั้น ถือว่าเป็นศีล อยู่ในขั้นศีล หรือขั้นสมาธิ
-ก็ถูกอยู่ในขั้นสมาธิ แต่มันจะพูดผิดหรือสอนผิด หรืออาจารย์พวกไหนจัดไว้ผิด จัดไว้เป็นพวกศีล คงจะในวิสุทธิมรรคอีกนั่นแหละ เพิ่มศีลเข้าไปเป็น ๔ ปาฏิโมกขสังวรศีล อินทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล ปัจจเวกขณศีล นี้มีในวิสุทธิมรรค ที่ถูก สังวรอยู่ในพวกสมาธิ
อาจารย์เขียนไว้ว่า ถ้าเราฝึกอินทรียสังวรอย่างจริงจัง จะทําให้จิตยอมโอนอ่อนผ่อนตามความปรารถนาของผู้ที่เป็นเจ้าของจิตทุก ๆ อย่าง เมื่อเจ้าของให้เฉยก็เฉย เพื่อความเป็นสุขของเจ้าของ เมื่อเจ้าของต้องการให้รู้สึกไปอย่างอื่นในทางกุศล ก็เป็นไปตามปรารถนา เช่นให้รู้สึกในอาหารที่จืดที่สุดว่าอร่อยที่สุด ถือสันโดษในอาหารนั้นก็ได้ แบบนี้มันไม่เป็นการหลอกตัวเองหรือครับ
-คือมันไม่เกี่ยวกับสังวร มันเกี่ยวกับอุบายอย่างอื่นที่จะทํากับจิตใจ มันมีความหมายที่ไม่ถึงขั้นสํารวมอินทรีย์ ไปอ่านดูให้ดี คืออธิบายปัญหาที่จะเกิดขึ้นมาเนื่องจากคําว่าอินทรียสังวร ถ้ามันมีเหตุผลอย่างอื่นเกี่ยวกับวินัยอย่างอื่นข้องอยู่ เช่น ไม่ทําลายศรัทธาปสาทะของทายกผู้ให้ มันก็ทําได้
อาจารย์ครับ ในตัวอินทรียสังวรเองนี้ ไม่เป็นการหลอกตัวเองหรือครับ สมมติว่าเรามีความสุขอย่างนี้ เราน่าจะมีสิทธิที่จะมีความสุข ถ้าหากว่าเราเจอในสิ่งที่เราพอใจ
-ในแง่ธรรมะ อยู่ที่ว่าไม่เป็นทุกข์ ทําเพื่อไม่ให้เป็นทุกข์ เราเสวยสุขก็ได้ เสวยอะไรเอร็ดอร่อยก็ได้ จะกินที่เอร็ดอร่อยหรือว่าเสวยสิ่งที่เรียกว่ามีความสุขก็ได้ แต่ระวังจิตไม่ให้ไปยินดี ไม่ให้ไปหลงใหล ไม่ให้ไปยึดถือเอา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 416-417
ตอนที่ 163 , ภาพหน้าที่ 417-419
จิตที่ไปยินดี กับจิตที่มีความสุข นี้มันไม่ใช่อันเดียวกันหรือครับ
-จิตมันมีดวงเดียวเท่านั้นแหละ ทีนี้ไปบริโภคในสิ่งที่เป็นสุข ที่อร่อยก็เพียงแต่รู้สึกว่าอร่อยและสุขเท่านั้น แล้วก็ไม่ยินดี ไม่มีอุปาทานในอร่อยในสุขนั้น นั่นคือข้อปฏิบัติที่เป็นหลัก ไม่ใช่ไปห้ามว่าไม่ให้ไปกินเสียเลย ไปกินได้ ที่เอร็ดอร่อยหอมหวนอะไรก็สัมผัสได้ แต่ว่าอย่าไปหลงความอร่อยหรือความสุข เขามีคํากล่าวไว้ดี ไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นเพราะการสัมผัสนั้น สัมผัสนั้นสัมผัสได้ แต่มันยังมีระเบียบทางวินัยบัญญัติไว้อีกส่วนว่า อะไรห้าม อะไรไม่ห้าม ถือกฎวินัย แต่ส่วนที่เป็นของธรรมะเรียกว่าที่อร่อยก็กินได้ ระวังอย่าให้จิตไปบูชาเข้า ไปอุปาทานเข้า
อย่างตอนที่ว่ายินดีนั้น มันเป็นคล้ายกับการคิดซํ้าลงไปในความสุขนั้นใช่ไหมครับ
-คือโง่ต่อสิ่งนั้น เห็นเป็นของพิเศษ สุขให้มันเห็นตามที่เป็นจริง มันก็สักแต่ว่าเวทนาเท่านั้น ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่อร่อยหรือไม่อร่อย บริโภคสิ่งที่ธรรมดาถือกันว่าอร่อยที่สุด (หัวเราะ) มันก็บอกเสียเอง ตะโกนว่าสักว่าเวทนาเท่านั้น ๆ ไม่ใช่อะไรที่จําเป็นวิเศษกว่านั้น ที่จะไปยึดคืนเป็นเกียรติ เป็นบูชาชั้นเลิศประเสริฐ ที่ไม่อร่อยก็เหมือนกัน ที่อร่อยก็เหมือนกัน สักว่าเวทนาเท่านั้น นี่หลักทางธรรมะ ถ้าหลักทางวินัย ที่ตํ่า ๆ ลงไป ก็แนะนําว่าอย่าไปยุ่งกับสิ่งที่ทําให้เกิดปัญหาอย่างนี้ดีกว่า หลีกเลี่ยงเสียดีกว่า
ผมเข้าใจไม่ชัดตอนที่มีความสุขแล้วไม่ยินดี
-ก็คือโง่ ยินดีก็คือโง่ ยินร้ายก็คือโง่
ถ้าเราไม่ยินดี แล้วจะมีความสุขหรือเปล่าครับ
-ก็ไปคิดดูเอาเอง ยินดีหรือยินร้าย จิตกระเพื่อม วุ่นวาย ระสํ่าระสาย ทั้ง ๒ อย่าง ไม่ยินดีไม่ยินร้ายก็สงบสุข ยินดีก็ปั่นป่วน ยินร้ายก็ปั่นป่วน ที่สงบคือว่าง ไม่ยินดียินร้ายเป็นสุขอย่างชนิดนิพพาน ชาวบ้านฟังไม่ถูกที่ว่านิพพานก็สุขอย่างหนึ่ง
ครั้งหนึ่งพวกผู้หญิงชาวบ้านสมัยนั้น นิยมรําวงกันมาก ถามว่าจะเอาสวรรค์หรือจะเอานิพพาน ชูมือเอานิพพานกันทั้งนั้น ทั้งที่ไม่รู้ว่านิพพานอะไร พอบอกว่าในนิพพานไม่มีรําวงนะ ถ้าอย่างนั้น ไม่เอาขอถอน เอาไปสวรรค์ สวรรค์มีรําวงเยอะ คนเรามักจะตีความเอง เอาตามความรู้สึกของตัว ตามความรู้สึกที่เป็นสุขที่สุด ก็คือความรู้สึกที่เขารู้จักกันอยู่ เพียงแต่มันมีมากที่สุด เข้มข้นที่สุด เขาไม่อาจจะเข้าใจว่าสุขคือหยุดหมด เลิกหมด เป็นกลางหมด ว่าง ไม่กระดุกกระดิก สงบเย็น เขารู้จักแต่ว่าความสุขก็คือความทุรนทุรายอย่างหนึ่ง
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์เน้นสอนเรื่องให้มีสติเมื่อมีผัสสะ ให้ระวังตอนผัสสะในระยะหลัง ๆ นี้ มันก็คือเรื่องเดียวกับอินทรียสังวรใช่ไหม
-ก็ได้ อินทรียสังวรชั้นสูงสุด คือไม่ให้เกิดกิเลสขึ้นมา เพราะการสัมผัสนั้น ๆ เรื่องอินทรียสังวรในความหมายธรรมะชั้นสูงสุด สังวรที่ว่าอย่าไปดู ไปแล ไปฟัง ไปสัมผัสมันนั้นเป็นชั้นต้น และเห็นว่ามันจะอันตราย ผู้ที่มีจิตใจสูงก็สัมผัสได้โดยไม่มีอันตราย ดูก็ได้ ฟังก็ได้ อะไรก็ได้ แต่ที่มันไม่ผิดวินัยนะ ไม่ผิดระเบียบของบรรพชิต นี้ถ้าพูดสําหรับฆราวาสก็ยิ่งไม่มีปัญหา ยิ่งลองดูง่าย
อาจารย์ครับ อย่างในตามรอยพระอรหันต์นี้ อาจารย์ปฏิบัติตามทุกอย่างหรือเปล่า
-พยายาม แต่อย่าลืมว่าตามรอยพระอรหันต์นั้น มันเขียนเพื่อผู้อื่น เป็นหลักสําหรับคนทั่วไป จะเกี่ยวกับผมกี่มากน้อยไม่ได้วัด แต่ว่าถ้ามันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ มันกลัวทั้งนั้น พยายามที่จะไม่ให้เกิด
อาจารย์ครับ แล้วอย่างการหัวเราะนี้ สมัยอาจารย์หนุ่ม ๆ อาจารย์หัวเราะหรือเปล่า
-หัวเราะ เดี๋ยวนี้ก็หัวเราะ
แล้วอาจารย์เคยเขียนบอกว่า การหัวเราะนี้มันเป็นอาการของเด็ก ๆ
-นั่นพระพุทธเจ้าว่า โดยไม่นิยมหัวเราะ แต่ถ้ารู้ธรรมะมากขึ้น มันหัวเราะลดลง น้อยลง การหัวเราะเป็นเด็ก ๆ อะไรน่าขันหน่อย ก็หัวเราะ พอโตขึ้นมาแค่นั้นไม่หัวเราะแล้ว ไปหัวเราะที่สูงกว่านั้น พอโตขึ้นไปอีกรู้ธรรมะมาก ก็ไม่หัวเราะแล้ว แค่นั้น ก็หัวเราะเป็นนัย ๆ
อาจารย์ครับ ในชีวิตการปฏิบัติของอาจารย์ อาจารย์เคยปฏิบัติเคร่งจนเครียดหรือเปล่า สมัยหนุ่ม ๆ นี้เป็นไหม เคร่งเกินนี้มีไหม
-คําว่าเครียดไม่มี ตั้งใจจะทําให้ดีที่สุด แต่ไม่เข้าเขตที่เรียกว่าเคร่ง พอมาทําหนังสือธรรมะ การเผยแผ่ธรรมะ มันก็ไม่มีโอกาสที่จะไปกําหนดสิ่งเหล่านี้ เคร่งกับเครียดมันคนละคําทีเดียว ไกลกัน เคยทําให้เคร่ง เพื่อทดลองดูว่ามีดีอะไร คือทดลองดูผลความเคร่ง
-แล้วแต่ เรื่องกินผัก เรื่องไม่นอน อะไรเหล่านี้ เคยทั้งนั้น
อาจารย์ครับ เวลาอาจารย์ไปกรุงเทพฯ นี้ พักตามบ้านโยมหรือเปล่า
-มีบ้าง ก็บ้านคุณชํานาญ เขามีเรือนพิเศษไว้ ที่ไม่ได้อยู่ เป็นเรือนว่างพิเศษไว้ให้แขกพัก พักที่พุทธสมาคมก็เคยมี นอกนั้นก็พักที่วัด มันแล้วแต่นายกผู้อุปัฏฐาก เขาจะสะดวกให้พักที่ไหนที่เขาอุปัฏฐากสะดวก เราก็มีการยินยอม ได้ไปพักที่บ้านของคุณชํานาญที่อยู่ฝั่งธนหลายหน เรียกว่าอยู่ในสลัม บ้านหลังนั้น แวดล้อมไปด้วยสลัม มองดูเข้าไปในเพิงสลัม มีโทรทัศน์ (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 417-419
ตอนที่ 164 , ภาพหน้าที่ 419-420
* หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสตรี *
อาจารย์ครับ เกี่ยวกับสตรี อาจารย์ถือหลักอย่างไรครับ
