ผมได้ปรึกษากับมูลนิธิโกมลคีมทอและ หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ ว่า ผมอยากจะนำ "เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา" เสนอเป็นตอนสั้นๆลงในเพจ สืบสานงานท่านพุทธทาส โดยลงทีละประมาณ 3-4 ย่อหน้า/วัน
เจตนาที่ทำเรื่องนี้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่รู้จักพระวัดป่าอย่างท่านพุทธทาส รู้จักประวัติและผลงานท่าน โดยอ่านวันละนิดละหน่อย เผื่อจะมีผู้อ่านสนใจมาศึกษาคำสอนของท่านพุทธทาส
ผมได้รับอนุญาตจากทั้งสองที่แล้ว ให้นำเรื่อง "เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา" โพสท์ลงในเพจ สืบสานงานท่านพุทธทาส และให้รักษาความตามต้นฉบับเดิม.
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการเลือกใช้ไฟล์เจเปก(jpeg) ทำงานครั้งนี้ครับ (ดูจากมือถือจะเห็นภาพแต่ละหน้าและผมมีลิงค์ลงในนี้แล้ว , ส่วนในเวบไซต์นี้จะมีแต่ข้อความ )
หลังจากทำงานนี้ 7 ตอน,ผมได้ขออนุญาตมูลนิธิโกมลคีมทอง เพิ่ม "คำโปรย" เป็นแนวของเรื่องตอนนั้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจไปอ่านต่อในไฟล์ jpeg นั้นๆ และ เมื่อทำได้ 50 ตอน ผมจึงขออนุญาตทางมูลนิธิโกมลฯ นำความแต่ละตอน มารวมไว้ในเวบไซต์นี้ เผื่อบางท่านที่เพิ่งจะมาอ่านพบในมือถือ ก็สามารถย้อนไปอ่านเรื่องราวก่อนนี้จากเวบไซต์ได้ง่ายกว่าในมือถือ และผู้ที่สนใจอ่านละเอียด ให้อ่านจากหนังสืออีกทีครับ
หมายเหตุ เรื่องราวและหน้าหนังสือที่กล่าวถึงในงานนี้ มาจากไฟล์ PDF นี้ครับ
และกรณีที่พบว่าบางคำที่พบในไฟล์ pdf กับหนังสือของมูลนิธิโกมลคีมทอง ต่างกัน.
ผมจะเอาคำ/ความหมาย ตามในหนังสือเป็นหลักครับ
สนใจหนังสือ ติดต่อ มูลนิธิโกมลคีมทอง
โทร 02-412-0744 02-866-1557
สโมสรธรรมทาน,หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ
ฟังเสียงเทปสนทนาจริง ราวปี 2527-2528
อัตชีวประวัติในวัยหนุ่มของพุทธทาสภิกขุ
ขอขอบคุณ เจ้าของผลงาน/ลิงค์ทั้งหมดในนี้ครับ
อัตชีวประวัติของท่านพุทธทาส
พระประชา ปสนฺนธมฺโม สัมภาษณ์
ตอนที่ 1 , ภาพหน้าที่ 1- 6
คำปรารภสำหรับเล่ม ๑ (บทที่ ๑-๒)
"เมื่อข้าพเจ้าแรกไปอยู่ประจำที่สวนโมกข์เก่า-พุมเรียงนั้น อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้เตือนอยู่เสมอ ว่าให้ศึกษาชีวิตและการทำงานของท่านพุทธทาส เพื่อที่จะได้ข้อคิดทั้งสำหรับข้าพเจ้าเองและคนร่วมสมัย ในวงกว้างออกไป เกี่ยวกับการดำรงชีวิตในสมณเพศ และการทำงานเพื่อพระศาสนาและสังคม จาก แบบอย่างอันเลิศของท่านที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เมื่อมีโอกาสเหมาะ ข้าพเจ้าจึงมักไปเรียนถามเรื่องราวต่าง ๆ แต่หนหลังของท่านเสมอ ในระยะแรก ท่านไม่สู้จะยอมเล่าอะไรมากนัก เพราะท่านเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่สู้จะเป็นประโยชน์ต่อใครนัก (ใน ทัศนะของท่าน) ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านอยู่หลายครั้ง ถูกท่านขนาบแรง ๆ หลายหน แต่ก็พยายามเล่าให้ท่าน ฟังว่า คนรุ่นข้าพเจ้าที่เข้ามาบวชประสบปัญหากันอย่างไรบ้าง ถ้าได้มีโอกาสเรียนรู้ปฏิปทาของท่านบ้างก็ จะมีประโยชน์เพียงไร ในที่สุดท่านจึงค่อย ๆ เล่าให้ฟัง
ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งที่ตนได้รับฟังนั้น มีคุณค่าต่อคนวงกว้างออกไปอีกมาก โดยเฉพาะคนรุ่นข้าพเจ้า และคนรุ่นถัดไปซึ่งเติบโตมานอกวัฒนธรรมพุทธศาสนาอย่างแต่ก่อน ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ว่าการดำรงชีวิต ในสมณเพศนั้นเป็นไปได้โดยมีอะไรเป็นเหตุปัจจัย นอกจากนั้นสภาพทางสังคมและวงการพระศาสนาใน สมัยก่อน ๆ ที่ท่านได้ประสบพบเห็นก็เป็นสิ่งที่น่าบันทึกไว้อย่างยิ่ง จึงกราบเรียนขอให้ท่านเขียน อัตชีวประวัติ แต่ท่านปฏิเสธเพราะเห็นว่าการเขียนเรื่องราวในชีวิตของตนเองนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พึงกระทำตาม คติวัฒนธรรมของเราเอง และย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องโฆษณาตนเองไม่ในรูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง จำได้ว่า เรียนเสนอท่านอยู่หลายครั้งหลายหนท่านก็ไม่เห็นพ้องด้วย
ข้าพเจ้าจึงใช้วิธีจดบันทึกสิ่งที่ได้ฟังจากท่านเอาไว้ แต่เนื่องจากระบบโรงเรียนได้ทำลายฉันทะในการ จำไปมากต่อมากแล้ว จึงทำให้เก็บสิ่งที่ท่านเล่าไว้ได้น้อยเต็มที ในที่สุดขอท่านอัดเสียงไว้ โดยเรียนท่านว่า จะไม่นำออกเผยแพร่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ นี่ก็ต้องอ้อนวอนท่านอยู่หลายครั้งท่านจึงยอมอนุญาตให้
ต่อมาเมื่อปี ๒๕๒๕ เพื่อนฝูงในกลุ่มพุทธ-ไทยปริทัศน์และคณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา (ศ.พ.พ.) ได้ดําริจัดงานทางความคิดเกี่ยวกับพุทธศาสนา ร่วมฉลองในโอกาสที่สวนโมกข์อยู่ครบ ๕๐ ปี เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของท่านที่อัดไว้ จึงได้นํามาถอดเทปเป็นตัวอักษร เพื่อศึกษากันในหมู่ผู้จัดงานและได้เรียนถามเพิ่มเติมด้วย แต่งานคราวนั้นมุ่งศึกษาความคิดของท่านมากกว่าชีวิตของท่านโดยตรง ดังปรากฏออกมาเป็น พุทธทาสกับคนรุ่นใหม่ : เมื่อคนหนุ่มสาวถามหารากของความเป็นไทย ซึ่งมูลนิธิโกมลคีมทองได้ตีพิมพ์ออกมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๖ นั้นแล้ว
ต่อมาปลายปี ๒๕๒๗ มิตรสหายบางคนได้ปรารภขึ้นอีกว่าน่าจะทําประวัติท่านอาจารย์อย่างสมบูรณ์ และควรจะตีพิมพ์เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ด้วย เมื่อไปเรียนให้ท่านทราบถึงความคิดอันนี้ ท่านก็ถามว่าทําไปเพื่ออะไรอยู่หลายครั้ง กว่าจะยอมอนุญาตให้พวกเราดําเนินการได้ ข้าพเจ้าได้นําสิ่งที่เคยสัมภาษณ์ท่านมาพิจารณาใหม่และพบว่ายังบกพร่องอีกมาก เพราะถามท่านไว้ไม่เป็นระบบเลย จึงตั้งโครงเรื่องใหม่ และขอสัมภาษณ์ท่านอีกเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ที่สุด โดยตั้งใจไว้ว่าจะให้เสร็จสมบูรณ์ในปี ๒๕๒๘ นี้ เมื่อเริ่มลงมือทําก็ได้คิดกันหลายตลบว่าควรจะออกมาในรูปแบบใดจึงจะเหมาะ หลังจากปรึกษาหารือกันหลายครั้ง จึงขออนุญาตท่านทําออกมาในรูปคําถามคําตอบ โดยเรียบเรียงจากคําสัมภาษณ์ของท่าน แล้วนําไปอ่านให้ท่านฟังเพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อทําไปได้ ๒ บท ก็ส่งมาให้มิตรสหายทางโกมลคีมทองซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีให้ข้าพเจ้าทํางานชิ้นนี้อย่างจริงจังให้ดู และเห็นพ้องกันว่าน่าจะทยอยพิมพ์เป็นตอน ๆ ที่หนึ่งก่อน แล้วตอนแรกก็ปรากฏออกมาเป็นเล่มดังที่ท่านผู้อ่านเห็นอยู่นี้ โดยเริ่มเรื่องตั้งแต่ช่วงชีวิตในวัยเยาว์ของท่าน จนถึงช่วงที่ท่านเดินทางออกจากกรุงเทพฯ กลับไชยาเพื่อเริ่มก่อตั้งสวนโมกขพลาราม ส่วนตอนสองซึ่งต่อจากเล่มนี้นั้น จะเป็นช่วงชีวิตของท่านในงานต่อสู้บุกเบิกสวนโมกขพลารามระหว่าง ๒๐ ปีแรก และตอนสามอันเป็นตอนสุดท้ายนั้น จะเป็นช่วงชีวิตหลังจากนั้นจนกระทั่งปัจจุบัน อันรวมถึงข้อคิดและทัศนะของท่านฝากไว้สําหรับอนาคตด้วย และหากเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่คาดไว้ ๒ ตอนนี้คงจะเสร็จสิ้นให้ได้อ่านกันภายในปีนี้
สําหรับภาพที่นํามาลงประกอบเนื้อหานั้น ส่วนหนึ่งเราสืบหาและหยิบยืมมาจากบุคคลต่าง ๆ รวมทั้งวัดวาอีกหลายแห่ง เพื่อนํามาถ่ายอัดขยายใหม่ อีกส่วนหนึ่งมาจากการตระเวนถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของท่านตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน
หากท่านผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว และเห็นว่ามีประเด็นใดน่าจะเรียนถามท่านอีก ทั้งในช่วงชีวิตที่อยู่ในเล่มนี้และช่วงต่อ ๆ ไปหลังจากเล่มนี้ ขอให้เสนอแนะมาได้ เพื่อจะได้ช่วยกันนําเสนอสิ่งที่มีคุณค่าต่อส่วนรวมนี้ให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้การตั้งคําถามในเล่มนี้เอง ข้าพเจ้าก็มิได้ทําตามลําพัง หากแต่งานชิ้นนี้สําเร็จได้ก็ด้วยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่ายหลายท่านตั้งแต่แรกมาแล้ว ทั้งในแง่ร่วมกันคิดร่วมกันทําและคอยส่งเสริมกําลังใจกัน รวมทั้งชาวสวนโมกข์หลายท่านที่ให้ความสนับสนุนอย่างดี คุณโยมธรรมทาส พานิช (น้องของท่านอาจารย์) ได้กรุณาอ่านทวนต้นฉบับบางตอนเพื่อความแม่นยําด้านข้อมูล และได้ให้ยืมภาพเก่า ๆ มาถ่ายรูปใหม่เพื่อใช้ประกอบในหนังสือเล่มนี้ด้วย ฉะนั้นขอท่านผู้อ่านจงอนุโมทนาในส่วนกุศลของบุคคลต่าง ๆ ทั้งที่เอ่ยนามมาแล้วและไม่ได้เอ่ย โดยทั่วกันด้วย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 4-6
ตอนที่ 2 , ภาพหน้าที่ 7-8
คําปรารภสําหรับเล่ม ๒ (บทที่ ๓-๕)
ข้าพเจ้าได้ปรารภไว้ในเล่าไว้เมื่อวัยสนธยา เล่มแรกว่าจะมีตอนต่ออีก ๒ เล่ม ว่าด้วยช่วงชีวิตของท่านอาจารย์พุทธทาส ในการต่อสู้บุกเบิกสวนโมกขพลารามระหว่างช่วง ๒๐ ปีแรกเล่มหนึ่ง และอีกเล่มหนึ่ง จะเป็นช่วงชีวิตของท่าน หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบัน และกล่าวไว้ว่าหากเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่คาดไว้สองตอนนี้คงจะเสร็จสิ้นให้ได้อ่านภายในปี ๒๕๒๘
แต่แล้ว พอทําเล่มแรกเสร็จ ก็มีเหตุให้ไม่สามารถทําตอนต่อไปได้ทันที ทั้งนี้เพราะท่านอาจารย์อาพาธ แม้จะไม่ได้หนักหนาสาหัสเท่าที่ลงในหนังสือพิมพ์มติชน แต่ก็เห็นสมควรว่าจะต้องไม่รบกวนท่านในระหว่างนั้น ข้าพเจ้าจึงวางมือการสัมภาษณ์ท่านลงชั่วคราวจนเมื่อท่านแข็งแรงพอ ข้าพเจ้าจึงได้เริ่มงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยใช้เวลาในช่วงพรรษา
(ส.ค.-ต.ค.๒๕๒๘) เรียนถามเรื่องราวในชีวิตและงานของท่านในส่วนที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมด จนเสร็จสิ้นลงในคราวเดียวแล้วจึงเริ่มต้นเรียบเรียงอย่างจริงจัง
ด้วยเหตุนี้ ช่วงเวลาในการจัดพิมพ์จึงต้องเนิ่นช้าออกไปด้วย กว่าเล่ม ๒ นี้จะออกจากโรงพิมพ์ก็คงราวเดือนกุมภาพันธ์ และเล่ม ๓ ก็คงต้องตกปลายเดือนเมษายน โดยทางสํานักพิมพ์ได้ช่วยจัดลําดับ ให้ได้ออกทันวันล้ออายุครบ ๘๐ ปีบริบูรณ์ของท่าน ในเดือนพฤษภาคมปีนี้
ในการทํางานคราวนี้ ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนโครงสร้างในการลําดับเรื่องราวในชีวิตของท่านใหม่ ต่างจากที่เคยตั้งใจไว้ กล่าวคือ เล่มที่ ๒ ที่ท่านถืออยู่นี้ เป็นเรื่องราวชีวิตของท่านอาจารย์ในด้านการทํางานตั้งแต่แรกเริ่มตั้งสวนโมกข์จนถึงปัจจุบัน โดยรวมเอางานอดิเรก และการคบมิตรของท่านไว้ด้วย จึงได้ใช้ชื่อรองของเล่มนี้ว่า ชีวิตแห่งการทํางาน ส่วนเล่มที่ ๓ จะเป็นการเจาะลึกลงไปในด้านการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ และการฝึกฝนปฏิบัติส่วนตัวของท่าน จึงจะให้ชื่อรองว่า ชีวิตแห่งการศึกษา ลําดับเรื่องราวเช่นนี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะสะดวกต่อการติดตาม และทําให้รู้จักท่านอาจารย์ลึกลงตามลําดับด้วย
ท่านผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า ในส่วนที่เป็นเนื้อหาคําตอบของท่านอาจารย์นั้น มีวงเล็บแทรกอยู่บางแห่ง พึงทราบว่านั่นเป็นส่วนที่ข้าพเจ้าเสริมเข้ามา เพื่อให้ได้ความชัดเจนขึ้น เช่น เพื่อบอกปีที่มีเหตุการณ์นั้นหรือ บอกชื่อ-นามสกุลหรือฉายาเต็มของบุคคลที่ท่านอาจารย์เอ่ยถึง
ในการทํางานคราวนี้ ข้าพเจ้ารับความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลจากท่านที่เคารพนับถือและมิตรสหายหลากหลายอีกเช่นเคย ทั้งญาติมิตรส่วนตัว เพื่อนชาวสวนโมกข์ ตลอดจนเพื่อนทางโกมลคีมทอง ข้าพเจ้าขออนุโมทนาขอกราบขอบพระคุณ ขอบคุณ ขอบใจ และขอท่านผู้อ่านพึงร่วมอนุโมทนาในส่วนกุศลของทุก ๆ ท่านที่มีส่วนให้งานชิ้นนี้สําเร็จลุล่วงลงได้
อนึ่ง ข้าพเจ้าได้ปรึกษากับผู้ใหญ่และมิตรสหายแล้ว ได้ตกลงจะทําหนังสือเกี่ยวกับท่านอาจารย์พิเศษขึ้นอีกเล่มหนึ่ง คือ ชีวประวัติของท่านที่แสดงด้วยภาพ เนื่องจาก ระหว่างทําเล่ม ๒ และเล่ม ๓ นี้ ทําให้ได้มีโอกาสรู้จักกับนักเล่นกล้องบางท่านที่มีภาพของท่านอาจารย์เก็บไว้มาก จนพอที่จะทําได้อย่างงาม และเชื่อว่าจะทําให้ผู้ศึกษาชีวิตของท่านได้รู้จักท่านอาจารย์ในแง่มุมที่แปลกออกไป จึงขอถือโอกาสประชาสัมพันธ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วย หากท่านผู้อ่านผู้ใดรู้จักท่านอาจารย์มาแต่แรกเริ่มและมีรูปเก่า ๆ หรือแปลก ๆ ของท่านหรือของสวนโมกข์ หากจะกรุณาให้ยืมหรืออัดรูปนั้น ๆ มาให้ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสําหรับการศึกษาของอนุชนในภายภาคหน้าต่อไป ในการจัดพิมพ์เล่มนี้ได้ขอให้โครงการหนังสือชุดพุทธศาสนาสําหรับคนหนุ่มสาวทาง ปาจารยสาร ในสังกัดมูลนิธิเสฐียรโกเศศ - นาคะประทีปเป็นผู้จัดดําเนินการร่วมกับสํานักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง ทั้งนี้เพื่อผ่อนภาระทางมูลนิธิโกมลคีมทองลง และเพื่อให้หนังสือออกทันวันงานล้ออายุในปีนี้
ตอนที่ 3 , ภาพหน้าที่ 9-11
คําปรารภสําหรับเล่ม ๓ (บทที่ ๖-๗)
หนังสือเล่มนี้ สําเร็จออกมาเป็นเล่ม ทันวันงานล้ออายุ ๘๐ ปีของท่านอาจารย์พุทธทาสได้ ด้วยความเสียสละและความเหน็ดเหนื่อยของบุคคลหลายฝ่าย ซึ่งต่างก็เคารพรักท่านอาจารย์ และเห็นคุณค่าของหนังสือชุดนี้ แม้ข้าพเจ้าจะทําหน้าที่เป็นบรรณาธิการ แต่ก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงฟันเฟืองเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะหากปราศจากความร่วมมือร่วมใจจากมิตรสหายและกัลยาณมิตรแล้ว งานนี้จะไม่สามารถลุล่วงเรียบร้อยในเวลาเช่นนี้ได้เลย
ข้าพเจ้าจะขอเอ่ยนามตามลําดับชั้นของการทําหนังสือ เพื่อจะเป็นบทบันทึกความเป็นมา และเพื่อท่านผู้อ่านจะได้ร่วมอนุโมทนาต่อท่านเหล่านี้ด้วย ประการแรกสุด เนื่องจากข้าพเจ้าส่งต้นฉบับให้แก่สํานักพิมพ์ล่ากว่ากําหนดถึงเดือนครึ่ง ทางเจ้าหน้าที่ของสํานักพิมพ์จึงต้องจัดเวลาและกําลังคนให้เป็นพิเศษ และคงสะเทือนงานประจําและเพิ่มภาระให้มากกว่าปกติมิใช่น้อย โดยเฉพาะสมถวิล วิริยะสุมน และ สง่า ลือชาพัฒนพร ซึ่งช่วยวิ่งเต้นให้เต็มกําลังอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยในด้านการพิสูจน์อักษรนั้น เนื่องจากเล่มที่ผ่านมามีการสะกดการันต์ผิดมาก และลักลั่นกันมาก เพราะข้าพเจ้าเองขาดความประณีตในเรื่องเช่นนี้ สําหรับเล่มนี้ ทางสํานักพิมพ์จึงได้อาราธนาพระดุษฎี เมธงกุโร ให้ช่วยกรุณาเป็นหลักในการพิสูจน์อักษรทุกขั้นตอน โดยมีพระพรชัย พุทธสาโร, แพทย์หญิงผ่องโสม อัตถะสัมปุณณะและคุณสุนีย์ รามอินทรา ร่วมเป็นกําลังสําคัญในกองพิสูจน์อักษร
ในด้านการพิมพ์ดีดต้นฉบับนั้น อนุสรณ์ ชูธรรมวงศ์ และ ประกาศิต สุพรม ได้อุทิศเวลาเร่งมือให้อย่างหามรุ่งหามคํ่า โดยมีศรีใส กิตติรักษนนท์ และ สุจิตรา จินดาดวงรัตน์ ช่วยแบ่งภาระไปบางส่วน สําหรับหลวงพี่พรชัย และคุณอนุสรณ์นั้นได้เป็นหลักช่วยงานชุดนี้มาตั้งแต่การถอดจากเทปออกมาเป็นตัวหนังสือ โดยเฉพาะ ๒ เล่มหลังนี้ และมีพระสุเทพ สุเทโว (วัดพระบรมธาตุ อ.ไชยา) เป็นผู้ช่วยแรงสําคัญ ยิ่งกว่านั้น หลวงพี่พรชัยยังกรุณาแบ่งเบาภาระในด้านการติดต่อเกือบจะทุกขั้นตอนของหนังสือ ๒ เล่มนี้ ทําให้ข้าพเจ้ามีเวลาและสมาธิในส่วนงานของตน โดยมิต้องวิตกกังวล
ในระหว่างที่ข้าพเจ้าปักหลักทําหนังสือชุดนี้ที่สวนโมกข์นั้น อาจารย์รัญจวน อินทรกําแหง ได้กรุณาให้คําแนะนําปรึกษาหารือ ให้กําลังใจ และการอนุเคราะห์เกือบจะทุกด้านอย่างสมํ่าเสมอ นับเป็นส่วนสําคัญที่ทําให้ข้าพเจ้าทํางานชุดนี้ได้สําเร็จลุล่วง
ในขณะที่ข้าพเจ้าสัมภาษณ์และนําต้นฉบับที่เรียบเรียงเสร็จแล้วมาอ่านทวนให้ท่านอาจารย์ตรวจแก้นั้น
พระพรเทพ ฐิตปญฺโ และ พระสิงห์ทอง เขมิโย ซึ่งทําหน้าที่อุปัฏฐากท่านอาจารย์อยู่ ได้กรุณายอมให้ข้าพเจ้ารบกวนจุกจิกจู้จี้เป็นอันมาก และให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลในด้านอาหารการขบฉัน ตลอดช่วงที่ทําหนังสือชุดนี้ ยิ่งกว่านั้นหลวงพี่พรเทพยังช่วยอ่านทวนต้นฉบับบทที่ ๖ ให้ท่านอาจารย์ตรวจแก้ทั้งบท และทยอยส่งต่อขึ้นมาให้ทางกรุงเทพฯ ด้วยความใส่ใจอย่างดี ทั้งนี้เนื่องจากข้าพเจ้าต้องมาดูแลงานอยู่ทางกรุงเทพฯ ในช่วงหลัง
ในการทํางานชุดนี้ ข้าพเจ้าเกือบจะไม่มีเครื่องมือของตนเองเลย ของที่ยืมได้ก็ยืมจากญาติมิตร ที่ต้องจัดหา ทางมูลนิธิโกมลคีมทองก็เป็นผู้จุนเจือโดยตลอด เครื่องบันทึกเสียงนั้น นิภาพรรณ งามวิทยาพงศ์ได้ให้ยืมเครื่องอย่างดีที่เหมาะกับงานสัมภาษณ์อย่างยิ่ง โดยให้ยืมใช้ข้ามปี และข้าพเจ้าก็ใช้จนต้องเข้าร้านซ่อม เมื่อคืนกลับมาถึงเจ้าของเดิมคงเกือบจําไม่ได้ นอกจากนั้นคุณหมอผ่องโสมยังให้ยืมอีกเครื่องหนึ่งในระหว่างตอนหลัง ๆ ที่เครื่องแรกต้องเข้าร้านซ่อม และในช่วงสุดท้ายคุณแทน สงคราม มิตรจากแดนไกลได้หาเครื่องเล็กกะทัดรัดข้ามนํ้าข้ามฟ้ ามาฝาก เมื่อคราวกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอน ทําให้ทํางานสะดวกขึ้นอีกในตอนท้าย
อีกท่านหนึ่งที่ยินดีให้ข้าพเจ้ารบกวนเป็นประจําในระหว่างทํางานชุดนี้ก็คือคุณครูสมนึก เกษมภัทรา คุณครูใหญ่แห่งโรงเรียนวัดธารนํ้าไหลที่กรุณาอํานวยความสะดวกในด้านพาหนะ การใช้โทรศัพท์ทางไกลหลายครั้งและอื่น ๆ อีกหลายอย่าง
นอกจากที่เอ่ยนามมานี้แล้ว ยังมีผู้ใหญ่อีกหลายท่านที่กรุณาเล่าเรื่องแต่หนหลังของท่านอาจารย์ให้ข้าพเจ้าฟัง ทําให้ได้แง่มุมที่จะเรียนถามท่านได้มากขึ้น ทางกรุงเทพฯ นั้น นอกจากเพื่อนทางโกมลคีมทองแล้ว ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าขึ้นมาติดต่อธุระการงาน มิตรสหายทางคณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา ได้เอื้อเฟื้อให้ใช้ชั้นบนของสํานักงานเป็นที่ทํางานชั่วคราวพร้อมกับอํานวยความสะดวกต่าง ๆ อีกเป็นอันมาก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสําคัญที่สุด ที่ทําให้เกิดหนังสือชุดนี้ขึ้นได้ ย่อมได้แก่ความกรุณาของพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณอาจารย์พุทธทาส ด้วยเห็นเป็นประโยชน์เกื้อกูลต่ออนุชนในภายภาคหน้า ท่านจึงยอมเล่าเรื่องราวเหล่านี้ไว้ ทั้ง ๆ ที่ในระหว่างให้สัมภาษณ์สุขภาพของท่านยังไม่กลับเข้าสู่สภาพปกตินัก
ข้าพเจ้าถือว่าการได้ทํางานใกล้ชิดท่านอาจารย์แม้เพียงช่วงสั้น ๆ คราวนี้เป็นโอกาสอันมีค่ายิ่งของชีวิต เป็นประสบการณ์อันงดงามที่ประมาณค่ามิได้ แม้ข้าพเจ้าจะไม่เข้มแข็งพอที่จะดําเนินตามปฏิปทาอันประเสริฐของท่าน และไม่ได้เห็นด้วยกับท่านไปเสียหมดในทุกถ้อยกระทงแห่งความคิด แต่ข้าพเจ้าก็เคารพเทิดทูนวิถีแห่งการดําเนินชีวิตของท่านว่าเป็นแบบอย่างของอุดมคติอันเอก ที่มนุษย์พึงถือเป็นประทีปส่องนําชีวิต เพื่อเข้าถึงให้ใกล้ที่สุดสู่พุทธวิธีเท่าที่จะเป็นไปได้ตามกําลังบารมีของตน ๆ อนึ่ง ความบางตอนในเล่ม ๓ นี้ แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ง่ายอยู่แล้ว ในแวดวงของชาววัด แต่ข้าพเจ้าก็ได้ทําเชิงอรรถเอาไว้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่ผู้อ่านที่เริ่มศึกษาศาสนาและห่างไกลวัดวาออกไป
ข้าพเจ้าหวังว่าที่กล่าวมานี้คงจะมีประโยชน์ในแง่ที่ทําให้ท่านผู้อ่านเข้าใจความเป็นมาของหนังสือชุดนี้ และต้นสายปลายเหตุที่ข้าพเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ท่านจะได้ร่วมอนุโมทนากราบขอบพระคุณ ขอบพระคุณ ขอบคุณ และขอบใจทุก ๆ คนที่มีส่วนทําให้หนังสือชุดนี้ ทั้งที่เอ่ยนามมาแล้วและที่ไม่ได้เอ่ยนามไว้
ตอนที่ 4 ภาพหน้าที่ 12-14
"กำเนิดและวัยต้นแห่งชีวิต"
อาจารย์ครับ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยเล่าประวัติความเป็นมาตั้งแต่แรกเกิด ชีวิตใน
ครอบครัวตลอดจนบรรพบุรุษด้วยครับ
(ฮึ ๆ หัวเราะดุ ๆ) ผมเกิดที่พุมเรียง (ปัจจุบันเป็นตําบลหนึ่งของอําเภอไชยา) ปี ๒๔๔๙ บ้านก็เป็นแบบชาวตลาดที่ค้าขายทั่ว ๆ ไปของสมัยนั้น เป็นเรือนไม้ หลังคามุงจาก สมัยนั้นสังกะสียังมีน้อย โยมหญิง (มารดา) ชื่อเคลื่อน โยมชาย (บิดา) ชื่อเซี้ยง น้องชายของแก คืออาผม คนหนึ่งชื่อเสี้ยง อีกคนชื่อ อั้น
บรรพบุรุษทางฝ่ายโยมชายมาจากเมืองจีน แต่ก๋งเกิดเมืองจีนหรือเมืองไทย ผมไม่ได้ถาม อาจจะเกิดที่นี่ ผมไม่ทันเห็น เล็กเกินไป แต่เท่าที่ฟังเล่าน่าจะมาจากเมืองจีน เป็นศิลปิน ช่างเขียนภาพ เอากระจกเฉย ๆ มาเขียนด้วยสี เป็นรูปสําเร็จ เป็นจีนจากมณฑลฮกเกี้ยน แต่เดิมแซ่โข่วหรือข่อ ออกเสียงแต้จิ๋วเป็นแซ่โค้ว ต่อมามีพระราชบัญญัตินามสกุลในรัชกาลที่ ๖ พวกข้าราชการเขาเปลี่ยนให้เป็นนามสกุล "พานิช" เพราะทําการค้าขาย ดูเหมือนนายอําเภอเขาจะมาตั้งให้ เพราะตอนนั้นบ้านที่ค้าขายมีแต่บ้านโยม
ส่วนทางโยมหญิงเป็นไทย เป็นชาวท่าฉาง แม่เกิดที่นั่น ยายหรือทวดก็เกิดที่นั่น เตี่ยเกิดพุมเรียง ก๋งและทวดก็มาอยู่พุมเรียงนานแล้ว เป็นชาวพุมเรียงไป
ที่บ้านก็เป็นร้านค้าขาย ถ้าเรียกอย่างสมัยนี้ก็เรียกว่าขายของชํา ไม่ใหญ่โตนัก ผมมีพี่น้องด้วยกัน ๓ คน คนสุดท้องเป็นผู้หญิง เดิมผมชื่อเงื่อม รองลงไปชื่อยี่เกย คือนายธรรมทาส น้องหญิงชื่อกิมซ้อย แต่งงานออกไปอยู่ทางบ้านดอน ใช้นามสกุลสามีว่าเหมกุล พี่น้องอายุห่างกันสามปีทั้งสองช่วง ฐานะทางบ้านก็ไม่ใช่จะดีหรือจะรํ่ารวย ไม่ใช่ว่าจะเหนือคนอื่นเขา พออยู่ได้ พวกเจ้าเมือง พวกคนจีนที่มีเงินทองมีอะไรมากกว่าเราก็มี
สังคมสมัยนั้นสังเกตดูก็ไม่ยกย่องคนรวยเท่าไร เขานับถือคนตระกูลผู้ดีเก่า มักจะเรียกคนพวกนี้โดยมีคําว่าพ่อหรือแม่นําหน้าตลอดไป แม้จะจนลงมา เขาก็ยังเรียกพ่อนั่นแม่นี่ ลูกออกมาก็ยังพ่อนั้นแม่นี้ เป็นการเรียกให้เกียรติกัน มักจะเป็นพวกที่สืบสายมาจากเจ้าเมืองพวกขุนนาง เขาจะเรียกอย่างนั้นกันมาแม้จะเป็นลูกหลานชั้นปลายแถวอย่างครอบครัวพระยาอรรถกรมมนุตตี บ้านตรงข้ามคนละฟากถนนกับบ้านของผม ก็เป็นผู้ดีเก่าสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองไชยา พระยาไชยา พระยาชุมพรโน่น เหมือนเจ้าทางเชียงใหม่ ขอให้พ่อเป็นเจ้า ลูกหลานออกมาก็เป็นเจ้าตามไปหมด พุมเรียงก็มีเชื้อสายเจ้าทางเชียงใหม่ มามีครอบครัวที่นี่ แต่มันขาดตอนไป จึงไม่มีใครถือเป็นเจ้า ไม่มีใครเรียกแล้ว
ตอนที่ 5 , ภาพหน้าที่ 15-18
อาจารย์ครับ ทางฝ่ายโยมมารดามีอิทธิพลต่ออาจารย์ทางด้านไหนบ้าง
ผมคิดว่าเรื่องประหยัด ถ้าจะให้บอกว่ามีอะไรมาจากโยมหญิงบ้าง เห็นจะเป็นเรื่องประหยัด เรื่องละเอียดลออในการใช้จ่าย เพราะว่าถูกสอนให้ประหยัดแม้แต่น้ำที่จะล้างเท้า ห้ามใช้มาก แม้แต่น้ำกินจะตักมากินนิดหนึ่งแล้วสาดทิ้งไม่ได้ แม้แต่ใช้ฟืนก็ต้องใช้พอดี ไม่ให้สิ้นเปลือง ถ้ายังติดไม่หมดต้องดับ เก็บเอาไว้ใช้อีก ทุกอย่างที่มันประหยัดได้ต้องประหยัด มันมากเหมือนกัน ประหยัดไปได้ทุกวิธี มันก็เลยติดนิสัยมันมองเห็นอยู่เสมอ ไอ้ทางที่จะประหยัดเพื่อประโยชน์ มองเห็นอยู่ว่าต้องทำอย่างไร
โยมชายหรือเตี่ยซึ่งเป็นคนจีนกลับไม่ค่อยประหยัด เรื่อย ๆ ปล่อยไปตามธรรมดา โยมหญิงละก็ประหยัดจนถี่ยิบไปหมด ประหยัดแม้กระทั่งเวลา ขึ้นชื่อว่าเวลาต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ เมื่อจะพักผ่อนก็ไม่ต้องเสียไปเปล่า ๆ ต้องมีอะไรทำไปด้วย ตัวอย่างการประหยัด เช่น อย่างคั้นกะทินี่ ธรรมดาเขาคั้นกัน ๒ ครั้ง เราต้องทำถึง ๓ ครั้ง เพราะว่าต้องเอาไอ้ที่เสร็จจากครั้งที่ ๒ มาตำให้ละเอียดแล้วคั้นอีกที น้ำกะทิยังได้อีกแยะเหลือเกิน โดยมากคนเขาขี้เกียจ เขาทิ้งกัน ชั้น ๒ ครั้งจะทิ้ง เราเอามาตำ ๆ ๆ ๆ แล้วคั้นอีกที น้ำยังขาวจัด แล้วคั้นอีกทีเป็นครั้งที่ ๔ ประหยัดกันถึงขนาดนี้ ที่บ้านอื่นเขาไม่ประหยัดกันถึงขนาดนี้
ผมติดนิสัยประหยัดเพื่อให้มันใช้น้อย แต่มันก็มีนิสัยประหยัดเพื่ออวดด้วย เพื่ออวดการประหยัดก็มีคือแสดงว่ามีความรู้ในการที่จะประหยัด กลายเป็นเรื่องรู้ให้ดีที่สุด แม้ไม่จำเป็นต้องประหยัดก็จะประหยัดเพื่อให้เห็นว่าทำได้
แต่เดี๋ยวนี้ชักขี้เกียจประหยัด ตอนหลัง ๆ นี่เราไม่ค่อยระวังเรื่องประหยัด แต่ก่อนพอดีพอร้ายมักทําอะไรเอง ไม่อยากจ้าง ไม่อยากจ่ายเงิน ใช้สิ่งของเครื่องมือเครื่องใช้ก็ต้องประหยัด เสียก็ซ่อม ไม่ทิ้งทันที บางอย่างเขาทิ้งเราไม่ได้ทิ้ง อย่างตะปูเก่า ๆ เขามักทิ้งกัน เราเอามาตัดปรับปรุงไว้ใช้ได้อีก.
โยมชายนั้นไม่ค่อยได้อยู่บ้าน โยมหญิงอยู่ตลอดเวลา ผมก็สนิทกับโยมหญิงมากกว่า ผมสนิทกับโยมหญิงมากกว่าเพราะต้องเข้าไปช่วยในครัวด้วย ผมจึงทําครัวเป็นทุกอย่างตามที่โยมหญิงทําเป็น และโยมชายก็ทําเป็นจนเรียกว่าเก่งกว่าผู้หญิงทั่ว ๆ ไป เพราะว่าย่าทําเป็น เคยทําขาย ทําขนมขายหลาย ๆ อย่าง โยมผู้ชายเลยทําเป็นทุกอย่าง .
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 15-16
ตอนที่ 6 , ภาพหน้าที่ 16-18
เมื่อไปอยู่วัด ผมก็ยังไปเป็นผู้นําในการทําครัว เด็กวัดด้วยกันเขาไม่เชื่อว่าเราทําได้ พระเณรเขาก็ไม่เชื่อ เคยพนันกัน โยมผมทําห่อหมกเป็น เด็กวัดทั้งหลายไม่เชื่อว่าผมทําห่อหมกเป็น เลยพนันกัน ก็เลยแสดงฝีมือให้ดู ไม่มีอะไรที่ทําไม่เป็น ตั้งแต่ที่ง่าย ๆ จนถึงไอ้ที่ยาก ๆ อย่างห่อหมก หรือแกงเนื้อควายอย่างที่เป็นมาตรฐานของแม่ครัวชั้นดี เขาทํากันอย่างไรเราก็ทําได้ ก็เลยเปิดสอนให้ทํากับข้าวกันเสียในวัด โดยมากเขาทําไม่ค่อยเป็นกัน
การทําอาหารให้อร่อยนั้น มันมีความหมายแห่งศิลปะ โยมชายผมทําเป็นเหมือนผู้หญิง เพราะถูกย่าบังคับ ถูกสถานการณ์บังคับ ผมทําเป็นเพราะโยมหญิงให้ช่วยทํางานในครัวมาตั้งแต่เด็ก ให้ตําเครื่องแกง ให้ขูดมะพร้าว แต่ไอ้ขูดมะพร้าวนี่ โยมไม่ค่อยชอบที่ผมขูด ถ้านายธรรมทาสขูดละก็โยมชอบ เพราะของเขาปั้นนิ่มมือ นํ้ากะทิออกมาก เราขูดมันจะหยาบ (หัวเราะในคอ) ไม่ค่อยได้นํ้ากะทิ มันได้กากเสียมาก นายธรรมทาสเขาขูดเหมือนคนไม่มีแรง แล้วมันละเอียด นํ้ากะทิก็ออกมาง่าย แทบไม่ต้องออกแรงบีบเลย
เวลาทําอะไร โยมมักจะตักเตือนให้ทําให้ดีที่สุด ถ้าทําอะไรหยาบ ๆ มักจะถูกทักท้วง อย่างเรื่องทําอาหารให้อร่อยที่ว่าเป็นศิลปะนี่ ต่อมาผมจับหลักได้ว่ามันจะต้องประกอบด้วย ๓ ส่วนเสมอ คือ ต้องมีเนื้อหรือผักซึ่งเป็นสิ่งถูกแกง แล้วก็ต้องมีเครื่องแกง ที่จะทําให้สิ่งที่ถูกแกงนั้นมีรสอร่อย แล้วก็ต้องมีนํ้ามันคือนํ้ากะทิ ที่ทําหน้าที่ละลายเครื่องแกงออกมา แล้วผสานเข้าไปในเนื้อหรือผักที่ถูกแกงนั้น บ้านเรา ส่วนที่เป็นนํ้ามันนั้นก็ใช้มะพร้าว ถ้าเป็นหมู่ชนที่เขาไม่รังเกียจเนื้อสัตว์ เขาก็ใช้นํ้ามันสัตว์ ไปดูเอาเถอะ ไม่ว่าแกงอะไร จะประกอบด้วย ๓ ส่วนนี้เสมอ แม้แต่ทอดมันซึ่งเป็นของแห้ง มันก็ต้องประกอบด้วยเนื้อ เครื่องแกง แล้วก็นํ้ามัน ซึ่งส่วนมากก็เป็นมะพร้าวที่รวมอยู่ในนั้น หรือนํ้ามันที่ใช้ทอด ถ้าจะมาเป็นห่อหมก มันก็ยังประกอบด้วย ๓ อย่างนั่นแหละ คือ เนื้อปลา เครื่องแกง แล้วก็นํ้ากะทิ เอามาคนกันเข้ากับสิ่งเหล่านั้นแล้วจึงมานึ่ง เป็นเนื้อเละ ๆ นํ้ากะทิจึงจะทําหน้าที่ให้เครื่องแกงกับสิ่งที่ถูกแกงสัมพันธ์กันที่สุด เครื่องแกงจะละลายอยู่ในนํ้ากะทิ นํ้ากะทิมันจะรวมอยู่กับเนื้อ ในบางกรณีที่ทําเป็นของแห้งเลย เช่นที่เขาเอามาพอกไม้ แล้วก็ปิ้งจนกลายเป็นของแห้ง บ้านนี้เขาเรียกจันลอน พอปิ้งสุกดีแล้วก็ผ่าเลาะออกมา ถ้าจะให้อร่อยขึ้นไปอีก ก็เอาที่ปิ้งเสร็จแล้วไปหั่นคั่วกับนํ้ากะทิข้น ๆ อีก
ไม่ว่าจะเป็นของเหลว เป็นของเละ ๆ หรือว่าเป็นของแห้ง มันไม่พ้นไปจากเรื่องของ "๓ ส่วน" นอกจากที่ไม่สมบูรณ์แบบอย่างแกงส้ม แต่บางคราว สําหรับบางคน ก็ยังนิยมใส่กะทิอยู่นั่นเอง สมัยต่อมาเมื่อผมบวชแล้ว บางทีก็ต้องสอนเณร สอนเด็กวัดให้ทํากิน เพราะทํากันไม่เป็น เวลาผมควบคุมให้ทํา บางครั้งโยมชาวบ้านเดินผ่านวัดได้กลิ่นแกง ทนไม่ไหวต้องเข้ามาขอชิมก็มี (หัวเราะลงคอ)
แม้แต่ของหวานมันก็ต้องเป็นเรื่องของ ๓ ส่วนเหมือนกัน คือ แป้ ง นํ้าตาล แล้วนํ้ามัน แป้ งคือสิ่งที่จะถูกกระทํา แล้วก็นํ้าตาลปรุงรสให้หวาน แล้วก็นํ้ามันคือนํ้ากะทิ เป็นเครื่องช่วยให้มัน ขนมส่วนใหญ่ก็ต้องประกอบด้วย ๓ ส่วนนี้ เช่นขนมเปียกอย่างเปียกปูน มันก็ไม่มีอะไรนอกจากแป้ ง นํ้าตาล และกะทิ เคล้ากัน นี่เป็นหลักใหญ่ มาแต่เดิม แล้วจะเติมอะไรลงไปเป็นส่วนแต่งรสนั้นได้อีกที ถ้าเป็นหมู่ประชาชนที่ไม่รังเกียจนํ้ามันสัตว์ จะใช้นํ้ามันหมูก็ได้ แทนนํ้ากะทิ หรืออย่างอินเดียซึ่งเป็นต้นตํารับของเรา เขาก็ใช้นมวัว เดี๋ยวนี้เขาก็ยังมีอยู่ ไอ้ขนมที่ประกอบด้วย ๓ อย่างเป็นหลักแม่บท คือไอ้ที่เราเรียกว่ากะละแม บ้านนี้เขาจะเรียกพญาขนม ผมเข้าใจว่านี่เราถ่ายทอดต้นฉบับมาจากอินเดีย ผมไปพบที่อินเดีย ถามเจ้าของร้านว่ามีมาแต่ครั้งไหน เขาก็ไม่รู้ แต่ว่ามันต้องดึกดําบรรพ์ที่สุด เขาไม่เรียกกะละแม เขาเรียกฮูละวา มีนม แป้ ง นํ้าตาล กวนเข้ากัน แล้วของเขามันเหนียวกว่าของเรา ใสกว่าด้วย จะตักจะอะไรยุ่งยาก แล้วก็แพงมากด้วย มันคล้ายกับเป็นเนื้อเข้มข้นของสิ่งทั้งปวง ใช้นมเคี่ยวจนข้นแทนกะทิของเรา คําหนึ่งหลายสตางค์ ถ้าคิดเป็นเงินไทย ผมคิดว่านี่เป็นต้นกําเนิดของขนมอาเซียเรา ถ้าเป็นยุโรป เป็นฝรั่ง จะเป็นอีกพวกหนึ่ง มันจะมีไข่เข้ามาเพิ่มในส่วนที่เป็นแป้ ง เนยทําหน้าที่แทนนํ้ามัน นํ้าตาลก็เหมือนกันเขามีความรู้ที่จะทําไข่ให้เป็นเรื่องเป็นราว มันก็ไม่พ้นเรื่องของ "๓ ส่วน" นี่คุณดูเถอะว่าเลข ๓ มันมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างไร สําหรับอาหารที่จะกินเข้าไป ทั้งของคาวของหวาน
ทีนี้เมื่อโปรตุเกสเข้ามาครั้งแรก เขาก็คงรู้จักแต่เค้ก ทีนี้คนไทยคงเอาส่วนผสมของขนมเค้กนี้ มาทําให้เป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ฝรั่งมีบ้าง แต่มันไม่ถึงขั้นนี้ ไม่มากอย่างและไม่อร่อยวิจิตรอย่างนี้ อย่างทองหยิบทองหยอดนี่มันเลยครูอาจารย์ฝรั่งที่มาสอนให้ไปไกล
มาถึงตรงนี้ทําให้เรานึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง คือเรารู้สึกว่าคนไทยแต่ก่อนนั้น เขาทําอะไรต้องเก่งกว่าครูเสมอ นี่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยที่คนไม่ค่อยรู้สึก อย่างเรื่องแต่งตัว เดิมเราก็รับมาจากอินเดีย ไอ้โจงกระเบนอะไรนี่ เราก็มาทําจนสวยเลอเลิศเป็นแบบไทยเราเอง แกงนี่ก็เหมือนกัน เราก็เอามาจากแขก แต่แกงของแขกน่ะเรากินไม่ค่อยลงหรอก แต่เราก็เอามาทําเสียเป็นแกงเขียนหวาน แกงอะไรต่ออะไร จนแขกก็
ต้องหลงไปแหละ (หัวเราะหึ ๆ) เรื่องอาหารของคาวของหวานนี่เราต่างทําดีกว่าครูทั้งนั้น อย่างแกงเลียงอะไรนี่เรารับมาจากจีน เราก็ทําดีกว่าครู
เรื่องกาพย์กลอนนี่ก็ไม่มีชาติไหนจะเท่าเทียมไทยหรอก คือสัมผัสใน แต่เดิมเราคงรับมาจากอินเดีย ก็มีแต่สัมผัสนอก แล้วก็น้อยมาก หรือไม่มีเลย อย่างคาถาปัฐยาวัตร สามัญคาถา หรือฉันท์ต่าง ๆ สัมผัสของเขามีน้อยมากหรือไม่มีเลย มีแต่การกําหนดจํานวนพยางค์ และเสียงหนักเสียงเบา พอมาถึงเมืองไทย เราปรุงกันเสียวิเศษ มีทั้งสัมผัสใน สัมผัสนอก โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนนี้เป็นเรื่องที่กินใจมากที่สุด รับมาจากจีนก็ดี จากอินเดียก็ดี เราเคยทําดีกว่าครูเสมอ อย่างโคลงกลอนของฝรั่ง เมื่อเทียบกันแล้ว มันสู้กันไม่ได้
ดนตรีก็เหมือนกัน พอมาถึงมือคนไทยมันดีกว่าเก่าแน่ ๆ จะเข้ มันดีกว่าขิมเยอะแยะ (หัวเราะหึ ๆ) การร้องเพลงก็เหมือนกัน เพลงของไทยนี่ไม่มีชาติไหนจะกินได้ เรื่องนี้ต้องเคยศึกษาเรื่องเพลงถึงจะรู้ความจริงข้อนี้ ผมหลงใหลเรื่องเพลงมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่มีโอกาสทางนี้ แต่ก็พอรู้เรื่องบ้าง อย่างความเป็นดนตรีของเพลงไทยนั้น มันขยายซับซ้อนเป็นเพลง ๒ ชั้น ๓ ชั้น ละเอียดอ่อนมาก ไม่มีของชาติไหนทําเหมือนหรอก
ทีนี้มาดูพวกรํา พวกละคร มันก็มาจากพวกเต้นกลองยาวของอินเดีย ของแขก เรารับมาแล้วปรับปรุงเรื่อย ๆ ขึ้นมา จนแปรสภาพจากเต้นกระโดดพรวดพราดแบบเดิม มาเป็นรําอย่างอ่อนช้อยแช่มช้าอย่างมีลีลาของเราเองอย่างนิ่มนวล จนมาเป็นละครในละครนอก เป็นโขนเป็นอะไรมากมาย
ทุกอย่างเราไม่เคยทําอะไรไม่ดีเกินครู ดีเกินครูทุกอย่างแหละ นี่เป็นอัจฉริยภาพของบรรพชนของเรา พวกที่นิยมเอกลักษณ์ไทยควรจะนึกถึงข้อนี้ แต่พวกที่กรุงเทพฯ เขาอาจไม่ยอมรับก็ได้ เพราะเขาไม่รู้จักวิธีที่จะมอง แต่ผมว่าเอกลักษณ์ไทยต้องใส่ลงไปด้วยว่าเราทําอะไรดีกว่าครูเสมอ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 16-18
ตอนที่ 7 , ภาพหน้าที่ 19-21
อาจารย์ครับ แล้วโยมบิดามีอิทธิพลหรือถ่ายทอดลักษณะนิสัยบุคลิกภาพด้านใดมาถึงอาจารย์บ้าง
มันพูดยาก โยมชายก็มีหัวช่างไม้ ซึ่งผมก็ชอบ ถ้าได้รับการอบรมคงจะดีมาก คือว่าชอบทำมากหลาย ๆ อย่างที่สวนโมกข์นี่เราทำกันเอง ทำด้วยมือเอง โยมชายเป็นช่างไม้ เรียกได้ว่าเป็นอาชีพสมัครเล่นคือช่างไม้ต่อเรือ อาชีพหลักคือค้าขาย ซึ่งไม่ใหญ่โตอะไรนัก อาชีพสมัครเล่นคือช่างไม้ต่อเรือ ต่อเรือลำสุดท้ายผมยังจำได้ว่าไม่ได้ขายยังไม่เสร็จ ค้างเติ่งอยู่บนคานที่ต่อ จนผุพังไป ที่ติดมาอีกอย่างคือโยมชอบแต่งกลอน แต่งโคลง ชอบกวี มีวิญญาณกวี ทำให้เราชอบ มีหัวทางนี้ ผมเคยเห็นโยมเขียนแต่งไว้ที่ศาลาป่าช้าที่แกสร้าง ส้วมวัดที่แกสร้างถวายก็เขียนเป็นโคลงไว้ และชอบแต่งโคลงหยูกยา เราเห็นในสมุด เราเลยชอบโคลงเหมือนกัน แกแต่งได้ถูกต้องตามแบบฉบับ แต่ไม่ค่อยมีเวลาแต่งนัก เพราะอาชีพมันรัดตัว เรือลำสุดท้ายที่ไม่เสร็จก็เพราะเหตุนี้ ครั้งสุดท้ายนี้อยากจะมีสวนมะพร้าว แล้วก็ทำสวนมะพร้าวไม่สำเร็จ ป่วยลงเสียก่อน แล้วป่วยกระเสาะกระแสะมาจนกระทั่งตาย อาก็เหมือนกัน ที่ชื่อเสี้ยง มีหัวแต่งโคลงแต่งกาพย์ชอบแต่งล้อไสยศาสตร์ คุณไปเปิดดูเถอะในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาเล่มแรก ๆ มันมีนามปากกาว่า "ท่านางสังข์" แต่งล้อไสยศาสตร์ละก็คนนี้แหละ เป็นกาพย์ยานีเสียโดยมาก"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า19
ตอนที่ 8 ภาพหน้าที่ 21-24
"บรรยากาศในครอบครัวบางแง่บางมุม"
อาจารย์ครับ บรรยากาศในบ้านของอาจารย์มีเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์หรือเปล่าครับ เช่นเคล็ดเชื่อโชคลางเกี่ยวกับการค้าขาย
"สังเกตเห็นได้ว่ามีบ้าง ไม่มากนัก ตามธรรมเนียมตามประเพณีมากกว่า แต่ไม่ค่อยเห็นทำจริง ๆ จังๆ เช่นวันสงกรานต์มีบูชาท้าวสงกรานต์ ตามธรรมเนียมที่เขาทำกันทุกบ้าน โดยจุดธูปเทียนขึ้นไว้บนหลังประตู แล้วโยมก็เรียกเด็ก ๆ มานั่งดูนั่งไหว้ ต้อนรับท้าวสงกรานต์นี้มันเป็นเรื่องไม่มีเหตุผล เป็นเรื่องทำตามประเพณี โยมผู้หญิงก็เป็นคนที่ไม่อยากจะคิดอะไรมาก ประเพณีที่ทำกันอยู่ก็ทำ แต่โดยจิตใจไม่ได้เชื่อมั่นคงจะคิดว่าทำดีกว่าไม่ทำ แม้ว่าโยมจะชื่อว่านับถือพุทธศาสนา แต่ว่ามันมีความเชื่ออย่างนี้ติตมาแต่ก่อน โยมพ่อไม่สนใจเรื่องอย่างนี้ คงจะไม่เชื่อด้วย เรื่องโชคลางเกี่ยวกับการค้าขาย เช่น นางกวัก กุมารทองอะไรนี่ไม่มีเลย ศาลพระภูมิก็ไม่มี เพราะไม่มีที่ตั้ง เมื่อกล้วยมันบังเอิญเจาะทะลุมาออกปลีกลางต้น สีขาวเหมือนดอกบัว โยมก็ยังทำตามประเพณี เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องโชคร้าย โดยเอาธูปเทียน ดอกไม้ไปวางไว้ที่ตรงนั้น แล้วจะว่าอย่างไร ผมก็ไม่ทราบ"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 21
ตอนที่ 9 ภาพหน้าที่ 25-27
ชีวิตเด็กวัดเป็นอย่างไรบ้างครับ
"พูดได้ว่าเด็กวัดทุกคนมีความรู้เรื่องยา เช่นถ้าบอกว่ายากระทุ้งแล้วทุกคนรู้จัก เพราะถูกใช้ไปเก็บอยู่เสมอ วัดนั้นผมเป็นเด็กก็เคยอยู่ ผมจําได้ว่ายากระทุ้งที่อาจารย์สั่งใช้ให้ไปเก็บเพื่อต้มให้เขาไปมีอะไรบ้าง รากหมาก รากมะพร้าว รากมะปราง รากวัลย์ยอ บางทีก็มีแปลกอะไรบ้าง เช่นรากสะเดา อาจารย์ผมที่สอน ก ข ก กา ให้ท่านทํายาอย่างนี้
เป็นพระใครมาขอก็ให้ ยาที่ทําไว้ก็มี จัดให้ใหม่ก็มี จดให้ไปก็มี อันดับแรกสุดนี้ ต้องกินยากระทุ้ง แรก ๆ เป็นไข้กินยากระทุ้งเป็นยาเย็นคล้าย ๆ กระทุ้งให้ไข้มันถึงที่สุดเร็ว ๆ ทีนี้พวกเราเด็กวัดก็ช่วยกันทํา ช่วยกันบด ช่วยกันขยี้ อีกอย่างเรียกว่ายาเขียว ยาเขียวสารพัด ยาเขียวครอบจักรวาล น่าหัว ถ้าเด็กคนไหนทําผิด บางทีก็ถูกใช้ให้ไปเก็บใบไม้เขียว ๆ มา อย่าเอาที่คัน อย่าเอาที่มีพิษ นอกนั้นเก็บหมดแหละ ถ้าเป็นใบไม้สีเขียว เอามาตากไว้เต็มนอกชาน พอแห้งมันกรอบ เราก็บดยัดใส่ขวด ใครเป็นไข้ก็กินเข้าไป มันก็ถูกหลัก เพราะยาเขียวมันมีความเย็นของสารสีเขียว มันก็ระงับความร้อน เดี๋ยวนี้ผมเชื่อ ใบไม้สีเขียวกินเข้าไปเถอะ มันระงับความร้อนได้ ระงับการเกิดแก๊สในกระเพาะ ถ้าจะให้ดีก็เอามาละลายนํ้าและพ่นหรือทาตัวด้วย จนตัวเขียวตัวเลอะ ยาเขียวนี้มีขมน้อย ๆ เพราะว่าใบไม้มันมีหลายชนิด บางชนิดก็ขมบ้าง เด็กเล็กกินได้ ละลายนํ้ากินเข้าไป หรือละลายนํ้าพ่นก็ได้
ส่วนยาที่มันยาก มันมีเทคนิคของมัน มันมีนั่นมีนี่เท่านั้นเท่านี้ ต้องชั่งตวงเอาก็มี อย่างน้อยมีสี่ห้าขนานที่ชาวบ้านมาขอ แล้วให้ไปได้ทันทีเมื่อมีคนไข้ไปหา อาจารย์สมภารวัดสามสี่วัดในพุมเรียง เขาต้องมี วิชาพวกนี้อยู่ ดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม ถ้ามีคนมาตามว่าคนนั้นคนนี้เป็นนั่นเป็นนี่ อาจารย์ก็ต้องไป แม้ดึกดื่น อาจารย์สมัยนั้นเป็นอย่างนั้น ดึก ๆ ก็ไปช่วยแก้ไขกันตามเรื่อง จนกว่าจะไว้ใจได้ ทุเลาแล้วจึงกลับมาวัด บางที่กว่าจะกลับมันก็สว่าง มันก็เพาะนิสัยเห็นแก่ผู้อื่น อดทนอดกลั้นได้ ไม่รังเกียจ ไม่เห็นแก่หลับแก่นอน คนก็ผูกพันรักใคร่นับถือ ถ้าวัดมีธุระอะไรก็ช่วยกันเต็มวัด"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 26
ตอนที่ 10 ภาพหน้าที่ 28-30
"มันมีอีกธรรมเนียมหนึ่งที่มีกันทุกวัดทุกวา เป็นการฝึกเด็กวัดให้เป็นคนเฉลียวฉลาด หรือถ้าพูดอย่างภาษาทางนี้ จะเรียกว่าฝึกให้เป็นคนหัวหมอก็ได้ เล่นกันในหมู่เด็กวัด รวมทั้งเณรด้วย โดยไม่ต้องให้มีใครจัดให้ มันจัดกันเอง เฮ่อ ๆ ๆ (เบา ๆ) มันน่าหัว คือพอมานั่งรวมกลุ่มกัน ไอ้เด็กคนที่เป็นหัวโจกหน่อย มันก็จะตั้งประเด็นขึ้น เช่น เอ้าวันนี้ เรามาพูดเรื่องหุงข้าว ใครจะเล่าก่อน ส่วนมากพวกที่อาสาก่อนมันก็จะเป็นพวกที่ฉลาดน้อยกว่าคนอื่น มันก็ต้องเล่าวิธีที่หุงข้าวว่าทําอย่างไร เด็กทั้งหลายก็คอยฟัง ถ้าคนเริ่มต้นมันเป็นคนโง่ ๆ หน่อย มันอาจจะเริ่มต้นว่า "กูก็เอาข้าวสารใส่หม้อ ตั้งบนไฟ" เด็กนอกนั้นมันก็จะชวนกันค้านว่า "มึงยังไม่ได้เข้าไปในครัวสักที จะทําได้ยังไงล่ะ" อย่างนี้เป็นต้น หรืออาจจะมีสอดว่า "มึงยังไม่ได้ก่อไฟสักที" ถ้ามีช่องให้ซักค้านได้มาก ๆ มันก็ต้องให้คนอื่นเป็นคนเล่า เวลาถูกค้านได้ทีก็จะเฮกันที มันอาจจะละเอียดถึงขั้นว่ายังไม่ได้เปิดประตูแล้วจะเข้าไปในครัวได้อย่างไร หรือยังไม่ได้หยิบขันมันจะตักนํ้าได้อย่างไร อย่างนี้เป็นต้น ในที่สุดมันจะต้องได้เล่าถึงขั้นตอนทุกขั้นตอน จนไม่มีอะไรบกพร่อง เหมือนกับการบรรยายของนักประพันธ์ละเอียดถี่ยิบไปหมด เพราะคนค้านมันมีมาก มันก็ค้านได้มาก มันเป็นการฝึกความละเอียดลออถี่ถ้วน ฝึกการใช้ลอจิก คนฉลาดมันมักจะเป็นคนเล่าคนหลัง ๆ ที่สามารถเล่าได้ละเอียดโดยไม่มีใครค้านได้"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 29
ตอนที่ 11 ภาพหน้าที่ 31-33
อาจารย์ครับ อยากให้อาจารย์เล่าเกี่ยวกับ ชีวิตสมัยเป็นนักเรียนบ้าง
"......ขับเกวียนสมัยนั้น บ้านผมใช้วัว ๒ ตัว ไปเอาแบบที่ประจวบมา คนอื่นเขาใช้วัวตัวเดียว ใช้ ๒ ตัวอย่างนี้วิ่งดี มันช่วยแรงกัน วิ่งจากไชยาไปถึงพุมเรียง เป็นวัวแบบไม่อุ้ยอ้าย เป็นวัวท้องเปรียว วัวท้องเหิน ไม่ใช่พุงยาน มันวิ่งเก่ง เอาไม้ไผ่เล็ก ๆ แตะก้น ที่จริงมันไม่ใช่หน้าที่ของผม แต่ชอบเพราะมันแปลกก็แปลก สนุกก็สนุก
ตอนอยู่โรงเรียนสารภีนี่ ไม่ได้กลับมากินข้าวกลางวันที่บ้าน หากินที่โรงเรียน แต่เด็กสมัยนั้นไม่ค่อยได้กินกลางวันกันหรอก บางวันเขาก็ไม่สนใจ ส่วนมากก็ลืม ๆ กันไป ส่วนมากไม่ค่อยได้กิน ของก็ไม่ค่อยมีขาย
พอผมจบ ม.๓ ก็ออก เพราะโยมผู้ชายตาย ก็ต้องช่วยรับภาระให้นายธรรมทาสไปเรียน ถ้าเรียนหมดก็ไม่มีใครช่วยโยมที่บ้าน เมื่อโยมผู้ชายตาย ก็เลิกร้านทางไชยา กลับมาอยู่กับโยมผู้หญิงที่พุมเรียง ผมก็รับหน้าที่เป็นเหมือนผู้จัดการดูแลกิจการทั้งหลาย เพราะโยมชราแล้วและป่วยด้วย ตั้งเกือบปีมั้ง เป็นโรคปวดเข่า แต่ต่อมาก็หาย กินยาดองส้มพื้นบ้านหาย "
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 33
ตอนที่ 12 ภาพหน้าที่ 34-36
"อาจารย์ครับ อยากให้อาจารย์เล่าชีวิตในวัยหนุ่มให้ฟัง เมื่อก่อนที่จะบวช อาจารย์เคยเกเรบ้างไหม เคยเป็นนักเลงเจ้าชู้บ้างหรือเปล่า อาจารย์ใช้ชีวิตอย่างไรตอนวัยรุ่นสู่วัยหนุ่มนี่
เกเรอะไรกัน (เสียงดุ) เกเรขนาดไหนดีล่ะ ไม่ค่อยมีที่จะไปลักขโมย ไปตีรันฟังแทง ไม่มี มันไม่รู้จะไปทําได้อย่างไร ไอ้ดอกกุหลาบข้างรั้วของเขา ไม่ทันสว่างไปขโมยเก็บละก็มีบ้าง (หัวเราะหึ ๆ) มันไม่ทันสว่าง เขาปลูกไว้ริมรั้วบ้าน ถึงเขาเห็นเขาจะไม่ว่าอะไร แต่เขาก็ไม่เต็มใจให้ มันก็ต้องเรียกว่าขโมยล่ะ นี่เกเรอย่างนี้มีบ้าง
โดยมากผมก็อยู่กับโยมช่วยค้าขาย มีญาติของโยมผู้หญิงอยู่ทางอําเภอท่าฉาง นาน ๆ ก็ไปเยี่ยมกันทีหนึ่ง บางทีญาติทางนั้นก็มาเยี่ยมเรา ปีหนึ่งไปมากันสองสามหน ไปทางเรือกัน ผ่านทะเล อ่าวจากปากนํ้าพุมเรียงไปถึงปากนํ้าท่าฉาง ซึ่งเป็นอําเภออยู่ติดฝั่งทะเลใต้ลงไป นาน ๆ ลุงป้าน้ารวมถึงยายและยายชวดเจอกันที ก็เป็นที่พอใจกัน สนุกสนานเบิกบานกันที่เห็นเราเด็ก ๆ นี่เป็นทางหนึ่งที่เราได้ออกทะเลกัน
ออกไปจับปูจับปลานี่ นาน ๆ ทีก็มี เหมือนการออกไปผจญภัย เพราะในครอบครัวเขาไม่ให้ทําอย่างนั้น หลุดออกไปทีก็เหมือนหลุดออกไปอยู่คนละโลก ได้ศึกษาทุกอย่างที่เราไม่เคยเห็น "
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 34
ตอนที่ 13 ภาพหน้าที่ 37-38
"อาจารย์ครับนอกจากหนังสือนักธรรมนี่ อาจารย์อ่านอะไรอีกบ้างหรือเปล่า ช่วงก่อนจะบวชนี้
ก็อ่านบ้าง เพราะที่บ้านเป็นร้านขายหนังสือด้วย ตามแบบสมัยนั้น ที่มีขายมากที่สุด ก็เรื่องจักร ๆวงศ์ ๆ แล้วก็เบ็ดเตล็ด ประเภทเล่มละสลึงพึงรู้ท่านผู้ซื้อ มีมากที่สุด แล้วหนังสืออ่านสมัยใหม่ที่เป็นเรื่องแปลจากฝรั่งมันก็เริ่มมีแล้ว โรงพิมพ์ไท ที่กรุงเทพฯ เขาพิมพ์หนังสือสมัยใหม่ แล้วคงขายไม่ค่อยออก ส่งคนเที่ยวเดินตลาดขายตามต่างจังหวัดด้วย ร้านเรามันเหมือนถูกยัดเยียดให้รับไว้ ราคาถูก เล่มละสตางค์อย่างนี้ เหมือนซื้อกระดาษก็มี คนมาซื้ออ่านมันมีน้อย บางทีซื้อจากกรุงเทพฯ ก็มีงานแปลสมัยนั้นที่มีมาถึงก็อย่างโซไรดา แล้วก็พันหนึ่งทิวา เข้าใจว่าเป็นหนังสือขายไม่ออก อ่านแล้วมันก็ไม่ติดใจอะไร มันแปลก ๆ เท่านั้นเอง
อย่างงานของเทียนวรรณ ของ ก.ศ.ร.กุหลาบก็อ่านสมัยนั้น ดูเหมือนโยมจะรับเป็นประจำปีละบาทโยมอาที่บวชอยู่ทางกรุงเทพฯ เขาเห็นมีอะไรแปลก ๆ ก็รับส่งมา เขายังเคยไปคุยกับนายเทียนวรรณนายกุหลาบด้วย นายกุหลาบนี้ใส่สร้อยเส้นโต ๆ ฟันไม่แปรง อาเขายังมาเล่า (เหอะ ๆ) เขาเป็นคนสนใจ เป็นนักอ่านคนหนึ่ง อยากรู้นั่นนี่มาบอกพี่น้องบ้านนอก ในเรื่องที่มันจะเป็นประโยชน์ นายกุหลาบนี่ฟังดูเหมือนหนังสือฝ่ายค้านของสมัยนั้น แต่ดูจะอวดมากกว่า จะอวดกับในหลวง จะได้ชื่อเสียงเร็ว ๆ ไม่มีหลักฐานก็ว่ามีหลักฐาน อาผมบวชอยู่ที่วัดปทุมคงคาแล้วก็สึก ต่อมาเลยเป็นเชื้อให้พระจากพุมเรียง จากไชยาไปเรียนกันที่นั่นเรื่อยมา อาเป็นคนคล่องแคล่วขวนขวาย และมีโอกาสมากกว่าโยมพ่อ โยมผู้ชายผมไม่เคยไปกรุงเทพฯเลย อาเขาอ่านใบลานได้คล่องเขียนใบลานก็ได้"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 38
ตอนที่ 14 ภาพหน้าที่ 39-42
"ความรู้สึกของประชาชนต่อเจ้านายสมัยนั้นก็กลัว เกรงกลัวมันมีอำนาจมาก คล้าย ๆ รัฐบาล พวกที่เป็นข้าราชการก็จะเป็นคนอีกชั้นหนึ่ง แต่ก็พึ่งพาอาศัยกัน ไม่ถึงกับเป็นปฏิปักษ์กัน ก็มีเหมือนกันที่มันไม่ยุติธรรม แล้วมันหนัก ๆ เข้า จนข้างในเขาส่งคนใหญ่โตมาสอบสวน พิจารณาจับทำโทษ เป็นอย่างนี้ก็เคยมี แต่น้อยเต็มที แต่จะให้ชาวบ้านคัดค้านเองนี่ไม่เคยมี เพราะเขากลัวกัน ไม่อุทธรณ์คัดค้าน มันก็ดีไปอย่างคือคนเขาไม่อยากทำผิด เขาระวังไม่อยากให้เกิดเรื่อง พวกชอบเป็นความเป็นคดีไม่ค่อยมี ไม่ค่อยสนุกนักเลงอันธพาลไม่ค่อยมี มันคงกลัวมั้ง กลัวเจ้าเมือง ถ้าเป็นอันธพาลนักเลงโตมันจะยิ่งไม่มีพวกมันมีไม่ได้หัวเมืองบ้านนอกนี่มันไม่ใช่กรุงเทพฯ ถ้ามีมันต้องไปอยู่ในป่าบางถิ่น ในตลาดอย่างพุมเรียงมีไม่ได้