-ก็ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในหนังสือพุทธประวัติ เล่ม ๑ ที่ตรัสแก่พระอานนท์ ในเมื่อยังอยู่ในสภาพตั้งต้น ไม่ติดต่อด้วย ไม่ดูไม่แลไว้ได้เป็นการดี ถ้าเราต้องเสียสละ เพื่อจะได้ประโยชน์อะไรจากการติดต่อ ให้เลือกข้างไม่ติดต่อ ถ้าจําเป็นต้องติดต่อต้องมีสติสัมปชัญญะเต็มที่ ครั้นเมื่อมันสูงขึ้นไป ถึงขั้นที่มีหน้าที่ที่จะต้องสั่งสอนสตรี มันอยู่คนละขั้น ถ้าเชื่อตัวเองว่าจะทําได้โดยไม่เสียหายก็เอา ถ้าว่ามันไม่แน่ใจเกรงจะเกิดเสียหายก็อย่าเอา อย่าเกี่ยวข้อง อย่าแตะต้อง มันไม่มีหลักอะไรที่แปลกใหม่จากที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้
อาจารย์ทําตามหลักนี้เพียงใดครับ
มากเท่าที่จะทําได้ มันต้องระวัง คือเรื่องอย่างนี้ผมไม่ชะล่าใจ ไม่เห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างที่เขามักจะทํากัน กลัว เขาเรียกว่ากลัว เพราะว่าโดยวินัย เราทําไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ควรทําอยู่แล้วโดยธรรมะ อันตราย เผลอนิดเดียว อันตราย
โยมอรุณวตีเล่าว่า สมัยอาจารย์ยังหนุ่ม เวลาสนทนากับสตรี อาจารย์จะไม่มองหน้า อาจารย์มีเหตุผลอะไรหรือครับ
-ก็มันไม่มีเรื่องที่จะต้องมองดูหน้า ดูผมจะเป็นอย่างนั้น ไม่ชอบมองหน้าคน มองหน้าสบตาเกิดความหมายอะไรขึ้นมา มันเข้าใจผิดกันได้ ไม่มองหน้าหลับตาพูดได้ยิ่งดี จะได้มีสมาธิ พูดแต่เรื่องจริงที่มีประโยชน์ที่ควรพูด ไปมองเข้า มันจะเป็นอารมณ์ที่จะทําให้ใจยุ่งเปล่า ๆ บางคนหน้ามันสวย บางคนหน้ามันไม่สวย บางคนหน้ามันหยี อะไรก็ไม่รู้ เสียเวลาที่จะไปรู้สึก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มองเสียเลย บางทีก็เหลือบไปพอดี ไปเห็นประจันหน้ากันก็มี เราแสดงความมั่นคง เขาจะดึงเราไปไม่ได้ ก็พอแล้ว
อาจารย์เคยคุยกับผู้หญิงสองต่อสองไหม
-บอกว่ากลัวยังไง เดี๋ยวนี้บางทีก็มี เรานั่งอยู่คนเดียว บางคนเข้ามาคุย บางทีก็คุยเหมือนกัน แต่ว่าสองต่อสอง ในลักษณะกามารมณ์ (หัวเราะ) มันกระดาก หรือละอาย หรือกลัว เรื่องเหล่านี้ถือตามวินัยก็ได้ ถ้าผิดวินัย ก็ไปแสดงอาบัติ ไปออกอาบัติเสียให้ถูกต้อง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 419-420
ตอนที่ 165 , ภาพหน้าที่ 420-421
อาจารย์ครับ ตั้งแต่อาจารย์บวชมา ไม่เคยนึกชอบผู้หญิงคนไหนเลยหรือครับ
-ชอบก็ชอบอย่างอื่น ไม่ได้ชอบในความหมายทางเพศ รู้สึกว่าแค่นั้นเอง มันเหมือนกันหมด เคยอ่านหนังสือของ น.ม.ส. เมื่อบวชใหม่ ๆ เขียนไว้ว่า พอดับเทียนแล้วก็เหมือนกันทุกคน (หัวเราะ) แสดงว่ารสบ้า ๆ นั้นเหมือนกันทุกคน ไม่มีสวย ไม่มีงาม ไม่มีนิ่มนวล ไม่มีวิเศษวิโส ดับเทียนแล้วมันเหมือนกันทุกคน อย่างนี้มันก็ช่วยให้คิดนึกอะไรได้มาก ไม่มีคนสวย ไม่มีคนขี้เหร่ ดับเทียนดับตะเกียงเสียแล้ว สัมผัสทางเนื้อหนังเหมือนกันทุกคน
อาจารย์ไม่เคยคิดสึกเลยหรือครับ
-(หัวเราะหึ ๆ) มันเคยคิด หรือเคยเอียงไปหาบ่อย ๆ เหมือนกัน บางยุคบางสมัย แต่ว่าเล็กน้อย ชนิดเอียงไปมาก หวุดหวิด ๆ จวนจะออกไปอย่างนี้ ก็เหมือนจะมีบ้างกระมัง มันลืมเสียแล้ว แต่ไม่ถึงกับออกไป (หัวเราะ) ก็ต้องเรียกว่าโชคดี มันเลี้ยวของมันเอง หรือว่าโดยมีอะไรแวดล้อม ทําให้มันเลี้ยวของมันเอง
อาจารย์ครับ อาจารย์ใช้วิธีซับบลีเมท พลังงานทางเพศหรือเปล่าครับ
-มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ได้มีแผนการ คือเราทํางานที่เราชอบหามรุ่งหามคํ่า แล้วพลังงานที่เหลือที่รุนแรงทางนั้น มันก็ลด มันก็หมดไป แรงกระตุ้นอยากมีชื่อเสียง อยากให้มีประโยชน์แก่ผู้อื่นที่เขาคอยรอผลงานของเรา อันนี้มันมีมากกว่า นี่ก็เลยทําเสียจนหมดแรง พอเพลียก็หลับไป พอตื่นขึ้นมาก็ทําอีก ไม่มีโอกาสใช้แรงไปทางเพศตรงกันข้าม เราไม่ได้เจตนาโดยตรง มันเป็นไปเอง เหตุการณ์มันบังคับให้เป็นไปเอง คือเราหาอะไรทําให้มันง่วนอยู่กับงาน พอใจในงาน เป็นสุขในงาน มันก็ซับบลีเมทของมันเอง เอาแรงทางเพศ มาใช้ทางสติปัญญา เอาแรงงานของกิเลสมาใช้เป็นเรื่องของสติปัญญา ต้องมีงานอันหนึ่งซึ่งพอใจ หลงใหลขนาดเป็นนางฟ้ า เหมือนกับเรียนพระไตรปิฎก ต้องหลงใหลขนาดเป็นนางฟ้ า
สมัยหนุ่ม ๆ เขียนลงในพุทธสาสนา เป็นตอนสั้น ๆ ไม่ยาว มีคนชมบ้างติบ้าง มันก็สนุก เขียนไปได้ ทีนี้อีกทีหนึ่ง ถ้ามันแปลกก็สนุก รู้สึกว่านี้แปลก ไม่เหมือนใครแน่ ถ้ามันซํ้า ๆ กับคนอื่น มันไม่สนุก เดี๋ยวก็ง่วงนอน ถ้ารู้สึกว่าแปลกแหวกแนวไปแล้วก็ต้องฮือฮากันบ้าง ผมมีสมาชิก ๔-๕ คน เป็นญาติทั้งนั้น ญาติแก่ ๆ เขาคอยอ่าน แต่ไม่อ่านเปล่า เขาเชียร์ เขามาพูดถึงบทความที่ลงไปแล้วทํานองเชียร์ เราก็นึกสนุกอีกทีจะเขียนต่อ หรือว่าคนไกล ๆ เขียนมาเชียร์มาชมก็สนุกมาก เราได้จดหมายอยู่บ่อย ๆ จดหมายจากที่ไกล ๆ ก็มี
สําหรับผมโดยเฉพาะ มันพูดได้ว่า รู้อยู่ว่าสึกออกไป ก็ทําอะไรให้มีประโยชน์ ไม่ว่าแก่ผู้อื่น หรือตัวเองก็ตาม ไม่ได้มากเท่าที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ จะช่วยเพื่อนมนุษย์ ในด้านวัตถุก็ตาม ด้านสติปัญญาก็ตาม ไม่มีทางช่วยได้เหมือนอยู่ในเพศบรรพชิต ถ้าอยู่ในเพศนี้ยังทําอะไรที่เป็นประโยชน์ได้มาก ๆ เรื่องความรู้สึกเกี่ยวกับชื่อเสียงอะไรทํานองนี้ มันต้องมีบ้างตามความรู้สึกของคนธรรมดา แต่มันไม่รุนแรง พูดให้มันสั้นก็คือบวชพระอยู่นี้ทําอะไรให้เป็นชื่อเสียงแก่ตัวเอง หรือแก่วงศ์ตระกูลของตัวเองได้มากกว่า สึกออกไปมันก็เท่านั้น มันเห็นอยู่แค่นั้น เทียบส่วนกัน ไกลกันร้อยเท่าพันเท่าหมื่นเท่า
ถ้าตีค่าในด้านที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เดี๋ยวนี้ตีค่าเท่าไร สึกออกไปไม่มีทางทําได้ จะสึกออกไปพิมพ์หนังสือขาย ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อถือ มีหลายคนสึกออกไปแล้ว เราก็เห็น ๆ อยู่ เขาไปพิมพ์หนังสือขาย แต่ความเคารพในพระธรรมไม่มี แล้วมันไม่มีใครประพฤติตามเรา อยู่เป็นพระ พูดอะไรสักคําหนึ่ง คนยังสนใจ มันเป็นประโยชน์แก่ประชาชนและเพื่อนมนุษย์
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 420-421
ตอนที่ 166 , ภาพหน้าที่ 421-423
อาจารย์ครับ ความคิดที่จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมนี้ มันไม่ถูกความแรงของความรู้สึกทางเพศกระแทกบ้างหรือครับ
-มันก็ถูกแหละ มันก็ต้องมีเหมือนกัน ความรู้สึกทางเพศมันก็ต้องเกิด แต่ว่าความรู้สึกทางนี้เหมือนกับสิ่งต้านทาน เช่นว่าคลื่นกับฝั่ง คลื่นมันก็แรงเหมือนกัน แต่ว่าฝั่งมันแข็งแรงพอจะรับ (หัวเราะ)
ความรู้สึกว่าเป็นพระ ทําอะไรได้มากกว่า ไกลกว่า สูงกว่า แพงกว่านี้ มันมีมาตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่แรกเรียนปริยัติก็มีความคิดแบบนี้ ตอนหลังเมื่อมาทํางานแบบนี้เข้า มันยิ่งเห็นชัดว่าเราอาจจะทําสิ่งที่มีค่าได้มากกว่านัก ถ้าเห็นแก่ตัวเอง อย่างมากก็ครอบครัว มันก็มีเท่านั้นแหละ ผมเคยนึกเอาว่า การสืบสกุลที่ชอบอ้างถึงกันนักนั้น สู้สืบสกุลด้วยธรรมะไม่ได้ สืบสกุลความดีด้วยธรรมะ ในทางนามธรรม ภาษาธรรม ดีกว่าเรื่องโลก ๆ ดิบ ๆ เช่น ว่าใครรู้จักลูกหลานของเช็คสเปียร์บ้าง เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จัก ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านสืบสกุลด้วยตัวท่านเอง ไม่สืบทางบุคคล ทางสายโลหิต สกุลของพระพุทธเจ้าเดี๋ยวนี้ไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้ว แต่สกุลในทางธรรมะของท่านยังอยู่ สกุลด้านคุณธรรมนี้จริงกว่า แน่นอนกว่า พวกที่มาชวนให้สึกไปสืบสกุล รักษานามสกุลไว้ ไม่มีนํ้าหนัก ไม่มีความหมาย (หัวเราะ) เพราะเราสืบสกุลโดยธรรมะได้ดีกว่า นานกว่า เข้มแข็งกว่า เรื่องสืบสกุลก็เป็นอันว่าไม่มีปัญหา ยกเลิกได้ (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ ครั้งที่อาจารย์ประสบวิกฤตจริง ๆ อาจารย์ใช้อุบายเฉพาะหน้าอย่างไรบ้างครับ
-ไม่เห็นมีวิกฤตอะไรจริง ๆ (เว้นนาน) บอกไม่ได้ว่ามีวิกฤตอย่างไร เมื่อไร
แบบจวนเจียนจะไปไม่ไป ตัดสินใจอย่างไรครับ
-นั่นมันเรื่องคิดฝัน เวลามันช่วยได้ หรือว่าไม่รู้ไม่ชี้ (หัวเราะ) มันช่วยได้ มันเหมือนกับคลื่นกระทบฝั่ง พอพ้นสมัยพ้นเวลา มันก็ไม่รู้หายไปไหน แต่สรุปแล้วมันต้องทํางาน พอถึงเวลาเข้ามันต้องทํางาน มันรักงานอยู่ พอถึงเวลาเข้าไปทํางานเสีย ความคิดฝันนั่นก็ค่อย ๆ ซาไป ๆ มันไปสนุกในงาน
แต่ความขัดแย้งในใจลึก ๆ ก็มีอยู่ตลอดเวลา
-นั้นก็เรียกว่าถูกรบกวน กามฉันทนิวรณ์รบกวน แต่ถ้าเรามาสนุกในงานเสียมากกว่า ความรู้สึกนั้นก็หมดฤทธิ์ไปเอง ทําอะไรเราไม่ได้ คล้าย ๆ กับที่เขาพูดไว้เป็นอุปมา ผมก็เคยเอามาพูดบ่อย ๆ พระไตรปิฎกชื่อวาณี เป็นนางฟ้ าเกิดจากดอกบัว คือพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมแห่งมุนี จงมารึงรัดจิตใจของข้าพเจ้าไว้เต็มที่ มันเป็นไปเองเรื่องการศึกษาสิ่งใหม่ สิ่งแปลก สิ่งยาก สิ่งลึก มันรึงรัดจิตใจ เข้าใจว่าไม่เฉพาะแต่พวกเรา แต่พวกอื่นเช่นพวกนักศึกษาฝรั่งตัวยงก็คงมีผลอย่างนี้ การศึกษามันจับหัวใจ มีโอกาสน้อยมากที่จะคลุกคลีทางกามารมณ์ไปแต่งงานกับนางฟ้ าเสีย (หัวเราะ) ใช้คําว่าสมรสกับนางฟ้ ากล่าวคือ พระไตรปิฎก หรืออะไรก็ได้ที่ตัวชอบสุดเหวี่ยง
อาจารย์ครับ แรงจูงใจในเรื่องการบรรลุธรรมเฉย ๆ ไม่พอหรือครับ
-มันยากที่จะพอ เพราะเราไม่ค่อยที่จะรู้ถึง โดยมากคนทั่วไปไม่ค่อยรู้ถึงขนาดที่จะจูงใจ ดึงใจไปหมด แต่ว่าเราเห็นได้ว่ามันต้องอาศัยอะไรอย่างอื่นบางอย่าง เราเคยเห็นคนที่เขาเล่นของเล่นบางอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งนกเขา ปลากัด ไก่ชน เขาหายใจเป็นนกเขาตลอดวัน ไม่ได้อยู่บ้าน เร่ร่อนไปตามทุ่งนา กลางคืนก็ยังสนใจอยู่กะนกเขา จนลูกเมียต้องหย่ากันก็มี มันเป็นรสเดียวกัน มันเป็นราคะ สงเคราะห์ลงในรูปราคะ คนนั้นชื่อนายหวอด อยู่ใกล้ ๆ วัดเวียง เขารักนกเขาและเล่นปลากัดเป็นสรณะ ไก่ชนก็เล่น สามอย่างนี้ดึงเขาไปหมด ไม่มีเมียเป็นตัวตน แล้วก็ไม่มีลูกด้วย ถึงขนาดลืมกามตัณหา ถูกภวตัณหาดึงไปหมด เขามาที่บ้านโยมผมบ่อย โยมชายผมแกชอบนกเขาเหมือนกัน แต่ไม่ได้เล่นขนาดนั้น ชอบยืมเขามาฟัง เข้าใจว่านักค้นคว้าประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์ด้วยกันก็น่าจะเป็นแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องของปัญญาสูงสุด เป็นเรื่องของมานะสูงสุด เป็นเรื่องสมาธิ ไม่ใช่เรื่องปัญญา บางคนถือเพียงข้อเดียวก็พอ ถ้าสึกออกไปทําอะไรได้แค่ข้อมือ แต่ถ้ายังอยู่ทําอะไรได้เป็นวา ๆ เป็นเส้น ๆ เป็นกิโลเมตร (หัวเราะ)
อาจารย์เคยศึกษาวิธีการของพวกโยคี ที่หาวิธีผันเปลี่ยนพลังงานเพศไปใช้ทางอื่นหรือเปล่าครับ
-เคยศึกษาโดยหลัก ไม่เคยศึกษาโดยรายละเอียด คือท่าทางของโยคีทั้งหลาย มันเป็นเทคนิคกลุ่มหนึ่ง ที่จะลดความรู้สึกทางกาม และไปเพิ่มความรู้สึกทางธรรมะ และของเขามีนะ ห้ามไม่ให้ทําอย่างนั้นอย่างนี้ ที่มันจะไปส่งเสริมความรู้สึกทางกาม แล้วให้ไปทําท่าที่มันระงับความรู้สึกทางกาม ก็ได้ผลเป็นความเข้มแข็งทางจิต มันก็เป็นเรื่องชั้นสูง เป็นโยคะชั้นสูง แม้แต่อาหารการกินเขาก็ไม่กินอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ส่งเสริมความรู้สึกทางนี้ มันมีอยู่ในคัมภีร์พวกนี้ ไปหาอ่านดูเอง
อาจารย์เคยลองสังเกตเรื่องอาหารไหมครับ
-เออ มันมีจริงอย่างเขาว่า อย่างฟักทองสุก ฟักทองที่แก่จัด ที่เอามาปรุงเป็นอาหารคาวหวาน เหล่านี้ส่งเสริม ขนุนสุกก็ส่งเสริมกระตุ้นความรู้สึกทางนี้ มันมีนํ้าตาลชนิดนั้น พวกโยคีไม่กล้ากิน ละมุดสุกก็เหมือนกัน ในตําราไสยศาสตร์ของพวกนักเลงคาถาอาคมถือเครื่องรางของขลังก็มีตรงกับพวกโยคี ไม่กินผลไม้อย่างนั้นอย่างนี้ เขาถือว่าเป็นเรื่องทําลายวิชาอาคม มันทําให้นํ้าอสุจิใสเหลวแล้วรบกวน
ฉะนั้น อย่าอยู่ด้วยสิ่งที่มันยั่วให้เกิดความรู้สึกทางเพศ เช่นอ่านหนังสือพิมพ์ปัจจุบันแล้วแย่ หรือดูโทรทัศน์มันคงยิ่งแย่ใหญ่ พระบางองค์อยู่ด้วยสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดมันก็แย่ มันกรุ่นด้วยความรู้สึกทางนี้ตลอดเวลา
ฉะนั้น ควรระวังจิตให้ดี แวดล้อมตัวเองให้ดี ถ้ารักจะอยู่ในเพศบรรพชิต มองกามคุณในลักษณะแค่นั้นเอง เป็นค่าจ้างของธรรมชาติไว้หลอกจ้างสัตว์ที่มีชีวิตให้สืบพันธุ์แค่นั้นเอง ไม่เช่นนั้น สัตว์มันไม่สืบพันธุ์ เพราะมันไม่สนุกอะไร จึงเอากามคุณมาเป็นเหยื่อล่อ ก็เลยสมัครใจทําตามกันใหญ่โดยไม่รู้สึกตัว ไม่ทันรู้ตัวว่านี่เป็นค่าจ้าง ไปติดเบ็ดแล้วทําตามความต้องการของพรานเบ็ดโดยธรรมชาติ ไม่รู้ตัวกัน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 421-423
ตอนที่ 167 , ภาพหน้าที่ 424-425
อาจารย์ครับ มีอยู่ตอนหนึ่งที่อาจารย์พูดเมื่อไม่นานนี่เองว่า "เรามีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ แล้วก็ตํ่าสุดคือตํ่าไม่ได้อีกแล้ว เรื่องกินอยู่ เรื่องนุ่งห่ม เรื่องอะไรอย่างชนิดที่ตํ่าไม่ได้อีกแล้ว นั่นแหละคือข้อที่มันพลัดตกไม่ได้อีก หกล้มไม่ได้อีก เพราะมันตํ่าถึงที่สุดแล้ว มันยังเหลือแต่จะขึ้นไปเท่านั้นแหละ มันเหลืออยู่ที่จะขึ้นไป ไม่ต้องระวังเรื่องว่ามันจะตกลงไปอีก เพราะว่ามันตกถึงตํ่าที่สุดแล้ว" ทีนี้ผมจะเรียนถามว่า ตํ่าถึงที่สุดแล้ว นี่มันหมายความว่าอย่างไรครับ
-มันเรื่องกินอยู่ อย่างนี้มันพูดเรื่องกินอยู่ เมื่อเป็นอยู่ กินอยู่อย่างตํ่าแล้ว จิตใจก็ไม่รู้จะตํ่าไปถึงไหนอีก มันก็มีทางเดียวที่จะขึ้นมา มันเป็นการพูดเอาเปรียบแบบธรรมชาติ ถ้ามันตํ่าถึงที่สุดแล้ว ไม่มีทางที่จะไปแล้ว ก็มีแต่ทางกลับขึ้นสูง อยู่อย่างตํ่า ๆ ในทางฝ่ายร่างกาย จิตใจ มันก็ตํ่าลงไปอีกไม่ได้ มันก็ต้องดีขึ้น
อาจารย์ครับ แล้วมันเหมาะกับคนที่ทํางานทุกรูปแบบหรือเปล่าครับ
-แบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป คือต้องการให้เขามองเห็นด้วยตนเองว่าอยู่ตํ่าสุดแล้ว ก็ไม่มีจะตํ่าอีก มีแต่จะขึ้น ตํ่าสูงในที่นี้มันมีความหมายพิเศษ สูงถ้าเข้าใจผิดก็สูงด้วยกิเลส สูงอย่างนั้นมันไม่เท่าไรก็พังโครมลงมาอีก อยู่ให้ตํ่าก็ปลอดภัย มีแต่จะให้สูงขึ้น ค่อยรู้ประสีประสา ค่อยรู้เท่ารู้ทันขึ้นมา ความหมายธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ เรื่องชวนพระให้อยู่ตํ่า ๆ
อาจารย์ครับ อย่างที่อาจารย์ฝึกอยู่กับธรรมชาตินี้ มีผลต่อชีวิตและการทํางานในเวลาต่อมาอย่างไรบ้าง
-มันก็พูดยาก หรือพิสูจน์ยาก แต่ว่ามันอยู่อย่างตํ่ามาแล้ว มีแต่จะสูงขึ้น กินง่ายอยู่ง่าย อยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรอีกต่อไป เรื่องกินเรื่องอยู่ ตํ่าแล้วมันมีแต่จะสูง ตํ่าถึงที่สุดแล้วมันจะกลับขึ้นมาสูง ถ้าใช้คําว่าอยู่สูง หมายถึงอยู่สูงด้วยกิเลส มันจะพลัดตกตํ่าลงมา
อาจารย์ครับ เรื่องความเป็นอยู่นี้ อาจารย์ต้องปรับตัวมากหรือเปล่า ระยะแรกที่ลงมาจากกรุงเทพฯ แล้วค่อย ๆ ฝึกเข้ากับธรรมชาติ หรือว่าอยู่ก็อยู่ได้เลยโดยเฉพาะเรื่องการกินอยู่
-อย่างผมนี้ไม่ต้องปรับตัวอะไร สมัครอย่างนั้นเลย เราว่าเอาเอง เราตั้งเอาเอง เรากําหนดเอาเอง เราไม่ได้ไปทําในอาณัติของใคร หรือภายใต้กฎบัตรของใคร จะเรียกว่าปรับตัวก็ไม่ถูก เท่าแต่ว่าจะกินอยู่ง่าย ๆ ที่สุดเท่านั้น กินอยู่ตํ่า ๆ ของถูก ๆ ง่าย ๆ
อาจารย์เคยทดลองแบบไหนบ้างครับ