ชาวบ้านเขาจะเรียกพวกข้าราชการว่าเจ้าคุณก็มี คุณพระก็มี ตามบรรดาศักดิ์ ถ้าเจ้าเมืองไชยาก็จะเรียกเจ้าคุณไชยา พวกบ่าวไพร่จึงเรียกนาย หรือถ้าเราตระกูลต่ำมาก ตระกูลนั้นมันใหญ่โต คนในตระกูลต่ำก็เรียกคนในตระกูลสูงว่านาย พ่อนายแม่นาย เด็กเล็ก ๆ ก็ถูกเรียกว่าพ่อนาย แม่นายเหมือนกัน แล้วอยู่กันอย่างมีสูงมีต่ำโดยสมัครใจ ไม่เดือดร้อน ไม่เป็นเหตุให้ต้อง (หัวเราะหึๆ) ปฏิวัติ มันช่วยเหลือกันไปตามเรื่อง"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 40-41
ตอนที่ 15 ภาพหน้าที่ 44-45
"อาจารย์มีความรู้สึกอย่างไรต่อพระสงฆ์โดยทั่วไปในสมัยนั้น มีความเคารพนับถือหรือเลื่อมใสใครเป็นพิเศษหรือเปล่า ความคิดวิพากษ์วิจารณ์เกิดขึ้นแล้วหรือยัง
ผมก็ไม่ได้เลื่อมใสใครเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่พระท่านก็มุ่งแสวงหาความนับหน้าถือตาจากสังคม ไม่ได้มุ่งที่ความดับทุกข์จริงจังอะไร ก่อนที่ผมบวช นักธรรมก็ไม่ได้เรียนกัน เรียนแต่บทสวดมนต์กัน เพื่อจะได้ไปสวดตามงานต่าง ๆ ที่มีความรู้สึกนับถือผูกพันเป็นพิเศษ ก็คืออาจารย์หนุน เป็นอาจารย์ผมตอนผมเป็นเด็กวัด แต่แกสึกเสียก่อนที่ผมจะบวช เป็นคนรุ่นอา ผมเรียกอาหลวง
ตอนนั้นความคิดวิพากษ์วิจารณ์ยังไม่เกิด เป็นเรื่องบวชตามประเพณี ให้มันได้บวชกับเขาเสียบ้างเท่านั้น ให้มันครบ ๆ ไม่เคยมีวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคณะสงฆ์ จะมีบ้างก็เรื่องผิดถูกของธรรมะ ทัศนคติ โดยรวมต่อพระสงฆ์สมัยนั้น นึกไม่ออก คงจะไม่มีด้วยซ้ำไป เชื่อว่าเขาต้องถูกต้องตามประเพณี ตามแบบฉบับที่เขาทำ ๆ กันอยู่ ไม่ถือว่าเขาทำ ๆ กันมาสืบ ๆ กันมานี้มันผิด
ที่ว่าเรื่องผิดถูกของธรรมะนี่เรื่องอะไรบ้างครับ
เช่นการอธิบายตีความหมายธรรมะ ซึ่งคนทั่ว ๆ ไปเขาก็สนใจกันอยู่ เมื่อเราไม่เห็นด้วยเราก็ค้านก็แย้ง ก็ถาม เช่นเรื่องความหมายของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องทำทาน รักษาศีล ไอ้เรื่องที่มันรุนแรงก็เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ที่เขาเชื่อกันอยู่ก่อนก็เอามาวิจารณ์กัน
อะไรเป็นเหตุให้อาจารย์ตีความไม่เหมือนเขาครับ
คืออยากให้มันชัดเจนกว่านั้น ให้มันเป็นเรื่องชีวิตเดี๋ยวนี้
ก่อนบวช อาจารย์มีทัศนะแบบนี้แล้วหรือครับ
สงสัย ต้องพูดว่ามันเริ่มสงสัย หลาย ๆ คนเริ่มตั้งข้อสงสัย
กระแสความคิดแบบนี้มันมาได้อย่างไรครับ เพราะแต่ก่อนเขาเชื่อกันแบบเดิม ๆ มานานแล้ว
มันก็เชื่อกันมาจนไม่รู้จะเชื่อกันอย่างไรแล้ว มันควรจะมีส่วนที่ได้รับโทษ หรือได้รับประโยชน์อย่างทันตาเห็นกันบ้างว่า ที่จริงเราก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเกรงเรื่องนรกสวรรค์อะไร เพราะเรามันเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องตกนรก ฉะนั้นสิ่งที่ทำผิดและให้โทษในปัจจุบันมันน่าสนใจกว่าเรื่องนรกสวรรค์ที่ตายแล้ว
มันเกิดจากที่อาจารย์ได้ศึกษาหนังสือธรรมะสำหรับนักธรรมของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ หรือเปล่าครับ
มันมีส่วน หนังสือของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ สำหรับนักธรรมชั้นตรี-โท-เอก เราก็อ่านหมดก่อนบวช
อาจารย์ครับ แล้วหนังสือที่อาจารย์อ่านเหล่านี้ ทำให้อาจารย์เชื่อเรื่องโลกุตระจริง ๆ จัง ๆ หรือยังครับเช่นเชื่อว่าพระอรหันต์เป็นไปได้
ไม่ รู้สึกเพียงว่าเป็นเรื่องน่าสนใจและคงจะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ มันยังไม่มีเวลาพอที่จะทดลองปฏิบัติ หรือไม่มีเวลาพอแม้แต่จะคิตให้มันเด็ดขาดลงไป เพียงแต่สันนิษฐานเชื่อว่าต้องดี คงจะดี
อาจารย์อ่านหนังสือนักธรรมตรี-โท-เอกก่อนบวชนี่ ไม่รู้สึกว่าพระท่านไม่ทำตามวินัยมุขหรือครับ
ไม่รู้สึก ไม่รู้สึกเลย อ่านเพียงเพื่อหาความรู้มาก ๆ ไม่เคยคิดที่จะเล่นงานพระสงฆ์ มันอยากจะศึกษาอะไรให้มันมาก ๆ กว้าง ๆ เผื่อ ๆ ไว้ มันมีความคิดว่าจะต้องบวชแน่ เพราะฉะนั้นเป็นการเตรียมล่วงหน้าไว้จะดีกว่า พอบวช ๒-๓ วันก็เข้ารูปไม่มีเรื่องยุ่งยากลำบากอะไร"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 44-45
ตอนที่ 16 ภาพหน้าที่ 46-48
อาจารย์ครับ ทำไมอาจารย์ถึงบวชวัดหนึ่ง แล้วมาอยู่วัดหนึ่ง อุปัชฌาย์ก็นิมนต์มาจากวัดหนึ่ง พระคู่สวดก็มาจากคนละวัด
อ๋อ อาจารย์ปลัดทุ่มแกรักใคร่คุ้นเคยกับที่บ้านโยม เป็นอาจารย์สวดของโยมผู้ชายด้วย ทีนี้ผมอยู่วัดใหม่ตั้งแต่เด็ก พอตกลงบวชก็ว่ากันว่าต้องอยู่วัดใหม่ ๆ แต่แกถือว่าแกมีสิทธิของความเป็นกันเอง
"เอ้า อยู่วัดใหม่ก็ได้ แต่ต้องมาบวชวัดกู" (หัวเราะเบา ๆ) แต่วัดรั้วมันอยู่ติดกัน พระวัดใหม่ก็ต้องมาลงอุโบสถวัดอุบล เพราะตอนนั้นพระวัดอุบลองค์หนึ่งสวดปาฏิโมกข์ได้ พระวัดใหม่ไม่มีใครสวดได้แล้วก็อาจารย์ปลัดทุ่มแกสั่งได้
ผมไม่ได้บวชกับเจ้าคณะเมืองคือเจ้าคุณชยาภิวัฒน์ สุภัททสังฆปาโมกข์ เจ้าอาวาสวัดล่าง (สมุหนิมิต) แต่บวชกับพระครูโสภณเจตสิการาม (คง วิมโล) ซึ่งเป็นรองเจ้าคณะเมือง เพราะเป็นที่นิยมชมชอบของผู้ใหญ่โดยตรงและโดยอ้อมของเรา เราก็พลอยตามไปเพราะว่าเกรงใจ ก็เลยกล้าที่จะไม่นิมนต์เจ้าคณะเมือง แล้วก็บังเอิญโชคดีที่บังเอิญท่านดูเหมือนจะเดินทางไปบวชที่อื่นในตอนนั้น จึงจำได้ว่าไม่มีอะไรขัดหูขัตตาให้เสียหาย
ผมต้องอยู่วัดใหม่ (พุมเรียง) เพราะปู่ที่เป็นน้องของย่าเคยเป็นสมภารที่วัดนั้นจนมรณภาพเพราะฉะนั้นชั้นลูก ชั้นหลาน ชั้นเหลน มันก็ต้องอยู่ที่วัดนั้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 48
ตอนที่ 17 ภาพหน้าที่ 49-52
อาจารย์ครับ ท่านเจ้าคณะเมืองเป็นคนอย่างไรครับ และความสัมพันธ์กับอาจารย์เป็นอย่างไรครับในเวลาต่อมา
ท่านเป็นคนที่มีความรู้บาลีพอสมควร เพราะไปเรียนมาจากกรุงเทพฯ แต่จะพูดว่ารู้ดียังไม่ได้ ไปเรียนที่วัดโพธิ์ ตอนไปนั้นไปเรือใบ ไปอยู่วัดโพธิ์ บิณฑบาตแถววัดโพธิ์ บางวันแทบจะไม่พอฉัน บางวันฉันข้าวกับกล้วยลูกหนึ่ง แล้วก็เรียนหนังสือกันมาอย่างนั้น อุตส่าห์ทน ๓ ปี แต่ก็ไม่ได้มหาเปรียญกลับมากรรมการเล่นท่าเสีย โกรธขึ้นมาเลยคืนข้อสอบถวายหนังสือคืน คือใบลานที่ใช้สอบนั้น มันของหลวง ไม่สอบเรียกว่าถวายคืน ท่านมีความรู้พอจะสอบได้ แต่กรรมการเกี่ยง ท่านเคยเล่าให้ฟัง คือบาลีว่า "โสสานโคปิกา" ท่านแปลว่า “หญิงผู้เฝ้าซึ่งป่าช้า" กรรมการว่าไม่เอาแปลใหม่ ท่านก็ว่า “หญิงผู้รักษาป่าช้า"กรรมการว่าไม่เอาอีก ท่านว่า “หญิงผู้คุ้มครองซึ่งป่าช้า" กรรมการไม่เอาอีก สมัยก่อนเขาสอบกันปากเปล่าแบบนี้ ๓ ครั้งยังไม่เอาก็ถวายหนังสือคืนเลย ไม่สอบแล้ว แล้วไปถามตอนหลังว่าจะเอายังไง กรรมการจะเอาว่า “หญิงผู้ปกครองซึ่งป่าช้า" ต้องการคำสมัยใหม่เสียอีก
เมื่อท่านกลับมาท่านก็เปิดสอนบาลีก็เรียนกันแบบโบราณ คนเรียนมาจากหลายจังหวัด แต่รวมแล้วไม่กี่คน แต่เรียนไม่ค่อยจะสำเร็จ เป็นบ้าไปเสียก็มี เพราะมันเรียนกันไม่ใคร่รู้เรื่อง มันทรมานใจกัน เขาเรียกเรียนหนังสือใหญ่แบบมูลกัจจายน์ ๕ ปี ๑๐ ปี บางทียังเรียนไม่รู้เรื่อง
เนื่องจากวัดของท่านกับวัดที่ผมอยู่มันติดกัน บางทีผมก็ไปเยี่ยมบ้างแล้วไปทำวัตรบ้าง แล้วท่านก็ต้องการให้ผมสัมพันธ์ด้วย ก็คงเห็นผมพอจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์ คล้าย ๆ จะเป็นผู้ใกล้ชิดในเรื่องต่าง ๆ เพราะเมื่ออาผมบวชก็รับใช้ใกล้ชิดท่าน
ตอนหลังโกรธกันในที่สุด คือท่านจะให้ผมลงเรือไปด้วยกับท่านไปเป็นผู้สวดฝังพัทธสีมา ทางปลายแม่น้ำบ้านดอน ผมไม่ไป ขอร้องกี่ครั้งก็ไม่ไป (หัวเราะเบา ๆ) ท่านรู้สึกว่าเราไม่เคารพไม่ไว้หน้า ท่านเลยโกรธ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 49-50
ตอนที่ 18 ภาพหน้าที่ 52-54
"อาจารย์ครับ พระผู้ใหญ่เหล่านี้มีองค์ไหนบ้างที่มีอิทธิพลต่ออาจารย์ทางด้านไหนบ้างหรือเปล่าครับ คือ เป็นแบบอย่างอะไรทำนองนั้น อยากให้อาจารย์ลองวิเคราะห์ตัวเองดู
(หยุดคิดระยะหนึ่ง) นึกไม่ออก (เว้นระยะ) คือว่าเราจะรับมาตรง ๆ ไม่ได้ เราปฏิบัติไม่ได้ เพราะยังเป็นเด็ก (หัวเราะหึๆ) ท่านเหล่านี้เป็นที่เคารพนับถือของผม แต่ไม่ได้รับถ่ายทอดตัวอย่างอะไรมาเลย เพราะรู้สึกว่าทำไม่ได้ ทุกองค์เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เช่นเขามาตามอาจารย์ครูศักดิ์ตี ๑ ตี ๒ ท่านก็ไป อย่างนั้นเราทำไม่ได้
อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์เคยมองว่าแบบนี้ ๆ ไม่ดีเราจะไม่ทำตามอย่างนี้มีไหมครับ
ไม่มี เพราะเราไม่มองแง่อย่างนั้นเลย ท่านเหล่านี้จะเสียหายในทางวินัยก็ไม่มี จะเสียหายในทางสะสมก็ไม่มี ทีนี้มันเรื่องเกร็ด ครั้งหนึ่งมันมีหนังตะลุงที่มีชื่อเสียงมาจากถิ่นอื่น แล้วมีนักเลงที่ไหนไม่รู้ ไปหลอกคนเชิดหนังตะลุงให้ดำเนินเรื่องว่า อาจารย์เหม็นกับอาจารย์ทุ่มไปสวดศพด้วยกัน แล้วก็ทะเลาะกันจนชกต่อยกันด้วยเรื่องเงินที่เขาถวาย เด็ก ๆ นี่ชอบดูมาก ไอ้หนังตะลุงนี่มันโง่คิดว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา มันก็เล่นไปอย่างนั้น ปรากฏว่าเกิดเรื่องใหญ่สั่นทั่วไปทั้งบ้านทั้งเมือง จนกระทั่งรู้ไปถึงอาจารย์เอง อาจารย์เหม็นบอกว่า "ช่างหัวแม่มัน" (เฮ่อ ๆ ๆ ๆ) แต่ท่านอาจารย์ปลัดทุ่มโกรธ ไม่ยอม ใช้คนไปบอกนายหนังตะลุงว่าให้ท่านเอามือแตะแก้มหรือตบแก้มเบา ๆ ทีเดียวเป็นการลงโทษ เพราะท่านเชื่อว่าถ้าเอามือแตะแก้มเบาๆ เท่านั้น ต่อไปมันจะเล่นหนังไม่ได้ จะกลายเป็นคนบ้าบอไปเลย ไอ้นายหนังนั้นมันไม่ยอม มันกลัวมันไม่เอา จนเรื่องถึงอำเภอจึงได้ยุติ"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 54
ตอนที่ 19 ภาพหน้าที่ 54-57
"ชีวิตเมื่อบวชแล้วของอาจารย์เป็นอย่างไรบ้างฮะ ตั้งแต่ความรู้สึกต่อความสัมพันธ์กับทางบ้านเป็นต้นไป
พอผมบวชแล้วมันก็ไม่ค่อยมีเวลา ง่วนอยู่กับการเทศน์บ้าง การเล่าเรียนบ้าง ไม่ค่อยได้นึกถึงบ้านไม่ค่อยได้มาเยี่ยมบ้านบางทีเป็นปีเป็นเดือนไม่เคยมาบ้าน อย่างตอนไปอยู่กรุงเทพฯ ครั้งหลัง ๒ ปีเมื่อกลับมาจำน้องสาวไม่ได้ มันโตเป็นสาวมันอ้วนด้วยก็เลยไม่รู้ว่าใคร ต่อเมื่อมันพูดจึงรู้ว่าอ้อ
เรื่องทางบ้านไม่ได้สนใจกันเลย เหมือนกับไม่ได้มีอยู่ในโลก ตอนอยู่วัดใหม่พุมเรียงก็เรียนนักธรรมที่วัดเหนือ (โพธาราม) พอกลับมาถึงวัดก็ทำงานทุกอย่างที่จะทำได้ โดยมากก็ต้องดูหนังสือเทศน์ ต้องเตรียมไว้ตั้งแต่กลางคืน พอกลับมาจากเรียนนักธรรมก็ขึ้นเทศน์ ในพรรษาเทศน์ทุกวัน ผมบวชได้ไม่กี่วันก็ขึ้นเทศน์ชาวบ้านเกิดชอบอาจารย์ที่เป็นสมภารก็เลยหนุนให้เทศน์ทุกวันแทนสมภาร คนฟังก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ผิดจากแต่ก่อน เพราะว่าการเทศน์มันไม่เหมือนเดิม มันครึ่งสมัยใหม่ครึ่งสมัยเก่า ถ้าสมภารเทศน์เองก็อ่านคัมภีร์ใบลาน อ่านกันมาไม่รู้กี่เที่ยวแล้ว (ฮี ๆ ๆ) ผมเทศน์ก็เอาใบลานไปถืออ่านเหมือนกัน ก็อ่านในนั้นบ้าง แล้วเอาข้อความที่เรียนไปจากโรงเรียนนักธรรมทุกวันไปเทศน์ประกอบขยายความ มันก็แปลก เพราะมันฟังรู้เรื่อง อ่านจากหนังสือพอเป็นเค้าเงื่อน แล้วเอาไปเล่านอกเวลาจนเขารู้เรื่องเหมือนกับหยิบไปตั้งให้เขาดู เขาฟังถูกทุกประโยค แล้วหาชาดกที่เข้ากันได้ หรือเรื่องอะไรดี ๆ มาเล่าประกอบมันก็สนุก ฟังเข้ากันได้กับเรื่องธรรมะ ก็เอาจากชาดกที่หอสมุดเขาพิมพ์ขึ้นจำหน่ายจ่ายแจกกันในสมัยนั้น บางวันพอกลับมาจากเรียนนักธรรมที่วัดเหนือก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์เลย
ตอนต่อมามันเปลี่ยนแปลงถึงกับคนฟังมาจากทุกวัด เพราะมันเล่าลือแตกตื่นกันออกไป จนต้องไปขยับขยาย สับหลีกกันเสียใหม่ให้วัดสมุหนิมิตร (วัดล่าง) เทศน์เสียก่อน แล้วถึงเป็นวัดใหม่ วัดใหม่เสร็จแล้วจึงเป็นวัดโพธาราม (วัดเหนือ) ถ้าใครศรัทธาจะฟังจริง ๆ ก็ฟังได้ทั้ง ๓ วัด ที่วัดผมก็มีคนมาฟังราว ๆ ๓๐-๔๐ บางวันก็เต็มศาลา คนที่ไม่ใช่คนแก่ก็มาฟังเพิ่มขึ้น
สมัยนั้นเรามีเทศน์แบบไม่ใช้ใบลานกันบ้างแล้ว โดยเฉพาะฝ่ายธรรมยุตในกรุงเทพฯ แต่ผมยังใช้ใบลานอยู่ ถ้าเทศน์ทุกวันก็ยังใช้ ถือเป็นสัญลักษณ์ สมัยนั้นผมเทศน์มิลินทปัญหาชนิดที่มีอยู่ในใบลานแล้วก็เอาธรรมที่ขโมยมาจากการเรียนนักธรรมใส่เข้าไปพวกแม่ชีที่ฟังประจำบอกว่า
"เอ๊ ทำไมมันจึงแปลก ๆ จากปีก่อน ๆ" ผมเทศน์จนจบคัมภีร์มิลินทปัญหาที่มีอยู่ การถือใบลานก็เพื่อรักษาธรรมเนียมไว้ พระธรรมยุตทางบ้านดอนเขาก็เริ่มกันแล้ว ผมก็มาเริ่มที่พุมเรียงเป็นการปฏิวัตินิดหน่อยไม่มากนัก"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 55
ตอนที่ 20 ภาพหน้าที่ 57-59
"....พรรษาแรก ๆที่บวชนี่ ผมนั่งทำงานจนเป็นโรคที่ชาวบ้านแถบนี้เขาเรียกว่ากระษัย สมัยปัจจุบันก็ต้องเรียกว่าโรคไต ตาเหลืองร้อนสันหลัง ปัสสาวะแดง นี่เพราะเรามันบ้า นั่งเขียนนั่งอ่าน หนังสือก็มีไม่มาก แต่เรานั่งคัดลอก ซ้อมแต่งกระทู้ เช้าเย็นก็นั่งทำวัตรกันอีกยาว ๆ ราวชั่วโมงจึงเสร็จ ไปโรงเรียนก็นั่งอีก จนไตทำงานไม่ปกติ แต่มันก็แก้ไขได้โดยธรรมชาติ เช่นการเหยียบ นอนคว่ำให้เด็ก ๆ เหยียบหลังตรงสะเอวตรงก้นกบ นี่มีผลมาก เอาส้นเน้น ๆ ลงไปที่ตรงนั้น มันหลวมอ่อนไปก็ได้ผล ในที่สุดมักจะกินยา ก็ยาแผนโบราณ พวกขี้เหล็ก ลันเตา แสมสาน ต้มกินสักหม้อสองหม้อ ปัสสาวะเหลือง พรรษาต่อ ๆ มามันเปลี่ยนไปเอง มันเข้ารูปเอง มันรักษาตัวเองได้
อาจารย์ครับ สมัยนั้นใครเป็นสมภารครับ และท่านปกครองวัดอย่างไร
สมภารชื่อนาค ธมฺมนนฺโท เนื่องจากท่านพรรษาไม่มาก การปกครองจึงเป็นไปในลักษณะเพื่อน การปกครองวัดของท่านก็ธรรมดา เพราะก็ทำไปตามธรรมเนียม ทำวัตรเช้าวัตรเย็น สวดเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน จนภาณยักษ์อะไรได้หมด นอกนั้น พระองค์บางองค์ก็อาจจะทำงานฝีมือไปตามเรื่อง ด้ามมีด ด้ามขวาน พายสำหรับพายเรือก็มี มีดจักตอกด้ามงอน ต้องหาไม้ดี ๆ ลายสวย ๆ มาทำ หรือทำหัวตะบันให้คุณยาย เอาหอยมือเสือตรงข้างโคน สกัดออกมาเป็นรูปกลมเหมือนกับไข่ ทำยากมาก พระที่สวด ๆ ฉัน ๆ กิน ๆ นอน ๆ ก็มีเหมือนกัน นาน ๆ มีองค์หนึ่ง มันทนอยู่ไม่ค่อยได้ เมื่อเห็นเพื่อนเขาทำกัน เล่นหมากรุกก็มีบ้างเป็นบางองค์แต่ไม่ได้เล่นตลอดไป บางทีก็มีงานของวัดที่ต้องช่วยกัน ในปีที่ผมบวชนั้นมีการก่อสร้าง ต้องไปหาไม้จากเขตป่า ทางโมถ่ายปากหมาก ผมก็เคยไป ท่านสมภารพาไปเป็นเพื่อน ไปหาสมภารที่อยู่ทางโน้นท่านเป็นผู้เฒ่ามีลูกหลานมาก สามารถกะเกณฑ์คือขอแรงชาวบ้านตัดโค่นให้ แล้วก็ล่องมาตามคลองที่ผ่านวัดพระบรมธาตุฯ ออกทะเลเข้าคลองพุมเรียงมาถึงหน้าวัด พรรษานั้นก็ได้หัดเลื่อยไม้กัน
อาจารย์ครับ นอกจากการเรียนนักธรรม การเทศน์แล้วของเล่นอย่างอื่นของอาจารย์มีอะไรอีกบ้างไหมครับ
(หยุดคิดระยะหนึ่ง แล้วหัวเราะเบา ๆ) มันมีอยู่อย่างหนึ่ง ผมออกหนังสือพิมพ์เถื่อนเป็นกระดาษฟุลสแก็ป ๒ คู่ (ฮะ ๆ ๆ - เบา ๆ) มันเป็นเรื่องสนุกเท่านั้น เราเขียนก่อนสวดมนต์ตอนค่ำ พอพระสวดมนต์เสร็จ เราก็เอามาให้อ่านกัน เขาอ่านแล้วหัวเราะวิพากษ์วิจารณ์กัน เรามีความอวดดี ที่จะทำให้คนอื่นเขาหัวเราะได้รู้สึกว่ามันทำให้เพื่อนสบายใจ จิตมันเป็นบุญเป็นกุศล ไม่ได้คำนึงถึงสาระอะไรในตอนแรก"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 57
ตอนที่ 21 ภาพหน้าที่ 60-62
"อาจารย์ช่วยวิเคราะห์เรื่องที่ไม่สึกอีกหน่อยซิครับ
ตอนแรกที่ตั้งใจจะบวช ๓ เดือน พอพ้นข้อผูกพันทางประเพณีให้แม่ ให้โยมแม่ แล้วมันยังสนุกอยู่อย่างที่ว่ามาแล้ว แต่ก็สนุกในเรื่องของพระนะ มีแต่คนตามใจ คอยเอาอกเอาใจ ทำอะไรก็ได้ เล่นอะไรก็ได้ยังสนุกอยู่ก็ยังไม่คิดสึก มันไม่ต้องห่วงทางบ้านด้วย เพราะราวเดือนมีนาคม (๒๔๗๐) นายธรรมทาสเขาปิดเทอม เขาก็มาอยู่บ้านแล้วไม่ไปเรียนต่อ ก็มีคนรับผิดชอบเรื่องที่บ้าน เรื่องโยมหญิง ผมไม่สึกก็ไม่เป็นปัญหาอะไร แล้วแผนการสึก ๆ อะไรก็ยังไม่มี
เมื่อไม่สึกแล้วอย่างไรต่อครับ
เมื่อไม่สึก พอเข้าพรรษา ๒ (๒๔๗๐) ก็เรียนนักธรรมโทต่อ ชีวิตพระในพรรษาที่ ๒ กับพรรษาแรกก็ไม่แตกต่างอะไรกันมากนัก พอสอบนักธรรมโทได้ ออกพรรษาแล้วไม่นาน (ต้นปี ๒๔๗๑) ก็เดินทางไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ อาที่ชุมพรเป็นคนยัดเยียดให้ไป มันเป็นธรรมเนียมโดยมากด้วยว่าเมื่อได้นักธรรมโทแล้ว ถ้าจะเรียนต่อ เป็นโอกาสที่พอเหมาะพอดีที่จะเข้ากรุงเทพฯ พระครูชยาภิวัฒน์ (มหากลั่น) ซึ่งอยู่ทางโน้นก็เห็นว่าดี อาที่ชุมพรมีส่วนยุที่สำคัญ อยากให้เรียนมาก ๆ เพื่อเป็นเกียรติเป็นอะไรของวงศ์ตระกูลมากกว่า แต่แกไม่มีความคิดว่าจะไม่ให้สึก ถึงแม้จะสึกก็ให้เรียนมาก ๆ เข้าไว้หลายปี คงจะดีกว่ารีบสึก
ก่อนไปถึงกรุงเทพฯ เราก็เคยคิดว่า พระที่กรุงเทพฯ มันไม่เหมือนที่บ้านเรา พระกรุงเทพฯ จะดี เคยคิดว่าคนที่ได้เปรียญ ๙ คือคนที่เป็นพระอรหันต์ด้วยซ้ำไป เคยคิดว่ากรุงเทพฯ ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด ควรจะถือเป็นตัวอย่าง เคยนึกว่าพระอรหันต์เต็มไปทั้งกรุงเทพฯ ก่อนไปกรุงเทพฯ มันคิดอย่างนั้น พอไปถึงมันค่อยๆ เปลี่ยนมันเหมือนกับเดี๋ยวนี้ชาวบ้านหัวเก่า ๆ มันหาได้ ๒-๓ คน เขียนจดหมายมาทำนองว่าผมเป็นพระอรหันต์
แต่พอไปเจอจริง ๆ มันรู้ว่ามหาเปรียญมันไม่มีความหมายอะไรนัก มันก็เริ่มเบื่อ อยากสึก รู้สึกว่าเรียนที่กรุงเทพฯ มันไม่มีอะไรเป็นสาระ เรียนที่กรุงเทพฯ มันอยากจะสึกอยู่บ่อย ๆ พระเณรไม่ค่อยมีวินัยมันผิดกับบ้านนอก มันก็เป็นมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เรื่องสตางค์เรื่องผู้หญิง"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 60-61
ตอนที่ 22 ภาพหน้าที่ 62-64
อาจารย์พูดถึงพระกรุงเทพฯ ไม่เคร่งเรื่องเงินทอง แสดงว่าพระที่พุมเรียงยังดีกว่าหรือครับ
โอ๊ย มันเคร่งกว่ามาก ไม่ใช่เฉพาะที่พุมเรียงหรอก ตลอดปักษ์ใต้แหละ เคร่งกว่าที่กรุงเทพฯ มาก เรื่องเกี่ยวกับการกินการฉันก็สรวลเสเฮฮาเหมือนกับคนเมา ฮาฮาตลอดเวลาฉัน ลักษณะนั้นเราเรียนไปตั้งแต่โรงเรียนนักธรรมว่ามันใช้ไม่ได้นี่ อย่างมาต่อยไข่สดต้มไข่หวานหรือทอดประเคนกันเดี๋ยวนั้นเลย มันผิดวินัย แต่เขาทำกันเป็นธรรมดา เรียกว่ามันไม่มีอะไรที่น่าเลื่อมใสเลย ผิดกับวัดที่บ้านนอก เราก็ต้องเป็นพระที่จับสตางค์ ใช้สตางค์เหมือนเขาไปหมด ตามธรรมดาพระที่พุมเรียง สมัยผมบวชเขาไม่จับเงินจับทองกัน มีผู้ช่วยเก็บให้ แล้วมันค่อย ๆ เปลี่ยน ไม่จับแต่ต่อหน้าคน ในกรุงเทพฯ มันเป็นโรคร้ายระบาดทั่วกรุงเทพฯ อยู่หัวเมืองมันยังมีอิทธิพลในทางเคร่งครัดแบบเก่าอยู่...
เมื่อไปกรุงเทพฯ และเห็นสิ่งที่เรารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง และผมก็รู้สึกตัวเองว่าเราชักจะไปเป็นกับเขาด้วยมันก็เลยเกิดเบื่อขึ้นมา ก็อยากสึก ไปอยู่ได้ไม่กี่เดือน เป็นอันขอกลับมาสึก ทีนี้พอมาถึงพุมเรียงมันจวนเข้าพรรษาเสียแล้ว มีคนท้วงว่าไม่ดีหรอก จะเข้าพรรษาอยู่รอมร่อแล้ว สึกทำไม จึงอยู่เข้าพรรษาที่วัดใหม่พุมเรียงอีกปีหนึ่ง มันน่าเกลียดถ้าสึกตอนนั้น เพราะมันใกล้เข้าพรรษาเต็มทีแล้ว อีก ๔-๕ วันเท่านั้น พอออกพรรษาก่อนค่อยสึก พอออกพรรษาแล้วมันก็เฉยไป
มันก็น่าคิดที่ว่ามันหวุดหวิด ถ้ามันสึก มันก็ไปทำการค้า คงขยายออกไปจนไม่มีทางเกิดสวนโมกข์มันหวุดหวิดเกือบจะไม่มีสวนโมกข์ในโลก เพราะมันอาจจะสึกได้ ที่นี้มันมีอะไรมาชักจูงไปเสีย ถ้าไม่มีอย่างนี้ เราก็คงสึกเหมือนที่ตั้งใจไว้แต่ทีแรก"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 62
ตอนที่ 23 ภาพหน้าที่ 64-67
เมื่อออกพรรษาแล้ว ทำไมอาจารย์จึงไม่ได้สึกอีก
เมื่อผมสอบนักธรรมเอกได้ พอดีญาติผู้ใหญ่คือคุณนายหง้วน นามสกุลเศรษฐภักดี ซึ่งนับญาติก็เป็นอา ผมเรียกแกว่าน้า แต่แกเรียกผมว่าน้อง แกเป็นสะใภ้ของพระยาปฏินันท์ ภูมิรักษ์ เจ้าสัวบ้านดอน สามีร่ำรวย น้าหง้วนแกเกิดศรัทธาขึ้นมา บริจาคเงินสร้างโรงเรียนนักธรรมวัดพระธาตุไชยา โดยท่านพระครูเอี่ยมซึ่งอยู่ที่วัดพระธาตุนั้นเป็นผู้ดำเนินงาน ตกลงกันว่าเท่าไรเท่ากัน สมัยนั้นมันสร้างได้ด้วยเงิน ๕ พันกว่าแหละ หลังที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ หลังคาทรงไทยที่ยังใช้สอนกันอยู่นั่นแหละ พอสร้างเสร็จก็ต้องช่วยจนกระทั่งหาครูสอน ทีนี้พระครูเอี่ยมท่านรู้ว่าผมเป็นนักธรรมเอกแล้ว เขาก็ยุให้น้าหง้วนขอร้องหรือบังคับผมนั่นแหละ (หัวเราะลงคอเบา ๆ) ให้มาสอน ทั้ง ๆ ที่อาเสี้ยงที่ชุมพรไม่เห็นด้วย อยากให้รีบไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ เสียเร็ว ๆ ทีนี้ผมก็เกรงใจ เพราะฝ่ายนี้ก็มีแยะ โยมผมก็หันมาทางนี้ ผมก็เลยมาช่วยสอนนักธรรมเสียปีหนึ่ง มันจึงฆ่าเวลาไปอีกปีหนึ่งไม่ได้สึก (๒๔๗๒ พรรษาที่ ๔)
สอนนักธรรมนี้ก็สนุก สอนคนเดียว ๒ ชั้น มันคุยได้ว่าสอบได้หมด แต่ตามหลักฐานที่ปรากฏตกไปองค์หนึ่ง เพราะใบตอบหาย ก็กลายเป็นครูที่มีชื่อเสียงขึ้นมาทันที (หึ ๆ ๆ) มันสนุก เพราะเป็นของใหม่ และมันชักจะอวด ๆ อยู่ว่าเราพอทำอะไรได้ หาวิธียักย้ายสอนให้มันสนุก ไม่เหมือนกับที่เขาสอน ๆ กันอยู่ เช่นผมมีวิธีเล่า วิธีพูดให้ชวนติดตาม หรือให้ประกวดกันตอบปัญหา ทำนองชิงรางวัล นักเรียนก็เรียนกันสนุก ก็สอบได้กัน
เมื่อสอบได้อย่างนี้ น้าหง้วนก็จะให้รางวัล ในฐานะครูช่วยสอนนักธรรม ควรจะได้รางวัลบ้างทีแรกพูดกันว่าจะให้พระไตรปิฏกสัก ๑ ปิฎก สมัยนั้นทั้งไตรปิฏกเขาขายกัน ๔๕๐ บาท ๑ ปิฎกก็เท่ากับ ๑๕๐ บาท เลยบอกเขาว่าพระไตรปิฎกนั้นอย่าเพิ่งเอาเลย ถ้าอย่างไรก็เอาเงินซื้อพิมพ์ดีด น้าหงวนเขาก็ตกลงให้เงินไปซื้อพิมพ์ดีด ตอนผมขึ้นไปเรียนบาลีต่อที่กรุงเทพฯ หลังจากที่สอนนักธรรมเสร็จในปีนั้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 64-65
ตอนที่ 24 ภาพหน้าที่ 67-70
สภาพความเป็นอยู่ด้านอื่น ๆ ของพระในกรุงเทพฯ เป็นอย่างไรครับ
พระชาวกรุงจริงไม่ค่อยมี ส่วนมากเป็นชาวต่างจังหวัด มาจากทั่วประเทศ พระ ๕๐๐ รูปนี่ พระกรุงเทพฯ ๔-๕ รูปเท่านั้น ไปเรียนบาลีเรียนนักธรรมกัน ส่วนมากก็ไปเรียนแบบโลก ๆ เป็นกันเกือบทุกวัดบางวัดเช่นวัดมหาธาตุฯ นี่คุมดีหน่อย นอกนั้นก็ดูจะปล่อยตามสบายใจ
การบิณฑบาตนั้นเป็นถิ่น ๆ บางถิ่นไม่พอฉัน บางถิ่นเหลือฉัน อย่างตรงแถว ๆ ที่ผมอยู่เหลือฉัน ไปบิณฑบาตมาองค์หนึ่งก็ฉันไม่หมด ทีนี้พระ ๔-๕ องค์มารวมกันมันก็เหลือเฟือ เด็กวัดปทุมคงคาที่ไปอาศัยเรียนทางโลกก็มีหลายคน รอบวัดปทุมคงคามีคนหนาแน่น และเป็นคนไทยถือพุทธถือศาสนาจัด ๆ ก็แยะเป็นตระกูลใหญ่ ๆ ตระกูลโบราณ หลายตระกูล ตรุษจีนปีใหม่ เณรบางองค์ไปขนมาวันละ ๔-๕ บาตร คือพอเต็มกลับมาวัดแล้วไปขนมาอีก กว่าจะสิ้นเวลาบิณฑบาตมันได้ตั้ง ๔-๕ ครั้ง เพราะว่าออกบิณฑบาตตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ วันนั้น ๆ พระไม่ต้องออกบิณฑบาตก็ได้
การบิณฑบาตที่ถึงกับแย่งกันนั้นผมไม่เคยพบ แถวนั้นคนใส่มากไม่ต้องถึงกับแย่งกัน พระเณรยังมีความคิดนึกกันอยู่ จะรอกันอย่างว่ามา ๒ ข้างของโยมจะดูว่าใครมาก่อนมาหลัง บางทีเราลืมไป จำไม่ได้แน่ เพื่อนอีกฝ่ายพยักหน้าให้เข้าไปก่อน ไม่ฉวยโอกาส
มีอยู่บ้านหนึ่ง เป็นบ้านของคุณนายอุ่น ถ้าถึงวันประจำปีอะไรวันหนึ่ง จะมีพระไปยืนรอเต็มตรอกเพราะพระรู้ว่าวันนั้นเจ้าของบ้านจะใส่เงิน ๕ บาท พระเลยไปรอกัน บางองค์เอาหลายหน ข้ามมาจากฝั่งธนฯ ก็มี ผมยอมสละ ผมรอไม่ได้ รอเป็นชั่วโมง ๆ รอไม่ได้ อีกอย่างข้าง ๆ ตลาดสดมีการขายข้าวและกับ พระไปยืนรอกัน พอมีโยมมาก็ซื้อใส่บาตร ผมไม่ได้รอ เพราะไม่จำเป็นต้องรอ ยังไง ๆ ก็มีข้าวกินแน่ แล้วมันน่ารำคาญ
การเทศน์สมัยนั้นเป็นแบบไหนครับ
ที่วัดนั้นยังเทศน์ใบลาน ผมก็ไปเทศน์กับเขาครั้งหนึ่ง จำได้ว่าเทศน์เรื่องมหาวงศ์ เป็นเรื่องพงศาวดารของลังกา ประวัติศาสตร์ศาสนา เขาให้กันฑ์เทศน์ ๒๕ บาท ชาวบ้านไปฟังกันไม่กี่คน เขาทำเพื่อรักษาประเพณี และทำตามความประสงค์ของคุณนายอุ่น โปษยจินดา พ่อแม่เขาเคยทำมาอย่างนั้น จัดให้พระเทศน์ ๗ วันองค์หนึ่ง เขาไม่อยากให้มันสูญไป มาขอร้องเจ้าอาวาสก็จัดไปตามนั้น พระองค์ไหนพออ่านหนังสือได้ก็ถูกจัดขึ้นเทศน์
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 69-70
ตอนที่ 25 ภาพหน้าที่ 71-73
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์มาสนใจพวกวิทยุ กล้อง แผ่นเสียง นี่มันมาอย่างไรครับ
เราเป็นพระอุตริอยู่กันไม่กี่องค์ นายมณี สีทัด ที่สึกออกไปเขาก็เล่นอันนี้มาอยู่ตั้งแต่เป็นพระเหมือนกัน เป็นเพื่อนกันมา มันก็สนุกและมีประโยชน์แหละ เช่นเครื่องพิมพ์ดีดมันมีประโยชน์ เราไปซื้อที่มันชำรุดจากเวิ้งนครเขษมมาแก้ไขกันใช้ พอซ่อมใช้ได้ ก็ชายซื้อใหม่อีกที ก็ได้เครื่องที่ดีกว่า จนกระทั่งตอนหลังๆ พอจะซื้อของใหม่ กล้องถ่ายรูปก็เหมือนกัน กล้องแรกที่มีใช้ โกดัก เวสต้า ๑๒ บาท ซื้อที่เวิ้งนครเขษม มันก็ถ่ายได้ดี แล้วก็มาหัดล้างหัดอัดเอง มันเป็นงานง่าย ๆ น้ำยามันสำเร็จรูป ผสมมาเป็นขวดมาเติมน้ำสิบเท่าก็ล้างได้ กระดาษโปสการ์ดแผ่นละ ๑ สตางค์ ถ้าเป็นของญี่ปุ่น ๑๐๐ แผ่น ๗๕ สตางค์ อัดกันเป็นภูเขาเลากา เวลาเราไปถ่ายรูป เราก็ทำอย่างไม่จุ้นจ้าน อย่างเดี๋ยวนี้ที่เขาทำกันไม่มีเลย แล้วมันไม่ค่อยได้ถ่ายคนหรอก ถ่ายสถานที่ ถ่ายวัดอะไรเสียมากกว่า แผ่นเสียงก็เรียนภาษาบ้าง ลิงกัวโพนอะไรพวกนั้นแผ่นเสียงเพลงไม่ได้ซื้อ แต่ก็ฟังที่เขาฝากซื้อ มีคนฝากซื้อเรื่อย มันมีเรื่องน่าหัว ตอนนั้นมันอยู่กฏิสุดมุม ไม่ไกลจากกุฏิรองเจ้าอาวาสที่ดุเป็นเสือเลย ผมลืม ไปเปิดแผ่นเสียงเสียดังลั่น ท่านเดินปัง ๆ มาเปิดประตูชะโงกดู แล้วก็ยิ้มกลับไปเลย (หัวเราะลงคอ) ทุกคนคิดว่าคงจะเกิดเรื่องแล้ว แผ่นเสียงชุดนั้นดังมาก ตรากระต่าย คนร้องชื่อหม่อมเสนีย์ ดังเท่ากับขยายเสียง ส่วนใหญ่เราใช้แผ่นเสียงเรียนภาษาอังกฤษ มันก็ไม่ค่อยได้ผลหรอก แต่มันไม่รู้จะทำอะไรดี
โชคมันดีอยู่หน่อยที่มันไม่ไปสนใจเรื่องเพศ ถ้าไปสนใจเรื่องเพศคงเสร็จไปนานแล้ว คงไม่มีสวนโมกข์อย่างทุกวันนี้ พระอื่นเขาสนใจกัน และเราก็มีโอกาส แต่เพราะอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ไปสนใจ เพื่อนบางคนชวนไปเที่ยวบ้านแฟนเขา ไปฉันเพลไปอะไรกันขลุกขลัก ๆ อยู่หลายชั่วโมง สังเกตได้อย่างว่ามีมาก คนที่มีลูกสาวก็ยินดีให้คุ้นเคยคลุกคลีกับพระ สังเกตดูเขาคงแน่ใจว่าถ้าเป็นพระละก็ไม่เลวแน่ อย่างนี้มีมากคือไม่รังเกียจ ปล่อยให้คุยกันตามประสาตามพอใจจนน่าเกลียด แต่ทำกันมากก็ไม่รู้สึกว่าน่าเกลียด ความจริงมันน่าเกลียด ผมทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เป็นตัวหลักเป็นแต่พ่วงไป เขาก็ยังสนใจ มีบ้านนั้นแหละแม่เขาจะให้ลูกสาวมาเย็บจีวรให้ผมที่เผอิญมันขาดอยู่หน่อย ผมบอก "ไม่ได้ ๆๆ ไม่ต้อง ๆ ๆ ๆ” (หัวเราะ) มันไม่รู้อีโหน่อีเหน่กันเสียมั่งเลย ทั้ง ๒ ฝ่ายมันไม่รู้บาปกรรม ควรไม่ควร มันไม่รู้ มันจึงเป็นไปได้ง่าย ที่พระจะสึกออกไป พระท่านส่วนมากก็มุ่งเรียนเอาดีกรี ไปหาเงินแต่งงาน เป็นถึงเจ้าคุณชั้นธรรม ทำนั่นนี่กับผู้หญิงจนเขาจับได้ ดีที่เขาไม่จับชนิดจับสึก ก็เลยสึกเองแล้วยังไปได้กัน ยังได้ทำราชการมีหน้ามีตา ขนบธรรมเนียมประเพณีมันให้โอกาสมากนัก ที่ชาวบ้านเขาลือกันอยู่มันไม่มีใครรู้จริง ไม่มีใครติเตียน มีโอกาสไปบ้านผู้หญิงได้ทั้งกลางค่ำกลางคืน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 71 -72
ตอนที่ 26 ภาพหน้าที่ 74-76
อาจารย์ครับ ก่อนที่อาจารย์จะกลับกรุงเทพฯ มาดําเนินกิจการสวนโมกข์ อาจารย์ได้มีจดหมายมาถึงโยมธรรมทาสว่า
"การมาบ้านของฉันยังบอกไม่ได้ในเวลานี้ให้แน่นอนนัก คือฉันได้เปลี่ยนความเห็นจากเดิมอย่างเด็ดขาด แน่ใจลงไปแล้ว เนื่องแต่เป็นโชคดีที่ฉันได้พบคัมภีร์ดี ๆ พอที่ฉันจะตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด ฉันจะออกจากกรุงเทพฯ ซึ่งฉันคิดว่าควรอยู่ เป็นการออกครั้งสุดท้าย และตั้งใจจะไปหาที่สงัดปราศจากการรบกวนทั้งภายนอกและภายในสักแห่งหนึ่ง เพื่อสอบสวนค้นคว้าวิชาธรรมที่ได้เรียนมาแล้ว จะได้เพิ่มเข้าใหม่ เมื่อเรียบร้อย เป็นการฟื้นความจําและได้หลักธรรมพอที่จะเชื่อว่าการค้นคว้าของฉันไม่ผิดทางแล้ว ก็จะทิ้งตําราที่ฉันเคยรักและหอบหิ้วมาแล้วโดยไม่เหลือเลย มีชีวิตอย่างปลอดโปร่งเป็นอิสระที่สุดเพื่อค้นหาความบริสุทธิ์และความจริงต่อไป และไม่แน่ว่าจะอยู่ที่ไหน หากว่าค้นลําพังเองไม่พบแม้แต่เบื้องต้นแล้ว จึงคิดว่าจะไปสมาคมกับพวกที่อาจเป็นเหตุผลแห่งการค้นคว้า เช่น พวกโยคีในอินเดีย ตามที่คิดไว้ บัดนี้ เรากําลังรออยู่ว่า จะได้ที่สงัดที่ไหนอาศัยสักชั่วคราว เพื่อจัดการกับตําราสัก ๕-๖ เดือน…
"ฉันมีโชคดี, ซึ่งดีจนฉันรู้สึกว่ามีค่ามาก คือได้เพื่อนคนหนึ่งซึ่งมีความรู้สึก เกี่ยวด้วยชีวิตเหมือนกัน ตรงกันโดยมิได้แนะนําชี้แจงแก่กันและกันเลย เราต่างมีเข็มมุ่งหมายอย่างเดียวกันในกิจการข้างหน้า และเวลานี้มีฐานะทางกายใจเหมือนกันทุกอย่าง และถ้ายังโชคดีขึ้นไปอีกเราอาจจะได้ทําร่วมกันก็ได้
"เราตกลงใจกันแน่นอนแล้วว่า กรุงเทพฯ มิใช่เป็นที่ที่จะพบความบริสุทธิ์ เราถลําเข้าเรียนปริยัติธรรมทางเจือด้วยยศศักดิ์ เป็นผลดีให้เรารู้สึกตัวว่าเป็นการก้าวผิดไปก้าวหนึ่ง หากรู้ไม่ทันก็จะต้องก้าวผิดไปอีกหลายก้าว และยากที่จะถอนออกได้เหมือนบางคน จากการรู้ตัวว่าก้าวผิดนั่นเองทําให้พบเงื่อนว่าทําอย่างไรเราจะก้าวถูกด้วย
"เรายังพบอีกว่าการเป็นห่วงญาติพี่น้อง เพื่อนและศิษย์ เป็นการทําลายความสําเร็จแห่งการค้นหาความสุขและความบริสุทธิ์ ซึ่งเราตั้งใจพยายามจะหามาให้แก่พ่อแม่พี่น้องที่เรากําลังเป็นห่วงอยู่นั่นเอง ขืนเป็นดังนี้ เราคงตายเสียก่อนเป็นแน่ เราจะทําตามอย่างพระพุทธเจ้า ตามคําบอกเล่าของพระองค์เองว่า พระองค์ออกค้นหาความบริสุทธิ์ ทั้งขณะที่พ่อแม่พี่น้องนํ้าตาเต็มหน้า เพราะไม่อยากให้จากไป (ในบาลีแท้ยังไม่พบการหนีออกบวช) การที่เราปลงตกเช่นนี้ เป็นการทําให้เราฟรีขึ้นอีกเปลาะหนึ่ง และหวังว่าพ่อแม่พี่น้องของเรา คงจะปลงตกเช่นเดียวกัน แม้บางทีเราจะต้องจากจนไม่อาจพบกันอีกเลยก็ได้…
"เรื่องของฉัน บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ลัทธิเกลียดอลัชชีหรือเกลียดกรุงเทพฯ ได้แผ่ออกไปได้มากกว่าหนึ่งคนกลายเป็นสองคนแล้วถึงสามคน และยังมีต่อไปอีกตามลําดับ ฉันแปลกใจที่สุดเพราะไม่เคยเชื่อเลยว่าจะมีคนเชื่อและยอมทําตาม… เขากลับความเห็นได้อย่างเด็ดขาด ยอมสละเป็นลําดับ เช่นครั้งแรกไม่กลัวอาจารย์จะโกรธ ครั้งที่สองไม่กลัวพ่อแม่เสียใจ ผลที่สุดไม่กลัวตาย ขอแต่ให้ได้ดําเนินการไปในทางที่บริสุทธิ์… รู้แต่เพียงว่าที่เป็นมาแล้วและกําลังเป็นอยู่ ไม่เป็นทางที่จะพบพระพุทธเจ้าได้เท่านั้น…
"…ฉันก็มืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะไปขออาศัยสถานที่ที่ไหนเพื่อการศึกษาของเราจึงจะเหมาะ นอกจากบ้านเราเอง และไม่มีที่ไหนนอกจากบ้านเราคือที่พุมเรียง ก่อนที่อื่น จึงจําเป็นต้องขอความช่วยเหลือรบกวนในบางอย่าง คือต้องมีผู้ช่วยให้ได้โอกาสเรียนมากที่สุด และใคร ๆ จงถือเสียว่าฉันไม่ได้กลับออกมาพักอยู่ที่พุมเรียงเลย การกินอยู่ขอรบกวนให้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเล็กน้อย คือถ้าไม่อยากทําอย่างอื่น ข้าวที่ใส่บาตรจะคลุกนํ้าปลาเสียสักนิดก็จะดี ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าจะไม่รบกวนอย่างอื่นอีกเลย ฉันเป็นผู้พิสูจน์ให้เพื่อนกันเห็นว่า พระอรหันต์แทบทั้งหมดมีชีวิตอยู่ด้วยข้าวสุกที่หุงด้วยปลายข้าวสารหัก แลราดนํ้าส้มหรือนํ้าผักดองนิดหน่อยเท่านั้น เราลองกินข้าวสุกของข้าวสารที่เป็นตัวและนํ้าปลาก็ยังดีกว่านํ้าส้ม และเราลองกินอยู่เดี๋ยวนี้ รู้สึกไม่มีการขัดข้องเลยที่จะกินต่อไป…"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 74-75
ตอนที่ 27 ภาพหน้าที่ 76-80
เหตุปัจจัยอะไรทําให้อาจารย์มีความคิดไม่เหมือนกับเขาครับ
ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ที่เราสะสมมา ศึกษามา ก็มีความคิดเห็นของเรา มีความคิดที่ไม่เหมือนเขา แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเราถูกไปหมดด้วย
ผมเห็นเรื่องนี้สําคัญ เพราะวิธีแปลของอาจารย์มันเป็นเหตุให้เกิดอะไรหลายอย่างตามมา
นั้นมันมาในตอนหลัง เมื่อสอบไล่เสร็จแล้ว กลับมาพุมเรียงแล้ว มันมีความคิด ความรู้เด่นไปในทางใหม่ของเรา ครั้งเมื่อมาทําเป็นอิสระของเราเอง ไม่ใช่เพื่อสอบไล่นั้นแหละ จึงทําให้แปลได้อย่างอิสระ ไม่มีใครมาบังคับเรา
ปีแรกที่ไปเรียนกับเขามันก็ไม่เท่าไร พอปีที่ ๒ ก็เริ่มเห็นว่าไปด้วยกันไม่ค่อยได้แล้ว แต่มันก็อาศัยว่าเรียนไปมากพอสมควรแล้วจึงจะเห็นอย่างนี้ ตอนแรกเราก็พยายามให้เหมือนเขา แล้วที่ไม่เห็นด้วย เราก็พูดขึ้น แล้วมันก็ไปไม่ได้ มันจะไปตามความชอบใจของตัวเองไม่ได้ เพียงแต่ได้เคยพูดได้เคยติงไว้เท่านั้น ตัวอย่างจําไม่ได้ ขืนพูดไปเดี๋ยวก็ผิด มันดูจะเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด
ทีนี้พอมาถึงครึ่งปีหลังของการเรียน ปธ.๔ มันก็เริ่มไม่สนุก มันเรียนแบบซังกะตาย เรียนด้วยความประมาทแล้วมันเบื่อ รสนิยมมันเริ่มเปลี่ยน แต่มันนึกว่าปีนี้ต้องสอบไล่แน่ ก็ต้องเรียนแต่ไม่สนุกก็ต้องเรียกว่ามีความโลเลตามแบบของคนที่เป็นอิสระ ถ้าเป็นเณรเล็ก ๆ นี่ ทําไม่ได้หรอก อาจารย์ตีตายเลย มันเปลี่ยนด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง เดี๋ยวนั้นเดี๋ยวนี้ เรียกว่าฟุ้งซ่านแหละ
การศึกษาพระไตรปิฎกโดยตรงระยะแรก อาจารย์ศึกษาอย่างไรครับ
อ่านพระสูตรที่เขาแปลมาลงไว้ในหนังสือพิมพ์ธรรมจักษุ
อาจารย์เริ่มอ่านธรรมจักษุเมื่อไรครับ
ธรรมจักษุรุ่นก่อนอ่านตั้งแต่แรกบวช เป็นยุคของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ โน่น มีอยู่ในตู้หนังสือวัดใหม่พุมเรียงที่ผมอยู่ ในนั้นก็มีการแปลสํานวนต่าง ๆ กันของพระผู้ใหญ่สมัยนั้น และยังมีเทศน์มีการเขียนในลักษณะบรรยายธรรม เป็นหนังสือของนักคิดนักเขียนในแวดวงชาววัดของสมัยนั้น ไม่ได้ออกนอกวัด
วิธีแปลของอาจารย์ ได้อิทธิพลการแปลจากธรรมจักษุ ด้วยหรือเปล่าครับ
โอ๊ะ ไม่เกี่ยวกันหรอก ถ้าจะได้อิทธิพลก็ได้อิทธิพลในแง่ที่แปลกันอย่างอิสระ ไม่ได้ในแง่การแปลตามใคร เห็นว่าแปลกันได้ตามแบบอิสระอย่างนั้น มันก็ดีเหมือนกัน เช่น ธรรมดาพระพุทธเจ้าพูดกับพระมหากัสสป ก็แปลว่า "ดูก่อนกัสสป…" มีบางองค์แปลว่า "กัสสปจ๊ะ…" มันถึงขนาดนี้ เขาก็ยังให้ลง เขาแปลให้อ่านรู้เรื่องและเป็นไทย บางทีก็เป็นไทยมากเกินไป คือสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ท่านเกณฑ์ให้เจ้าคุณต่าง ๆ คือพระเถระผู้ใหญ่แปลกันคนละสูตรสองสูตร แปลมาลงธรรมจักษุสมัยโน้นนะ แล้วพระเถระแต่ละองค์ท่านก็แปลตามพอใจสิ มันจึงต่างกันไป ทํานองคิดจะเปิดให้มีเสรีภาพ ถ้าแปลอย่างแต่ก่อนก็เหมือนกันดิกเลย ยุ่มย่าม ๆ ไปตามแบบที่แปลกันในโรงเรียน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 76-77
ตอนที่ 28 ภาพหน้าที่ 80-84
อาจารย์เริ่มปลํ้ากับวิสุทธิมรรคแล้วหรือครับยุคนั้น
ก็อ่านที่แปลไทย ซื้อเป็นชุด ๖ เล่ม ๑๐ กว่าบาท อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะว่าเขาแปลตามแบบในโรงเรียน เรียกว่าแปลเผด็จ คือแปลกันตามตัว ตามหลักวิชาไวยากรณ์ ตามที่บัญญัติไว้ในไวยากรณ์ คนธรรมดาอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง แปลรักษาคํามากเกินไป รักษาสํานวนโวหารมากเกินไป จะเรียงเอาตามชอบใจไม่ได้ หนังสือที่รวบรวมเอามาลงสวนโมกข์ก็หนังสือเหล่านี้แหละ ไม่ได้สมบูรณ์อะไร
อาจารย์ครับ ความรู้แค่ประโยค ๓ อาจารย์คิดว่าพอหรือครับในสมัยนั้น ที่จะมาค้นคว้าพระไตรปิฎกเอง
ไม่เคยนึกสงสัยเลย เพราะเรามันไม่ได้อาศัยแต่ความรู้บาลี มันอาศัยความคิดนึก การใช้เหตุผล วิธีการใช้เหตุผล หรือเหตุผลที่ยังไม่มีใครรู้สึกกัน ถึงเดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกก็ถือเอาตามตัวนั้นไม่ได้ ยิ่งบัดนี้ยิ่งเห็นว่าไม่ได้มากขึ้นทุกที ถือเอาตามตัวไม่ได้ ต้องเก็บเอาใจความ บางอันน่าจะฉีกทิ้งด้วยซํ้าไป แต่ว่าไม่พูด มันจะเกิดยุ่ง พระไตรปิฎกควรจะฉีกไปสัก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ เหลือแต่ที่มันไม่ตีกัน มันเข้ากันได้ นั่นมันลึกจริง ๆ
อาจารย์ครับ มีตอนหนึ่งในจดหมาย อาจารย์เขียนไว้ว่า "เมื่อค้นคว้าหลักธรรมจนมั่นใจแล้ว ก็จะทิ้งตําราที่เคยรักและเคยหอบหิ้วมาจนไม่เหลือเลย" แต่ตอนหลังนี่อาจารย์กลับมาอยู่กับตําราจํานวนมากมายยิ่งกว่าเก่าอีก นี่เพราะอะไรครับ
(เฮ่อ ๆ ๆ เบา ๆ) เพราะมาพบข้อเท็จจริงอันใหม่ว่า เท่าที่มีอยู่หรือใช้ ๆ กันอยู่นั้น ไม่ถูกใจเรา และเชื่อว่าคนอื่นก็รู้สึกเหมือนกัน มันอาศัยเป็นหลักโดยแท้จริงไม่ได้ จึงต้องยกเรื่องขึ้นมาใหม่ ในเรื่องการแปลข้อความในพระบาลี ความคิดจึงเกิดขึ้นมาใหม่ ถึงกับต้องแต่งหนังสือเรื่องตามรอยพระอรหันต์ และเปิดแผนกพระไตรปิฎกแปลไทยขึ้นมาอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งบัดนี้ พูดง่าย ๆ เท่าที่มีอยู่ มันไม่พอที่จะถือเป็นหลักปฏิบัติ ข้อนี้แหละทําให้ต้องมาติดตังอยู่กับหนังสือในยุคต่อมา จนกระทั่งวันนี้
ทําไมอาจารย์ใช้คําว่าติดตังครับ
เพราะติดเหนียวผูกมัดมาก ทําเข้าไปแล้วมันยิ่งผูกมัดให้ทํา อย่างที่ทําหนังสือ "…จากพระโอษฐ์" ออกมา ๓-๔ เล่มมันก็เป็นเรื่องติดตังอยู่ มันขัดกับที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะทิ้งหนังสือ กลายมาเป็นติดหนังสือมากกว่าเดิมเสียอีก
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 81
ตอนที่ 29 ภาพหน้าที่ 85-87
"อาจารย์ครับ ในหมู่พระสงฆ์สมัยนั้น เริ่มสําเหนียกกันแล้วใช่ไหมครับว่าพระสงฆ์เริ่มตามโลกไม่ทัน เป็นฝ่ายล้าสมัยไปเสียแล้ว
สําเหนียกกันแต่ในหมู่พระสงฆ์หนุ่ม ๆ คนแก่ยังไม่ยอมรับว่าล้าสมัย ก็เลยต้องเอาอย่างที่พระแก่เขาทํา ๆ กันอยู่ โดยไม่กล้าเปลี่ยนแปลง พระเถระผู้เฒ่าทั้งหลายทะนงหรือว่ายืนกรานว่าอย่างนี้ถูกแล้ว อย่าไปเปลี่ยนมันไปตามแบบของใหม่ แล้วมันก็ต่อมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พระมหาเถระชั้นสมเด็จขึ้นไป ไม่มีหัวที่จะปฏิวัติปฏิรูปอะไรหรอก ถือว่าต้องอย่างนี้ ๆ แล้วมันก็เลยอยู่อย่างนี้ ไม่กระดิกไปไหน ก็ท่านทําเองไม่ได้นี่ ไอ้สิ่งที่ก้าวหน้าท่านทําไม่เป็น ทําไม่ได้แล้วจะคุมความก้าวหน้าได้หรือ
ยุคสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ นี่ ก็นับว่าบุกเบิกมาระดับหนึ่งแล้ว ขยับเปลี่ยนแปลงขึ้นมาไม่น้อยแล้ว แต่มันไม่มีคนสานต่อ คนที่ฉลาดอย่างนั้น สามารถอย่างนั้นมันไม่มี มันไปยึดหลักตายตัวเท่าที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ได้วางเอาไว้ สักคําหนึ่งก็ไม่กล้าแตะต้องหรือแก้ไข ปัญหามันมีอยู่อย่างนี้แหละในวงการศาสนา มันมีอยู่อย่างนี้ คุณลองคิดดูเถอะ พวกหัวเก่าที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรเลยก็ยังมีอยู่มาก พวกหัวใหม่นั้นก็ยังไม่ถึงกับจะทําอะไรได้ดีจริงชัดเจนออกมาจนชนะนํ้าใจพวกหัวเก่า โดยมากถ้าพูดกันตามตรงก็คือว่าท่านเหล่านั้นสบายแล้ว มีกินมีใช้สบาย ไม่ต้องไปยุ่งอะไร ท่านสบายเสียแล้ว ถึงเดี๋ยวนี้ก็เถอะ ท่านพอใจในความสบาย ไม่ต้องทําอะไรก็มีลาภสักการะมาเรื่อย ๆ เป็นแสนเป็นล้าน พระทั้งหลายสนใจเรื่องสังคมมากกว่า สังคมกับคนรวย ไม่ได้สนใจเรื่องธรรมะธัมโม เรื่องการศึกษา ความก้าวหน้า เว้นไว้แต่มันจะให้ผลเป็นลาภสักการะ เรียกว่าตกอยู่ในยุคมัวเมาลาภสักการะ พระมีหน้ามีตาหน่อยต้องมีห้องรับแขก เหมือนกับบ้านคหบดีมีชุดบุนวมใหญ่ มันมีลาภสักการะเป็นเบื้องหน้า เป็นวัตถุประสงค์ ถึงแม้จะสนใจเรื่องการศึกษาเรื่องอะไรก็มุ่งลาภสักการะเป็นอานิสงส์ และมันยากมากที่จะมีจิตใจบริสุทธิ์เพื่อพระศาสนาให้ถูกต้องถาวร ลาภสักการะเสียงสรรเสริญเยินยอมันง่ายและเห็นชัด และดึงดูดที่สุด พระบาลีมีคําอยู่ว่า ลาภสกฺการสิโลโก มันเป็นเครื่องกระตุ้นให้ทํางาน ถึงเราก็เหมือนกันแหละ มันมีเกี่ยวข้องหรือมีอะไรกระตุ้นอยู่ส่วนหนึ่งด้วยเหมือนกัน แต่ว่าเราไม่ได้ตั้งต้นเพื่อลาภสักการะ แต่มันมามีหลัง เมื่อเราได้ทําอะไรไปแล้ว ในสังยุตตนิกายมีหลายสิบเรื่องที่แสดงตัวอย่างของพระที่เมาลาภแล้วก็เสียหายมากมาย ยํ้าทุกคําว่า มันเป็นอันตรายแก่โยคักเขมธรรม คือลาภสักการะและเสียงเยินยอเป็นอันตรายแก่การบรรลุธรรม เป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ แต่ไม่มีใครฟัง มันดื่มดํ่า มันหมายมั่นในลาภสกฺการสิโลโก ที่จริงสักครึ่งหนึ่งก็ยังดี คนละครึ่ง ด้วยจิตบริสุทธิ์ครึ่งหนึ่ง ด้วยลาภสกฺการสิโลโกครึ่งหนึ่งก็ยังดี สําหรับปุถุชน"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 85-86
ตอนที่ 30 ภาพหน้าที่ 87-89
อาจารย์ครับ แล้วทางโยมธรรมทาสนี่ก่อรูปความคิดมาอย่างไร จึงได้ตั้งคณะธรรมทานขึ้นมาแล้วมาช่วยงานอาจารย์ในภายหลัง
นายธรรมทาสเขามีนิสัยอยากส่งเสริมพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ตั้งแต่ตอนที่เขาไปเรียนเตรียมแพทย์ที่จุฬาฯ (๒๔๖๙) เขาไปพบบทความเกี่ยวกับการเผยแผ่พุทธศาสนาทางสมาคมมหาโพธิ ของธรรมปาละ และหนังสือยังอิสต์ ของญี่ปุ่น ได้เร้าใจให้เขาเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา และหาหนังสือทางพุทธศาสนามาจากหอสมุดนั้นมาอ่านเสมอ พอกลับมาบ้าน (๒๔๗๐) ก็มาตั้งหีบหนังสือให้คนอื่นอ่านกันในเวลาต่อมา (๒๔๗๒) รวบรวมหนังสือธรรมะที่หาได้ในสมัยนั้น รวมทั้ง เทศนาเสือป่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร ไทยเขษม วิสาขะ เป็นต้น ก็ก่อหวอดให้เกิดความสนใจในหมู่คนแถวนั้น ไม่กี่คนหรอก จับกลุ่มสนทนากันเรื่องจะทําพุทธศาสนาให้มันบริสุทธิ์ ให้มันถูกต้องอย่างไร ต่อมาคนเหล่านี้ก็เป็นกําลังตั้งสวนโมกข์และคณะธรรมทาน มีนายเที่ยง จันทเวช นายดาว ใจสะอาด นายฉัว วรรณกลัด นายเนิน วงศ์วานิช นายกวย กิ่วไม้แดง เป็นตัวตั้งตัวตี นายธรรมทาสเขาได้รู้จักกับชาวลังกาชื่อสิริเสนา ที่มาพักอยู่ที่บ้านท่าโพธิ์ จึงได้รู้เรื่องกิจการของสมาคมมหาโพธิ และอนาคาริกะธรรมปาละ ซึ่งพยายามฟื้นฟูพุทธศาสนาในลังกาและอินเดีย นายธรรมทาสเขาก็มีจดหมายติดต่อรับหนังสือมหาโพธิ ต่อมาก็รับ บริติชบุดดิสต์ ของสมาคมมหาโพธิ ลอนดอน บุดดิสต์ อิน อิงแลนด์ และ บุดดิสต์ แอนนวล ออฟซีลอน ทําให้เขารู้ว่าข่าวคราวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับพุทธศาสนาในต่างประเทศ แล้วก็พยายามส่งต่อมาให้ผมอ่านบ้าง แต่ผมอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ทนอ่านเพราะต้องเปิดดิกชันนารีมาก โดยมากอ่านแต่ข่าว (หัวเราะเบา ๆ) นายธรรมทาสเขาก็เอาเรื่องจากหนังสือเหล่านี้เขียนหรือแปลเป็นไทย ไปลงตามนิตยสารสมัยนั้น เช่น ศรีกรุง เดลิเมล์ ไทยเขษม เป็นต้น และเริ่มใช้นามปากกาธรรมทาส ก่อนนั้นเขาชื่อยี่เกย เมื่อผมไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว หนังสือภาษาอังกฤษที่เขารับอยู่ ถ้าฉบับไหนมันพิเศษ เขาต้องการให้อ่าน เขาก็ส่งไปให้ มันก็เป็นเรื่องที่ทําให้ได้คุยกันหรือศึกษากันอยู่บ้างเกี่ยวกับการฟื้นฟูแบบธรรมปาละนี่แหละ พอตั้งสวนโมกข์ก็เลยร่วมมือกัน
ผมมันเป็นคนใจกระด้าง ไม่ค่อยจะเชื่อว่าใครมีอะไรดีได้ง่าย ๆ ถือหลักว่าต้องดูไปก่อน บางอย่างก็ดี บางอย่างมันก็บ้าบิ่น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 87-88
ตอนที่ 31 ภาพหน้าที่ 90-93
พระโลกนาถ ภิกษุชาวอิตาเลี่ยน ผู้โด่งดัง ได้เดินทางเข้ามาเมืองไทยเมื่อปี ๒๔๗๖ เพื่อชักชวนพระภิกษุสามเณรไทย ให้ร่วมเดินทางเผยแผ่ศาสนาไปทั่วโลก ก่อให้เกิดความตื่นเต้นในหมู่พุทธบริษัทสมัยนั้นเป็นอันมาก มีพระเณรเดินทางตามพระโลกนาถจํานวนไม่น้อย ที่เด่น ๆ ได้แก่พระปัญญานันทภิกขุ พระปลัดบุญชวน เขมาภิรัตน์ และอดีตสามเณรกรุณา กุศลาสัย เป็นต้น
พระมหาเงื่อม พระหนุ่มเจ้าสํานักสวนโมกขพลารามก็ได้รับผลสะเทือนจากเหตุการณ์ครั้งนี้ น้องชายผู้ร่วมงานของท่าน เป็นผู้หนึ่งที่ติดตามและช่วยเสนอข่าวพระโลกนาถต่อสื่อมวลชนไทย ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่ตนได้รับอยู่
พระมหาเงื่อมได้เขียนบทความลงหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย ฉบับวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๔๗๖ ในนามปากกา เปรียญเด็ก มีความตอนหนึ่งว่า
"พระโลกนาถได้เดินทางมาชักชวนพระภิกษุสยามที่มีความศรัทธา ยอมเสียสละออกเดินธุดงค์ ไปเผยแผ่พุทธศาสนาที่กรุงโรมและยรุซาเล็ม และเที่ยวไปรอบโลก ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความเสียสละทุกอย่างผู้หนึ่ง แต่ทําไมข้าพเจ้าจึงไม่ไปกับพระโลกนาถ หรือไปกับพระโลกนาถไม่ได้
....ข้าพเจ้าไม่เลื่อมใสในพระโลกนาถเฉพาะอย่างหนึ่ง คือการที่ท่านตั้งนามตัวเองว่า "โลกนาถ" ซึ่งเป็นนามที่หมายเอาพระพุทธเจ้าจําพวกเดียวเท่านั้น ถ้าใจของข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านรูปนี้เป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะไปกับท่านทันที แต่บัดนี้ข้าพเจ้ายังไม่เชื่อ ทําให้เกิดความรังเกียจเล็กน้อย....
ทั้งบางคราวยังลังเลว่า เราควรรอดูการกระทําของผู้ที่อ้างตัวเป็นพระอรหันต์โดยอ้อมผู้นี้ ไปก่อนจะดีกว่ากระมัง"
อาจารย์รู้สึกอย่างไรต่อขบวนการของโลกนาถและธรรมปาละละครับ
มันก็ไม่รู้สึกอย่างไร ข่าวเขามาทางมหาโพธิก่อนแล้ว เมื่อแกเข้ามาในกรุงเทพฯ เคยมาดังอยู่พักหนึ่ง คุณสัญญา ธรรมศักดิ์นี่ก็เป็นผู้สนับสนุนมาก พระราชธรรมนิเทศวิ่งสนับสนุนมาก หลงขนาดยอมจัดให้ทุกอย่าง ผมเคยพบกับโลกนาถคราวหนึ่งที่วัดบวรฯ แกพักที่วัดบวรฯ คุณสัญญาพาผมไปเยี่ยม เขาคงจะพูดกันแล้วว่าถ้าได้ผมไปด้วยจะดีมาก พอพบกันแกก็พยายามจะให้ผมไปด้วยให้ได้ ผมไม่เอา ตอบสั้น ๆว่ายังมีงานในเมืองไทย อยากจะเผยแพร่ในเมืองไทย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 90
ตอนที่ 32 ภาพหน้าที่ 93-96
"พระเถระในพุมเรียงรู้สึกอย่างไรครับ เมื่ออาจารย์กลับมาตั้งสวนโมกข์
ไม่มีหรอกที่ต่อต้าน เพราะว่าเขาเชื่อภูมิเรา อาจารย์ผู้เฒ่าทั้งหลายนี่เขาเชื่อภูมิเรา อาจารย์ครูศักดิ์ก็เชื่อว่าผมคงจะทําถูก (หัวเราะลงคอ) แล้วมันจะมีใคร พระเถระผู้ใหญ่ก็มี ๒-๓ องค์ โยมผู้หญิงก็ไว้ใจเสียว่าคงจะต้องทําถูก มันมีอุบาสกคนหนึ่ง เป็นอุบาสกวัดโพธาราม เขาอยากจะเด่นจะดังอยู่เหมือนกันในทางผู้นํา พอเราแสดงบทบาทออกมาอย่างนี้ เขากลัวว่าจะทับถม ดูเหมือนจะเป็นคนแรกหรือเสียงแรกที่ว่ามีพระบ้าที่สวนโมกข์ พระที่สวนโมกข์เป็นพระบ้า แล้วเด็ก ๆ มันก็พูดตาม แกเป็นหัวหน้าอุบาสกของวัดโพธารามและคล้าย ๆ ของพุมเรียง ทั้งพุมเรียงเขาให้เกียรติคน ๆ นี้ แกเป็นผู้เริ่มจุดชนวนว่าพระสวนโมกข์เป็นพระบ้า เข้าใจว่าเป็นธรรมดาที่สุด ธรรมชาติที่สุด ที่จะต้องเกิดความคิดเห็นอย่างนี้
ตอนอาจารย์มาตั้งสวนโมกข์แล้วนี่ ท่านพระครูชยาภิวัฒน์ยังสนิทสนมกับอาจารย์ดีอยู่หรือครับ
อ้าว ก็ไม่มีเรื่องอะไรนี่ ท่านกลับมาทีหลังผมตั้งสวนโมกข์แล้ว ๒ ปี มาเปิดสอนบาลีที่วัดใหม่ กับผมไม่มีเรื่องหรอก แต่นายเนิน วงศ์วานิช ลูกศิษย์นายนรินทร์เคยรุกรานท่านว่าไม่เคร่งไม่ครัดตามแบบนายนรินทร์ เอาข้อหาของนายนรินทร์ไปยัดใส่ท่าน ตอนนั้นท่านโกรธ แต่ก่อนท่านเคยเป็นเพื่อนอยู่กรุงเทพฯ ด้วยกัน ไปอยู่กับอาผมด้วยกันทั้งคู่เมื่ออาผมยังบวชอยู่
ตอนอาจารย์จะกลับมาตั้งสวนโมกข์นี่ อาจารย์บอกพระครูชยาภิวัฒน์ว่าอย่างไรครับ
ท่านไม่ได้สนใจ จะไม่เห็นด้วยด้วยซํ้าไป ก็เลยไม่ได้บอกอะไร ลามาเหมือนจะมาสึกมาอะไร ท่านไม่สนใจเรื่องวิปัสสนา เพราะมีความคิดเหมือนคนทั้งหลายว่ามันสิ้นสมัยแล้ว
แล้วอาจารย์ทําไมไม่เห็นว่ามันสิ้นสมัยเหมือนคนทั่วไป จากพระไตรปิฎกหรือเปล่าครับ
ไม่รู้ซิ (หัวเราะเบา ๆ) มันก็มองเห็นอยู่นี่ว่ามันส่งเสริมให้กลับไปสู่สภาพเดิมได้ ทีนี้คนที่เขาเห็นว่ากลับฟื้นฟูไม่ได้มันมาก โลกมันเปลี่ยน ฉะนั้นจึงเขียนหนังสือตามรอยพระอรหันต์แบบให้เห็นว่าชีวิตแบบนี้มันเป็นไปได้ "
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 93
ตอนที่ 33 ภาพหน้าที่ 97-100
จุดเริ่มต้นของงานยาวไกล
จนถึงนาทีที่มีความรู้สึกนี้
และลาโลกไปค้นหาสิ่งที่บริสุทธิ์
บางตอนจากจดหมายที่เขียนถึงนายยี่เกย (ธรรมทาส) ผู้น้องชาย
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะกลับบ้านเกิด
ครับ ทีนี้ขอให้อาจารย์กรุณาเล่าตอนบุกเบิกเริ่มตั้งสวนโมกข์อย่างละเอียดด้วยครับ ตั้งแต่การหาสถานที่จนเข้าไปอยู่ เริ่มจัดสร้างสิ่งจำเป็นต่าง ๆ เป็นต้นไป
พอเราลงมาจากกรุงเทพฯ (ปลายปี ๒๔๗๔) ก็มาพักอยู่ที่วัดใหม่ (พุมเรียง) ซึ่งเคยอยู่มาก่อนตั้งแต่ต้น โดยได้ติดต่อทางจดหมายกับนายธรรมทาสแล้วว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไร มาถึงก็พักอยู่ที่ในโบสถ์วัดใหม่ เพราะมันสะดวกหลายอย่างเงียบดีด้วย แล้วก็มีเณรตามมาด้วยองค์หนึ่งอยู่ด้วยกันสักเดือน พ่อบังคับให้กลับ ถูกจดหมายพ่อเรียกกลับก่อน ไม่ทันย้ายไปอยู่สวนโมกข์
เมื่อลงมาแล้วก็เริ่มหาที่ที่เหมาะสม โดยมีคณะอุบาสกธรรมทาน ๔-๕ คน เป็นคนออกไปสำรวจ ไม่นานนัก สักเดือนกว่า ๆ จึงตกลงกันว่าจะใช้วัดร้างชื่อวัดตระพังจิก เป็นวัดที่ผมไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไป พวกนายเที่ยง นายกวย พวกนี้เขารู้มาอย่างไรก็ไม่ทราบ แล้วก็แนะกันไปดู ไปดูครั้งเดียวเห็นว่าพอใช้ได้ก็เอาเลย ต่อจากนั้นเขาก็ไปทำที่พักให้ง่าย ๆ หลังพระพุทธรูป
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 97-98
ตอนที่ 34 ภาพหน้าที่ 101-103
อาจารย์ครับ ทีนี้กลับมาที่การบุกเบิกสวนโมกข์นะครับ อาจารย์เริ่มอย่างไรครับ มีการประกาศให้ใครต่อใครรู้วัตถุประสงค์หรือเปล่าครับ
นอกจากชาวคณะธรรมทานของนายธรรมทาส ๔-๕ คนแล้ว ก็ไม่ได้บอกใคร เป็นเรื่องไม่เปิดเผย เป็นเรื่องส่วนตัว จนกว่าจะไปอยู่วัดตระพังจิกแล้ว จึงค่อย ๆ ทราบกันขึ้น บอกกันเอง
ตอนอยู่วัดใหม่ (พุมเรียง) เดือนกว่า ๆ ก็ดูจะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เที่ยวคุยตามเพื่อนฝูง (หัวเราะฮ่ะ ๆ) กับโยมผู้หญิงก็ยังไม่ได้คุย เรื่องการสร้างวัดป่าแบบกรรมฐานยังไม่เป็นที่รู้จักของคนแถบนี้
ทีนี้พอจะเข้าไปอยู่ก็ต้องสร้างที่พัก ก็คณะตากวย ลุงเที่ยงนี่แหละเขาช่วยกันทำ ลุงเที่ยงแกเป็นช่างไม้ธรรมดา พอทำได้ ทำแบบนี้มันง่าย ๆ แต่เดิมมันมีหลังคาสังกะสีมุงพระพุทธรูปไว้นิดหน่อยพอไม่ให้ถูกฝน ข้างหน้าพอนั่งไหว้พระได้ ที่พักของเราก็ทำเป็นเพิงต่อออกไปจากหลังพระพุทธรูป พาดจากขื่อแล้วต่อออกไป มุงด้วยจาก กั้นด้วยจาก นอนด้วยแคร่ แบบแคร่ไม้ไผ่นั่นแหละ แต่ทำด้วยกระดาน มีเสาค้ำกว้างยาวพอนอนพอดี อยู่คนเดียวด้วย พื้นก็เป็นพื้นดิน แสงสว่างเพียงพอ เพราะผนังตอนใกล้ ๆ หลังคาปล่อยโล่งไว้ แล้วก็ทำตู้ใส่หนังสือโดยเฉพาะ ทำแบบชนิดที่แลดูแต่ไกลเหมือนกับโลงศพ (หัวเราะเบา ๆ) ข้างในเป็น ๒ ชั้น เปิดด้านข้างได้ เปิดข้างบนก็ได้ ตอนย้ายจากสวนโมกข์เก่ามาที่นี่ได้เอามาด้วย แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว ตู้หนังสือแบบโลงนี้ก็ตั้งบนเสา ขนานกับหลังพระพุทธรูป แคร่นอนก็อยู่ด้านเหนือ ตั้งฉากกับตู้นี้
ช่วยกันทำอยู่ ๒ วันก็เสร็จ จากก็ซื้อเอา เขาเย็บขายกันเยอะแยะไป มันทำง่ายไม่มีอะไรมาก ปักไม้แล้วกั้นจาก มัดๆ ก็เสร็จ เว้นช่องยาวเหมือนหน้าต่างไว้ด้านที่ใช้นอน แล้วห้อยไว้ด้วยสบง
อาจารย์ครับ แล้วห้องน้ำห้องส้วมทำอย่างไรครับ
ห้องน้ำไม่ต้องทำ ห้องส้วมทำ น้ำอาบน้ำใช้ก็ขุดบ่อเล็ก ๆ อยู่เกือบสุดแดนตะวันออก ตรงที่มีคูเลี้ยวมุมคูมีตอมะพร้าวอยู่ ขุดโคนมะพร้าวลงไป ผมไม่ได้ขุดเองหรอก คณะอุบาสกนั่นแหละช่วยกันทำแบบหล่อ ในนั้นเขามีแบบหล่ออยู่ที่บ้านดูเหมือนลึกสัก 3 ปล้องเวลาอาบน้ำก็อาบที่นี่น้อยครั้งที่จะไปอาบในสระ เพราะมันมีปลิง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 101
ตอนที่ 35 ภาพหน้าที่ 104-109
"อาจารย์ครับ ชื่อสวนโมกข์ นี่ได้มาอย่างไรครับ
(หัวเราะ) มันก็เป็นธรรมดาแหละ ที่จะต้องตั้งชื่อ แต่ว่าเรื่องชื่อสวนโมกข์นี่ นายธรรมทาสเขาไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือไม่มีสิทธิ์ที่จะเกี่ยวข้อง ว่าจะตั้งชื่ออะไร เราว่าไปคนเดียว คิด คิด คิดไปตามไอ้หลักเกณฑ์ หรือตามถ้อยคำที่มีใช้อยู่ และเพื่อขบขันบ้าง เรามันมีนิสัยฮิวเมอริสท์อยู่บ้าง ฟลุคที่ว่ามันมีต้นโมกและต้นพลาที่สวนโมกข์เก่านั่น ต้นโมกนี่ยังอยู่ที่หน้าโบสถ์หลายต้น และ ต้นพลาที่มีอยู่ทั่ว ๆ ไป ต้นโมกกับต้นพลา เอาโมกกับพลามาต่อกันเข้า (หัวเราะ) มันก็ได้ความเต็มว่ากำลังแห่งความหลุดพ้น พลังแห่งความหลุดพ้น ส่วนคำว่าอารามย่อมธรรมดา แปลว่าที่ร่มรื่น ที่รื่นรมย์ เมื่อมันฟลุคอย่างนี้มันก็ออกมาจริงจัง ตรงกับความหมายแท้จริงของธรรมะ วัตถุประสงค์ก็คือโมกข์ สถานที่อันเป็นพลังเพื่อโมกขะ ก็เหมาะแล้ว เมื่อแรกเสนอขึ้นมา เขาฟังขัดหูกันทั้งนั้นแหละ แปลก หรือว่าขัด ๆ หูไม่รู้ อะไร โมกข-พลา ต้องอธิบายให้รู้ว่า ธรรมะคือ อย่างนั้น มีความหลุดพ้นเป็นวัตถุที่พึงประสงค์ จึงเกิดวัดชนิดที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความหลุดพ้น เรียกว่า โมกขพลาราม
อาจารย์คิดปั๊บ เอาชื่อเดียวเลย หรือว่ามีชื่อให้เลือกหลายชื่อครับ
เท่าที่นึกออก คิดทีเดียว ชื่อเดียว ทีเดียว
(บริเวณโดยรอบสวนโมกข์จะมีต้นโมกและต้นพลา อันเป็นที่มาของนาม "สวนโมกขพลาราม)"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 104
ตอนที่ 36 ภาพหน้าที่ 110-113
ชีวิตพระอีกแบบหนึ่ง
"อาจารย์ครับ ระยะแรกที่อาจารย์อยู่คนเดียวนี่ มีกิจวัตรประจำวันอะไรบ้างครับ
ไหว้พระเช้าเย็น แล้วก็อ่านหนังสือบ้าง ไปเที่ยวตามป่าใกล้ ๆ นั้นบ้าง ไม่เรียกว่าเป็นกิจวัตรได้เท่าไรนัก ทำวัตรเช้าตอนหัวรุ่ง แล้วก็ออกบิณฑบาต ในตลาดพุมเรียงนั้นแหละ เรากะเวลาออกหลังจากพระอื่นเขากลับหมดแล้ว เพื่อจะได้ไม่ต้องเดินหลบ เดินหลีกกัน เวลาสวนทางกันจะได้รักษาความสงบเงียบได้ด้วย ออกจากวัดก็เดินเรื่อย ๆ ตรงไปถึงบ้านโยม แล้วก็กลับ เพราะมีห่อกับข้าวตุงนังเต็มบาตร ไปอีกไม่ได้ บ้านโยมกับบ้านแม่เจี้ยมตรงกันข้ามจะใส่กับข้าวเป็นประจำ ทำกระทงแล้วห่อใส่ใบตองกลัดไม้กลัดแบบห่อขนม บ้านอื่นส่วนมากก็ใส่ข้าวเปล่า มีบางบ้านที่ใส่กับข้าวบ้างแต่ไม่ประจำ ตอนหลังเมื่อมีพระเพิ่มขึ้น ก็มีบ้านน้าเอี่ยม บ้านป้าเล็ก ใส่ประจำเพิ่มขึ้น บางทีบ้านป้าแหวก็ใส่ด้วย
พอกลับมาถึงวัด ตากวยก็จะคอยถ่ายข้าวให้ ที่เหลือจากฉันแกก็เอาไปกินเย็น บางวันถ้าเป็นวันที่ชาวบ้านทำบุญอะไรเป็นพิเศษ เช่น ฤดูแห่พระ ชาวบ้านที่ลงไปจากบ้านทุ่ง บ้านลำไย เขาจะเดินผ่านทางหน้าวัด พอเราออกบิณฑบาตแค่หน้าประตูวัด เขาก็จะใส่ข้าวต้มที่มัดด้วยเชือกบ้าง ข้าวหลามบ้าง เสียจนเต็มบาตร ก็ไปไม่ถึงบ้านโยม วันนั้นก็ได้ฉันข้าวกับข้าวหลาม หรือข้าวต้มไป (หัวเราะเบา ๆ)
ฉันเสร็จครั้งเดียวแล้วก็ว่างไปทั้งวัน อ่านหนังสือบ้าง คุยกับคนที่ไปเยี่ยมบ้าง อย่างตากวยนี่แกก็ไปทุกวันก็คุยกันเสมอ ตากวยแกเป็นคนแปลกอย่างที่เคยเล่าแล้ว เป็นชาวบ้านนอก ชาวป่า แถบปากหมาก(ตำบลหนึ่งในไชยา) มาสนใจเรื่องของนักปราชญ์ น้อยคนจะทำได้ ตอนแก่ ๆ แกมาอยู่วัด ภรรยาแกตายแล้ว แกอยู่คนเดียว ตอนหลังดูเหมือนไปอยู่วัดหัวคู ผมก็เคยช่วยเหลือแกบ้าง ต่างคนต่างพึ่งพากันอยู่ ที่แปลกพิเศษก็คือ แกชอบเป็นชีวิตจิตใจที่จะจำเรื่องเก่า ๆ ในอดีตต่าง ๆ เสียดายตอนนั้นไม่มีเครื่องบันทึกเสียง แกเล่าไว้มาก จดไม่ไหว มันมากเหลือเกิน กาแก้ว การาม กี่องค์ ๆ อยู่วัดไหน แกจำได้หมดเรื่องเจ้านายต่าง ๆ เหตุการณ์พิเศษทางกรุงเทพฯ ใครไปใครมา เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ และก็มากด้วย
ส่วนการทำสมาธินั้น ระยะแรกผมก็ไม่ได้ทำจริงจังยังยึดถือไอ้ความรู้จากการศึกษาค้นคว้า ตอนนั้นก็เริ่มค้นพระไตรปิฎก และเริ่มเขียนตามรอยพระอรหันต์ แต่ปีแรกยังไม่ได้ออกหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ก็มีเวลาว่างมาก ออกไปเที่ยวตามป่าใกล้ ๆ บ่อย ๆ มีตาหลวงมินเป็นเพื่อนเที่ยว นับเป็นช่วงที่ประหลาดที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต มีเวลานึกคิดอะไรมาก นึกอะไรออก (หัวเราะ) ก็บันทึกไว้จดไว้ จนใช้คำว่าวิปัสสนาคือวันคืนแห่งการคิด นั่นมันผิด* ที่จริงมันควรจะพูดว่า...วิปัสสนา คือ วันคืนแห่งการดูธรรมชาติมากกว่า"
อาจารย์เดินจงกรมหรือเปล่าครับ
เดินเล่นมากกว่า เดินเล่นเมื่ออ่านหนังสือเหนื่อย ๆ ทางเข้าที่ลงจากเนินลงไปถึงโบสถ์เป็นทางตรง แต่ก่อนมีคู ๒ ข้าง เดี๋ยวนี้ลบหมดแล้ว ตรงนั้นใช้เป็นที่เดินจงกรมได้ ต่อมาเมื่อสร้างกุฏิ ๔-๕ หลังแล้ว ระหว่างกุฏิก็ทำเป็นที่เดินจงกรม แล้วทางด้านหลังป่า พื้นที่ทางตะวันตกของวัดเป็นทราย ทำเป็นที่เดินจงกรมพิเศษยาวตั้งเส้นเห็นจะได้ ทำให้กว้างวาหนึ่ง เส้นนี้เดินกันจนลึก
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 110-111
*หมายเหตุ ท่านยอมรับว่าเคยอธิบายพลาดบางเรื่อง... ดูในหน้า 211...."มันมีบ้างสัก ๑ เปอร์เซ็นต์ เรื่องหนึ่งก็คือเรื่องตายแล้วเกิด เมื่อเราเรียนนักธรรม เขาเรียนแบบสัสสตทิฏฐิ เมื่อเทศน์ก็เทศน์แบบนี้ แต่พอมาทําสวนโมกข์เข้า การศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎกช่วยให้เรารู้ว่านั่นมันผิดแล้ว ต่อมาเลยเลิกสอนแบบนั้น
อีกเรื่องคือวิปัสสนาคือการคิด ใช้คําผิด เคยพูดว่าวิปัสสนาคือวันคืนแห่งการคิด ที่ถูกต้องพูดว่าวิปัสสนาคือวันคืนแห่งการดูความจริงของธรรมชาติ คําว่าพิจารณาก็มักจะเข้าใจเป็นการคิดไปเสีย ก็เลยใช้ไปไม่ได้ วิปัสสนาคือเตรียมจิตให้ดู ดูแล้วเห็นเอง คําพูดทําให้ลําบากมาก เลยพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันมีความหมายไปคนละทางสองทาง ไม่สู้ตรงกัน "
ตอนที่ 37 ภาพหน้าที่ 113-116
"อาจารย์ครับ การใช้ชีวิตอย่างนี้ไม่ขัดกับที่อาจารย์ตั้งใจไว้หรือครับ เพราะก่อนจะลงมาอาจารย์ตั้งใจไว้แรงมาก ว่าจะมาค้นคว้าพระไตรปิฏก มาปฏิบัติธรรม
อ๋อ มันไม่ได้บังคับตายตัว บางวัน บางเวลา บางยุค บางสมัย ไม่ได้ยึดถือ ไม่ได้ผูกมัด อยากจะฟรีสักกี่วันก็ได้ ไม่มีใครบังคับ แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะบังคับ แถวบ่อน้ำร้อนนี่ก็เป็นที่ที่เคยมาเที่ยวเล่น
มาเที่ยวไกลเหมือนกันนะครับ เที่ยวแบบนี้ก็ต้องค้างสิครับ
ไม่ค้าง ค่ำกลับก็ได้ อ้อมไปลงทางล่าง แล้วจะกลับไปวัดอีกทางเป็นวงกลม
อาจารย์ครับ เที่ยวอย่างนี้สนุกอะไรหรือครับ
มันสนุกที่ว่ามันไม่เคย ไม่เคยทำ มันมีรสชาติแปลก ตาหลวงมินนี่เขาพาไปได้ทุกแห่ง ไม่ว่าจะไปไหน รู้จักทางลัด รู้จักทางตรง ฉันข้าวริมทางรถไฟก็มี บิณฑบาตที่ตลาดไชยา ชาวตลาดเขาช่วยใส่ข้าวและกับพอได้แล้วก็เดินออกมา เดินไปตามทางรถไฟ มุ่งหน้าไปทางท่าฉาง (หัวเราะ) มันเป็นประสบการณ์อันหนึ่งฉันข้าวไม่มีน้ำ น้ำไม่มีที่จะลงไปเอา ที่ทุ่งนาหรือริมทางรถไฟก็ไม่เห็น ไม่มีทางจะเอาน้ำได้ ก็เลยใช้มือรูดไปตามใบหญ้ารังไก่ ที่เขาใช้รองก้นกระจาดขนมจีน นั่นแหละ เป็นเฟินชนิดหนึ่ง เป็นหญ้าที่มีน้ำค้างเกาะมากที่สุด ทุก ๆ ใบของมันจะมีน้ำค้างหยดหนึ่ง เราเอามือลูบมาดูดกินได้ นิดหนึ่ง ๆ ๆ หลายหนก็พอเหมือนกัน ใช้ล้างมือพอเปียกก็ฉันข้าว แล้วก็ฉันน้ำค้างจากใบไม้ ออกจากพุมเรียงเช้ามืด มาสว่างบิณฑบาตที่ตลาดไชยา แล้วเดินตามทางรถไฟทำท่าจะไปท่าฉาง แต่วกกลับเสียครึ่งทางตรงเขาน้ำผุด นี่เรายังรู้สึกได้ว่าเคยกินน้ำค้างจากใบหญ้า (หัวเราะ) แต่หญ้าอื่นไม่ค่อยมี มันมีเฉพาะหญ้ารังไก่ ไปดูสิ เวลาเช้าตรงไหนมีได้ หญ้ารังไก่ที่ขึ้นกำลังงาม ใบเขียวดกนะ ทุกปลายใบจะมีหยดน้ำ เป็นหยด ๆ และใบของมันก็อุ้มน้ำดีด้วย มันตระกูลผักกูด แต่ไม่ใช่ผักกูดนะ ใบมันก็แข็ง"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 114
ตอนที่ 38 ภาพหน้าที่ 117-119
"อาจารย์ครับ เห็นอาจารย์เขียนไว้ว่า ระยะแรก ๆอาจารย์ต้องปรับจิตใจมาก เพราะเพิ่งออกจากกรุงเทพฯ ไม่นานก็เข้าไปอยู่วัดร้างคนเดียว อาจารย์ช่วยเล่าประสบการณ์ตอนนั้นไว้หน่อยครับ ว่าอาจารย์ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
อ้าวก็ต้องเปลี่ยนสิ อยู่คนเดียวขี้ขลาดนักก็ต้องปรับตัวเกี่ยวกับความขี้ขลาด มันไม่ใช่กลัวผีอย่างเด็ก ๆ กลัว มันมืด มันเงียบ มันอาจจะมีเสือก็ได้ เพราะแถวนั้นมันเคยมีเสือ แม้สมัยเมื่อเราเข้าไปอยู่นั้น มันหายไปแล้ว แต่มันก็ยังคิดว่าอาจจะมีอีกก็ได้ ความปองร้ายจากพวกมุสลิมก็ยังระวัง พวกที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ทางตะวันออกของวัด พวกนั้นเขาไม่ชอบเรานักเขาอาจเล่นแกล้งอะไรก็ได้ เพราะเราห้ามพวกเขาไม่ให้เข้าไปเก็บผัก ยิงนกตามที่เขาเคยทำกันมา ถ้าไม่ห้ามมันก็มาพลุกพล่านกันนัก แต่จริง ๆ ก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรกัน
แต่มันก็กลัวอยู่ไม่กี่วันมันก็หาย ก็เหมือนกับจับเด็กในบ้านในเมืองมาอยู่ในป่าคนเดียว มันรู้สึกอย่างไร เราก็เหมือน ๆ อย่างนั้นแหละ
ทางแก้มันก็หาทางคิดหลาย ๆ ทาง เล็ก ๆ น้อย ๆ คิดแบบสามัญสำนึกทั้งนั้นแหละ เช่นคนอื่นอยู่ได้ เราก็ควรอยู่ได้ หรือใครรู้เข้าเราก็อายตายโหงเลย หลายวันเข้า มันก็ค่อยชินขึ้น ผ่านไปคืนหนึ่งมันไม่มีอะไร มันก็ชะล่าใจขึ้น ก็ค่อย ๆ ชินไปเอง
ตอนนั้นวิธีการของพระพุทธเจ้าก็ยังไม่ค่อยจะรู้อะไร ในบางพระสูตรพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้เกี่ยวกับการแก้ความกลัว แต่ฟังดูแล้วตอนแรก ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็แย่เหมือนกัน ท่านว่า ป่านี้เหมือนริบเอาจิตใจไปหมดเลย ไม่มีจิตใจเหลือ ท่านก็ทรงแก้ด้วยวิธีง่าย ๆ คือเมื่อเกิดความกลัวขึ้นในอิริยาบถใด ก็อยู่ในอิริยาบถนั้น ที่ตรงนั้น จนไม่กลัว เกิดความกลัวขึ้นตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้นเรียกร้องให้ความกลัวมา สมมติให้มันเป็นบุคคล เรียกมันมา ในที่สุดมันก็ไม่มา โดยธรรมชาติมันไม่มี เพราะเรามันโง่ มันคิดให้กลัวไปเอง ความกลัวไม่มีตัวตน ไม่ใช่เป็นผีสาง ที่จะมาทำอะไรเรา โดยหลักแล้วก็คือ เปลี่ยนจิตใจไปคิดเรื่องอื่นเสีย ไม่ให้โอกาส ความกลัวก็ไม่เกิด ไม่ครอบงำเราได้ ผมเคยเล่าหรือเขียนไว้แล้วไม่ใช่หรือ เมื่อเด็ก ๆจะไปส้วมกลัวผี เพราะต้องเดินผ่านต้นโพธิ์ ก็นึกถึงปลากัดที่เลี้ยงไว้ ซึ่งเราเห็นตอนกลางวัน นึกเห็นเป็นภาพอุคหนิมิตติดตา ก็สามารถเดินผ่านที่น่ากลัวตรงนั้นออกไปสู่ริมคลองได้ ตอนมีเงามืดก็หลับตานึกถึงปลากัดเป็นสรณะ ฟังแล้วน่าหัว (หัวเราะ) มันเปลี่ยนความคิดได้ง่ายเพราะปลากัดมันสีสดใส แจ่มแจ้ง ชัดเจน เป็นนิมิตได้ง่าย อีกที่ที่เคยกลัวผีตอนเด็ก ๆ ก็ตอนเลี้ยงวัว เห็นวัวมันไม่กลัว มันกินหญ้า และมันอยากเข้าไปกินหญ้าตรงป่าช้าด้วย เพราะมันมีหญ้ามาก ก็เลยละอายวัวขึ้นมา และเคยรู้เรื่องหมามันไปขุดศพกินได้ เราจะมากลัวทำไม แล้วคนเรามักเอามาปนกัน เอาผีกับศพมาปนกัน ผีมันไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ซากศพ ไอ้ซากศพกับผีนั้นมันคนละเรื่อง แต่แล้วมันก็มักเอาซากศพ เอากระดูกสักชิ้น มาเป็นผีทุกที เมื่อสมัยผมเป็นเด็กนักเรียนอยู่วัดโพธาราม ที่กุฏิหลังหนึ่ง เป็นที่เก็บโกศใส่กระดูกของชาวบ้าน แมวมันทำหกบ้าง เลยเห็นกระดูกเกลื่อนอยู่ตามพื้น เด็กน้อยคนจะกล้าไปชะโงกดู บางคนกล้าเมื่อเพื่อนกล้า เราก็ชวนกันเข้าไปดู ไม่เห็นมีอะไร มีคนหนึ่ง ไม่รู้มันไปได้ความรู้มาจากไหน มันว่าจะทำให้ผีลุก ปลุกผีขึ้นมา เอาน้ำมะนาวบีบใส่กระดูก มันก็เดือด เหมือนกับดิ้นได้ กระดูกค่อนข้างใหม่มันเป็นแบบนั้นได้ ความไม่รู้ หรืออวิชชาทำให้กลัว ว่าเป็นผี ผีเคมี (หัวเราะ)"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 117 - 118
ตอนที่ 39 ภาพหน้าที่ 119-122
"สิ้นหวังนี่ หมายความว่าอาจารย์เสียใจที่สอบเปรียญ ๔ ตกหรือเปล่าฮะ เรื่องสอบตกนี่เป็นปมด้อย จนเกิดมานะที่จะแปลงานในระยะหลัง ๆ หรือเปล่าฮะ
ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน มันหมายถึงสิ้นหวังในการทำประโยชน์ ทำความก้าวหน้าแก่ชีวิต แก่สังคม เรื่องสอบตกเราไม่รู้สึกเป็นปมอะไร เรารู้สึกว่าเราเหลวไหลเอง เรียนน้อยอย่างหนึ่ง แล้วก็เที่ยวเสียบ้าง ประกอบกับเรารู้สึกว่าทำกันไม่ได้แล้ว ความรู้ความเข้าใจมันต่างกัน เราอยากแปลตามความพอใจของเรา แปลให้คนอ่านรู้เรื่อง ของหลักสูตรมันต้องแปลตามระเบียบ แปลยกศัพท์ ชาวบ้านอ่านไม่รู้เรื่อง เราไม่ชอบ ชอบแปลธรรมดา ๆ มันแยกกันทำ เราแปลแบบของเราจนเกิดสำนวนสวนโมกข์ขึ้น (หัวเราะ) ไม่ต้องไปมีมานะอะไร เราทำตามที่เราเห็นว่าน่าทำ ก็เท่านั้นเอง
อาจารย์ครับ ช่วงบุกเบิกงานใหม่ ๆ นี่ อาจารย์เคยรู้สึกหมดหวัง ท้อถอย คิดจะเลิกกลางคันบ้างหรือเปล่าครับ
ไอ้เรื่องความหมดหวังหรือท้อถอยนี่มันไม่มี เพราะมันตัดใจแล้ว เพราะมันพบทางใหม่ เพราะมันมีเรื่องให้พบใหม่ ๆ ให้แปลกออกไป ทั้งในการศึกษาค้นคว้าจากคัมภีร์ หรือตำรา ทั้งในการคิดการนึก การตีความก็พบอะไรใหม่ ๆ มันมีอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ เบื่อเรื่องหนึ่งก็พบอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องเบื่อ เรื่องล้มละลายมันจึงไม่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าที่เราคิดว่าใหม่หรือแปลกนั้นมันจะใช้ได้ทุกเรื่อง มันมีบางเรื่องที่ใช้ได้ แล้วก็หากินเลี้ยงตัวเองมาได้เรื่อย มันเป็นประโยชน์ มันเห็นได้อยู่
ถ้าจะคิดเลิกมันไม่รู้จะเลิกไปไหนเหมือนกัน และสิ่งที่ทำอยู่ มันก็กำลังมีผลอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง อยู่เรื่อย ๆ มันมีความคิดว่าจะเป็นผู้เปิดเผยสิ่งที่คนส่วนมากยังไม่รู้ เราจึงสามารถค้นของใหม่ออกมาสู่ประชาชนอยู่เสมอ ทางการพูด การแปล การขีดเขียนอะไรออกมาอยู่เสมอ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็ยังพยายามหาของใหม่ออกมาอยู่เสมอ ทำให้มีของใหม่ขึ้นในโลก ในสังคม บางอย่างเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว แต่คนอื่นเขาไม่สังเกตก็มี เมื่อรวม ๆ กันเข้า มันเกิดประโยชน์ มันก็มีกำลังใจ ยังเป็นปุถุชนก็ต้องการกำลังใจ คนที่ได้รับประโยชน์จากหนังสือ จากงานของเรา มันมีอยู่เห็นอยู่ มันก็มีกำลังใจ เขาคอยอ่าน คอยสนใจ อาเสี้ยงที่ชุมพรก็เป็นคนหนึ่ง อ่านที่เราเขียนแล้วก็แสดงความพออกพอใจมา คนอื่นก็มีอีก ไม่อยากระบุตัว (หัวเราะ)"
อาจารย์ครับ ระยะแรกสุด ดูเหมือนอาจารย์มุ่งการปฏิบัติเป็นหลัก แล้วมากลายเป็นมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมปริยัติ ส่งเสริมปฏิบัติ และเผยแผ่พระศาสนาอย่างไรครับ เป็นการกำหนดร่วมกันกับคุณธรรมทาสหรือเปล่า
มันเป็นเรื่องทีหลัง เมื่อเราออกจากกรุงเทพฯ จะมาตายเอาดาบหน้า ก็มาสังเกตว่าอะไรบ้างที่จะมีค่า ก็มาพบว่าการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยมันแทบจะไม่มี โดยเฉพาะทางปักษ์ใต้นี้ไม่มีสำนักกรรมฐาน แต่เขาพูดกันว่าทางอีสานมีอยู่บ้าง เมื่อผมออกมาเริ่มได้ยินชื่ออาจารย์มั่น อาจารย์เสาร์บ้าง แต่ทางภาคใต้ยังไม่มีเลย แต่เราก็ยังคิดว่าจะมีอะไรให้มากกว่าที่เขามี จะค้นคว้าให้พบ ให้ลึก ให้สมบูรณ์ มันจึงลงมือแต่งตามรอยพระอรหันต์ ไปสังเกตดูเถอะ ในนั้นมันมีความสมบูรณ์ของการปฏิบัติ ทั้งนี้เพราะค้นคว้าสำหรับไว้ใช้เองด้วย เพื่อตามรอยเอง เพื่อใช้กับตัวเอง แล้วก็เห็นว่าคนอื่นเขาก็ใช้ได้ ก็เลยให้พิมพ์ ให้โฆษณาออกไป มันเป็นตอนต้น ๆ ก่อนสมาธิภาวนา ที่เขียนไปอย่างละเอียด พอถึงตอนสมาธิภาวนา มันก็ขี้เกียจเขียนเสียแล้ว จึงทิ้งระยะไว้ช่วงหนึ่ง ตอนหลังถึงมาค้นคว้า พบระบบสมาธิภาวนาอย่างละเอียด ครั้นจะเอาไปเขียนต่อชนกับตามรอยพระอรหันต์ มันก็ไม่สนิทเสียแล้ว เพราะมันมากมายจนเอาไปต่อกับเล่มเล็ก ๆ นั้นไม่ได้ เลยพิมพ์แยกต่างหากเป็น “อานาปานสติฉบับสมบูรณ์” (๒๕๐๒) ตอนหลังสุดนี้ก็เอามาพิมพ์รวมในชุดธรรมโฆษณ์แล้ว เรื่องตามรอยพระอรหันต์ก็เลยค้างเติ่งไว้อย่างนั้น มันเป็นการศึกษาค้นคว้าเพื่อดูว่าคนโบราณเขาทำกันอย่างไร เอามารวบรวมให้สมบูรณ์
เราทำไป นายธรรมทาสก็ทำไปตามที่เขาถนัด ตอนหลังพอจะมาออกหนังสือ ก็มาดูว่ากิจกรรมที่ทำไปมันมีอะไรบ้าง มันก็เห็นว่าอ้อ เราแบ่งได้เป็น ๓ แผนก ๓ แขนง คือส่งเสริมปริยัติ ส่งเสริมปฏิบัติ แล้วก็เผยแผ่ ก็ทำงานอุดมคตินี้เรื่อย ๆ มา มากขึ้นมากขึ้น จนบัดนี้"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 119 -121
ตอนที่ 40 ภาพหน้าที่ 122-125
"อาจารย์ครับ แรกสุดอยู่หลังโบสถ์แล้วต่อมาขยับขยายอย่างไรครับ
ผมอยู่หลังโบสถ์ปีกว่าเห็นจะได้ ต่อมาเมื่อเริ่มทําหนังสืออะไรจริงจังขึ้น ก็ต้องการจะอยู่พ้นปลวกเสียที ก็มาทําหลังที่ ๒ ตรงขอบสระเล็กออกไปทางทิศตะวันตก ใต้ต้นมอด ทําด้วยสังกะสีทั้งหลัง ดูเหมือนน้าหง้วนจะเป็นคนออกค่าสังกะสีให้ ทั้งหลังก็ใช้สังกะสี ๒๕ บาทเท่านั้น กว้าง ๒ ศอก ยาววาหนี่ง สูงก็จะวาหนึ่งด้วย ตั้งอยู่บนเสา ปักเสาแล้ววางบนเสา สูงเทียมอก ต่อมาย้ายมาที่นี่ด้วย เอามาวางสูงจนคนรอดใต้ถุนได้ ดูเหมือนจะเอามาวางตรงลาน ตรงกับหินโค้งเดี๋ยวนี้ ข้างทางที่จะขึ้นเขาพุทธทอง ตอนนี้ผุพังไปหมดแล้ว ที่สวนโมกข์เก่า ผมอยู่หลังนี้นานที่สุด เขียนหนังสืออยู่ที่นี่เกือบ ๑๐ ปี เตียงนอนเป็นโต๊ะเขียนหนังสือไปในตัว หลังอื่น ๆ ก็ทําแบบเดียวกันนี้ ฝาเปิดออกได้ทุกด้านจากระดับขอบเตียงพอดี ใช้ไม้ยันออกไป ต้นมอดดูเหมือนจะตายไปแล้ว นกขุนทองป่าชอบกินลูกของต้นนี้เข้าไปทั้งลูก ครู่เดียวก็ถ่ายเม็ดออกมาลงบนหลังคา นกขุนทองมันจะมากินไปพลางย่อยไปพลางถ่ายไปพลาง ถ้ามาหลายตัวเราต้องอดทนอย่างยิ่ง มันถ่ายลงบนหลังคาสังกะสีโพ้งพั้ง ๆ ๆ ๆ เราต้องทําใจเป็นพิเศษมันจึงจะเขียนหนังสือได้ เราไม่ไล่มันไปเพราะมันส่งเสียงร้องเพราะดี นกขุนทองนี่ถ้ามันมากันเป็นฝูง ๆ มันร้องเพราะเหมือนกัน ตัวหนึ่งร้องเสียงสูง ตัวหนึ่งร้องเสียงตํ่า มันร้องประสานกัน โว้ง หว่อง หว่อง โว้ง มาทีเดียว ๒๐ ตัวก็เคยมี
ต่อมาก็สร้างกุฏิตรงเนินสูงหลังหนึ่ง เป็นหลังสูง แล้วก็ที่ตรงยางสมเด็จอีกหลังหนึ่ง ท่านปัญญาอยู่ที่หลังยางสมเด็จนี่แหละ ท่านบุญชวน (พระราชรัตนกวี - ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะจังหวัดชุมพร) อยู่หลังสุดนั่น ใต้ถุนใช้เป็นที่นั่งประชุมบ้าง ทีนี้เขาก็ทําไม้ล้วนอีก ๔ หลัง เผื่อเหลือเผื่อขาด เผื่อแขกมาพักบ้าง จําได้ว่าสวนโมกข์เก่านี่มีกุฏิมากที่สุดไม่เกิน ๑๐ หลัง
ตอนแรก ๆ ก็โยมอุบาสก ๔ คนนั่นแหละช่วยกันสร้าง ตอนหลังนี่ผมทํากันเองกับพระเณรที่อยู่ด้วยกันชุดหนึ่ง ก็กุฏิไม้ ๔ หลังนั่นแหละ ไม้ก็ไสกบกันเอง หลังคามุงจาก จากสมัยนั้นถูก ร้อยละบาท ๒ บาทเท่านั้น ถ้าชนิดที่ซื้อจากบ้านดอนก็ ๓ บาท ไม้ก็ซื้อจากบ้านดอน บางทีก็ฝากเรือซื้อ บางทีก็ลงไปซื้อเอง บรรทุกเรือเดินประจํา เรียกว่าเรือถุงเมล์ เพราะแต่ก่อนเคยเป็นเรือถุงเมล์ให้ระหว่างบ้านดอน ต่อมาเลิกเดินถุงเมล์แล้วก็ยังเรียกเรือถุงเมล์ตามเดิม เดินระหว่างพุมเรียง - บ้านดอนเวลามุงจากผมใช้ไม้เป็นกลอน แล้วตีตาปูเอาไม่ได้มัดด้วยตอกแบบชาวบ้านทั่วไป มันรุงรัง ไม่สวย"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 122-123
ตอนที่ 41 ภาพหน้าที่ 125-128
อาจารย์ครับ สมัยนั้นอาจารย์วางความสัมพันธ์กับชาวบ้านในพุมเรียงอย่างไรครับ ทําไมอาจารย์จึงถูกบางคนมองเป็นพระบ้า อาจารย์มีเจตนาที่จะยกระดับชาวบ้านที่พุมเรียงในทางธรรมะหรือเปล่า ผมทราบจากหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาว่ามีการเทศน์ที่บ้านธรรมทานทุกวันพระ ไม่ทราบว่าได้ผลแค่ไหน มีพระอื่นไปช่วยเทศน์ด้วยหรือเปล่าครับ
เรื่องว่าพระที่สวนโมกข์เป็นพระบ้านั้น มันเป็นเรื่องของอุบาสกคนหนึ่งดังที่เคยเล่าไว้แล้ว (เล่ม ๑ หน้า ๑๓๖) แล้วเด็ก ๆ มันก็เอาไปว่าตาม มันก็ไม่ได้มาว่าใส่หน้า เวลาเดินบิณฑบาต ได้ยินเด็กมันว่าตามหลัง "พระบ้ามา ๆ ๆ" แล้วชวนกันวิ่งออกข้าง ๆ ทาง กลัวจะถูกทําอันตรายเอา เด็ก ๆ มันก็คงเห็นแปลก เพราะเราอยู่ตามลําพัง คนเดียว บิณฑบาตคนเดียว ดูเหมือนจะมีอยู่คราวหนึ่ง สมัยหนึ่งด้วยที่ผมล็อคกุญแจที่ประตูทางเข้า เวลาคนมาหาต้องตะโกนให้มาเปิดประตู และดูเหมือนจะเคยเขียนไว้เล่น ๆ ว่า "ห้ามเยี่ยม เชิญกลับได้" อะไรทํานองนี้ จําไม่ค่อยได้เสียแล้ว แต่แรก ๆ นั้นประตูรั้ว หรือแม้แต่ที่พักก็ไม่ได้ล็อค ปีที่เริ่มมีหนังสือมาก มีลังหนังสือแล้ว จึงล็อคแต่ลังหนังสือ หมายถึงตอนอยู่หลังโบสถ์เมื่อมีกุฏิแล้ว ตอนหลังนี่ก็ล็อคทั้งนั้น ล็อคหมด
ส่วนความสัมพันธ์กับชาวบ้าน ผมไม่ได้วางอะไร การจะยกระดับอะไรยิ่งไม่ได้คิด เพราะลําพังวัตถุประสงค์ ๓ ข้อ การเผยแผ่ความรู้ธรรมะชั้นลึก การค้นคว้าพระไตรปิฎก การตามรอยพระอรหันต์ ๓ แขนงนี้มันก็เหลือกําลังอยู่แล้ว ธรรมเนียมเก่า ๆ ที่สมภารต้องไปเยี่ยมตามบ้านที่คุ้นเคยกันผมก็ไม่ได้ทํา วันพระก็ไม่ได้มีกิจกรรมทําบุญอะไรกันที่วัด เพราะไปจัดที่บ้านโยมซึ่งเปิดเป็นห้องธรรมทานอยู่แล้ว มีเทศน์กันทุกวันพระตอน ๑ ทุ่ม ก็มีมาฟังราว ๒๐-๓๐ คนเท่านั้น ที่มันจุได้ไม่มากกว่านั้นเท่าไร มันก็ไม่ได้ผลอะไร เพราะคนพุมเรียงจะมีสักกี่คนที่เป็นนักศึกษาธรรมะจริงจัง ก็คงเพียงได้ยินอะไรที่แปลกบ้างเท่านั้น
งานที่ได้ผลบ้าง มันออกไปในทางหนังสือพิมพ์ ออกไปถึงคนในต่างจังหวัด คนที่ศึกษาธรรมแท้ ๆ สมัยนั้นนับว่าน้อยมาก ประชาชนในท้องถิ่นอยู่ในฐานะที่รับไม่ได้ ยิ่งพวกข้าราชการ ไม่มีเลย ไม่มีหวัง ไม่อาจจะฟัง ฟังไม่ไหว เป็นของที่ไม่เคยมี เคยมีแต่ที่วัดแบบโบราณ มาทําที่บ้านยิ่งแปลกกันไป เคยมีพระอื่นมาเทศน์บ้างสักครั้ง ๒ ครั้ง พระสมุห์แช่มดูเหมือนจะเคยสักที อีกคนที่ชาวบ้านชอบคือสามเณรประมัยเทศน์หลายหน ชาวบ้านชอบมากกว่าผมอีก เขาพูดจาโผงผางดี ชัดเจนดี เรื่อง ๆ เดียวกัน แต่เขาพูดน่าฟังกว่า เป็นเณรโต อายุมากแล้ว เขาธุดงค์มากับมหาโฮม รู้เรื่องสวนโมกข์จากหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา เขาธุดงค์กันมา ตอนแรกคิดจะสร้างวัดป่าแบบป่าช้าที่ประจวบฯ แต่ไม่สําเร็จ เลยเลยมาที่นี่ มหาโฮมอยู่ราว ๒ เดือนก็กลับ เณรประมัยเขายังไม่ยอมกลับ เขาชอบ เขาอยู่ต่อเขาพักกันอยู่ที่กุฏิทําแบบประทุนเรือ ทําด้วยไม้ไผ่ เขาไอเป็นเลือดออกมา ทั้ง ๒ คน แล้วเขาก็คิดว่าผมนี่แหละใช้วิชาอาคม จะทําให้เขาตาย เขาคิดกันถึงขนาดนั้น (หัวเราะ) ต่อมาเขารู้ว่าเพราะโดนละอองขี้มอดไม้ไผ่ เขาก็มาขอโทษ ผมไม่รู้เรื่อง เขามาบอกว่าเขาเคยคิดรุนแรงอย่างนั้น ว่าผมเล่นวิชาคาถาอาคมทําให้เขาต้องเลือดออก มหาโฮมเขาทําสมาธิ สนใจเรื่องผี คุยกันว่าที่บ้านแกเต็มไปด้วยผี ประชาชนนับถือผีไม่รู้กี่ชนิดต่อกี่ชนิด ยุ่งยากไปหมดเกี่ยวกับเรื่องผี มาชวนผมไปปราบผี ต่อมากลับไปอยู่วัดสระปทุม ได้เป็นเจ้าคุณอะไร ส่วนเณรประมัยเคยแต่งหนังสือเรื่องพุทธานุวัตร ตอนหลังกลับไปเป็นวัณโรคหรืออะไรตายเสีย"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 125-126
ตอนที่ 42 ภาพหน้าที่ 128-131
เพื่อนสหธรรมิกและความพยายามที่ล้มเหลว
"อาจารย์ครับ ตอนนี้ขอความกรุณาอาจารย์เล่าถึงพระเณรที่มาอยู่กับอาจารย์สมัยสวนโมกข์เก่า เริ่มตั้งแต่องค์แรกเลยครับ อาจารย์อยู่นานเท่าไร จึงมีพระมาอยู่ด้วย
ผมอยู่องค์เดียว ๒ พรรษา พอออกพรรษาที่ ๒ ไม่นาน มหาจุล พรหฺมสโร ก็มาอยู่ด้วย องค์ที่เคยเล่าว่าตอนหลังแกเลอะนั่นแหละ เขาอยู่ถึงแม่สอด รู้จักสวนโมกข์จากหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ติดต่อกันทางจดหมายก่อน เขาได้เปรียญ ๔ พอดีผมมีธุระจะขึ้นไปกรุงเทพฯ ก็เลยนัดกันว่าจะไปรับลงมา เป็นทํานองไปรับลงมา แกมาอยู่ที่กุฏิ ๒-๓ แห่ง แกสร้างเอาเองด้วย แกมีหัวในทางนี้ ตอนอยู่ด้วยกันยังไม่มีท่าทีว่าจะเลอะ จึงตกลงให้ไปอยู่สวนปันตารามที่นครศรีธรรมราช ที่พระดุลยพากษ์สุวมัณฑ์เป็นตัวตั้งตัวตีจะเปิดกิจการแบบสวนโมกข์ขึ้นที่นั่น (๒๔๗๗) ผมยังได้ไปช่วยปาฐกถา ทําพิธีเปิดสํานักให้ แล้วต่อมาก็ไปทําเสียหายดังว่า ดูเหมือนอยู่กับผมยังไม่ทันได้เข้าพรรษาด้วยกัน แต่ก็อยู่นานหลายเดือน ได้คุยแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกันมากอยู่เหมือนกัน เป็นคนเชื้อเขมร จําบาลีไวยากรณ์ได้แม่นยํา ปฏิบัติเคร่งครัด ฉันเจด้วย
เมื่อมหาจุลมาแล้วไม่นาน ท่านไหมก็มา พระไหม สาสนปฺปโชโต องค์นี้ไม่ได้ติดต่อมาก่อน เดินธุดงค์มา ไม่ได้จบนักธรรมเอก แต่ผมรับไว้เป็นกรณีพิเศษ เป็นคนเงียบพูดน้อย ไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ปอดไม่เคยได้ออกกําลังเพราะการหัวเราะ
สุขภาพก็ไม่ดี เป็นคนขี้โรค ดูเหมือนจะอยู่ด้วยกัน ๒ พรรษา จดหมายในสวนโมกข์ ที่มีคนเอาไปพิมพ์ ก็เขียนแลกเปลี่ยนกับองค์นี้แหละ เป็นคนเอาจริงเอาจังในเรื่องการปฏิบัติ ตอนหลังไม่สบาย กลับบ้านที่ชัยภูมิ ผมไปส่งถึงกรุงเทพฯ ขึ้นไปคราวนั้นได้นัดพบกับท่านอานันทะ เกาศัลยายนะ พระในคณะที่ธรรมปาละฝึกขึ้นมา ท่านมาทํางานเผยแผ่ที่ปีนัง นัดพบกับท่านบนรถไฟ ท่านมาจากทางใต้ นั่งคุยกันมามากในรถ ตลอดทางถึงกรุงเทพฯ ท่านสนใจหนังสือชินกาลนมาลีมาก เพราะท่านผู้แต่งเขียนเกี่ยวกับลังกาไว้มาก ในตอนต้น ๆ ของหนังสือ ต่อมาไม่นานได้ข่าวว่าท่านไหมมรณภาพ
ในรุ่นแรกนี้ อีกคนหนึ่งก็คือมหาสําเริง มาตั้งแต่ยังเป็นเณร ธุดงค์มาเหมือนกัน อยู่ด้วยกันนาน จนได้เรียนบาลีกับพระครูชยาภิวัฒน์ (กลั่น) ที่วัดใหม่ (พุมเรียง) จนได้เป็นมหาเปรียญ ได้บวชพระ ได้ช่วยงานแปลบาลีในสมัยทําขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ระยะแรก เรียกได้ว่าอยู่ยืนมาตั้งแต่ต้น จนย้ายมาสวนโมกข์นี้แล้ว ก็ยังได้มาช่วยงานกันอยู่อีกระยะหนึ่ง
ต่อมาก็เป็นยุคท่านปัญญาฯ กับท่านบุญชวน ๒ ท่านนี้เคยเดินทางไปกับพระโลกนาถ รู้เรื่องพระโลกนาถจากหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา รู้ว่าผมไม่เล่นกับพระโลกนาถ เมื่อแยกทัพจากพระโลกนาถที่พม่า ก็เดินทางมาจําพรรษาด้วยกันอยู่ปีหนึ่ง (๒๔๗๙) ดูเหมือนจะเดินทางกลับจากพม่า ทางระนอง
มาอยู่ด้วยกันก็คุยกันมาก วิพากษ์วิจารณ์กันมาก ท่านปัญญายังเจียดเวลามาสอนนักธรรมที่วัดพระธาตุฯ และช่วยเทศน์วันพระที่ห้องธรรมทานที่ย้ายมาอยู่ริมทางรถไฟที่ไชยาบ้าง"
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 128-129
ตอนที่ 43 ภาพหน้าที่ 131-133
"อาจารย์ครับ เจ้าคุณลัดพลีฯ นี่มารู้จักและช่วยงานกันได้อย่างไรครับ
ระยะแรกสุดเจ้าคุณลัดพลีฯ ก็คงเข้าใจผิด คิดว่าพวกเรามีกิจการใหญ่โต กลับมาจากเมืองนอกใหม่ ๆ ก็อยู่ที่ศาลอุทธรณ์ รู้จักสวนโมกข์จากหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาก่อน ติดต่อมาทางจดหมายก่อนว่าจะให้ช่วยอะไรบ้าง คงเข้าใจผิดเอามาก ๆ คิดว่าเรามีกิจกรรมเป็นลํ่าเป็นสัน มีประโยชน์อะไรใหญ่หลวง ดูเหมือนจดหมายฉบับแรกจะบอกว่าจะให้มาอยู่ช่วยก็ได้ จะให้ออกจากราชการมาช่วยก็ยินดี เราบอกเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรดีพอถึงกับต้องทําอย่างนั้น เป็นงานเล็ก ๆ ทํากันแบบป่า ๆ ทําแบบบ้านนอก ๒-๓ คนทํา ถนนหนทางยังเข้าไปไม่ถึงด้วยซํ้า ทํากันกลางป่ากลางทุ่ง ท่านยังไม่เคยมาเห็น อ่านแต่โครงการต่าง ๆ ที่ลงในพุทธสาสนาบอกว่ายังไม่เคยเห็นมีในเมืองไทยมาก่อน
ท่านเป็นนักเรียนนอก แต่สนใจธรรมะ มีจิตใจเป็นอิสระ อ่านหนังสือปรัชญาหรือศาสนาอะไรเรียกว่าธรรมะหมด ปรัชญาทางด้านจิตใจของฝรั่ง หรืออย่างงานของกฤษณะมูรติ เรียกธรรมะหมด สนใจเรื่องทางจิตใจ เรียนจริง อยากรู้จริง ชอบธรรมะอย่างหลงใหล แต่ว่าเป็นคนมีความรู้เป็นหลักเป็นฐาน ใครชักจูงออกแนวทางไม่ได้ จูงไปทางไสยศาสตร์ไม่ได้ จากเจ้าคุณลัดพลีฯ ก็เนื่องมาถึงเจ้าคุณภรตราชสุพิช เนื่องไปถึงคุณสัญญา ธรรมศักดิ์ แล้วค่อยไปถึงคุณชํานาญ ลือประเสริฐ แล้วจึงต้องไปถึงคนอื่น ๆ คณะเจ้าคุณลัดพลีฯ นี้ เป็นฆราวาสคณะแรก ที่มาเยี่ยมสวนโมกข์จากต่างจังหวัด (๒๔๘๑) ครั้งนั้นพระยาภรตราชสุพิชและคุณสัญญาก็มาด้วย ดูเหมือนหลังจากออกหนังสือพิมพ์ได้ ๔-๕ ปีแล้ว มาแล้วก็พักกันตามมีตามได้ นอนกุฏิที่พอนอนได้ โยมที่บ้านช่วยส่งปิ่นโต เจ้าคุณลัดพลีฯ ดูเหมือนจะอายุแก่กว่าผมสักปี ๒ ปี
พอแกรู้ว่าจะมีการฝึกภิกษุสามเณรรุ่นพิเศษ ก็รับอุปถัมภ์อุปการะเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หมด สร้างกุฏิอะไรนี่ เหมาหมดอย่างที่เล่าแล้ว "
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 132
ตอนที่ 44 ภาพหน้าที่ 133-137
กำลังหนุนจากโยมมารดาและน้องชาย
อาจารย์ครับ โยมหญิงมีส่วนสนับสนุนงานของสวนโมกข์และคณะธรรมทานอย่างไรบ้างครับ ผมเห็นในพุทธสาสนาลงว่าทําพินัยกรรมมอบเงินให้ใช้ตั้ง ๖,๐๐๐ กว่าบาท อยากให้อาจารย์เล่าเรื่องเกี่ยวกับโยมหญิงไว้ด้วยครับ
โดยทั่วไปโยมหญิงไม่มีความเห็นอะไร ไว้ใจเรา ไว้ใจผมว่าเราจะทําอะไรคงไม่ผิด คงไม่เสียหาย ไว้ใจด้วยความเคารพเชื่อมั่น ก็เลยไม่ต้องพูดอะไรกันมาก แล้วโยมก็มีศรัทธาในลักษณะอย่างนี้อยู่แล้ว ศรัทธาที่เราได้รํ่าเรียนธรรมะ ศรัทธาที่ได้แบ่งปันความรู้ให้ผู้อื่น แล้วก็มีความรู้ความเข้าใจอย่างดีอยู่แล้วว่า ธรรมทานน่ะเลิศกว่าทานทุกชนิด พอพูดเรื่องเผยแพร่ธรรมทาน จึงยอมรับหมด เห็นเป็นบุญกุศลอย่างลึกซึ้ง ที่จะเผยแพร่ธรรมะที่โลกยังไม่รู้ ยังไม่มีใครรู้ ยังไม่มีใครเคยทํา โยมจึงให้ใช้เงินในการทํากิจการต่าง ๆ ให้ใช้บ้านเป็นสํานักงานธรรมทาน ระยะแรก เป็นที่เทศน์ ทําหนังสืออะไรต่าง ๆ
ผมให้โยมทําเป็นพินัยกรรม (๑ มิ.ย. ๒๔๗๕) ไว้ ส่วนหนึ่งก็แบ่งให้เป็นมรดกแก่ลูก ๆ ๓ คน ที่เหลือก็ตั้งเป็นทุนต้นตระกูลพานิช เพื่อใช้ดอกผลในกิจการพระศาสนา มรดกส่วนของผม ผมไม่เอาก็สมทบลงมาในส่วนนี้ ก็ได้ใช้เงินดอกผลจากทุนต้นตระกูลพานิชนี้ สร้างกิจการของสวนโมกข์ หอสมุดธรรมทาน และหนังสือพิมพ์พุทธสาสนามาแต่ต้น จนมีคนเห็นด้วยร่วมมือมากขึ้น ๆ จนเงินทุนเล็กน้อยเหล่านั้นไร้ความหมายไป เมื่อโยมตาย (๒๔๙๐) จึงได้สร้างศาลาป่าช้า (วัดเวียง) โดยใช้เงินต้นของทุนนี้ไปราว ๕,๐๐๐ บาท เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้โยม เพราะเริ่มมีคนมาช่วยกิจการของคณะธรรมทานมากขึ้นแล้ว ที่เหลือซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเป็นของคณะธรรมทาน และเหลือตั้งเป็นทุนไว้ผลิตหนังสือ มีคนอื่นมาสมทบเป็นทุนอยู่ในมูลนิธิธรรมทาน
อาจารย์ครับ แล้วตอนถูกเขาว่าเป็นพระบ้าอะไรนี่ โยมหวั่นไหวหรือเปล่า
โอ้ เรื่องอย่างนี้ไม่มีหวั่นไหว มีแต่จะเก่งกว่าเราเสียอีก เพราะแกศึกษาธรรมะมาพอเพียง ตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นปู่ รุ่นตาของแก
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 133
ตอนที่ 45 ภาพหน้าที่ 137-139
อาจารย์ครับ แล้วความคิดที่จะปั้นคนเป็นชาวพุทธที่ดีนี้ประสบความสําเร็จไหม
ก็ไม่ประสบความสําเร็จ ต้องพูดว่าไม่ประสบความสําเร็จ มันเหลือความสามารถ ก็ทําได้อย่างเปะ ๆ ปะ ๆ อย่างนี้ ครูที่หัวแหลมหน่อยก็ลาออกไปเป็นครูรัฐบาล อนาคตมันดีกว่า มั่นคงกว่า ๒-๓ คนที่เหลืออยู่ เป็นเพื่อนคู่ทุกข์ยากกันมา จนโรงเรียนไฟไหม้ชั้นมัธยมปลาย (๒๕๒๗) เหลือไม่กี่คน
ความจริงแต่ก่อนนี้ เมื่อโรงเรียนมัธยมประจําอําเภอยังไม่มี เด็กแถวนี้ถ้าจะต่อมัธยมทุกคนก็เรียนที่โรงเรียนพุทธนิคม ข้าราชการแถวนี้ที่เป็นคนเกิดบ้านนี้ที่อายุ ๓๐ ขึ้นไปทั้งหมด เรียนที่โรงเรียนพุทธนิคมทั้งนั้น แต่ก็เป็นการเรียนอย่างธรรมดา มันยากเกินไป เด็กเขาไม่ต้องการเป็นเด็กธรรมะ เขาก็เป็นเด็กบ้าน เด็กเมือง เด็กทํากิจการงาน หาเงินอะไรไปตามสังคม
อาจารย์ครับ ผมเห็นในแฟ้มเก่า ๆ มีโครงการเกี่ยวกับการจัดตั้งมหาวิทยาลัย
เคยคิดกันเล่น ๆ ฮึ่ ๆ ๆ พูดเล่นกันบ้างกับนายธรรมทาส ก็คิดกันธรรมดาว่าการศึกษาพุทธศาสนา ถ้ามีได้ถึงระดับมหาวิทยาลัยก็จะดี อยากให้เรียนธรรมะให้แตกฉาน รู้ธรรมะแตกฉาน แต่มันทําไม่ได้ นายธรรมทาสเป็นคนเชื่อแน่ว่าทําไม่ได้ ผมเองเคยเอ่ยขึ้นมาว่าทําไมไม่คิดไกลไปถึงระดับวิทยาลัยมหาวิทยาลัย คนเท่านี้ ทุนรอนเท่านี้ มีกําลังเท่านี้ ทําไม่ได้แน่ ๆ จะทําอย่างแผนใหม่ตามเมืองนอกที่มีอยู่ ๒-๓ แห่ง เราก็ไม่ต้องการ มันมีธรรมะน้อยเกินไป แล้วมันไม่มีคนสอน ไอ้เรายังไม่เชื่อตัวเองว่าจะสอนได้ ผมเคยคุยเล่นอยู่บ่อย ๆ ว่า เดี๋ยวนี้เราควรมีนักธรรมชั้นพิเศษต่อจากนักธรรมเอก เรียนเรื่องลึก ๆ ยาก ๆ ที่เราเอามาพูดกันบ่อย ๆ พบใครที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียนนักธรรมก็จะพูด แต่มักจะถูกค้านว่าจะเอาครูมาจากไหน (หัวเราะ) ก็เลยเงียบ ปิดปาก
อาจารย์ครับ อย่าว่าแต่ชั้นพิเศษเลยครับ แม้แต่ชั้นตรี โท เอก มันก็ต้องเปลี่ยนแล้ว ตั้งเกือบร้อยปีไม่เปลี่ยนเลย มันน่าจะสอนสิ่งที่เหมาะกับการแก้ปัญหาชีวิตคนที่เรียน
มันก็อยู่ในข้อที่หาครูไม่ได้ ถึงไม่เปลี่ยน มันก็น่าจะใช้ให้สมบูรณ์ตามที่วางไว้ ทีนี้มันเรียนโกง สอบโกง อะไรโกง มันมีความรู้ไม่ถึง ๑๐% ของหลักสูตรที่วางไว้
อาจารย์ครับ การที่งานของคณะธรรมทานของสวนโมกข์แสดงบทบาทออกมามาก ๆ นี่ มีผลกระทบให้เกิดความไม่พอใจหรือการปรับปรุงอะไรในหมู่พระสงฆ์อื่น ๆ ในท้องถิ่นหรือเปล่าครับ
อาจจะมีบ้าง แต่ก็ไม่มีอิทธิพลมากเท่าไร มันไม่ได้กระทบกระทั่งใคร จะมีคนวิปริตจิตไม่สมประกอบ คนสองคนมองในแง่ร้าย คอยพูดใส่ร้าย แต่ก็ทําอะไรไม่ได้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 138-139
ตอนที่ 46 ภาพหน้าที่ 139-143
"อาจารย์ครับ ระหว่างการปลุกปั้นพระเณรกับการทํางานหนังสือ งานอย่างไหนสนุกกว่ากันครับ
สมัยนั้นเราก็ทําไปพร้อมกัน เราไม่ได้ละการทําหนังสือ การทําหนังสือนี้เรียกได้ว่าเราทํามาตลอด จนมาอยู่ที่นี่ มาตอนปลาย ๆ นี่จึงเลิกทํา มันไม่ใช่สนุกแบบที่เขาสนุกกัน สนุกอีกชนิดหนึ่ง ที่ได้ทําเรื่องที่ยาก พอรู้สึกว่าได้ทําเรื่องที่ยากรู้สึกสนุก ไม่ใช่สนุกแบบเฮฮา การฝึกพระเณร เมื่อรู้สึกไม่ได้ผลเราก็เลิก
ตอนอยู่สวนโมกข์เก่านี่ อาจารย์แบ่งเวลาในการใช้ชีวิตอย่างไรครับ
ไม่มีหลักอะไร ทําตามความสะดวก ตามที่มันจะมีอะไรขึ้นมาให้ทํา แล้วแต่เวลาไหนสะดวก จะค้นคว้าหนังสือก็สะดวกเวลากลางคืน กลางคืนอ่านหนังสือได้นานพอสมควรไม่มีใครรบกวน กลางวันมักจะมีคนไปมา มีนั่นมีนี่ทํา สนุกกันไป กลางคืนค้นคว้าพระไตรปิฎกเป็นส่วนมาก ไปยืมมาจากวัดพระธาตุฯ ของตัวเองก็มีบ้าง พอได้เค้าเงื่อนที่จะแปลก็เลือกออกมาแปล เลือกสูตรที่ดี ๆ แปลก ๆ น่าเผยแพร่ พอง่วงก็เลิก ทําสมาธิแล้วก็นอน
อาจารย์ครับ ดูเหมือนอาจารย์จะตั้งใจทํางานเผยแพร่แรงขึ้น ๆ กว่าการปฏิบัติธรรม
ใช่แล้ว งานเผยแพร่นั้นทําให้ตั้งใจแรงขึ้น ๆ เพราะต้องทําให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วก็เลยหันมาสนุกกับเรื่องเผยแผ่ เรื่องการปฏิบัตินั้นเรียกว่ามีพอรักษาตัว รักษาเนื้อรักษาตัว พูดตามสํานวนภาษาปักษ์ใต้ เรียกว่ามีพอรักษาหลุง ไอ้หลุงก็คือที่ที่วัวควายมันนอน มันหวงที่ตรงนั้น มันคุ้มครองรักษา รักษาหลุงไม่ให้ใครมาดูหมิ่นได้ ก็เรียกว่าปฏิบัติเท่าที่จําเป็น แล้วเราก็ทําให้การปฏิบัตินั้นมีอยู่ในการศึกษาค้นคว้า มันจึงกลายเป็นเรื่องเดียวกันไป การเผยแผ่นั้นก็มุ่งเรื่องการทําหนังสือเขียนหนังสือเป็นหลัก เป็นอันดับหนึ่ง เรื่องการเทศน์ก็กลายเป็นเรื่องสมัครเล่นไป ใครนิมนต์ก็ไปบ้าง แต่มันไม่ใช่การเทศน์แบบเดิม ๆ คนฟังจะรู้สึกแปลก มันเป็นเรื่องการบรรยายเรื่องที่ทันสมัยไป ใช้สํานวนเปรียบเทียบสมัยใหม่ ไม่ใช่สํานวนชาดกเหมือนเมื่อบวชใหม่ ๆ "
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 140
ตอนที่ 47 ภาพหน้าที่ 143-146
พอออกหนังสือไป มีปฏิกิริยาเข้ามาอย่างไรบ้างครับ
จดหมายวิพากษ์วิจารณ์ จดหมายแนะนํา หรือจดหมายด่าก็เพิ่มขึ้น ๆ ในระยะประมาณปีที่ ๑๐ ถึงปีที่ ๒๐ มากที่สุด มันเข้มข้น สมควรที่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราไม่รู้สึกอะไร
แต่เสียงที่เข้ามานั้น เรื่องชมมีมากกว่า เรื่องด่ามีน้อย เพราะที่จริงมันก็ไม่ควรถูกตําหนิ นอกจากพวกกินปูนร้อนท้อง ออกหน้ารับ
ที่เขียนมาด่านั้น พระก็มี เขียนมาด่า อินฺทปญฺโญ ไอ้เรื่องจะถูกด่านี้ เขียนในนาม อินฺทปญฺโญ นามพุทธทาสไม่เคยถูกด่า คนเขียนเข้ามาให้ปลด อินฺทปญฺโญ ออกจากกองบรรณาธิการก็มี เรื่องสุกรยักษ์ (หัวเราะ) มีบทบาทมาก พอพิมพ์ในหนังสือพุทธสาสนาก็มีคนเขียนมาด่า แล้วคุณกี (นานายน) กับคุณวัลย์ น้องสาว เขาเอาไปพิมพ์เป็นเล่มเล็กขึ้นมา ไม่รู้เจตนาอย่างไร สั่งแจกไปยังพระต่าง ๆ เจ้าคณะอะไรต่าง ๆ ผมคิดว่าคงไปโดนพระมารยาทหยาบคาย มันก็เขียนไปรษณียบัตร ด่า ๆ ๆ อย่างเสีย ๆ หาย ๆ ด่าหยาบคายที่สุดที่ผู้ชายจะด่าผู้หญิงได้ หึ ๆ ๆ และคุณกีก็ส่งไปรษณียบัตรนั้นมาให้ผมดู (หัวเราะ)
เรื่องสุกรยักษ์ มันมีเค้ามาจากอรรถกถา แปลมาตามตัว ไม่ได้เขียนอธิบายความมาก แต่งเป็น (หัวเราะ) แต่งเป็นกาพย์
เรื่องเกี่ยวกับธรรมะแท้ ๆ ไม่มีเรื่องจะต้องถูกด่า เรื่องที่เปะปะออกไปนอกธรรมะ (หัวเราะ) นั่นแหละถูกด่า
อาจารย์ใช้นามปากกาอย่างไรครับ
ก็มี "พุทธทาส" เขียนเรื่องธรรมะโดยตรง แล้ว "อินฺทปญฺโญ" กับ "ธรรมโยธ" นี้เขียนเรื่องให้คนโกรธ "สิริวยาส" เขียนโครงกลอน "สังฆเสนา" ก็เขียนแบบนักรบเพื่อธรรม เรื่องปรารภโลกก็ใช้ "ทุรโลการมณจิต" นี่นาน ๆ มีที ถูกด่าเรื่อย ก็ "ธรรมโยธ" กับ "อินฺทปญฺโญ" เพราะเขย่าวิจารณ์กันอย่างแรง กระทบกันแรง ๆ ส่วน "ข้าพเจ้า" เขียนเรื่องแง่คิดขํา ๆ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 145-146
ตอนที่ 48 ภาพหน้าที่ 146-150
อาจารย์ครับ แล้วอย่างเรื่องของ องุ่นอ่อน หรือของ นายเหตุผล มีความเป็นมาอย่างไรครับ
(หัวเราะ) นั่นแกล้งเขียน ไม่ใช่เป็นความรู้สึกหรือความรู้อันแท้จริง เป็นเจตนาที่จะให้ผู้อ่านนึกคิดในทุกแง่ทุกมุม แกล้งเขียนค้านพุทธศาสนา ว่าถ้าจะค้านมันค้านได้อย่างนี้ แล้วจะตอบกันอย่างไร ให้คนอื่นได้วินิจฉัย ได้มีความรู้ทางพุทธศาสนามากขึ้น
"องุ่นอ่อน" ของนายธรรมทาส เขียนทํานองเลียนแบบองุ่นเปรี้ยว ตอนนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กลับจากนอกใหม่ ๆ เขียนในลักษณะคิดค้านพุทธศาสนาเพิ่งออกมาสด ๆ ร้อน ๆ นายธรรมทาสเลยเขียนในนามองุ่นอ่อน (หัวเราะ) "นายเหตุผล" นั้นผมเขียนเอง แล้วก็มีคนเขียนตอบเข้ามา เฮ่อะ ๆ สนุก คุณสด กูรมะโรหิตก็เขียนเข้ามา ท่านบุญชวนก็เขียนตอบเข้ามา (หัวเราะ) แล้วมารู้ทีหลัง หัวเราะกันใหญ่ ท่านบุญชวนดูจะรู้ก่อน นายธรรมทาสคงบอก คุณสดนั้นไม่รู้จนกระทั่งมาที่นี่ นานมากทีเดียว (หัวเราะ) คุณสดตอนนั้นมากับคุณระบิล บุนนาค คุณสดแกสนใจเรื่องสหกรณ์ ผมก็พูดว่า ถ้าไม่มีธรรมะ สหกรณ์ไปไม่รอด
พวกผู้หวังดี ผู้สนับสนุน ส่วนใหญ่ก็รู้จักผ่านทางหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาทั้งนั้น จากคนหนึ่งก็ต่อไปอีกคนหนึ่ง เป็น ๒ ๓ ๔
ตอนนั้นก็รู้สึกสนุกเหมือนกัน แต่เราไม่คิดจะทําอีก (หัวเราะ) มันต้องยุติ มันทําไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นพุทธสาสนา กลายเป็นการศึกษามโหฬารของเรา ศึกษาชีวิตด้านสังคม ด้านปัญหาทางศาสนา ทุกอย่างนะมันน่าศึกษา มันเป็นการรู้ธรรมชาติเกี่ยวกับสังคมที่มันเห็นไม่ได้ด้วยตา มันต้องรู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร แล้วต้องเป็นอย่างไร เป็นการศึกษาถึงที่มา เบื้องหลังที่เห็นไม่ได้ด้วยตา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 146
ตอนที่ 49 ภาพหน้าที่ 150-153
อาจารย์ครับ ตอนนี้ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยเล่าถึงตอนขยับขยายจากสวนโมกข์เก่ามาสวนโมกข์ปัจจุบัน ว่ามีความเป็นมาอย่างไร มีสาเหตุอะไรจึงได้คิดจะย้ายครับ
มันไม่ได้คิดจะย้าย ใช้คําว่าย้ายไม่ถูกหรอก (หัวเราะ) ผมมาพักที่วัดชยารามบ่อย ๆ เนื่องจากตอนนั้น เมื่อคณะธรรมทานย้ายจากพุมเรียงมาอยู่ที่ริมทางรถไฟ (๒๔๗๙) ก็มาเปิดห้องธรรมทาน เปิดห้องอ่านหนังสือ เปิดห้องแสดงธรรมขึ้นที่นั่น ผมก็ต้องมาเทศน์เป็นประจํา บางคืนก็ไปพลอยนอนค้างที่กุฏิ ท่านพระครูโสภณฯ (พระครูโสภณเจตสิการาม-ขํา - ปัจจุบันเป็นเจ้าคณะอําเภอไชยา) ตอนนั้นท่านยังเป็นพระปลัดขํา วัดมันจะร้างก็เลยให้ท่านปลัดขําไปเฝ้าอยู่ กุฏิหลังนั้นรื้อไปแล้ว พอผมไปพักมากเข้า ๆ ก็ทําให้เกิดต้องสร้างที่พักที่วัดชยารามขึ้น คือหอสมุดหลังเล็กนั่นแหละ ต้องสร้างขึ้นมาสําหรับเป็นที่พักด้วย เป็นที่เก็บหนังสือ เขียนหนังสือด้วย ตอนสร้างหอสมุดนี่ (๒๔๘๒) จ้างเขา จ้างนายตั้ว ไปรื้อบ้านเก่า ทางบ้านเวียง ซื้อเขา จําได้ว่า ๗๕ บาท ไม่รู้ว่าค่าจ้างนายตั้ว หรือค่าบ้าน พื้นปูนนั้น ผมทําเอง เพราะต้องการทํากันปลวก มีนํ้าล้อมรอบ ต้องทําเอง ข้างบนที่เป็นไม้นั้นจ้างนายตั้วทํา
พอมาพักบ่อย ๆ เข้า มันก็คิดว่าควรจะมีที่สะดวกสําหรับอบรมสั่งสอนประชาชนบ้าง ที่สวนโมกข์พุมเรียงนั้นมันไม่สะดวก มันเล็กนัก ดังนั้นก็ควรสร้างสถานที่ที่ใช้ในการประชุมได้ จึงคิดสร้างหลังที่เรียกกันว่าสโมสรธรรมทานขึ้น
และเพราะคิดจะสร้างอันนี้ ทําให้ได้มาพบสวนโมกข์ปัจจุบัน เนื่องจากต้องเข้ามาหาไม้ในป่า ต้องเที่ยวสํารวจตามป่า ต้องขอแรงผู้คนที่มีช้างม้าไปลากไม้ไปอะไร
ขอความกรุณาอาจารย์เล่าตอนไปหาไม้ในป่าไว้ด้วยครับ เดินเข้าไปหรืออย่างไรครับ
เดินเข้าไปลึก ไปถึงควนรา ถึงเขาโพธิ์ ไปนอนทีละหลายคืน ไปทีหนึ่ง ๙ วัน ๑๐ วัน ไปหลายครั้ง มีชาวบ้านจํานวนหนึ่งเข้าไปช่วย ทําส่วนที่พระทําไม่ได้ ช่วยกันทําไม้กลมให้เป็นไม้เหลี่ยม แล้วใช้ช้างลากออกมาจากป่ารก มาไว้ริมทางใหญ่ ทีนี้คนก็เข้ามาช่วยลากไปวัดชยาราม สนุกสนาน (หัวเราะเบา ๆ) สนุกสนานกันเป็นบ้าเลย คนลากไม้เหลี่ยมละ ๔๐-๕๐ คน แล้วก็แข่งกันด้วย ไม้ประมาณ ๓๐-๔๐ เหลี่ยม
เฉพาะตัวอาจารย์เองเข้าไปทําอะไรครับ
ไปดูซิ ไปดูให้งานมันเดิน ดูความสะดวก เพื่อความปลอดภัย ผมไปนอนในป่า ทําให้อาหารตามเข้าไปได้โดยง่าย (หัวเราะ) พวกชาวบ้านข้างวัดชยารามช่วยมาก เขาหุงหาไปเสร็จ แล้วเดินไปแต่เช้า ไปถึงก็ได้เวลาฉันเช้าพอดี ผมก็เลยไปหัดเลื่อยไม้บ้าง หัดถากไม้บ้าง เคยทํามาบ้างแล้วตอนอยู่วัดใหม่พุมเรียง ก็ได้มาเรียนเพิ่ม หัดผูกเชือกให้ช้างลากไม้ออกมา มันมีเคล็ดมีเทคนิคอะไรน่าสนใจมาก ผมสนใจความรู้พวกนี้ มันง่าย เรียกว่าลงทุนน้อย ของง่าย ๆ แต่ว่ามันได้ผลมาก ช้างวิ่งอย่างไรก็ไม่หลุด เขามีไม้เล็ก ๆ อันหนึ่งงัดคาดไว้ หรืออย่างไม้โค่นลงมานอนกลม ๆ มีวิธีผ่าอย่างไรมันจึงจะเป็นเหลี่ยมขึ้นมา ท่านธนฯ (พระครูธนธรรมสาร เจ้าอาวาสวัดชยารามปัจจุบัน) ท่านก็ไปช่วยด้วย ไปนอนในป่าด้วยกัน เวลานอนก็เลือกนอนตรงโคนไม้ ใช้ใบไม้มาปูลาด ๆ หนา ๆ ทีนี้ก็นอน โดยใช้รากไม้แทนหมอน ไข้มาลาเรียอะไรไม่ปรากฏเลย มันเป็นฤดูแล้ง
ไข้มาลาเรียกลับมามีตามวัด ที่วัดพระธาตุฯ นี้ตัวร้าย แต่ก่อนนี้บางทีเด็กทุกคนนอนเจ็บเป็นไข้มาลาเรียหมดทุกคนเลย บางพรรษาวัดชยาราม เด็กทุกคนนอนซมหมด ไม่มีใครหิ้วปิ่นโตก็เคย และรอดตัวก็ด้วยของง่าย ๆ เผอิญตอนนั้นสงครามอินโดจีนใหม่ ๆ ยาหายาก มันฟลุค เจ้าคุณธรรมวโรดม วัดราชาธิวาส เป็นเจ้าคณะภาคสมัยนั้น ท่านเคยเอาต้นควินินมาปลูกไว้ที่วัดของท่าน แล้วมันแก้ปัญหาอย่างนี้ได้ดี ก็เลยเอามาแจกให้ปลูกไว้ทุกวัด ตอนท่านแวะมาตรวจการ ท่านมาบ่อย ๆ เคยแวะที่นี่ ที่ไชยานี่หลายครั้ง ท่านมาแนะให้วัดทุกวัดปลูก แก้ปัญหานี้ แต่ว่าไม่ค่อยมีวัดสนใจหรอก ดูเหมือนจะเหลืออยู่แต่ที่วัดชยาราม และที่นี่ตรงหน้าโรงธรรมเท่านั้น วัดชยารามยังมีอยู่หลายต้น วัดธรรมดาไม่ค่อยสนใจ เวลาออกดอกก็พอดูได้ คล้ายดอกซากุระ ดอกละเอียดขาว คลุมไปทั้งต้น