-ไม่ต้องทดลองแบบไหน แบบที่ได้มาอย่างที่เขาให้มา เท่าที่เขาให้มา เรื่องกินอาหารตามที่ได้มา ไม่ได้แกล้งทําให้ยุ่งยากลําบากขึ้น เรื่องนอนก็นอนอย่างตํ่าที่สุด บางทีก็มีเสื่อ บางทีก็ไม่มีเสื่อ หนุนหมอนไม้รองด้วยสังฆาฏิพับ มุ้งไม่มี เว้นแต่ไม่สบายเจ็บไข้
เรื่องกรําแดดกรําฝนนี้ ไม่ต้องค่อยปรับหรือครับ
-มันก็เหมือนค่อย ๆ ปรับแหละ ทีแรกมันก็บ่อยหน่อย คือไม่บุ่มบ่าม รองเท้าก็เหมือนกัน ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป จนว่ามันไม่ต้องสวม
เวลาไม่สวมนี้หนังตีนหนาขึ้นใช่ไหมครับ
-แล้วแต่เดินมากเดินน้อย หรือสถานที่ที่เดิน ที่สวนโมกข์ไม่หนา เพราะเป็นทรายร่น ทรายนิ่ม ถ้าเดินตามทางรถไฟ เดินธุดงค์ตามทางรถไฟจะต้องหนาปึก
อาจารย์คิดว่าถ้าเราอยู่กับธรรมชาติอย่างนี้ แล้วกลับเข้าไปอยู่ในเมืองนี้มีประโยชน์ไหม
-มันก็มีประโยชน์ คือมันอยู่ง่ายขึ้นไปอีก อยู่ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะมันอยู่อย่างไรก็ได้เสียแล้ว ทีนี้อะไรก็ได้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 424-425
ตอนที่ 168 , ภาพหน้าที่ 425-426
ที่อาจารย์เขียนบอกว่า การอยู่แบบธรรมชาติ ธรรมชาติมันจะปรุงแต่งเรา เราก็จะมีชีวิตใหม่ที่ปรุงแต่งขึ้นมาท่ามกลางการแวดล้อมของธรรมชาติ ชีวิตใหม่นี้มีความหมายมากน้อยแค่ไหน
-หมายถึงผิดจากที่เราเคยอยู่อย่างสําเริงสําราญ แล้วก็วางมาตรฐานเอาไว้ว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ ต่อไปนี้ก็เข้ากันได้กับธรรมชาติทุกชนิด เหมือนกับว่าอยู่ในเมือง กินอยู่อย่างคนในเมืองแล้วกลับมาอยู่กับธรรมชาติอย่างตํ่าที่สุด ทีนี้กลับเข้าไปในเมืองอีกไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีปัญหาเรื่องสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป
อาจารย์ครับ อย่างการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้ มีผลต่อการศึกษาธรรมะ ในแง่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อย่างไรบ้าง
-อ๋อ มันก็แล้วแต่คน ผมไม่เห็นมีปัญหาอะไร แม้กินอยู่อย่างตํ่า ก็ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการศึกษา เกี่ยวกับการปฏิบัติ ไม่ขัดขวาง บางคนคิดเอามันยึดถือว่าต้องได้กินดี ต้องได้อิ่ม ได้อาหารดีหรืออิ่มอยู่เสมอ เมื่อเช้ามีมาคนหนึ่ง ก่อนบวชเขาก็มาที่นี่เสมอ คนนี้เขาจะค้นพระไตรปิฎก ศึกษาพระไตรปิฎก หาเรื่องราวที่เขาต้องการ พรรษาที่แล้วมานี้เขาบวช บวชแล้วเขาทําตามที่ทําได้ เดี๋ยวนี้มาร้องอุทธรณ์ว่าอาหารไม่พอ พอตอนเย็นข้าวก็ไม่ได้กิน ตามที่จะทําให้ชุ่มชื่นแข็งแรง ทํางานไม่ได้ จะต้องสึก บวชพรรษาเดียวก็สึก เรื่องมันจะตามใจตัวเอง อยากจะสึก แต่แกก็มุมานะมาหลายปี แล้วมาที่นี่ แกเป็นผู้ใหญ่แล้ว เปิดร้านซ่อมทีวี วีดีโอ แล้วพวกญาติ พวกน้องทํา เดี๋ยวนี้กําลังค้นเรื่องโสดาบัน ปรากฏว่าบวชแล้วค้นได้น้อยกว่าฆราวาส เป็นฆราวาสพักผ่อนตามพอใจ ได้กินตามพอใจ หิวขึ้นมาก็กินได้ ทํางานไปพลางก็กินได้ อย่างพระทําไม่ได้ เลยต้องสึก มันเดินกันคนละแบบ
ในกรณีของอาจารย์เอง หมายความว่าการอยู่กับธรรมชาติกับการพัฒนาทางด้านจิตใจ ด้านปัญญานั้น สัมพันธ์กันอย่างไรครับ
-มันก็พัฒนาทางด้านจิตใจเป็นส่วนใหญ่ เรื่องหนังสือรองลงไป กินอยู่ไม่มีความหมาย เป็นบริวาร การกินการอยู่ไม่มีความหมายอะไร กินอิ่มแล้วก็แล้วไป ก็รู้สึกว่าเหมาะสมเหมือนกันที่ทํางานปริยัติ แม้เวลาทํางานทางจิต ทําภาวนาก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร มีแต่ความเข้มแข็ง มีแต่ความเฉยได้ ไม่ค่อยรู้สึกระวนกระวายเดือดร้อน หรือไม่มีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องกินหรือเรื่องอยู่
อาจารย์ครับ แล้วมันมีผลต่อการเข้าใจธรรมะชั้นลึกหรือเปล่าครับ
-ผมเชื่อว่ามันมี การเป็นอยู่อย่างธรรมชาติช่วยให้รู้จักธรรมชาติง่ายขึ้น แต่คําว่าธรรมชาติในที่นี้ หมายถึงธรรมชาติในแง่ของที่ว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือในแง่ที่มันจะต้องเป็นไปอย่างนั้น ซึ่งไม่ต้องดัดแปลง ไม่ต้องลําบากยากเย็น เป็นอยู่อย่างธรรมชาติเพื่อให้จิตใจเกลี้ยง ช่วยให้จิตใจเหมาะกับที่จะเข้าใจธรรมชาติ ส่วนใหญ่มันก็เป็นรูปธรรมอยู่แล้วก็เห็นชัด ส่วนนามธรรมมันก็ขึ้นอยู่กับจิตใจที่สบายปกติ เกลี้ยง จิตใจปกติอารมณ์ดีอย่างนี้มันก็ทําได้ดีเหมือนกัน ผมอยากจะพูดว่าอย่าไปนึกกับมันนักเรื่องนี้ ทําไปก็แล้วกัน ทําที่จะทํา ทําที่อยากจะทํา อย่าไปคิดให้มันเกิดปัญหา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 425-426
ตอนที่ 169 , ภาพหน้าที่ 426-429
อย่างที่เราอยู่กับธรรมชาติ ทําให้เราเข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างไร
-นี่มันไปตามเรื่อง เป็นไปตามเรื่องของธรรมชาติ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือตัวธรรมชาติ นานเข้าก็เป็นความรู้สึก เพราะมันไม่ได้รู้สึกอะไรมาก ไม่มีเทคนิค ไม่มีอะไร เพราะมันเรียกว่าอยู่ป่าเพื่อให้มันตํ่าที่สุด ให้มันง่ายที่สุด ไม่มีอะไรเป็นภาระ แล้วเวลาก็เหลือมาก จะเรียนหนังสือ จะศึกษาทางหนังสือก็ได้ จะทําจิตใจก็ได้ มันก็เลยไม่รู้จะเล่าอะไรให้เป็นเทคนิคขึ้นมา เราอยู่ป่าก็โดยที่เชื่อว่ามันต้องว่างมาก สะดวกสบาย เบาบ้างอะไรบ้างตามแบบที่เห็นในบาลี เรื่องเกี่ยวกับครั้งพุทธกาลก็ไม่ต้องไปมีปัญหาอะไร ไม่ต้องไปหยิบอะไรขึ้นมาทําให้เป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไข มันเหมือนกับกระโจนออกไปสู่ที่ว่าง แล้วก็สบาย ทําอะไรก็ได้ จึงไม่มีเรื่องที่จะบรรยาย
อาจารย์เคยจาริกธุดงค์ไปที่ไหนบ้างหรือเปล่าครับ
-ไม่เคยธุดงค์ แบบที่เขาทําไม่เคย เดินอยู่แต่ในสวนโมกข์ เพราะว่าพอมาเริ่มงานเข้า มันอยากจะทําแต่หนังสือ ถ้าออกเดินธุดงค์มันก็ไม่ได้ทําหนังสือเสียเลย ก็เลยไม่คิด เคยคิดเหมือนกันว่าจะลองทําบ้างบางครั้งบางคราว เสร็จแล้วมันก็ไม่ได้ทํา
แล้วนอนกับดินกับทรายอย่างนี้เคยไหม
-(หัวเราะ) มันก็มีเหมือนกัน เคยนอนเล่นที่ชายหาดเป็นคราว ๆ ที่คันธุลี (ตําบลหนึ่งในเขตอําเภอท่าชนะ สุราษฎร์ธานี) คนรู้จักคุ้นเคยกัน เขามีสวนมะพร้าวอยู่ที่คันธุลี แล้วลูกชายของแกมาบวชอยู่ด้วย ก็ไปนอนที่ชายหาด เป็นที่ตะแคง ไม่ต้องใช้หมอน ที่ดีอยู่แล้ว พอนอนเหยียดเท้าไปทางนํ้าก็สบาย ใช้ผ้าอาบผืนเดียวปู อย่างนี้เอาแน่ไม่ได้ เพราะความเหน็ดเหนื่อยช่วยให้หลับง่าย อากาศทะเลช่วยให้หลับดี มันรู้แต่เพียงว่าเป็นความง่ายในการที่จะนอน ไม่ได้ยึดถือไม่ได้จัดเป็นหลักปฏิบัติ ไม่ได้จัดให้เป็นการปฏิบัติ แต่เป็นเรื่องปล่อยตามสบาย ความที่มันอยากจะทําหนังสือ มันก็เลยไม่อยากจะไปไหน เนื่องจากจิตใจมันปกติ มันสะดวก อํานวยให้ตามที่เราต้องการ ไม่มีอะไรเป็นปัญหาทางจิตใจ มันก็เลยไม่สําคัญอะไรนอกจากทําหนังสือ ทําหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง ถ้าเรื่องที่ต้องคิดนึกมันก็เป็นเรื่องทําพร้อมกันไปกับทําหนังสือ เอาเรื่องยาก ๆ มาทํา ต้องคิด ต้องนึกพร้อมกัน เรียกว่าทําวิปัสสนาโดยที่มีปากกาอยู่ในมือ ไม่มีแบบ ไม่มีพิธี คงจะยากถ้าใครจะเอาอย่าง เพราะมันไม่มีแบบ ไม่เป็นพิธี ไปตามสะดวก ไปตามสบาย แต่เชื่อว่าทุกคนทําได้
อาจารย์ครับ ถ้าอย่างนี้หมายความว่าธุงควัตรนี้อาจารย์ถือตอนแรก ๆ พอต่อมา ก็ไม่ค่อยได้ถือเท่าไร เพราะแล้วแต่มันสะดวก เรื่องงานเรื่องการนี้เป็นหลักใช่ไหมครับ