เอาใบ ราก ต้น เปลือก ดอก เรียกว่าทั้ง ๕ ต้มนํ้ากิน ๒-๓ วันก็ลุกขึ้นมาได้ และใช้รากอ่อน ๆ ใต้ดิน รากใหญ่ ๆ ฝนกับนํ้าซาวข้าวพรมตัวเด็ก แก้ชักได้อย่างวิเศษ แก้เด็กชักตัวร้อน ต้นควินินแบบนี้มันขมอย่างดี ขมอย่างสนิท ไม่เหมือนกับต้นเลี่ยน มันคล้ายกัน แต่มันขมเอียน กินแล้วอาเจียน แต่ก็ได้ผลดีเหมือนกัน ควินินนั้นเรามาต้มกับสะเดาไทย ๆ ของเรา ก็ได้ผลดี แก้เป็นหวัดก็ใส่ขมิ้นอ้อยไปด้วย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 150-151
ตอนที่ 50 ภาพหน้าที่ 154-159
ก่อนจะมาเป็นสวนโมกข์และธารน้ำไหล
อาจารย์ครับ บริเวณที่เป็นสวนโมกข์อยู่เดี๋ยวนี้ ในสมัยแรก ๆ ที่อาจารย์มาพบ มีสภาพอย่างไรครับ
แรกสุด บริเวณแถวนี้ เขาเรียกด่านนํ้าไหล มันเป็นช่องแคบ สําหรับดักจับผู้ร้าย ถ้าผู้ร้ายจากทางเหนือจะไปใต้ ทางใต้จะไปเหนือ ก็ต้องผ่านช่องนี้ ช้าง ม้า วัว ควาย จะไปทางใต้ก็ต้องผ่านช่องนี้ การเดินทางทางบกต้องผ่านช่องนี้ สมัยโบราณจึงใช้เป็นที่ดักจับผู้ร้าย ด้านหนึ่งเป็นเขานางเอ ด้านหนึ่งเป็นพรุลึก ลงไปไม่ได้
พรุคือที่ดินที่เป็นโคลนลึก เป็นโคลนปนหญ้า ปนใบไม้เน่า ลึกท่วมตัวก็ได้ เรียกว่าพรุ เมื่อก่อนโบราณ มันเป็นละหานทะเล แล้วตื้นเขินขึ้นมา กลายเป็นโคลนเป็นพรุ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผักหญ้า ภาษาทางภาคกลาง ก็ดูเหมือนจะมีคําว่าพรุ ปัจจุบันก็อยู่ฝั่งโน้นของถนนใหญ่ มันก็แคบเข้าเรื่อย ๆ พอตื้นก็ทํานาได้ พอทํานาก็ตื้นขึ้นโดยเร็ว ดินมันลงไปถม เลยกลายเป็นท้องนามากเข้า ๆ ถ้ามันรกไปด้วยหญ้า ดินลงไปถมไม่ได้ กล้วยไม้แวนด้า ฮุกกะเรียน่าที่ผมเคยเรียกเป็นต้นไม้ประจําเมืองไชยานั้นก็เกิดบริเวณนี้แหละ มากที่สุด ขึ้นอยู่บนต้นกง สําหรับในเขตวัดนี้ แรก ๆ นอกจากที่มีต้นไม้แล้ว ก็มีแต่หญ้าคา ธารนํ้ายังใหญ่กว่านี้มาก ลงไปอาบได้สบาย นํ้ามาก เพิ่งตื้นเขิน เมื่อตอนบนเขาทําไร่กันเสียแล้ว
สัตว์ป่ายังเหลืออยู่ตามสมควร ในบริเวณนี้เคยมีกวางป่ามากินลูกมะกอกตรงหอไตร ผมขึ้นไปเจอะ กําลังกินอยู่พอดี กวางมีเขา ตัวเกือบเท่าม้า
เสือดาวสีออกดําก็มีตัวหนึ่ง อยู่มาตั้งแต่แรก อยู่ด้วยกันหลายปี ไม่รู้มันนอนตรงไหน พอคํ่าก็ออกมากินหมา ตัวหนึ่งกินได้ ๒-๓ วัน นับได้ว่ามันเอาไปกิน ๒๓ ตัว น่าใจหาย (หัวเราะ) หลายปี เป็นเวลาหลายปี บางคืนได้ยินเสียงมันร้องอยู่บนเขาพุทธทอง ตอนนั้นเขาพุทธทองยังไม่ได้สร้างอะไรเลย เราอยู่กันแต่ข้างล่าง มันไม่เคยปรากฏว่าทําร้ายใคร เห็นคนก็หนี บางคืนเด็ก ๆ มันร้อนนอนเล่นกันอยู่ที่โรงฉันเก่าหลับไป หมามันนอนอยู่ใกล้ ๆ เจ้าเสือดําตัวนี้มันกระโจนมาคาบเอาหมาไปกิน ไม่เคยเอาเด็ก ๆ เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง เด็ก ๆ ก็กลัว เข้าไปนอนในกุฏิ นานเข้า นานเข้า ก็ออกมานอนอีก มันเป็นเสือดาว ถ้านอนอยู่กลางแดดจะเห็นเป็นวง ๆ แบบเสือดาว ตัวนี้มันคุ้นกับคนมาก บางเวลามันไปนั่งอยู่บนเรือน เจ้าของบ้านมาจากป่า พอเปิดประตูเข้าไป เจอเสือนั่งอยู่ (หัวเราะ) หัวเราะกันใหญ่
เสือจริงก็มีเหมือนกัน เสือโคร่ง แต่มันอยู่ข้างนอก มันมาจากทางทิศใต้ เดินผ่านทางสาธารณะหน้าวัด เดือนยี่ เดือนมกราคม มันเป็นฤดูที่สัตว์ตระกูลแมวสืบพันธุ์ จะเป็นแมวก็ดี เสือก็ดี มันจะเที่ยวหาคู่ บางทีร้องตลอดคืน ร้องอยู่บนเขานางเอ อืม ๆ ๆ คล้ายกับเสียงวัวผู้เมื่อจะเข้าขวิดกัน ตอนเช้าก็มักจะพบรอยเสือ ตามทางหน้าวัด เรื่อยไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้านเขานํ้าผุด แล้วก็กลับเข้าป่าไป ผมบิณฑบาต ก็เดินตามรอยเสือ
กลัวอะไรได้ มันได้ยินอยู่ มันได้ยิน เสือถอยไปเรื่อย ออกไปจากวัดหน่อยหนึ่ง ก็เจอะเด็กตัวเล็ก ๆ เด็กหญิงทูนของมาขาย เด็ก ๆ ยังไม่กลัว เราจะกลัวเสือได้อย่างไร (หัวเราะ) ขายหน้าตาย ชาวบ้านเขาไม่กลัวกัน แล้วมันก็ไม่ได้ทําอะไรด้วย ตอนนั้นมีบ้านติดอยู่ตรงหัวมุมวัดนี้ บ้านพี่แช่ม ลูกหลานแกมีตั้งฝูง พอเสือร้องอืม เด็กก็ร้องอืมกันไปหมด ร้องรับเสือเป็นลูกคู่ ตอนเย็น ตอนจะพลบ เสือมันร้อง เด็กก็ร้องรับเสือเลย เราก็อายเด็กถ้าคิดกลัวเสือ เณรชุดที่ว่าจะอบรมพิเศษ ติดมาที่นี่คนหนึ่ง พอเสือร้องอืมตัวสั่นเลย (หัวเราะหึ ๆ) ต้องช่วยจับตัวให้หายกลัว เพราะมันไม่เคยรู้เรื่องเสือเลย มันเป็นคนท่าชนะ อยู่ไปทางทะเลตะวันออก ความกลัวมันหลอนตัวเอง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 156-157
ตอนที่ 51 ภาพหน้าที่ 159-164
สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านเป็นอย่างไรครับ ใกล้ชิดกับวัดแค่ไหน
ก็ที่บอกแล้ว ชาวบ้านแถวนี้เขาต้องการพระ ต้องการวัด ตอนแรกเขาไม่ได้อยู่กันแบบนี้ ที่อยู่ใกล้วัดมีหลังเดียว บ้านพี่แช่ม ตรงมุมวัดแล้วก็ตามมาเรื่อย ๆ (หัวเราะหึ ๆ) จนเป็นหมู่บ้าน เดิมเขาอยู่ทางเขานํ้าผุดกัน เดินธรรมดา มันก็ราวครึ่งชั่วโมง ถ้าเดินบิณฑบาต จะช้ากว่านั้น ผมเดินบิณฑบาต ไปกลับหมู่บ้านนี้ แต่ว่าเดินเลยไปอีกหน่อยถึงที่เรียกว่าปลวกสูง ทั้งไปทั้งกลับ ๒ ชั่วโมงพอดี เดินอย่างบิณฑบาต เดินชมนกชมไม้ไปบ้าง เราสัมพันธ์ชาวบ้านที่นี่ค่อนข้างใกล้ชิด เพราะต้องการยกระดับชาวบ้านด้วย คนแถบนี้ล้าหลังที่สุดของไชยา ตรงปากด่านนี้ สารพัดจะล้าหลัง ในตอนนั้น การพนันมีทุกบ้าน อะไร ๆ ก็ง่าย ๆ บ้านเรือนแทบหาดีไม่ได้ ท่านพระครูสุธนฯ ท่านขวนขวายมาก อุตส่าห์ไปชี้แจง อ้อนวอน ขอร้องให้เปลี่ยนแปลง กระทั่งว่าสอนให้ตํานํ้าพริกแกงให้ละเอียด
มันเป็นหมู่ชนที่ไกลออกมาจากเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ไม่รู้ไม่ชี้ อยู่กันอย่างง่ายที่สุด การแต่งเนื้อแต่งตัวอะไรก็ตามแต่ แม้แต่ ดินบนบ้านก็ไม่กวาด บนเรือนคล้าย ๆ เต็มไปด้วยโคลน มันไม่ได้รับการอบรม ปลาทั้งตัวใส่หม้อแกง ตําพริก ๒-๓ ชิ้นใส่ไปก็กินได้ ปลาทั้งตัวไม่เคยตัดครีบ ไม่เคยขอดเกล็ด ท่านพระครูสุธนฯ ท่านขวนขวายจนเปลี่ยนแปลงจนเหมือนกับที่อื่น
ผมเองไม่ค่อยมีเวลา การไปเยี่ยมเยียน โดยเฉพาะเวลาเจ็บไข้ พระครูสุธนฯ ทั้งนั้น ท่านเป็นหมออยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน หมอแผนโบราณท่านไม่ค่อยอยู่พักที่นี่ มาตอนมีงาน กลางคืนดึก ๆ ท่านก็เดินกลับไปพักวัดชยาราม ท่านก็ใช้วิธีล้อ แหมวันนี้กินแกงปลาทรงเครื่องอีกแล้ว หมายความว่าปลาไม่ได้ตกแต่งอะไรเลยทั้งหัว ทั้งหาง ทั้งครีบ ทั้งเกล็ด (หัวเราะเฮ่อะ ๆ) หรือไม่ก็ล้อว่า นี่นี่ไปกวาดฝุ่นทําตุ๊กตาสักตัวสิ ฝุ่นที่บนเรือน ไม่ใช่ฝุ่นข้างล่าง เด็กผู้หญิง เด็กสาวมันก็เริ่มอาย ความเปลี่ยนแปลงมันก็เกิดขึ้น ผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าไม่ค่อยประสีประสา แต่เด็กผู้หญิง มันรุ่นสาว รุ่นสวยขึ้นมา มันก็อาย มันก็เปลี่ยนแปลง ตํานํ้าพริกแกงให้ละเอียดขึ้น แกงปลาก็ต้องตกแต่งกันบ้าง นี่งานพัฒนาแท้ ๆ เราทํามาก่อน เริ่มจากชนิดล้าหลังที่สุด แต่เราไม่ได้อวดโก้ สมัยนี้พัฒนากันหน่อย อวดโก้กันนัก
อาจารย์ครับ ถ้าเช่นนั้นอาจารย์ก็ต้องสนองความต้องการด้านพิธีกรรมชาวบ้านด้วยใช่ไหมครับ
มันก็ต้องมี เริ่มไปสวดมนต์ตามบ้าน สวดผี สวดศพ เวลาเจ็บไข้ไปสวดมนต์ เขาดีใจที่สุด ผมไม่ค่อยได้ไป พระที่อยู่ด้วยกันไป ท่านพระครูสุธนฯ ไป
นํ้ามนต์โดยตรงไม่เคยทํา แต่มันทําเป็นพิเศษอยู่บ้างแล้วก็กลายเป็นนํ้ามนต์ คือ เวลาเข้าพรรษา สวดมนต์ ๓ คืน ก็ตั้งบาตรนํ้ามนต์ไว้ เขาก็มาเอานํ้านั้น ไปใช้ในลักษณะที่เป็นนํ้ามนต์ เอาไปใช้เกี่ยวกับการทํานาทําไร่ เอาไปรดนา รดข้าวกล้าอะไร หรือเอาไปเติมในบ่อ เป็นนํ้ามนต์ไปทั้งบ่อเลย
สวด ๓ คืนบ้าง ๗ คืนบ้าง แล้วแต่ สวดทุก ๆ คืน พอครบ ชาวบ้านก็เอาขวดมา คนละใบ ๒ ใบ แบ่งนํ้าในบาตรเอาไปใช้อย่างนํ้ามนต์ เอาไปเก็บไว้ก็ได้ เก็บไว้บนหิ้งก็มี
อาจารย์ครับ แล้วการอบรมสั่งสอนชาวบ้านในทางธรรมะ มีอะไรบ้างครับ
ก็อบรมกันในวันพระ มีเทศน์ มีสนทนาธรรมะกัน เราก็ขอร้องให้หยุดงานวันพระกัน ให้วันพระเป็นวันสงบ ก่อนนี้ชาวบ้านแถบนี้มันล้าหลัง เต็มไปด้วยอบายมุข ดื่มนํ้าเมา เล่นการพนัน ก่อนนี้ มันก็ไปตกปลา ไปทํานา อะไรต่ออะไร แม้แต่วันพระ พอมีวัดเข้ามา วันพระก็มาวัด ไม่ต้องไปทําอย่างนั้นในวันพระ ก็เรียกว่าดีขึ้น แต่ชาวบ้านก็มากันไม่มากนัก ๕ คน ๑๐ คน ๒๐ คน มารับศีล แล้วกลับบ้าน ไม่ได้นอนวัด มีอยู่บางสมัย มาสวดมนต์ ตอนเย็นกันบ้าง ต่อมาหลายปี ก็เริ่มฝึกให้เด็กผู้หญิงที่เริ่มโต สวดมนต์แปล การสวดมนต์ทําวัตร อยู่ในแผนการพัฒนาเหมือนกัน คิดทําแบบแปลให้สวด ทํากับมหาสําเริง การพัฒนาอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ก็เป็นเบ็ดเตล็ด เรื่องการไหว้พระสวดมนต์เป็นเรื่องขึ้นหน้า เพราะจัดให้มีการประกวดกันระหว่างหมู่บ้าน ระหว่างคณะ พอมีงานวิสาขะ ที่วัดพระธาตุฯ ก็ไปประกวดกัน คณะบ้านทุ่ง คณะโมถ่าย คณะวัดธารนํ้าไหล ฯลฯ ก็ประกวดกันว่าใครจะสวดได้ดีกว่า ได้เพราะกว่า ต่างคณะต่างก็ซ้อมกันในหมู่ของตน ที่โมถ่ายก็มีครูปัตติ์เป็นผู้นํา ผู้ใหญ่พิศก็เป็นผู้นําสายบ้านทุ่ง แถวนี้ก็มีพี่หอ ตายเสียแล้ว ทางเสวียดก็มีบ่อนหนึ่ง ทางวัดชยารามก็พวกบ้านโคกหม้อ
อย่างที่บ้านโมถ่าย ครูปัตติ์ชักชวนให้เด็กหญิงเด็กชาย ที่จบประถมแล้ว ทํางานอยู่ที่บ้าน ชักชวนให้มาเรียนท่องสวดมนต์ ที่บ้านของแก แล้วแกก็ลงทุนของกิน (หัวเราะเฮ่อะ ๆ) หาหัวเผือกหัวมัน ให้กินเล่นกัน แล้วก็สวดมนต์กัน เมื่อได้ข่าวว่าจะต้องไปประกวดที่วัดพระธาตุฯ ก็ซ้อมกันใหญ่ ซ้อมกันทุกคืน
มีคนมาเล่า (หัวเราะ) น่าขํา ที่เสวียด ก็เร่งมือกันใหญ่ เดินไปไร่ ไปนาก็ท่องสวดมนต์แปลกัน คนหนึ่งหนักข้อ ตักข้าวเลี้ยงหมูก็ท่องมนต์แปลไปพลาง
ตอนนั้นบ้านเมืองสงบ ทิ้งบ้านทิ้งเรือนไปวัดได้ ไม่ต้องเป็นห่วง กลางคืนก็ทิ้งมาซ้อมกันที่วัดได้ กุญแจพอรับประกันได้ เดี๋ยวนี้กุญแจไม่มีความหมาย
ในที่สุดก็สวดกันได้มาก สวดกันได้ดี ถึงคราวประกวดใหญ่ ก็ประกวดกันที่วัดพระธาตุฯ วันวิสาขะ ให้รางวัลเป็นการใหญ่ เด็กผู้ชายก็ให้หัดพูดหัดบรรยายธรรมะ เด็กผู้หญิงเสียงดีก็ให้หัดสวดมนต์ใช้รางวัลล่อ บ่อนติดอยู่หลายปี แล้วก็ค่อย ๆ เสื่อม เพราะมันเหนื่อยมาก ผมก็เบื่อง่าย
หนังสือสวดมนต์แปลนี้ เคยใช้เป็นแบบหัดอ่านหนังสือสําหรับผู้ใหญ่ด้วย คือผู้ใหญ่ที่ไม่รู้หนังสือ ก็สวดมนต์แปลได้ตามเด็ก ๆ ทีนี้ก็เอาตัวหนังสือมาดู เช่น นะโมตัสสะ ภะคะวะโต เขาก็เริ่มหัดแยกเป็น นะ เป็น โม เป็น ต เป็น ไม้หันอากาศ ไม่เท่าไร ไม่กี่เดือนก็อ่านหนังสือได้ น้าเส้สมภารทางโรงครัวคนแรกของสวนโมกข์ก็หัดอ่านหนังสือจากสวดมนต์แปล แต่ก่อนไม่รู้หนังสือ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 159-161
ตอนที่ 52 ภาพหน้าที่ 164-168
อีกช่วงหนึ่งของงานบุกเบิก
อาจารย์ครับ ใครมาอยู่ที่นี่กับอาจารย์เป็นองค์ที่ ๓ ครับ
จําไม่ได้ จะเป็นมหาสําเริงมากกว่า ลูกชาวบ้านเขาก็เริ่มเข้ามาบวชกัน ต่อมาผมได้เป็นอุปัชฌาย์ด้วย (๒๔๙๐) เขาก็มาบวชที่นี่ แต่ก่อนนี้เขาบวชที่วัดชยาราม
ตอนสร้างโรงธรรม ชาวบ้านเริ่ม ๆ อพยพตามมาอยู่ใกล้ ๆ วัดแล้ว เมื่อไม่มีวัดเขาไม่กล้ามาอยู่ พอมีวัดก็ตามกันมา มาจากบ้านเวียง บ้านเนียนสูง ข้าง ๆ ในโน้นก็มี
ตอนหลังพอสร้างโรงเรียนขึ้น (๒๔๙๘) ก็ยิ่งสะดวก โรงเรียนเป็นงบทางการครึ่งหนึ่ง ของนายแคล้ว ช่วยยิ้มครึ่งหนึ่ง ผมไม่ได้ออกเงินออกแรงอะไรเลย แต่เขาก็ยังให้เกียรติ มีคําว่านันท์อยู่ในชื่อของโรงเรียน ตอนนั้นเป็นอริยนันทมุนี เขาก็ตั้งชื่อของโรงเรียนเป็น แคล้วประชานันท์ ตอนยังไม่มีโรงเรียน เด็ก ๆ แถวนี้ก็มาอยู่วัด มาเรียนหนังสือกัน พระชิด พระเฉลิมเป็นคนสอน อยู่กัน ๑๐ กว่าคน
อาจารย์ครับ การสร้างตึกหลังที่อาจารย์เคยอยู่นี้ มันมีความเป็นมาอย่างไรครับ ไม่ขัดกับหลักการอยู่อย่างเรียบง่ายหรือครับ
โยมโป้ห้วย แม่ยายของหมอบุญส่ง เลขกุล เป็นแม่ของคุณสุภาพ แกสร้างให้ สมัยนั้นจ้างเหมาเขาทํา ๖,๐๐๐ บาท รวมค่าวัสดุด้วยก็ราว ๑๘,๐๐๐ บาท ผมก็ยอมให้สร้างเพราะอยากมีที่เก็บหนังสือที่ถาวร ที่ปลอดภัย หนังสือเริ่มมีมากขึ้น ๆ ผมก็นอนตรงไม้กระดานริมหน้าต่าง เอามือยื่นออกมาสัมผัสต้นไม้ใบหญ้าได้ ไม่ห่างธรรมชาติ (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ แล้วกุฏิเล็ก ๆ เริ่มสร้างเมื่อไรครับ
สร้างมาเรื่อย ๆ พอสร้างเสร็จโรงธรรม ก็สร้างกุฏิเล็กหลังเชิงเขา ตรงกับศาลาธรรมโฆษณ์นี่แหละ เป็นหลังแรก (๒๔๙๕) ๗๕๐ บาท ทําได้หลังเดียว ต่อจากนั้นราคาเดิมทําไม่ได้ ของแพงเป็น ๑,๕๐๐ บาท จึงจะทําได้ ๒-๓ ปีต่อมาทําไม่ได้อีก ขึ้นเป็น ๓,๒๐๐ จึงทําได้ กุฏิเล็ก ๆ นี้ซื้อของและจ้างเขาทําเป็นส่วนมาก ทํากันเองดูเหมือนจะ ๒-๓ หลังเท่านั้น นอกนั้นจ้างเหมาเอา นายเหลียวเป็นช่างไม้ประจําวัดมาจนทุกวันนี้ ทําจนครบ ๗๐ หลัง ตอนแรกกะจะมี ๒๕ หลัง แล้วมันไม่พอ ต้องเพิ่มเป็น ๗๐ หลัง ก็เต็มพื้นที่พอดี แล้วมันก็เต็มความสามารถพอดีด้วย ในเรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องเจ็บไข้ต่าง ๆ ก็ยุติ หยุดพัก กว่าจะเสร็จหมดก็หลายปี ไม่ใช่ปีเดียวเสร็จ ระหว่างที่กุฏิเล็ก ๆ ยังไม่เต็ม ก็เริ่มสร้างโรงหนัง (มหรสพทางวิญญาณ) สร้างเรือ สร้างอะไรไปพร้อม ๆ กันด้วย บ้านพักอุบาสิกา ดูจะเป็นรุ่นสุดท้าย ในสมัยที่ผมยังออกไปคุมงานเอง ดูแลเอง ทางด้านมุมวัดติดกับค่ายลูกเสือนั้น ยังได้สร้างบ้านพัก สําหรับคนที่จะมาพักเป็นครอบครัวพิเศษ แต่แล้วก็ไม่สําเร็จประโยชน์ มาอยู่ป่าแบบนี้ หญิงชายพักแยกกันดีกว่า สะดวกกว่า
อาจารย์ครับ ที่วัดนี่ตอนแรก ๙๐ ไร่ แล้วขยายเป็น ๓๑๐ ไร่ ได้อย่างไรครับ
ขยายทีเดียวเลย ซื้อ ๙๐ ไร่ แล้วก็ขอบ้าง เขาบริจาคบ้าง เอาที่เขาบริจาคไกลออกไป มาแลกกับที่อยู่ติดกับวัดบ้าง บุกเบิกออกไปบ้าง โดยนายอําเภอจาด อุรัสยนันท์ อุตส่าห์ช่วยเหลือ เจรจา และช่วยอํานวยความสะดวกในด้านกฎหมาย ในที่สุดก็ได้ทําเป็น นส.๓ ผืนเดียวกันหมดทั้งวัด ๓๑๐ ไร่เศษ เขาพุทธทองเท่ากับได้เปล่า เพราะยึดพื้นที่โดยรอบหมด ไม่ต้องซื้อหาอะไร (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ ตอนมาสร้างสวนโมกข์ใหม่นี้ อาจารย์ได้สรุปบทเรียนอะไรจากสวนโมกข์เก่าหรือเปล่าครับ
ก็ไม่ได้วางแผนอะไร ดูไปพลาง ให้มันเข้ากับพื้นที่ พื้นที่มันไม่เหมือนกับสวนโมกข์เก่า มันเป็นภูเขา ที่มันลาดเอียง ไปทางไหน พื้นที่มันก็ลาดเอียงไปหมด ก็ต้องตัดให้มันตรง ต้องคิดว่าจะทําทางเดินอย่างไร ทําอะไรที่ไหน มันก็นึกไปพลางทําไปพลาง สานต่อไป ต่อออกไป มันก็ไม่พ้นหลักที่จะต้องทําอย่างนี้ ไม่มีปัญญาที่จะคิดให้มันดีไปกว่านี้แล้ว ไม่มีความรู้ที่จะวางแผนอะไรล่วงหน้าออกมาทั้งวัด
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 165-167
ตอนที่ 53 ภาพหน้าที่ 169-174
โรงหนัง โรงปั้นและโพธิสัตว์
อาจารย์ครับ อยากให้อาจารย์เล่าความเป็นมาของโรงปั้นและภาพปั้นชุดนั้น
ภาพปั้นชุดนี้มันหมายตาเอาไว้ก่อนไปอินเดียแล้ว ตั้งแต่อ่านเจอในหนังสือ มันพิเศษตรงที่เป็นพุทธประวัติที่เขายังไม่มีรูปเคารพของพระพุทธเจ้า พอไปอินเดียก็ไปถ่ายมาเพิ่มเติม ตอนหลังติดต่อไปทาง British Museum ที่อังกฤษ เขาก็ดีเหลือเกิน ถ่ายรูปมาให้ เราจึงคุยได้ว่า ภาพพุทธประวัติชุดนี้ของเรานี้สมบูรณ์ที่สุดในโลก มันแสดงถึงความเจริญทางวิทยาการสมัยนั้น ที่เขาไม่บูชารูปเคารพกัน เขาใช้เป็นสัญลักษณ์ ไม่ใช่รูปสําหรับบูชา
ตอนเริ่มทํานั้นได้คุณไสว (พระไสว สิวาโณ) เป็นช่างเขียน พระหลายรูปเป็นช่างปั้น ตอนนั้นมีคุณโกวิท (อดีตพระโกวิท เขมานันทะ) อยู่ด้วย พระนาคเสนจากอินเดียพอทําได้บ้าง แกมาช่วยให้หน้ารูปปั้นเหมือนอินเดีย แรก ๆ หน้ามันออกมาเป็นคนไทยไปหมด
บริเวณโรงปั้นแต่ก่อนก็เป็นป่ารก พอคุณไสวไปอยู่ก็ค่อย ๆ กลายเป็นโรงปั้น ตอนแรกก็เป็นโรงสังกะสี ค่อย ๆ ทําต่อ ๆ มาจนเป็นโรงคอนกรีตถาวรในปัจจุบัน
ขั้นตอนในการทําก็ต้องเริ่มจากเขียนภาพขยายจากภาพเล็ก ๆ ให้โตได้ขนาดที่ต้องการ ลงในกระดาษที่เนื้อ เหนียว ๆ พอได้ภาพที่พอใจแล้วก็เอาไปประกบที่ดินเหนียว ซึ่งทําได้ที่แล้ว ละเอียด เนื้อดี แล้วก็ตัดรอยภาพลงไปในดินเหนียว แล้วจึงเริ่มแกะดินเหนียว โดยดูภาพนั้นอยู่เรื่อย ๆ ไป เอาภาพถ่ายมาดู จนเป็นที่พอใจ แล้วก็หล่อด้วยปูนปลาสเตอร์เป็นเน้กตีฟ ต่อจากนั้นก็หล่อออกมาด้วยปูนซีเมนต์ เป็นภาพโพสิตีฟที่ใช้ได้ มันแกะดินเหนียวไม่ใช่แกะปูน แกะปูนก็ตายเลย ไม่มีทางทําได้
แกะดินเหนียวมีปลุกปลํ้าอยู่ ๒-๓ องค์ ท่านทองสุข (พระทองสุข ธมฺมวโร) มีฝีมืออย่างนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้แกะภาพอย่างนี้ เป็นคนมีฝีมือละเอียด เคยเป็นช่างตัดผม ก็สมัครเป็นช่างแกะดิน ในที่สุดทําได้นําหน้าใครหมด ภาพสวย ๆ กลม ๆ ฝีมือท่านทองสุขทั้งนั้น ภาพเชิญพระเกศาขึ้นสวรรค์ ภาพช้างนาฬาคีรี ภาพนางสุชาดาถวายข้าวมธุปายาส เป็นฝีมือท่านทองสุข เป็นภาพละเอียดที่สุด * ดีที่สุดคือภาพเชิญพระเกศาขึ้นสวรรค์ ใช้เวลาแกะดินเหนียว ๓ เดือน ด้วยความอดทนอย่างยิ่ง ภาพอื่น ๆ โดยมากหยาบ ๆ ก็ ๑๕ วัน ๑๐ วัน ทําดีขึ้น ๆ จนภาพสุดท้ายถึง ๓ เดือน ก็น่าพอใจ
นอกจากท่านทองสุข ก็มีคุณโกวิท และพระอื่น ๆ ร่วม ๑๐ องค์ ครูสอนหัตถศึกษา ที่เขาพนมแบกก็มาช่วยทํา คนแกะทั้งหมดดูเหมือนจะมี ๑๐-๑๕ คน ทีนี้ก็กลุ่มกรรมกรก็มีคุณเดช (พระเดช ชิตจิตฺโต) เป็นผู้หล่อ หล่อไปหล่อมา และบดดินเหนียว ดินเหนียวต้องขุดขึ้นมาจากดินชั้นลึกตั้ง ๕๐-๖๐ เซนต์ จึงจะพบดินเหนียวที่ดีที่จะเอามาใช้ได้
การปั้นภาพกว่าจะเสร็จก็หลายปี จําไม่ได้ เริ่มสร้างโรงหนังราว ๒๕๐๕ ปลาย ๒๕๐๖ ทําโรงปั้น ทําเสร็จก็ช่วยหามกันมา
ผมก็ว่ามันประหลาด (หัวเราะ) มันฟลุค มันไม่เคยคิด ไม่เคยนึกว่าจะมีความสามารถเลย เรื่องอย่างนี้
ปะติดปะต่อความหลังทุกเรื่องแล้วรู้สึกมันฟลุค มันฟลุคไปหมดทุกเรื่อง ความคิดความนึกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วก็ไปได้บุคคล ได้ปัจจัยอื่น ๆ มาได้อย่างไร มันประหลาด บุคคลอย่างคุณสาลี่มาช่วยมันก็ไม่ได้รู้จักมักจี่กันมาก่อน เคยแต่มาเที่ยว พอปรารภขึ้นก็สนใจเลยเป็นตัวตั้งตัวตี โรงหนังนี่เป็นเรื่องของคุณสาลี่ พันเอกสาลี่ ปาลกุล วิทยุสื่อสารทุกแห่ง วปถ. ทุกแห่งช่วยโฆษณาเรื่องนี้ และมีคนให้เงินช่วยเหลือ แกก็รวบรวมส่งมาที่นี่ ส่งมาที่นี่โดยตรงก็มี พระช่างปั้นช่างเขียนมันก็เป็นเรื่องฟลุค ไม่น่าจะมีได้ ถ้าเราเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ก็ต้องบอกว่ามีพระเจ้าหรือเทวดาบันดาล ไม่งั้นมันก็ต้องเป็นเรื่องฟลุค จนกระทั่งบัดนี้ คนนั้นทํานั่น คนนี้ทํานี่ ที่อยู่มานาน ๆ เคยช่วยทําอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาแล้วทั้งนั้น อย่างท่านโพธิ์ (พระโพธิ์ จนฺทสโร) มาจัดสอนฝรั่ง ตอนนี้มันก็เป็นเรื่องฟลุค (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 171-174
ขอบคุณภาพประกอบ BiA , หนวดเต่า แนะนำ
ตอนที่ 54. ภาพหน้า 174-178
อาจารย์ครับ แล้วภาพในโรงหนังละครับ มีความเป็นมาอย่างไร อาจารย์วางแผนไว้ก่อนหรือเปล่า ว่าจะเอาภาพอะไรลงตรงไหนก่อนหลัง
ทําตามมาเรื่อย ๆ คิดมาพลาง ทํามาพลาง เพราะแรก ๆ ยังไม่รู้ว่าจะได้ภาพไหนมา พอดีภาพชุดเชอร์แมนมาก่อน ก็เอาชุดนี้เป็นหลัก เขียนเป็นภาพชุดใหญ่สุด นอกนั้นก็เป็นชุดเบ็ดเตล็ด ภาพคําพังเพยไทยอยู่ตามเสา ๑๐๐ กว่าภาพ เป็นฝีมือคุณโกวิททั้งนั้น ประดิษฐ์คิดเขียนขึ้นตามที่มีอยู่ ไม่ได้มีตัวอย่างที่ไหน เขามีมาก่อนบ้างแต่เราไม่ชอบ ใช้ไม่ได้ ไม่เข้ากับความคิดของเรา คุณโกวิทเป็นผู้ร่างแบบ เป็นผู้ควบคุมการเขียนภาพทั้งหมดในโรงหนังด้วย เรียกได้ว่าคุณโกวิทเป็นคนริเริ่ม แล้วแกก็ชวนเพื่อนของแกมา อีก ๒ คนที่มาช่วยมากก็นายสัมพันธ์ ก้องสมุทร และสุเทพ เมืองคล้าย สุเทพนี่เขาเด็กวัดชยารามมาก่อน สัมพันธ์เขาคนเกาะสมุย ท่านโพธิ์พามา รู้จักมาทางท่านโพธิ์ พระเณรองค์ไหนที่มีเชื้ออยู่บ้างก็มาฝึก คุณสุชาติ (พระสุชาติ ปญฺาทีโป) ที่ช่วยวาดเสริมอยู่ทุกวันนี้ (๒๕๒๘) ก็ฝึกมาแต่สมัยนั้น คุณดํารงอีกคนหนึ่งที่สึกไปแล้ว มีเมียไปแล้ว ไปอยู่ทางสงขลา มีอาชีพเป็นช่างเขียนไป
จะวางภาพตรงไหนอย่างไร คุณโกวิทเขาปรึกษาผมในแง่ที่ไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นความเหมาะสมอย่างอื่น ผมเป็นคนขี้ขลาด เรื่องของศิลปะเป็นหน้าที่ของคุณโกวิทเต็มที่ เรียกว่าคุณโกวิททํางานมากที่สุด รูปปั้นขยายอวโลกิเตศวรนั้นคุณโกวิทก็ทําคนเดียว เป็นศิลปินถึงขนาดทีเดียว ถ้าแกจะไปทางนี้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร แกไม่เอาเป็นอาชีพ เขามาอยู่กับผมหลายปี
ภาพชุดของเชอร์แมนได้มาอย่างไรครับ ทําไมจึงทําเป็นชุดที่ใหญ่ที่สุด
มันไม่มีรูปอื่น ตอนนั้น มันฟลุคที่สุดเหมือนกัน ดูเหมือนคุณชํานาญ ลือประเสริฐจะเอาภาพฝีมือของเชอร์แมนที่เขาแจกกันที่กรุงเทพฯ ส่งมาให้ดู ภาพ พ้นแล้วโว้ย นั่นแหละ เราเห็นว่าเข้าทีดี ก็ถามว่าเชอร์แมนอยู่ไหน เริ่มรู้ข่าวคราวทีละนิด จึงรู้ว่าแกตั้งใจจะมาที่นี่ แต่คงไปพบอาจารย์ประเดิมก่อน เลยไปอยู่เกาะพงัน จนไปเป็นไข้ตายที่นั่น ความคิดหัวแหลมดี ภาพทุกภาพมีความหมาย เขียนไว้ให้คิด เมื่อได้ข่าวว่าเขาตาย ผมก็ขอร้องไปว่ามีสมบัติอะไรในทางนี้ให้ส่งมาที่นี่ เขาก็ส่งลังกระดาษมีรูปภาพเหล่านี้มาให้ โชคดีที่สุด ไม่งั้นสูญหายไปหมดแล้ว มีแมลงสาบเต็มลังแล้ว เขาแกะไม้เป็นแบบพิมพ์ เรียกภาพพิมพ์ไม้
อาจารย์ครับ ภาพชั้นบนที่แสดงโลภะ โทสะ โมหะนั้น เป็นความคิดของอาจารย์หรือครับ
อ๋อ นั่นเลียนแบบภาพอินเดีย สมุดภาพอินเดียเล่มหนึ่งทํานองนั้น แต่เราดัดแปลงให้เข้ากับคนไทย มีอยู่หลายภาพที่ได้จากสมุดภาพเล่มนี้ ด้านล่าง ตั้งแต่ภาพธรรมจักร เกิดขึ้นมาทําลายสิ่งไม่ถูกต้องต่าง ๆ ในโลก ภาพพระเยซูกลับมาดูโลก ภาพเจรจาสันติภาพ ได้จากเล่มนี้ทั้งนั้น มันฟลุคไม่รู้ว่าใครเขาส่งมาให้ ความคิดมันเฉียบแหลม
แล้วภาพชุดปริศนาธรรมไทยละครับ
ไปค้นที่พิพิธภัณฑ์ ที่กองสมุดข่อย ที่เขาไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ไม่รู้จะใช้อย่างไร ขอค้น เห็นภาพปริศนาธรรมไทย ถ่ายมาทั้งหมด คุณระบิล (บุนนาค) ไปช่วยถ่าย มาศึกษา มาลําดับภาพเอง เวลานี้ที่พิพิธภัณฑ์ก็ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรู้เรื่อง ของเราเองมีอยู่เล่มหนึ่ง ชุดกายนครนั่นแหละ ท่านพระครูสุธนฯ พบที่วัดสโมสร หยิบดูไม่รู้ว่าอะไร ก็เอามาดูเล่นกัน ดูไปมันเหมือนรูปหนังตะลุง ผมก็เอามาศึกษา ได้ชุดนี้มาเมื่อเขียนภาพใหญ่ ๆ ในโรงหนังไปแล้ว ก็เลยไม่มีที่เขียน เลยเขียนไว้มุมใต้บันได ถ้าได้มาก่อนอาจจะเขียนแทนชุดเชอร์แมนก็ได้
อาจารย์ครับ แล้วพวกเครื่องโสตทัศนศึกษาในโรงหนังได้มาอย่างไร ได้ใช้กันเต็มที่ไหม ผมไม่ค่อยเห็นใช้กัน
ระยะแรกใช้กันมาก ใช้กันเต็มที่นั่นแหละ ฉายหนังบ้าง ฉายสไลด์บ้าง บันทึกเสียงบ้างจนทรุดโทรมไป แล้วก็ขี้เกียจจะซ่อม ใช้กันจนถึงวาระสุดท้าย เครื่องเสียงยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ มีคนเอาเครื่องใหม่ ๆ มาให้ใช้เสมอ ๆ
ครั้งแรกกระทรวงศึกษาให้มา เป็นเงินจํานวน ๒ แสนบาท แต่เขาไม่ได้ให้เป็นเงิน ให้มาเป็นของจํานวนเท่านั้น จะใช้อะไรต้องการอะไรบ้างก็เขียนออกไป เจ้าหน้าที่ไปซื้อไม่ตรงเป็นส่วนมาก เขามีระเบียบอย่างนั้น มีธรรมเนียมอย่างนั้น ตอนนั้น ม.ล.ปิ่น (มาลากุล) เป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการ คุณอรุณวตีกับพวก เป็นผู้ขวนขวายขอความช่วยเหลือ
สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ในสวนโมกข์ ถ้าไม่นับการสร้างหนังสือแล้ว โรงหนังดูจะเป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์มากที่สุดแก่ประชาชน คนมาใช้เป็นที่ศึกษาธรรมะกันมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
อาจารย์ครับ ขอกรุณาเล่าความเป็นมาที่สร้างรูปปั้นอวโลกิเตศวร ไว้ในสวนโมกข์ด้วยครับ
มันเนื่องมาจากเราพอใจเรื่องอวโลกิเตศวรมานานแล้ว ตั้งแต่แรกศึกษาโบราณคดีสมัยศรีวิชัย โดยเฉพาะนายธรรมทาสเขาสนใจยิ่งนัก เป็นที่เชื่อได้ว่า ประชาชนสมัยศรีวิชัยใช้รูปนี้เป็นที่บูชาทั้งในวัดและในบ้าน พระพุทธรูปสมัยศรีวิชัยหายาก แต่รูปอวโลกิเตศวรกลับมีมาก ขนาดเล็กไว้ตามบ้านเรือน ขนาดใหญ่สําหรับวัดสําหรับปูชนียสถาน ทําให้เรามีเรื่องพูดเกี่ยวกับอวโลกิเตศวรได้มาก
และเรื่องกวนอิมที่เมืองจีนก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องเดียวกับอวโลกิเตศวรนั่นเอง เราเอามารวมกันเข้าให้ประชาชนได้รู้เรื่องนี้ เมื่อเราโฆษณาเรื่องนี้มาก มีการเขียนเรื่องอวโลกิเตศวรด้วย นายธรรมทาสเขียนมากกว่าผม จึงควรมีรูปภาพ รูปปั้นเผยแพร่ด้วย แล้วทีนี้ตอนท้าย ๆ ปั้นอย่างอื่นเสร็จแล้ว ก็ขอแรงให้คุณโกวิทช่วยปั้นอวโลกิเตศวร ได้ปั้นไว้ถึง ๒ ขนาด ขนาดเล็กเอาไปไว้ตามบ้านเรือนได้ ขนาดกลางไม่ต้องปั้น จําลองก๊อปปี้จากของเดิม ขนาดใหญ่มากคือองค์ที่อยู่บนเสาสูงกลางสนามหญ้าใกล้โรงฉันนี่ แจกไม่ได้ ติดตายตัวอยู่ที่นี่ ขนาดกลางแจกไปบ้าง สวยดี ขนาดเล็กบางคนชอบเพราะเล็ก จนเบื่อทํา จนหมด ก็ไม่มีแจก
วิธีการใช้ประโยชน์ก็คือตั้งไว้ในที่เห็นได้โดยง่าย พอคุณเป็นทุกข์อะไรขึ้นมา โกรธอะไรขึ้นมา มองหน้าอวโลกิเตศวรจะหาย เอาไปใช้แบบนี้ ดูหน้าแล้วสบายใจ
องค์ใหญ่ที่คุณโกวิททํานี่ อารมณ์ในใบหน้าไม่ถึงขนาด ๑๐๐ เปอร์เซนต์ของของเดิม ได้สัก ๘๐-๙๐
ขนาดเท่าของเดิมนี้ ขอจําลองจากพิพิธภัณฑ์ที่ไชยาอีกทีหนึ่ง เขาจําลองมาจากของจริงที่กรุงเทพฯ ซึ่งกรมพระยาดํารงท่านมาพบที่วัดพระธาตุไชยา แล้วนําขึ้นไปไว้ที่กรุงเทพฯ
ใบหน้าของรูปปฏิมานี้ จะแสดงอารมณ์ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ จะดูให้เป็นคนสุทธิคือบริสุทธิ์ทางจิตใจก็ได้ จะมองให้เป็นคนยอดทางปัญญาก็ได้ จะมองในทางเมตตาก็ได้ มีความอดทนก็ได้ ถ้ามีได้ครบ ๔ อย่างนี้ก็พอจะเรียกได้ว่าชั้นเยี่ยม ชั้นเลิศ ในไชยานี้ ฝีมือก็มีหลายชั้น ชั้นเลวทําหน้าเหมือนผู้หญิงขายปลาก็มี ศิลปินชั้นเลิศก็ต้องแบบองค์ที่สมเด็จพระยาดํารงพบ
ศิลปินจะต้องเป็นคนมีจิตใจดีมาก จิตใจสงบมาก ปกติมาก มีความรู้ทางธรรมสูง และเป็นศิลปินในทางปั้นด้วย จึงจะทําหน้าอย่างนั้นออกมาได้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 174-178
ตอนที่ 55 ภาพหน้า 178-182
อาจารย์ครับ เรื่องเกี่ยวกับการปั้น คําถามสุดท้ายนะครับ ที่โรงปั้นทําไมถึงมีรูปปั้นของอาจารย์ด้วยครับ
อ้อ เขาอยากจะทํา ท่านทองสุข ท่านไสวเขาอยากจะทํา แล้วก็ถ่ายรูปทุกด้านเอาไปเป็นแบบ คุณทองสุขเป็นคนทําขึ้นมาได้อย่างนั้น ต่อมาอีก ๔-๕ ปี คุณปุ่น (จงประเสริฐ) มาเห็นเขาก็เลยอยากก๊อปปี้ให้เป็นโลหะ ให้เป็นบรอนซ์ เขาก็ไปหาเงินหาทองมาทํา แล้วเจ้าชื่นรู้เข้าก็ต้องการขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง ก็เลยหล่อขึ้นมา ๒ ตัว ดูเหมือนจะเอาช่างมาที่นี่มาประกบแบบที่นี่ แล้วเอาไปไว้ที่เชียงใหม่ตัวหนึ่ง เอาไว้ที่นี่ตัวหนึ่ง เก็บอยู่ในลังไม้ในโรงหนัง ยังไม่ได้ติดตั้ง ไม่รู้จะติดตั้งเพื่ออะไร พอตายแล้วค่อยติด เพื่อจะได้รู้ว่ารูปร่างมันอย่างนี้ มันอาจจะเป็นประโยชน์บ้าง ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่มาดูตัวดีกว่า (หัวเราะ)
แล้วอาจารย์ไม่กลัวกลายเป็นรูปเคารพไปหรือครับ
ก็ตามใจมันสิ ก็อย่างเดียวกันกับพระพุทธรูป มันเป็นธรรมดาของชาวบ้าน เคยปิดทองปิดอะไรกันเลอะเทอะไปหมด ผมไม่ได้รู้สึกชนิดที่ต้องการให้ใครหล่อรูปให้มีเกียรติมีอะไรทํานองนั้น อนุญาตหล่อไว้ดูเมื่อตายแล้ว คงมีประโยชน์บ้างเมื่อตายแล้ว
ผมได้ยินว่านายปุ่นถึงกับเคยทําขายหรือครับ
ไม่จําเป็นต้องทําขาย รูปเล็กครึ่งท่อน แบน ๆ ทําขึ้นไม่กี่ตัว คงจะมีคนให้เงินบ้าง ผมบอกไม่ควรทําอย่างนั้น ไม่ต้องการอย่างนั้น เขาก็เลิก ก็หยุด พลเรือตรีคนหนึ่งตอนผมอยู่โรงพยาบาล เคยเอามาให้ผมทําพิธีมอบให้ตามธรรมเนียม คงได้มาจากคุณปุ่น ผมไม่มอบให้ แกเสียใจ ละอาย เก้อเขิน เรื่องก็เงียบไป
อาจารย์ครับ โบสถ์แบบสวนโมกข์นี่ มีความเป็นมาอย่างไรครับ อาจารย์มีจุดมุ่งหมายอย่างไรที่ทําแบบนี้
เพื่อให้ง่ายและประหยัด คล้ายครั้งพุทธกาลมากที่สุด ในสมัยพุทธกาลไม่มีอาคารโบสถ์แบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน ท่านกําหนดใช้ที่กลางดิน หรือว่าใช้ในวิหารที่พัก กําหนดว่าอยู่ในวิสุงคามสีมาก็ใช้ได้ วิสุงคามสีมาคือเขตที่แยกจากหมู่บ้าน
ในระยะแรก ๆ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็ไปลงอุโบสถที่วัดชยาราม บวชนาคก็ทําที่นั่น ต่อมาเมื่อเป็นวัดแล้วก็ขอวิสุงคามสีมาได้ ก็ใช้ยอดเขาพุทธนั้นแหละเป็นโบสถ์
แรกทีเดียวตรงนั้นใช้เป็นที่จัดงานเทศน์ประจําปีของสวนโมกข์อยู่หลายปี เดิมมันเป็นโคกสูง ก็ตั้งธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์บนโคกนั้น คนฟังก็นั่งอยู่โดยรอบกระทั่งชั้นล่าง
ต่อมาก็เกลี่ยโคกนั้นให้แบนลง เพื่อใช้เป็นที่นั่งทําสังฆกรรม ลงอุโบสถ บวชนาค เพิ่งมาเกลี่ยลงอีก ครั้งสุดท้าย เมื่อไม่นานมานี้เอง ตรงที่ใช้เป็นโบสถ์นั้นมันเป็นฐานพระเจดีย์เก่าถึงสมัยศรีวิชัย เพราะมีอิฐแบบศรีวิชัยอยู่เกลื่อนไป เมื่อเราไปพบมันมีหลุมลึกลงไปใต้ฐานเจดีย์ท่วมหัวคน เป็นเรื่องที่ขโมยมันขุดลงไปเพื่อค้นหาทรัพย์สมบัติ เราไปพบก็เลยช่วยกันเกลี่ยอิฐดินถมให้หลุมมันเต็ม ข้างบนทําให้เสมอพอนั่งได้ ใช้เป็นที่เทศน์มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งใช้เป็นโบสถ์ ก่อนได้วิสุงคามสีมาก็เคยใช้เป็นอรัญสีมาครั้งสองครั้ง เพราะมันห่างบ้านพอ
จนขอวิสุงคามสีมาได้แล้ว ก็ปักเขตคร่อมฐานเจดีย์นั้น คร่อมตอนสูงของเนินนั้นทั้งหมด เป็นเขตวิสุงคามสีมา ได้รับอนุญาตแล้ว เจ้าหน้าที่มาปักเขต เป็นวิสุงคามสีมาโดยสมบูรณ์ แต่เรายังไม่ได้ผูกพัทธสีมา มันไม่จําเป็น ที่เขาเรียกฝังลูกนิมิตนั่นแหละ ทํากันเพื่อจะหาเงินมากกว่า เรายังไม่คิดจะทํา มันทําสังฆกรรมได้แล้ว
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 180-182
ตอนที่ 56 ภาพหน้า 182-184
อาจารย์ครับ เมื่อครู่อาจารย์พูดถึงงานเทศน์ประจําปีของสวนโมกข์ นั่นมีความเป็นมาอย่างไรครับ
ก็มีความประสงค์จะเลือกเรื่องแปลก ๆ มาสู่สังคมผู้ฟังเทศน์ ให้ได้ยินเรื่องที่ไม่เคยได้ยิน แม้แต่เทศน์เวสสันดรชาดกก็เคยทํา แต่เราทําไม่เหมือนเขา เรามีแบบของเรา เลือกเอาคนที่ร้องเทศน์เวสสันดรทํานองเก่ง ๆ มา พระบ้าง ฆราวาสบ้าง มีบรรยายสลับอธิบายความ ที่เขาเทศน์ไว้เป็นทํานองไพเราะ ผู้ร้องก็มีอย่างนายสอนบ้าง พระครูสมบูรณ์บ้าง ตอนที่สําคัญ ๆ เขาร้องสัก ๑๕ นาที แล้วผมก็อธิบายเป็นวรรคเป็นเวร ตั้งแต่เริ่มกัณฑ์แรก รวบรัดจนจบ ๑๓ กัณฑ์ ได้เรื่องได้ราวดี มีร้องเป็นทํานองสลับเป็นตอน ๆ คนฟังก็พอใจ ไม่มีใครทํามาก่อน ที่ทํา ๆ กันมักนั่งฟังหลังขดหลังแข็งหลาย ๆ ชั่วโมง แต่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เราอธิบายเป็นธรรมะหมด คนก็เข้าใจง่าย งานของเราราว ๆ ๓ ชั่วโมง เลิกเย็นเกินไปไม่ได้ ชาวบ้านเขามากันไกล ๆ ต้องกลับบ้าน มีอยู่ปีหนึ่งพิเศษเทศน์ ๓ ธรรมาสน์ ท่านปัญญาฯ ท่านบุญชวน แล้วก็ผม ธรรมดาก็มีผมกับมหาสําเริงเป็นพื้น โดยมากผมก็เป็นคนวิสัชนา ไม่ได้เตรียมกันแบบตายตัว ครึ่งเตรียมครึ่งขึ้นไปนึกเอาบนธรรมาสน์ แล้วแต่ผู้ถามจะซักเอาเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่รู้ ๆ กันแล้ว เช่น ถ้าเทศน์เรื่องอนัตตลักขณสูตร ก็จะถามในแง่มุมต่าง ๆ ให้เกิดความเข้าใจเรื่องอนัตตาเป็นต้น มิลินทปัญหา ก็เคยเอามาเทศน์
เริ่มจัดเมื่อมาอยู่ได้ปี ๒ ปี อาจจะเป็นปี ๒๔๘๘ จัดอยู่ ๔-๕ ปีก็เลิก เพราะคนเลี้ยงอาหาร คนหาอาหารทําไม่ไหว มันเหนื่อย คนมันมากันมาก เคยลองประมาณดูปีหนึ่งตั้ง ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ คน
เราจัดในวันสงกรานต์ คนเขามาเที่ยวสงกรานต์ด้วย มาฟังเทศน์ด้วย เป็นธรรมเนียมแต่โบราณ ชาวบ้านแถบนี้เขาจะมาเที่ยวสงกรานต์ที่เขานางเอกัน ทางท่าฉาง ท่าชนะ เขาจะมาเที่ยวสงกรานต์กันที่นี่ มาไหว้พระบาทในถํ้า ถํ้านั้นเป็นถํ้าลักษณะสกัดหิน สกัดหินมาทําพระพุทธรูป เอาเข้าไปในเมือง แล้วสกัดข้างล่างเป็นรอยพระพุทธบาทเอาไว้ มีสกัดลวดลายตามปากถํ้าบ้าง คงจะราว ๆ สมัยกรุงศรีอยุธยา เขาทําพระพุทธรูปก็เต็มไปทั้งบ้านทั้งเมือง พระพุทธรูปเป็นแบบอยุธยา คงเป็นสมัยพระบรมไตรโลกนาถ สันนิษฐานว่าอย่างนั้น บ้านเมืองตอนนั้นคงสงบสุขในทางศาสนา
งานเทศน์ประจําปีของเราเป็นการรวบรวมปัจจัยด้วย เพื่อสร้างนั่นสร้างนี่ในวัด ตําบลหนึ่งเขาก็จะแห่พุ่มต้นไม้ธนบัตรมากลุ่มหนึ่ง ตําบลนั้น ตําบลนี้ แห่กันมาพุ่มสองพุ่มแล้วแต่ งานจึงเต็มไปด้วยพุ่มธนบัตรมีการบอกข่าวออกไปตามสาย สายโมถ่าย สายตะกรบ สายป่าเวก็ส่งข่าวไปตามคนคุ้นเคย มีแจกใบปลิวกันเล็ก ๆ น้อย ๆ มันเป็นธรรมเนียมอย่างนี้ ง่ายมาก ไม่กี่ครั้งก็บ่อนติดจนต่อมาหลายปี เจ้าของบ้านสู้ไม่ไหว ต้องบอกเลิก
เขามากันไกล ๆ เดินมาก็ตั้ง ๓-๔ ชั่วโมง มาถึงก็หิวก็เหนื่อย ก็ต้องทําอาหารเลี้ยง จะซื้อจะหาแบบเดี๋ยวนี้มันก็ไม่มี จะเปลืองมันก็ไม่เปลืองเท่าไร แต่คนทําเหนื่อยมาก ทําอาหารเลี้ยงคน ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ คน ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ พี่หอแกเป็นหัวหน้าแม่ครัว อยู่ที่บ้านปากด่าน ทําจนไม่มีเสียง พูดออกมาไม่ได้ยิน แม่ครัวส่วนใหญ่ก็คนแถวนี้ หมู่บ้านปากด่าน แล้วก็แถววัดแก้วอะไรก็มี
ต้องมาค้างคืนที่วัด ทําขนมจีนกัน หรือรับไปทําที่บ้านก็มี ทํามาจากบ้านก็มี ที่วัดก็ตั้งครัวกันตรงริมธารนํ้าไหล ตรงมีต้นยางใหญ่ ๆ อยู่เดี๋ยวนี้ ตรงนั้นมีจอมปลวกใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง ก็ขุดหลุมกันรอบ ๆ จอมปลวกนั้น ตัดดินออกตั้งกระทะรอบ ๆ ได้ แล้วต้องปลูกโรงยาวหลังหนึ่งไว้วางของ มันเหน็ดเหนื่อยกันไปทั้งนั้น แม้คนกินก็เหนื่อยเพราะเดินมากว่าจะได้ไปฟังเทศน์ บางคนก็ต้องไปนอนฟังอยู่ชั้นล่าง แล้วฟังเสร็จก็ต้องรีบกลับ บ้านไกล ไม่ค่อยได้ตั้งใจฟังนัก คนอยู่ใกล้ก็ได้ประโยชน์ดี อยู่ไกล มันไม่ค่อยมีประโยชน์ ในที่สุดสู้ไม่ไหวเลยของด จัดอยู่ ๔-๕ ปี เห็นจะได้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 182-184
ตอนที่ 57. ภาพหน้าที่ 184-187
อาจารย์ครับ แล้วหินโค้งมีความเป็นมาอย่างไรครับ
ตอนแรกฉันกันที่ศาลาโรงธรรม ต่อมาเกิดความคิดที่จะนั่งฉันกลางดิน ก็นั่งฉันกันกลางดิน ยังไม่เป็นหินโค้ง นี่หมายถึงเวลามีงานพิเศษซึ่งต่อมาเรียกฉันสาธิต ตามปกติก็ฉันที่โรงฉัน แล้วความคิดเรื่องหินโค้งก็ค่อย ๆ เข้ามา จําไม่ได้แล้วว่าความคิดฟักตัวขึ้นมาอย่างไร แต่เราชอบโค้ง พระจันทร์ครึ่งซีก มันสวยกว่าเป็นศิลปะกว่าทื่อ ๆ และก็สะดวก ประธานสงฆ์นั่งตรงกลางสามารถเห็นองค์อื่น ๆ หมด ตอนแรกอยู่ตรงด้านหน้าออกมา ไม่ได้ลึกเข้าไปใกล้เชิงเขาอย่างปัจจุบัน แต่นั่งกลางดินมันไม่สะดวก รักษาความสะอาดยาก ปีหนึ่งมีคนจากกรุงเทพฯ มานั่งฟังเทศน์ตรงนั้น คันไปทั้งตัว เชื้อคันคงเป็นเรื่องของสุนัข หมัดสุนัข ความคิดที่จะยกพื้นขึ้นมาสูงเป็นหินโค้งก็ตามมา ใช้เลี้ยงพระ เวลาปกติใช้ฟังเทศน์ ฟังธรรมด้วย ถ้าฝนตกก็ใช้โรงธรรมในตอนแรก ต่อมาเมื่อมีโรงหนังมีเรือ ฝนตกก็ใช้โรงฉันตามปกติ ฟังเทศน์ก็ใช้ที่เรือลําใหญ่ มันก็เคลื่อนของมันมา เปลี่ยนแปลงมาเรื่อย ๆ
อาจารย์ครับ การฉันสาธิตนี่จัดไว้เพื่ออะไรครับ
คําว่าสาธิตนี้มันเป็นคําที่มีใช้อยู่ทั่วไป คือแสดงการกระทําให้ดู ทําให้ดูแทนที่จะพูดเฉย ๆ ฉันสาธิตคือทําให้ดูว่าสมัยพุทธกาลเลี้ยงพระกันอย่างไร
สมัยโน้นก็จะให้พระนั่งเป็นระเบียบ แล้วก็มอบบาตรให้เจ้าภาพตัก เจ้าภาพก็เอาบาตรไปจัดอาหารใส่ แล้วก็เอามาถวายพระที่นั่งอยู่ ฉันเสร็จแล้วก็อนุโมทนา ระยะแรก ๆ ที่นี่ก็ทําแบบนี้ ตอนแรกที่นี่ก็ทําแบบนี้ คือเอาบาตรวางไว้ตรงแท่นหินใหญ่หน้าหินโค้งลงมาด้านล่าง ให้ทายกทายิกาจัด แล้วจึงนําไปถวายพระที่นั่งอยู่ที่หินโค้ง ทีนี้ต่อมาไม่มีคนขน ต้องการคนขนมากก็เลยเปลี่ยนเป็นเอาบาตรวางไว้ตรงหน้าที่พระนั่ง อาหารต่าง ๆ ก็ใส่รวมลงไปในบาตร ของหวานวางในฝาบาตร เรียกเป็นการภายในว่าตักบาตรจานแมว
เคยทําแบบนี้ตั้งแต่ใช้โรงธรรมอยู่ การเอาบาตรไปจัดมันไม่สะดวก เวลายกกลับมาบาตรของใครของใครมักสลับกัน ควบคุมลําบากก็เลยมาจัดตรงหน้าแทน เลี้ยงพระจํานวนร้อย ๆ ก็ได้ แล้วระหว่างพระฉันก็มีการเติม คอยเติมจนบอกปฏิเสธ เวลาฉันก็ฉันด้วยมือ ผมขอร้องให้ทุกองค์ฉันด้วยมือ เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าเป็นพิเศษวันหนึ่ง
การฉันแบบนี้ก็ทําเฉพาะโอกาสพิเศษ แรก ๆ ก็ทําทุกวันพระ และโอกาสที่มีคนมาเลี้ยงพิเศษ ต่อมาทําทุกวันเสาร์แทนวันพระ เพราะเรามีเทศน์วันเสาร์ แต่เดี๋ยวนี้ชักเลิก ๆ ไป แต่ถ้ามีคนเลี้ยงพิเศษก็เอื้อเฟื้อเขา มันยุ่งมากพอสมควร ทั้งคนเลี้ยง ทั้งพระที่มาฉัน เสียเวลามาก เพื่อความสะดวกโดยมากก็ฉันกันที่โรงฉัน นอกจากพระที่ทํางานพิเศษก็ตักไปฉันที่กุฏิได้ ฉันโรงฉันที่นี่เคยเรียกฉันแบบรถไฟ คือเข็นอาหารใส่รถเข็น พระนั่ง ๒ ข้างหันเข้าหากันแล้วก็ตักใส่บาตรเท่าที่ต้องการ แล้วก็เข็นต่อไป
ตั้งแต่ไม่สบายผมก็ไม่ได้ไปฉันรวม ขอตัวเป็นพิเศษ ขอผ่อนผันไม่ต้องไปนั่งอย่างนั้น กว่าจะเสร็จมันขัดข้องต่อร่างกาย ถ้าผู้มีเกียรติมา คนพิเศษ มีบุญมีคุณมา ผมก็ไปช่วยพูดให้ไปต้อนรับ
อาจารย์ครับ แล้วตอนสร้างหินโค้ง ขนหินกันมาจากไหนอย่างไรครับ
ขุดมาจากตรงช่องแหว่งที่เขาพุทธทอง บางเวลาพระก็ช่วยกันทํา ท่านบัญญัติ ท่านพงศักดิ์ เหล่านี้ทํากันมาก ลงแรงกันมาก บางเวลาก็จ้างเขาขุด วาละ ๘๐๐ บาท มันเป็นเขาหินปนดิน ขุดออกมาแล้วก็เอาไปใช้ทั่ววัด ทําโรงเรียนหินก็เอาไปจากตรงนี้ ช่องนั้นเคยเรียกว่าถํ้า เพราะตั้งใจจะทําถํ้า กะจะขุดตัดภูเขาไปทะลุทางด้านโน้น แล้วหล่อคอนกรีตปิดข้างบนให้กลายเป็นถํ้ายาว สวนโมกข์ยังขาดถํ้า เกิดความคิดจะทําถํ้า แต่ก็ยังคาราคาซังมา ไม่อยากให้คนปลุกปลํ้ากันมาก คงไม่มีใครทําต่อได้ มันเหนื่อยกันมาก
ถ้าทํา มันจะคล้ายประสาทหินที่เขมร เข้าทางฝ่ายนี้ แล้วเดินมุดถํ้าไปเรื่อย ๆ กว่าจะทะลุตั้งกิโลฯ เป็นถํ้าจําลอง
โรงเรียนหินใช้ทําอะไรครับ
ใช้อบรมธรรมะ สมัยผมยังเดินเหินคล่องแคล่ว ใช้ที่นั่นบ่อย พวกนักศึกษา พวกผู้พิพากษา พวกซิสเตอร์ ใช้ที่นั่นทั้งนั้น คําบรรยายชุดบรมธรรมก็บรรยายที่นั่น แต่ก่อนนี้มันเป็นที่สวยมุมหนึ่งของสวนโมกข์ ดูวิวก็สวย เดี๋ยวนี้ไม่ได้ใช้ก็รกไป ถ้าชําระสะสางกันใหม่ มันก็สวย ใช้ทรายขาวเป็นพื้น
อาจารย์ครับ การจัดหินโค้ง จัดโรงเรียนหินอะไรพวกนี้ มีใครมาวางแบบให้หรือเปล่าครับ
ไม่มี คนแถวนี้จะไปหาศิลปินแบบนี้ที่ไหน เราก็ไม่ได้ออกแบบอะไร ใช้ความคิดนึกชั่วขณะที่มองเห็น อะไรเป็นปัญหาเกิดขึ้นชั่วขณะก็แก้เอา เราชอบธรรมชาติอันรื่นรมย์เกลี้ยงเกลา เมื่อเที่ยวทะเล เคยเห็นภาพวิวต่าง ๆ เห็นอะไรที่มีอยู่ก็อาศัยสิ่งนั้น เลยมาจัดให้มันกลมกลืน เกลี้ยงเกลา
อาจารย์ครับ แล้วส้วมสวนโมกข์ที่สร้างยุคแรกทําไมทรงแปลกละครับ
(หัวเราะ) มันง่ายและต้องการให้มันแปลก หน้าต่างโล่ง ๆ มันจะไม่ได้อับ อยู่ในป่าแบบนี้ ไม่มีใครมองมาจากทางทิศไหน คนเข้าใจว่ามันเป็นป้อมตํารวจก็มี เราเคย (หัวเราะ) เรียกส้วมว่าเป็นกุฏิวิปัสสนา ล้อเลียนเพื่อน ก็ใช้พิจารณาอสุภะได้จริง ๆ ด้วย แต่ก่อนตรงมุมนี้ เคยมีส้วมเล็ก ๆ หลังหนึ่ง ใช้เฉพาะของเรา เคยแขวนป้าย กุฏิวิปัสสนาชั้นหนึ่ง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 184-187
ตอนที่ 58 ภาพหน้าที่ 188 -190
เบื้องหลังสิ่งก่อสร้างหลากหลายของสวนโมกข์
อาจารย์ครับ สระนาฬิเกร์นี่ใครช่วยอาจารย์ครับและมีความเป็นมาอย่างไร
มันมาจากบทกล่อมลูกของคนปักษ์ใต้ โดยเฉพาะที่ไชยา ที่มีความหมายลึกในทางโลกุตตรธรรม เราให้สร้างสระนี้ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงความเอาจริงเอาจังในทางธรรม ของปู่ ย่า ตา ยาย สมัยนั้น ในบทกล่อมลูกประมาณ ๕-๖ ร้อยบทนี้ มีบทธรรมะสูงสุดในทํานองโลกุตตระอยู่ ๓-๔ บท เราเลือกเอาบทนี้ มันมีความหมายว่า นิพพานนั้นอยู่กลางวัฏสงสาร เราสอนกันมาตามโรงเรียนนักธรรม เราสอนว่าโลกิยะกับโลกุตตระ ต้องแยกกันอยู่คนละทิศละทาง เหมือนฟ้ากับดิน ทั้งนี้เพราะเราพากันลืมเสีย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า มีทุกข์ที่ไหน ต้องดับทุกข์ที่นั่น นิพพานคือดับทุกข์ที่สุด มันก็ต้องอยู่ตรงกลางที่มีความทุกข์ที่สุดนั่นแหละ
ในสวนโมกข์นี้ เราต้องการจะสร้างอะไรชนิดที่ช่วยให้สะดุดตา สะดุดใจ เพื่อเป็นชนวนสําหรับพิจารณารู้สึกนึกถึงธรรมะขึ้นมาได้หลาย ๆ อย่าง รวมทั้งสระนาฬิเกนี้ด้วย เรียกว่าอุปกรณ์ของมหรสพทางวิญญาณ
สระนี้ นายสุจิต พันธุมนาวิน ทํา นายสุจิต ขุดคนเดียว ไปยืมแทรกเตอร์เขามา เขาทํางานด้วยแทรกเตอร์ สามารถทําคนเดียวได้ ไม่น่าเชื่อ (หัวเราะ) เป็นวิศนุกรรม เป็นวิศวกร ไม่น่าเชื่อ
อาจารย์ครับ แล้วคุณสุจิตมาช่วยอาจารย์ได้อย่างไรครับ
แกก็มาเอง รู้เรื่องสวนโมกข์ แกอยากละชีวิตในเมือง คงจะเห็นประโยชน์ในทางชีวิตป่า ก็เลยมาจะขอบวช ผมก็ขอผลัดว่าอย่าเพ่อบวช ทําประโยชน์ได้มากกว่าบวช ก็เลยบวชแบบไม่ต้องห่มเหลือง อยู่อย่างกะบวช ช่วยงานมากมายหลายอย่าง ที่ทํามากก็โรงไฟฟ้า ไฟฟ้าก่อนนี้มันไม่สะดวก ใช้ไฟปั่นเอง หมอไพบูลย์ส่งเครื่องมาให้ คุณสุจิตเขามีความรู้ แล้วเขาก็ช่วยงานทุกอย่างเกี่ยวกับช่าง ทุกอย่างทางไฟฟ้า ซ่อมรถยนต์ ทําถนน เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ ซื้อหามา อย่างการขนหินมาใช้ตามที่ต่าง ๆ นายสุจิตเขาก็เป็นคนขับรถยนต์กระบะขนให้
เขาพักอยู่บนเขานางเอ ทํากุฏิเอง สร้างด้วยโครงเหล็ก ทําไว้ ๒ หลัง ตอนหลังคุณเทียน อายุมากหน่อย ทําตัวคล้าย ๆ เป็นครึ่ง ๆ อาจารย์ ก็เลยแยกไปอยู่ที่นั่นด้วย สร้างด้วยไม้อีกหลังหนึ่ง
ผมทําเองหลังหนึ่ง ศาลาเล็ก ๆ นั่งดูวิว มุงหลังคาสังกะสี ใต้ถุนเก็บของได้ ตอนนั้นชอบไปดูดวงอาทิตย์ที่นั่น ไม่ได้นอนที่นั่น ตอนตี ๕ ขึ้นไป ไปดูดวงอาทิตย์ ไปถ่ายรูป ตอนเย็นไปนั่งดูวิว ตอนนั้นต้นไม้ยังไม่บัง บางทีก็ตัดแต่งกิ่งก้านไม้เล็ก ๆ ที่บังวิวบ้าง
อาจารย์ครับ บวชแบบคุณสุจิตนี่ได้ผลไหมครับ
ก็ได้ผลสิ มันก็ศึกษาไปด้วย ทํางานไปด้วย พร้อมกันไป นอกจากคุณสุจิตแล้ว ก็ยังมีอีก ๒ คน นายซ้างกับนายพินิจ แล้วก็มหาเอี้ยนอีกคน อยู่ในประเภทเดียวกัน ขอผลัดไปก่อน อยู่ช่วยกันทํางาน นายซ้างเขาช่วยนายสุจิตอีกที ช่วยทาสี ทานํ้ามันวานิช การผสมปูนเป็นหน้าที่ของนายสุจิต ผสมกันมากมาย ยาวนาน นายพินิจช่วยด้านสร้างบ้านพักในเขตอุบาสิกามาก ช่วยทําหลายหลัง
ต่อมานายสุจิต เขาต้องกลับไปดูแลแม่ที่เป็นอัมพาต หาเงินจุนเจือแม่ ก็ต้องไปทํางาน ใจแข็ง สมัยมาอยู่ที่นี่ ภรรยาเขามานั่งอ้อนวอนเท่าไร ๆ ก็ไม่ยอมกลับไปอยู่ด้วยกัน เดี๋ยวนี้ดูเหมือนไปจัดทําสถานที่ที่นครสวรรค์ คล้าย ๆ แบบจะไปอยู่ตอนแก่เฒ่า เอาคํากลอนต่าง ๆ ของเราไปหล่อเป็นป้ายเต็มไปหมด คนที่เคยไปมาเขาบอกว่าลมดีนํ้าดีเป็นรูปเนินอะไรสวยงาม
นายซ้างตอนหลังรบเร้าขอบวช ผมก็บวชให้อยู่ ๓-๔ ปีเท่านั้น ก็สึกออกไป เห็นได้ลูกได้เมียแล้ว กลับไปทํางานโรงกลึงกับพี่ชาย นายพินิจยังอยู่มาแบบนั้นจนทุกวันนี้ ไม่ค่อยสบาย สงสาร เคยเหนื่อยมามากมาย ช่วยงานช่วยการมา ทุกวันนี้ก็ให้แกพักผ่อน รักษาตัว
สระนํ้าคุณชํานาญที่เลยหัวเรือไปมีป่ากั้นอยู่หน่อยหนึ่งนั่น ก็นายสุจิตสร้าง คนอื่นช่วย อยู่ตรงกับหัวเรือ เลยป่าละเมาะหย่อมนั้นไป คุณชํานาญเขาอยากสร้างอะไรเป็นที่ระลึกแก่มารดาของเขา เลยสร้างสระแบบนั้นให้ รอบ ๆ สระก่อนนั้นเป็นก้อนหินสะอาด ใช้เป็นที่นั่งสนทนาธรรม พักผ่อนเวลากลางวัน แขกมาก็นัดไปสนทนาธรรมกันที่นั่น นั่งล้อมรอบ ๆ สระ ความเงียบช่วยให้คุยกันได้ยิน ไม่ต้องตะเบ็ง เลี้ยงปลาเล่นไปด้วยกันก็ได้ เวลาหน้าฝนนํ้าเต็มสระ เคยมีนกหงส์ป่าลงมาว่ายเล่นด้วย ตัวสีดํา ปากแดง มีคนเคยไปแอบดู ขอบสระบุด้วยก้อนหินทั้งก้อน มันคงก้อนใหญ่เกินไป มีอะไรผิดพลาดบ้าง นํ้าเลยขึ้นลงตามระดับนํ้าใต้ดิน หน้าฝนนํ้าก็เต็มเปี่ยม เย็นสบายดีเหมือนกัน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 188-190
ตอนที่ 59 ภาพหน้าที่ 190-192
อาจารย์ครับ เรือน ๒ ชั้น บนเขาพุทธทอง ที่เรียกหอไตรนั้นทําตั้งแต่เมื่อไร ตั้งใจจะใช้เป็นอะไร
ตั้งใจจะเป็นที่เก็บพระไตรปิฎก คิดพร้อม ๆ กับการเริ่มมีสวนโมกข์ที่นี่ ต้องการให้เป็นที่เก็บรวบรวมพระไตรปิฎกอย่างสมบูรณ์ มีพระบาลี มีอรรถกถา มีฎีกา อนุฎีกาอย่างหอไตรที่สมบูรณ์แบบในกรุงเทพฯ แต่มันก็โลเลเหลวไหล ผัดเพี้ยนมาไม่ได้ทําให้สมบูรณ์ เลยใช้เป็นที่พักที่อยู่ไปพลาง โดยเฉพาะเวลามีงาน มีพระมากันมาก ๆ
ตอนหลัง ๆ เมื่อปีที่แล้วนี่เอง เริ่มทําหอสมุดที่หัวเรือ คุณสมยศ (พระสมยศ ยสฺธมฺโม) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงลงมือทําจนมาเปิดได้ปีนี้ (๒๕๒๘) พระไตรปิฎกชุดต่าง ๆ จึงรวมเข้าไว้ในห้องสมุดนั้น พอดีคุณรัญจวนมาอยู่ ก็ได้กําลังจากคณะบรรณารักษ์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง มาช่วยจัดอยู่หลายครั้ง จนเรียบร้อย แต่ก่อนนั้นมีเพียงที่อ่านหนังสือ ห้องสมุดเล็ก ๆ น้อย ๆ คือตั้งโต๊ะแล้วเอาเก้าอี้ล้อม ทําบนโรงธรรมชั้นล่าง แล้วรื้อมาอยู่ใต้หัวเรือในที่สุด
หนังสือในห้องสมุดก็คนนั้นคนนี้ให้มา หลาย ๆ ปีมันก็มากเข้า พระไตรปิฎกก็มีคนให้หลายชุด เอ็นไซโคลปีเดีย เจ้าชื่นซื้อให้ พระไตรปิฎกจีน ก็พวกจีนคนหนึ่งซื้อให้ โดยการแนะนําของหมอตันหม่อเซี้ยง ลืมชื่อไปแล้ว พระไตรปิฎกพม่านั้นเขาส่งตามมาให้เมื่อคราวไปปาฐกถาในงานฉัฏฐะสังคายนาที่ประเทศพม่า นอกจากนั้นก็เป็นหนังสือทั่ว ๆ ไปที่มีคนส่งมาให้ ตั้งแต่อยู่สวนโมกข์ที่พุมเรียง ก็เริ่มมีคนส่งมา ต่อมาเป็นที่รู้จักมากขึ้นก็มีคนส่งมามากขึ้น เมื่อพระดุลยพากษ์สุวมัณฑ์เสียชีวิตแล้ว ลูกหลานก็ส่งหนังสือของแกมาให้จํานวนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด คงส่งเล่มที่มีซํ้ามา เพราะเห็นว่าที่บ้านจะเปิดเป็นห้องสมุดให้พระดุลย์
อาจารย์ครับ แล้วหนังสือในศาลาธรรมโฆษณ์ละครับ
นี่มันเป็นที่รวบรวมงานหนังสือของเราเอง เป็นที่รวบรวมผลงานทั้งหมดที่มีอยู่ รวมทั้งเทปบันทึกเสียงด้วย แล้วก็ไว้เป็นที่บรรจุศพด้วย พอเราตายแล้วเอาไว้ในนั้น ใต้ฐานพระพุทธรูป แล้วก็เอาปูนเทลงไปอีกหน่อย มันจะเป็นฟอสซิล (หัวเราะ) หลายพันปี คนเปิดออกดู สมบัติ ๓,๐๐๐ ปี มันก็ยังมีประโยชน์แก่การศึกษาเกี่ยวกับคน เกี่ยวกับกระดูกอะไรก็ตามที่เป็นความรู้ (หัวเราะ)
อีกอย่างหนึ่ง คนแต่งหนังสือกับหนังสือมันก็ควรจะอยู่ด้วยกัน แล้วอยากให้เป็นที่นัดสนทนาธรรมกันที่นั่น เขียนกลอนสําหรับจะจารึกไว้แล้ว มีคนเอาไปท่องแล้ว
ก็ไม่ได้จริงจังอะไร อะไรก็ได้ มันแล้วแต่คนข้างหลัง ถ้าคนข้างหลังไม่ทํามันก็เป็นไปไม่ได้ แต่คิดไปในทางที่จะให้เป็นประโยชน์แก่คนข้างหลัง ง่ายสะดวก ทุกวันพระไปสนทนาธรรมกันที่นั่น ทําได้อย่างนั้นก็ดี มันมีความก้าวหน้าทางธรรมะเหมือนอย่างกะว่าเราไม่ตาย ยังอยู่รับใช้พระศาสนาตลอดกาล
ศาลาธรรมโฆษณ์เป็นที่รวบรวมผลงานไว้เป็นหลักฐาน ว่าได้ทํางานไว้ในโลกนี้กี่มากน้อย
อาจารย์ครับ ธรรมาสน์ที่วางอยู่ในศาลาธรรมโฆษณ์และยกออกมาใช้ตอนมีงานนั้น ผมเห็นแปลกจากที่อื่น อาจารย์มีเหตุผลอะไรหรือเปล่าครับที่ทําแบบนั้น
เพราะความจน (หัวเราะ) ความจน คิดว่าเท่านั้นก็พอ ทําเป็นกระบะ ๒ ตัว มีพนักพอพิงได้ เผื่อบางทีเทศน์ปุจฉาวิสัชนาใช้ ๒ ที่ ถ้าไม่มีธรรมาสน์ ใช้อะไรก็ได้ นั่งตรงไหนก็ได้ เก้าอี้ตรงไหนก็ได้ ก้อนหินก็ได้ ทําได้ทุกอย่าง
เราไม่ชอบแบบเปิดด้านหน้าที่เขาทํากันทั่วไป จึงเปิดด้านข้าง ขึ้นด้านข้าง เคยโดนมาแล้ว มันรําคาญ ๆ ไปที่ไหนก็ขึ้นธรรมาสน์เปิดด้านหน้าทั้งนั้น กว่าจะนั่งเรียบร้อย กว่าจะพับขาเรียบร้อย ยุ่ง ต้องระวังผ้าไม่ให้เวิบวาบ คนฟังเทศน์ก็ดูเป็นตาเดียวกันอยู่ เลยคิดมาทําอย่างนี้ดีกว่า แต่ถ้าเป็นธรรมาสน์สูง ๆ แบบโบราณแท้ ๆ ธรรมาสน์สูงท่วมหัวที่เป็นมณฑป บันไดขึ้นก็อยู่ด้านข้างเรียบร้อยสบาย
เราเคยเห็นธรรมาสน์พิเศษอยู่ชนิดหนึ่ง คิดจะเอาอย่างแต่ไม่ได้ทํา คือหุ้มหมดทุกด้าน ปรุเป็นลายฉลุทุกด้าน โปร่งไปหมดทั้งหลัง เว้นแต่ด้านประตูขึ้นลง ข้างบนมียอด เข้าไปนั่งข้างในไม่มีใครเห็น มีแต่เสียงออกมา โปร่งทุกด้าน ไม่เห็นหน้าคนเทศน์ จะนั่ง จะนอน จะออกท่าอย่างไรก็ได้ (หัวเราะ) สบายดี ไปเห็นที่เชียงใหม่ ครั้งแรกไม่รู้ว่าอะไร จนต้องถามเขาบอกว่าธรรมาสน์ สะดวกแก่พระเทศน์ สันนิษฐานเอาเองว่าคงเป็นแบบเทศน์มหาชาติ จะโยกจะโคลง จะสั่น จะคลอน ตามชอบใจ ไม่น่าเกลียด พยักคาง พยักคอ โยกตัวได้ตามสบาย แต่เดี๋ยวนี้ไม่คิดทําแล้ว มันเกินไป
อาจารย์ครับ แล้วตึกเล็ก ๆ สูง ๆ ที่เรียกกุฏิอาจารย์ชา มีความเป็นมาอย่างไรครับ
อ๋อ กุฏิที่อยู่หัวเรือ สร้างสําหรับแขกพิเศษ พระผู้ใหญ่เป็นต้น ปรารภเรื่องอาจารย์ชา อาจารย์ชาเคยตั้งใจจะมาเยี่ยมที่นี่ ก็ทํากุฏิไว้ให้ท่านพัก แต่ท่านล้มป่วยเสียก่อน จนเดี๋ยวนี้ ก็คงหมดหวังแล้วว่าจะมาได้ ก็เลยเรียกกุฏิอาจารย์ชา มาตั้งแต่นั้น เพื่อเป็นที่ระลึก ไว้ใช้เป็นที่พักของแขกพิเศษ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 190-192
พุทธทาส จักอยู่ไป ไม่มีตาย
แม้ร่างกาย จะดับไป ไม่ฟังเสียง
ร่างกายเป็น ร่างกายไป ไม่ลำเอียง
นั่นเป็นเพียง สิ่งเปลี่ยนไป ในเวลา
พุทธทาส คงอยู่ไป ไม่มีตาย
ถึงดีร้าย ก็จะอยู่ คู่ศาสนา
ตามบัญชา องค์พระพุทธ ไม่หยุดเลย
พุทธทาส ยังอยู่ไป ไม่มีตาย
อยู่รับใช้ เพื่อนมนุษย์ ไม่หยุดเฉย
ด้วยธรรมโฆษณ์ ตามที่วาง ไว้อย่างเคย
โอ้เพื่อนเอ๋ย มองเห็นไหม อะไรตายฯ
แม้ฉันตาย กายลับ ไปหมดแล้ว
แต่เสียงสั่ง ยังแจ้ว แว่วหูสหาย
ว่าเคยพลอด กันอย่างไร ไม่เสื่อมคลาย
ก็เหมือนฉัน ไม่ตาย กายธรรมยัง
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน นั้นไม่ตาย
ยังอยู่กับ ท่านทั้งหลาย อย่างหนหลัง
มีอะไรมาเขี่ยไค้ ให้กันฟัง
เหมือนฉันนั่ง ร่วมด้วย ช่วยชี้แจง
ทำกับฉัน อย่างกะฉัน ไม่ตายเถิด
ย่อมจะเกิด ผลสนอง หลายแขนง
ทุกวันนัด สนทนา อย่าเลิกแล้ง
ทำให้แจ้ง ที่สุดได้ เลิกตายกัน ฯ
.ท่านพุทธทาสไปพม่าเพราะอะไร
.
** ชุดธรรมโฆษณ์ online
ใน Google sheet #searchง่ายได้ฟังทันที
--> https://bit.ly/3p4Y10i
เช่น
search --> ปฏิบัติ พบ 84 แห่ง
search --> ตัวกู พบ 82 แห่ง
search --> สติ พบ 110 แห่ง
search --> ขันธ์ุ พบ 27 แห่ง
search --> นิพพาน พบ 38 แห่ง
search --> กรรม พบ 21 แห่ง
search --> กิเลส พบ 31 แห่ง
search --> ปฎิจจ พบ 34 แห่ง เป็นต้น
สนใจ-->แตะ-->ฟัง มี 2,100 เรื่อง
ตอนที่ 60 , ภาพหน้าที่ 193-196
เสา ๕ เสาที่อยู่ข้างบนมีความหมายว่าอย่างไรครับ ผมเห็นสิ่งก่อสร้างของสวนโมกข์มีแบบนี้หลายหลัง
๕ เสานี้ ความชอบ ความรู้สึกนึกคิด ความดลใจที่แท้จริงมาจากอมราวดี วิหารอมราวดีทุกแห่ง แม้ที่บูชาพระพุทธรูปจะมีขีด ๕ ขีดอยู่ข้างหลัง ผมก็ชอบคําว่า ๕ ก็เลยเอามาเป็นเสา ๕ เสา เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง แทนได้หลายอย่าง ละเสีย ๕ คือนิวรณ์ ๕ ประพฤติ ๕ คือ พละ ๕ อินทรีย์ ๕ ได้ผล ๕ คือมรรคผล ๔ นิพพาน ๑ เป็น ๕ ยังมี ๕ อื่น ๆ อีกแยะ เป็นเรื่องความพอใจส่วนตัว เก็บอยู่ในใจ คนอื่นจะตีความอย่างไรก็ตามใจเขา เรานึก ๆ อยู่ในใจของเราว่า อินทรีย์ ๕ พละ ๕ จะตรงที่สุด ที่อมราวดีในอินเดียสมัยโน้น เขาอาจจะหมายถึงพระพุทธเจ้า ๕ องค์ก็ได้
อาจารย์ครับ แล้วที่พักเล็ก ๆ ของอาจารย์ที่อยู่ปัจจุบันนี้ เป็นมาอย่างไรครับ
อ้อ ที่มันเกิดจากไม่สบาย มาจากโรงพยาบาล เกือบเดินไม่ได้ ห้องนี้มันมีเตียงคนเจ็บอยู่แล้ว กลับจากโรงพยาบาลครั้งหลัง (๒๕๑๘) ก็มาพักห้องนี้ มานอนพักฟื้น มันเป็นห้องนํ้าห้องส้วมอยู่ในตัว จึงสะดวกตอนนั้นคํ่าคืนถ่ายปัสสาวะไม่เป็นเวลา
อาจารย์ครับ แล้วเขตอุบาสิกาเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ ทราบมาว่าตอนแรกอาจารย์ไม่ยอมให้มี
ไม่มีชี ความคิดเดิมว่าจะไม่มีชี แล้วมันเกิดขึ้นเพราะมันต้องมีโรงครัว ตอนที่ยังไม่มีครัว พระหรือเณรก็ช่วยแก้ปัญหา อะไรกันบ้างที่คุณเฉลิมเรียกว่าพระแม่บ้านนั่นแหละ ทําเพิงหุงต้มเล็ก ๆ ด้านหลังของโรงฉัน ขึ้นมาทางเขาพุทธทอง ต่อมามันไม่พอ พระเณรมากเข้าก็มีคนเขาอาสาทํา ตอนแรกก็น้าเส้ แม่ของเนียม เขามาอยู่คนเดียว ปลูกเป็นกระต๊อบมุงจากอยู่ แล้วก็เริ่มมีแขกไปใครมามากขึ้น แรก ๆ ก็พักอยู่กับน้าเส้ ต่อมาก็เลยปลูกถาวรขึ้น เป็นโรงครัวถาวร แล้วก็มีคนมาช่วยทําครัวมากขึ้น ดูเหมือนพี่ศีลจะเป็นคนที่ ๒ ก็มาปลูกกระท่อมจนกระทั่งปลูกเป็นบ้านพออยู่ได้ น้าย่อมเป็นคนที่ ๓ ก็เลยมีที่ ๔ ที่ ๕ คุณอรุณวตี คุณเฉิน (หงส์นันท์) เมื่อมีแล้วก็ขยายปรับปรุงเป็นนิคมคนแก่ ทางตะกั่วป่า มาขอปลูกบ้านพัก ญาติทางฝ่ายน้าเขยมาขอปลูกบ้านหัวมุม คุณนายทวีมาปลูกบ้านหลังใหญ่ หลาย ๆ คนเข้าเลยเต็มพื้นที่ที่จัดไว้เป็นเขตอุบาสิกา ผมเห็นที่ตรงนั้นมันว่างอยู่มาก ถ้าไม่ทําอะไรมันขึ้นรก ก็เลยตัดถนนขึ้นมาสายหนึ่งให้เป็นเขตอุบาสิกาไปมุมหนึ่งเลย แต่ไม่เปิดเป็นสํานักชี ไม่รับบวชชี บวชกันมาแต่อื่น
บ้านเหล่านี้ บางเจ้าของเขาก็ออกทุน มีพินิจคอยช่วยปลูกสร้างให้บางหลัง เสียแต่ค่าวัสดุอุปกรณ์ นายพินิจเขาออกแรง เสียสละมาก บางหลังเขาก็จ้างเหมาคนมาทําเอง
ผมก็เพียงแต่แนะนําให้ทําแบบประหยัดที่สุด ให้ง่ายที่สุด ควบคุมให้ระยะห่างพอดี ๆ
อาจารย์ครับ ก่อนมีโรงครัวนี่ พระเณรทําอาหารกันแบบไหนครับ
โดยมากก็เรื่องอุ่นปิ่นโตที่ได้มาให้ร้อน เอาปิ่นโตลงไปนึ่งในปี๊ปนึ่งทั้งปิ่นโต ตอนนั้นเดินปิ่นโต เด็กหิ้วปิ่นโตตามหลังพระ
ถ้าอาหารเหลือก็เอารวมกันเป็นหม้อเดียว ต้มเรื่อยไป เรียกว่าแกงรวม ฟังดูแล้วน่าขยะแขยง (หัวเราะ) แต่มันก็กลายเป็นของกินได้ บางเวลามันเหมาะสมอย่างไรไม่รู้ มันอร่อยเสียอีก ไม่ว่าอะไรใส่ลงไปหมด ต้มเดือดทุกวัน เหมือนกะขี้ควาย เรียกว่าแกงรวม อยู่อย่างนี้กันหลายปี จนเหลือกําลังเลยมีโรงครัว ผักหญ้าอะไรชาวบ้านเขาก็เอามาให้ไว้บ้าง ซื้อบ้าง
ตอนโรงครัวยังไม่สมบูรณ์ ในพรรษาก็มี แกงเวร คือชาวบ้านเวียนกันแกงมาวัด วันละ ๔-๕ หม้อ ก็พอดีกับพระเณร ๙ องค์ ๑๐ องค์
เมื่อโรงครัวสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องรบกวนชาวบ้าน ระยะแรกก็ช่วยเดือนละ ๕๐-๖๐ บาท ขึ้นมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท วันละ ๒๐๐ บาท พระราว ๗๐ รูป เฉลี่ยวหัวละ ๓ บาท นอกพรรษาพระน้อย เหลือก็สมทบเข้าไป บางทีพระมาก มีงานพิเศษ มีอบรม มีอะไรก็ทดกันไป
ทําไมตอนแรกอาจารย์จึงไม่อยากให้มีชีครับ
เขาถือกันเป็นหลักทั่ว ๆ ไปว่าผู้หญิงหรือแม่ชีมาคลุกคลีกันนักมันมีเรื่องแบบโบราณ คําพูดของคนโบราณ
พอมีเข้าจริง ๆ แล้วมีเรื่องยุ่ง ๆ หรือเปล่าครับ
เรียกได้ว่าไม่เคยมี การทําวัตรสวดมนต์อะไรก็ให้ทําแยกกันมาตั้งแต่ต้น มันไม่เหมาะที่จะให้พระเณรกับชีว่าพร้อมกัน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหน้า 193-195
ตอนที่ 61 , ภาพหน้าที่ 196-200
หลักการบางอย่างและฝันอย่างนักเลง
อาจารย์ครับ ระยะแรกของการตั้งสวนโมกข์ ดูเหมือนอาจารย์จะเน้นที่การไม่สร้างถาวรวัตถุ แต่ทําไมระยะหลังจึงยอมให้มีการสร้างวัตถุมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ใช่ยอม (เสียงดุ) เราสร้างเองแหละ ความจําเป็นบังคับนี่ คนมาจะนอนกันที่ไหน คิดดู แขกมามันไม่มีที่พัก นักเรียน นักศึกษา มากันทีเป็นร้อย ๆ ได้สร้างอาคารเพิ่มขึ้น เพราะแขกไม่มีที่พัก อย่างตึกแดง ๒ หลังใหญ่ ๆ วันนี้คนยังพักเต็มอยู่เลย (๑๔ ตุลา ๒๘) ชายหลัง หญิงหลังหนึ่ง ๒ หลังยังไม่พอ ยังต้องสร้างบ้านพักชุมพรขึ้นมาอีก ในนามของชาวชุมพร ยังมีเงินสะสมให้สร้างในนามของชาวชุมพรอีกหลังหนึ่ง แต่ว่าเมื่อไรก็ยังไม่รู้ มันยุ่งผมก็ไม่ชอบ แต่มันจําเป็น เดี๋ยวนี้ยังนึกรําคาญ ที่คุณวิโรจน์ หมอเชาว์จะจัดงานครบ ๘๐ ปี ปีหน้า ถ้าคนมามาก ๆ จะเอาที่ไหนให้เขาพักคิดดู โฆษณาพระมา ฆราวาสมา ที่ที่ไหนให้เขาพัก ได้ยินว่าพระจะพักในกลดที่อุทยานป่าไม้ ชาวบ้านจะพักที่ไหนก็ยังเป็นปัญหาอยู่
สมัยก่อน คราวหนึ่งท่านปัญญาพามา โดยไม่ต้องมีปี่มีขลุ่ยอะไร นอนกันอย่างนี้ นอนกันกลางดิน คือนอนจนเต็มโรงธรรม แล้วต้องลงมานอนกันกลางดิน ผู้หญิงด้วย
เรื่องสร้างโบสถ์สร้างวิหารสวยงามนั้นไม่เคยคิด เพราะไม่ต้องทําเพราะยังไม่จําเป็น อย่างอื่นจําเป็นกว่า เช่นศาลาโรงมหรสพทางวิญญาณที่เรียกกันทั่วไปว่าโรงหนัง ก็เป็นผลดีมากในการเผยแผ่ประจําวัน เรือก็เป็นที่รองนํ้า เก็บนํ้าฝนเพื่อสํารองไว้ใช้ แล้วข้างบนก็ใช้เป็นศาลาการเปรียญ เป็นที่ประชุมและที่ประกอบพิธีในยามฝนตก ตึกแดงก็เป็นบ้านพัก ดังที่ว่ามาแล้ว เป็นต้น
อาจารย์ครับ ลักษณะการสร้างเพิ่มเช่นนี้ มันไม่ทําลายบรรยากาศความสงบของที่อยู่อาศัย หรือผู้มาแสวงหาหรือครับ
มันเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างต้องเสียสละผลประโยชน์คนละครึ่ง เราก็ได้รับประโยชน์ ผู้ที่มาก็ได้รับประโยชน์ เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของกรมทาง เขาเคยมาถามผมถึงเรื่องตัดถนนผ่าน ว่ามันจะต้องมีเสียงเกิดขึ้นมา ท่านจะว่าอย่างไร ให้ทําอย่างไรให้อ้อมไปทางไหน ผมก็ตอบว่าไม่เป็นไร มันต่างฝ่ายต่างต้องยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนคนละครึ่ง เพื่อมนุษย์จะได้รับประโยชน์และความสะดวก เราก็ยอมให้หนวกหูบ้าง หลักของผมไม่ใช่ว่าให้เงียบกริบ ไม่ได้ต้องการให้เงียบกริบตลอดกาล ต้องการให้ดังตามธรรมชาติธรรมดานั่นแหละ แต่เราต้องรู้จักทําจิตใจ ไม่ฟัง อย่างนี้มีประโยชน์กว่าไม่มีอะไรเลย ให้มันมีตามธรรมชาติ แล้วเรามีจิตใจที่ไม่หวั่นไหวไปตามเสียงนั้น นี่คือสิ่งที่เราต้องการ ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าจะให้มันไม่มีเสียงก็ยุ่งตาย มันจะห้ามได้หรือในโลกนี้ ได้ยินเสียงรถบ้าง เสียงเครื่องบินบ้าง เราก็ไม่ฟัง ไม่หวั่นไหวไปตามเสียงนั้น จิตไม่หวั่นไหวไปตามเสียงนั้น มันก็คือสงัด
อาจารย์ครับ แล้วที่อาจารย์สร้างอะไรต่าง ๆ ในสวนโมกข์ เช่นโรงหนังอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ เพราะเตรียมรับถนนที่จะต้องผ่านหรือเปล่า
เปล่า ไม่ได้เตรียมรับ ที่มาสร้างวัดนี้ไม่ได้เตรียมรับถนน แรกสุดมันมีทางเดินอยู่ตามธรรมชาติ เราก็พอใจอยู่แล้ว ถนนมันมาเอง ครั้งแรกสุดนั้น ก็ชาวบ้านแถวนี้กับนายอําเภอจาด เขาเห็นว่ามันมีวัดนี้แล้ว เขาก็เลยทําหัวคันนาให้กลายเป็นถนนขึ้นมา แต่ก่อนนี้ขึ้นหัวคันนาทีหนึ่ง ลงหัวคันนาทีหนึ่ง เดินในคลองอีกทีหนึ่ง กว่าจะถึงก็เปียกปอน เขาก็ช่วยกันสร้างเป็นรูปถนนขึ้นมา มันทํามาหลายนายอําเภอ ค่อย ๆ ทํา นายอําเภอจาดทํามากกว่าเพื่อน
บอกกล่าวชาวบ้าน มาด้วยศรัทธา ไม่ได้กะเกณฑ์อะไร นายอําเภอเขาขอความช่วยเหลือทางราชการให้ออกค่านํ้ามันเครื่องจักร ทําด้วยแรงคนก็มี ทําด้วยรถก็มี
ตอนแรก ๆ ผมไปดูอยู่ด้วย ผมไปทําอยู่ด้วยเลย พระที่ไปได้ ก็ไปทุกองค์ ไปช่วยหิ้วปุ้งกี๋กันเป็นแถว เอาดินไปเทที่ตัวถนน ขุดมาจากที่ไกล จูงกันมาเป็นย่าน ทํากันถึงอย่างนี้ มักจะไปทํากลางวันด้วย พวกชาวบ้านอีกพวกหนึ่งมักเอาข้าวปลาอาหารมาเลี้ยง ส่วนมากเป็นขนมจีน เลี้ยงพระด้วย อันนี้เป็นลูกไม้ ถ้าบอกว่าเลี้ยงพระจะมากันมาก มามากกว่าที่บอกว่าเลี้ยงคน เป็นธรรมเนียม คนที่มาช่วยกันทํา ก็ได้กินอิ่ม
จนเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนแปลงไปมาก แล้วมันเสื่อมลงไปแล้ว เพราะความเจริญแบบใหม่ นี่ถนนเส้นเดิมเป็นมาอย่างนี้ ส่วนถนนสายเอเซียนี่มาทีหลัง (เสร็จ ๒๕๒๑) ไม่ได้รู้ล่วงหน้าอะไรมากมาย จึงไม่มีเรื่องวางแผนการรับถนนแต่ประการใด
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 196-198
ตอนที่ 62 , หน้าที่ 201-204
อาจารย์ครับ ภาพฝันเกี่ยวกับสวนโมกข์เมื่อ ๕๐ ปีที่แล้ว กับสภาพความเป็นจริงของสวนโมกข์ทุกวันนี้ มันสอดคล้องใกล้เคียง หรือผิดแผกแตกต่างกันแค่ไหนครับ
ไม่เคยฝัน ไม่เคยคิด ไม่เคยกะแผนการอะไรมากมาย ทํามาอย่างนี้ ทํามาตามสบาย ทําตามความคิดนึกชั่วขณะ มันเริ่มนิดเดียวเท่านั้น ต้องการหาที่ปฏิบัติธรรมเหมาะ ๆ อยู่เรียบ ๆ ง่าย ๆ เพื่อการปฏิบัติธรรม เรียกชื่อว่าสวนโมกข์ เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นสถานที่กว้างขวางขึ้น ตอนแรกมันหวังอยู่กระต๊อบเล็ก ๆ มันไม่มีภาพตึกอะไรแบบนี้ แต่เหตุการณ์มันบังคับให้ต้องทํา ปรารภประโยชน์ของประชาชน เริ่มจากสวนโมกข์พุมเรียง แล้วย้ายมาที่นี่ ก็กว้างขวางขึ้น
เดินผ่านบ่อย ๆ ดังที่เล่าแล้ว คุยกันไปคุยกันมา ก็เอาแหละ ซื้อตรงนี้ไว้ ทั้งที่ยังวุ่นอยู่ที่วัดชยาราม ยังติดพันอยู่ทางนั้น คิดว่าไปตายเอาดาบหน้า ซื้อไว้ก่อน มันก็ซื้อ คิดซื้อจนได้ ตอนแรกก็ไม่ต้องการให้เป็นวัด กลัวจะไม่สะดวก ต้องเกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์ ต้องมีบัญชีมีอะไร มันจะอยู่เป็นสํานักเถื่อนก็ไม่ได้ ตอนแรกก็มี ๒ อย่างควบคู่กันแบบที่เคยเล่าแล้ว เห็นไม่มีใครทําอะไร มันรู้สึกขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามีวัดสะดวกกว่า ทางเจ้าคณะจังหวัดก็บอกว่าไม่ได้แล้ว อยู่กัน ๒๐-๓๐ องค์เป็นวัดเสียดีกว่า เขาก็อะลุ้มอล่วย ให้เป็นวัดได้ง่าย ขอวิสุงคามสีมาก็ง่าย มันก็ฟลุค ทํางานอะไร ๆ ได้เรื่อยมา
เดี๋ยวนี้มีรายจ่ายคิดเดือนละเกือบหมื่นบาท มันก็ฟลุคที่มันทําอยู่ได้ เมื่อแรกจ่ายเดือนละ ๕๐-๖๐ บาท เดี๋ยวนี้ค่ากับข้าวเดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ค่าไฟฟ้าขึ้นเป็น ๒-๓ พันบาท เริ่มแรกใช้ไฟหลวงเดือนหนึ่งไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท ผมเคยขอร้อง อย่าใช้เลย เตาไฟฟ้า เตารีด หม้อหุงข้าว คงมีคนแอบใช้บ้าง ค่าข้าวสาร ค่านํ้าตาลอีกต่างหาก ค่าก่อสร้างไม่ได้คิดรวมในนี้ มันก็ฟลุคที่มันมีจ่ายเดือนละเกือบหมื่นบาท
คนนั้นคนนี้ให้ ส่วนมากเป็นคนที่คุ้นเคย เขาให้กันทุกคน ประจําก็มี ไม่ประจําก็มี ตามสบายใจก็มี แล้วคนที่มาทําบุญวัดนี้ ทั่ว ๆ ไปก็มี รวม ๆ กันมันก็อยู่ได้
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์ใช้เงินชาวบ้านไปแล้วรู้สึกว่าไม่คุ้มค่ามีไหมครับ
นึกไม่ออก ที่ใช้เงินอะไรแล้วไม่คุ้ม อ้อ แต่มีอยู่อันหนึ่งที่อาจจะเรียกได้ว่าใช้ยังไม่คุ้ม หอไตรที่อยู่ใกล้โบสถ์นั่นแหละ กลายเป็นที่อยู่เล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งใจจะใช้เป็นหอไตรไม่ได้ทํา คล้ายถ้าจะพิสูจน์ให้คุ้มค่า ก็ไม่คุ้ม จะต้องปรับปรุงให้มันคุ้มต่อไป
อาจารย์ครับ แล้วที่อาจารย์ฝัน ๆ ไว้แล้ว ไม่สําเร็จก็มีเหมือนกันใช่ไหมครับ
โอ๊ะ เยอะแยะ ลืมหมดแล้ว เคยคิดว่ารูปภาพในโรงหนังควรจะมีปุ่มกดและมีเสียงพูดออกมาได้ทุกภาพ คือต้องมีเครื่องบันทึกเสียงเล็ก ๆ อยู่ที่ภาพนั้น ๆ ติดประจํารูป พอกดแล้วก็อธิบายออกมา พอสมควรก็หยุด ถ้าคิดจะทํามันก็ทําได้ แต่กลัวจะไม่คุ้ม ใช้เงินไม่คุ้มค่า เคยโฆษณากันขนาดนั้น พูดให้คุณสาลี่ฟัง แกก็เอาไปโฆษณา
แล้วที่จะสร้างอินเดียจําลองก็ไม่สําเร็จใช่ไหมครับ
นั่นเป็นอีกอย่างที่ยังคาอยู่ ความคิดยังเหลืออยู่ พื้นที่ด้านนั้นแหละทั้งหมด ๖ ไร่ ทําเป็นสวนอินเดียย่อ สร้างสวนอินเดียจําลองเล็ก ๆ แสดงสังเวชนียสถานเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ดูจากข้างบน มองจากด้านที่สูงกว่า มองเห็นได้ว่า อยู่กันอย่างไร ทําเจดีย์ย่อม ๆ ๔-๕ องค์ ขนาดพอเหมาะเพื่อไม่ให้เสียประโยชน์ เป็นที่ทํากรรมฐาน ทําวิปัสสนาอะไรก็ได้ แล้วก็จะทําส่วนที่ตํ่าให้เป็นนํ้า เป็นมหาสมุทร เดินดูภาพพุทธประวัติได้ มีภาพพุทธประวัติติดอยู่รอบ ๆ แนวสวนอินเดีย เดี๋ยวนี้ยังคิดอยู่ ถ้าว่าสะดวกสบายเมื่อไร อาจจะทําต่อก็ได้
ความคิดนี้ไปได้มาจากพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่อินเดีย โบราณวัตถุเป็นหินทั้งนั้นเลย เขาแสดงไว้กว้างขวาง เป็นสนาม ไม่มีหลังคา มีรั้วรอบขอบชิด จัดให้ได้เป็นทางเดินแผนก ๆ เป็นยุค ๆ ความคิดเกิดขึ้นเมื่อไปเห็นอันนั้น แต่เราทําไม่ได้แน่ ทําสังเวชนียสถานอย่างเดียวก็เยอะแยะแล้ว
เวลาอาจารย์จะสร้างอะไร ถ้าอาจารย์ดําริ แล้วพอมีคนมารับ จึงได้ทําใช่ไหมครับ
ต้องพูดขึ้น แล้วก็มีคนมาขอรับช่วย ส่วนที่เหลือเป็นป่าถัดอินเดียขึ้นไป จะทําเป็นเขตวิปัสสนา ล้อมกําแพงรอบ แล้วบางทีจะคิดเป็นฝ่ายมหายาน ให้เป็นเขตมหายาน พวกมหายานเขาอยากมาอยู่ ความคิดนี้รู้ไปถึงท่านดาไลลามะ เมื่อตอนท่านมาเยี่ยมสวนโมกข์ ท่านให้พระของท่านมาถามว่า ถ้าท่านจะทํา โดยยกกรรมสิทธิ์ให้ท่านได้หรือไม่ เราตอบว่าไม่ได้ กฎหมายเมืองไทย ไม่อนุญาตให้ทําเช่นนั้น ถ้าเป็นเขตวิปัสสนา ก็ทํากุฏิเล็ก ๆ กําแพงล้อมรอบเลย บางยุค บางสมัย อาจจะไม่ต้องออกมาบิณฑบาต
เรื่องถํ้าเคยเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่หรือ กําลังจะลงมือทําอีกเรื่อง ก็สวนโมกข์สําหรับฝรั่ง ยังไม่รู้จะเรียกอะไรดี ท่านปัญญาเรียกสวนโมกข์นานาชาติ ผมอยากจะเรียกอาศรมนานาชาติ แต่ยังไม่เป็นที่ตกลง ปรารภเหตุที่สวนโมกข์ปัจจุบันนี้ หมาทุกตัวไม่ยอมให้ฝรั่งอยู่ ไม่รู้เพราะอะไร ไม่ถูกกัน คงเป็นกลิ่นเนย กลิ่นอะไร หมามันได้กลิ่นแต่ไกล จึงไปซื้อสวนมะพร้าวไว้ ฝั่งข้างโน้นของถนน จะทําเป็นสวนวิปัสสนา มีที่พักพอสมควร และที่ปักกลด จะแนะนําให้ฝรั่งใช้กลด แต่ละคนมีกลด จิตใจโปร่งเบาสบายโดยอัตโนมัติ แต่ตอนนี้ฤดูฝน ทํายาก ทําเล่น ๆ ไปก่อน พอถึงฤดูแล้งจะระดมเป็นการใหญ่ ปลูกบ้านเพียงพออาศัยอยู่ได้ ถ้าปลูกบ้านพักมากมันหมดธรรมชาติ ตอนนี้มันก็ร่มรื่น คนหลายคนชอบร่มมะพร้าว ต้องมีฝรั่งด้วยกัน เป็นตัวยืนโรง มีความรู้พอ ส่วนหลักวิชาลึก ๆ เราจะช่วย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 201-203
ตอนที่ 63 , ภาพหน้าที่ 205-210
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์เคยเล่าไว้ว่าทําหนังสือสนุกนั้น สนุกอย่างไรครับ
มันสนุกอัตโนมัติ พอใจ พอใจในตัวเอง คิดอะไรใหม่ ๆ คิดอะไรออกมาได้ ก็สําเร็จทีหนึ่ง เรื่องเล็ก ๆ แต่ทว่าสําเร็จก็พอใจ จะเป็นแง่ใดแง่หนึ่งที่คิดออกมาได้ อย่างคิดคําพูด ๒-๓ คําขึ้นมาใช้ได้ ก็พอใจแล้ว (หัวเราะ) พอใจและเป็นสุข (หัวเราะ) เช่นคําว่า ตัวกูของกู กิน กาม เกียรติ สะอาด สว่าง สงบ อะไรอย่างนี้ มันช่วยประหยัดการพูดจาได้มาก ช่วยให้พูดจาได้เร็ว
งานหนังสือนี่ บางวันบางเวลา มันคลั่งขึ้นมา (หัวเราะ) ก็ทําได้วันหนึ่ง ๑๘ ชั่วโมง ทําเล่น ๆ แต่นับรวม ๆ แล้ว วันหนึ่งมันได้ ๑๘ ชั่วโมง นี่คุยโตหน่อย ทําเช้าถึงเพล บ่ายถึงคํ่า คํ่าถึง ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่ม กว่าจะนอน โดยมากเป็นงานแปล บางเรื่องมันชวนให้ค้น ชวนให้หาของใหม่ของแปลก แล้วมันค้นด้วยความยากลําบากด้วย เพราะความรู้บาลีของเราไม่คล่องแคล่ว ก็เลยกินเวลามาก แต่ไม่ใช่ทําแบบนี้นานนัก บางเวลาเท่านั้นที่รู้สึกว่าทํางานวันละ ๑๘ ชั่วโมง
ตอนนั้นร่างกายไม่มีอะไรทรุดโทรม มันมีความสนุก ความพอใจช่วยไว้ไม่ให้ทรุดโทรม ระยะแรกทําสวนโมกข์ จนกระทั่งต่อมาอีกนาน ไม่เคยเจ็บป่วยอะไรรุนแรง เป็นมาลาเรียครั้ง ๒ ครั้งเท่านั้น
อาจารย์ครับ ผมอ่านพบในพุทธสาสนา ปีแรกเห็นมีปรารภจะเลิกใช้ราชาศัพท์สําหรับพระพุทธเจ้า นี่เป็นความคิดของใครครับ
ผมก็เคยคิด แต่ว่าไม่ได้ทํา ไม่กล้าทํา มันจะถูกด่า (หัวเราะ) เลยถือตามคติว่าอย่าไปฝืนโลก พูดไปตามภาษาชาวโลก แต่อย่ายึดถือความหมาย พระพุทธเจ้าก็ต้องพูดภาษาปุถุชน แต่ไม่ยึดถือความหมายอย่างปุถุชน
ตอนแรกที่อยากเอาราชาศัพท์ออก เพราะว่ามันรุ่มร่าม มันลําบากยุ่งยาก แต่มาคิดแล้วมันทําไม่ได้ ถ้าอยู่ในโลกก็ต้องเห็นแก่โลก ถ้าเกิดตัดออกทั้งหมดก็ยุ่งตาย เพียงแต่เราไม่ติดเท่านั้น
อาจารย์ครับ ตอนนั้นเห็นอาจารย์เน้นเรื่องนักศึกษาหนุ่มมาก มีสาเหตุอะไรหรือครับ
มันก็ธรรมดา ธรรมสําหรับพวกนี้ขาดอยู่ โดยเฉพาะนายธรรมทาสเขาชอบใช้คําว่านักศึกษาหนุ่มสาว คนพวกนี้ยังขาดคนเขียนธรรมะให้อ่านเข้าใจ เราอยากให้คนหนุ่มสาวมีความรู้ธรรมะอย่างลึก จะได้ทําอะไรให้กับศาสนาได้ในอนาคต
อาจารย์ครับ การที่พุทธสาสนา มีเรื่องของกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชามาลงบ่อยนั้น อาจารย์ชอบงานของท่านหรือครับ
ชอบ ชอบเพราะแปลก และอาจใช้ประโยชน์ได้ แต่ไม่ถึงกับเอาเป็นหลักชั้นหัวใจของธรรมะ และคนทั้งหลายกําลังสนใจเรื่องชนิดนั้น เรื่องมฤตยูกถาและมรณานุสรณ์ ดูเหมือนจะถอดไปจากธิเบต นอกนั้นก็เป็นโคลงกลอนแปลกดี ผมคิดว่าคงถอดแบบจําลองมา เรื่องพ่อลูกสนทนาเรื่องนิพพาน สังเกตได้ว่าถอดออกมาจากโคลงภาษาอังกฤษเรื่อง The Better Land พูดถึงประเทศที่ไม่มีการร้องไห้ ไม่มีหลุมฝังศพ ท่านนํามาแต่งคล้าย ๆ อย่างนั้น แล้วก็ไพเราะดี เราก็เอามาลงพุทธสาสนา
เขาเล่ากันว่า ท่านเป็นลูกของพระจอมเกล้าฯ ที่อุทิศตนฝึกฝนทางสมาธิ ลูกคนอื่น ๆ ไม่มีใครเอาทางนี้ ท่านไม่ได้บวช เป็นฆราวาสแต่เล่าว่าถึงกับสะกดจิตได้ นี่เขาเล่านะ เพราะผมไม่ทันแล้ว (หัวเราะ) ถ้าจะลงโทษมหาดเล็กคนไหนก็เรียกมา บอกเอ้าว่ายนํ้า ไอ้คนนั้นมันก็รู้สึกเหมือนอยู่ในนํ้า แล้วมันก็ว่ายนํ้า ว่ายออกไป ๆ แต่ที่จริง อยู่ตรงนั้นแหละ จนกว่ามันจะยอมแพ้ ขอชีวิต จึงจะเลิก เขาเล่าทํานองนี้และอีกหลายอย่าง จะเป็นคุณนายสุดเป็นคนเล่า หรือเป็นใคร ผมก็ลืมเสียแล้ว ล้วนแต่เป็นพวกเลื่อมใสท่านทั้งนั้น ท่านสอนธรรมะด้วย แก่ผู้สนใจ เป็นธรรมะแบบสัสสตทิฏฐิ มีตัวตนไปเวียนว่ายตายเกิด (หัวเราะ) อธิบายเรื่องสัมภเวสี เรื่องอะไรได้ดีกว่าใคร ๆ
อาจารย์ครับ แล้วความคิด สําหรับเขียนหนังสือ ของอาจารย์เอง ได้มาอย่างไรครับ
ก็เป็นผลมาจากการอ่าน ๆ นึก ๆ คิด ๆ จํา ๆ ไว้ เมื่อเวลาจะเขียน จะพูด มีความตั้งใจแรงขึ้น มันก็เบ่งออกมา เป็นธรรมดาอย่างนั้น อ่านอะไรจําไว้มาก ๆ เวลาต้องการใช้ก็เบ่งออกมา
แล้วอีกอย่างก็คือความคิดที่ผุดออกมาเอง ไม่ได้เจตนา มันมีเหตุปัจจัยของมันอย่างสมบูรณ์อยู่ข้างใน อย่างที่เคยเล่าแล้วว่า ต้องรีบจดไว้ เพราะมันหายไปได้ชนิดที่ไม่กลับมาอีก สมัยอยู่พุมเรียงความคิดแบบนี้มักจะออก ตอนเดินมาเทศน์ เมื่อมาอยู่นี่แล้ว จะออกมาตอนบิณฑบาต ความคิดอะไรมันโผล่ออกมาอย่างลึกซึ้งชนิดไม่เคยคิดมาก่อน และแปลกใหม่ที่สุด มันไม่เจตนา แต่มันฟลุคอย่างไรก็ไม่รู้ เดินบิณฑบาตเขานํ้าผุด เขียนจนเต็มฝ่ามือเยอะแยะ (หัวเราะ) กลับมาถึงก็ลอกลงสมุด เวลาบิณฑบาตมีปากกาไปด้วย
เวลาบิณฑบาตรู้สึกว่ามันมาก จนไม่ได้เก็บไว้หมด เวลาเดินจิตมันเป็นสมาธิ ในพระบาลีก็มีอยู่ข้อหนึ่ง กรรมฐานเวลาเดิน จะทนทานต่อการพิสูจน์ที่สุด ไม่เหมือนกับอิริยาบถนอน มันฝันเรื่อย ๆ พอลุกขึ้นมานั่ง มันก็ผิดแล้ว ถ้าออกมาเวลาเดินมันยากที่จะผิด แต่ความคิดที่เกิดเวลานอนก็มีบ้างเหมือนกันที่จดเอาไว้ มีคนซื้อปากกาชนิดที่มีไฟฉายอยู่ในนั้นมาให้ พอกดก็มีไฟเขียนได้ในที่มืด ๆ เลย
เราจดมาตั้งแต่แรก ๆ มีสวนโมกข์เก่า จนทุกวันนี้ จดไว้แล้วนาน ๆ ก็เปิดดูบ่อย ๆ ว่าจะเอาไปใช้อะไรได้ที่ไหน ก็เอาไปใช้ เอาไปใส่ในเรื่องนั้นเรื่องนี้
เดี๋ยวนี้จดแล้วไม่ค่อยได้เก็บ (หัวเราะ) จดไว้ตามซองจดหมายก็มี ความจริงสมุดโน้ตประจําตัวก็มี โน้ตโดยตั้งใจสําหรับเป็นคู่มือเทศน์สําหรับพูด แต่คนอื่นอ่านไม่รู้เรื่อง อ่านได้คนเดียว และมักไม่ชอบใส่กระเป๋า เลยจดตามแต่จะหากระดาษได้ใกล้ ๆ มือ (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ ความรู้ที่ได้แบบนี้มันเกิดจากจิตใจทํางานอย่างไรครับ ต่างจากนิวรณ์อย่างไร
นิวรณ์ก็เกิดโดยไม่เจตนาเหมือนกัน ใช่ไหมครับ
นิวรณ์มันเป็นฝ่ายอกุศล นี่มันฝ่ายกุศล ฝ่ายสติปัญญา แต่กริยาอาการมันอาจจะคล้ายกัน เป็นความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่เจตนา โดยไม่ได้ตั้งใจ ศัพท์บาลีสําหรับเรียกคงมีแต่ผมนึกไม่ออก มันคงเป็นความประจวบเหมาะ เกิดจากปัจจัยหลายด้าน มันนึกถึงสิ่งที่เรียกว่าจริต คนที่เป็นพุทธจริต วิตกจริต ความคิดแบบนี้คงเกิดง่าย เป็นธรรมชาติของความคิด เหมือนกะที่เขาเรียกว่าอะไร ของขวัญจากพระเจ้า เข้าใจว่าคนอื่น ๆ ก็จะมีแบบเดียวกัน
อาจารย์ครับ แล้วเรื่องลึก ๆ อย่างนิพพาน ความว่าง อนัตตา ที่เขียนระยะแรก ๆ นั้น อาจารย์เขียนจากทฤษฎีหรือการปฏิบัติ และกลับไปอ่านตอนหลังมีที่พลาดบ้างไหม
เรื่องแบบนี้ไม่พลาด เพราะเราระวังมาก ตั้งใจมาก พยายามมองอย่างถี่ถ้วน การเขียนก็อาศัยจากทุกอย่างเท่าที่จะมีได้ จากการอ่าน การค้นคว้ามา จากการทดลอง หรือการประพฤติปฏิบัติแล้วเป็นการรับรอง สิ่งที่ต้องอนุมานก็อนุมานเอา มันรวมกันไป เวลาเขียนก็ระดมมาทั้งหมด ที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนอ่าน คนอื่นเขาเขียนไว้อย่างไรบ้าง เรามีอย่างไรของเราก็เขียนออกไป
อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์เขียนบันทึกประจําวันหรือเปล่าครับ
เคยอุตริเขียนกับเขาอยู่เหมือนกัน แต่เลิกมาตั้ง ๒๐ ปีแล้ว เวลาจะนอนก็บันทึกไว้ในสมัยนั้น
อาจารย์ครับ ผมเห็นในจดหมายของอาจารย์ถึงพระยาลัดพลีฯ มีฉบับหนึ่ง ให้รวบรวมคําถามเกี่ยวกับอนัตตาหลาย ๆ แง่มุมส่งมาให้ เพื่ออาจารย์จะได้นํามาวินิจฉัย ตอนนั้นดูเหมือนกําลังเขียนเรื่องอนัตตาของพระพุทธเจ้าอยู่ การเขียนเรื่องอื่น ๆ อาจารย์ได้อาศัยวิธีนี้บ้างหรือไม่ครับ
ไม่มี เพราะไม่มีคนที่ควรจะขอร้องให้ทําเช่นนั้น เจ้าคุณลัดพลีฯ ก็ไม่ได้เขียนมาให้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 205-208
ตอนที่ 64 , ภาพหน้าที่ 210-213
กับมหาทองสืบนี่รู้จักกันได้อย่างไรครับ
นึกไม่ออกแล้ว ก็คงจะเห็นหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา แล้วก็อยากจะรู้จัก ใครจะมีจดหมายถึงใครก่อนลืมเสียแล้ว แต่ก็ติดต่อกันอย่างเป็นนักศึกษาด้วยกัน (หัวเราะ) ผมเคยซื้อหนังสือ Communism ในชุด Home Library ให้มหาทองสืบเล่มหนึ่ง (หัวเราะ) ไม่ใช่ของมากซ์ ของใครไม่ทราบ ซื้อให้เขาเพราะอยากรู้ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร สมัยนั้นเรื่องคอมมูนิสต์กําลังโด่งดัง กําลังเป็นของแปลก มองกันในแง่เป็นศัตรูของพุทธศาสนา เราควรรู้ไว้บ้าง ชุด Home Library นี้ผมซื้อไว้ ๒-๓ เล่ม เล่ม Communism นี่ผมไม่ได้เอาไว้ เปิดผ่าน ๆ อ่านลวก ๆ ออกบ้าง ไม่ออกบ้าง เพราะมันยังเป็นของใหม่ ต่อมาเขาห้ามไม่ให้มีหนังสือคอมมูนิสต์ ไม่ให้พิมพ์ ไม่ให้ขายด้วย หนังสือที่ผมหามาไว้ศึกษาหลายเล่มเลยต้องยกให้คุณปิ๋ว (เปรมะดิษฐะ) ไป (หัวเราะ)
อาจารย์ครับทราบว่า อาจารย์เคยคิดทําหนังสือเกี่ยวกับหลักสูตรนักธรรมใช่ไหมครับ
เราไม่มีหน้าที่ มันเป็นหน้าที่ของคณะสงฆ์ แต่ผมก็ได้ทําหนังสือเล่มหนึ่ง "ศึกษาธรรมะอย่างถูกวิธี" เป็นธรรมวิภาคนวกภูมิ ทําสําหรับใช้ตั้งแต่ชั้นนักธรรมตรีขึ้นไป ทําแบบอธิบายความให้เข้าใจได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า ลึกซึ้งกว่า ชัดเจนเป็นระบบกว่า ทําได้เล่มเดียว พอเป็นตัวอย่าง มันก็หมดเวลา หมดเรี่ยวแรง หมดความสนุก ทําพอให้คนอื่นเขารู้ว่าแบบนี้มันทําได้ มีครูสอนนักธรรมบางคนเอาไปลองใช้อยู่เหมือนกัน แถวกรุงเทพฯ จําชื่อเขาไม่ได้เสียแล้ว แล้วผมก็เคยเสนอพระเถระผู้ใหญ่ว่าควรมีการสอนธรรมะชั้นลึกเลยนักธรรมเอกขึ้นไป เพราะมันยังมีธรรมะชั้นที่ลึกที่สูงกว่านั้น เสนอกับพระเถระที่พอจะคุ้นเคยกัน ท่านก็เห็นด้วย แต่มักจะลงเอยที่ว่าไม่มีคนสอน ก็เลยยังไม่มีใครทํากันจนบัดนี้
แบบเรียนบาลีพิเศษผมก็เคยทํา พอเริ่มเรียนวันนั้น ก็เริ่มแปลวันนั้นเลย ถ้าตามแบบโบราณ ต้องเรียนไวยากรณ์ให้ถึงคัมภีร์ที่เล่ม ๗ ก่อนแล้วถึงแปล แต่ผมก็ทําเล่น ๆ สอนเล่น ๆ สนุก ๆ เท่านั้นไม่ถึงกับพิมพ์เป็นหนังสือ
อาจารย์ครับ ในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ปี ๒๔๙๕ มีบันทึกเปิดผนึกครบรอบ ๒๐ ปี ของคณะธรรมทาน ตอนหนึ่งมีว่าคณะธรรมทานตั้งปณิธานที่จะกําจัดปริยัติที่เฟ้อเป็นสินค้า หรือเป็นเครื่องมือทางการเมือง นี่หมายความว่าอย่างไรครับ
เฟ้อเป็นสินค้าก็คือ ไอ้ที่เป็นที่ตั้งของการแต่งหนังสือประกอบ ขายกันเป็นการใหญ่ ในลักษณะเฟ้อเป็นสินค้า ส่วนที่ว่าเป็นเครื่องมือทางการเมืองนั้น มันพูดด้วยความรู้สึกโมโห (หัวเราะ) เป็นเรื่องภายในคณะสงฆ์เรื่องนิกาย พูดไปก็ไม่ดี มันจะกระทบกระเทือน กลายเป็นหยาบคาย คนที่อยู่ในวงการนักปริยัตินักปกครอง ของคณะสงฆ์ พูดเท่านี้เขาก็เข้าใจ พูดมากกว่านี้มันน่าเกลียด เอาเป็นว่าเราพูดด้วยความฉุนเฉียว ก็เท่ากับไม่ได้พูดก็แล้วกัน (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ ทําไมเวลาเขียนธรรมะ หรือพูดธรรมะนี่อาจารย์มักโยงถึงเหตุการณ์ของโลกด้วย
เพราะว่าเราต้องการให้มันมีประโยชน์ต่อคนในโลก ต่อประชาชนธรรมดาที่รู้เรื่องคดีโลก มันออกจะแหวกแนว ที่จริง ระเบียบโรงเรียนนักธรรม เขาห้าม ห้ามแต่กระทู้พาดพิงถึงเหตุการณ์ของโลก หรือกระทบคนนั้นกระทบเรื่องนี้ เรามันอวดดี เพราะถือว่าธรรมะนั้นมันเรื่องของคน จะไปห้ามจํากัดได้อย่างไร ธรรมะเป็นเรื่องของมนุษย์ ต้องพูดถึงมนุษย์ทุกคนอยู่ดี
อาจารย์ครับ มีงานเขียนชิ้นไหนที่อาจารย์มาดูตอนนี้แล้วเห็นว่าตอนนั้นเขียนไม่ถูกมีไหมครับ
ไม่ค่อยมี รู้สึกไปในทํานองว่า โอ๊ะ นี่เราเขียนหรือ มันทําไมจึงดีอย่างนี้ (หัวเราะ) นึกในทางตรงกันข้าม ในทางฉงน จนนึกว่าไม่ใช่ตัวเองเขียน (หัวเราะ) คุณไม่เคยมีหรือ
ผมเพิ่งหัดเขียนหนังสือครับ แต่อาจารย์ทํามาตั้ง ๕๐ กว่าปี ผมนึกว่าจะมีที่พลาดบ้าง
มันมีบ้างสัก ๑ เปอร์เซ็นต์ เรื่องหนึ่งก็คือเรื่องตายแล้วเกิด เมื่อเราเรียนนักธรรม เขาเรียนแบบสัสสตทิฏฐิ เมื่อเทศน์ก็เทศน์แบบนี้ แต่พอมาทําสวนโมกข์เข้า การศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎกช่วยให้เรารู้ว่านั่นมันผิดแล้ว ต่อมาเลยเลิกสอนแบบนั้น
อีกเรื่องคือวิปัสสนาคือการคิด ใช้คําผิด เคยพูดว่าวิปัสสนาคือวันคืนแห่งการคิด ที่ถูกต้องพูดว่าวิปัสสนาคือวันคืนแห่งการดูความจริงของธรรมชาติ คําว่าพิจารณาก็มักจะเข้าใจเป็นการคิดไปเสีย ก็เลยใช้ไปไม่ได้ วิปัสสนาคือเตรียมจิตให้ดู ดูแล้วเห็นเอง คําพูดทําให้ลําบากมาก เลยพูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันมีความหมายไปคนละทางสองทาง ไม่สู้ตรงกัน ตอนหลัง ๆ นี่ เราเลยชอบให้นิยามคํามันช่วยให้เราเข้าใจง่าย จําง่าย สะดวก เช่นธรรมะคือการปฏิบัติหน้าที่ ให้ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์ของตน ๆ ทุกขั้นตอนแห่งการวิวัฒนาการ เพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่น (หัวเราะ) อย่างนี้มันสมบูรณ์ที่สุดเลย ถ้าใครจํานิยามบทนี้ได้ก็รู้ธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะคือคําสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ธรรมะคือหน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์
อาจารย์ครับ การเปลี่ยนจากการคิดมาเป็นการดูนี่ อาจารย์ได้รับอิทธิพลจากเซนหรือเปล่า
ไม่รู้สิ มันอาจจะได้รับโดยไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ผมไม่รู้สึกว่าถ่ายทอดออกมา
อาจารย์ครับ ผมเห็นข้อเขียนของอาจารย์มักจะมีวันที่กํากับ พร้อมกับสถานที่ และจะเป็นวันสําคัญอยู่ไม่น้อย เช่น วิสาขบูชา ปีใหม่ มาฆบูชา หรือวันเกิด อาจารย์ตั้งใจอย่างไรครับ
ที่ลงวันที่กํากับนั้น ก็เพราะเราเห็นนักเขียนผู้ใหญ่เขาทําเป็นธรรมเนียมมาก่อน ตอนนั้นเราเด็ก ๆ ก็ทําตามจนทุกวันนี้ ฝรั่งเขาก็ทํากัน มันสะดวกแก่การเป็นประวัติศาสตร์ และนี่แหละเป็นผลให้ผมกลับมาดูแล้ว รู้สึกว่าเอ๊ะตอนนั้นเราทําได้อย่างไร จะกลับไปเขียนอย่างนั้นอีกก็ไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)
ส่วนที่ตรงกับวันสําคัญนั้น ก็เพราะตั้งใจให้วันนั้นเป็นวันที่ทําอะไรเป็นพิเศษ ส่วนมากก็ลงตรงกับวันนั้นจริง ๆ ที่เลื่อนไปก่อนหลังบ้างแล้วลงให้ตรงก็มีเหมือนกัน แต่น้อย โดยมากมักเขียนในวันที่บันทึกไว้
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 210-212
* วิปัสสนาคือการดูจนเห็นแจ้ง
* ธรรมคืออะไร? ธรรมะทำไม?
ตอนที่ 65 , ภาพหน้าที่ 213-217
อาจารย์ครับ ทีนี้จะเริ่มเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับงานแปลบ้าง ในพุทธสาสนา มีภาคแปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย อยากทราบว่าอาจารย์ใช้หลักเกณฑ์อย่างไร ในการเลือกมาแปลครับ
ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรมาก เลือกเรื่องที่เชื่อว่าแปลกใหม่ สําหรับผู้อ่านสามัญชน เรื่องที่คนทั่วไปควรจะได้อ่าน มันก็ไล่เรื่อยไป
การแปลก็ยึดหลักอย่างที่ผมชอบ (หัวเราะ) คือให้ฟังถูก ฟังง่าย และชัดเจนในภาษาไทย เนื้อความตรงตามบาลี อ่านแล้วเข้าใจได้เองทันที แต่ก่อนเขาก็มีแปลกันอยู่บ้าง แปลก ๆ กันก็มี ที่ลงในธรรมจักษุรุ่นสมเด็จกรมพระยาฯ ยังอยู่ ผมก็ได้ผ่าน ได้ดู แต่ยังไม่ชอบ ยังไม่พอใจ ก็เลยมีแบบของตัวเอง เมื่อติดเรื่องไวยากรณ์ คํา ๒ คําไม่แน่ใจ ก็ได้ปรึกษาอาจารย์พระครูชยาภิวัฒน์ (กลั่น) ที่เคยเป็นอาจารย์บาลีบ้าง ตอนนั้นท่านมาอยู่วัดใหม่ (พุมเรียง) แล้ว
ไอ้ที่แปลจากภาษาอังกฤษนั้น จะมีเรื่องยุ่ง ๆ หน่อย ต้องนึกคิดมาก ผมรู้สึกว่าตั้งแต่แปลมา หนังสือฮวงโปเป็นหนังสือที่แปลยากที่สุด คือต้องใช้ความรู้ธรรมะ ที่เรามีอยู่เป็นเครื่องตัดสินว่า คํานี้ ควรจะแปลว่าอย่างไร ถึงจะเป็นนักเรียนเมืองนอก ปริญญาทางภาษายาวเป็นหางก็แปลไม่ได้ ยิ่งถ้าภาษาไทยไม่แตกจะยิ่งไปกันใหญ่เลย
ไอ้หลักการ ๑๒ ข้อของคริสต์มัส ฮัมเฟร่ย์ ก็เหมือนกัน ผู้รู้ในกรุงเทพฯ เขายอมแพ้ มี ๒ ข้อที่แปลออกมาแล้วเนื้อความเหมือนกัน ผมแปลออกมาได้ครบ ๑๒ ข้อ ตามเนื้อความในภาษาอังกฤษ มันต้องมีการพิจารณากันให้สมเหตุสมผล
คราวนั้นตื่นเต้นกันมาก นายฮัมเฟร่ย์ก็มาเองเลย เขาเสนอหลัก ๑๒ ข้อแก่พระสังฆราชเองเลย ดูเหมือนจะเป็นสมเด็จวัดบวรฯ แล้วคุณสุชีพแปลมาเป็นภาษาไทย ผมเคยอ่านมาก่อน เขาลงในหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาที่อังกฤษที่เรารับอยู่ เขาเสนอให้พุทธศาสนิกทั่วโลกรับข้อเสนอของเขาไปปฏิบัติ ทางไทยเรารับพอเป็นพิธี ผมไม่ได้พบเขาเองแต่ได้ข่าวว่าเวลาเขาไปประชุมที่เชียงใหม่ พอเขาเห็นรูปและรู้ว่าเป็นผม เขาแสดงความเคารพใหญ่ แสดงว่าเคยรู้จักว่าเป็นใคร แล้วมีใครมาเล่าให้ผมฟังอีกที ก็ลืมไปแล้ว
อาจารย์ครับ ความคิดจะทําหนังสือแปลชุดจากพระโอษฐ์ต่าง ๆ นี่ จุดเริ่มต้นเป็นมาอย่างไรครับ
ผมเห็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ เล่มหนึ่ง หนาเท่านิ้วก้อย ของพระญาณดิลกเป็นชาวเยอรมัน มาบวชอยู่ที่เกาะไอร์แลนด์เฮอมิเทจ ที่ศรีลังกา หนังสือชื่อ พุทธวัจนะ พอเปิดดูข้างในก็มีลักษณะอย่างนี้ คือเราไม่ต้องใช้คําของตนเอง ยกเอาคําบาลีมาต่อ ๆ กันไป เริ่มด้วยอริยสัจ ๔ อธิบายทุกข์ อธิบายสมุทัย เรื่อย ๆ ไป เมื่อถึงขันธ์ ๕ ก็อธิบายถึงขันธ์ ๕ โดยไม่ต้องมีคําของผู้ร้อยกรอง พอเห็นเขาก็สะดุดใจ จับใจ พอใจ ว่าทําอย่างนี้ดีที่สุด แล้วเราก็เอาบ้าง ลองทําดูออกมาเป็นพุทธประวัติจากพระโอษฐ์* พิมพ์ออกไปครั้งแรกก็ได้รับความนิยม จนถึงกับมหาทองสืบเขาให้ใช้เป็นหนังสือเรียนของสภาการศึกษามหามกุฏฯ อยู่พักหนึ่ง
หนังสือเล่มนั้นของท่านญาณดิลก เล่มเล็กนิดเดียว เป็นขนาด ๑๖ หน้ายกเล็ก เดี๋ยวนี้ก็ดูเหมือนยังพิมพ์อยู่ แปลออกเป็นหลายภาษา
เราก็เลือกเอาพุทธวัจนะที่มันลึก มันดีที่สุด ที่เคยผ่านสายตา แรกสุดทําอริยสัจจากพระโอษฐ์ทยอยลงในพุทธสาสนาแล้วชะงักไป มาทำพุทธประวัติจากพระโอษฐ์แทน แล้วก็มีขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ (พิมพ์ครั้งแรก ๒๔๙๙) แทรกเข้ามา แล้วมาทําอริยสัจจากพระโอษฐ์ ต่อได้ ๒ ตอน (พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๐๒) โดยมีมหาสําเริงช่วยจนจบเรื่องบริบูรณ์ แล้วต่อมาก็มีปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ (พิมพ์ครั้งแรก ๒๕๒๑) มหาวิจิตร (แจ่มสว่าง) เป็นผู้ช่วยให้ความสะดวกทุกอย่าง จนครบบริบูรณ์ทั้งเล่ม ทําทีเดียวเสร็จ แล้วก็ย้อนกลับไปทําอริยสัจจากพระโอษฐ์ที่ค้างเดิมอยู่ จนสมบูรณ์ทั้ง ๕ ภาค (๒๕๒๗) รวมทั้งภาคสรุปท้าย เป็น ๕ ภาคด้วยกัน แต่เดิมหนาเท่าหัวแม่มือ พอทําใหม่ หนาตั้งคืบ (หัวเราะ)
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ นั้น ครั้งแรกผมทําคนเดียวที่สวนโมกข์เก่า (พิมพ์รวมเล่มครั้งแรก ๒๔๗๙) ต่อมาได้ขยายอีก ๒ ครั้ง พออ่านพบก็โน้ตเอาไว้ ๆ แล้วก็พิมพ์ใส่เข้าไป ครั้งสุดท้าย (๒๕๒๓) นี่มหาวิจิตรช่วยสํารวจกันใหม่หมด ตั้งต้นกันใหม่ เขาก็เป็นผู้ค้นมาเสนอ ว่าเรื่องนี้เข้าเกณฑ์ไหม ผมเป็นคนเลือก แล้วก็เอามาซ้อมการแปลกันเสียก่อน อะไรเป็นปัญหา เขาไปยกร่างคําแปลมา ผมก็ตรวจแก้คําแปลจนเป็นที่พอใจ ให้คุณพรเทพ (พระพรเทพฐิตปัญโญ ) ดีดพิมพ์ พิมพ์เสร็จก็เอามาชนกันต่อกันเป็นเรื่อง แล้วทำปทานุกรม
ตอนเอามาชนกันเป็นงานยากที่สุด มหาสําเริงเคยคิดจะทําก็ทําไม่ได้ มหาวิจิตรก็ทําไม่ได้ ต้องเอามาเรียงต่อกันให้น่าดู ให้อ่านง่ายเหมือนกะรูปต้นไม้ มีโคนหนึ่ง แล้วก็แยกเป็นกิ่งก้านออกไป มันท้าทายคนทั่วประเทศ และท้าทายสติปัญญาของเราเอง มันค่อย ๆ ทํามาเป็นเวลาถึง ๒๐-๓๐ ปี ค่อย ๆ สะสมความรู้ความเข้าใจ เรียกว่าศึกษา ฝึกฝนตนเองมากที่สุด เป็นนักเรียนอย่างยิ่ง
เรื่องปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์นี่ ทํารวดเดียว ทําอยู่ปีหนึ่งเต็ม ๆ ทําทุกวัน ทั้งเช้าทั้งบ่าย แล้วมหาวิจิตรอาจจะทํากลางคืนด้วย เพราะต้องค้นพระไตรปิฎกต่อ ถ้ามหาวิจิตรสามารถมาเป็นลูกมืออีกครั้ง ก็อาจทําหนังสือที่น่าอัศจรรย์ได้อีกเล่มหรือ ๒ เล่ม สมาธิภาวนาหรือจิตภาวนาจากพระโอษฐ์เล่มหนึ่ง หรือพระไตรปิฎกที่คัดเลือกแล้วอีกเล่มหนึ่ง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 213-216
ชุดจากพระโอษฐ์ โดย พุทธทาสภิกขุ
อริยสัจจากพระโอษฐ์ มี 2 ภาค (เสียงอ่าน)
ตอนที่ 66 , ภาพหน้าที่ 217-221
อาจารย์ครับ งานเขียนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๗ ผมเห็นอาจารย์ใช้คําว่า "ว่างเปล่า" สมัยนั้นอาจารย์แปลมาจากคําว่าอะไรครับ
ไม่มีคําอื่น นอกจากคําว่า สุญญตา ในหมู่พุทธบริษัทกลางบ้าน อาจารย์แก่ ๆ หรือคนแก่ที่เคยบวชมา เขารู้จักคําว่าว่างเปล่ากันทั้งนั้น ในหมู่คนแถบนี้ เขาพูดกันอยู่แล้ว มันเป็นดินแดนที่ธรรมเคยรุ่งเรืองมานาน ก็ดูสิบทกล่อมลูกยังมีความหมายถึงนิพพานเลย
ชุดแปลจากพระโอษฐ์ของอาจารย์ เคยได้รับปฏิกิริยาในทางลบบ้างไหมครับ เช่นว่าแปลไม่แม่น ไม่ตรง
นึกไม่ออก ไม่ได้รับคําคัดค้าน นอกจากในแง่ถูกต้อง แล้วยังไพเราะ สมเด็จพระวันรัตน์ (เฮง – เขมจารี) ท่านชมว่าแปลดี ชมทั้งต่อหน้าและลับหลัง
อาจารย์ครับ แล้วหนังสือของอาจารย์ที่มีการพิมพ์เป็นเล่มจําหน่ายจ่ายแจกกันออกไปนี้ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ
ชุดแรกสุด เราก็รวบรวมเรื่องที่เคยลงพิมพ์ในพุทธสาสนา จัดเป็นเล่ม ๆ มีชุดจากพระโอษฐ์ ชุมนุมเรื่องยาว ชุมนุมเรื่องสั้น ชุมนุมข้อคิดอิสระ ชุมนุมอภิลักขิตกาลพจน์ ชุมนุมบทประพันธ์โคลงกลอน ของสิริวยาส ชุมนุมเทศน์ครั้งสําคัญ ๆ อีก ๒ เล่ม รุ่นนี้คณะธรรมทานพิมพ์เอง เริ่มแรกเพราะว่าทําหนังสือพิมพ์พิมพ์ไม่ทัน เป็นการแก้ตัวต่อผู้อ่าน และที่อื่นเขาก็ทําเหมือนกัน หนังสือพิมพ์มหาโพธิเองก็เคยทําแบบนี้ พิมพ์แล้วก็ลงโฆษณาในพุทธสาสนา คนเขาก็สั่งซื้อเข้ามา
แล้วต่อมาคุณสะอาด วัชราภัย เขาคงอยากได้บุญได้กุศลและหารายได้ไปด้วย ก็มาขอไปพิมพ์ ตั้งเป็นสํานักพิมพ์สุวิชานน์ ตอนนั้นแกมีอาชีพอะไรที่เกี่ยวข้องอยู่ทางรัฐสภา เป็นเลขาฯ หรืออะไรนี่แหละ แล้วก็พิมพ์หนังสือธรรมะขาย ทางเราไม่ได้เอาค่าลิขสิทธิ์อะไร แกมีหัวทางศิลปะ ทําปกสวยงามตามสมควร และพอออกมาก็เคยโฆษณาในสยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ทุกเล่ม ทําจนร้านแกกลายเป็นที่สนทนาธรรม เกิดบ่อนติดขึ้นมา คุณกวง (พระกวง มุตฺติภทฺโฑ) ก็อยู่ในกลุ่มนี้มาก่อน คุณพัก ณ สงขลา ก็อยู่ในกลุ่มนี้ ตอนหลังถูกจับเป็นคอมมูนิสต์ระยะสั้นระยะหนึ่ง เป็นเพื่อนของคุณสะอาดเหมือนกัน กําไรดูเหมือนจะไม่ได้มากมายอะไร แล้วต่อมาไม่สบายก็เลยต้องเลิก คุณวิโรจน์ (ศิริอัษฎ์) ก็มารับช่วงต่อ เป็นสํานักพิมพ์ธรรมบูชา
คุณสะอาดนั้น ระยะเแรกติดต่อกันทางจดหมาย ต่อมาเคยมาที่นี่หน ๒ หน ได้มาสร้างกุฏิไว้หลังหนึ่ง บนเขาพุทธทอง ที่คุณเดช (พระเดช) อยู่ในปัจจุบันนั่นแหละ
คุณวิโรจน์ พอเห็นคุณสะอาดวางมือ แกก็ขอทําต่อ ดูเหมือนจะไม่ได้มาติดต่อผม ติดต่อทางนายธรรมทาส ผมไม่ได้มีหน้าที่ในส่วนนี้ตามที่แกเล่า พอแกได้อ่านหนังสือคู่มือมนุษย์ ทําให้แกเปลี่ยนชีวิตได้ ก็เกิดความคิดว่าถ้าเผยแผ่ธรรมะคงได้บุญแน่ คิดเปิดร้านขายหนังสือ ตอนแรก ๆ ก็ทํางานทนายความไปพลาง ๆ เพิ่งเลิกเมื่อไม่นานมานี้
อาจารย์ครับ แล้วคุณปุ่น จงประเสริฐ มาช่วยอาจารย์ในด้านพิมพ์หนังสือได้อย่างไรครับ
ไม่ได้ช่วย แกพิมพ์ของแกเอง แกเป็นคนมีความคิดโลดโผน เมื่อว่างจากราชการแล้ว ก็มุ่งจะเล่นงานพระอลัชชี แล้วแกก็มักพิมพ์หนังสือแต่เรื่องชนิดนี้ โดยมากเขาตัดตอนหรือคัดย่อไปจากหนังสือของเรา อย่างตําราดูพระ ก็ตัดตอนไปจากขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ คู่มือมนุษย์ นี่คุณปุ่นก็ทําก่อน ย่อมาจากชุดอบรมผู้พิพากษาปีแรก ต่อมาผมมาปรับปรุงขึ้นให้มาตรฐานอีกทีหนึ่ง บางเรื่องเขาย่อแล้วเขาก็ไม่ได้บอกไว้ชัดเจน เขาตัดข้อความบางตอนออก ทําให้คนเข้าใจผิด คนที่เขาแกล้งหาเรื่อง หรือเขาไม่รู้ เขาก็เล่นงานผม บางอย่างแกย่อแล้วแกก็ใส่ความคิดของแกเอง อย่างเรื่องตายแล้วเกิด ไม่เกิด เป็นต้น แกทําของแกเอง ไม่ได้ขออนุญาตผม ผมก็ไม่ได้ห้ามปรามอะไร แล้วก็ไม่มีเวลาจะไปอ่านหนังสือของคุณปุ่นด้วย มันเดาถูกว่าแกจะว่าอย่างไร โดยมากเขาติดต่อกับนายธรรมทาส ตอนจะบวชถึงมาติดต่อกับผม มีคนเขียนมาด่าผมว่าสอนเป็นนัตถิกทิฏฐิ ตายแล้วไม่เกิด ความจริงมันคุณปุ่นทั้งนั้น ผมมาเห็นเข้ามันเกิดเรื่องแล้ว คุณปุ่นก็ถูกด่าแยะเหมือนกัน ถูกบัตรสนเท่ห์ด่า คุณไสว แก้วสม ก็เหมือนกัน คัดไปแล้วเอาไปพูดจนเลยเถิด แต่ผมไม่สนใจ ใครจะว่าอย่างไรก็ว่า ไม่รู้สึกอะไรด้วย หลักฐานมันมีอยู่แล้ว ว่าเราพูดจริง ๆ เป็นอย่างไร ในหนังสือเล่มนั้นเล่มนี้
อาจารย์ครับ แล้วหนังสือชุดธรรมโฆษณ์*เกิดขึ้นมาได้อย่างไรครับ
มันเกิดจากการปรารภว่า ธรรมะที่เราพูดไปมากต่อมากแล้ว มันจะสูญหายเสียหมด ที่พิมพ์กันเล่มเล็ก ๆ หรือที่อื่นเอาไปพิมพ์ มันก็กระจัดกระจาย ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จึงพยายามทําขึ้นให้เป็นชุด ๆ เป็นชุดสมบูรณ์ ตอนหลัง ๆ จึงเปลี่ยนวิธีพูด มาพูดเป็นชุด เป็นเรื่องราวต่อกันเพื่อสะดวกแก่การพิมพ์ เช่นชุดธรรมปาติโมกข์ที่พูดหน้าโรงหนัง ชุดวันเสาร์ ซึ่งพูด ๓ เดือน ได้เล่มหนึ่ง ก่อนนี้ขึ้นไปยังมีชุดบรรยายโรงฉัน เรื่องหลัก ๆ หลายเรื่องเหมือนกันที่บรรยายโรงฉัน อานาปานสติฉบับสมบูรณ์ ก็บรรยายโรงฉัน เรื่องพวกนี้เมื่อคิดจะพิมพ์เป็นหนังสือเล่มใหญ่ขึ้นมาก็คิดว่าใช้ชื่อธรรมโฆษณ์ มันง่ายดี ความหมายก็ดี มีชื่ออื่นอีกให้เลือก ๒-๓ เรื่อง มันรุงรัง
ทุนที่ใช้พิมพ์ ตอนแรกก็ใช้ทุนของเจ้าคุณลัดพลีฯ ที่มอบไว้สําหรับพิมพ์หนังสือขนาดใหญ่ แต่ก่อนนี้ใช้เงิน ๓๕,๐๐๐ บาท ก็พิมพ์ได้เรื่องหนึ่ง ๑,๕๐๐ เล่ม เดี๋ยวนี้ต้องใช้แสนครึ่งจึงจะพิมพ์ได้เรื่องหนึ่ง บางคณะพี่น้องหลาย ๆ คนรวม ๆ กันก็มี พิมพ์แล้วให้ใส่รูปบรรพบุรุษได้เป็นการทําบุญอุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ พิมพ์แล้วส่วนใหญ่ก็ขาย เพื่อจะเอาทุนมาพิมพ์อีก แจกส่วนน้อยเฉพาะบุคคลที่ควรแจก และส่งไปตามสถาบัน ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ตอนแรกมีอยู่ ๓๕ รายการที่แจก เดี๋ยวนี้คงสัก ๕๐ รายการได้กระมัง
การจัดพิมพ์ ตอนแรก ๆ ก็นายธรรมทาสทําอยู่ ต่อมามันไม่ไหว ร่างกายทรุดโทรม คุณอรุณวตี รับภาระในเรื่องนี้ ในนามมูลนิธิสวนอุศรม ถ้าเขาไม่ช่วยมันอาจจะต้องเลิก คุณอรุณแกก็สุขภาพแย่เต็มที่แล้ว อาจจะยุติจบเกมเมื่อไรก็ได้เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ได้ยินว่ามีปัญหาบ้าง ที่หนังสือขายไม่ได้ แต่อย่างนี้ก็ยังไม่เป็นอุปสรรคนัก มีคนขอเป็นเจ้าภาพพิมพ์อยู่บ้าง ดังที่ว่ามาแล้ว
เท่าที่พิมพ์ออกมาแค่นี้ก็เรียกว่าโล่งไปที เราได้ทําสิ่งที่มันสมควรจะทํา ไม่เสียค่าข้าวสุกของผู้อื่นแล้ว เชื่อว่ามันคุ้มค่า อย่างน้อยผมกล้าพูดได้อย่างหนึ่งว่า เดี๋ยวนี้ไม่มีใครในประเทศไทย บ่นได้ว่าไม่มีหนังสือธรรมะอ่าน ก่อนนี้ได้ยินคนพูด จนติดปากว่าไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน เราก็ยังติดปาก ไม่มีหนังสือธรรมะจะอ่าน ตอนนี้บ่นไม่ได้อีกแล้ว
อาจารย์ครับ ในบรรดาหนังสือที่ทํามาทั้งหมด อาจารย์พอใจหนังสือเล่มไหนมากที่สุดครับ
พอใจถึงที่สุดก็คือ อริยสัจจากพระโอษฐ์ รู้สึกว่าทําได้สมบูรณ์ที่สุด พอใจกว่าทุกเรื่อง ฝากไว้เป็นอนุสาวรีย์ในโลกได้
ถ้าไม่นับชุดจากพระโอษฐ์ละครับ งานของอาจารย์ที่ไม่ใช่งานแปล อาจารย์ชอบเล่มไหนที่สุด
(หัวเราะ) ยังไม่เคยคิด (หยุดนาน) พูดตามความรู้สึกก็พวกปรมัตถสภาวธรรม สุญญตาปริทัศน์ โอสาเรตัพพธรรม สันทัสเสตัพพธรรม อิทัปปัจจยตา ชุดนี้นับว่าถึงขนาด เป็นที่พอใจ เราเรียกรวม ๆ ว่าชุด ปรมัตถธรรม ลุ่มลึกกว่าธรรมดา แต่ผมพูดว่าพอใจทุกเล่มดีกว่า (หัวเราะ) แต่ละเล่มมันมีอะไรพอดีของมันแง่หนึ่งเสมอ (หัวเราะ)
ถ้ามีคนเขาไม่เคยศึกษาพุทธศาสนามาก่อน อยากจะเริ่มศึกษา อาจารย์จะแนะให้อ่านเล่มไหนครับ
โดยมากจะแนะให้อ่านหนังสือบรมธรรมมี ๒ เล่ม แล้วก็อ่านฆราวาสธรรม มันเป็นเล่มพื้นฐาน แล้วต่อจากนั้นก็เลือกเอาเอง ประเภทศีลธรรมก็มี ประเภทปรมัตถธรรมก็มี ประเภทเกี่ยวกับบ้านเมืองก็มี ผมทําไว้หมดแล้ว เต็มความสามารถแล้ว สมควรจะหยุดได้แล้ว (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 217-221
สมเด็จพระวันรัตน์ (เฮง – เขมจารี)
ฟังธรรมบรรยายที่ท่านเล่าไว้ฯ
* ชุดธรรมโฆษณ์ ราว 80 เล่ม
* ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม 1, 18กย2510
* ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม 2, 12เมษา2511
* อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น
* อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย
* สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 1, 4สิงหา2512
* สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 2, 8กย2512
* โอสาเรตัพพธรรม 3เมษา2514
* สันทัสเสตัพพธรรม 9มค2514
* บรมธรรม ภาคต้น 7เมษา2512
* บรมธรรม ภาคปลาย , 29เมษา2512
.