-ถืออยู่เท่าที่มัน… มันเหมือนกับไม่ยึดถือ ใช้จีวรเท่านั้น ฉันอาหารเท่านั้น นอนแต่น้อย ไปบิณฑบาตเป็นวัตร ถ้าไม่ไปบิณฑบาตมันก็ไม่มีอะไรจะฉัน แล้วก็บิณฑบาตตามลําดับบ้าน ล้วนแต่เป็นธุดงค์เท่านั้น แต่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้สมาทานอะไร ก็รู้ว่ามันถูกแล้ว ไม่อยากจะทําให้มันเกิดเป็นเรื่องขึ้นมา ให้มันไม่มีเรื่องยิ่ง ๆ ขึ้นไป คนที่ไปยึดถือให้เป็นเรื่องเป็นแบบเคร่งเครียด เราทําไม่ได้ เอาอย่างไม่ได้
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์เขียนเรื่องเกี่ยวกับการนอน ถ้านอนแบบสีหไสยาสน์ แล้วกําหนดรู้เวลารู้ตื่นอะไรอย่างนี้ อาจารย์ปฏิบัติตามนั้น หรือว่าเขียนตามตําราไว้ให้เป็นแบบเฉย ๆ
แล้วอาจารย์ทําแบบนั้นมาตลอดหรือเปล่าครับ
-เรียกว่าไม่ตลอดดีกว่า บางเวลาก็ไม่ได้ทํา แต่ว่าทําจนเป็นนิสัยไป มันก็เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจจะทํา นอนตะแคงข้างขวานี้สบาย นอนในท่าอื่นไม่ค่อยสบาย ไม่ค่อยจะหลับสนิท
เรื่องกําหนดเวลาตื่นเล่าครับ
-เคยตื่นตรงเผงไม่ผิดแม้แต่นาทีเดียวหลาย ๆ ครั้งแหละ จนมันเป็นธรรมดาไปเสีย ไม่รู้มันมาแต่ไหน ถ้าเราตั้งใจจะตื่นให้ตรงเวลาเท่านั้น ก็ตื่นได้ตรงอย่างน่าประหลาดที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยอํานาจของอะไร อธิบายไม่ได้ แต่ก็ไม่พ้นจากธรรมชาติ เป็นเช่นนั้นเอง
แล้วที่อาจารย์บอกว่าให้นอนเหมือนกับตื่นอยู่นี้มันเป็นอย่างไรครับ
-อ้อ นั่นมันสํานวน สติไม่ขาด ตอนจะหลับ หลับไปด้วยสติ ขณะหลับไม่ต้องพูด พอตื่นขึ้นมามันตื่นขึ้นมาด้วยสติ แล้วถือว่าสติไม่ได้ขาดตอน
แต่ตอนหลับก็หลับธรรมดาอย่างนี้
-ก็หลับธรรมดา หลับอย่างที่เรียกว่ามีสติหลับ ขณะหลับไม่มีทางจะทําผิดอะไรได้ แต่เมื่อตื่นอยู่หัวท้ายให้มันมีสติติดต่อกัน มันเป็นสํานวนพูดหลับเหมือนกับตื่นอยู่ ถือว่ามันไม่ได้เกิดเรื่องเสียหายอะไรขึ้นเมื่อหลับ
ถ้าอาจารย์สุขภาพปกติ อาจารย์นอนและตื่นเป็นเวลาหรือเปล่า หรือว่าแล้วแต่งานการครับ
-ถ้าว่าสุขภาพปกติไม่มีอะไรแทรกแซง ตื่นตรงตามเวลา นอนตรงตามเวลา ไม่ได้กําหนดชั่วโมง นอนตามสบาย เสร็จแล้วมันก็จะตื่นตรงของมันเอง
หลับกี่ชั่วโมงครับเมื่อสุขภาพดี
-ไม่แน่ คือถ้าสมัยโน้น ก็นอนประมาณสัก ๖ ชั่วโมงได้
-พออายุมากขึ้นมันก็น้อยเข้าน้อยเข้า ความชราทําให้นอนน้อยลง
ไม่ใช่นอนมากขึ้นหรือครับ และทําไมความชราจึงทําให้คนนอนน้อยลง มันน่าจะต้องการพักผ่อนมาก
-(หัวเราะ) พักผ่อนไม่ใช่หมายความถึงหลับก็ได้ คนชราออกกําลังน้อยลง การหลับมันมักจะหลับอิ่ม หรือหลับมีประโยชน์เต็มความหมายได้ง่ายขึ้น มันนอนน้อยชั่วโมงก็ได้
อาจารย์สมัยหนุ่ม ๆ ที่อาจารย์ทํางานสุดเหวี่ยงนั้น มีช่วงที่วิตกกังวลเรื่องงานจนนอนไม่หลับหรือไม่
-ไม่เคยมี เวลาเหนื่อยถึงเวลาหลับก็นอน
แล้วเวลาเดินทางไปต่างจังหวัด ไปนอนที่อื่น ก็หลับดีหรือครับ
-มีเหมือนกัน ผิดที่นอน นอนไม่ค่อยหลับ นอนในที่ที่มันเปิดให้คนอื่นเห็น อย่างนี้ก็นอนไม่หลับ แต่ไม่ค่อยจะมี
นอนแบบไหนที่ให้คนอื่นเห็นครับ
-เขามักจะจัดให้นอนในห้องที่รับแขกนั่นเอง เช่นไปตามวัด วัดธรรมดาสามัญทั่วไป เขาให้นอนห้องรับแขกนั่นเอง มันไม่ต้องมีอะไรปิดกั้นก็มี มันก็ไม่แน่ แล้วแต่เหตุการณ์ นอนดีเกินไปก็มี เช่น ให้นอนในโบสถ์ถือว่ามีเกียรติ ให้นอนในโบสถ์แทนที่ได้รับความสะดวก กลับลําบาก
อาจารย์ครับ อย่างพรุ่งนี้ต้องปาฐกถาสําคัญ คืนนี้นอนไม่หลับ อย่างนี้มีไหมครับ
-ไม่มี มันเตรียมไว้ก่อนงานนั้นหลายวันแล้ว
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 426-429
ตอนที่ 170 , ภาพหน้าที่ 429-431
อาจารย์ครับ การนอนด้วยหมอนไม้แบบที่ใช้กันในสวนโมกข์ทุกวันนี้ อาจารย์ได้แบบมาจากไหนครับ
-ตอนอยู่สวนโมกข์เก่าไม่ได้ใช้แบบนี้ ใช้แบบคล้ายม้านั่งเตี้ย ๆ ดูเหมือนเคยเล่าแล้ว แบบท่อนไม้ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ คิดทํากันตอนอบรมธรรมทูต เพราะในบาลีมีว่าหนุนท่อนไม้ แล้วมารจะไม่รบกวน ท่อนไม้ที่กลิ้งตามในป่าท่อนเล็ก ๆ พอหนุนได้ ตามธรรมเนียมในอินเดีย พวกที่ต้องการจะอยู่อย่างเข้มแข็ง แม้เป็นฆราวาสก็ใช้กัน พวกกษัตริย์ลิจฉวีก็หนุนท่อนไม้เพื่อให้เข้มแข็งอย่างนักรบ นักบวชก็เพื่อให้สันโดษมักน้อย เพื่อไม่ให้นอนมาก เป็นนักรบแบบหนึ่งด้วยเหมือนกัน
อาจารย์เองใช้มาจนทุกวันนี้หรือเปล่าครับ
-เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ยิ่งไม่สบายยิ่งไม่ได้ใช้ อายุมากเข้าก็ตามสบายเสียบ้าง ถึงหนุนท่อนไม้ก็ไม่ใช่ท่อนไม้ล้วน ๆ มีสังฆาฏิรองทับ รวมความว่า มันไม่มีแบบอะไรที่ตายตัว เอาตามสบายอย่างง่ายที่สุด อย่าให้มีปัญหาก็แล้วกัน ไปจํากัดตายตัวอย่างนั้นอย่างนี้ ยิ่งบ้าใหญ่ อย่าไปรู้ไปชี้มันมากนักแหละดี
อาจารย์ครับ เรื่องการฉันอาหารของอาจารย์นี้ บางทีผมคุยกับอาจารย์แล้วรู้สึกว่าอาจารย์รู้เรื่องรสอาหารมาก รู้เรื่องอะไรอร่อยอย่างไร รู้เทคนิคมาก แต่เวลาอาจารย์เขียนเรื่องการฉันนี้ รู้สึกเขียนเคร่งครัดมาก บอกให้ต้องพิจารณาเป็นแบบกินเนื้อลูกในทะเลทราย อะไรแบบนั้น
-นั้นมันเขียนสําหรับการปฏิบัติของผู้ที่จะเริ่มฝึกปฏิบัติ เขียนสําหรับพระบวชใหม่หรือเริ่มต้นการปฏิบัติ นานเข้ามันก็ชินเป็นนิสัย มันก็กินเรียบร้อย กินน้อย ๆ ก็พอสมควร ไม่มีอะไรเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา
ระยะที่อาจารย์บวชแรก ๆ อาจารย์ก็ฝึกแบบนี้ ปัจจเวกขณ์อะไรอย่างนี้หรือครับ
-อ๋อ ทุกคนต้องทําตามประเพณี
ตอนอยู่ที่สวนโมกข์ ตอนที่อยู่แบบปฏิบัติจริง ๆ นี้ พิจารณาก่อนฉันอะไรอย่างนี้ ทําจริง ๆ ในใจ หรือว่าทําบ้างไม่ทําบ้างครับ
-บางโอกาสไม่ได้ทํา มีเรื่องยุ่งอย่างอื่นอยู่เช่นเรื่องหนังสือ เรื่องพิธีเรื่องอะไรต่ออะไรก็ไม่ได้ทํา ทําสักว่าพอเป็นพิธี ถ้ามันสะดวกสบาย มันก็คิดปัจจเวกขณ์อย่างศึกษา ปัจจเวกขณ์อย่างจริงจังให้รู้เรื่องเอามาแต่งหนังสือ ไม่ได้ทําเป็นระเบียบตายตัวไปหมดตลอดเป็น ๑๐ ปี มันก็เปลี่ยนไปตามเรื่อง
บางคติให้พิจารณาว่าเหมือนฉันเนื้อลูกในทะเลทราย แบบนี้ส่วนใหญ่เป็นเรื่องคิดใช่ไหม ไม่ได้รู้สึกจริงจังเท่าไรใช่ไหมครับ
-มันเอาไว้เตือนว่า มันจะกินมาก มันจะกินอร่อย มันจะกินเกินพอดี แม้แต่เรื่องลดความอ้วนก็เหมือนกัน ต้องค่อยมีสติเตือนอยู่อย่างนี้ สมมติเป็นหลักไว้ว่า ไม่กินอย่างนั้น ไม่พิจารณาอย่างนั้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าติเตียน เราไม่ต้องการให้มีอะไรในลักษณะที่พระพุทธเจ้าติเตียน ก็คอยนึกอยู่เสมอ อย่างนั้นก็แวบขึ้นมาเป็นธรรมดา ถ้าเป็นเรื่องก่อนสวนโมกข์ ดูมันจะชอบกินอร่อย ชอบกินมาก ไม่ค่อยนึกมีลักษณะอย่างนี้ คอยดูว่ามันจะมีอะไรอร่อย
ตอนนั้นก็ไม่เห็นรูปอาจารย์อ้วน เห็นอาจารย์ผอมสมัยก่อนสวนโมกข์
-มันเป็นธรรมดา มันอ้วนตามแบบอายุมาก
ฉันมากหรือเปล่าครับ เวลาอ้วนร่างกายต้องการอาหารมากหรือเปล่า
-ลดลง ถ้าพูดถึงเมื่อก่อนแรกบวชฉันมาก อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังฉันมาก ฉันอร่อยและฉันมาก คือฉันตามพอใจ ไม่มีการห้ามล้อ พอออกมาอยู่สวนโมกข์คือแบบป่า จึงฉันแบบมีการห้ามล้อ
อาจารย์ครับ อ้วนแล้วฉันมากหรือเปล่าครับ
-ยิ่งน้อยลง เดี๋ยวนี้ไม่น่าเชื่อ คนไม่รู้ ประมาณสัก ๔-๕ ช้อน แล้วก็อุจจาระประมาณวันละช้อนเท่านั้น แล้วมันก็อ้วนอย่างนี้ ร่างกายวิปริต มันคล้ายว่ากินเข้าไปเท่าไรมันย่อยหมด กินน้อยมันย่อยหมด นี้เป็นเรื่องธรรมชาติ
อาหารอะไรอาจารย์ถูกปากมากเป็นพิเศษครับ