ตอนที่ 67 , ภาพหน้าที่ 221-225
อาจารย์ครับ ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพูด การเทศน์นะครับ อาจารย์เคยศึกษาวิธีพูดธรรมะ หรือวิธีเทศน์ของคนอื่นบ้างหรือเปล่าครับ
เมื่อผมอยู่วัดปทุมคงคา ผมใกล้ชิดกับมหาน้อย ท่านเป็นนักเทศน์มีชื่อเสียงระดับสูงสุดของกรุงเทพฯ สมัยนั้น มี ๒-๓ คนเท่านั้นในระดับนี้ ท่านกรุณานิมนต์ผมไปด้วยเสมอ ๆ เพื่อเป็นพระสวดแจงในการเทศน์สังคายนา คือเทศน์โต้ตอบกัน แต่มันใช้กันไม่ได้กับของเรา เลียนแบบไม่ได้ ผมก็เคยพยายามไปฟังนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงทุก ๆ คน ทุก ๆ แห่ง แต่ก็ไม่มากนักเพราะมีชื่อเสียงอยู่ไม่กี่คน แต่เรามาใช้กันไม่ได้โดยตรง
อาจารย์ครับ แล้วพอมีสวนโมกข์ อาจารย์เริ่มเทศน์จริงจังเมื่อไรครับ
มันก็ไม่มีที่เรียกว่าเทศน์จริงจัง แสดงไปพอตัว เริ่มจากเทศน์ประจําที่คณะธรรมทาน ทั้งที่พุมเรียง และที่ย้ายมาไชยาแล้ว เทศน์ตามพอใจ มีการปรับปรุงให้เนื้อหาทันสมัย เทศน์แบบเดิม ๆ ที่เคยเทศน์มาแต่ก่อนนั้น มันพ้นไปแล้ว เทศน์ทํานองปาฐกถา แม้จะเริ่มตั้งนะโม แต่พอถึงตอนพูดก็เป็นปาฐกถา
เมื่อตอนเดินจากสวนโมกข์เก่ามาเทศน์ที่คณะธรรมทาน สมัยอยู่ริมทางรถไฟ ก็เคยแวะเทศน์ที่ท่าโพธิ์ทีหนึ่งก่อน ที่โรงเรียนประชาบาลท่าโพธิ์ ส่วนมากญาติ ๆ ไปฟังกัน เขาเคยแสดงความประสงค์ แต่ว่าไม่กล้านิมนต์ เราก็ว่าเราไปก็ไปเทศน์กัน ประชาชนแถวนั้นเลยได้ฟังเทศน์ที่แปลกออกไป จากที่เคยฟังเทศน์ใบลานกัน พอเสร็จก็เลยเดินมาเทศน์ที่คณะธรรมทานต่อ แฟนประจํา ๒๐-๓๐ คน จัดเทศน์เวลาพักเที่ยง พวกข้าราชการก็มาฟังด้วย ตอนหลังย้ายมาที่โรงเรียนพุทธนิคม บางทีเต็มโรงเรียนเลย เคยจัดวิสัชชนากับมหาสําเริง คนฟังหลายร้อยคนก็มี
แล้วก็เปิดแสดงปาฐกถาเต็มรูป ฉากแรกที่กรุงเทพฯ (หัวเราะ) ปาฐกถาชุดพุทธธรรม เปิดฉากยืนพูด มีคนคัดค้านภายหลังว่าผิดวินัย ต่อมาผมเมื่อยขา ขอนั่ง ขอเก้าอี้สูง ๆ นั่ง พอให้พ้นขอบที่นั่ง ผู้ฟังดูไม่รู้ยืนหรือนั่ง ตอนแรก ๆ ก็ยืน เดี๋ยวนี้ยิ่งยืนไม่ไหว ขาเมื่อย ขาสั่น เดี๋ยวเดียวก็พูดไม่ได้ (หัวเราะ) ท่านปัญญายังยืน
ความคิดที่จะใช้ปาฐกถาแทนเทศน์ มันเกิดจากรู้สึกว่าของเดิมเต็มสมัยแล้ว คิดจะเอาอย่างสากลเสียบ้าง ยืนบรรยายแบบสากล แต่มันผิดวินัยตามตัวหนังสือ ห้ามพูดกับผู้ฟังที่นั่งอยู่ ไม่เป็นไข้ ยืนแสดงธรรมกับผู้นั่งเป็นอาบัติทุกกฎ แต่เราตีความวินัยว่าเป็นคนละยุค คนละสมัย คนละถิ่น คนละประเทศ
พูดครั้งแรก (๒๔๘๓) ที่กรุงเทพฯ นั้น คุณสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นคนนิมนต์ขึ้นไปพูด ตอนนั้นเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปแสดงที่พุทธธรรมสมาคม เมื่อยังอาศัยอยู่ที่ร้านขายหนังสือของมหามกุฎ หน้าวัดบวรฯ เห็นคนมาฟังเต็มห้อง
ก่อนไปเทศน์ ก็คิดว่า ทําอย่างไรจะไม่ให้ขายหน้าคุณสัญญา เขาอุตส่าห์มานิมนต์ไป ได้เตรียมหัวข้อใส่สมุดแบบฝึกหัดนักเรียนเล่มเล็ก ๆ เมื่อรู้ว่าต้องพูดก็อยากใช้คําว่าพุทธธรรม ซึ่งเป็นชื่อของสมาคมในสมัยนั้นด้วย เห็นเป็นชื่อเรียกพุทธศาสนาที่เหมาะที่สุด ก็เลยตั้งใจที่จะให้ชุดนี้เป็นชุดที่เกี่ยวกับพุทธธรรมในทุกแง่ทุกมุม จึงพูดเกี่ยวกับพุทธธรรมทั้งนั้น เช่น วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม (๒๔๘๓) ผลแห่งความสงบในฐานะเป็นพุทธธรรม (๒๔๘๕) พุทธธรรมกับสันติภาพ (๒๔๘๙) พุทธธรรมกับประชาธิปไตย (๒๔๙๐) ภูเขาแห่งวิถี หรือ อุปสรรคแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม (๒๔๙๑) ขยายความภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม (๒๔๙๒) ข้อคิดในปัจจุบันเกี่ยวกับพุทธธรรม (๒๔๙๓)
ไปพูดครั้งแรกก็รู้สึกหวั่นอยู่นิด ๆ เหมือนกันว่า จะทําไม่ได้ดี จะทํา ๕ แต้ม อะไรก็มีบ้าง แต่ไม่ถึงกับประหม่า คราวนั้นพูดนานเป็นประวัติการ ๓ ชั่วโมง (หัวเราะ) คนฟังเต็มห้องที่เขาให้บรรยาย ๒-๓ ร้อยคนเห็นจะได้ ทางผู้จัดเขาโฆษณาลงหนังสือพิมพ์รายวัน แล้วมีคนจดชวเลข แล้วก็แปลเป็นไทย เราก็เอามาตรวจแก้ ไปลงพุทธสาสนา เขาจดชวเลขทุกครั้ง จนตอนหลัง ๆ จึงมีเทปเส้นลวดมาบันทึกเสียง
ผลการแสดงปาฐกถาครั้งแรกเป็นอย่างไรครับ
ดูเหมือนเขาจะตื่นเต้นกัน ถือว่าเป็นของแปลก เขาคงรู้สึกว่าเป็นของแปลก เป็นการอธิบายว่า รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เป็นธรรมชาติเกี่ยวข้องกับคลื่นแสง คลื่นเสียง คลื่นแก๊ส อะไรพวกนี้ อย่าให้เห็นเป็นของวิเศษ ให้รู้จักสังเกต ถ้าเรามีอวิชชา ก็ทําให้เราเห็นของอย่างหนึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่ง เห็นงูเป็นเชือก เห็นเชือกเป็นงู สิ่งเหล่านี้คนไม่เคยได้ยิน ได้ฟังมาก่อน มีคนเล่าว่าพอเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี อ่านเรื่องนี้ ก็ออกปากว่าหนังสือนี้จะไม่ตาย เดี๋ยวนี้ยังมีคนพิมพ์อยู่ ยังขายได้อยู่ คนเอาไปพิมพ์แจกงานศพกันมาก พระยาภรตราชสุพิช เป็นคนแรกที่ขอไปพิมพ์แจกงานศพ แล้วจึงได้ไปถึงมือครูเทพเข้า เป็นหนังสือที่ทําให้แตกตื่นกัน
คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ จะมาฟังทุกครั้ง แล้วเอาไปเขียนลงหนังสือพิมพ์ที่แกทําอยู่ เขียนทํานองเชียร์ ๆ ชวนคนไปฟัง แต่ไม่แน่ใจว่ามาครั้งแรกด้วยหรือเปล่า
สมัยนั้นขึ้นไปกรุงเทพฯ บ่อย ๆ บางสมัยขึ้นไปทุกปี แล้วก็ไปพูดที่อื่นด้วย มีคนนิมนต์ไปพูดที่อื่นต่อ
เห็นมีคนเขียนว่า อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มาฟังทุกครั้งหรือครับ
คงไม่ถูก ที่จําได้ครั้งเดียว ที่ยังจําติดตามีอยู่ครั้งเดียว เพราะเป็นพิธีรีตอง พอเข้ามาทุกคนยืนขึ้นหมด พอพูดจบตอนออกไปทุกคนก็ยืนขึ้นอีก เขาจัดให้นั่งพิเศษที่หนึ่งใกล้ ๆ ธรรมาสน์ ตอนนั้นเป็นผู้สําเร็จราชการแผ่นดิน แทนพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ครั้งนั้นผมพูดเรื่องพุทธธรรมกับประชาธิปไตย
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 221-225
Download ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
ตอนที่ 68 , ภาพหน้าที่ 225-227
อาจารย์ครับ ชุดพุทธธรรมนี่ ครั้งแรกสุด "วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม" กับครั้ง "ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม" ครั้งไหนมีผลมากกว่ากันครับ ที่ทําให้คนแตกตื่น
ดูจะเป็นอันแรกมากกว่า ครั้งภูเขาทําให้พระทิพย์ปริญญาโกรธแทนพระพุทธเจ้า เขาต่อต้านมาก อยากให้รัฐบาลจับเราข้อหาคอมมูนิสต์ทําเรื่องไปถึงหลวงกาจสงคราม ซึ่งเป็นอะไรที่เชื่อถือของจอมพล ป. หาว่าผมรับประโยชน์จากคอมมูนิสต์ จะมาทําลายพุทธศาสนา นี่มารู้ทีหลัง แต่หลวงกาจสงครามคงไม่เชื่อ เพราะเห็นเฉย ๆ กันไป พระทิพย์ปริญญาแกทําถึงขนาดนี้ แล้วแกยังทําเรื่องฟ้องสมเด็จพระสังฆราชด้วย ดูเหมือนจะฟ้องสมเด็จพระสังฆราชทั้ง ๒ องค์ ทั้งวัดบวรฯ และวัดเบญจฯ ซึ่งต่อกันมา จนพระศาสนโสภณเห็นว่าผมควรจะไปพบเพื่อเปลื้องข้อหา เพราะถูกกล่าวหารอบด้านมากกว่าทุกที คนเชื่อพระทิพย์ฯ มากเหมือนกัน โดยเฉพาะพวกอภิธรรม และพวกที่คิดแบบอนุรักษ์นิยม ใครแตะต้องอะไรไม่ได้ เขาหาว่าผมจ้วงจาบพระพุทธเจ้า ความจริงผมพูดเพียงแต่ว่า พระพุทธเจ้าตามทัศนะของบุคคลนั้น เป็นภูเขาหิมาลัย แต่พระทิพย์ฯ เขาไปตัดตามทัศนะของบุคคลนั้นออก กลายเป็นว่า ผมหาว่าพระพุทธเจ้าเป็นภูเขาหิมาลัย
สมเด็จพระสังฆราช (ปลด) วัดเบญจฯ ก็เชื่อเขา แต่ไม่อาจทําอะไรได้ เพราะไม่มีหลักฐานชัดเจน คงสันนิษฐานว่าผมรับจ้างคอมมูนิสต์ให้พูดเช่นนั้น
พอพระศาสนโสภณ (วัดราชาธิวาส) สมัยยังเป็นพระธรรมโกศาจารย์ พาเข้าไปเฝ้า พอโผล่หน้าเข้าไปที่บันไดเท่านั้น ตวาดออกมาเลยว่า ทําไมไม่ใช้หลักวิสุทธิมรรค (หัวเราะ) ไปใช้หลักอะไรว่าพระพุทธเจ้าเป็นภูเขาบังพระธรรม ผมก็ชี้แจงให้ท่านฟัง สนทนากันสักชั่วโมงไม่มากมายอะไร แล้วท่านก็มีธุระที่จะต้องพูดกับเจ้าคณะภาค เรื่องการปกครอง เรื่องอะไร
ตอนหลังก็เห็นเรื่องเงียบไป ไม่มีคําสั่งลงโทษ (หัวเราะ) หรือสั่งอะไร แต่เตือน ๆ ไว้ ให้ใช้วิสุทธิมรรคเป็นหลัก (หัวเราะ) เรานิ่ง ไม่ได้ตอบท่านว่าอย่างไร
ตอนนั้นคุณชํานาญไปด้วย แกแอนตี้สมเด็จพระสังฆราชองค์นี้ทุกอย่าง เท่าที่แกจะทําได้ (หัวเราะ) แอนตี้อย่างสุภาพ อย่างชวนหัว
อาจารย์ครับ ก่อนพูดชุดพุทธธรรมนี่อาจารย์คาดไว้ก่อนหรือเปล่าครับว่าจะทําให้ฮือฮากันขนาดนั้น
ไม่ได้คิด ทําไมจะต้องคิดเล่า (เสียงดุ) มันเป็นเรื่องลองทําดู ไม่ได้คิดว่าจะถูกโจมตีมากมาย ยืนพูดก็อาบัติเล็กน้อย ทุกกฎเท่านั้น แต่เราไม่รู้สึกว่าเป็น เพราะวัฒนธรรมมันเปลี่ยนแล้ว เนื้อหาก็ไม่ได้ตั้งใจจะแหย่ให้โกรธ ตั้งใจจะแหย่ให้สนใจที่สุด ใครพูดก็น่าตกใจทั้งนั้น คนที่ไม่มีเจตนาร้าย จะได้กลับไปพลิกดู พิจารณาดู เราตั้งใจจะพูดถึงอุปสรรคทุกแง่ทุกมุมของการที่จะบรรลุพุทธธรรม ซึ่งมีมากมายก่ายกอง รวมทั้งข้อที่ว่าไปยึดถือพระพุทธเจ้าผิด ๆ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าที่ถูก ก็ไม่บัง ไม่เป็นภูเขาหิมาลัย
คุณวิลาศ (มณีวัต) เขาชอบใจอะไรก็ไม่รู้ เขียนลงหนังสือพิมพ์ว่า ถ้าถูกจับปล่อยเกาะแล้ว ขอเอาหนังสือชื่อภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมเล่มเดียวไปอยู่ด้วยก็พอ ผมก็ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร
ทางสวนโมกข์ ทางไชยานี้ เขาไม่ค่อยจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่วิตกกังวล และเรื่องอย่างนี้เขาก็ฟังถูกกัน
อาจารย์ครับ แล้วกับพวกอภิธรรมนี้มีเรื่องราวกระทบกันมาอย่างไรครับ
มันต่อมาอีกปีหลัง ๆ แล้ว ผมได้ฤกษ์ไปพูดที่พุทธสมาคม เมื่อย้ายมาอยู่ถนนพระอาทิตย์แล้ว ที่มันกระทบกันโผงใหญ่ เมื่อผมพูดว่าพระอภิธรรมไม่ได้อยู่ในรูปของพุทธวจนะ เป็นถ้อยคําที่เรียงขึ้นใหม่ อันนี้เขาโกรธ เขาไปตัดบทเป็นว่า อภิธรรมไม่ใช่พุทธวจนะ ผมมุ่งหมายจะบอกว่า อภิธรรมไม่ได้อยู่ในรูปคําตรัสแบบพุทธวจนะ มีผู้เอาหลักธรรมไปร้อยกรองในรูปแบบอภิธรรม
เขาไม่ได้ลุกขึ้นคัดค้านในวันนั้น เขาไปรวมหัวกันเขียนหนังสือนักอภิธรรมตัวยง ๗-๘ คน เขียนเป็นหนังสือหนาเท่าหัวแม่มือ ทุกคนรุมกันด่าผมแบบอภิธรรม ปีถัดมาผมก็เลยพูดเรื่องอภิธรรมคืออะไร ในรายการบรรยายธรรมะวันเสาร์ มาว่าเราก่อน เราก็เลยว่ามั่ง (หัวเราะ) พวกอภิธรรมในชุดที่ด่าผมบางคนก็ซ่อนตัวมาฟังถึงที่นี่ด้วย คราวนั้นพอเขารู้ข่าวว่าจะพูดเรื่องนี้ พวกกรุงเทพฯ อุตส่าห์ขึ้นรถมาฟังที่นี่หลายคนทีเดียว ๑๐ คนเห็นจะได้ เขาบอกต่อ ๆ กันมาฟัง แล้วก็เห็นเงียบไป พอคุณวิโรจน์ เอาไปพิมพ์เป็นหนังสือ ก็เห็นเงียบไปพักใหญ่
จนนายอนันต์ เสนาขันธ์ สมัยเป็นพระมาเขียนด่าผมอีกที เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ตั้งใจจะเหยียบยํ่าเราให้แหลกไปเลย รวมทั้งพวกอภิธรรมบางคนด้วย อย่างนายบุญมี เมธางกูร และพระฝรั่งชาวอเมริกันที่สุไหงโกลกที่ถือตามตัวหนังสือมากเกินไป พระอนันต์ ดูจะเป็นคนที่ใช้ภาษาหยาบคายที่สุด
พอถึงวันล้ออายุคราวหนึ่ง (๒๕๒๓) ผมก็ตอบเสียคราวใหญ่จนเลิกตอแยกันไป ที่คุณวิโรจน์เอาไปพิมพ์อีก ชื่อธรรมะนํ้าชําระธรรมะโคลน เรารอจนมีประเด็นมากพอ ก็ตอบเสียคราวหนึ่ง เขาเอาธรรมะโคลนแกล้งสาดมา เราก็เอาธรรมะแท้ ธรรมะบริสุทธิ์ ล้างออกไป เขาคงคิดจะเหยียบยํ่าเราให้จมดินไปเลย แต่เรามันไม่เป็นอย่างนั้นสักที ตอบคราวนั้นแล้วเห็นเงียบหายไป
รวมความแล้ว เราก็ถูกด่าเยอะแยะหมด แล้วก็ไม่ตาย ยังอยู่ได้ มีใครไม่รู้พูดเหมือนกับให้เกียรติว่า ยิ่งตียิ่งดัง (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 225-227
อภิธรรมคืออะไร 2514 03 20
แสดงที่ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ 2483 ถึง 2491
คณะธรรมทานจัดพิมพ์มี 4 เรื่อง คือ
1 วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม
แสดงเมื่อ 13 กรกฎาคม 2483
แสดงเมื่อ 5 มิถุนายน 2485
แสดงเมื่อ 5 มิถุนายน 2491
4 ขยายความภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
แสดงเมื่อ 21 มิถุนายน 2491
Download ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
ตอนที่ 69 , ภาพหน้าที่ 228-229
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์บอกว่า พอขึ้นกรุงเทพฯ พูดที่พุทธสมาคมแล้วก็จะมีคนนิมนต์ไปพูดที่อื่นต่อนั้น มีที่ไหนบ้างครับ ใครเป็นผู้นิมนต์บ้าง
ขึ้นไปคราวเดียว แต่มักจะต้องไปพูด ๒-๓ แห่งเสมอ เช่นที่โรงพยาบาลสงฆ์ ที่ศิริราช ที่วัดนรนาถ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สมาคมจีนตงฮั้ว ก็เคยไปพูด ๒-๓ ครั้ง ที่กรมสรรพากรก็เคยไป แล้วบางปีก็เลยขึ้นไปเชียงใหม่ พิษณุโลกอะไรก็เคยไป ขากลับจากกรุงเทพฯ ก็ต้องแวะถํ้าแกลบที่เพชรบุรี ที่ราชบุรีด้วย นอกจากนั้นเคยตระเวนเทศน์เกือบทุกอําเภอของภาคใต้ ๒ ครั้งไปแบบเป็นทางราชการจัดไป
อย่างไปเทศน์บางแห่งนั้น มันฝากไว้กับการไปเที่ยว เช่นที่พิษณุโลก สุโขทัยก็มี ไปเที่ยวแล้วเขานิมนต์เทศน์ เพราะเขารู้ว่าเราเป็นผู้เทศน์ คราวนั้นอยากไปดูเมืองสุโขทัย เพื่อศึกษาโบราณคดี เขาก็ต้องนิมนต์เทศน์ ถ้าไปกรุงเทพฯ ทีหนึ่งก็มักจะมีโอกาสไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง คราวสุโขทัยนั้นไปกับท่านปัญญา ท่านปัญญาออกไปเทศน์ผมก็พักอยู่ที่วัดมหาธาตุ เมืองสุโขทัย อธิบดีกรมศิลปากร สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมศิลป์ที่นั่นให้ความสะดวก ดังนั้นเจ้าหน้าที่ศิลปากรที่นั่นจึงพาไปเที่ยว ทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่งในป่ารกก็ไป ไปดูโบราณสถานต่าง ๆ
ที่โรงพยาบาลสงฆ์นิมนต์นั้น ดูจะไปจากวัดโพธิ์ สมเด็จพระสังฆราช เมื่อยังไม่เป็นสังฆราช เป็นผู้อุปถัมภ์โรงพยาบาลสงฆ์ โดยการหาทุน ทีนี้นิมนต์ผมไปคงจะได้เงินบํารุงมาก หรือจะไม่มากก็ไม่รู้ได้ แต่ที่เขาถวายกัณฑ์เทศน์ผมก็ช่วยเขาไปหมด นายแพทย์วิรัตน์ มรรคดวงแก้ว ผู้อํานวยการโรงพยาบาล กับคุณพิพัฒน์ นิลวัฒนานนท์ ผู้แทนจังหวัดนี้เขาเป็นเพื่อนกันด้วย
ทางศิริราช ชุมนุมพุทธเป็นผู้นิมนต์ไป นึกชื่อไม่ออก คงเป็นหมอสูงอายุรวม ๆ กัน ดูจะมีหมอโรจน์ หมอประพันธ์ และหมออะไรอีกบางคนไปพูดเรื่องแก่นพุทธศาสตร์
ที่วัดนรนาถนั้น คุณปุ่นจัด เป็นศูนย์ธรรมะ ไม่ใช่นิมนต์แต่ผม นิมนต์ใครก็ได้ แล้วสมภารท่านก็ชอบ
ที่จุฬาฯ คราวนั้น พระดุลยพากษ์ฯ พระดุลยนาถ นายวิจิตร เป็นคนจัดการ ร่วมกับพวกจีนตงฮั้ว ร่วมกันจะให้ธรรมทานเอาบุญ ก็ไปขอใช้สถานที่ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใช้หอประชุมใหญ่ เขามีการประชาสัมพันธ์กันอย่างไรก็ไม่รู้ คนมาฟังเต็มหอประชุม หลายพันคน ตอนหลังเคยไปพูดอีกครั้ง ๒ ครั้ง เมื่อตั้งชุมนุมพุทธแล้ว นายบุญลือ ศรีตุลา เป็นหัวหน้า สมเด็จพระราชชนนีเคยเสด็จครั้งหนึ่ง ที่ธรรมศาสตร์ดูจะเคยไปพูดสัก ๒ ครั้ง ตามวิทยาลัยเทคนิคเคยเทศน์เกือบทุกแห่ง ตามวิทยาลัยครูก็เคยไปบางแห่ง ที่คุรุสภาก็เคยครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ในรายการวิวาทะกับคุณคึกฤทธิ์ (หัวเราะ) และเคยไปพูดที่หอประชุมเล็กของกระทรวงศึกษาหลายครั้ง
ที่กรมสรรพากร ดูเหมือนเขามุ่งหมายให้เราไปเทศน์ขู่ เรื่องการคอรัปชั่นมากกว่า แต่ผมก็เทศน์ไปตามธรรมดา ตามธรรมะธัมโมในเรื่องชีวิตจิตใจ ไม่ได้เทศน์กระทบข้าราชการทุจริต
ผมเทศน์ให้ข้าราชการฟังหลายหนเหมือนกัน มีครั้งหนึ่งเขาเอาไปพิมพ์เป็นการใหญ่ เทศน์ที่อาคารพิเศษสําหรับพิจารณาคดีสวรรคตที่กระทรวงยุติธรรม คุณปุ่น จงประเสริฐ ย่อไปพิมพ์ใช้ชื่อว่า ธรรมะปราบผีในตัวข้าราชการ เดิมไม่ได้ชื่อแบบนั้น เทศน์คําว่าพระราชาคืออะไร ตอนนั้นเป็นคําแปลใหม่ เล่าลือกัน เป็นปาฐกถาที่มีการพิมพ์ต่อ ๆ กันมากครั้งเรื่องหนึ่ง พระราชาคือผู้ที่ทําให้ประชาชนร้องออกมาว่าพอใจ ๆ
ที่เชียงใหม่ ก็ไปพักที่วัดอุโมงค์ แล้วไปพูดที่พุทธสถานเชียงใหม่ เจ้าภาพเขาโฆษณา คนก็มาฟังกันมาก นอกจากนั้นก็ถูกนิมนต์ไปพูดตามวัดต่าง ๆ บ้าง วัดพันอ้นก็เคย แต่คนไม่มากนัก
ที่เพชรบุรีนั้น โยมวาสน์เขาขอร้องจนเป็นธรรมเนียม ถ้าขึ้นกรุงเทพฯ ขากลับต้องแวะเพชรบุรี เทศน์ที่วัดบุญทวี ถํ้าแกลบ ทุกครั้งแล้วก็ที่วัดสนามพราหมณ์ ของคุณนายบุญเลี่ยมอีกครั้งหนึ่ง แล้วที่อื่น ๆ บ้าง ที่เขาสวนหลวงราชบุรีบ้าง มันคล้าย ๆ พอดีพอเหมาะเป็นรายการแทรกเข้ามา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 228 229
ท่านบรรยายธรรมแล้ว พิมพ์เป็นหนังสือดังนี้
* ปี 2490 พูดที่มหาวิทยาลับจุฬาลงกรณ์
เรื่อง พุทธศาสนาช่วยเรายุคบัจจุบันได้อย่างไร
หนังสือธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัย เล่ม 1
* ปี 2504 พูดที่ ศิริราชพยาบาล
เรื่อง แก่นพุทธศาสน์ ได้รางวัลชนะเลิศ
หนังสือดีปีจาก UNESCO ปี 2508
อ.พุทธทาส กับ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ธรรมสากัจฉา เรื่อง การทำงานด้วยจิตว่าง
ปี 2509 พูดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เรื่อง หลักธรรมะสำหรับนักศึกษา
หนังสือธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัย เล่ม 2
ตอนที่ 70 , ภาพหน้าที่ 229-232
อาจารย์ครับ แล้วที่ไปตระเวนเทศน์ที่หัวเมืองปักษ์ใต้นี่เป็นมาอย่างไรครับ
ครั้งแรกไปกับพระยาอมรฤทธิธํารง (๑๕ มิ.ย. - ๒๐ ก.ค. ๒๔๙๓) ซึ่งเป็นข้าหลวงภาคของกระทรวงมหาดไทย ประจําภาค ๕ กินเนื้อที่ตลอด ๑๔ จังหวัดภาคใต้ นับแต่ประจวบฯ ลงมา ท่านเป็นข้าหลวงไปร่วมในการประชุมเผยแผ่ภาค ไปรู้จักกันที่นั่นเป็นครั้งแรก แล้วก็ตกลงกันว่าจะตระเวนเทศน์ นั่งรถไฟบ้าง นั่งเรือบ้าง ท่านมีเลขาฯ ไปด้วยคนหนึ่ง ตอนนั้นยังหนุ่ม ท่านอายุแก่กว่าผมสัก ๕ ปี เรือบินก็เคยขึ้น บางคราวรถไฟขลุกขลัก คนนั่งเต็มหมด เราจะปีนหน้าต่างกับเขาไม่ไหว ก็ขอนั่งตู้บรรทุกสัตว์กันไป ฉันอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ในตู้บรรทุกสัตว์นั้น ไปอย่างเป็นทางการ เขาวางกําหนดการเอาไว้ตายตัวหมดแล้ว เทศน์ทุกวัน บางวันเทศน์ ๕ ครั้ง (หัวเราะ) เกือบตาย เช้าก่อนฉันเทศน์ ฉันเสร็จก็เทศน์กํานันผู้ใหญ่บ้าน บ่ายก็เทศน์อบรมข้าราชการ เย็นอาจเทศน์อบรมคนในเรือนจํา คํ่า ๓ ทุ่ม เทศน์อบรมชาวบ้าน เทศน์วันเดียว ๕ ครั้ง ตอนนั้นยังมีแรง เสียงก็ไม่แห้ง เขาก็จัดให้เราพักตามวัด ทางข้าหลวงก็มีข้าราชการในท้องถิ่นมาพาไปพัก ตอนนั้นก็นับว่าสนุก ได้เที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ที่ไม่เคยไป ขณะเดินทางไปเทศน์ ในทะเลสาบสงขลา ได้แล่นเรือไปจอดตรงโน้น ตรงนั้น ตรงนี้ การไปเที่ยวเทศน์แบบนี้นับว่าโชกโชนพอกันที เต็มขนาด
อีกครั้งหนึ่ง ไปกับคณะอนุสาสนาจารย์ ของกระทรวงศึกษาธิการ ทุกจังหวัดในภาคใต้เหมือนกัน เขาให้ผมพูดก่อน เขาพูดทีหลัง ตอนนั้นดูเหมือน จอมพลผิน ชุนหวัณ เป็นเจ้าของโครงการ มีคุณพัฒน์ นิลวัฒนานนท์ ส.ส.ที่นี่ เป็นตัวเชื่อมให้ผมไปร่วม ไปช่วยเทศน์สั่งสอนประชาชน
การตระเวนเทศน์แบบนี้ พูดกับข้าราชการไม่ค่อยได้ผล ดูจะไม่ตั้งใจฟัง เทศน์ประชาชนคงได้ผลบ้าง แต่คราวไปกับคณะอนุสาสนาจารย์เกือบจะไม่ได้ผลเลย เพราะเขาให้เราพูดก่อน เราเทศน์ให้ประชาชนเกิดสลดสังเวช พออนุสาสนาจารย์ขึ้นไปพูด เน้นโปกฮาหมด มันไปลบความรู้สึกในทางธรรมเสียหมด
อาจารย์ครับ ผมอ่านเจอราว ๆ พ.ศ.๒๔๙๑ มีหน่วยเผยแผ่เคลื่อนที่ของคณะธรรมทานออกทํางาน มันเป็นอย่างไรครับ
เอ๊ะ ใครใช้คําอย่างนี้ (หนังสือพิมพ์พุทธสาสนาครับ) อ๋อ ผมลงเรือไปเที่ยวเทศน์ บ้านดอน กาญจนดิษฐ์ เกาะสมุย ทํากันเอง เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ในนามคณะสงฆ์อะไร เราใช้เรือใบที่เรียกว่าเรือถุงเมล์ ลําหนึ่งมีนายทัศน์ (เจ้าของเรือ) และนายสติ ไปด้วย
เป็นครั้งแรกที่ประชาชนแถวนี้ได้ยินเครื่องขยายเสียง หรือเทปบันทึกเสียง แตกตื่นกันใหญ่ พอเรือเข้าปากนํ้าบ้านดอนก็เอาลําโพงชักขึ้นครึ่งเสา แล้วเปิดเทศน์สมเด็จวัดเทพศิรินทร์ จานเสียงชุดนั้นมันน่าฟัง เป็นจังหวะจะโคน แล้วเปิดขยายเสียงดังลั่น จวนจะเที่ยงคืนแล้ว ทุก ๆ ท่านํ้า มีคนมายืนอออัดเต็มทุก ๆ ท่า (หัวเราะหึ ๆ) น่าสนุกตอนนั้น เขาไม่รู้เสียงอะไร ไม่เคยมี โดยเฉพาะเด็ก ๆ เต็มไปหมด ตามท่านํ้าที่เรือผ่านเข้าไปในคลองบ้านดอนจนถึงที่จอดเรือในบ้านดอน รุ่งเช้ามีคนถามเสียงอะไร ๆ ดังไพเราะเหลือเกิน
พอถึงบ้านดอนก็ถ่ายของลงเรือยนต์ นายอําเภอกาญจนดิษฐ์ เขาหาเรือมารับไปเทศน์อบรมประชาชนที่อําเภอกาญจนดิษฐ์และต่อไปที่เกาะสมุย
นายอําเภอเกาะสมุย พาตระเวนรอบเกาะ เขาออกหนังสือตาม พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ เรียกประชุม เด็กอายุ ๑๕ ปี ถึง ๒๗ ปีทุกคนต้องมา กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ก็เอามาลงบัญชี ต้องเซนต์ชื่อ หลบหลีกไม่ได้ มาเยอะทุกแห่ง เต็มไปหมด นี่ก็สังเกตเห็นว่าเด็ก ๆ เหล่านี้ มานั่งกัดฟันกรอด ๆ ไม่อยากฟัง แต่ต้องทนฟัง ก็เลยโกรธ แล้วเราก็พูดแรง ๆ ว่าเกาะนี้จะจมทะเลก็เพราะพวกเธอ จะเลิศลอยก็เพราะพวกเธอ แล้วก็เทศน์เรื่องอบายมุข ใช้ถ้อยคํารุนแรงทั้งนั้น เกือบทุกแห่งเทศน์กับเยาวชน กลางคืนก็เทศน์กับคนแก่คนเฒ่า อุบาสก อุบาสิกาบ้าง
บางครั้งก็นอนกันบนเรือ แต่ส่วนมากพอคํ่าก็ขึ้นบก กํานันก็พาลูกน้องมาขนเครื่องมือขึ้น บางแห่งต้องลุยนํ้าตั้งแต่สะเอวมาขนเครื่องขยายเสียง เครื่องบันทึกเสียง เครื่องสไลด์ เอาให้หมด ตอนนั้นผมฉายเอง ฉายสไลด์เองด้วย ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้เที่ยวเกาะสมุย เกาะพะงัน ตระเวนอยู่ร่วมเดือน นายอําเภอเกาะสมุยตอนนั้นชื่อ นายอําเภอโพธิ์ ศิวาลัย ต่อมาไปเป็นผู้อํานวยการโรงเรียนนายอําเภอที่กรุงเทพฯ ไม่กี่ปีก็ตายในหน้าที่นั้น ถ้ายังไม่ตาย คงทําอะไรให้แก่บ้านเมืองได้มากคนหนึ่ง ขากลับดูเหมือนจะได้มาเทศน์ที่สุราษฎร์อีก ๒-๓ แห่ง ในนามของพุทธสมาคมจังหวัดสุราษฎร์ เพิ่งเปิดใหม่ เขาขอร้อง เปิดแสดงที่วัดธรรมบูชา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 229-231
.
ตอนที่ 71 , ภาพหน้าที่ 232-234
อาจารย์ครับ แล้วการเทศน์อบรมข้าราชการตุลาการนั้น มีความเป็นมาอย่างไรครับ
ปีนั้น (๒๔๙๙) พอดีมีกฎหมายใหม่ออกมา ข้าราชการที่จะเป็นตุลาการ ผู้พิพากษา จะต้องได้รับการอบรมทุกวิชาที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทํางานในหน้าที่ เขาจึงให้อบรมเยอะแยะหมด แม้แต่ดนตรี แม้แต่เต้นรํา แม้แต่เล่นการพนันทุกชนิด ผู้พิพากษาจะต้องได้รับการอบรมให้รู้หมด มิฉะนั้นจะวินิจฉัยอรรถคดี เกี่ยวกับสิ่งนี้ไม่ถูก เพราะไม่รู้ความจริง ยังถือเป็นหลักมาจนเดี๋ยวนี้ อบรมภาษาอังกฤษนั้น คุณธานินทร์ กรัยวิเชียร อบรมมาหลายปี ให้ผู้พิพากษามีความรู้รอบตัว สําหรับจะเป็นผู้พิพากษาที่สมบูรณ์ คุณสัญญาก็เห็นว่าต้องรู้พุทธศาสนาด้วย ก็เลยหาวิธีที่จะให้รู้พุทธศาสนาด้วย จึงนิมนต์ผมไปให้การอบรมเป็นครั้งแรก หลักสูตร ๑๐ ชั่วโมง ก็เลยทําติดต่อกันมา ผมอบรมอยู่ที่นั่น ๑๑ ปี มาอบรมที่สวนโมกข์ ๓ ปี ทั้งหมด ๑๔ รุ่น
เมื่อผมไม่ไปกรุงเทพฯ แล้วก็มาอบรมที่นี่อีก ๓ รุ่น ผมเห็นว่าเป็นการลําบาก ยุ่งยากลําบาก ผู้พิพากษาจะมานอนมากินอย่างไรกันได้ที่นี่ ทําได้ ๓ ปี เลยเลิก คงเกิดอิดหนาระอาใจในหมู่ผู้พิพากษา ที่ต้องมานอนอย่างเด็กวัด เลยให้ไปทําความสะดวกที่กรุงเทพฯ ดีกว่า ท่านปัญญารับช่วงต่อมา จะยังคงทําอยู่กระมัง
การอบรมชุดนี้ อาจารย์วางแนวอย่างไรครับ ซํ้ากันบ้างหรือไม่และผลเป็นอย่างไร โดยเฉพาะผลต่อตัวผู้พิพากษาเอง
ผมก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ซํ้าของเดิม ให้สูงขึ้นไป ให้ลึกเข้าไปจนมีผู้ออกปากครั้งสุดท้ายว่านี่ผู้พิพากษาจะรับไหวหรือ พูดขึ้นไปถึงเรื่องอสังขตะ โลกุตระ นิพพาน มีอยู่ปีหนึ่งไม่ต้องอบรมเพราะสอบไม่ได้เลย แล้วมีอยู่ปีสอบได้ตั้ง ๘๒ คน
ผู้พิพากษาที่มารับการอบรมก็สนใจจด เป็นผู้ใหญ่แล้ว รู้ภาษาแล้วทั้งนั้น ตั้งใจจดกันใหญ่ รุ่นแรกที่ผมอบรมก็รุ่นคุณประภาส อวยชัย คุณปรีดี เกษมทรัพย์
ส่วนจะมีผลอย่างไรต่อตัวผู้พิพากษานั้น ผมไม่ได้ประเมิน ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่มีใครมาประเมินให้ฟัง ผมไม่ได้ติดตาม แต่ผลจากการอบรมชุดนี้ ที่เป็นหนังสือ มีผลมาก จากการอบรมครั้งแรกกลายเป็น คู่มือมนุษย์ มีคนได้รับประโยชน์มารายงานตัวนั้น ไม่หวาดไหว พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษก็ได้รับความนิยม ภาษาเยอรมันกําลังแปลอยู่ และยังพิมพ์เป็นหนังสือชุดตุลาการออกมาอีกหลายเล่ม
อาจารย์ครับ ทีนี้อยากขอความกรุณาอาจารย์ช่วยเล่าถึงความเป็นมาของการเทศน์ชุดต่าง ๆ ภายในสวนโมกข์บ้าง เริ่มตั้งแต่แรก ๆ ย้ายมาอยู่เลยครับ
แรก ๆ ย้ายมาอยู่ก็ยังไม่ได้เทศน์เป็นชุด เทศน์วันประจําปีบ้าง วันพระบ้าง วันสําคัญบ้าง ไปตามเรื่อง มาเริ่มเทศน์เป็นชุดตอนบรรยายพิเศษประจําคืนในระหว่างพรรษา ทําอยู่หลายปี ต่อมามันไม่ค่อยสะดวกเกี่ยวกับคนที่จะจดจะบันทึก ก็เลยเลิก มาถึงยุคพูดที่โรงฉัน มักบรรยายในระหว่างพรรษา เหมือนกัน แล้วก็มีคนช่วยจด จดแล้วก็เอามาเรียบเรียงเป็นหนังสือเช่น ชุดคําสอนผู้บวช ชุดอานาปานสติสมบูรณ์ ก็ได้มาแบบนี้ คุณเชื้อ (พระเชื้อ สิริปญฺโญ) ที่ตอนนี้ไปอยู่ชุมพร เป็นคนจดเอาจริงเอาจัง ตั้งใจอยากรู้จริง ได้อาศัยบันทึกของท่านมาพิมพ์หนังสือหลายชุด ต่อมาพอมีเครื่องบันทึกเสียงแล้วก็บันทึกเสียงไว้ มาถอดพิมพ์ ที่พิมพ์แล้วก็มีหลายเรื่อง เช่น การศึกษาธรรมะอย่างถูกวิธี (๒๕๐๐) ชุดคนถึงธรรม ธรรมถึงคน ก็เป็นชุดใหญ่อีกชุดหนึ่ง ต่อมาคุณวิโรจน์ เอาไปพิมพ์เป็นหนังสือ ๓ เล่มจบ แล้วก็มี "ตัวกู - ของกู" (๒๕๐๔) ยังพิมพ์อยู่จนทุกวันนี้
พอยุคพูดโรงฉันหมดก็มาเป็นยุคพูดหน้าโรงหนังตอนเย็น ๆ แล้ว ก็มายุคบรรยายวันเสาร์ นอกจากนั้น ตั้งแต่มีเครื่องบันทึกเสียง วันสําคัญ ๆ เช่น วันตายาย วันปีใหม่ วันมาฆะ วิสาขะ อาสาฬหะ ก็บรรยายแล้ว บันทึกไว้ทั้งหมด ต่อมาเมื่ออายุครบ ๖๐ ก็เริ่มมีชุดบรรยายวันล้ออายุ (๒๕๐๙ - ปัจจุบัน) ตอนนี้ก็พิมพ์ในชุดธรรมโฆษณ์ ไปบ้างแล้ว
หน้าโรงหนัง พูดตอนเย็น ๆ (๒๕๑๐ - ๒๕๑๔) ๓ - ๔ วัน หรือ ๗ วัน พูดทีหนึ่ง พูดให้พระ เณร และคนในวัดฟังเป็นส่วนมาก ยังไม่ออกไปถึงข้างนอก ตอนนั้นคุณโกวิทยังอยู่ เป็นผู้ถาม เป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์เป็นประจํา ยังไม่ออกไปถึงข้างนอก ชุดสุญญตาปริทัศน์ ชุดธรรมปาฏิโมกข์ ก็พูดที่นี่ พระเรามีวินัยปาฏิโมกข์กัน ที่นี้เราเห็นว่าควรจะมีธรรมปาฏิโมกข์ด้วย ก็เลยให้ชื่อว่าธรรมปาฏิโมกข์ คู่กับวินัยปาฏิโมกข์ ชุดนี้ก็พิมพ์เป็นหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ไปบ้างแล้ว ทําอยู่ไม่กี่ปีก็เปลี่ยนมาเป็นบรรยายวันเสาร์ (๒๕๑๔ - ปัจจุบัน)
ชุดเทศน์วันเสาร์ เกิดขึ้นได้อย่างไรครับ
ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานเผยแพร่ เหตุผลที่เลือกวันเสาร์มันมีอยู่ว่าเผื่อให้คนไกล คนต่างจังหวัด แม้แต่คนกรุงเทพฯ มาฟังได้ วันศุกร์เย็นก็ขึ้นรถไฟมา วันเสาร์ก็ฟัง เย็นถึงกลับ หรืออยู่ถึงวันอาทิตย์เย็นกลับไปทํางานวันจันทร์ก็ทัน มันก็มีอยู่พักหนึ่งที่คนกรุงเทพฯ มา ในลักษณะอย่างนี้ ต่อมาเรื่องมันคงจืด ๆ ลง ไม่สบอารมณ์ ก็ไม่ค่อยมีมา ทางมันไกลมาก นาน ๆ บ่อย ๆ มันก็ไม่ไหว
การจัดบรรยายวันเสาร์มันก็ประกอบกับผมหยุดไปไหนมาไหนมากขึ้น ใช้วันเสาร์แทน สบายกว่า แต่ในใจจริงก็เพียงว่าให้ได้เทศน์ แล้วให้ได้พิมพ์เป็นหนังสือขึ้นเท่านั้น
เรื่องที่จะเทศน์ก็คิดเป็นชุดไป ๓ เดือนนี้จะเทศน์อะไรชุดหนึ่ง ไม่ได้วางแผนทั้งหมด มันมากมายมหาศาล ทําไม่ได้ ๓ เดือน ก็ได้ออกมาเป็นหนังสือธรรมโฆษณ์เล่มหนึ่ง บางยุคก็จะเทศน์ธรรมะชั้นลึก ๆ ขั้นปรมัตถ์ ต่อกัน บางยุคก็เป็นเรื่องสังคม เรื่องศีลธรรม มีบ้างชุด ๒ ชุดที่บรรยายตามคําขอ เช่น ชุดพุทธคุณบรรยาย พูดตามที่เจ้าชื่นขอ คนอื่นก็มีบ้าง แต่จําไม่ได้แล้ว
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 232-234
ท่านบรรยายธรรม / พิมพ์เป็นหนังสือดังนี้
* อบรมเป็นครั้งแรก * หลักสูตร ๑๐ ชั่วโมง
ตุลาการิกธรรม เล่ม 1 พูด 2พค2499
(หรือ คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ มี 10 ตอน)
* ตุลาการิกธรรม เล่ม 2 - 06-06-2501
* ตุลาการิกธรรม เล่ม 3, 23ธค2503
* จากการอบรมครั้งแรกเมื่อปี 2499
ต่อมาปี 2501 เกิด คู่มือมนุษย์ มี 9 ตอน
* อานาปานสติภาวนา รวมหลายวาระ
* อานาปานสติบรรยาย อภิปราย-สัมมนา-สาธิต 3กค2514, อานาปานสติ 16 ขั้น
* ตัวกู ของกู ฉบับสมบูรณ์ 30เมษา2512
* ศารทกาลิกเทศนา 2กย2500 (วันตายาย)
* มาฆบูชาเทศนา 2501-2536,
* ชุมนุมล้ออายุ เล่ม 1 , 27พค2509
* สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 1, 4สิงหา2512
* สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 2, 8กย2512
* ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม 1, 18กย2510
* ธรรมปาฏิโมกข์ เล่ม 2, 12เมษา2511
* กข ก กา แห่งปรมัตถธรรม 1มค2517
* เยาวชนกับศีลธรรม 1มค2520
* ศีลธรรม กับ มนุษยโลก 4มค2518
* พระพุทธคุณบรรยาย 2เมษา2520
ตอนที่ 72 , ภาพหน้าที่ 234-236
อาจารย์ครับ แล้วอย่างชุดอบรมนักศึกษาในสวนโมกข์นี้เป็นมาอย่างไรครับ
เริ่มทีละน้อย นักศึกษามาที่นี่กันทีละน้อย แล้วก็ค่อย ๆ มากขึ้น ๆ ชุดบรมธรรม คราวนั้น นักศึกษามามาก (๒๕๑๒) ก็เลยคิดว่าควรจะพูดเป็นแบบฉบับไว้ใช้ต่อไป โดยไม่ต้องพูดอีก ก็เปิดโรงเรียนหินขึ้นตอนหัวรุ่ง จากนั้นก็มีฆราวาสธรรม (๒๕๑๓) มหิดลธรรม อะไรอีกบ้าง ต่อ ๆ มา พยายามพูดไว้อย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ใช้เป็นหลักฐานได้ต่อไป โดยมากพวกหัวหน้าชุมนุมพุทธจัดมา ตอนนี้ก็เกือบจะไม่จําเป็นจะต้องมาแล้วเพราะไปหาอ่านเองได้ มีสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ไม่ต้องมาก็ได้ แต่อาจารย์ฟุ้ งเฟืองยังไม่ยอม ยังมา ๆ ทุกปี โดยมากเป็นพวกครู เกี่ยวกับการศึกษา เกี่ยวกับการเป็นครูบาอาจารย์ เราพูดไว้มาก จะผิดหรือถูกก็แล้วแต่ เราทําอย่างสุดความสามารถแล้ว
อาจารย์ครับ แล้วธรรมะของอาจารย์เริ่มออกทางวิทยุตั้งแต่เมื่อไรครับ
ครั้งแรกจะเป็นเมื่อ ปชส.๗ ธนบุรี เอาเรื่อง "หลักพระพุทธศาสนา" ไปอ่านออกอากาศเป็นประจํา เวลา ๖ โมงครึ่งตอนเช้า (เริ่ม ๒๒ ก.ค. ๒๕๐๒) เขาอ่านจากหนังสือที่พิมพ์แจกในงานกฐินพระราชทาน ของกระทรวงยุติธรรม เมื่อ ๒๔๙๙ เป็นชุดอบรมผู้พิพากษาปีแรกนั่นเอง ต่อมาคุณสาลี่ (พันเอกสาลี่ ปาลกุล) มาขอให้ผมอัดเทปออกอากาศที่สถานีวิทยุ ปวถ. คุณสาลี่ เป็นผู้อํานวยการอยู่ ทําอยู่เป็นประจําวันทุกวัน ครั้งละครึ่งชั่วโมง ผมก็เอาชุด คนถึงธรรม ธรรมถึงคน และ ตัวกู - ของกู ที่พูดโรงฉัน แล้วมีคนจดไว้ มาอ่านใหม่เป็นตอน ๆ ให้ได้ครึ่งชั่วโมง ตอนนี้เริ่มสร้างโรงหนังแล้ว แต่ยังไม่เสร็จ ออกอากาศอยู่นาน ติดต่อกันเป็นปี ๆ
แล้วยุคหลังสุดก็ชุดที่พูดอยู่ทุกวันนี้ เดือนละครั้ง อาทิตย์ที่ ๓ ของทุกเดือน นี้กรมประชาสัมพันธ์ที่กรุงเทพฯ เขาติดต่อมาเอง (เริ่ม ๑๘ มิ.ย. ๒๕๒๑) ไม่ใช่เฉพาะผม ท่านปัญญาด้วย มีคนอื่นด้วย ที่อื่นเขาคงไปอัดเสียงที่กรมประชาสัมพันธ์ ผมไปไม่ได้ ก็อัดส่งไปให้ ทางปชส. ที่สุราษฎร์ธานีนี้เขามารับจัดส่งไปให้
แล้วที่บ้านดอนตอนนี้มีอยู่ชุดหนึ่ง ชุดพุทธธรรมนําสุข นี้ออกทุกวันเสาร์ ออกทีวีด้วย เขามาถ่ายไปทีหนึ่งหลาย ๆ ตอน แล้วไปออก บางทีเขาก็ออกซํ้าบ้าง
อาจารย์ครับ สมัยตระเวนมาก ๆ นี้ อาจารย์แบ่งเวลาอย่างไรครับ
ไม่ต้องแบ่ง ทําไปตามความสะดวก ไม่ได้มีตารางที่ตายตัว เอาอะไรที่สําคัญก่อน ต้องไม่ให้บกพร่อง สําคัญน้อยลงไปก็ถัดไป
เดี๋ยวนี้กําลังน้อยแล้ว โหมทํางานไม่ค่อยได้ แต่สมัยหนุ่ม ๆ ผมก็ไม่เคยทํางานจนเสียสุขภาพ มันกลัวเหมือนกัน เรื่องนี้มันเคยกลัวว่ามันจะเป็นโรคร้าย ปุ๊บเดียวตายเลย คอยดู ๆ อยู่เสมอ ว่ามันบอกให้ควรหยุดหรือยัง ร่างกายจิตใจทั้งหมดมันจะบอก ระบบประสาทมันจะบอกว่าพอแล้ว เพลียแล้ว สับสนแล้ว เส้นประสาทรอบกระหม่อมมันจะแสดงอะไรร้อนขึ้นมา พอมันเหลือกําลังแล้ว มันจะแสดงอาการร้อนขึ้นมา นอนได้แล้ว มันจะบอกแบบนั้น
ผมไม่เคยป่วยคางาน นึกไม่ออกว่าเคยมี แต่เวลาที่กําลังป่วยจวนหาย เป็นไข้มาลาเรียจวนหาย ไปไหนมาไหนไม่สะดวก นอนนึกอะไรมีบ้าง นอนคิดหลายเรื่อง หลาย ๑๐ เรื่อง หลาย ๑๐๐ เรื่อง แล้วมันก็ใช้ไม่ค่อยได้ เวลาป่วยความคิดที่ออกมาใช้ไม่ค่อยได้
อาจารย์ครับ การเทศน์นี้อาจารย์มีหลักอย่างไรครับ
ผมก็ตอบไม่ได้ถึงหลัก เพราะมันรู้สึกแต่เพียงว่าจะพูดให้เขาได้รับประโยชน์ได้มากที่สุดทางธรรมะ แล้วก็คิดขยายต่อไป คนฟังกลุ่มนี้ควรจะพูดอะไร ผู้ฟังเป็นใคร เป็นนักศึกษาชั้นเด็ก หรือชั้นผู้ใหญ่ ชั้นตํ่า ๆ หรือชั้นสูง ๆ มันก็พูดให้เหมาะเท่าที่จะทําให้เพราะได้ มันไม่มีหลักอะไร คล้าย ๆ กับว่าได้มันก็ดี ไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไร ตอนแรก ๆ ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญแตกฉานอะไร
ก่อนพูดแต่ละครั้ง อาจารย์ต้องเตรียมตัวนานไหมครับ
ไม่นาน ไม่ต้องนาน พูดตามความคิดที่มันไหล เมื่อบรรยายวันเสาร์แล้ว จึงมีบัตรย่อเรื่องที่พูด เป็นกิจจะลักษณะ หรืออย่างเรื่องอานาปานสติสมบูรณ์แบบ มันก็ต้องทํา เพราะทําตามแนวพระสูตร ทําเป็นโครงไว้ว่าพูดเรื่องอะไรแล้วต่อไปเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องอื่น ๆ ก็มักจะนึกไว้ในหัว หมายในใจว่าจะพูดเรื่องอะไร แล้วพยายามพูดวกเข้าไป รุกเข้าไป ในเรื่องนั้น ไม่ได้วางรายละเอียดไว้ก่อน แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไปทําเข้า จิตมันก็ไปยุ่งอยู่ตรงนั้น
เมื่อพูดมากขึ้น ศึกษามากขึ้น มันลึกเข้าไปของมันเอง เรื่องที่จะพูดปากเปล่าได้ มันต้องเป็นเรื่องที่เข้าใจหรือแตกฉานอยู่แล้ว จะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ต้องมีหลักฐานดีมาประกอบ เฉพาะบางข้อบางตอน แต่เค้าโครงทั้งหมดมันต้องเป็นเรื่องที่เข้าใจดีอยู่แล้ว มิฉะนั้นพูดไม่ได้ จะไปค้นทุกเรื่อง มันทําไม่ได้ เพราะมันพูดอยู่บ่อย ต้องพูดเรื่องที่ตัวเข้าใจและแตกฉานแล้ว เช่นข้อความบางตอน ต้องการหลักฐานประกอบก็ต้องไปดูบาลี บางทีก็ค้นนวโกวาท ค้นพุทธภาษิต นอกจากจะแต่งหนังสือใหญ่ ๆ มันก็ต้องค้นจากพระคัมภีร์ แล้วก็กินเวลาหลาย ๆ วัน หลาย ๆ เดือน นั่นมันอีกแบบหนึ่ง เช่น ถ้าจะทําชุดพระโอษฐ์ มันก็ต้องอยู่กับตําราดิกเลย ถ้าชุดอื่น ๆ ก็ตามสบาย อาศัยที่อยู่กับธรรมะมานาน สนใจมาตั้งแต่แรกบวช ตั้งแต่ก่อนบวช มันก็เหลืออยู่ในใจ มันคงเป็นหลักฐาน เป็นแนว ๆ เป็นเรื่อง ๆ เรื่องที่ไม่ถูกต้องมันก็ค่อย ๆ หลุดออกไป ๆ มันเก็บไว้นานมันก็มีหลายเรื่อง หลายแนว พอถึงเวลาจะพูดเรื่องอะไร แนวอะไร มันก็ปะติดปะต่อเรื่องนั้น ๆ ออกมา มันจึงไม่ได้เตรียมมาก ต้องพูดอยู่เกือบทุกวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปเตรียมมาก
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 234-236
หมายเหตุ เรียงลำดับดอกจัน ตามการเล่าเรื่อง
ท่านบรรยายธรรม / พิมพ์เป็นหนังสือดังนี้
* บรมธรรม ภาคต้น 7เมษา2512
* บรมธรรม ภาคปลาย , 29เมษา2512
* ตัวกู ของกู ฉบับสมบูรณ์ 30เมษา2512
* ชุดจากพระโอษฐ์ โดย พุทธทาสภิกขุ
อริยสัจจากพระโอษฐ์ มี 2 ภาค (เสียงอ่าน)
ตอนที่ 73 , ภาพหน้าที่ 236-238
อาจารย์ครับ การเทศน์ของอาจารย์มีลักษณะตามเหตุการณ์ทางสังคมด้วยใช่ไหมครับ
แน่นอน มันมีบ้าง อะไรเกิดขึ้นในโลก ในสังคม มีข่าวใหญ่ พูดถึงบ้าง เมื่อเขาเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ ๆ พูดเรื่องพุทธศาสนากับประชาธิปไตย * ให้ชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนาฟัง มันก็ไม่ได้เท่าไร ผมก็รู้ แต่เขาควรจะได้ฟังว่าการเปลี่ยนแปลงการปกครองคืออะไร เขามีความประสงค์อย่างไร เหมือนกับหลักพุทธศาสนาหรือไม่ เช่นยังบอกว่าทางคณะสงฆ์ต้องเป็นเอกฉันท์ทั้งร้อยเลย ค้านเพียงคนเดียวไม่ได้
อาจารย์ครับ อาจารย์ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมูนิสต์นี่ เริ่มครั้งแรกกรณีพระทิพย์ปริญญาใช่ไหมครับ ต่อจากนั้นเคยมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับคอมมูนิสต์อีกบ้างไหมครับ เห็นอาจารย์เคยเล่าไว้ว่าคนมาชวนให้ต่อต้านก็มี มาชวนให้ร่วมงานก็มี
พระทิพย์ปริญญา ไปฟ้องหลวงกาจที่เล่าแล้ว สมัยหนึ่งผมมีหนังสือคอมมูนิสต์แยะที่คนนั้นคนนี้เขียน นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เอามาให้ก็หลายเล่ม ครั้นถึงคราวที่จอมพลสฤษดิ์ หรือใครจะกวดขัน จะสํารวจผู้นิยมคอมมูนิสต์ (หัวเราะ) ผมก็ถามคุณปิ๋ว ญาติ ๆ ที่เป็นทนายความว่า การที่มีหนังสือคอมมูนิสต์มีความผิดอย่างไรไหม (หัวเราะ) แกตอบว่าไม่มีความผิดอะไร แต่ถ้าเขาเกิดหาว่าเป็นคอมมูนิสต์แล้ว หนังสือเหล่านี้จะเป็นพยาน ทําให้เรายากที่จะหลบหลีก (หัวเราะ) ผมเลยให้แกหมด (หัวเราะ) หลายเล่ม มัดใหญ่ ทั้งไทยทั้งฝรั่ง เรากลัวเหมือนกัน ถ้าว่าใครจะมาฟ้องหาว่าคอมมูนิสต์ แล้วก็มาค้นอะไรกัน หนังสือเหล่านี้มันเป็นพยาน (หัวเราะ) ก็เลยไม่ได้เก็บเอาไว้ ไม่คิดเก็บเอาไว้ แม้แต่เล่มเดียว แต่เราไม่เคยถูกกล่าวหาจากเจ้าหน้าที่โดยตรง ได้ยินคนบอกว่ามีสันติบาลมาอยู่ในวัด มาคอยเฝ้าเรา แต่ผมไม่นึกออก
คนที่มาชวนเรา ร่วมมือต่อต้านคอมมูนิสต์ เป็นกิจจะลักษณะก็คนอเมริกันโปรเฟสเซ่อร์ ไดเร็คเก้อร์ เขาเป็น The Cultural Assistant ของ USIS ทางการของเขาให้มา เราบอกว่ากลัวกิเลสมากกว่ากลัวคอมมูนิสต์ เขาเลยสั่นหัว (หัวเราะ) เขามาค้างคืนที่นี่ กลับไม่ทัน นอนที่โรงธรรม เอาเครื่องกระป๋องมาให้ถาดใหญ่ (หัวเราะ) ตามแบบความคิดนึกของฝรั่ง เขาให้ของขวัญ คุยกันไม่มาก พอพูดขึ้นก็เลยหมดทางหมดท่า ขึ้นไปคุยกันบนภูเขา เรากําลังติดธุระอะไรอยู่บนภูเขาด้วย และก็ให้มันเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์หน่อย ให้เกียรติหน่อยให้คุยบนภูเขา บนโบสถ์
เขาชวนว่าประเทศไทยน่ะ มันเป็นประเทศที่เขาเอาธุระเรื่องต่อต้านคอมมูนิสต์ ถ้าคอมมูนิสต์มาแล้วประเทศไทยก็จะสูญเสียพุทธศาสนา ผมก็เป็นพระในพุทธศาสนา ควรจะรับรู้หรือว่าเจ้ากี้เจ้าการเรื่องนี้บ้าง เราบอกว่ากลัวกิเลสมากกว่ากลัวคอมมูนิสต์ เขาเลยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เขาจะเสนอว่าจะให้นั่นให้นี่ ต้องการเครื่องขยายเสียงไหม ต้องการกระดาษไหม กระดาษพิมพ์หนังสือ ผมบอกไม่ต้องการ เจ้าชื่นต้องการกระดาษเขาให้กระดาษแยะ เขาว่าต้องการอะไรบอกมา เราบอกยังไม่ต้องการอะไร พูดอย่างไม่ว่าเขา ไม่กล้าพูดให้เขาเสียใจ มันเกือบจะพูดออกไปแล้วว่ากลัวจะเป็นการผูกพัน แม้แต่เพียงเท่านี้ผมก็ไม่พูด ก็ลาไป แกก็อยากให้เรื่องมันหายไป ครั้งเดียว อีกครั้งหนึ่งมีฝรั่งลูกน้องในหน่วยอะไรก็ไม่รู้เดินทางไกลแวะมา เมื่อถนนหน้าวัดที่ทําให้ญี่ปุ่นใช้มีใหม่ ๆ เคยมานั่งที่โรงธรรม เราก็กําลังดูหนังสือเรื่องประวัติศาสตร์โลกโดยรูปภาพ ต้นฉบับที่เอามาใช้เขียนภาพ ในโรงหนังนั่นแหละ ไอ้ภาพหนึ่งมันมีภาพสมัยเหมาเจอตุงปฏิวัติเมืองจีน แล้วก็มีรูปเหมาเจอตุง เขาเห็นภาพเขาตาเหลือก เป็นเรื่องสําคัญ เป็นเรื่องที่ว่าที่นี่ถ้าจะเป็นคอมมูนิสต์เสียแล้ว ผมใช้ให้เขาเปิดดูตลอดเล่ม เป็นหนังสือประวัติศาสตร์โลกธรรมดา แต่แสดงด้วยรูปภาพ ยุคนั้นเกิดมีอย่างนี้ ยุคนั้นเกิดมาอย่างนั้น ตั้งแต่โลกแรกมีมนุษย์จนถึงยุคเครื่องจักรปรมาณู แสดงว่าพวกอเมริกันนี้ กลัวคอมมูนิสต์ขึ้นสมองเลย
คอมมูนิสต์จริง ๆ มาติดต่อนั้นเป็นเรื่องน่าหัวที่สุด ตั้งแต่แรกมีสวนโมกข์นี้ เขาคงคิดว่าผมเป็นคอมมูนิสต์หรือนิยมคอมมูนิสต์ เขาเป็นพระมาขอพบ ผมกําลังทําธุระอะไรสักอย่างบนภูเขาพุทธทอง เขาก็ตามขึ้นไป เขาเริ่มคําพูดอย่างกับว่าเราเป็นแล้ว (หัวเราะ) บอกชวนลงมือทํางานอย่างนั้นอย่างนี้เถอะ ผมว่าไม่รู้เรื่องนี้ ไม่เคยมีความคิดอย่างนี้ แกคงสะดุ้ง สะดุ้ง สะดุ้ง โอ้ ถ้าจะเข้าใจผิด สําคัญผิดเสียแล้วว่าเป็นผู้นิยมคอมมูนิสต์ ก็เลยลากลับไปในไม่ถึงชั่วโมง ไม่ได้อยู่ค้าง เป็นพระท่าทางฉลาดปราดเปรียว คงมาจากทางภาคอีสาน ผมก็ไม่ถามว่าลงมืออะไร นี่คอมมูนิสต์แท้ได้อาศัยความสะดวกของผ้าเหลือง (หัวเราะ) บวชหรือว่าใช้ผ้าเหลือง (หัวเราะ) ไปไหนมาไหนสะดวก แล้วก็มาชวนลงมือแบบคอมมูนิสต์
อาจารย์ครับ แล้วนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทรละครับ มาชวนอาจารย์หรือเปล่า
ไม่ได้ชวนหรอก ไม่ได้ชวน แต่ว่ามาแสดงว่าดี มีเหตุผลอย่างนั้นอย่างนี้ ตั้งแต่ชวนให้เชื่อข้อแรกที่สุดของเรื่องว่าวัตถุนําจิตนี่ อธิบายโดยวิภาษวิธี วัตถุนําจิตอธิบายด้วยปาก ให้เชื่อทฤษฎีเบื้องต้นของคอมมูนิสต์ แต่ไม่ได้ชวนดําเนินงาน ปฏิบัติการอย่างคอมมูนิสต์ ตอนนั้นแกก็ยังไม่ได้เป็นเท่าไร ยังอยู่วัด เพิ่งเสร็จการศึกษาใหม่ ๆ อักษรศาสตร์บัณฑิตรุ่นแรก ๆ
อาจารย์ครับ แล้วไอ้พวกวิภาษวิธีอะไรนี่ อาจารย์ได้เข้าใจไหมครับว่าเป็นอย่างไร
เป็นวิธีใช้เหตุผลหลาย ๆ ชั้น ไม่เข้าใจอะไรมากกว่านี้ มีลักษณะเป็นโลจิคทั้งนั้น เหตุผลอย่างนั้น เหตุผลอย่างนี้ เหตุผลข้างล่าง เหตุผลข้างบน (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ ได้ทราบว่าตอนหลังแล้วตอนนี้คุณประเสริฐนี่ แกเลิกกับพวกคอมมูนิสต์แล้วนี่มาชวนอาจารย์ให้ต่อต้านหรือเปล่าครับ
ไม่ ไม่มี ไม่ได้ติดต่ออะไรกันแบบนั้น ติดต่ออย่างเพื่อน ไม่ได้คุยเรื่องคอมมูนิสต์เลย แต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ แกบอกผมว่าผมใช้คําพูดผิด วัตถุนิยม นิยมรสอร่อยของวัตถุว่ามันผิด คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ก็เคยบอกผมบอกว่าถูกแล้ว ผมหมายความว่าถึงมันจะนิยมวัตถุในแง่ถือวัตถุเป็นหลักก็เถิด แต่มันก็ไปจบลงที่รสอร่อยจากวัตถุ
อาจารย์ครับ ผมได้ยินว่ามีพระที่เคยใกล้ชิดอาจารย์รูปหนึ่ง มีแนวคิดทางนี้มากใช่ไหมครับ ชื่อโกศล หรืออะไรนี่
ไม่ใช่พระใกล้ชิด เป็นเณรอยู่วัดนี้แล้ว สาบสูญไปตั้งนานแล้ว คือว่าลาไปบวชที่เกาะสมุย แล้วก็สาบสูญไปเลย เป็นเณรหลายปี ไม่มีใครคิดไม่มีใครหวัง ว่าเขาจะไปชอบอย่างนั้นได้ มันเพิ่งเป็นเมื่อปลายสุดที่จะออกไป ก่อนนี้ธรรมดา ดูจะออกไปก่อนนักศึกษามีเรื่อง บางคนพูดว่าไปอยู่ญวน บางคนพูดว่าคงจะตายแล้ว
อาจารย์ครับ สมัยนั้นมันไม่มีหนังสืออะไรให้แกอ่าน แกจะไปนิยมได้อย่างไร
มีหนังสือไทยเล่มเล็ก ๆ คงมีเพื่อนสนับสนุน หามาให้ เขาเป็นคนซื่อ ๆ ธรรมดา ๆ เป็นเณรของอาจารย์โพธิ์ ติดตามอาจารย์โพธิ์ มาจากเกาะสมุย (หัวเราะ) แล้วอีกคนชื่อธนิต ธนิตนั้นเขาไมได้ตั้งต้นบวชที่นี่ ในที่สุดเขาก็นิยมคอมมูนิสต์ สรรเสริญลัทธิคอมมูนิสต์ แล้วก็หายสาบสูญไปเหมือนกัน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 236-238
* พุทธศาสนากับประชาธิปไตย
ปี 2518 ประชาธิปไตยตามแบบแห่งพระพุทธศาสนา
ปี 2523 ธรรมะในฐานะดวงวิญญาณแห่งประชาธิปไตย
.ตอนที่ 74 , ภาพหน้าที่ 238-242
อาจารย์ครับ แล้วที่อาจารย์ได้วิวาทกับคึกฤทธิ์นั้นมันมีเหตุผลอย่างไรครับ
เขานิมนต์ไปอภิปรายกันที่คุรุสภา ฝ่ายผมมี ๒ คน อาจารย์อะไรอีกคนลืมแล้ว (หัวเราะ) แต่แกไม่พูดเลย ให้ผมพูดคนเดียว เป็นฆราวาส มันจะเป็นความคิดของพวกคุรุสภา (หัวเราะ) แตกตื่นกันใหญ่ คนไปฟังเต็มไปหมด ฝ่ายโน้นมีอีกคนหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้พูด หัวข้อว่าไง (หัวเราะ) ลืมแล้ว ไปดูเอง ผลัดกันพูด (หัวเราะ) ดูเหมือนผมจะพูดก่อน พูดไปออกเรื่องจิตว่าง ตามแบบว่าหลักธรรมะที่สําคัญคือเรื่องจิตว่าง ฝ่ายนั้นเขาว่าคนที่จะเป็นผู้ทํางานในโลกด้วยจิตว่างนั้นไม่ได้ มันคนละพวก คนละชั้น อุปมาว่าเหมือนขนมปังทาเนย ๒ หน้าไม่มีใครทํา พูดกันอยู่ ๒-๓ ชั่งโมงได้ ท่านชิ้น หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ (หัวเราะ) ก็ไปฟังด้วยเหมือนกัน ไปเชียร์ผม (หัวเราะ) คนฟังก็ดูจะฟังกันเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็ปิด ปิดฉากลาโรง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีอีก ทีเดียว ทีเดียว (หัวเราะ) แล้วก็ไม่มีทางจะทําความเข้าใจได้ (หัวเราะ) ใครจะขอเชิญอีกก็ไม่เอาละ ไม่เอา ผมก็ไม่เอา เขาก็คงไม่เอา
แล้วอันเนื่องมาแต่ครั้งนั้นแล้ว ยังมีเรื่องอะไรต่อมาอีกหรือเปล่าครับ หลังจากครั้งนั้นแล้ว
มันไม่ปรากฏหลักฐาน คงจะมี แต่เขาคงจะมีความคิดที่จะไม่เห็นด้วยกับอานิสงส์ของจิตว่างอยู่ตลอดเวลา (หัวเราะ) เขียนล้อเรื่องจิตว่างอยู่บ่อย ๆ ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เราไม่มีหนังสือพิมพ์ (หัวเราะ) เดี๋ยวนี้เงียบไปแล้ว ไม่ล้อเรื่องจิตว่าง คงโดนจิตวุ่นกัดเอาบอบชํ้า (หัวเราะ)
กับชาวบ้านและพิธีกรรมบางอย่างแบบสวนโมกข์
อาจารย์ครับ เมื่อย้ายมาอยู่ที่ธารนํ้าไหลนี้แล้ว ยังมีชาวบ้านเห็นกิจกรรมของสวนโมกข์ เป็นเรื่องบ้าบออีกหรือเปล่าครับ
ไม่ได้ข่าว เพราะไม่ได้ทําอะไรแปลก ๆ ที่ชาวบ้านเข้าใจไม่ได้ และเราก็เคยตั้งใจจะยกระดับชาวบ้านดังที่เคยเล่ามาแล้ว เมื่อผมมาที่นี่ ซึ่งเป็นเขตที่ล้าหลังที่สุด ธรรมเนียมเก่า ๆ บางอย่างยังเหลืออยู่ เช่นถ้าปลูกผัก ปลูกอะไรไว้ ถ้าขโมยมาขโมยเอาไป เขาจะนิมนต์พระไปบังสุกุลร่องผักนั้น เป็นการทําอันตรายแก่ขโมย ก็มีคนมานิมนต์ผมไปทํา ผมก็ไม่ได้ไปทํา แต่คงมีพระพื้นบ้านอื่น ๆ ทําตาม ๆ กันมาแต่โบราณ พระแกคงไม่รู้คงไปหลอกพระให้ช่วยบังสุกุลที่ขโมยมันชุมนัก
แต่สภาพโดยทั่วไป ชาวบ้านเขาก็อยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกัน ความเป็นอยู่ก็เสมอ ๆ กัน ไม่มีปัญหาระหว่างคนมั่งมีกับคนยากจน อยู่กันแบบเพื่อน ขนบธรรมเนียมประเพณีส่งเสริมความเป็นเพื่อน ช่วยเหลือกันเต็มที่ คนนั้นไปช่วยคนนี้ คนนี้ไปช่วยคนนั้น ถึงกับจําว่าใครมาช่วยเรากี่ครั้ง เราต้องไปปลดหนี้ ปลดหนี้ให้หมด ไปช่วยตอบแทน ถึงกับจดจําไว้ไม่เอาเปรียบกัน คิดว่าทีหลังจะมีเพื่อนมาช่วยเราอีก ถ้าเราไม่ไปช่วยเพื่อนก็ขาดไปคนหนึ่ง ถ้าไม่ไปช่วยบ่อย ๆ ก็เท่ากับขาดหมด
ทําเลรอบ ๆ วัดนี้มันเป็นที่ทํากินของชาวบ้าน เป็นที่ว่างที่เขาจับจองไว้แล้ว แต่ไม่อาจมาอยู่เพราะมันไม่สะดวก เพราะไม่มีโรงเรียนให้เด็ก ไม่มีที่พึ่งพาอาศัย เปลี่ยว พอมีวัดเข้า มันก็หมดปัญหาเหล่านี้ ก็อพยพตามมาอยู่รอบ ๆ ไปหมด มันเป็นประเพณีแบบนี้ ผมเคยแนะนําทางราชการ กับพนักงานการปกครองหลายต่อหลายคน นายอําเภอก็เคยคุย ถ้าจะบุกเบิกพื้นที่ออกไปก็ใช้วัดเป็นเครื่องนําหน้า ทําให้ได้ผลสําเร็จมาก จะเบิกบ้านเบิกเมือง ให้ใช้วัดนําหน้าเป็นหัวหอก ที่ไหนก็เป็นอย่างนี้ ในป่าในดง ถ้ามีวัดเข้ามาอยู่ คนก็ต้องการเข้ามาอยู่ อย่างวัดนี้เป็นตัวอย่าง
จะเล่าให้ฟังก็ได้ แรก ๆ ที่มาอยู่นั้น ก็ช่วยทุกอย่างทุกประการ พอมีวัดสมบัติของวัดก็มีเยอะแยะไปหมด ถ้วยชามก็มี จอบพร้าก็มี ปีบหาบนํ้าก็มี เมื่อแรกมาอยู่ ประชาชนแถบนี้ถึงกับยืมพร้าไปถางป่า ยืมจอบไปขุดนา วันไหนที่เขาจะเลี้ยงที่ท้องนาเป็นการใหญ่ เขาจะมายืมจาน ชาม ที่วัดเอาปีบไปหาบนํ้า ยืมขันนํ้าอะไรไป
แล้วก็แนะนําให้รู้จักบรรเทาความทุกข์ยาก คือมันป่วยไข้กันมากในฤดูเกี่ยวข้าว เหนื่อยกันทั้งวัน หลาย ๆ วัน จนป่วยไข้ ยุงก็มาก ผมก็แนะนําให้รู้จักใช้ยา เช้าก่อนไปนา กินควินินเม็ดหนึ่ง พอเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว กลับมาบ้าน กินยาแอสไพรินเม็ดหนึ่ง มันก็เป็นการป้องกันอาการเลวร้ายนั้นได้ ยาแอสไพรินช่วยไม่ให้เมื่อย ช่วยให้นอนหลับ แต่ก่อนมันนอนไม่หลับ มันเมื่อย มันเจ็บตัว ไม่หลับมันก็เสื่อมสุขภาพ ควินินมันป้ องกันเชื้อมาลาเรียได้อย่างดี มันก็เลยไม่เป็นไข้ ไม่ครั่นเนื้อครั่นตัว นอนสบายได้พักผ่อนเต็มที่ ลุกขึ้นก็ไปทํางานได้ดีทุกวัน ๆ ต่อมาเขารู้จักยาเหล่านี้ เขาก็ไปหาซื้อกินเองได้ เราไม่ต้องให้แล้ว แต่ก่อนไม่ยอมกินกัน ยาเม็ดขาว ๆ แล้วไม่ยอมกิน ยาฝรั่งไม่ยอมกิน ต้องชี้แจงกันกว่าจะลองกิน
ธรรมดายาร้าย ๆ ผมก็ไม่แนะนําให้กิน แต่ก็มีเหมือนกัน เด็กคนหนึ่งเด็กหญิงเล็ก ๆ มันเป็นคุดทะราดไปทั้งตัว ผมก็ให้ยาสารหนูอย่างแรง สไปโรซีส เม็ดเล็ก ๆ สีขาว เม็ดเดียว ไม่กี่วันหายหมด เลยมาขอกันใหญ่ ผมบอกว่ายาอย่างนี้ไม่มีให้ คุณต้องซื้อที่ร้านยา เดี๋ยวนี้ดูจะไม่ค่อยมีแล้ว สโตราซาน สไปโรซีส แก้โรคอย่างนี้ชะงัดที่สุด แต่ถ้าเกินมันอันตราย เด็กคนนั้นมันน่าสงสาร กินเม็ดเดียวสักอาทิตย์หนึ่งมันหายหมด สักเดือนหนึ่งหายเกลี้ยงเป็นเนื้อดีหมด
ตอนนั้นผมใช้อยู่ประจํา ใช้สโตราซานฆ่าเชื้อมาลาเรีย มันมีเขียนอยู่ในฉลากยา ว่าสกัดเชื้อมาลาเรีย ไม่มีใครใช้ เรากล้าใช้แก้พวกพุพอง นํ้าเหลืองเสีย เช่น คุดทะราด เป็นต้น ที่ผมกล้าใช้อีกอย่างมันเสี่ยงมากก็คือเป็นไข้ไทฟอยด์ ที่ถ่ายออกมาเป็นนํ้า เหมือนกับมีเลือดผสมออกมาด้วย ยานี้มันมีประโยชน์ คือมันหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ผมไปเห็นหมอชุมพร เขาใช้กับอาเสี้ยง ผมไปนั่งดูเขารักษา แบบไข้ก็รักษาไป แต่บางมื้อให้สโตราซานไปด้วย ซื้อมาไว้ประจํา แต่เราไม่ได้เอามาแจก มันเป็นสารหนู ๒ ชนิดที่ไม่เป็นอันตราย เป็นยาเยอรมัน เดี๋ยวนี้ดูจะไม่มีขายแล้ว
นอกจากนั้นก็ช่วยตอบคําถามเกี่ยวกับกฎหมาย แต่เราไม่ได้ทําหน้าที่ยุให้เขาเป็นความกัน ช่วยพิมพ์หนังสือสัญญาก็มี พิมพ์ดีดให้ แล้วก็ชวนกันทําถนน ทําคลอง ทําทางเดิน เหมือนที่เล่าแล้ว ชวนกันคุ้มครองที่สาธารณะ เช่น ป่าไทรที่ขึ้นคร่อมคลองไชยา เป็นต้น
แล้วก็ยังให้มาสวดมนต์ จนมีการสวดมนต์ประกวดกัน เหมือนที่เล่าไว้แล้ว แล้วยังมีหัดเทศน์วันเสาร์ ให้หนุ่มชาวไร่ชาวนา มาพูดตามที่ตัวเองถนัด แล้วก็มีรางวัลเป็นพร้าบ้าง เป็นจอบบ้าง พอเราเทศน์จบก็เป็นรายการบรรยายประกวด นายน้อยพูดได้เกือบทุกปี แกมีปฏิญาณโวหาร เป็นมโนห์รา พูดธรรมะตามความคิดเห็น ไม่ใช่ธรรมะตามแบบฉบับ ก็ยังมีประโยชน์ ทําสัก ๒-๓ ปี มันก็เริ่มเบื่อด้วยกันทั้งฝ่าย มันซํ้าซาก ก็เลิกกันไป
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 238-241
* การอภิปรายที่คุรุสภา-กรุงเทพฯ ระหว่าง
อ.พุทธทาส กับ มรว.คึกฤทธิ์ มี 3 ครั้ง
ครั้งที่ 1เมื่อ 2506 07 06
เรื่อง งานคือการปฏิบัติธรรม
* ครั้งที่ 2 เมื่อ 2507 02 23 เป็นข่าววิวาทะ
เรื่อง การทำงานด้วยจิตว่าง
(นับเป็นกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นถึงความสำคัญของ "ภาษาคน กับ ภาษาธรรม" ว่า...