-เรียกว่าเปลี่ยนตามวัยก็ได้ เช่น ชอบกินผักสัก ๓-๔ เดือน มันก็เปลี่ยนเป็นไม่ชอบอีกแล้ว ทีนี้กินปลา หรือชอบกินเปรี้ยว ๆ สัก ๒-๓ เดือนมันก็ไม่ชอบอีก เรียกว่ามันเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ มันไม่มีอะไรที่แน่นอน ปีกลายฉันผักมากที่สุด ปีนี้เกือบจะไม่ฉัน ถึงมีก็ไม่ฉัน
อาจารย์ครับ มันเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติ หรือเป็นเพราะว่าเราตั้งใจ
-ตามธรรมชาติ ไม่ได้ตั้งใจ รู้สึกขึ้นมาเองว่า ไม่ชอบ ไม่ชอบ
ที่อาจารย์ชอบนํ้าพริกนี้ชอบมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ หรือว่ามาชอบอายุมากครับ
-นํ้าพริกมันเคยชอบมาเรื่อย ๆ แต่เดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะ ๓-๔ เดือนนี้ ไม่ชอบ แต่มันก็จําเป็นจะต้องฉันนํ้าพริก ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ได้ฉันเอาเสียเลย ฉันนํ้าพริกคลุกข้าว แล้วฉันกับผัก กับปลาเค็ม ต้องสรุปความว่ามันชอบเปลี่ยน ตามธรรมชาติ มันชอบเปลี่ยน เปลี่ยนอย่างนั้นเปลี่ยนอย่างนี้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 429-431
ตอนที่ 171 , ภาพหน้าที่ 431-432
อาจารย์ครับ สมัยที่อาจารย์ทดลองฉันผลไม้อย่างเดียว ผักอย่างเดียว ใครเป็นคนส่งให้
-โยมที่บ้าน มันก็ไม่หนักหนาอะไร ถือว่าฉันเจ ๓-๔ องค์ได้เหมือนกันหมด ได้ผักมาจํานวนหนึ่ง แล้วเต้าเจี้ยวหลนสักกระทงหนึ่ง มันก็มีพอ โดยเฉพาะคราวที่มหาจุลอยู่ มหาจุลเขาเป็นคนปฏิญาณกินเจ แล้วก็เลยให้ความสะดวกทั้งหมดเลย เพื่อไม่ให้โยมเขาลําบาก กินแต่ผักไม่ต้องจิ้มอะไรต่ออะไรก็เคยลอง กินแต่ผลไม้ล้วน ๆ ไม่กินข้าวก็เคยลอง จําพวกเผือก มัน กล้วย มะละกอ ฉันแต่ผลไม้ อุจจาระไม่เหม็นเลย ฉันแต่ของหวาน ขนมหวานอยู่ไม่ได้ ๒-๓ วันก็จะตาย
- ไม่ใช่ลมขึ้น ข้างในมันรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ ทนไม่ได้ แล้วมันหิวด้วย ของหวานมันกินเข้าไปได้ไม่มาก เดี๋ยวเดียวมันก็หิว
สมัยสวนโมกข์ตอนแรก นํ้าปานะตอนเย็นฉันกันอย่างไรครับ
-ระยะยาวมากระยะหนึ่ง ก็คือใบชุมเห็ดต้ม ใบชุมเห็ดผิงไฟแล้วก็ต้มใส่นํ้าตาลทรายแดง สมัยนั้นนํ้าตาลทรายแดงปี๊บละ ๓ บาทเท่านั้น เหมือนเป็นของทิ้ง มีกลิ่นมีอะไรมากกว่านํ้าตาลทรายขาว ผสมกับใบชุมเห็ด กลิ่นประหลาด ๆ นี้แหละเป็นส่วนมาก นํ้าอ้อยนํ้าส้มไม่ค่อยจะพบเพราะไม่มีใครทํา มันยุ่ง บางสมัยมีนํ้าลูกหว้าคั้น บ้านนี้เรียกลูกเขรียง มีบ้างเหมือนกัน มันมีต้นอยู่ในสวนโมกข์เก่า ให้เณรทําบ้าง มะขามป้อมก็มี ลูกจันก็มี มีคนส่งไปให้ ลูกจันเทศเหมือนเดี๋ยวนี้ มันไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไร แล้วแต่มันจะมี มีกฎเกณฑ์ที่ว่าแล้วแต่มันจะมี
สมัยอยู่สวนโมกข์เก่า มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่พากันไปฉันริมทะเล บิณฑบาตผ่านตลาด แล้วก็เลยไปชายทะเล บางทีก็แกล้งให้เขาจัดเรือให้ลงเรือไปฉันในทะเล เรียกว่าทําทุกอย่างที่จะทําได้ ฉันที่ริมหนองเพื่อจะได้ฉันบัว อย่างนี้ก็เคย รู้สึกไม่ถูกต้องตามวินัยนัก ตํานํ้าพริกไปแล้วไปนั่งล้อมหนองบัว เด็กถอนบัวมาให้จิ้มนํ้าพริก มันสนุก เปลี่ยนอากาศ เมื่อมาอยู่สวนโมกข์นี้แล้ว บางทีก็แกล้งไปฉันในคลองที่ปากด่าน ก่อนจะออกทะเล คลองนั้นไปฉันบ่อย เพื่อซ่อมคลองให้ใช้ได้ ไปฉันเกือบทุกวัน ตอนฝึกพวกธรรมทูต ก็พาไปฉันที่โรงนาพี่ข้อง ให้บรรยากาศมันคล้ายครั้งพุทธกาล ลองดูบ้าง มันเป็นเจตนาที่จะให้พระธรรมทูตได้ชิมอะไรดูบ้าง
อาจารย์เขียนถึงความสุขจากการไร้สมบัติ แล้วทําให้ชีวิตเราสบายนี้ แต่ทําไมมนุษย์ส่วนใหญ่จึงอยากมีสมบัติเยอะ ๆ ครับ
-มันเป็นกิเลสอย่างอื่น เป็นความต้องการที่แรงกล้า จะมีทรัพย์สมบัติเป็นทุนสํารอง เพื่อหาความสะดวก สบาย สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ความจริงแม้มีสมบัติก็รู้สึกเหมือนไม่มีสมบัติได้ มันสงเคราะห์เข้าในเรื่องว่าง ว่างทางจิต
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 431-432
ตอนที่ 172 , ภาพหน้าที่ 432-434
ฟังอาจารย์เล่า ๆ มา รู้สึกว่าชีวิตอาจารย์ไม่เคร่งเครียดเท่าไหร่ ไม่เคร่งครัดเท่าไร ทําตามสบาย ๆ หลวม ๆ เป็นจังหวะ แล้วแต่จังหวะ แล้วแต่ความเหมาะสม ไม่ได้ถือเคร่งครัด แต่ทําไมหนังสือที่อาจารย์เขียนออกมาเช่น "คําสอนผู้บวช" อย่างนี้ มันมีลักษณะที่ทําให้คนอ่านรู้สึกว่าเคร่งมาก
-สําหรับความรู้สึกผู้บวชใหม่ ควรจะเรียกว่าเคร่งก็ได้ แต่อย่าให้มีความหมายเป็นครัด หรือเครียด คําว่าเคร่งมันกํากวม ๒ ความหมาย เคร่งในอุปาทานเป็นบ้าก็ได้ เคร่งด้วยสติปัญญามันก็พอดี มัชฌิมาปฏิปทามันก็พอดี มัชฌิมาปฏิปทาคือหลักเกณฑ์ของการเคร่ง เคร่งส่วนใหญ่มักจะอวดตน เคร่งเพื่ออวดคน ที่ว่าเคร่งเพื่อจะให้กิเลสหมดเร็วนั้นมีน้อยมาก
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์เคยเขียน เรื่องพระควรเลิกยาเสพติดนั้น มตินี้อาจารย์ยังถือมาทุกวันนี้หรือเปล่าครับ
หมายความว่าอาจารย์ให้เหตุผลตอนนั้นว่า ถ้าไม่มีกําลังใจพอที่จะเลิกสูบบุหรี่แล้วจะปฏิบัติธรรมไม่ได้
-นั่นแหละว่าสําหรับคนอื่น แม้แต่บุหรี่ยังเลิกไม่ได้ แล้วจะไปทําอะไร กัมมัฏฐานภาวนาจะทําได้อย่างไร
อาจารย์ครับ คิดแบบนี้ไม่แคบไปหรือ พระที่ท่านทํากัมมัฏฐานแล้วท่านยังสูบบุหรี่ก็มี
-ที่ยกเว้นก็มี แต่ก็นั่นแหละคือข้อที่ผมไม่นับถืออาจารย์บางรูป
ถ้าถือว่ามันเป็นของเล็ก ๆ ที่ละทีหลังได้ เพราะว่ามันไม่ใช่ของสําคัญที่สุด และมันก็ยังมีคุณอยู่บ้างสําหรับบางคน ถ้าคิดอย่างนี้ได้ไหม
-อย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าเรามันมีหลักว่าให้เอาความถูกต้องเป็นหลักเท่านั้น ไม่ต้องมีปัญหาอะไร กลับเห็นว่ามีคุณไปเสีย ก็ไม่ต้องพูดกัน
อาจารย์ครับ สําหรับบางคน ของพวกนี้มันก็มีคุณใช่ไหม เขาไม่ได้บุหรี่ เขาอาจจะต้องทําสิ่งที่เลวร้ายกว่านั้น
หรือคนที่แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ ต้องหันมาหาพวกนี้ก่อน หนีชั่วคราว แต่เขาอาจจะเป็นคนดีก็ได้
-ก็อาจจะดีในส่วนอื่น แต่เขาก็เป็นคนอ่อนแอ ในส่วนที่เขาไม่ถือหลักว่า ถ้าไม่ดีแล้วต้องทิ้ง ไม่ถือหลักว่า ถ้ารู้สึกว่าสิ่งนี้ให้โทษ ไม่มีประโยชน์ แล้วไม่ละ
-ในเรื่องอย่างนี้ไม่มีเล็กน้อย ถ้าเป็นทางจิตใจไม่มีอะไรเล็กน้อย มันเสียหลักหมด
มันต้องละ ขึ้นมาทีละขั้น ๆ ใช่ไหมครับ อินทรีย์ของมนุษย์มันไม่เท่ากัน
-มันต้องละก่อน เรื่องเหล่านี้ต้องละก่อน เรื่องพื้นฐาน ง่าย ๆ เรื่องพื้นฐานต้องละกันก่อน
อาจารย์ครับ ถ้าบางคนถือหลักว่า เรื่องนี้มันไม่เสียหายมากนัก เรายอมเสียไปก่อน แล้วเราพยายามป้ องกันเรื่องที่เสียหายมากกว่า อย่างนี้
-มันคงจะถูกของเขา แต่ผมไม่เห็นด้วย ของง่าย ๆ ของขั้นแรกขั้นมูลฐาน มันไม่ใช่เฉพาะบุหรี่หรือหมาก ทุกเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย ๆ แต่มันเป็นเครื่องวัดว่า คนนี้ไม่ถือหลักว่า ถ้าไม่มีประโยชน์แล้วต้องละ หลักธรรมะมีอย่างนั้นด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าให้โทษ เพียงแต่ว่ามันไม่มีประโยชน์ยังต้องละ ถ้ายิ่งให้โทษด้วยแล้วยิ่งต้องละใหญ่ มันจึงจะมีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนถูกต้อง เป็นร่องเป็นรอย ถ้างั้นเลือกพูด เลือกปฏิบัติ เลือกอย่างนั้นอย่างนี้เอาได้ ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์
สําหรับคนที่จะเดินตรงทางนี้ มันต้องเป็นคนส่วนน้อยที่อาชาไนยจริง ๆ ใช่ไหมครับ มนุษย์เราส่วนใหญ่ก็อ่อนแอทั้งนั้นไม่ใช่หรือครับ
-ไม่ใช่ ต้องทุกคน ไม่ยกเว้นใคร ถ้าเมื่อสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ ต้องละ ทุกคนต้องละ ยิ่งถ้าสิ่งนี้ให้โทษ ยิ่งต้องละใหญ่ จึงจะเข้าหลักพระพุทธศาสนา
อาจารย์ครับ คนเราต้องมีของเล่นของอะไรบ้าง
-มันต้องพิสูจน์ว่าไม่มีโทษ คือให้มันมีประโยชน์ ของเล่นที่มีประโยชน์ก็มี ของเล่นที่ไม่มีประโยชน์ก็มี ให้โทษก็มี พูดรวม ๆ กันไม่ได้ ของเล่นมันต้องมี พักผ่อนหย่อนใจต้องมี ฤษีมุนีต้องเล่นฌาน บาลีเรียกว่าฌานกีฬา มีฌานเป็นกีฬา เป็นพระอรหันต์ก็ยังเล่นฌาน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 432-434
ตอนที่ 173 , ภาพหน้าที่ 434-435
อาจารย์ครับ ตอนนี้ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยเล่าเกี่ยวกับพัฒนาการที่อาจารย์ฝึกสมาธิมาตั้งแต่ต้นครับ
-เรื่องให้เล่ามันลําบาก ต้องถามเป็นข้อ ๆ มา ทั้งหมดมันไม่รู้เริ่มตั้งแต่ครั้งไหน ให้เล่าทั้งหมด มันเหลือความสามารถ
อาจารย์เริ่มฝึกสมาธิจริงจังช่วงไหนครับ
ช่วงแรก ๆ มีสวนโมกข์ ตอบได้ว่าอย่างนี้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่พูดยาก คือว่ามันฝึกไปพลางค้นไปพลาง ค้นพระไตรปิฎก พบเรื่องเกี่ยวกับสมาธิมาก หรือชัดเจน ในตอนหลัง ๆ มาอีก ในตอนนี้มันทําพร้อมไปกับเรื่องคิด เรื่องค้น มันเลยทําสมาธิอยู่ในตัว ในการคิด ในการค้น แต่ละวัน เพราะแต่ละข้อ แต่ละข้อ ต้องวินัจฉัยมาก ก็เลยคิดแต่ละข้อ แต่ละข้อ เหมือนกับทําวิปัสสนาเลย อย่างนี้มันก็มีอยู่ระยะยาวมาก
นั่งทําสมาธิอย่างเดียว มันก็อย่างหนึ่ง การพิจารณามากเป็นพิเศษ ไม่ค่อยเกี่ยวกับการนั่ง มันอีกอย่างหนึ่ง ตอนหลัง ๆ ทําอย่างหลังเสียมากกว่า ยิ่งตอนหลังมาอีก กระทั่งเดี๋ยวนี้ วิปัสสนาทําเมื่อจะหาเรื่องไปพูด จะหาเรื่องไปพูดให้เขาฟัง แต่ว่าพระอาจารย์ทั้งหลายตามแบบวิปัสสนา เขาคงไม่รับรอง เขาไม่รับรองว่ามันเป็นการทําภาวนา หรือสมาธิภาวนา เรามันต่างกันอย่างนี้ นั่งทําที่สงบคนเดียว มันเป็นเรื่องสมาธิเสียมากกว่า แล้วมันก็มีขีดจํากัด มีขอบเขตจํากัด ตอนหลัง ๆ มาก็กลายเป็นทําเพื่อพักผ่อน มันไม่ก้าวหน้าในวิชาความรู้อะไร ต่อเมื่อทําเป็นวิปัสสนา คือเพื่อความเห็นแจ้ง ไม่ใช่สมาธิเงียบ นี้มันจึงเป็นโอกาสให้ทําในอิริยาบถไหนก็ได้ คือทําให้ความรู้โพลงออกมาอย่างลึกซึ้ง ยิ่งกว่าแต่ก่อน มันมีได้แม้ขณะที่นั่งคุยกับแขก ชนิดที่ว่าต้องคิดนึกหาความจริง หรือหลักเกณฑ์ชั้นลึกมาพูด นี้มันก็เลยเปลี่ยนไปหมด
ไอ้ที่ทําไปพร้อมด้วยกับการศึกษาพระไตรปิฎก ค้นคว้าเรื่องสมาธิวิปัสสนา จากพระไตรปิฎกโดยตรงนั้น มันก็เป็นสิ่งที่ทํากันมาก ได้ผลมาก เพราะมันต้องเอาความหมายในตัวหนังสือมาทําการเพ่งหาความจริง จนกระทั่งเลยไป เป็นการเห็นแจ้งโดยไม่ต้องคิดต้องนึกนี้มันรวมกันแล้ว ตั้งแต่ต้นจนปลาย หลาย ๑๐ ปี มันดําเนินมาอย่างนี้ ถ้าพูดทั้งหมดมันต้องพูดอย่างนี้ เวลาที่จะทําสมาธิ ก็กลายเป็นเรื่องพักผ่อนไปเสีย คือมันไม่ใช่จะต้องการเพื่อจะเป็นรากฐานของวิปัสสนาจึงเรียกว่าตอบไม่ถูก ว่าจะให้ว่าอย่างไร เป็นการบรรยายเป็นข้อ ๆ ทําไม่ถูก เพราะมันเนื่อง ๆ มา แล้วก็เปลี่ยน ๆ มาตลอดเวลา ๕๐ ปี มันเปลี่ยนมาก ถามเป็นข้อ ๆ มันตอบง่าย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 434-435
ตอนที่ 174 , ภาพหน้าที่ 435-436
อาจารย์ครับ อาจารย์เคยเข้าเงียบแบบไม่พูดกับคนเลย สมัยแรกสุดนั้น เกี่ยวกับการทําสมาธิโดยตรงหรือเปล่า
-นั่นแหละเรื่องหาโอกาสทําสมาธิแบบเงียบโดยตรงด้วยและเพื่อจะทดสอบดูด้วยว่า การไม่พบปะกับใครเลยไม่พูดจากับใครเลย มันจะมีผลอย่างไรบ้าง เป็นการศึกษาทดลองเพราะก็ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ทําอย่างนั้น เรียกว่าปฏิสัลลีนวิหาร ๓ เดือนบ้าง หลายสัปดาห์บ้าง ไม่พบใคร แม้แต่คนเอาอาหารไปถวาย ก็ไปวางไว้อย่างนั้น วางไว้ในที่ ๆ กําหนด แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีการทําอย่างนี้ นี้เป็นเรื่องการพักผ่อนที่สุด ก็เลยอยากจะลองดูบ้าง
อาจารย์ลองนานเท่าไรครับระยะนั้น
-มันก็หลายเหมือนกัน เป็นเดือน ๆ แต่พูดไม่ได้ว่าหลายเดือน
-นึกไม่ออกแล้ว ในพรรษาหรือนอกพรรษา มันลําบากแก่คนที่จะเอามาให้ ธรรมดาเราไปบิณฑบาต ทีนี้ของดการบิณฑบาต ทําให้เกิดภาระแก่คนที่ต้องเอามาให้ นี้ก็ทําไปไม่ได้ตลอดปี
อาจารย์จําได้ไหมว่าครั้งยาว ๆ อาจารย์ทํากี่ครั้ง
-ครั้งยาวมันก็ครั้งเดียว นอกนั้นก็ช่วงสั้น ๆ เป็นสัปดาห์บ้าง อะไรบ้าง ครั้งยาวมีอยู่ครั้งเดียว ต่อ ๆ ไปก็ไม่มี มีพิเศษบ้าง ขอร้องว่า เราไม่บิณฑบาต พวกเธอเอามาให้สักจานวางไว้ตรงนั้น อย่างนี้ก็มี ๕ วัน ๗ วัน ก็มี ไม่ยาวเป็นเดือน ขอจากพระเณรที่ไปบิณฑบาตมาได้ บางสมัยเอาข้าวคลุกแกง (หัวเราะ) พูดแล้วยังนํ้าลายไหล (หัวเราะ) ข้าวสุกคลุกกับเนื้อปลา เนื้ออะไรที่กินได้ ที่ไม่มีก้างอันตราย เอามาขยําบด บดด้วยช้อนใหญ่ในอ่างใหญ่จนเข้ากันดี แกงก็หยอดลงไปบ้าง บางทีใส่นํ้าปลาบ้าง ตักเป็นจาน ๆ ปะหน้าด้วยผัก กลิ่นหอม เช่น โหระพา เป็นต้น ก็เรียกว่ามันเป็นของอร่อยไปเสียอีก อร่อยกว่าฉันธรรมดา ที่เลือกกินกับอะไรก็ได้ตามพอใจ กลับไม่อร่อย สู้อย่างนี้ไม่ได้
พระเณรคลุกมาให้เสร็จ หรืออาจารย์มาคลุกเอง
-เขาคลุก แม้ว่าบางทีก็คลุกทีเดียวทั้งหมดของอาหารที่ได้มา แล้วก็ตักแบ่งกันเป็นคน ๆ อย่างนี้ไม่ใช่อย่างที่ว่าเข้าเงียบ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 435-436
ตอนที่ 175 , ภาพหน้าที่ 436-438
อาจารย์ครับช่วงยาวที่เข้าเงียบอาจารย์ฝึกอะไรบ้าง ทดลองอะไรบ้าง
-ทดลองอะไรบ้าง มันพูดยาก ทดลองทําสมาธิแบบนั้นบ้าง แบบนี้บ้าง แต่รวมอยู่ในแบบของพระบาลี ที่ศึกษาจากพระบาลี ตามตํารับตํารา ไม่ใช่แบบของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นึกเอาเองบ้าง แบบที่ตั้งเอาเองนึกเอาเองมั่ง บางทีแบบฟรี แบบตามสบายใจ มีผลเหมือนกัน มีความเป็นสมาธิมีผลเหมือนกัน เราก็รู้จักสมาธิตามหลักพระบาลี มาตั้งแต่ก่อนพบหลักในพระบาลีด้วยซํ้าไป เช่น บริสุทโธ สมาหิโต กมมนีโย นี้สังเกตเห็นก่อนแล้ว ว่าไม่ใช่ฝึกสมาธิเงียบ แข็งเป็นท่อนไม้
การทดลองฉันอาหารก็ทดลองช่วงนั้นใช่ไหมครับ ที่ฉันผักอย่างเดียว
-มันหลายอย่าง ตามสบายใจ ตามจะคิดออก ไม่ใช่ยุคเดียวสมัยเดียว ระดมกันหมดทุกอย่าง ไม่ใช่ ทําไม่ได้ มันยุ่งยาก สู้ทีละอย่างตามสะดวกไม่ได้
เท่าที่อาจารย์พอจะนึกได้ นอกจากเรื่องสมาธิแล้วอาจารย์ทดลองอะไรอีก ช่วงที่เข้าเงียบไม่พูดนั้น ตอนนั้นยังเขียนหนังสืออยู่ใช่ไหมครับ
-เขียนก็มี ไม่เขียนก็มี การอยู่ในระยะเข้าเงียบ เขียนหนังสือก็มี ไม่เขียนก็มี นั่งเพ้อ ๆ ใจลอยไปก็มี
ตอนนั้นอาจารย์ฝึกอานาปานสติแล้วหรือยังครับ
-ฝึกอานาปาฯ ตามแบบเท่าที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตร ตอนแรก ๆ ในสวนโมกข์ยังไม่พบสูตรอานาปาฯ ที่มาใช้เดี๋ยวนี้ เรียกว่ารู้จักอานาปานสติได้ท่อนเดียว คือการกําหนดลมหายใจท่อนเดียวเท่าที่กล่าวไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร มันมี ๔ ขั้นแรกหมวดแรก หมวดแรกของอานาปานสติ อยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตร ก็ฝึกตามพอใจก็มี แล้วแต่สะดวกที่ว่าจะทําตอนไหน เพราะว่ามันจะตั้งต้นที่ตอนไหนก็ได้ คือมันไม่ได้ยึดหลักทุกตัวอักษร มันรู้แต่มันเป็นหลาย ๆ ข้อ หลาย ๆ แบบ หลาย ๆ ประเด็น ทําแบบไหนก็ได้ กําหนดลมหายใจเป็นสมาธิก็ได้ กําหนดความระงับแห่งลมหายใจก็ได้ กําหนดในความสุข ความรู้สึกเป็นสุข เพราะสมาธินี้ก็ได้ ถ้าอย่างนี้แล้วมันไม่ใช่มหาสติปัฏฐานสูตรแล้ว มันเลยเขตของมหาสติปัฏฐานสูตร มาในหมวด ๒ ของอานาปานสติสูตร
อาจารย์ครับ ผมเห็นในสมุดบันทึก อาจารย์มีการฝึกอาโลกสัญญาจนหลับตาเห็นได้แม่นยํา
-ไม่ใช่จินตนาการ แต่มันก็ไม่รู้จะเรียกอะไร จะเรียกว่าจําติดตาก็ได้ อย่างกลางวันดูอย่างนี้แล้วก็หลับตา ให้เห็นเหมือนกับที่ลืมตา อย่างนี้ก็เป็นอาโลกสัญญาได้
อาจารย์ต้องมีพื้นทางสมาธิก่อนหรือเปล่าจึงมาฝึกแบบนี้ได้
-ทําเล่นก็ได้ เด็ก ๆ ทําเล่นก็ได้ อย่างผมนี้ มันก็เรียกได้ว่า มีพรสวรรค์ในเรื่องสมาธิตามธรรมชาติ มันก็ง่าย แต่ว่าในแบบที่สมบูรณ์มันดีกว่า แนบเนียนกว่า แยบคายกว่า มีหลักเกณฑ์ว่า เพียงเด็ก ๆ ทําเล่นอย่างนี้ก็จัดให้เป็นอาโลกสัญญาได้ แก้ง่วงนอนได้ดี
ภาพที่เห็นมันก็เหมือนกับอุคหนิมิตติดตาหรือเปล่าครับ
-เหมือนกับภาพจริงอย่างนี้ ถ้าจะจัดเข้าในหมู่นิสิตก็จัดเป็นอุคหนิมิต ไปนั่งกลางแจ้งยิ่งดี หลับตาก็ยังเห็นเหมือนกับลืมตา เก็บไปทํากลางคืนได้ด้วยก็ยิ่งดี ยิ่งเก่งมากไปอีก ทิวาสัญญาทํากลางคืนเห็นเป็นกลางวัน อาโลกสัญญาทําในที่มืดที่ไม่มีแสงสว่างให้เห็นเป็นแสงสว่าง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 436-438
ตอนที่ 176 , ภาพหน้าที่ 438-439
มีคนเขียนถามอาจารย์ในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนายุคแรก ๆ ว่า ทําอย่างไรถึงรู้เท่าทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นเสมอ อาจารย์ตอบสั้น ๆ ว่าสติปัฏฐานที่ฝึกดีแล้ว ให้รู้จักอารมณ์ จะเป็นตัวที่รู้เท่าทันอารมณ์ พออ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่าฝึกอย่างไรครับ
-ก็เหมือนอย่างที่ว่า ฝึกสติ สําหรับรับอารมณ์ด้วยสติ แล้วไม่ปรุงแต่งอารมณ์นั้นให้เป็นผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ตามแบบของอวิชชา สูงสุดมีได้เพียงเท่านั้น ฝึกสติรับอารมณ์ เข้ามาแล้ว โอ มันสักแต่ว่าอารมณ์ ก็เป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส นี้ก็สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ อารมณ์นั้นก็ไม่ปรุงแต่งเป็นอวิชชาสัมผัส ถ้าเป็นอวิชชาสัมผัสมันถึงเป็นเรื่อง เป็นความหมายของอารมณ์นั้น ๆ ที่เป็นเหตุให้เกิดยินดียินร้าย อย่างนี้เรียกว่ารับอารมณ์ด้วยอวิชชาสัมผัส ถ้ามีสติพอ อารมณ์สักว่าอารมณ์ อารมณ์สักว่าธรรมชาติ สักว่าธาตุตามธรรมชาติ เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มาตามเหตุตามปัจจัย มันก็เป็นวิชชาสัมผัส มันก็ไม่เกิดเวทนาโง่ ตัณหาโง่ มันหยุดเสียได้ แล้วมันก็รู้เองว่าเราควรทําอะไรในเรื่องนี้ มากระทบนี้ ถ้าไม่ต้องไปทําอะไรก็ไม่ทําอะไร ถ้ามันเป็นเรื่องที่ต้องจัดต้องทํา ก็ทําไปด้วยสติสัมปชัญญะต่อไป
เวลาเราเกิดผัสสะ ตอนนั้น การที่จะไม่ยินดียินร้าย ใช้วิธีคิดเอาหรือใช้วิธีรู้สึก เพื่อไม่ให้ยินดียินร้าย
-ไม่อาจจะทําอย่างนั้นได้ ไม่ใช่เวลาสําหรับคิด มันเป็นการเอาความรู้แจ้งที่ทําไว้ก่อน ๆ มา อารมณ์ทั้งหลายถูกนํามาพิจารณาโดยความเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่เป็นปกติ นั่นเป็นปัญญา พอเกิดเรื่องสัมผัสอารมณ์ ก็มีสติระลึกถึงความรู้นั้นมา ไม่ใช่มาคิดอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่มีทางที่จะคิดแยกแยะคํานวณอะไร เวลาที่มีอารมณ์มากระทบ ไม่มีทางจะทําได้ เพราะมันเร็วเหมือนสายฟ้าแลบ มันต้องแวบเดียว มาเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เคยทําอยู่เป็นประจํา มาจับกับอารมณ์นี้ อารมณ์นี้จึงปล่อยไป เป็นธาตุตามธรรมชาติ
พูดอีกภาษาหนึ่งคือหน่วงความรู้สึกที่ต้องการขึ้นมาใช่ไหมครับ
-อย่างนี้ เราไม่ใช้คําว่าหน่วง ถ้าหน่วงมันยังมีพิธีรีตองมาก ต้องใช้คําว่า สติระลึกถึงความรู้ที่เคยมีมา
ความรู้อันนี้เป็นความรู้สึกใช่ไหมครับ ความรู้สึกที่ไม่ยินดียินร้าย ไม่ใช่ตัวความคิดเห็น
-ความรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอย่างไร ความรู้เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เอามายันเข้ากับอารมณ์ที่เกิดขึ้นหรือสัมผัสขึ้น ไม่ใช่เวลาที่จะคิดนึกทบทวนหรือแม้เวลาที่ทําวิปัสสนา สติตอนนั้นทําไม่ได้ วิปัสสนาทําไว้เวลาอื่น ต้องเป็นผู้มีปัญญา เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พอสมควรเท่าที่จะทําได้ พอมีอะไรมากระทบ สติเอาความรู้อันนั้นมาทันเวลา มีสัมปชัญญะยืนเฝ้าอยู่
สิ่งที่เราระลึกได้นี้มันต้องเป็น concept มันต้องเป็นความคิดใช่ไหมครับ
-เรียกว่าญาณ ดีกว่า หรือปัญญา ไม่ใช่ความคิด ถ้าความคิดมันทําอะไรไม่ได้ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ มันต้องเป็นความรู้ชนิดญาณหรือปัญญา หรือวิชชา
จะว่าดึงความรู้สึกออกมาก็ไม่ใช่
-โอ ความรู้สึกมันกว้าง ไม่รู้จะใช้กับความหมายไหน มันต้องเป็นความรู้ ความรู้แจ้ง เรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่เคยทํามาแต่กาลก่อน เอามาดับกับสิ่งที่มันมากระทบให้มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไปเสีย ตอนนั้นเรียกว่าสัมปชัญญะแล้ว ซึ่งในโรงเรียนนักธรรมไม่ได้สอน ว่าสติสัมปชัญญะกับปัญญาทํางานกันอย่างไร ปัญญาต้องเจริญ เรื่องภาวนา ต้องเจริญปัญญา วิปัสสนาให้รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ตามที่ควรจะรู้ แต่ว่าโดยเฉพาะเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรื่องสําคัญอยู่ตรงนี้ ที่เรียกว่ามีปัญญารู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวง เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันพ้นวิสัยแห่งความคิดแล้ว เป็นความรู้แล้ว เรียกว่าญาณหรือปัญญาเสียแล้ว มีอยู่ ทีนี้พอมีอารมณ์มากระทบ สติระลึกได้ถึงความรู้นั้น ความรู้นั้นก็มา มาจัดการหรือมาเล่นงานตัวจริงที่เข้ามากระทบ เมื่อระลึกได้เรียกว่าสติ เมื่อมายืนคุมเชิง เอาปัญญามายืนคุมเชิงอารมณ์นั้นอยู่ เรียกว่าสัมปชัญญะ ปัญญาทํางานไปเรื่อย ๆ พวกสัมปชัญญะนี้มันเป็นพวกปัญญา พวกสติมันเป็นพวกสมาธิ สติเป็นสมาธิ สัมปชัญญะเป็นปัญญา โดยสติระลึกความรู้เรื่องนี้มาได้ สติเอาปัญญามา แล้วปัญญานี้มายืนคุมเชิงอยู่ต่อหน้าอารมณ์นั้น เผชิญอารมณ์นั้น อันนี้เรียกว่าสัมปชัญญะ สัมปชัญญะทํางานเรื่อยไปจนหมดปัญหา ถ้าว่าสิ่งนี้ไม่ต้องทําอะไรก็ไม่ต้องจัดการอะไร ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องจัดการก็ต้องจัดการ เช่นว่าเสียงขอความช่วยเหลือ ถ้าเป็นเสียงด่า เสียงสรรเสริญ ไม่ต้องก็ได้ ไม่ต้องจัดการกับมัน ถ้าเป็นเสียงขอความช่วยเหลือมันต้องจัดการ สัมปชัญญะมีหน้าที่ต่อไปว่า นี่ต้องทําอย่างไร ก็ทําไป ทําไปด้วยสติ ไม่ได้มาเผลอ มาหลงสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่มีสติ ปัญญาเป็นหมันหมด ปัญญามหาศาลอย่างไรก็เป็นหมันหมด เพราะไม่ได้เอามาใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีปัญญา สติก็ทําอะไรไม่ได้เหมือนกัน เหมือนกับไม่มีเครื่องมือ ไม่มีอาวุธ ถ้าไม่มีสัมปชัญญะ สติก็ทํางานไม่ได้ เกิดเดี๋ยวเดียวก็ดับไป มันต้องมีสัมปชัญญะยืนคุม ๆ อยู่ ให้ทําถูกต้องไปจนตลอดเรื่องราว อันนี้เป็นหลักใหญ่ที่มนุษย์จะต้องมี จะต้องรู้ ใช้ได้ในปัญหาทุกชนิดในโลก
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 438-439
17717817918018118218318418518618718818919