เพราะเหตุใดจึงฟังธรรมบรรยายท่านพุทธทาสไม่เข้าใจ
ครั้งที่ 3 เมื่อ 2508 01 19
เรื่อง หมวดธรรมที่พึงใช้ในการทำงานด้วยจิตว่าง
ท่านที่เพิ่งสนใจฟังธรรมท่าน #พุทธทาส
ขอแนะนำให้ฟัง ภาษาคน ภาษาธรรม ปูพื้นก่อน จะช่วยให้ฟังธรรม อจ.เข้าใจขึ้นครับ
#ภาษาคน #ภาษาธรรม #ปทานุกรมธรรม
.
ตอนที่ 75 , ภาพหน้าที่ 242-245
อาจารย์ครับ ที่อาจารย์เล่าเกี่ยวกับการสวดมนต์แปลแบบสวนโมกข์ ซึ่งทําให้เด็ก ๆ ถิ่นนี้ในยุคนั้น สวดมนต์เป็นกันมากนั้น ผมลืมถามไปว่ามีอะไรเป็นต้นเหตุ จึงทําให้อาจารย์คิดทําบทสวดมนต์แปลขึ้นครับ
คงคิดว่ามันดี ตรงที่มันฟังรู้เรื่อง มีความรบเร้าของบางคนแถวนี้ เช่นผู้ใหญ่พิศ เป็นต้น ที่มีความประสงค์ หลายคนมีความประสงค์อยากสวดมนต์แปล สมัยโบราณท่านก็มีแปล แต่สวดไม่ได้ สมเด็จพระวันรัต (ทับ) ท่านก็เคยแปลไว้ แต่สวดไม่ได้ สวดไม่ลง แล้วต่อมาเจ้าคณะภาคเจ้าคุณธรรมวโรดมองค์ก่อน (วัดราชาธิวาส) ส่งสวดมนต์แปลมาสองสามบท ท่านเป็นเจ้าคณะภาคส่งมาบังคับให้สวด อันนี้เป็นเหตุที่ทําให้รู้สึกกันว่า เอ๊ะ สวดแปลนี้มันดี ท่านมีความคิดแยบคายแลบออกมานิดหนึ่ง ไม่ได้มากมายอะไรนัก บทละ ๒ ถึง ๓ นาทีเท่านั้น เราเลยมาแปลให้ทั้งหมด ทําวัตรเช้า วัตรเย็น ก็แปลอาศัยของเก่า ที่เขาแปล ๆ ไว้ ในหนังสือสวดมนต์แปลบ้าง เพิ่มเติมเอาเองตามพอใจบ้าง ให้มันไพเราะเสียงลงกันได้ เอาเด็ก ๆ
รุ่น ๆ แถวนี้มาหัดซ้อมเสียงกันดู ให้ฟังเรียบร้อย สะดวก ลื่น ฟังไม่ขัดหู ตอนแรกคัดลอกกันด้วยมือก่อน จนเป็นที่พอใจแล้วจึงพิมพ์เป็นเล่ม (ครั้งแรก ๒๔๙๗) ก็ออกมาเป็นสวดมนต์แปล แบบสวนโมกข์* ทําวัตรเช้า ทําวัตรเย็น ทั้งอุโบสถศีล ทั้งปัจจเวกขณ์ และเบ็ดเตล็ด ตามที่เห็นกันอยู่ มันจะโดยอย่างไรก็ไม่รู้ มันฟลุคโดยบังเอิญ คนชอบกันก็เลยแพร่หลาย จนเดี๋ยวนี้มีคนเอาไปสวดกันทั่วประเทศ เป็นหนังสือของคณะธรรมทานที่พิมพ์มากที่สุด พิมพ์เองบ้าง เขามาพิมพ์แจกบ้าง รวม ๆ คงจะหลายแสนฉบับแล้ว (หัวเราะ) ถ้าคณะสงฆ์จะออกแบบสวดมนต์แปลของคณะสงฆ์ออกมา คงจะลําบากเหมือนกัน (หัวเราะ) เพราะชาวบ้านเขาสวดแบบสวนโมกข์เต็มไปเสียทุกหนทุกแห่งแล้ว โรงเรียนบางแห่งเขาก็เอาไปใช้กัน
พระปาสาทิโก ชาวเยอรมัน มาอยู่ที่นี่ แกรู้ภาษาไทยพอสมควร แกรู้สึกว่าเป็นคําแปลที่เหมาะสมที่สุด เขาแปลกันที่อื่น ๆ มันไม่เป็นที่พอใจ แกก็อยากให้คําแปลที่เหมาะสมที่น่าฟังนี้มีขึ้นในภาษาเยอรมัน เลยแปลเป็นภาษาเยอรมัน ทําวัตรเช้า ทําวัตรเย็น และข้างในบางบท เสร็จแล้วพิมพ์ที่นี่ แล้วส่งไปเยอรมัน ในห้องธรรมโฆษณ์ก็มีตัวอย่าง แกเองก็พอแปลจากบาลีได้และเคยเห็นที่เขาแปล ๆ กัน สําหรับจะศึกษา แต่ความหมายมันไม่ลึก ไม่ชัด ไม่เพราะ เหมือนกับฉบับของสวนโมกข์ แกเลยแปลใหม่จากภาษาไทยเลย ไม่ได้แปลจากบาลี
ท่านมาอยู่กับอาจารย์ได้อย่างไรครับ
เขามาด้วยกัน ๓ รูป ปาสาทิโก วิมโล สิริจันโท เป็นเยอรมันทั้งหมด มาอยู่กันสัก ๓-๔ ปีเห็นจะได้ ปาสาทิโก ดูจะบวชที่อินเดีย วิมโล บวชที่พม่า สิริจันโท บวชกับสมเด็จธีรญาณมุนี วัดจักรวรรดิ์ (ราชาวาส) ไม่ได้มาบวชที่นี่ ต่อมาสิริจันโท กลับไปญี่ปุ่น ไปศึกษาเซนที่ญี่ปุ่น แล้วสึก วิมโล กลับไปเปิดกิจการที่เยอรมัน ปาสาทิโก ไปอยู่ฝรั่งเศส เพื่อค้นคว้าเรื่องที่มีอยู่ในภาษาธิเบต สูตรที่มีอยู่ในภาษาธิเบต เขารู้ภาษาธิเบตพอที่จะทําอะไรได้ เขามาสอบดูว่ามันตรงกับที่อื่นไหม มาสอบกันดูแล้วปรากฏว่าธิเบตน่าสนใจ เดี๋ยวนี้ยังทํางานนี้อยู่ แปลสูตรที่เป็นธิเบตซึ่งแปลมาจากสันสกฤตเดิม
สมัยอยู่กับผมก็อยู่อย่างอิสระ คุยสนทนากันบ้างตามโอกาส ความรู้ทางพุทธศาสนาเขาดี เคยเรียนในพม่า รู้ภาษาจีนด้วย วิมโลนั้นเคยเรียนในพม่าหลาย ๆ ปี ปาสาทิโกเขาฉลาด เรียนง่าย สิริจันโทจะด้อยกว่าเพื่อน ไปเรียนเซนที่ญี่ปุ่น วิมโล ดูเหมือนจะทําให้บ่อนติดอยู่พักหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ถามดู เงียบไปแล้ว อาจจะสึกแล้วก็เป็นได้
อาจารย์ครับ การที่ให้ชาวบ้านสวดมนต์ในขณะพระฉัน ในวันที่มีการเลี้ยงพระที่นี่นั้น เป็นการริเริ่มของที่นี่หรือเปล่าครับ
มันเริ่มที่นี่ (หัวเราะในคอ) มูลเหตุก็คือ มันคุยกันหนวกหู คุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ จ้อกแจ้กไปหมด ตั้งหลาย ๆ คน หนวกหู เลยตัดบท อ้าวไหว้พระกัน ขณะพระกําลังฉัน ชาวบ้านก็สวดมนต์ แล้วก็ได้ประโยชน์ พระนั่งฟังสบายเลย ฉันข้าวไปพลาง ฟังไปพลาง ที่สวดบทปัจจเวกขณ์ยิ่งดีใหญ่เลย พิธีกรรมพวกนี้ มาเริ่มที่นี่ สมัยอยู่สวนโมกข์เก่ายังไม่ได้ทําอะไรกับประชาชน
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 242-244
.
ตอนที่ 76 , ภาพหน้าที่ 245-247
อาจารย์ครับ แล้วที่สวนโมกข์นี่ เคยทําพิธีรับกฐินหรือเปล่าครับ
เคยปีหนึ่ง (๒๔๙๕) แล้วเลิก ที่จริงเราไม่อยากให้มี บอกเขาว่าที่นี่ไม่มีสีมารับกฐินไม่ได้ ก็เลยไม่ได้รับ อยู่มาจน ๔-๕ ปี จนคณะกรุงเทพฯ เขาไม่ยอม คุณประสิทธิ์ จันทแสงสว่าง คุณชํานาญ ด้วย ใครต่อใครอีกหลายคน เขาบอกว่าจะทอดกฐินล่ะนะ ไม่ยอมแล้วล่ะ ก็เลยไปทํากันในทะเลที่ปากนํ้าไชยา เป็นเรื่องของเขาทุกอย่าง เขาไม่ยอมเขาจะทํา เขาก็ทําไป นายประสิทธิ์ไปเช่าเรือพระมาจากบ้านดอน ที่เขาเสร็จจากการแห่พระแล้ว เขาคิด ๓ พันบาท ไปเอาบุษบกนํ้ามา ลากจูงกันมาจากบ้านดอน มาที่ปากนํ้าไชยา ทําพิธีทอดกฐินกันที่นั่น (หัวเราะ) ก็เลยเป็นครั้งแรกและครั้งเดียว มันสนุกก็สนุก ลําบากก็ลําบาก เลยบอกขอทีไม่ต้องมีอีกต่อไป จนกระทั่งต่อมาได้วิสุงคามสีมาแล้ว จะทําสังฆกรรมอะไร ก็สะดวกแล้ว ก็ยังไม่อยากทํา มันยุ่ง เลยขอไม่มีจนเดี๋ยวนี้ รับได้แต่เพียงผ้าป่า
คราวนั้นที่มีทอดกฐินมันสนุกเรื่องเล่นนํ้า เรื่องเรือ มีคนเอาเรือมากันเป็นสิบ ๆ หลายสิบลํา เสียค่าใช้จ่ายไปเยอะแยะ ดูเหมือนเหลือเงินสัก ๘-๙ พันบาท (หัวเราะ) โยมวาสน์ เป็นตัวการเรื่องอาหารการกิน เมื่อยังแข็งแรงอยู่ แกมาช่วยบ่อย มาหลายครั้ง เดี๋ยวนี้ได้ยินว่าลุกไม่ค่อยไหวแล้ว คงหง่อมจนเดินจะไม่ไหวอยู่แล้ว มันเป็นธรรมเนียม ถ้าใครมาทอดกฐินก็ต้องเลี้ยงเขา เดี๋ยวนี้มันมากันเป็นร้อยเป็นพัน ยุ่งตายเลย (หัวเราะ)
อีกอย่างหนึ่ง กฐินเดี๋ยวนี้มันเสียความมุ่งหมายเดิมหมดแล้ว ความมุ่งหมายเดิม เขาต้องการให้ภิกษุเย็บจีวรเป็น ฝึกภิกษุทําการเย็บ ย้อมซัก ทําอย่างที่เรียกว่าเป็นกรรมกรกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ยกเว้นแม้แต่อาจารย์อุปัชฌาย์ เจ้าอาวาส แล้วก็สามัคคีกัน ยกให้คนที่มีจีวรเก่าที่สุด เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มีแต่จีวรสําเร็จรูป แล้วก็ยกให้สมภารทั้งนั้น ไม่ได้ประโยชน์ ตามความมุ่งหมายของกฐิน กลายเป็นพิธีรีตองอย่างหนึ่งไป ไม่ต้องมีดีกว่า ก็เลยไม่มีมาเป็นปกติจนบัดนี้
อาจารย์ครับ ทําไมถึงต้องทําในนํ้าครับ
ตอนนั้นที่นี่ยังไม่มีสีมา แต่ตามวินัยทําสังฆกรรมได้ ถ้าทําในนํ้า ที่เป็นนํ้าตามธรรมชาติ ที่กว้างใหญ่ขนาดวักนํ้าสาดตลิ่งไม่ถึง ก็เลยทําอย่างนั้น ทําในทะเล มันจึงเรียกทําในสีมานํ้า อุทกุกเขปสีมา จะทําในสีมาป่า อรัญสีมา ก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะว่าบ้านรุกเข้ามาใกล้เต็มไปหมด เหลือแต่สีมานํ้าพอทําได้ ก็เลยลองทํากันอยู่ครั้งหนึ่ง
ทําไมท่านจึงอนุญาตสีมานํ้าครับ
อ้าว ก็ต้องไปถามพระพุทธเจ้าดู มันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ สันนิษฐานว่า ทะเลหรือนํ้าไม่มีใครถือกรรมสิทธิ์ ถ้าเป็นแผ่นดินมันมีเจ้าของ มีคนถือสิทธิ์ ดังนั้นจึงต้องให้พระเจ้าแผ่นดินอนุญาต สละกรรมสิทธิ์ ให้พระทําได้ ถ้าป่าอย่างสมัยโน้น ก็ไม่มีใครถือกรรมสิทธิ์ ก็เลยอนุญาตอรัญสีมาอีกอย่างหนึ่ง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 245-247
.
ตอนที่ 77 , ภาพหน้าที่ 247-249
อาจารย์ครับ แล้วการเวียนเทียน ในวันสําคัญของสวนโมกข์ เริ่มมาแต่ต้นเลยหรือครับ
ตอนแรก ๆ ที่นี่ไม่มี ไปเวียนที่วัดพระธาตุไชยา ผมก็ยังไปเวียนที่นั่น ตอนหลังมีคนต่างจังหวัดมาค้างที่นี่มากเข้า ๆ เขาไม่อยากไปวัดพระธาตุ เขาอยากทําวิสาขะในป่าแบบที่นี่ เลยต้องจัดวิสาขะที่เหมาะสมกับคนที่มาจากต่างจังหวัด ตอนแรกก็มีคน ๑๐ กว่าคน เป็นเวียนเทียนพิเศษ ทําตั้งแต่ตอนเย็น พอคํ่าก็ไปวัดพระธาตุ ทําเป็น ๒ ที่ พอเสร็จที่นี่แล้ว ผมก็ไปพูดอะไรที่วัดพระธาตุนิดหน่อย
ก็เลยเกิดวิสาขะแบบที่นี่ มันจะเลิกเสียก็ไม่ได้ เพราะเขายังอุตส่าห์มากัน และเพิ่มมากขึ้น ๆ คนแถวนี้ก็มาสมทบบ้าง แต่ส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด ต่างอําเภอทั้งนั้น จนเดี๋ยวนี้ก็มาก เท่า ๆ กับที่วัดพระธาตุ ที่วัดพระธาตุผมไปไม่ไหวก็เลิก ไม่ได้ไป
งานอาสาฬหบูชาที่นี่มีก่อนใช่ไหมครับ
เรามีก่อน ไม่น้อยกว่า ๔-๕ ปี คนกรุงเทพฯ มาเห็นเข้า คุณชํานาญ เขาก็เอาไปป่าวข่าวทางโน้น ไปขู่กันเอง บอกให้มหาเถรสมาคมประกาศ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะทําเอง (หัวเราะ) ได้ยินว่าพระธรรมโฆษาจารย์เจ้าคณะจังหวัดชลบุรี เป็นผู้เสนอในที่ประชุมมหาเถรสมาคม แล้วเขารับรองประกาศทางการว่าวันอาสาฬหะเป็นวันพระสงฆ์ เราถือเป็นวันพระธรรมภิกษุเพิ่งเกิดขึ้น ไม่ใช่พระสงฆ์ มันผิดหลักเสียแล้ว เอาวันมาฆะเป็นวันพระธรรมมันไม่ถูก พระสงฆ์ พระอรหันต์ ประชุมพร้อมกัน ๑,๒๕๐ รูป ต้องเป็นวันพระสงฆ์ เดี๋ยวนี้ผมยังพูดออกวิทยุอะไรบ้างว่าวันวิสาขะเป็นวันพระพุทธ วันอาสาฬหะเป็นวันพระธรรม วันมาฆะเป็นวันพระสงฆ์ พูดกรอกหูอยู่เรื่อย แต่ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง เพราะว่าเขาประกาศไปอย่างนั้นเสียแล้ว แต่มีคนเห็นด้วยกับเรามากกว่าที่จะเห็นอย่างนั้น
เราได้ข่าวพวกสมาคมมหาโพธิที่อินเดีย เขาทําอาสาฬหะกันที่สารนาถก่อนหน้านั้น เราไม่รู้เหมือนกันว่ามันมีวันที่ควรจะบูชาเป็นพิเศษอีกวันหนึ่ง เขาทํากันที่สารนาถ อันเป็นที่เกิดของธรรมจักร หรือที่เกิดอาสาฬหะอยู่แล้ว ดูเหมือนเขาจะทํากันใหญ่โต ถือว่าสําคัญกว่ามาฆบูชาเสียอีก ทางเมืองไทยเรามีแต่มาฆะ วิสาขะ เพิ่งมารู้จักอาสาฬหะกันไม่กี่ปี
อาจารย์ครับ แล้ววันทําวัตรขึ้น ๑๓ คํ่า เดือน ๑๐ นี้ เริ่มมาอย่างไรครับ
หลายปีแล้ว ๑๐ กว่าปีเห็นจะได้ เป็นเรื่องที่ข้างนอกเขาคิดกันเอง ดูเหมือนพระครูถาวรฯ จะเป็นตัวตั้งตัวตี ร่วมกับเจ้าคณะอําเภอ เริ่มแรก ๆ ไม่กี่คน ผมไม่ได้สนใจเป็นพิเศษ แล้วมันค่อยเพิ่มขึ้น ๆ ขยายกันออกไปถึงชุมพร เจ้าคุณหลังสวนถ้าไม่ป่วยไข้ก็มาประจํา ตอนแรกทําคล้ายเป็นเรื่องส่วนบุคคล เรียกว่าทําวัตร ผมว่ามันเกินไป ผมเรียกว่าวันเยี่ยมสวนโมกข์ แต่เขาไม่ค่อยเรียกกัน
อาจารย์ครับ แล้วทําบุญล้ออายุเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ
ที่จริงมันไม่มีอะไรเลย พอถึงวันนั้นก็เทศน์พิเศษหน่อย แล้วก็อดอาหาร แต่ก่อนนี้รู้กันแต่คนวงใน คนภายในที่นับถือกันมาก ๆ ทํากันไม่กี่คน ให้ของขวัญ อดอาหาร แล้วมันก็เพิ่มขึ้น ๆ เดี๋ยวนี้อดกันเป็นร้อย ๆ มันไปตื่นเต้นสนใจกันทางกรุงเทพฯ แถวนี้เขาไม่ค่อยสนใจกัน เขาถือว่าขัดขวางเขาเสียอีก เขาต้องการให้มันดี ให้มันครึกครื้น เราไปทําให้มันลด นึกสนุกขึ้นมาอยากล้อพวกที่ต่ออายุชนิดกลัวตาย เราล้ออายุชนิดเยาะเย้ยความตาย
อาจารย์ อดอาหารแบบเด็ดขาด หรือว่าฉันอาหารเหลวครับ
ฉันนํ้าปานะ เดี๋ยวนี้มันไม่มีความหมาย ไม่หิว อดสัก ๒-๓ วันคงจะได้ ยังคิดอยู่ถ้านํ้าหนักความอ้วนไม่ลด จะอดข้าวเลย อย่างที่ฉันทุกวันนี้ก็ฉันน้อยมาก ๓ เดือนลดลงได้ ๘ กิโลฯ จาก ๑๐๕ มาถึง ๙๗ รูปร่างสบายขึ้น ลุกขึ้นนั่งลงมันคล่องแคล่ว จะลุกจะนอนมันคล่องแคล่วขึ้น ตอนนี้กําลังต่อสู้กันอยู่ ขึ้น ๆ ลง ๆ ระหว่าง ๙๗ กับ ๙๘ กลับไปกลับมาแต่ไม่เกิน ๙๘ (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 247-249
ตอนที่ 78 , ภาพหน้าที่ 250-256
อาจารย์ครับ ตอนนี้จะเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับการปกครองดูแลพระเณรตั้งแต่ต้นมานะครับ แรกสุดอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า อาจารย์มีหลักอย่างไรในการปกครองวัด
มันเกือบจะไม่มีหลักอะไร เพราะมันไม่ได้สนใจการปกครอง เพราะไม่มีหัวในการปกครอง นี่อย่างหนึ่ง แล้วอีกอย่างหนึ่งก็อยากจะให้เป็นแบบครั้งพระพุทธเจ้า ไม่ต้องมีคําว่าปกครองอะไร ให้ทุกคนรู้สํานึกในหน้าที่และก็ทําหน้าที่ ไม่มีอะไรบังคับ ให้ดูคนอยู่ก่อน แล้วก็ทํา ให้ทุกคนตกลงกันเอาเอง เรื่องทํากิจต่าง ๆ แม้แต่เรื่องบิณฑบาต เรื่องทําวัตรสวดมนต์ เรื่องศึกษาเล่าเรียน การทํากิจกรรมบริหารรักษาวัด ให้ทุกคนมีสิทธิที่จะออกความคิดเห็น แล้วก็ตกลงกันเอง ตามที่มันมีแบบอย่างมาแต่ก่อน ๆ แล้วก็ทําตามแบบ
เมื่อทีแรก มันอยู่กันเพียง ๒-๓ คน ก็ไม่มีระเบียบอะไร พออยู่ ๔-๕ คนก็มีบ้างและก็โดยธรรมเนียม โดยประเพณี ไม่ใช่โดยกฎอะไรนัก แม้คนจะมาอยู่มากขึ้น ก็คงอยู่อย่างนั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่รู้ว่ากฎหรือระเบียบอยู่ที่ไหน มันก็แปลกอยู่เหมือนกัน ทุกคนก็ดูเพื่อน แล้วทําไปตามที่เรียกว่า ทําไปตามประเพณี ไหว้พระสวดมนต์อะไรต่าง ๆ ไม่ได้ออกกฎเป็นลายลักษณ์อักษร หรือออกเป็นข้อบังคับอะไร มันก็ไม่ค่อยเรียบร้อยนัก บางอย่างไม่เรียบร้อย แต่เราก็พอใจที่ว่าอยู่อย่างรับผิดชอบตัวเอง อยู่อย่างไม่มีใครต้องบังคับ เมื่ออยู่กันได้ ก็น่าจะพอใจแล้ว เรียกว่าปกครองชนิดไม่มีใครบังคับ
ทางธรรมะก็รู้กันอยู่ กิจวัตรประจําวันคืออะไร ทุกคนก็พยายามทําให้มากเท่าที่จะทําได้ เรื่องนอกนั้นก็ตกลงกันเอง แม้แต่เรื่องบิณฑบาตก็ตกลงกันเองได้ เป็นสาย ๆ สายละกี่คน วันไหนไปทางไหน ตกลงกันเอง เรื่องลาภสักการะก็ไม่มีอะไรมากมาย ก็ไปตามธรรมชาติธรรมดา ในที่สุดก็ตอบไม่ถูกว่ามีระเบียบการปกครองอย่างไร เป็นการเสี่ยงดูว่ามันจะเป็นไปอย่างไร โดยเชื่อว่ามันจะเป็นไปโดยชนิดที่ว่าปลอดภัย ไม่มีอะไรเสียหายร้ายแรง จะเสียหายบกพร่องบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา บางองค์เขาลักลอบทําอะไรไม่น่าดู ก็มีบ้างเหมือนกัน
กิจวัตรของพระเณรที่นี่ตลอดกว่า ๕๐ ปี ไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือครับ
ก็เหมือนกันทุกยุคทุกสมัย ไม่ได้ปรับปรุงแก้ไข คือว่าบางยุค คนมันดีหน่อย ก็เรียบร้อยหน่อย ยุคที่คนไม่เรียบร้อย ก็มีเอะอะบ้าง บางคนก็กลับไป ไม่เป็นเรื่องเสียหายร้ายแรงใหญ่โต เรื่องขโมยสูบบุหรี่ดูจะมีบ้างเป็นธรรมดา มีอยู่ครั้งหนึ่งใครบางคนเอาเหล้าอะไรมา โดยไม่มีใครรู้ แต่มันก็รู้กันจนได้ แล้วเขาก็ไปเสีย เพราะเขาไม่ใช่จะมาอยู่จริง คนมันติดบุหรี่ ติดเหล้า ติดพวกนี้มา แต่ผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โต
ต่างคนต่างทํางานตามที่เพื่อนเขาทํา แล้วไม่ได้รับค่าจ้างรางวัล แม้แต่คําว่าขอบใจก็ไม่เคยพูด สรุปความ เรียกว่าหลักการปกครองไม่มี คิดว่าปล่อยไปตามบุญตามกรรม เป็นการเสี่ยง แต่แล้วก็ด้วยความเป็นผู้ดีมีอยู่บ้าง หลายคนก็โมเลโมเกดํารงอยู่กันมาได้ ที่ไม่ดีมันก็ค่อยตีตัวออกไป เลยเป็นเรื่องที่ถือว่าไม่มีปัญหา คําว่าการปกครองนั้นไม่รู้จัก ต่อไปก็ไม่แน่ ที่แล้วมาก็มาในลักษณะอย่างนี้ สนใจกันแต่เรื่องวิชาเรื่องธรรมะ เรื่องการปกครองยังไม่เคย ออกปากเรียกตัวมาสอบสวนไต่สวนยังไม่เคยมี
อาจารย์ครับ ยุคที่มีการงานมาก โรงหนังโรงปั้นยังไม่เสร็จนี่ อาจารย์แบ่งงานกันทําอย่างไร
ไม่ได้บังคับ ไม่ได้แบ่ง แล้วแต่สมัครใจ จะไปฝึกการปั้น ฝึกอะไรตามพอใจ โดยมาก จะมีขอร้องบ้างก็ท่านไสวหัวหน้าโรงปั้นขอร้องเอง บิณฑบาตกวาดวัด ก็รู้กันอยู่อย่างนั้น ว่าเป็นหน้าที่ วันกรรมกรคล้าย ๆ กรรมกรก็มีมาเรื่อย เป็นที่รู้จักกันว่า วันนี้ไปช่วยทํางาน แล้วแต่จะบอกว่าทําอะไร ก็ไม่ได้ทุกคน ยกเว้นบ้าง หลายคน เราไม่ได้จู้จี้พิถีพิถัน เอาแต่คนที่สมัครใจ ใครจะขี้เกียจบ้างก็ช่าง เรื่องไหว้พระสวดมนต์ เรื่องปาฏิโมกข์ไม่เคยมีกฎเกณฑ์ ว่าต้องไปทุกคน ถ้าไม่ไปจะถูกลงโทษ ไม่เคยมี การทําวัตรจึงมีน้อยองค์ แต่ลงปาฏิโมกข์ดูจะไปกันมาก ๆ มันพูดไม่ได้ว่ามีการปกครอง มันไม่มีอยู่ในหัว ในเรื่องระเบียบอย่างนี้
เรื่องขัดแย้งต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยมีมาถึงผม ท่านโพธิ์เป็นคนไกล่เกลี่ยให้เรียบร้อยโดยมาก ผมยังไม่เคยเรียกใครมาปรับความเข้าใจหรือปรับโทษ ก็ต้องเรียกว่ามันฟลุค มันบังเอิญที่มันไม่มี แล้วมันก็อยู่อย่างนี้มาได้
ผมเคยร่างระเบียบการปกครองแต่ไม่ได้ใช้ ร่างเฉย ๆ ร่างเล่นสนุก ๆ มีเจ้าอาวาสองค์หนึ่ง แล้วมีเจ้าอธิการครบตามหน้าที่การงาน ๙ องค์ ๑๐ องค์ อธิการโรคภัยไข้เจ็บ อธิการต้อนรับปฏิคม เป็นต้น ทุกอธิการขึ้นกับเจ้าอาวาส ต้องมีคนจํานวนเพียงพอ แบบสวนโมกข์นี้ ถ้าจะทําคนหนึ่งต้องรับหลายหน้าที่ เขียนไว้แล้ว เลิก ไม่ได้นํามาใช้ เพราะวัดยังเล็ก คนน้อยไม่กี่คน เป็นเจ้าอธิการกันหมดวัด (หัวเราะ) วัดใหญ่ก็มีพระ ๑๐๐-๒๐๐ จึงควรทําอย่างนี้
อาจารย์ครับ ได้ยินว่าสมัยเมื่ออาจารย์ยังมีเรี่ยวมีแรงอยู่ อาจารย์เดินตรวจวัดทุกวัน และดุเอาแรง ๆ ด้วย ถ้าทําไม่ถูก
ผมนึกไม่ออกว่าเคยเที่ยวไปดุใครแรง ๆ เดินดูมี ไม่ทุกวัน เดินดูความเรียบร้อย ความถูกต้อง เคยเดินดู แต่ไม่ใช่ทุกวัน มันมีการพูดจาเกลี่ยกล่อมให้รักษาเครดิตของตัวเองในฐานะเป็นพระองค์หนึ่ง เคยมีก่อนนี้ที่โรงฉัน ผมก็ไปฉันด้วย พอฉันเสร็จ ก็มีโอกาสพูดอย่างนี้มาก ก่อนโน้นถึงกับอบรมข้อความธรรมะเลย คําบรรยายเรื่องอานาปานสติก็บรรยายหลังฉันอาหาร ที่โรงฉัน ฉันแล้วก็นั่งจดกัน เคยมีหลายเรื่องดังที่เคยเล่าแล้ว ที่นี่ก็มักถือโอกาสพูดจาปรับปรุงเกี่ยวกับพระบวชใหม่ ให้สํานึกได้เอง ก็ไม่ค่อยมีเรื่อง ไม่มีการปกครองเคร่งครัด
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 250-253
ตอนที่ 79 , ภาพหน้าที่ 256-259
อาจารย์ครับ แล้วการอธิบายภาพที่โรงหนัง อาจารย์ฝึกพระขึ้นมาอย่างไร
แรก ๆ ผมอธิบายเองอยู่พักหนึ่ง จนกว่าพระทั้งหลายเริ่มเข้าใจ จึงอธิบายได้ ภาพพุทธประวัติหินสลักด้านนอก ผมอธิบายเองอยู่นาน ด้านในดูเหมือนคุณโกวิทเป็นรุ่นแรก เป็นผู้เขียนด้วยแล้วอธิบายด้วย ก็มีคุณสุชาติเป็นผู้รับช่วงการเขียน ช่วยอธิบายต่อ ๆ มากันเรื่อย ๆ อธิบายโดยไม่มีใครสอน โดยเฉพาะเคยฟังมากเข้า ก็อธิบายได้ อธิบายเสริมความคิดเห็นของตนเองเข้าไปบ้างก็ไม่เป็นไร คุณวรศักดิ์เป็นรุ่นต่อ ๆ มา ทีหลังคุณโกวิท
ผมเพียงแต่ทําอะไรไปตามหน้าที่ ไปตามความพอใจ ที่นี่ใครจะเรียน ใครจะศึกษาก็ดูเอาเอง มหาประทีป คุณพยอม ก็แบบเดียวกัน ไม่ได้สอนให้โดยเฉพาะสักคนเดียว การเป็นอยู่ เป็นการเรียนการสอนอยู่ในตัว เขาเรียนเอาเอง ฟังเอาเอง เก็บเอาเอง แล้วเขาก็เรียนนักธรรมกันมาแล้วทั้งนั้น มันก็มีความคิดความเห็นส่วนตัวแล้วทั้งนั้น พูดไปก็ต้องมีที่ไม่ตรงกัน จะต้องมีเป็นธรรมดา ก็เลยไม่พูด เพียงแต่พูดให้คนอื่นฟัง แสดงธรรมให้คนอื่นฟังหรือจะทําอะไรก็ตาม เขาดูเอาเอง เห็นเอาเอง เลือกเก็บเอาเอง
อาจารย์ครับ แล้วอย่างมหาเอี้ยนละครับ
มาเป็นฆราวาสจะบวช ก็ขอร้องว่าอย่าเพิ่งบวช ดูไปก่อน หลายปีจึงพอใจ จึงบวช อยู่แบบคุณสุจิต พ้องสมัยกัน ระหว่างเป็นฆราวาสอยู่ก็ทํางานทําการทุกอย่าง ช่วยคุณสุจิตเป็นส่วนมาก เพราะมีแรงน้อย ร่างกายอ่อนแอ ได้มหามาก่อนตอนเป็นเณร แล้วสึก พอบวชอยู่สักปีก็กลับไปบ้าน ไปสร้างวัดสร้างวา ตอนอยู่นี้ก็แบบคนอื่น ๆ ความรู้ธรรมะเก็บเอาเอง คุณถวิล คุณดาวเรือง ใครต่อใครก็เหมือนกัน ท่านถวิลส่วนมากก็อยู่โรงปั้น แล้วก็เก็บเอาเอง
ตลอดเวลาระหว่างนี้ ผมมีความคิดเปลี่ยนแปลง รู้สึกว่าไม่ไหว ช่วยไม่ขึ้น ให้มันเป็นไปตามอิทัปปัจจยตา ไม่ได้มีเจตนาเจาะจงที่จะพัฒนาใครโดยเฉพาะ เพราะผมมีเรื่องยุ่งมากเหลือเกิน ระหว่างที่เป็นกรรมการสงฆ์จังหวัด มีหน้าที่ช่วยเผยแผ่ทั้งหมด ทั้ง ๑๔ จังหวัด กรุงเทพฯ ก็ยังไปอบรมผู้พิพากษาอยู่ ผมไม่เคยคิดที่จะสร้างระบบการทํางาน เพราะไม่เชื่อความสามารถของตนเองในด้านนี้ มันก็ได้ผลเท่าที่เห็นอยู่ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ต่อมาเขาก็ไปตั้งตัวเองกันทุกคน
อาจารย์ครับ พระที่รับใช้อาจารย์อย่างใกล้ชิดแบบหลวงพี่สิงห์ทอง ก่อนหน้านี้มีใครบ้างครับ เข้ามารับใช้อาจารย์ได้อย่างไร
เขาก็เข้ามาเอง สมัครหรือพอทําอะไรได้ก็มอบให้ทํา ก็ต้องใกล้ชิดเข้ามาเอง ที่ใกล้ชิดก็ไม่ใช่เรื่องหนังสือ ผมพิมพ์ดีดเองทั้งนั้น เพิ่งมาสมัยคุณพรเทพที่ทําหน้าที่คล้าย ๆ เลขานุการ เพราะร่างกายไม่ไหวแล้ว อย่างสิงห์ทองเขาก็เข้ามารับใช้เป็นส่วนตัว ใช้สารพัดอย่าง ภาษาอังกฤษ เรียก แมน ออฟ เวิล์ด รับใช้ทุกอย่างทุกประเภทที่เขาทําได้ เรื่องกิน เรื่องอยู่ เรื่องเจ็บ เรื่องไข้ เรื่องพาแขกเหรื่อไปพัก เรื่องเงิน เรื่องทอง น่าอัศจรรย์ ทํางานมาก รับแขกก็เยอะแล้ว ยังซักผ้าโดยไม่ต้องใช้ ผมจึงรู้สึกว่ามันเป็นการฟลุคทุกอย่าง คนนั้นคนนี้ตามแบบของตน ๆ
ก่อนสิงห์ทองก็มีพระนันท์ ตอนนี้ไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนที่พะเยาแล้ว ถัดนั้นมาก็มีแผน ตอนนี้เป็นมหาแล้วไปอยู่ทางนครปฐม อยู่วัดไร่ขิง ตอนนั้นผมอยู่ข้างล่างกุฏิคุณนุ้ยก็มีภิรมย์ แต่ตอนนั้นธุระเกี่ยวกับเงินทองไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้
ตอนภิรมย์ก็ช่วยเหลือให้เรียนเรื่องกล้อง เรื่องวิทยุ ส่วนนักธรรมอะไรเขาก็เรียนสอบเอง ถึงเวลาก็สึกไปตามกิเลสของคนหนุ่มแล้วไปฝึกเรื่องวิทยุกับหมอไพบูลย์ที่หาดใหญ่ จนกลับมา ก็ช่วยตัวเอง เปิดร้านซ่อมวิทยุ แล้วไปทําสวนยาง ผมจึงไม่รู้สึกว่าควรจะเรียกตัวว่าอาจารย์ หรือเรียกใครว่าศิษย์ เพราะไม่มีเจตนา เขาดูแลตัวเขาเอง
อาจารย์ครับ แล้วมหาวิจิตรเข้ามาช่วยงานหนังสือของอาจารย์ได้อย่างไร
เขามาเอง ได้ประโยค ๕ มาแล้ว ได้ยินข่าวสวนโมกข์ก็มาที่นี่ มีอะไรแปลก ๆ อยู่ คนเข้าใจไม่ได้ พูดจามีอะไรแปลก ๆ จนเดี๋ยวนี้มาช่วยงานเกี่ยวกับแปลบาลี ดูเหมือนจะเริ่มที่ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ เขาร่างคําแปลเสนอมาให้ ผมแก้ตามใจชอบหมด บางทีอธิบายให้ฟังก่อนแล้วค่อยไปยกร่างมา เมื่อยกร่างมาแล้วก็แก้ตามที่ต้องการอีก ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับกฎภาษาบาลีไวยากรณ์ เขาเพิ่งเรียนมาใหม่ก็ยังจําแม่น เขาแม่นมากทีเดียว เขาเคยเรียน เคยเป็นครูสอน ผมเหลว ลืมหมด คํานี้ทางไวยากรณ์แปลได้กี่อย่าง ต้องถามเขา เขาว่าให้ฟัง เรื่องอย่างนี้ต้องพึ่งเขา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 256-258
ตอนที่ 80 , ภาพหน้าที่ 259-263
อาจารย์ครับ แล้วที่มีคนเขียนไว้ใน ๕๐ ปีสวนโมกข์ เกรงว่าอีกหน่อยเขตอุบาสิกา จะกลายเป็นบ้านพักร้อนของลูกหลานคนที่สร้างไว้ และไม่ได้เป็นพวกที่มีศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เป็นไปได้ไหมครับ
คงเป็นไปไม่ได้ คุณดูซิ บ้านคุณนายทวี ลูกหลานอะไรกัน เดี๋ยวนี้กลายเป็นที่พักรับแขกไปแล้ว เขาพูดเป็นธรรมเนียมกันเองว่า ถ้าเลิก ถ้าไม่อยู่ต้องให้วัด เด็ก ๆ ลูกหลานที่จะมาอยู่วัดก็หายาก เพราะมันไม่สนุก มันไม่อยากมาเองแหละ มันไม่เหมือนบ้านพักตากอากาศ อย่างบ้านน้าเลี้ยงที่ตายแล้ว แกก็ไม่มีลูกหลานที่ไหนมาอยู่ ชีจูก็เฝ้ าไป บ้านน้าทรัพย์ที่ตายแล้ว ก็ไม่เห็นมีลูกหลานที่ไหนมาอยู่ คนอื่นที่จําเป็นใช้ ทางวัดก็จัดให้เข้าไปอยู่
อาจารย์ครับ ผมเคยเห็นประกาศในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา ทํานองอาจารย์ประกาศไม่ยอมมีลูกศิษย์ อาจารย์มีมติเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไรครับ
ก็ถูกแล้ว ไม่เคยจะให้เป็นลูกศิษย์ หรือว่าทําอย่างลูกศิษย์ แต่ทําอย่างเพื่อนมนุษย์ ช่วยตามเท่าที่จะช่วยได้ เขาจัดของเขาเอง ให้เป็นอาจารย์ เป็นลูกศิษย์ ผมไม่ได้คิด ไม่ได้มีความคิด เพราะเราจะช่วยอย่างเพื่อนมนุษย์ ตามธรรมเนียม ตามประเพณีเรา เป็นผู้สูงอายุ อยู่ในลักษณะสมภาร เป็นเจ้าอาวาส คนเหล่านี้ก็เข้ามาขออาศัยอยู่ด้วย เพื่อการศึกษาธรรมะ เราก็ทําไปตามธรรมเนียม ไม่มีเจตนา
อาจารย์ครับ ด้านนี้จะมองเป็นจุดอ่อนของอาจารย์ได้ไหมครับ คืออาจารย์เองไม่ได้เรียนจากครูคนไหน ไม่ได้มีใครเป็นครูฝึกอย่างจริงจัง
ถูกแล้ว ไม่เคยมีใครเป็นครูเป็นอาจารย์อย่างจริงจัง เป็นจุดอ่อนหรือไม่อ่อนก็ไม่รู้
แล้วอีกอย่างหนึ่ง อาจารย์มุ่งที่งานมาก มุ่งความสําเร็จของงานมากกว่าให้ความสนใจตัวบุคคล ใช่ไหมครับ
ไม่มีเวลาที่จะไปช่วยคนจริงจังจริง ๆ มีแต่ทํางานของตัวให้สําเร็จเป็นตัวอย่าง เขาก็ดูเอาเอง ผมถือว่าผมเทศน์ให้คนอื่นฟังเป็นการสอน ใครอยากจะสนใจก็เอา รู้สึกเขาพยายามเทศน์ให้เหมือนผมทั้งนั้น แต่ก็ทําได้เท่าที่ทําได้
อาจารย์ครับ แล้วอีกอย่างหนึ่ง คนมีฝีมือหลายคนที่ผ่านเข้ามา แล้วไม่ได้อยู่ทํางานเป็นหมู่เป็นคณะนั้น เป็นเพราะอาจารย์ยกย่องให้เกียรติเขาน้อยเกินไปหรือเปล่า
ก็อาจจะเป็นไปได้ จะไม่ได้เอาใจใส่เลยก็ได้ เราทําของเราไป ก็ดูตัวอย่างเอาเอง แล้วก็ไม่รู้จะยกย่องอะไร
อาจารย์ครับ อย่างสมัยหนุ่ม ๆ อาจารย์ไม่เสียดายบ้างหรือครับ เวลาคนใกล้ชิดจากไป ไม่รู้สึกอกหักหรือครับ
(หัวเราะ) มันจะเทียบกับอกหักไม่ได้ มันไม่ทันจะเสียดาย เขาค่อยถอยค่อยห่างออกไป ไม่ได้ยื่นคําขาด ยื่นคําบอกลา ผมไม่มีเรื่องเสียดาย ผมถือว่า เหตุปัจจัยอย่างไรก็ไปอย่างนั้น
ราชการคณะสงฆ์และพระผู้ใหญ่ที่รู้จัก
อาจารย์ครับ ทราบว่าอาจารย์เคยรับราชการคณะสงฆ์อยู่ระยะหนึ่งใช่ไหมครับ ขอความกรุณาอาจารย์เล่าความเป็นมาไว้ด้วย
ก็ชั่วระยะสั้น ๆ เขาเปลี่ยนระบบการปกครองคณะสงฆ์เป็นระบบประชาธิปไตย มีสังฆสภา สังฆนายก มีการบริหาร ๔ องค์การ อยู่ ๆ ผมก็ได้รับหนังสือแต่งตั้งให้เป็นองค์การเผยแผ่ประจําจังหวัดสุราษฎร์ธานี (๒๔๘๗) เป็นตําแหน่งควบคุมดูแลการเผยแผ่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตอนหลังผมพบเจ้าคุณเกษม บุญศรี ซึ่งรู้เรื่องนี้อยู่บ้าง ถามว่าจะแต่งตั้งให้เป็นอะไรทําไมไม่ทาบทามกันก่อน ทําอย่างนี้ไม่เข้าท่าเลย ก็เลยหัวเราะกันใหญ่แล้วบอกว่า ถ้าถามก็ไม่เอานะสิ เลยตั้งมาเลยไม่ต้องทาบทาม (หัวเราะหึ ๆ)
อาจารย์ครับ อาจารย์ได้ทําอะไรบ้างในตําแหน่งเผยแผ่จังหวัด
ไม่มี นอกจากเวลาประชุม ไปพูดอะไรบ้างในที่ประชุม ศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัด อบรมเจ้าคณะสังฆาธิการกันที่นั่น ผมมีบรรยายเรื่องต่าง ๆ ที่เขามอบให้ เจ้าคณะอําเภอ เจ้าคณะตําบล เจ้าอาวาสต่าง ๆ อบรมกันที่นั่น ผมไม่เคยใช้อํานาจหน้าที่เรียกประชุมผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเองเลย (หัวเราะเหอะ ๆ)
ต่อมาไปประชุมระดับภาคกับเจ้าคณะภาค (พระศาสนโสภณปลอด) ท่านตั้งให้ผมเป็นองค์การเผยแผ่ประจําภาค ๕ (๒๔๙๒) มีอํานาจเรียกประชุมอะไรได้ ผมก็ไม่ได้ทําอะไร นอกจากเวลาเขาเรียกไปประชุม ไม่เคยใช้อํานาจหน้าที่ในการสั่งการจัดการอะไร เป็นตําแหน่งสมัครเล่นเท่านั้น (หัวเราะเบา ๆ)
อาจารย์ครับ แล้วสมณศักดิ์ พัดยศต่าง ๆ อาจารย์ได้มาอย่างไรครับ เกี่ยวกับตําแหน่งหน้าที่การงานหรือเปล่า
ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันนัก สมณศักดิ์ต่าง ๆ นั้น เจ้าคุณศาสนโสภณ (ปลอด) เป็นผู้จัดการให้ ท่านสนับสนุนผมสุดเหวี่ยง ที่ได้เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ เป็นอุปัชฌาย์ก็องค์นี้แหละ ท่านอยู่วัดราชาธิวาส เคยเป็นเจ้าคณะภาค ตอนนั้นเป็นพระธรรมโฆษาจารย์
สมณศักดิ์ต่าง ๆ อาจารย์ได้รับตามลําดับอย่างไรครับ
ไปค้นเอาเองสิ (หัวเราะดุ ๆ) มันก็เริ่มเป็นพระเงื่อม แล้วก็เป็นมหาเงื่อม (๒๔๗๓) แล้วก็เป็นพระครูอินทปัญญาจารย์ (๒๔๘๙) ต่อมาก็เป็น พระอริยนันทมุนี (๒๔๙๓) เป็นพระราชชัยกวี (๒๕๐๐) แล้วครั้งหลังสุดก็เป็น พระเทพวิสุทธิเมธี (๒๕๑๔) (หัวเราะ)
ตอนเป็นอุปัชฌาย์ (๒๔๙๐) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุฯ (๒๔๙๒) และเป็นอริยนันทมุนีดูเหมือนจะในเวลาไล่ ๆ กัน
อาจารย์ครับ อาจารย์ไม่ได้ทํางานคณะสงฆ์จริง ๆ จัง ๆ ทําไมเขาจึงให้ยศฐาบรรดาศักดิ์พวกนี้ล่ะครับ
ผมก็ไม่ทราบ เขาอาจจะถือว่า งานสวนโมกข์เป็นงานที่มีประโยชน์ต่อสังคม เป็นความชอบในทางราชการบ้างก็ได้ อย่างนี้เขาถือว่าเอื้อเฟื้อให้เป็นพิเศษ ตอนเป็นพระครูอินทปัญญาจารย์ ทางนี้ก็ไม่ได้ทําเรื่องขอขึ้นไป โดยปกติพระผู้ใหญ่ในท้องถิ่นที่มีหน้าที่ จะเป็นผู้ทําเรื่องขอขึ้นไป แต่กรณีของผมเป็นเรื่องผู้ใหญ่ข้างบน ทางนี้ก็ประหลาดใจกัน เจ้าคณะจังหวัดยังไม่รู้เรื่องเลย
อาจารย์ครับ พัดยศต่าง ๆ นั้น อาจารย์ไปรับที่กรุงเทพฯ หรือครับ
ตอนเป็นพระครูอินทปัญญาจารย์ ไปรับที่จังหวัด ทําพิธีกันที่วัดธรรมบูชา เป็นวัดธรรมยุต มีผู้ได้รับพระครูรูปหนึ่ง เจ้าคุณรูปหนึ่ง ต่อ ๆ มาต้องเข้าไปรับที่กรุงเทพฯ ผมบอกไม่สบาย ไม่ได้ไป ให้กรมการศาสนาเก็บไว้ แล้วคุณพัฒน์ (นิลวัฒนานนท์) ไปเอามาให้ ๒ คราว ครั้งสุดท้าย เจ้าคุณปัญญาฯ เอามาให้ ที่ว่าไม่สบายนั้น มันเกี่ยวกับประสาทการทรงตัวไม่ดี เดี๋ยวไปล้มในที่ประชุมก็เสียหายหมด
มีการฉลองกันหรือเปล่าครับ
ตอนเป็นพระครู เขาฉลองรวมกันทั้งหมด มาตอนหลัง เราไม่ได้ไปรับ ใครเขาจะฉลอง ทิ้งระยะนานมากจึงค่อยไปเอามา เมื่อถึงคราวจําเป็นจะต้องใช้พัด
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 259-263
ตอนที่ 81 , ภาพหน้าที่ 263-266
อาจารย์ครับ อาจารย์เคยเขียนไว้ว่า เป็นหลวงตาดีกว่าเป็นเจ้าคุณ แล้วการที่อาจารย์ยอมรับยศศักดิ์พวกนี้ จะไม่ขัดกับที่เขียนไว้หรือครับ
กลอนนั้นมันเขียนทีหลัง เขียนไว้ที่ภาพรับพัดยศ ไม่รู้ไปอยู่ไหนแล้วรูปนั้น (หัวเราะ) แต่เป็นภาพที่เผยแพร่ไม่ได้ มันอวดดี มันกระทบกระเทือน ดูถูกคนให้พัด คนแต่งตั้ง พระนาคเสนเคยชวนผมคืนพัดยศ อ้อนวอนให้เป็นผู้นํา เขาจะหาพระที่อยากจะคืนพัดยศมารวมได้เยอะแยะ คิดแบบนี้มันบ้า ไม่ใช่ความถูกต้อง มันไม่รู้ว่าในโลกนี้ต้องมีเรื่องสมมติ เรื่องปุถุชน
ถ้าเป็นเจ้าคุณ บางครั้งเวลาพูดอะไรมันก็มีคนฟังมากกว่า ตั้งแต่ชาวนาไปจนถึงราชการนั่นแหละ เวลาออกวิทยุ ถ้าเป็นพระ ก. พระ ข. พูด ก็มีคนสนใจน้อย มันเป็นธรรมเนียมของสัตว์ที่มีกิเลส ถ้าฟังเจ้าคุณเทศน์กับฟังพระครูเทศน์มันผิดกันลิบลับ
อาจารย์ครับ ตําแหน่งเจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุกับพัดยศพวกนี้ มันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่าครับ และอาจารย์ทําอะไรในฐานะเจ้าอาวาสบ้าง
คงจะเกี่ยวข้องกันในตอนแรก เพราะเป็นพระอารามหลวง เขาตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสก่อน แล้วอ้างตําแหน่งเจ้าอาวาสนั้นตั้งให้เป็นเจ้าคุณ แล้วเลื่อนต่อ ๆ ไป แต่ผมไม่ได้ทํางานในฐานะเจ้าอาวาสเป็นการเฉพาะ เป็นเจ้าอาวาสโดยจําเป็น แต่งตั้งโดยไม่ต้องทาบทาม ไม่ต้องบอกใคร เมื่อรับตําแหน่งเจ้าอาวาสใหม่ ๆ มีการแห่จากวัดชยาราม ตามคําสั่งเจ้าคณะภาคด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดมาเป็นประธาน นายอําเภอ ใครต่อใครยุ่งกันใหญ่ ผมค้างคืนเดียวก็กลับมาสวนโมกข์
ความจริงพระครูสิริศรีวิชัยกิจ ท่านรักษาการเจ้าอาวาสอยู่ก่อน ท่านควรจะได้เป็นเจ้าอาวาส ตามธรรมเนียมควรจะเลื่อนท่าน แต่ทีนี้เนื่องจากได้เลื่อนเป็นวัดหลวงเสีย ก็ต้องการพระที่สูงกว่านั้น หรือมีเครดิตอะไรบ้าง เจ้าคณะภาคจึงขวนขวายให้มีการแต่งตั้งผมเป็นเจ้าอาวาส ผมก็ไม่ได้แตะต้องกิจการประจําต่าง ๆ ในวัด ปล่อยให้รองเจ้าอาวาสบริหารไปตามเดิมกับหมู่คณะที่อยู่กันมาก่อนแล้ว นอกจากเวลามีพระราชพิธี หรือมีเรื่องนโยบายติดต่อกับทางราชการ ทางจังหวัดจึงมาถึงผม
มีอยู่สมัยหนึ่ง (๒๔๙๓) ผมเคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อํานวยการพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ สาขาประจําจังหวัดสุราษฎร์ธานี ต่อจากพระครูโสภณฯ (เอี่ยม) เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่มาอยู่ประจํา มีแต่ภารโรงที่ช่วยดูแลความปลอดภัยเท่านั้น ทางการจึงต้องขอความร่วมมือจากพระสงฆ์ในท้องถิ่น สมัยนั้นเป็นยุคที่หลวงบริบาลเป็นหัวหน้ากองโบราณคดี
สําหรับกองบูรณะต่าง ๆ ภายในวัดพระธาตุนั้น ทําเป็นราชการเกือบทั้งนั้น ใช้งบประมาณของหลวง คุณพัฒน์ นิลวัฒนานนท์ ส.ส. สุราษฎร์ธานีสมัยนั้น มาติดต่อกับผมเป็นประจํา เพื่อให้การดําเนินงานสะดวกและเรียบร้อย
เมื่อคราวฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษมีเรื่องมาก เขาทําตามราชการสั่ง ผมก็พลอยถูกเขียนชื่อติดลงไปเป็นประธานกรรมการบ้าง เป็นกรรมการบ้าง ในงานนั้นงานนี้ ซึ่งมีการรับเหมาและดําเนินการโดยคณะกรรมการอําเภอ และคณะกรรมการจังหวัด ซึ่งก็ยุ่งพอใช้อยู่เหมือนกัน (หัวเราะ) เช่น มีการสร้างวิหารหลวง สร้างโบสถ์ สร้างกําแพงวัด เป็นต้น เราเป็นเจ้าอาวาส แต่ไม่ได้ประจําที่นั่น งานเหล่านี้ก็เท่ากับเป็นการช่วยรองเจ้าอาวาส และคนที่อยู่ที่นั่นเท่านั้น พอถึงสมัยเจ้าคุณชยาภิวัฒน์ (เยื้อน) รองเจ้าอาวาสองค์ต่อมา ท่านทําทุกอย่าง และจะทําเก่งกว่าผมเสียอีก การสร้างศาลาใหญ่นั้น ท่านสร้างด้วยความคิดความพยายามอดกลั้นอดทนมาก ซึ่งผมสร้างไม่ได้ (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ ในหน้าที่อุปัชฌาย์ อาจารย์มีเกณฑ์ในการเลือกคนบวชอย่างไรครับ
มันเลือกไม่ได้ มีแต่คนเขามาขอร้องให้ช่วยบวชให้ ในท้องถิ่นไชยานี้ เขามีธรรมเนียมมาตั้งแต่สมัยตัวเมืองอยู่ที่ ต.พุมเรียง เจ้าคณะเมือง รองเจ้าคณะเมืองอยู่ที่นั่น และเป็นอุปัชฌาย์ทั้งคู่ ใคร ๆ จึงไปบวชที่พุมเรียงกัน ไม่วัดโพธารามซึ่งอุปัชฌาย์ผมอยู่ ก็วัดสมุหนิมิตที่เจ้าคุณชยาภิวัฒน์อยู่ บางทีหลาย ๆ นาค จนคํ่ามืดกว่าจะเสร็จ บวชแล้วกลับไปอยู่วัดใดก็ได้ โดยมากก็อยู่วัดใกล้ ๆ บ้าน เมื่อผมได้อุปัชฌาย์แล้ว ก็มีคนจะมาทําอย่างนั้นกับผม ผมบอกว่าขอตัว อย่าต้องทําอย่างนั้นเลย จะอยู่วัดไหนก็หาอุปัชฌาย์ใกล้วัดนั้น เพราะอุปัชฌาย์เดี๋ยวนี้ก็มีมากหลายองค์แล้ว จึงกลายเป็นธรรมเนียมขึ้นมาว่า ไม่รับคนอื่นบวช นอกจากคนที่จะมาอยู่วัดนี้ ผมจึงบวชให้น้อยมาก ระยะแรก ๆ โดยมากก็บวชชาวบ้านแถวนี้ ถ้าบวชกันที่วัดชยารามก็ชาวบ้านใกล้ ๆ วัดชยาราม ถ้าที่วัดพระธาตุก็ชาวบ้านใกล้ ๆ วัดพระธาตุฯ ตอนต่อ ๆ มาก็เหลือแต่ที่สวนโมกข์นี้กับที่วัดพระธาตุฯ ตอนหลัง ๆ วัดพระธาตุฯ ก็ไม่บวช บวชเฉพาะคนที่จะมาอยู่ที่นี่และทําพิธีบวชที่นี่เท่านั้น เพราะท่านเยื้อนรองเจ้าอาวาสที่วัดพระธาตุฯ ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์แล้ว
ชาวบ้านรอบ ๆ สวนโมกข์นี้ เขาก็บวชลูกชายกันที่นี่ ที่ไม่ยอมบวชวัดนี้ก็มีบ้าง ตัวเจ้านาคเองนั่นแหละ คล้าย ๆ กับรังเกียจว่าที่นี่เคร่งครัด พิถีพิถัน ในเรื่องให้เรียน ให้ทํางาน ไม่ให้สูบบุหรี่ อย่างนี้เขาไปบวชที่วัดอื่นก็มี
อาจารย์ครับ คนหนุ่มจากถิ่นที่อ่านหนังสือของอาจารย์แล้วศรัทธามาบวชและทําให้เกิดปัญหากับพ่อแม่เขา มีบ้างหรือเปล่า
ที่เคยบวชให้แล้วมีปัญหากับพ่อแม่นั้น นึกไม่ออก มีคนหนึ่งเป็นหม่อมราชวงศ์ มาคะยั้นคะยอขอบวช ผมก็บอกว่าบวชไม่ได้ ไม่รู้ว่าคุณมาจากไหน ต้องให้พ่อแม่อนุญาตมาก่อน ผมก็สงสัยอยู่แล้วว่าพ่อแม่จะไม่ให้บวช มันจะมาบวชแต่มาคุยโต ทําตัวเป็นรู้มาก รู้จนตําหนิติเตียนคนอื่น ผมบอกบวชให้ไม่ได้ ทีนี้เขาก็เขียนไปบอกพ่อแม่เขาว่า ขอให้พ่อแม่ส่งคําอนุญาตมา เดี๋ยวนี้เขาโกนหัวแล้ว ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้โกน หลอกพ่อแม่ว่าโกนหัวแล้ว พ่อเขาก็เขียนไปรษณียบัตรมาด่าผมว่าอะไรกัน ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรโกนหัวแล้ว ผมก็ตอบไปสั้น ๆ ว่ายังไม่ได้โกนหัว นานเข้าเขาก็กลับไป ว่าจะไปบวชที่เชียงใหม่แล้วก็ไม่ได้บวช
อาจารย์ครับ พระศาสนโสภณ (ปลอด) ท่านได้รู้จักคบหากับอาจารย์มาอย่างไรหรือครับ จึงได้หนุนอาจารย์มาโดยตลอดถึงขนาดพาไปเปลื้องข้อหากับสมเด็จพระสังฆราชถึง ๒ พระองค์ ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นธรรมยุต
ท่านไม่ถือนิกาย ตอนนั้นการปกครองคณะสงฆ์ยังรวมกันทั้ง ๒ นิกาย สมัยท่านเป็นเจ้าคณะภาค ผมก็ทํางานใต้บังคับบัญชาของท่าน ก็อย่างที่ว่า ผมไปช่วยบรรยายหลายตอน บรรยายแก่เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอําเภอแถวนี้ทุกจังหวัด ท่านเป็นคนไปเรียกประชุมเอง ท่านก็หวังดีเมตตาปรานีกับผมมาก ด้วยเหตุอะไรไม่ทราบ ทราบแต่ว่าให้ช่วยทํางานให้
พูดถึงวัดราชาฯ มีเรื่องเกี่ยวกับผมอยู่บางอย่าง คือมีน้าผู้ชายบวชอยู่ที่นั่น ตอนผมจะบวช ได้มาชวนผมไปบวชที่วัดราชาฯ โยมผู้หญิงก็ยินดี เพราะว่าเป็นญาติ (หัวเราะเบา ๆ) แต่ในที่ประชุมญาติ อาเสี้ยงคัดค้านว่า อะไรกัน บวช ๓ เดือน ต้องไปบวชถึงกรุงเทพฯ เลยล้มความคิด ถ้าผมไปอยู่วัดราชาฯ (หัวเราะเฮ่อะ ๆ) ประวัติศาสตร์ก็ต้องเป็นอีกอย่างหนึ่ง สวนโมกข์จะเกิดได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้ (หัวเราะหึ ๆ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 263-266
ตอนที่ 82 , ภาพหน้าที่ 266-268
อาจารย์ครับ การไปแสดงปาฐกถาในงานฉัฏฐสังคายนาที่ประเทศพม่านั้น มีความเป็นมาอย่างไรครับ
เจ้าคุณพิมลธรรม (อาจ) ผู้เป็นหัวหน้าทีม เสนอแก่พระผู้ใหญ่ว่า ผมมีความเหมาะสม ที่จะไปเป็นผู้กล่าวคําปราศรัยในที่ประชุมนั้น จึงถูกส่งให้ไป โดยไม่ได้บอกให้รู้ตัวก่อนล่วงหน้าในระยะยาว ต้องเตรียมคําปราศรัยในเวลาอันฉุกละหุก ผมพูดเรื่อง ลักษณะที่น่าอัศจรรย์บางประการของพุทธศาสนาแบบเถรวาท และต้องปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษด้วย อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ได้ช่วยผมมากในเรื่องแปลคําปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษ ผมกับคุณปิ๋ว (เปรมะติฏฐะ) ช่วยกันยกร่างแปลทีหนึ่งก่อน แล้วคุณสัญญาเป็นคนแก้เกลา แก้มากเหมือนกัน แดงไปหมดแหละ คําไม่เหมาะ คํายืดยาด คุณสัญญาช่วยแก้ให้ จนถึงกับสามารถพิมพ์ต้นฉบับคําปราศรัย ไปพร้อมเสร็จจากเมืองไทย พอไปถึง เจ้าหน้าที่ทางโน้นเขาขอทราบเรื่องนี้ ผมก็เลยให้ต้นฉบับที่จะปราศรัยนั้นไปชั่ววันเดียว เขาก็พิมพ์คําปราศรัยเป็นสมุดเล็ก ๆ ขึ้นมากมาย กองสูงท่วมหัว ถึงเวลาปราศรัยจริง ไม่ได้พูดทั้งหมด พูดเฉพาะที่เวลาอํานวย สบายมาก (หัวเราะเห่อๆ)
ไปพม่าคราวนั้น (๒๔๙๗) มีเรื่องเกร็ด ๆ น่าสังเกตหลายอย่าง คราวนั้นเจ้าสีหนุเสด็จด้วย ทางพม่าเขาจัดพิธีรับเสด็จอย่างมีเกียรติสูงสุด อย่างชนิดที่เราไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นถึงขนาดนั้น และเวลามีพิธีกรรมทางศาสนา คนที่มีเกียรติสูงสุดของประเทศอย่างอูนุและคนอื่น ๆ เขาจะมานั่งพับเพียบต่อหน้าพระสงฆ์ เหมือนอุบาสกอุบาสิกาอื่น ๆ ไม่มีลักษณะของผู้มีอํานาจบาตรใหญ่อะไรเลย และตอนนั้นมีประชุม พ.ส.ล. (พุทธศาสศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก) ด้วย ผมก็ได้เข้าร่วมประชุม มีสิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง (หัวเราะ) คือผู้มีเกียรติสูงสุดของประเทศอีกคนหนึ่ง เป็นที่เคารพนับถือทั้งทางฝ่ายบ้านเมืองและฝ่ายศาสนา คือ อูตวิน ท่านไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษเลย จึงพูดภาษาพม่าในที่ประชุมชาวต่างประเทศหลายชาติหลายภาษา ว่ากันว่าท่านผู้นี้ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษ นับตั้งแต่วันที่ประเทศพม่าหลุดจากอํานาจการปกครองของอังกฤษเป็นต้นมา
อาจารย์ครับ "เค้าโครงเผยแผ่พุทธศาสนาสําหรับสมัยปัจจุบัน" ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา (๒๔๙๖) นั้น มีความเป็นมาอย่างไรครับ
นั่นเจ้าคณะภาคองค์ต่อมา คือพระธรรมวรนายก (สมบูรณ์) สั่งให้ทํา ตอนนั้นท่านประจําอยู่ที่นครนายก แต่มีสํานักงานอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ ที่กรุงเทพฯ ตอนนี้เป็นอธิการบดีมหาจุฬาฯ สมัยนั้นผมเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ทักทายกันตามปกติเวลาพบกันตามหน้าที่การงาน เมื่อเขียนให้ท่านแล้ว ท่านเคยเอาไปประกาศ แต่ใครจะนําไปใช้หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์เลิกเกี่ยวข้องกับคณะสงฆ์เมื่อไร
มันเลิกได้เมื่อไร (เสียงดุ) เดี๋ยวนี้ก็ยังเกี่ยวข้องเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุฯ อยู่ มีอะไรก็ต้องทําตามระเบียบเขา บางอย่างมันเลิกไม่ได้ ส่วนที่เป็นเผยแผ่จังหวัดนั้น ตําแหน่งยุบไปเองเมื่อเปลี่ยนแปลงพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (๒๕๐๕) องค์การเผยแผ่ องค์การอะไรต่าง ๆ ก็เลิกหมด ผมถือว่าตําแหน่งผมก็ยุบไปด้วย
อาจารย์ครับ การเปลี่ยน พรบ. คราวนั้น มีผลกระทบต่อพระศาสนาโดยส่วนรวมอย่างไรบ้างครับ
ผมไม่อยากเกี่ยวข้องเรื่องนี้ เพราะรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองระหว่างนิกาย จึงเปลี่ยนกลับไปใช้ พรบ. ที่มีหลักการคล้ายกับการปกครองคณะสงฆ์สมัยรัชกาลที่ ๕ โน้น ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นหรือเลวลงสักเท่าไร เมื่อก่อนก็ทําอะไรไม่ได้มาก องค์การต่าง ๆ ก็ทําเป็นพิธีกรรมเสียมากกว่า
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 266-267
ตอนที่ 83 , ภาพหน้าที่ 268-269
อาจารย์ครับ สมเด็จพระวันรัต (เฮง) นั้น อาจารย์รู้จักคุ้นเคยกับท่านหรือเปล่า
ไม่ได้คุ้นเคยกับท่าน ท่านเพียงแต่ชมว่าแปลหนังสือดี ชมทั้งต่อหน้าและลับหลัง ชมลับหลังนั้นหลวงบริบาลมาเล่าให้ฟัง ว่าท่านสรรเสริญผมว่าแปลดี ให้ลูกศิษย์ของท่านฟัง ว่าแปลแล้วอ่านรู้เรื่อง ฟังดูไม่ใช่จริงจังนัก อาจจะคล้ายกับว่าพูดปลุกเร้านํ้าใจพระทั้งหลายให้ขันแข็ง ดูพระในป่าซึ่งมันไม่น่าจะเป็นไปได้ ยุให้เกิดกําลังใจ ทํางานอย่างแข็งขัน หลวงบริบาลมาเล่าว่ารุ่นนั้นหลาย ๆ องค์ทํางานกันอย่างเต็มที่ แล้วต่อมา สมเด็จท่านแสดงความประสงค์ว่าอยากจะพบ ผมก็ไปกราบนมัสการท่าน แต่ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก นอกจากชมว่าแปลดี แล้วให้ผ้าไตรมาเป็นกําลังใจ เป็นรางวัล (หัวเราะ)
ตอนงานพระราชทานเพลิงศพท่าน ทางคณะเจ้าภาพนิมนต์ผมไปเทศน์ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นพระศาสนโสภณ (ช้อย) ท่านเป็นประธานคณะเจ้าภาพ ทีแรกได้ยินว่าจะนิมนต์ไปเทศน์ปุจฉาวิสัชชนา ๒ ธรรมาสน์ กับอาจารย์สด อาจารย์วิปัสสนาวัดปากนํ้า ผมบอกไม่เอา ไม่เอาเด็ดขาด เพราะเราจะเทศน์คนเดียว (หัวเราะ) ผมพูดเรื่อง "ลักษณะน่าอัศจรรย์บางประการของนิพพาน" ขึ้นหัวลงท้ายแบบเทศน์ แต่ตรงกลางเป็นบรรยายแบบปาฐกถา
อาจารย์ครับ นอกจากกรณีสมเด็จพระสังฆราช (ปลด) วัดเบญจมบพิตรที่อาจารย์เคยเล่าแล้ว ยังมีพระเถระผู้ใหญ่องค์อื่นที่เข้าใจอาจารย์ไปในแง่ร้ายอีกไหมครับ
เท่าที่รู้ ตอนแรก ๆ เข้าใจผิดก็มีเจ้าคณะภาคองค์ก่อนโน้น เจ้าคุณธรรมวโรดม วัดราชาธิวาส เมื่อครั้งที่ท่านเป็นเจ้าคณะภาค ระยะแรกท่านมองสวนโมกข์ในแง่วิปริต จัดเข้าพวกคล้าย ๆ แบบนายนรินทร์ (กลึง) ท่านมักพูดให้เจ้าคณะต่าง ๆ ในภาคใต้นี้ให้เข้าใจอย่างนั้น แม้พระครูโสภณฯ (เอี่ยม) ที่รักใคร่คุ้นเคยกับผม ท่านก็พูดให้ฟังในทํานองท่านระแวงสวนโมกข์ ให้ช่วยกันระวัง กลัวว่าจะเป็นเรื่องแหกตาประชาชน (หัวเราะ) ตอนหลังเมื่อท่านออกจากหน้าที่การงานแล้ว ท่านเห็นเราไม่ได้ทําอะไรที่น่าตําหนิติเตียน ไม่มีอะไรเป็นที่ไม่น่าไว้วางใจ เป็นระยะเวลายาวนานมา ท่านคงคิดว่าอย่าให้บาปมันค้าง ท่านก็เรียกผมไปพบ บอกอนุโมทนาเห็นด้วยกับการกระทําที่ผ่านมา ว่าทําดีมีประโยชน์ แล้วก็ให้ผ้าไตรมาไตรหนึ่ง เป็นรางวัล ตอนนั้นท่านชรามากแล้ว ป่วยหนักด้วย เป็นมะเร็งอยู่สัก ๒ ปีก็ดับ
อาจารย์ครับ ผมพบในแฟ้มเอกสารเก่า ๆ มีข้อความบางตอนแสดงว่าอาจารย์เคยไปพักหรือไปทําอะไรที่วัดสามพระยา ไม่ทราบว่าไปเรื่องอะไรครับ
ไม่เคยไปอยู่ ไม่เคยไปพัก ไปธุระ ไปขอร้องท่าน (สมเด็จวัดสามพระยา) ให้แต่งตั้งอาจารย์บาลีของผมให้เป็นอุปัชฌาย์เป็นกรณีพิเศษ คือพระครูชยาภิวัฒน์ (กลั่น) ท่านมีฐานะเหมาะสมทุกอย่าง แต่ท่านเป็นพระผู้เฒ่า ลําบากแก่การเดินทางมาสอบซ้อมในกรุงเทพฯ พอพูดขึ้นท่านก็รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ท่านจําได้ ผมขอให้ท่านสั่งเป็นกรณีพิเศษ ท่านก็ว่า อือ ๆ ต่อมาท่านพระครูก็ได้เป็นอุปัชฌาย์ ผมก็ไม่ได้สนใจต่อ
อาจารย์ครับ อาจารย์เคยเล่าว่า ได้ไปพบอาจารย์สุลักษณ์ครั้งแรก ที่งานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าคุณภัทรมุนีองค์ก่อน (อิ๋น) ไม่ทราบว่าอาจารย์ได้รู้จักคุ้นเคยกับเจ้าคุณองค์นั้นอย่างไรครับ
มันฟลุค ผมไปธุระอื่นที่กรุงเทพฯ แล้วท่านปัญญาฯ ชวนไป ท่านเป็นคนบ้านหัวเตย (จังหวัดสุราษฎร์ธานี) นี่เอง ผมพบกับท่านไม่บ่อยนัก ท่านคงเห็นว่าผมเป็นคนทําชื่อเสียงให้แก่บ้านเกิดเมืองนอน ผมยังประหลาดใจที่ท่านรู้จักผมดี ตอนที่ผมรับสัญญาบัตรเป็นพระครูอินทปัญญาจารย์ เขานิมนต์ไปแสดงความยินดีที่วัดประยูรวงศ์ฯ หลาย ๆ องค์ด้วยกัน ผมพลอยติดไปด้วย ท่านยังเอาดอกไม้เครื่องสักการะมาถวาย ท่านเป็นพระผู้ใหญ่กว่ามาก เป็นเจ้าคุณ เป็นเปรียญ ๙ ประโยค เรายังเป็นพระเด็ก ๆ ผมถามว่าทําไมจึงทําอย่างนี้ ท่านว่าเขามีธรรมเนียมแสดงความยินดี ไม่ใช่แสดงความเคารพ คราวหนึ่งมารถไฟด้วยกัน ห้องนอนเดียวกัน คุยกันมากในรถไฟ แต่ไม่ได้คุยเรื่องโหราศาสตร์ ซึ่งผมไม่มีความรู้เลย (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 268-269
ตอนที่ 84 , ภาพหน้าที่ 269-271
อาจารย์ครับ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์วัดเทพศิรินทร์นั้น หลังจากได้มาเยี่ยมอาจารย์ที่สวนโมกข์เก่าแล้ว ต่อจากนั้นได้ติดต่อกันอย่างไรต่อมาอีกครับ ท่านได้อนุเคราะห์อาจารย์ด้านงาน ที่อาจารย์ทําอยู่หรือเปล่า
ท่านสงเคราะห์กิจการโดยสมทบทุนมูลนิธิสําหรับใช้พิมพ์หนังสือหมื่นบาทหรือ ๒ หมื่นบาท ลืมแล้ว ด้านการอื่นไม่ได้ขอร้องอะไร ไม่ได้ช่วยในผลประโยชน์หรือยศศักดิ์อะไร ตอนผมทํางานเป็นเผยแผ่ ท่านเป็นผู้สําเร็จราชการแทนองค์สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระสังฆราชทํางานไม่ค่อยได้ ชรามากแล้ว ท่านบัญชาการสงฆ์แทนทั้งหมด ผมเลยเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาไปด้วย แต่ด้านงานคณะสงฆ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน พระคุณของท่านที่สูงสุดก็คือ การที่ท่านส่งเสริมให้ขบคิดธรรมะยาก ๆ ออกเผยแผ่ เมื่อรู้จักกันแล้ว ไปกรุงเทพฯ ทุกครั้ง ผมต้องไปพบท่านเสมอ มิฉะนั้นท่านรู้เข้าท่านจะต่อว่า
เรื่องส่วนใหญ่ที่สนทนากันก็เรื่องธรรมชั้นลึก ๆ และเรื่องบุคคลต่าง ๆ ผมฟังตะพึด แต่ผมก็ไม่คุยอยู่นานเกินไป รู้ใจท่าน สุขภาพของท่านไม่ค่อยดี ไปก่อนเพล จวนเพลกลับ ท่านให้เกียรติให้ขึ้นไปคุยชั้นบนที่ท่านอยู่ ในห้องส่วนตัว ไม่ใช่ห้องรับแขกชั้นล่าง
วิธีที่ท่านส่งเสริมให้ขบธรรมะยาก ๆ ก็คือชวนคุย ธรรมะข้อนั้นข้อนี้ บางทีท่านก็บอกว่าผมสอนอนัตตาเร็วเกินไป ไม่ควรนํามาสอนประชาชน อย่าเน้นเรื่องอนัตตามากเกินไป สอนเรื่องอื่นดีกว่า บางทีมีแง่ของธรรมะที่เร้นลับ ท่านชอบบอกผม ให้เป็นธรรมทาน ธรรมข้อนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างนั้น ข้อนี้เปลี่ยนแปลงอย่างนี้ ตามความเห็นของท่าน ซึ่งเราไม่ได้เห็นด้วยเสมอไป แต่ก็ไม่ได้ขัดท่านตรง ๆ เฉยเสีย นั่นแหละถูกที่สุด ไม่ใช่บ้าเหมือนเด็กสมัยนี้ อะไรมันก็ค้าน เถียงผู้หลักผู้ใหญ่ เขาหาว่าอุบาทว์ ไม่เห็นด้วยก็นิ่งเสีย แต่ไม่ค่อยมีที่ไม่เห็นด้วยกับท่าน ท่านมักเรียกผมว่า "มหาเงื่อมผู้ถูกอัชฌาสัยของฉัน"
ท่านเป็นคนแรกที่บอกว่ามหาสติปัฏฐานสูตรนั้น "ฉันไม่เชื่อว่าเป็นพุทธภาษิต" เพราะมันยาวเกินไป เป็นเหตุให้ผมสํารวจดู เออจริงที่ขึ้นต้นด้วยมหา ๆ ไม่น่าไว้ใจทุกสูตร ยาวเกินไปกว่าที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสในคราวเดียวกัน
ท่านเป็นคนพูดขึ้นก่อนใคร ๆ ที่เรียก ปฏิจจสมุปบาท ว่าเป็น อริยสัจใหญ่ อริยสัจที่สอนอยู่ทั่วไปเรียกอริยสัจเล็ก เรื่องอย่างนี้จะเป็นเรื่องที่คุยกัน ท่านจะใช้คําว่า ในกรณีอย่างนี้ ฉันถือว่า…(หัวเราะ) ท่านเรียกตัวเองว่าฉัน ผมเรียกตัวเองว่า กระผม เกล้ากระผม บางที (หัวเราะ) เมื่อท่านบัญชาการสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสังฆราช ผมก็ใช้ว่า ใต้เท้ากรุณา ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ใช้คําธรรมดาทั่ว ๆ ไปว่า พระเดชพระคุณ บางทีก็ใช้ไม่ค่อยตรงตามธรรมเนียม เรื่องอย่างนี้ดูท่านไม่ถือเป็นความหมายสําคัญหรอก ไม่ถือเป็นกฎเกณฑ์อะไร ท่านเป็นคนที่มีจิตใจ ที่มีตัวกู - ของกู น้อยมากเหมือนกัน ท่านทําสมาธิภาวนาทุกคืน
เรื่องบางเรื่อง ท่านจะบอกให้ผมเป็นคนเอาไปพูดไปโฆษณา เพราะเชื่อว่าผมจะพูดได้ถนัดกว่า อย่างเช่นเรื่อง สอุปาทิเสสบุคคล ซึ่งไม่มีใครสนใจมาก่อน ท่านสนใจ โสดาบัน ๓ สกิทาคามี ๑ อนาคามี ๕ รวมเป็น ๙ ท่านต้องการให้รู้ว่า อุปาทิคืออะไร มีความหมายไม่เหมือนอย่างที่เขาสอน ๆ กัน ผมเอามาพูดถึงบ่อย ๆ เจ้าคุณศรีวิสุทธิวงศ์ วัดลิงขบ ฝั่งธนฯ ไม่เห็นด้วย เขียนด่าผม
บางเรื่องสมเด็จท่านก็ล้อ อย่างคําว่า มโนราห์ ท่านล้อว่าทําหนังสือพิมพ์ใหญ่โตยังเขียนผิด หลักในภาษาบาลี มันมีอยู่เรื่องสุธนกับมโนห์รา นี่แสดงว่าท่านเห็นว่าเราไม่รู้ ก็อยากให้รู้ มีเรื่องอะไรก็ถามได้ สงสัยอะไร อยากถามอะไร ถามเมื่อไรก็ได้ ที่ผมเขียนว่า เปิดโรงเรียนพิเศษกับท่านนั่นแหละ
เรื่องเกี่ยวกับบุคคลเบ็ดเตล็ด ท่านมักเล่าให้ฟังเรื่อย เรื่องท่านหญิงใหญ่ ดูเหมือนจะชื่อดํารงธรรมสาร แต่งปุจฉาวิปัสสนา ท่านสนับสนุนให้พิมพ์ ผมเคยเอามาพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา เรื่องคนนั้นคนนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ ท่านเล่าบ่อย ๆ ท่านมีวิธีจําคนโดยการเปรียบเทียบ อย่างผมนี้ ท่านพูดบ่อยว่าหน้าเหมือนขุนนิราพาส อุบาสกประจําวัดเทพศิรินทร์ เป็นนักธรรมะตัวเอกคนหนึ่ง คงจะเผยแผ่เก่ง อายุแก่กว่าผม ตายนานแล้ว แต่เพื่อไม่ให้ลืม จําคนนั้น ชื่อนั้น หน้าเหมือนคนนั้น ลืมยาก ผมยังเคยได้ยินท่านบอกพระองค์อื่นว่าผมหน้าเหมือนขุนนิราพาส
เรื่องที่ท่านเคยตําหนิผมตรง ๆ ก็มีเรื่องถือย่ามถูกเนื้อ ตอนท่านมาสวนโมกข์นั่นแหละ ถือย่ามให้ท่าน ท่านบอกว่า ต้องให้จีวรพันแขนแล้วให้ย่ามอยู่บนจีวร ย่ามจะได้ไม่เปื้อนเหงื่อ คราวนั้นท่านค้างคืนหนึ่ง พักที่กุฏิสังกะสีล้วน หลังสุดทางเดินสู่ทิศตะวันตก กุฏิหลังนั้นไม่มีเหลือแล้ว เป็นกุฏิทรงสี่เหลี่ยม กว้างวาหนึ่ง ยาว ๖ ศอก สูงวาหนึ่ง มีบานพับเปิดปิดรอบด้าน มีเตียงพับลงได้ ยกขึ้นก็เป็นโต๊ะหนังสือ เป็นเตียงนอนได้ เสาตํ่า บันไดขั้นเดียว ก่อนท่านจะมา ดูเหมือนพระดุลยพากษ์สุวมัณฑ์จะเป็นคนติดต่อมาก่อน ต้องมีการติดต่อทางคณะสงฆ์ มิฉะนั้นเจ้าคณะจังหวัดคงไม่ได้มาต้อนรับ
สมเด็จท่านเป็นนักเทศน์หรือเปล่าครับ
เป็นนักเทศน์สุภาพ เป็นนักเทศน์ธรรมะ นักเทศน์ตามแบบฉบับ ไม่ใช่เทศน์แบบโต้กัน แบบแสดงละคร ท่านอยู่ในระดับนักเทศน์ที่ได้รับความนิยม หรือเขาจัดเป็นนักเทศน์ชั้นสูงสุด
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 269-271
ตอนที่ 85 , ภาพหน้าที่ 271-276
กองหนุนและบางบุคคลที่รู้จัก
อาจารย์ครับ ตอนต่อไปนี้ ขอความกรุณาอาจารย์เล่าถึงบุคคลต่าง ๆ ที่อาจารย์รู้จักโดยเฉพาะคนที่ช่วยเหลือกิจการของสวนโมกข์และคณะธรรมทาน
คนที่ช่วยอุปถัมภ์ในการงาน มันมีไม่กี่คน ก็เลยนึกไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรดี (หัวเราะ) พูดในเรื่องการช่วยเหลือด้านการเงิน เรื่องใหญ่เรื่องแรกที่ต้องอาศัยคนช่วย มันก็มีกะปริดกะปรอยไปอย่างนั้น ผู้ที่ปวารณาช่วยเป็นจริงเป็นจังสมัยแรก ๆ ก็มีเจ้าคุณลัดพลีฯ คนหนึ่งตั้งใจปวารณาขันอาสา คล้าย ๆ กับว่า จะเอาเท่าไรก็ได้ นอกจากนั้นก็แทบจะไม่มีใครขันแข็งถึงขนาดนั้นในระยะแรก ๆ ตอนหลังต่อ ๆ มาก็ค่อยมีมากขึ้น ๆ ดังที่เห็นกันอยู่ จะเอาชื่อไปโฆษณาก็ดูจะไม่ดี มันกระดาก พูดไปก็อาจจะผิด ๆ ถูก ๆ เพราะไม่ได้จําไว้ มันลืมมันเลือนไปมากแล้ว ถ้าพูดถึงคนเอาใจช่วยก็มีเยอะแยะมากมาย คนที่ช่วยด้วยแรงชนิดเหน็ดเหนื่อยไม่ว่า ก็มีอยู่จํานวนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่มากนัก จะเอามาสาธยายก็ไม่ได้ประโยชน์ (หัวเราะ) มันแตกต่างกันมาก
อาจารย์ครับ เอาเฉพาะคนที่สําคัญ ๆ ก็ได้ครับ
อย่างเจ้าชื่น (สิโรรส) ช่วยสร้างโรงธรรม ตั้งแต่สมัยเรายังยากจน คุณสาลี่ก็ช่วยสร้างโรงหนังอย่างทุ่มเทที่สุด หมดเปลืองมากที่สุด คนที่ช่วยพิมพ์หนังสือก็มีจนนับไม่ไหว ไปดูเอาเองตามชื่อที่เขาประกาศตามหนังสือ นับทั้งหมดก็หลายคน ประชาชนที่ไปมาก็ทําบุญช่วยเป็นค่าอาหาร การเป็นอยู่ เรื่องนํ้า เรื่องไฟ พิมพ์หนังสือแจก เขาก็ช่วยกัน สรุปแล้วเรื่องเหล่านี้มันเรื่องธรรมดามาก ถ้าสามารถดํารงกิจการทางด้านสติปัญญาไปให้ได้แล้ว มันก็มีมาเอง ต้องตั้งเข็มทําเรื่องแสงสว่างทางสติปัญญาให้มาก การช่วยของคนเหล่านั้นจึงจะมีประโยชน์หรือคุ้มค่า หรือว่าจะได้บุญ ถ้าช่วยเฉย ๆ โดยเราไม่ทําอะไร ผมรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ช่วยส่องแสงสว่างมันถูกต้องและยุติธรรม บรรดาทุกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็ช่วยกันทุกคน ทุกยุคทุกสมัย
อย่างคุณชํานาญ (ลือประเสริฐ) ก็เหนื่อยมาก ช่วยมาก ขวนขวายมาก เดี๋ยวนี้กําลังเจ็บป่วย ทุพพลภาพ การเงินก็ช่วย ช่วยยานพาหนะ พาไปนั่นไปนี่ ช่วยติดต่อธุระการงานที่จําเป็น เรียกว่าสารพัดอย่างเหมือนกับที่เขาเรียกว่าหนุมานอาสา (หัวเราะ) ช่วยด้านพาหนะพาไปไหนมาไหนมากที่สุด
มีคนช่วยมากตามความถนัดของตน รวม ๆ แล้วก็ครบหมดที่จะรอดอยู่ได้ หรือทําการงานไปได้ เอาเป็นว่าได้พบคนที่สามารถช่วยแง่นั้นบ้าง แง่นี้บ้าง เพิ่มขึ้น ๆ ตามลําดับ จนไม่มีอะไรขาดแคลน พูดอย่างนี้ดีกว่า อย่าไประบุชื่อมากมายเลย เจ้าตัวบางคนก็ต้องการไม่ให้ระบุชื่อ อยากทําบุญโดยบริสุทธิ์ ไม่อยากเอาหน้าหรือออกหน้า โดยถือว่าปิดทองหลังพระ ได้บุญมากกว่าปิดทองหน้าพระ (หัวเราะ) เราก็ได้ทํามาอย่างนั้นจริง โดยมากไม่ได้เชิดชู ไม่ได้ประกาศ ไม่ได้ยกย่อง ไม่ได้โฆษณา ไม่ได้ปิดป้ าย ใครมาขอร้องสร้างนั่นสร้างนี่ สร้างแล้วก็แล้วกัน ไม่ได้ประกาศชื่อ ไม่ได้ติดชื่อเป็นส่วนมาก มีบ้างก็เผลอ ไม่สําคัญอะไร นึกสนุกขึ้นมาก็ติดบ้าง อย่างโรงหนังน่าติดชื่อของพันเอกสาลี่ก็ไม่ได้ติด แต่ที่เรือลําเล็กนั่นติดชื่อคุณทองดี อิสระกุล เขาขอเป็นเจ้าภาพสร้างคนเดียว ออกหมด ๒๐๐,๐๐๐ บาท แล้วแม่นวล สร้างเรือลําใหญ่ ๔-๕ แสนก็ไม่ได้ติดชื่อ เป็นคนทางตะกั่วป่า เดี๋ยวนี้ตายแล้ว ลูก ๆ ยังมาอยู่เรื่อย ๆ
แม่นวลมารู้จักกับอาจารย์ได้อย่างไรครับ
(หัวเราะ) เหมือนคนอื่น ๆ มาตามข่าวเล่าลือ อ่านหนังสือหนังหา แกก็มาพบปะเป็นครั้งแรก แล้วก็พอใจ ก็ตามมาเรื่อย ๆ หลายปีเต็มที่แล้ว จะให้ผมจํา ผมจําไม่ได้แน่ว่ารู้จักครั้งแรกอย่างไร นึกไม่ออก แต่พูดได้ว่าตามธรรมดาเหมือนคนทั่ว ๆ ไป มีคนไปมาที่นี่ไปเล่าให้ฟัง ก็อยากมาดู การเงินการทองนั้นพูดได้ว่าทุกคนช่วยตามมากตามน้อย ส่วนช่วยให้ความสะดวกก็หลายคน ช่วยด้านกําลังใจเป็นห่วงหวังดีก็มีมากเหมือนกัน (หัวเราะ) แม้ไม่ค่อยได้ทําอะไรทางวัตถุก็ตาม
ที่ช่วยด้านกําลังใจสําคัญ ๆ มีใครบ้างครับ
ไม่ออกชื่อ (หัวเราะ) กระดาก อย่าออกชื่อเลย ทําให้ลําบาก รู้เอาเองว่ามีอยู่ตามธรรมดา ตามธรรมดาต้องเป็นอย่างนั้น คนที่ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้วและระบุได้เต็มปากก็คือเจ้าคุณลัดพลีฯ ช่วยกันทุกอย่างทุกประการ
เมื่อรู้จักกันแล้วที่สวนโมกข์เก่า (๒๔๘๑) พอท่านซื้อหนังสือ ท่านต้องซื้อ ๒ เล่ม และส่งมาให้ผมเล่มหนึ่งเสมอ ทําอย่างนี้อยู่หลายปี หนังสือพวกกฤษณะ มูรติ หนังสือเซน วิเวกนันทะ หนังสือจวงจื้อก็มาก ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการไต่ถามกัน ต้องการจะไต่ถามก็ต้องเรียนรู้ไว้ก่อน มีกันคนละเล่ม ถามกันสะดวก เขียนจดหมายคุยกันก็มี แล้วพอมากรุงเทพฯ ก็คุยกันมาก (หัวเราะ) คุยกันชนิดที่เรียกว่า น่าหัวเราะ นั่งรถไปด้วยกัน ไปจอดที่ลานพระบรมรูปทรงม้า (หัวเราะ) เวลากลางคืนก็เคยมี ๒-๓ หน เพราะเงียบดี ทําแบบผู้หญิงผู้ชายเขาไปคุยกัน แต่เราคุยกันเรื่องธรรมะ
อาจารย์ครับ เจ้าคุณลัดพลีฯ ปฏิบัติธรรมจริงจังหรือเปล่าครับ หรือสนใจเฉพาะด้านพุทธิปัญญา
พูดได้ว่าท่านพยายามปฏิบัติธรรมะสุดความสามารถ เป็นคนมีความจริงใจในธรรมะ มีความยุติธรรม นิสัยตรงไปตรงมา กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ไม่ค่อยยิ้ม ลูกน้อง เสมียน พนักงานเกรงกลัวอยู่ ไม่เคยยิ้มให้กับใคร อารมณ์ขันมีน้อยมาก มีได้ยาก ที่ว่าสนใจทางด้านพุทธิปัญญานั้น แน่นอน เพราะไม่สามารถทําวิปัสสนากรรมฐานได้ ศึกษาทางด้านปัญญาเป็นหลัก
เวลาคุยกัน มีมติที่ไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ไหมครับ ประเด็นที่คิดต่างกัน
นึกไม่ออก แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าพูดอะไรคนละทางกันบ้าง แต่นึกไม่ออกว่าเรื่องอะไร
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 271-274
ตอนที่ 86 , ภาพหน้าที่ 276-280
อาจารย์ครับ พระดุลยพากษ์สุวมัณฑ์ รู้จักคุ้นเคยกับอาจารย์ได้อย่างไรครับ ทราบว่าเป็นคนใกล้ชิดสวนโมกข์อีกคนหนึ่ง
- นึกไม่ออกว่าเริ่มรู้จักกันอย่างไร คงผ่านทางหนังสือพิมพ์พุทธสาสนามากกว่า รู้เรื่องสวนโมกข์จากทางนั้น แล้วก็อยากให้มีสวนโมกข์ที่อื่นบ้าง ก็มาขอให้เราช่วยกันคิดช่วยกันนึก พระดุลย์ อยากทําที่นครศรีธรรมราช ตอนนั้นรับราชการอยู่ที่นั่น มีเพื่อนหลายคนที่เห็นด้วย พูดกันรู้เรื่อง ก็เป็นหัวหน้ามาติดต่อกับผม จนได้มหาจุลไป แล้วก็ต้องเหลวในที่สุดดังที่เคยเล่าแล้ว แต่พระดุลย์เองยังติดต่อกับสวนโมกข์เรื่อยมา ท่านศึกษาธรรมะจากสมเด็จวัดเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ และเคารพนับถือกันอย่างนอกไปกว่าทางศาสนา เป็นเรื่องส่วนบุคคล ว่ากล่าวตักเตือนได้อย่างลูกหลาน บวชกับท่านด้วย เป็นคนเอาจริงในเรื่องการปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เอาจริงด้วยศรัทธาก็มาก ปฏิบัติกรรมฐานด้วย ช่วยเหลือสวนโมกข์ด้วยความหวังดีด้วยกําลังใจ ชี้แจงให้คนอื่นรู้จัก การเงินการทองก็ช่วยบ้างตามแบบคนที่ไม่รํ่ารวยอะไร
อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ช่วยงานอาจารย์อย่างไรบ้าง
ก็ทั่ว ๆ ไป เรื่องอาหารการขบฉัน เรื่องพาไปเที่ยว เรื่องความสะดวก ผมรู้สึกสงสาร พยายามปกปิด ไม่ให้รู้ว่าต้องการอะไร มิฉะนั้นจะต้องคอยเที่ยวซื้อของให้ อาจารย์สัญญา ไม่ใช่คนรํ่ารวย
การปฏิบัติธรรมเป็นอย่างไรครับ ด้านความเข้าใจธรรมะเป็นอย่างไร
- ไม่มีเรื่องภาวนา มีแต่เรื่องพุทธิปัญญา มุ่งทางสังคมมากกว่า มุ่งการเผยแผ่มากกว่าที่จะทําของตัวเอง ยอมเสียสละ ยอมเสียเวลาของตัวเองไปทําเพื่อสังคม ช่วยเหลือโลกอย่างเต็มที่
อาจารย์ครับ แล้วงานที่พุทธสมาคมได้ผลไหมครับ
- ผมก็ไม่ทราบ ไม่ตอบได้ แต่มันก็ต้องได้ผลเท่าที่มันได้ เท่าที่เขาทําได้ ไม่ไร้ผลดอก คงมีเป็นชิ้นเป็นอันอยู่หลายสิ่ง เช่นจัดให้มีการศึกษาธรรมะ เป็นรูปเป็นร่าง เป็นลํ่าเป็นสัน ทําไปตามตารางสอนส่งเสริมให้มีการเรียนอภิธรรมพักหนึ่ง ทําให้คนรู้อภิธรรมหลายคนเหมือนกัน มันก็ได้ตามสติปัญญา หรือความสามารถของคนที่เกี่ยวข้องเรียกว่าดีกว่าไม่ทํา (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ แล้วทาง พสล. (พุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก) อาจารย์เกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่าครับ
- ไม่มี ไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ท่านหญิงพูนนั้นรู้จักกันเป็นส่วนตัว เคยมาเยี่ยมที่นี่
อาจารย์สัญญาเคยเอาเรื่องราชการมาปรึกษาหารือกับอาจารย์บ้างหรือเปล่าครับ
- ไม่มี เรื่องอย่างนั้นไม่มี เพราะรู้ใจว่าผมคงไม่ตอบ เคยถามบ้างในการที่ต้องรับหน้าที่นายกรัฐมนตรีครั้งนั้น เคยถามว่า ควรจะถือหลักธรรมอะไร ผมก็ตอบไปตามเรื่อง กําปั้นทุบดิน ตอนนั้นผมไปนอนเจ็บอยู่ที่ศิริราช ก็ไปเยี่ยม ไปคุยระหว่างนอนเจ็บอยู่ ผมก็ตอบกําปั้นทุบดิน ธรรมะของโพธิสัตว์ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ (หัวเราะ) คุณสัญญา ยังจดไว้ หมออุดม (โปรษะกฤษณะ) ก็จด ถ้าเข้าใจ มันใช้ได้ดี ความหมายดีมาก สุทธิซื่อตรง และมีปัญญาไม่ประมาท มีเมตตากรุณา แล้วอดกลั้นอดทนเป็นเบื้องหน้า เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเท่าไร ความอดกลั้นอดทนต้องมีมากขึ้นเท่านั้น
ในทางส่วนตัวก็เป็นคนที่สนิทสนมกันมากกับอาจารย์ใช่ไหมครับ เป็นหนึ่งในคณะที่สนิทสนม ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่แรกใช่ไหมครับ
- มันก็อย่างนั้น แต่คําว่ามากก็ตอบไม่ถูก ก็เรียกว่าคอยเอาใจใส่ช่วยเหลือเท่าที่จะทําได้
อาจารย์ครับ แล้วอย่างคุณเรียบคุณเรียมล่ะครับ
- พอเริ่มรู้จัก ก็ช่วยเป็นเงินเป็นทอง เป็นอะไรบ้าง ดูเหมือนติดต่อจากทางคุณชํานาญออกไป
อาจารย์ครับ คนกลุ่มนี้สนใจธรรมะ จริงจังหรือช่วยด้านเงินด้านทองเท่านั้น
- ธรรมะส่วนตัวก็พยายามสนใจ แต่ทําได้เท่าที่ทําได้ ถ้าเรื่องเงินเรื่องทองเพื่อการเผยแผ่ เขาก็ช่วยเหลือตามกําลัง
อย่างคุณชํานาญนี่ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมชั้นสูงเท่าไรใช่ไหมครับ
- เอ๊ะคุณนี่ (เสียงดุ) ถือตัวว่าหัวก้าวหน้า แล้วยังไม่เคารพสิทธิมนุษยชนของคนอื่นเขา ถามแบบนี้มันรุกรานนี่
ผมคิดว่านี่จะเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลัง ที่จะศึกษาประวัติชีวิตของอาจารย์และประวัติศาสตร์ของสวนโมกข์ จะได้เข้าใจได้ว่าคนแวดล้อมของอาจารย์เป็นคนอย่างไรบ้าง อย่างน้อยก็มองจากทัศนะของอาจารย์เอง เพราะตอนนี้ก็เริ่มมีคนพูดแล้วว่าคนแวดล้อมบางกลุ่มเป็นคนไม่ได้เรื่อง ผมเพียงแต่ทําหน้าที่เป็นเลขานุการที่เข้มงวดของประวัติศาสตร์เท่านั้นแหละครับ
- (หัวเราะดุ ๆ) คุณชํานาญแกก็ทํากรรมฐานตามแบบของแก รวม ๆ กันไปกับโยคะ และไท้เก็ก ทําอานาปานสติแบบง่าย ๆ เป็นคนสนใจเรื่องสุญญตามากที่สุดคนหนึ่ง ถึงกับเอาไปท่องติดปากว่า ยู่สี ๆ ในภาษาจีน ซึ่งแปลว่าเช่นนั้นเอง เป็นคําแปลของคําว่า ตถตา ซึ่งโดยเนื้อแท้ก็คือสุญญตา เป็นเรื่องจําเอาไปใช้ ส่วนผลของการปฏิบัติก็นับได้ว่ามากอยู่ เช่นเวลาเจ็บป่วยนับว่าดีมาก ไม่มีความทุกข์หรือความหวาดกลัว มีลักษณะหัวเราะเยาะความตายได้มากพอใช้ ตอนนี้ได้ข่าวว่าอาการป่วยหนักลงทุกที คุณยิ้ม ภรรยานั้นเสียไปก่อนแล้ว ยกศพให้โรงพยาบาล ไม่มีพิธีรีตองอะไร คุณยิ้มจําธรรมะได้มาก แล้วเข้าใจซอกแซกละเอียดลออลึกซึ้ง แต่ความเป็นผู้หญิงทําให้หนักแน่นไม่ได้
อาจารย์ครับ แล้วอย่างเจ้าชื่น เข้าใจธรรมะระดับไหน
- เข้าใจธรรมะแบบสรุป แบบสรุปความ ไม่ค่อยมีเวลาทํากรรมฐาน จําคําบางคําไปยึดถือเป็นคติ เป็นหลัก แล้วก็พยายามทําให้ได้อย่างนั้น แต่ยังมีโรคชอบสร้างวัตถุครอบงําอยู่มาก กําลังขอร้องให้บรรเทา
อาจารย์ครับ บุคคลเหล่านี้มาทําให้อาจารย์แยกระหว่างเศรษฐีใจบุญกับนายทุนหรือเปล่าครับ
- ไม่ใช่ปรารภคนเหล่านี้ แต่คนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เศรษฐีที่ไม่ใช่นายทุนใจร้ายนั้นมีได้ คือมันไม่ได้กอบโกยอะไรเลย หรือถ้ากอบโกยก็กอบโกยโดยสุจริต หรือนํามาสงเคราะห์คนที่ควรสงเคราะห์ เรื่องเศรษฐีใจบุญนั้น ได้มาจากพระคัมภีร์โดยตรง ซึ่งมีอยู่มากในครั้งพุทธกาล
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 276-278
ตอนที่ 87 , ภาพหน้าที่ 280-282
อาจารย์ครับ คําถามตอนท้าย ๆ นี้ จะเกี่ยวกับนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ที่รู้จักกับอาจารย์นะครับ แรกสุดนี่อยากทราบว่า คุณวิลาศ มณีวัต มาเกี่ยวข้องกับอาจารย์ได้อย่างไรครับ
- จําไม่ได้ นึกทบทวนความจําเกี่ยวกับคุณวิลาศ ได้ยากมาก ดูเหมือนเมื่อตอนแกเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่จุฬาฯ มาขอเรื่องของผมไปลง นั่นดูจะเป็นครั้งแรก ผมเขียนบทความเรื่องธรรมะคืออะไรให้ อธิบายธรรมะในความหมายต่าง ๆ ๒๐-๓๐ อย่าง ทุกแง่ทุกมุมเท่าที่จะนึกได้ เมื่อแกเรียนจบแล้วก็รับหนังสือพิมพ์พุทธสาสนาเป็นประจําก็รู้เรื่องของเรา แล้วเขียนเรื่องเกี่ยวกับสวนโมกข์อยู่บ่อย ๆ ลงในคอลัมน์สายลมแสงแดด เขียนถึงโดยตรง เขียนถึงโดยอ้อม ทําให้คนรู้จักสวนโมกข์ขึ้นแยะ เขียนตามความพอใจ ตามถนัด เคยช่วยแนะหนังสือบรมธรรม*ทีหนึ่ง คนซื้อหมดสต๊อกเลย (หัวเราะ) อย่างน้อยแกก็ต้องถือว่าเป็นลูกบ้านเดียวกัน แกเกิดที่ไชยาเหมือนกัน เวลาพบกันก็ไม่ได้สนทนาธรรมะกันมากนัก เพราะถือว่าอ่านเอาเองดีกว่า เคยมาเยี่ยมผมเป็นครั้งเป็นคราว เมื่อไม่นานก็มาเยี่ยมครั้งหนึ่ง แต่ก็หลายปีแล้ว
อาจารย์ครับ คุณวิลาศเป็นนักหนังสือพิมพ์คนเดียวใช่ไหมครับที่เขียนถึงสวนโมกข์ในลักษณะแนะนําให้คนรู้จัก คนอื่นมีอีกหรือเปล่าครับ
- มีคุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ คุณสุลักษณ์ ก็เคยเขียนบ้าง หลัง ๆ มานี่ก็มี คุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ สมัยเมื่อผมไปพูดที่พุทธสมาคมเสมอ ๆ คุณกุหลาบเขียนถึงบ่อยในหนังสือพิมพ์ที่แกเป็นบรรณาธิการอยู่ ผมจําไม่ได้แล้วว่าหนังสือพิมพ์อะไร ดูเหมือนว่าทุกคราวที่ผมไปพูดชุดพุทธธรรม แกจะย่อความไปลงหนังสือพิมพ์ทุกที หลังจากนั้นจึงมาสวนโมกข์ มากับคุณวิลาศ มณีวัต คุยกันหลาย ๆ เรื่อง แต่เรื่องหลักแกมาหาความรู้เรื่องปฏิบัติธรรม แต่ผมไม่ได้สอน ไม่ได้แนะเรื่องปฏิบัติโดยตรง เพราะเวลาไม่พอ วัน ๒ วันไม่พอ ให้ไปหาหนังสืออ่าน เช่น ตามรอยพระอรหันต์ ตอนนั้นก็เล่มนี้พอจะอ้างได้ พูดได้ว่าคุณกุหลาบรู้จักเลือกธรรมะที่มีประโยชน์ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับชีวิตของแก แต่ไม่ค่อยได้เรียนอย่างชาววัด เขาเรียนอย่างชาวบ้าน ชาววัดเรียนอย่างเป็นพิธี เรียนอย่างท่องจําหลักอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างชาวบ้านก็คือเรียนอย่างอิสระ เจ้าคุณลัดพลีฯ ก็เหมือนกัน คุณกุหลาบศึกษาพระธรรมะแบบเจ้าคุณลัดพลีฯ อ่านจากภาษาอังกฤษด้วย วารสารพุทธศาสนาในต่างประเทศแกก็รับอยู่ประจํา แกเคยปรารภว่าจะพาเจ้าคุณศราภัยพิพัฒน์มา แล้วก็ไม่ได้มา ดูเหมือนจะไปพบกันที่กรุงเทพฯ พร้อมกับใครอีก ๒-๓ คน ตอนนั้นพระยาศราภัยฯ คงหมั่นไส้เรื่องกุมอํานาจ ทีนี้ใครคงจะบอกให้ได้ยินพุทธภาษิตว่า อํานาจเป็นใหญ่ในโลก คนพวกนี้เขาไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น ก็มาถามให้ผมอธิบายไล่เลียง ผมบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงหมายถึงอํานาจปืน อํานาจอะไรอย่างนั้น หมายถึงอํานาจกิเลส ซึ่งเป็นเหตุให้ใช้ปืน (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ แล้ว ส.ธรรมยศ ล่ะครับ
- เคยพบกันที่สุราษฎร์ฯ ครั้งหนึ่ง เขามาในคณะของเจ้าคุณมหาเกษมบุญศรี เมื่อยังบวชอยู่ เขาติดตามคณะนั้นมา เขาก็พยายามจะคุยธรรมะกับผม ผมไม่มีเวลา ฟังดูมันแปลก ๆ เคยส่งเรื่องมาให้ลงพุทธสาสนา แต่ไม่ได้ลงให้ เข้าใจว่าไม่ถูกรสนิยมของผู้อ่านหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา เราไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากการเกี่ยวข้องกับคุณ ส.ธรรมยศ เพียงแต่ว่าได้ฟังอะไรแปลก ๆ บางคํา
อาจารย์ครับ แล้วอาจารย์สุลักษณ์ ล่ะครับ
- คงจะพบกันครั้งแรกที่วัดทองนพคุณ ตอนไปงานศพเจ้าคุณภัทรองค์ก่อน หรืออาจจะเคยพบก่อนหน้านั้นก็ได้ รู้สึกว่าคุณสุลักษณ์รู้เรื่องผมดี รู้จักกันดีแล้ว อาจจะอ่านจากหนังสือต่าง ๆ แล้วเพิ่งได้พบตัวกัน แกเคยพาผมไปสนทนาร่วมหมู่กับครูบาอาจารย์ที่จุฬาฯ ยังจําได้เพียงแต่ว่า ครูบาอาจารย์เหล่านั้นไม่ยอมรับเรื่องของเรา คุณสุลักษณ์ก็พยายามทําความเข้าใจ ปรับความเข้าใจ แต่มันก็ทําไม่ได้ มองกันคนละทาง ตอนหลังได้ไปเที่ยวเกาะด้วยกัน ดูเหมือนคุณระบิลจะเป็นคนชวนมา จําไม่ค่อยได้แล้ว เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าพร่าหมดแล้ว ความจําเรื่องต่าง ๆ พร่าไปหมดทุกเรื่อง แล้วจะต้องเป็นมากขึ้น
อาจารย์ครับ ผมเห็นมี ๓ คนที่เขียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตและงานของอาจารย์ คุณชิต ภิบาลแทน คุณอรุณ เวชสุวรรณ คุณสัมพันธ์ ก้องสมุทร คนเหล่านี้รู้จักอาจารย์ได้อย่างไรครับ
- เขาอยู่ที่นี่กัน ชิตบวชอยู่ที่นี่ ๑ พรรษา เขาเป็นครูโรงเรียนพุทธนิคม ตอนหลังลาออกไปอยู่กรุงเทพฯ นายอรุณ ก็คนบ้านนี้ บ้านอยู่หลังวัดชยาราม ปากท่อ ไม่ได้บวชที่นี่ แต่เขายึดถือว่าร่วมบ้านเกิดเมืองนอนกัน กอบกู้บ้านเกิดเมืองนอน เขาทํางานพัฒนาอย่างนี้ตั้งแต่ยังเป็นพระ สัมพันธ์เป็นคนเกาะสมุย ท่านโพธิ์พามา มีฝีมือในการเขียนภาพ เลยให้เขียนรูปปฏิจจสมุปบาทใหญ่ในโรงหนัง
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 280-282
ตอนที่ 88 , ภาพหน้าที่ 282-284
อาจารย์ครับ เห็นในหนังสือของคุณสัมพันธ์เขียนไว้ว่า อาจารย์เคยสนทนากับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ๓ วันติดต่อกัน ไม่ทราบว่าอาจารย์รู้จักกันอย่างไรครับ ขอความกรุณาอาจารย์เล่าไว้ด้วย
- จู่ ๆ ก็มีคุณวุฒิ สุวรรณรักษ์ เขาเป็น สส. จังหวัดนี้ เขามาบอกว่าท่านปรีดีมาขอร้อง ให้ไปช่วยหาที่ทําสวนโมกข์ที่อยุธยา จึงได้ไปพบปรึกษาหารือกัน ที่ตําหนักท่าช้าง ปรึกษาเรื่องธรรมะธัมโม เรื่องวิธีเผยแผ่พุทธศาสนา ปรึกษาที่จะมีเพลงในพุทธศาสนา ท่านมีมหาเปรียญ ๙ ประโยคคนหนึ่งอยู่วัดเบญจฯ ชื่อมหาญาณ เป็นที่ปรึกษารับใช้เรื่องภาษาบาลี ที่ไปคุยกันไม่ใช่ทั้ง ๓ วัน แต่ท่านนิมนต์ให้ไปติดต่อกัน ๓ หน ต่อมาไปดูที่อยุธยา ไม่พบที่เหมาะ ที่มันแคบเกินไป ตอนนั้นเจ้าคุณพิมลธรรมก็ไปด้วย ท่านยังไม่ได้เป็นพระพิมลธรรม มีหน้าที่ปกครองอยู่ทางอยุธยา ไม่พบที่เหมาะ ที่วัดภูเขาทองนั้นกว้างขวางดี แต่ก็นํ้าท่วม ทําไม่ได้ ต่อมาท่านปรีดี ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะทําได้ ก็เลยเลิกกัน
ท่านปรีดี เข้าใจธรรมะดีไหมครับ
- ก็ดูเอาเองจากหนังสือต่าง ๆ ที่เขียนขึ้นสิ ผมไม่ได้คุยธรรมะโดยตรง แต่คุยวิธีการที่จะเผยแผ่มากกว่า ดูเหมือนท่านอยากให้มีสวนโมกข์หลาย ๆ แห่ง คุยเรื่องวิธีที่จะปรับปรุงการเผยแผ่ทั่วไปให้มันได้ผลแน่นอนขึ้น ดูท่านจะหวังดีต่อศาสนาโดยบริสุทธิ์ใจ
อาจารย์ดูจากอะไรครับ ที่ว่าท่านบริสุทธิ์ใจ
- ก็ดูจากที่คุยกันสิ ดูจากความต้องการที่แสดงออกมา คงหวังที่จะทําประโยชน์อันนี้เกี่ยวกับศาสนาให้เป็นหลักเป็นฐาน เป็นชื่อเป็นเสียง คงหวังอย่างนั้น แต่ทําไม่ได้
อาจารย์ครับ ในหนังสือของคุณสัมพันธ์ บอกว่า เวลาอาจารย์ไปพูดที่พุทธสมาคม ท่านปรีดีมาฟังทุกครั้งหรือครับ
- เป็นไปไม่ได้ ที่จําได้นั้นอย่างมากไม่เกิน ๒ ครั้ง ที่จําได้แม่นก็ครั้งที่ไปพูดเกี่ยวกับพุทธธรรมกับประชาธิปไตย *
เมื่อตอนที่ท่านออกไปอยู่เมืองนอกแล้ว ยังได้ติดต่อกันอีกหรือเปล่าครับ
- ไม่ได้ติดต่อกันโดยตรง เพียงฝากหนังสือไปให้ มีคนมาหาผม เขาจะไปปารีส ดูเหมือนเขาจะถามเองว่าจะฝากอะไรบ้าง ผมฝากหนังสือห่อใหญ่ไปให้ห่อหนึ่ง แล้วท่านก็ตอบรับมาว่าขอบคุณ ได้ใช้อ่านพอดี
อาจารย์ครับ แล้วบุคคลในท้องถิ่น นอกจากชาวบ้านที่มาช่วยเหลือออกแรงงานต่าง ๆ มาทําบุญ เลี้ยงพระตามปกติแล้ว มีใครช่วยงานอาจารย์อีกบ้างหรือไม่ครับ
มันจะต้องพูดว่า มันเกือบจะไม่มีเลย คุณคิดดูซิ เขาจะช่วยอะไรได้ (หัวเราะ) จะช่วยทางแต่งหนังสือธรรมะธัมโม เขาก็ช่วยไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ ทีนี้ช่วยอย่างเป็นธรรมดา อย่างเพื่อนบ้านธรรมดาก็มีแหละ อย่างพวกทนายความ เมื่อมีเรื่องที่จะต้องทําตามระเบียบกฎหมายบ้าง อะไรบ้าง ก็ได้คุณปิ๋ว (เปรมะติษฐะ) ช่วย พี่ชายแกเป็นนายอําเภอกาญจนดิษฐ์ที่เคยเล่าแล้วว่าช่วยจัดหาเรือให้จากบ้านดอนไปกาญจนดิษฐ์ จากกาญจนดิษฐ์ไปเกาะสมุย ตอนเอาเรือติดเครื่องขยายเสียงไปเผยแผ่ธรรมะ คุณละออง (แสงเดช)ก็ช่วยต้อนรับเวลาแขกไปใครมา แขกของสวนโมกข์ก็หลายคนเหมือนกันที่คุณละอองแกช่วยต้อนรับขับสู้ หมอจําเนียร (รัตนะมีศรี) ที่บ้านดอน ก็ช่วยในเรื่องเจ็บไข้ ในฐานะเป็นหมออยู่บ้าง ทั้งหมดนี้ก็คบกันอย่างเพื่อนผู้หวังดี เห็นด้วยในการงานที่เราทํา เป็นคนบ้านเดียวกัน รุ่นราวคราวเดียวกันมา ช่วยในทุกโอกาสที่จะช่วยกันได้ ช่วยให้ความสะดวก จิปาถะ จนกระทั่งช่วยคุ้มครองป้องกัน หวังดี คอยระวัง ความร้าย ความเสียหายที่จะเกิดขึ้น แต่มันก็ไม่มีอะไร ก็เรียกว่าช่วยเต็มที่ที่คนหวังดีจะช่วยได้ คุณปิ๋วอายุเท่าผม คุณละอองแก่กว่า หมอจําเนียรอ่อนกว่า เคยเป็นเด็กที่วัดพระธาตุฯ สมัยพระครูโสภณฯ (เอี่ยม)
อาจารย์ครับ ในชีวิตของอาจารย์ อาจารย์มีหลักในการคบมิตรอย่างไรครับ
- (หัวเราะเสียงเข้ม ๆ) พูดแล้วมันก็เหมือนกับโอหัง คือว่า เราไม่ค่อยคิดจะขอความช่วยเหลือจากมิตร ไม่ได้คิดจะไปดึงมาเป็นมิตร หรือขอร้องให้เป็นมิตร แต่ถ้าเขาแสดงความประสงค์อะไรเข้ามา เราก็ยินดีที่จะพิจารณาหรือคบหาสมาคมกัน ปัญหาจึงไม่ค่อยมี ความผิดหวังจึงไม่ค่อยมี และผมนี่มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันไม่ค่อยจะรู้สึกว่าคนเราจะต้องพึ่งพาผู้อื่น หรือมิตรอย่างที่เขาถือเป็นหลักกันอยู่ อะไรหน่อยก็มิตร ๆ ผมอยากจะไม่ต้องให้มิตรช่วยนั้นแหละดี มีหลักที่จะช่วยตัวเองไปเสียหมด เรื่องหลักการคบมิตรก็เลยไม่รู้ว่าจะทําอย่างไร
บรรดามิตรที่เขามาคบหา จนเป็นมิตรขึ้นมานี่ ล้วนแต่เขาเป็นผู้ที่อย่างน้อยก็เสนอคามปรารถนามาครึ่งหนึ่ง (หัวเราะ) ในความจําของผมรู้สึกว่าไม่เคยขอร้องใครเพื่อความเป็นมิตร พยายามแต่ทําตัวให้ดี ให้น่าไว้ใจ ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น นั่นแหละ แล้วคนบางคนเขาก็อยากจะคบด้วย ก็พยายามติดต่อกัน จนได้เป็นมิตรกัน
ไอ้ความโอหังของผมมันก็มีอยู่ตลอดมาจนเดี๋ยวนี้ มันไม่คิดว่าจะเอาใครเป็นมิตร หรือจะขอให้ใครช่วยเหลือไปเสียท่าเดียว มันจึงพยายามทําแต่เท่าที่ตัวเองจะทําได้ โดยไม่ต้องรบกวนมิตร แต่ทีนี้มันจะเป็นเรื่องโชคดี หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ มันก็มีคนที่มาเป็นมิตร มาให้ความช่วยเหลือ มิตรมันก็เกิดขึ้นเหมือนกัน แล้วเราก็ไม่เคยผิดหวังเรื่องมิตร เพราะเราไม่ได้หวังอะไร คุณก็อาจจะเห็นได้ แม้แต่อยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ค่อยได้สุงสิงหรือพยายามอะไรในเรื่องที่จะเป็นมิตร จนคนเขาต้องเตือน (หัวเราะ) ให้หามิตรไว้บ้าง ถ้ามีการผูกพันกันไว้ก็คงจะมีเยอะไปหมด แต่ก็กลัวขึ้นมาอีกว่า จะตอบแทนไม่ไหว จะจําไม่ไหว จะยุ่งไปหมด ถ้าเราผูกพันมิตรอย่างที่เขาผูกพันกัน ผมคิดว่าคงจะมีมิตรแยะไปเลย เราก็เลยต้องควบคุมไม่ให้เกิดมิตรจนเหลือกําลังที่จะทําหน้าที่รักษาความเป็นมิตร
แต่ไม่ใช่ผมอวดดี มันเป็นเอง มันไม่คิดทําอะไรที่จะต้องให้ผู้อื่นช่วย โครงการหรือแผนการมันจะวางไปในทํานอง ทําเองได้ทั้งหมด คุณก็ดูเอาเองซิว่า ผมมีหลักในการคบมิตรอย่างไร มันบอกไม่ถูก (หัวเราะเบา ๆ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 282 - 284
*เนื่องจากไม่พบไฟล์บรรยาย
เรื่อง พุทธธรรมกับประชาธิปไตย สมัยนั้น
แต่มีบรรยายเรื่องทำนองเดียวกันอยู่
ประชาธิปไตยตามแบบแห่งพระพุทธศาสนา
ธรรมะในฐานะดวงวิญญาณแห่งประชาธิปไตย
ตอนที่ 89 , ภาพหน้าที่ 285-288
อาจารย์ครับ อย่างนี้อาจารย์ก็ไม่มีเพื่อนสนิทสิครับ
- ฟังคําว่าสนิทไม่ออก เหมือนกัน เพื่อนชนิดที่ว่ารักใคร่ตายแทนกันได้ก็มีเหมือนกัน คนที่เขาเห็นว่าเรามีประโยชน์ มีคุณค่า ทําไมจะไม่มี
อาจารย์ครับ มันต่างกันนะครับ เพื่อนที่คบในแง่ทํา ประโยชน์ ทํางานการเพื่อพระศาสนามันก็แบบหนึ่ง เพื่อนที่ อาจจะไม่เกี่ยวข้องในเรื่องงานการ แต่เรารู้สึกเป็นเพื่อนคุย อะไรให้ฟังได้มาก แลกเปลี่ยนกันมาก พูดความในใจให้กัน มาก ก็อีกแบบหนึ่ง แบบหลังนี่อาจารย์มีหรือเปล่าครับ
- มันไม่ค่อยจะมีเพื่อนคุยหรือเพื่อนปรึกษาหารือ เพราะ เรามันทะนงตัวเกินไป แต่ก็เรียกว่าโชคดีแหละที่มีเพื่อน ไม่ได้สนใจที่จะสร้างสรรค์ เมื่อออกมาเทศน์สั่งสอนก็มีเพื่อน
เพื่อนคุยธรรมะก็มี เพื่อนที่ไม่ใช่ทางธรรมะ เพื่อนเถียงกันก็มี
อาจารย์ครับ เพื่อนที่อาจารย์ว่าตายแทนกันได้นี้ เช่นใครบ้างครับ
- เพื่อนที่เป็นพระด้วยกันนี่แหละ ยกตัวอย่างคนเดียวได้ คือท่านพระครูสุธนฯ คุณดูเอาเองซิ แต่คุณ อาจจะไม่ทันเห็นก็ได้ แต่มีมากกว่าหนึ่งแหละ แต่ไม่อยากจะพูด อย่าพูดดีกว่า จะกลายเป็นอวดดี แต่ผมก็ ไม่ได้ไปมาหาสู่อะไร เพราะว่ามันเป็นเพื่อนโดยจิตใจร้อยเปอร์เซนต์ก็พอแล้ว ภายนอกอาจจะดูไม่ อินังขังขอบอะไรเลย (หัวเราะ)
ที่ตอบมานี้ คงจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้นา เพราะผมมันไม่มีแผนการที่จะมีเพื่อน มีแผนการที่จะทํา โดยไม่ต้องมีเพื่อน แต่เมื่อบางคนเขาพอใจ เขาก็มาเป็นเพื่อนเอง หรือเป็นเพื่อนอยู่โดยไม่ต้องรู้จักกันก็คง เป็นหลักเหมือนกัน แต่เป็นหลักที่ไม่มีใครยอมรับ เพราะมันผิดหลักที่เขาถือ ๆ กันอยู่ทั่วไป (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ อาจารย์เคยเล่าถึงชีวิตตอนอยู่สวนโมกข์เก่า มีของเล่นหลายอย่าง เลี้ยงไก่ เลี้ยงนก เลี้ยง กา และยังไปเที่ยวกับหลวงตามินด้วย ในตอนนี้ ขอความกรุณาอาจารย์เล่าเรื่องเกี่ยวกับของเล่นของอาจารย์ในระยะต่อ ๆ มาของชีวิต จนกระทั่งปัจจุบันไว้ด้วยครับ คงเป็นอีกด้านหนึ่งที่จะช่วยให้เข้าใจชีวิตของอาจารย์ได้รอบด้านขึ้น
- มันปนกัน เรียกว่ามันสับสนปนกัน สมัยหนึ่งเคยเล่นชนิดที่มีประโยชน์ทางวัตถุ เคยเล่นหีบเสียง เรียนภาษา เล่นพิมพ์ดีดเพื่อพิมพ์หนังสือ เล่นกล้องถ่ายรูป เพื่อรวบรวมรูป และอะไร ๆ ที่มันคล้าย ๆ อย่างนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งแห่งการเล่น
เรามักจะชอบไปซื้อหาของเก่า ๆ มาซ่อมเล่นสนุก ใช้ประโยชน์ได้ ก็สนุก เล่นอย่างจิตใจก็เล่นเพลินกับธรรมชาติ เคยเล่นต้นไม้แปลก ๆ แปลกสําหรับเรานะ ไม่ใช่แปลกสําหรับผู้อื่น สะสมต้นไม้แปลก ๆ เรื่องปลา เรื่องนก เรื่องแมว เรื่องหมา กระทั่งจิ้งจก ตุ๊กแก ก็เคยเป็นเรื่องเล่น สมัยหนึ่ง ๆ แล้วในที่สุดก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวไปได้
นอกจากนั้นก็มีเล่นการพักผ่อน นั่งเล่น นอนเล่น ทําสมาธิเล่น สมาธิเคยทําอย่างเล่น ๆ มันหลายประเภท ผมเคยเล่นเกือบทุกอย่างตามความเหมาะสม ตามโอกาส จะจัดลําดับไม่ค่อยได้ แต่มันก็มีลําดับอยู่ในตัว ตามที่อายุมันมากเข้า อะไรเข้า สถานะของตนมันเปลี่ยนไป เรื่องเล่นก็ต้องเปลี่ยนไปพอเหมาะพอสม
เคยชอบไปเที่ยวทะเล ลงเรือไปเล่นทะเล ไปลอยทะเลก็เคยหลายครั้ง จัดจอมปลวกให้เป็นระเบียบก็เคยทํามาแล้ว จอมปลวกอยู่ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง เราก็ย้ายเอามาทําให้เป็นระเบียบ ตรงที่ ๆ เราอยากให้มันอยู่ แล้วเอาแผ่นปูนวางข้างบน ทําเป็นโต๊ะได้ ย้ายแล้วปลวกยังอยู่ในนั้น ต้องขุดลึกมาก แล้ว ๔ คนจึงหามไหว ข้างล่างที่อยู่ใต้ดินมันโตกว่าข้างบน ข้างบนเป็นโพรง ปลวกแถวสวนโมกข์เก่าตัวเหลือง ๆ เป็นปลวกที่ไม่กัดของ ย้ายมาตั้งเป็นแถว ๆ ข้างกุฏิของเรา ใกล้ ๆ แถวนั้นไม่พอ ก็ไปหาจากที่ไกลออกไป บางทีก็ตาย แล้วก็เลิกร้างไปก็มี ถ้าทําผิด นายทัศน์เขาเป็นคนแข็งแรงมาก ช่วยย้ายจอมปลวก นายทัศน์เป็นอีกคนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสวนโมกข์มาตั้งแต่แรก คอยช่วยเหลือตลอดเวลา ช่วยทําแทบทุกอย่าง
เขาเป็นคนพุมเรียง เกิดที่นั่น เห็นกันมาตั้งแต่เล็ก รุ่นอ่อนกว่าผมหน่อย เคยตั้งเนื้อตั้งตัวได้ด้วยตนเอง มีเรือลําเล็ก ๆ จนมีเรือลําใหญ่ จนมีโรงถ่าน มีร้านค้า สมัยผมอยู่สวนโมกข์เก่า มักไปปรึกษาหารือ ขอความคิดเห็นตลอดเวลา จนกระทั่งไปอยู่กรุงเทพฯ ไร่สวนของนายทัศน์ เขาก็อยู่เกือบตรงกับสวนโมกข์เก่า เยื้องไปทางตะวันตก ระหว่างถนนเส้นบ้านทุ่งกับไชยา จึงไปนั่งเที่ยว ไปคุยสนทนากันบ่อย ๆ อย่างนี้ก็เรียกว่าเล่น คุยกันเล่น
เคยเอาเรือนายทัศน์ไปเที่ยวทะเล ไปดอนเส็ด ซึ่งเป็นเกาะทรายอยู่กลางอ่าว นายทัศน์เป็นคนให้ความสะดวกเพราะเขามีเรือ เคยพาหลวงบริบาลไปดูทะเลฝั่งโน้นด้วย เขาก็เลยคุ้นเคยกับหลวงบริบาล คุ้นเคยกับฝรั่งบางคนที่มาศึกษาโบราณคดีด้วย
สิ่งที่เรียกว่าเล่นมันมีความหมายมาก กินความกว้างขวาง จากเล็กที่สุดจนถึงใหญ่ที่สุด แม้แต่แต่งโคลงแต่งกลอน มันก็เป็นของเล่น ไม่ได้จริงจัง ผมก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร บอกได้แต่ว่าเคยเล่นสิ่งเหล่านี้มาตามโอกาส
ผมเคยแม้แต่ปรุงอาหารเล่น แกงดอกลั่นทมที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะกินได้ จะแกงได้ เราก็แกงมาแล้ว (หัวเราะ) ต้องใส่กะทิมาก ๆ ใส่มะขามเปียกให้มันเปรี้ยว ๆ ใส่นํ้าตาลให้พอ ๆ กัน ก็กินได้ อร่อยดีเหมือนกัน แกล้งทําเลี้ยงให้เขารู้รส ให้ยอมรับว่ามันก็กินได้เหมือนกัน อร่อยดีเหมือนกัน (หัวเราะ) ดีกว่าปล่อยให้เสียไปมากมายก่ายกอง ต้องใช้ประโยชน์ ช่วยถ่ายสะดวกนิดหน่อย ไม่ถึงกับเป็นยาระบาย เล่นมาหลายอย่างเลยไม่รู้จะตอบอย่างไร (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ โคลงกลอนนั้นอาจารย์ชอบแบบไหนครับ
- แบบของที่มีอยู่ก่อน ที่เราพยายามท่องจําไว้มากก็ คําฉันท์ของกรมพระปรมานุชิตชิโนรส คําโคลงโลกนิติก็เคยพยายามท่อง ของครูเทพ เราก็ชอบ ของรัชกาลที่ ๖ ก็รู้สึกนิยม เพราะเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องทํายาก ที่ท่านแปลจากเช็คสเปียร์ ท่องจําไว้หลายตอน เรื่องธรรมาธรรมะสงคราม ก่อนนี้จําได้เกือบหมด เดี๋ยวนี้ลืมเกือบหมด (หัวเราะ) แต่ด้วยอะไรไม่รู้ ผมเกิดไม่นิยม
สุนทรภู่ ความรู้สึกมันอาจจะเกิดจากเคยได้ยินว่าแกกินเหล้า แกเมาผู้หญิง เลยเหมาเอาว่าคงเอาความรู้สึกอันนั้นมาเขียนกลอน แต่ถ้อยคําของแกก็เพราะดี เรายังเคยแต่งล้อสุนทรภู่ (หัวเราะ)
สุนทรภู่ เขากลอนดี เพราะมีเหล้า
ปลุกเร้า กลอนกาพย์ ให้วาบหวาม
ส่วนเราเหล้า ไม่มี มีแต่นํ้า
จะปลุกปลํ้า เท่าไร กลอนไม่ดี
(หัวเราะ) ยังมีอีก ๔ บาท นึกไม่ออกแล้ว คุณสัญญาท่องจําแม่นเลยจนเดี๋ยวนี้
เวลาเราแต่งเอง ก็เลือกแบบให้เหมาะสมกับเรื่องที่จะแต่ง ถ้าไปแปลงของฝรั่งมา ก็จะแต่งเป็นบทดอกสร้อย ที่เป็นคําฉันท์หรือคําโคลงนั้น แต่งล้อกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา เรื่องแม่ลูกสนทนาเรื่องนิพพาน
บางเรื่องเราก็ลงทุน แต่งล้อตัวเอง เพื่อให้คนอื่นได้ประโยชน์ก็มี ที่ตั้งใจแต่งจริง ๆ ยาวพอสมควร ก็มีแต่นิราศลพบุรี แต่งให้คุณสัญญา คนพาไปเที่ยว กาพย์กลอนนอกนั้น ก็แต่งยามว่าง แต่นาน ๆ เข้ามันก็มากขึ้น จนพอจะพิมพ์เป็นเล่มได้ (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 285-288
ตอนที่ 90 ภาพหน้าที่ 288-290
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2107331589415425&id=976227579192504
.
https://www.blockdit.com/posts/61aed629304aa60cab04b335
อาจารย์ช่วยเล่าเรื่องกล้องด้วยครับ ที่ว่ารวบรวมรูปนั้น รูปอะไรครับ
- รูปวิว วิวตามความพอใจของเราอย่างในกล่องที่เก็บ ๆ ไว้นั่นแหละ เมื่อเล่นถ่ายรูปก็ถ่ายวิวมากกว่า อย่างอื่น กล้องถ่ายหนังก็เคยเล่น เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ พันเอกสาลี่ให้มา กล้อง ๑๖ มิล ๕๐ ฟุต และกล้อง ๘ มิลซุปเปอร์กับ ๘ มิลธรรมดา ก็ได้ถ่ายไว้ไม่น้อย คงเตรียมขึ้นราหมดแล้ว เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดทั้งนั้น ที่ชอบ มากที่สุดก็ถ่ายปลาใส่ตู้กระจก สวยมาก เรียกว่าเพชรพลอยในหนอง เมื่ออยู่ในหนองมันไม่สวยไม่น่าดู พอ อยู่ในตู้กระจก มันสวยวิเศษไปเสียทุกตัว เวลาถ่ายเป็นหนังออกมา เครื่องฉายก็มีตั้ง ๒ เครื่องเดี๋ยวนี้ไม่รู้ ว่าใครจะเป็นคนใช้มัน ตอนนั้นคุณบุญชูอยู่ เขาทําทุกอย่าง
เกี่ยวกับการทํางานของพระในสวนโมกข์ก็เคยถ่ายไว้ เดี๋ยวนี้ต้องอุทิศแล้ว สละให้แก่การเน่าเสีย การขึ้นรา มันรักษาลําบาก มันต้องมีห้อง ปรับอากาศ ปรับความชื้นอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่า จะทําไปเพื่ออะไร
อาจารย์ครับ เพื่อนเล่นกล้องของ อาจารย์มีใครบ้างครับ
- มีหลายคน นายมณี ศรีพัฒน์ อยู่ กรุงเทพฯ เป็นเพื่อนเล่นกันมาที่ไชยานี้ก็ไม่ มีใครที่ว่าเป็นเพื่อนเล่นกล้อง ผมมักสอนให้ เล่นจนเป็นกันหลายคน ครูวงศ์เขาก็เล่น ตามผม ผมเคยไปถ่ายทั่วกรุงเทพฯ ทั่วอย่าง หยาบ ๆ ผมไม่รู้แห่ง อาจารย์พระครูชยา ภิวัฒน์พาไปสมัยที่ยังอยู่กรุงเทพฯ แกพา ไปทุกแห่ง วัดฝั่งธนสวย ๆ ไปทั้งวัน
อาจารย์ครับ แล้วอย่าง ร. บุนนาคละครับ
- ไม่ใช่ตอนแรก เพิ่งมารู้จักกันเมื่อผมเลิกเล่นกล้องแล้ว เขาชั้นปรมาจารย์มีชื่อ รู้จักกันในฐานะ นักศึกษาธรรมะ ไม่ใช่เพื่อนเล่นกล้อง คุณระบิลมาช่วยกิจการของสวนโมกข์ ในด้านถ่ายภาพพุทธประวัติหินสลักจําลองเป็นชุด ถ่ายเป็นหนังก็เคยมี เดี๋ยวนี้ไม่รู้ไปไหนแล้ว ถ่ายเป็นสไลด์ก็มาก เรื่องวันหนึ่งในสวนโมกข์* เป็นหนังก็ฝีมือคุณระบิลร่วมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งชื่อสุขุม นอกจากนั้นยังช่วยอัดรูป เมื่อเราต้องการให้ อัดรูป แกไปวานคุณพูล เกศจํารัส ที่วิทยาลัยเทคนิคกรุงเทพ ทุ่งมหาเมฆ ช่วยอัด คุณพูลเป็นอาจารย์ มี ลูกน้องเยอะ ภาพไปอินเดียที่วางระเกะระกะนั้น อัดที่เทคนิคทุ่งมหาเมฆทั้งนั้น มีคนช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ คุณระบิลเป็นคนช่วยทํากรอบ ทําอย่างประณีตและฝีมือ รูปพวกนั้นจึงทนทานมาได้บัดนี้ แล้วก็สอนให้คุณ บุญชู (พระบุญชู) ทําเป็นถ่ายได้ ล้างได้ อัดได้ ทําเคล็ดต่าง ๆ ได้ แกเป็นคนฉลาด มีหัวทางนี้ ก็ทําได้ตามที่ คุณระบิลแนะ
อีกคนที่คบหากันในเรื่องรวบรวมรูปก็คือ นายเที่ยง เขามีร้านถ่ายรูปที่สงขลา เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว ขาย ของในตลาดแทน เคยแนะเคล็ดในการทํารูปคนเดียว ดูเป็น ๒ คนคุยกัน เป็นต้นเรื่องแบบนี้ คุณบุญชูทําได้สนิทมาก
ผู้ที่เล่นตามผมอีกคนหนึ่งคือเจ้าชื่น สิโรรส เชียงใหม่ นับได้ว่าเป็นผู้ที่ได้ถ่ายภาพไว้มากที่สุด ทั้งตอนไปอินเดีย และในประเทศไทย ประเทศพม่า
หมอไพบูลย์ สิทธิคู่ ที่อยู่หาดใหญ่ ช่วยเหลือด้วยเรื่องอุปกรณ์สารพัดอย่าง
รุ่นหลังสุด นี้ก็มีคุณมนัส จิระวงศ์ ซึ่งคอยให้ความสะดวกเกี่ยวกับรูปตลอดเวลาจนทุกวันนี้
อาจารย์ครับ ทราบว่าอาจารย์เคยประดิษฐ์สไลด์ขึ้นใช้เอง ตั้งแต่สไลด์ยังไม่แพร่หลายอย่างทุกวันนี้ อยากให้อาจารย์ช่วยเล่าถึงวัตถุประสงค์และวิธีทําด้วยครับ
- เราได้เคยเห็นที่กรุงเทพฯ ที่เขาฉายสไลด์กัน ชนิดไม่ต้องมีแผ่นสไลด์ ชนิดที่ใช้ภาพหนังสือสอดเข้าไปข้างใต้ แล้วภาพนั้นก็ออกมาปรากฏที่จอได้ แล้วก็คิดว่า เราควรจะมีการใช้ของอย่างนี้บ้าง ก็ศึกษาว่ามัน จะทําได้อย่างไร ในชั้นแรกนั้น ไม่เคยคิดว่าจะซื้อ เพราะว่ามันไม่มีทุน จึงศึกษาจนรู้ว่าทําอย่างไร ก็ทดลอง อย่างนั้น ทดลองอย่างนี้ (หัวเราะ) จนรู้หลักของมัน ก็เลยประกอบขึ้นด้วยตนเอง เป็นลังไม้ยาวเกือบวา เพราะว่าไปใช้ไฟฉายที่ใช้หน้ารถยนต์ มาทําเป็นตัวแสงมันก็กินเนื้อที่ยาว แล้วก็ไอ้คอนเด็นเซ่อ ก็หาได้ยาก ตามความประสงค์ไปซื้อเปะปะมา มันก็ทําให้ต้องใช้โฟกัสยาว รวมกันเข้าจึงยาว จึงหนัก ใช้เลนซ์กล้อง ถ่ายรูปขนาดใหญ่หน่อย ทําเลนซ์ รวมกันจึงเป็นลังไม้ยาวเกือบวา ที่นี้ก็ต้องรู้จักล้างฟิล์มให้เป็นโพสตีฟ คือ สไลด์แบบสําเร็จรูป ชนิดที่ล้างกลับได้เลยแบบสมัยนี้ มันยังไม่มี หาไม่ได้ เราก็ฟิล์มแดงธรรมดา เขาเรียก กันว่าฟิล์มแดง (หัวเราะ) เป็นฟิล์มถ่ายรูปชนิด ๓ นิ้วนั่นแหละ ถ่ายแล้วล้างที่หนึ่งแล้วก็ล้างกลับ เป็น ๒ หน มันก็ใช้ได้ แต่ถ้าฟิล์มเขียวใช้ไม่ได้ ก็เลยได้สไลด์ขนาดใหญ่ ๖ x ๖ นิ้ว พอดีใช้กับเครื่องที่ทําขึ้น แล้วก็ถ่ายเอาตามที่ต้องการว่าควรจะมีอะไรบ้าง รวมทั้งก๊อปปี้รูปในหนังสือต่าง ๆ บางทีก็ถ่ายเอาเลย ในที่สุดก็ได้ผล ตามความประสงค์ เพียงแต่ว่ามันไม่สะดวก มันใหญ่โตเทอะทะ
เอาไปฉายให้คนดู เอาไปฉายในงานศพอาจารย์ผมที่เคยเป็นสมภารวัดใหม่พุมเรียงก็เคย อาจารย์ หนุนนั่นแหละ (หัวเราะ) หามกันไป เด็ก ๒ คนหาม แล้วก็ใช้เสื่อน้ํามันเป็นจอพ่นสีบรอนซ์เข้าด้านหลัง กาง ออกเป็นจอ (หัวเราะ) ยาววากว่า โกลาหลที่สุดแหละ (หัวเราะ) ต้องใช้เด็ก ๔-๕ คน แรก ๆ ไปถึงไหนก็ ตื่นเต้นที่นั่น ทําอย่างนี้อยู่ปี ๒ ปีได้ จึงใช้เครื่องสําเร็จรูปของฝรั่ง ที่หมอไพบูลย์ให้เป็นรุ่นแรก รุ่นต่อมา กมล สุโกศล ให้ ก็ดีขึ้น แล้วก็ได้เครื่องที่กระทรวงศึกษาธิการช่วยซื้อให้ก็ดีที่สุด (หัวเราะ) สําหรับเครื่อง สไลด์
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 288-290
* เรื่องวันหนึ่งในสวนโมกข์
จาก หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ -BIA-
ตอนที่ 91 ภาพหน้าที่ 290-292
อาจารย์ครับ ทราบว่ายุคหนึ่งอาจารย์เคยพยายามใช้หนังตะลุงในการเผยแผ่ธรรมะด้วยใช่ไหมครับ
- นี่เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง เมื่อมีภาพเขียนชุดหนวดเต่าเขากระต่ายแล้ว ก็ขอร้องให้พวกหนังตะลุงเอาไปเล่น เป็นการสอนธรรมะ มันน่าจะสะดวกในเรื่องมันมีพระเอก มีนางเอก มียักษ์ พอจะเล่นเป็นหนังตะลุงได้ เผอิญหนังตะลุงมาอยู่ที่วัดเวียง ก็เลยขอร้องเขาให้ช่วยลองดู ตามบทหนังตะลุงที่คุณวรศักดิ์ (พระวรศักดิ์ วรธมฺโม) แต่งขึ้น ยืดยาว ฉายภาพเป็นสไลด์ แล้วร้องบรรยายแบบหนังตะลุง ใช้ดนตรีแบบหนังตะลุง มันก็ น่าดูแหละ แต่ว่ามันยาวเกินไป หลายชั่วโมง ในที่สุดก็เอือม คนดูมันทนไม่ไหว แล้วเรื่องมันก็ไม่สนุกนัก ดู กันเดี๋ยวเดียวก็ง่วงนอนมันยาวตั้ง ๔-๕ ชั่วโมง ลองกันที่นี่ที่หนึ่ง แล้วอีกทางหนึ่งก็ทางสงขลา ขอร้องให้ เพื่อนฝูงที่รู้จักกัน พูดจา เจรจากับหนังตะลุงที่มีชื่อเสียง ให้เอาเรื่องอย่างนี้ เอาภาพอย่างนี้ไปลองเล่นดู เขาก็รับปาก ต่อมาก็แจ้งมาว่าไม่ไหว (หัวเราะ) ว่าเป็นเรื่องที่เล่นยาก ประชาชนไม่ชอบดู เป็นเรื่องที่อธิบายไม่ค่อยจะถูก ยังสั่งมาเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไม่นานนี้ว่าขอเวรคืน นี่ยังคิดเล่น ๆ อยู่ว่าถ้ามันสะดวก จะทําวีดีโอ เป็นหนังตะลุงฉายสไลด์ บรรยายเป็นหนังตะลุง เป็นของน่าจะทําได้ แต่เดี๋ยวนี้มันชักจะเบื่อแล้ว อาจจะต้องทําตัวประกอบเพิ่มขึ้น ระหว่างนี้ เรายังไม่มีเวลา
อาจารย์ครับ แล้วเกี่ยวกับปลานี่อาจารย์เริ่มเลี้ยงมาตั้งแต่เมื่อไร และมันสนุกอย่างไรครับ
-เริ่มเลี้ยงเมื่ออยู่วัดชยาราม เริ่มเลี้ยงในที่ขังน้ํารอบ ๆ ที่พัก ที่ขังน้ํานั้นผมทํากับมือเอง มหาเฉวียง เลี้ยงปลาทอง ปลาเงิน ผมเลี้ยงปลาใหญ่ ๆ มาที่นี่ก็ยังเลี้ยงปลาด้วย เพื่อความเย็นและเพื่อกันมดกันปลวก ด้วย ทําเป็นที่ขังน้ํารอบกุฏิ แล้วเลี้ยงปลาในนั้น มีพระรูปหนึ่งชื่อทวี ตอนนี้กลับไปบ้านที่จันทบุรีแล้ว เคยผสมลูกปลาทองออกมาเป็นพัน ๆ ตัว เรามีเอ็นไซโคลปิเดียปลาด้วย (หัวเราะ)
เลี้ยงปลามันสนุก ถ้ารู้เรื่องความลับที่จะทําให้มันโตเร็ว ให้มันเปลี่ยนสี ให้มันรอดชีวิต มันมีมากมาย หลาย ๑๐ อย่าง จนหมดเวลากับมันได้มาก ๆ ผมเคยบ้าเป็นพัก ๆ เคยนั่งดูปลาวันทั้งวัน ผสมออกมาจน เกือบคล้ายสีธงชาติก็มี ดูผาด ๆ คล้ายธงชาติ
คุณประยูร ชอบเอามาให้จากกรุงเทพฯ ญาติของแกเลี้ยงปลาขาย เอาปลาแพงที่สุด คู่ละตั้ง ๔,๐๐๐ บาท มาให้ตั้งหลายตัว ปลาดิสกัสปอมปาดัว มันก็ดีจริง ๆ เหมือนกัน มันอยู่ได้สบาย มีสีเหลื่อมกันหลายสี สีม่วง สีเขียว สีคราม เป็นปลาที่แพงที่สุดในบรรดาปลาเลี้ยงทั้งหลาย บ้านเดิมของมันอยู่ที่อเมซอน เป็น ปลาชนิดที่อยู่ในระหว่างต้นอ้อที่เกิดอยู่ในบึง ตัวมันจึงแบนเหมือนจาน เขาเลยเรียกดิสกัส ที่แปลว่าจานนั่นแหละ
มีคนที่ตลาด ชื่อนายกระจ่าง เป็นบุรุษไปรษณีย์ เขาก็เลี้ยงเหมือนกัน เลยหาอาหารมาเลี้ยงของเรา ด้วย เราก็ให้ปลาไปตอบแทน เยอะแยะไปหมด เราเองใช้อาหารแผ่นที่เป็นวิทยาศาตร์ ฉีกให้มันกิน แต่ ปรากฏว่าไม่ดีเท่าอาหารสด ปลาทะเลบ้านเรามีชนิดหนึ่งที่คล้ายกับดิสกัสปอมปาดัว เป็นปลาน้ําเค็ม สวย น้อยกว่า ชาวบ้านเรียกปลาขี้เก้ง บางตัวก็สวยมากเหมือนกัน มีหลาย ๆ สี
เลี้ยงปลาทําให้รู้ว่าปลามีจมูก เอาอาหารวางอยู่บนใบบัว มันก็รู้ได้ มันตอดใบบัวทะลุตรงอาหาร พอดี แล้วก็มีการรับเสียงด้วย ปลาทุกชนิดมีเส้นแล็ท ตะรัลไลน์ยาวตั้งแต่คอไปตามลําตัวทั้ง ๒ ด้านถึงหาง นั่นแหละ เป็นเส้นรับเสียง หรือหูของมันมันจําได้ด้วยว่าเสียงใครเดินมา มันแยกเสียงได้ ผมเดินมามันรู้ มัน ขึ้นมา มันรู้ว่าเป็นคนที่เคยให้อาหารมันรับเสียงกระเทือนจากแผ่นดินได้ คนอื่นเดินมามันไม่ขึ้น
และก็ได้ความรู้อีกว่า ปลามี ๒ ประเภท อนาคาริกแบบหนึ่ง อาคาริกแบบหนึ่ง (หัวเราะ)
พวกตระกูลปลาตะเพียน ปลาหางแฉก จะเคลื่อนที่เรื่อยไม่อยู่ประจํา แม้แต่ออกไข่แล้วก็ทิ้งไปเลย มันไม่รู้ไม่ชี้ ไม่มีการยึดถือว่าที่ตรงนี้ของเรา รังของเรา ลูกของเรา ไข่ของเรา ไม่มีการยึดถือเลย มันไม่น่า เชื่อ คล้ายเครื่องจักร เห็นได้จากปลาทอง ปลาตะเพียนทั้งหลายก็เหมือนกัน จะมากันเป็นฝูง ไล่กันมา แล้ว ก็ไข่ราดไว้ที่หญ้า แล้วก็หายไปหมด อยู่ข้างหลัง ไข่ก็ออกเป็นตัวเองตามบุญตามกรรม รอดไม่ถึง ๑๐ เปอร์เซนต์ มดกินเสียบ้าง แดดเผาเสียบ้าง ถึงอย่างนั้น มันก็มีพันธุ์เหลือ เพราะไข่เป็นล้าน ๆ ปลาตระกูล ปลาตะเพียน แม่หนึ่งอย่างน้อยออกไข่ครั้งละ ๔,๐๐๐ ฟอง
ที่นี้ปลาอีกชนิดหนึ่งมันตรงกันข้าม มันมีตัวกู ของกู พอเป็นหนุ่มเป็นสาวหน่อย มันก็จับคู่ มีคู่ของกู มีที่อยู่ของกู บริเวณนี้ใครเข้ามาไม่ได้ รังของกู เมียของกู เข้ามาเป็นสู้ตาย โดยเฉพาะปลากัด ปลากิม ปลา กระดี่ แม้แต่ปลาหมอ พวกนี้หางเป็นพัด คือไม่เป็นแฉก ๒ แฉก เพราะเขาไม่ต้องว่ายทวนกระแสน้ํา หรือไม่ ต้องการว่ายน้ําไกล ๆ อยู่กับที่ตลอดเวลา ปลาทั้งหมดที่อยู่ในลักษณะอย่างนี้เขาเรียกพวกปลาชิกคริด
ส่วนแบบแรกเขาจัดเป็นพวกปลาคาร์ป หรือไซปรินเด้ เป็นพวกไม่อยู่กับที่ ก็เลยเรียกว่า แม้แต่ปลาก็มีอยู่ ๒ ชนิด อนาคาริกพวกหนึ่ง อาคาริกพวกหนึ่ง (หัวเราะ) พวกไม่มีเรือนกับพวกมีเรือน
ปลากัดนี้เป็นพวกสูงสุดในเรื่องตัวกู ของกู นอกนั้นก็รอง ๆ ลงไปมันกัดกันจนตาย เป็นนักสู้ ตอน เด็ก ๆ ผมเคยเลี้ยง เมื่อมันลึกขึ้นมาถึงที่สุดแล้ว ไปมองมันก็ไม่ได้ใครไปมองมันก็ทําท่าจะกัด หูกาง หาง กาง จะกัดคนที่ไปมอง ถึงขนาดนั้น เรียกว่ามีอัสมิมานะสูงสุด ปลาอื่นไม่เป็น เดี๋ยวนี้ก็มีปลาออสก้า ใคร เข้าไปใกล้มันก็ทําท่าจะกัด ผมไม่เคยเลี้ยงในตู้กระจก เลี้ยงในบ่อ หย่อนนิ้วลงไปก็ทําท่าจะกัด เป็นตระกูล ปลาชิกคริดเหมือนกัน
ปลาเลี้ยงทั้งหลายนี้ ต้องการออกซิเย่นมากกว่าอาหาร ถ้าขาดออกซิเย่นแล้ว อาหารก็ไม่กิน ตั้งใจว่า จะเขียนเรื่องปลาเกี่ยวกับธรรมะก็ไม่ได้เขียนสักที เดี๋ยวนี้ร่างกายมันไม่ค่อยอํานวยแล้ว เก็บข้อมูลไว้แยะ บันทึกไว้เป็นปึก ๆ เคยตั้งใจจะเขียนเรื่องปลาเกี่ยวกับการดับทุกข์ (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 290-292
ตอนที่ 92 ภาพหน้าที่ 292-294
อาจารย์ครับ แล้วพวกจิ้งจกตุ๊กแก อาจารย์เล่นกับมันอย่างไรครับ
- เลี้ยงไว้ช่วยจับแมลง (หัวเราะ) มันก็เล่นเหมือนกัน คอยดูมันทําอะไรได้บ้าง ฉลาดเท่าไร โง่เท่าไร เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้ว แมวรังแกมันก่อนนี้มีหลายตัว เลี้ยงไว้เฉย ๆ มันหากินของมันเอง กินแมลงอะไรของมัน ตามเรื่อง ไว้ฟังเสียงดูเล่น หัดเลียนเสียงตุ๊กแก ไม่รู้จะหัดอย่างไร เคยคิดจะเอาเสียงตุ๊กแกไปใส่ไว้ตอนท้าย เวลาบรรยายจบ พอ...ทุกทิวา ราตรีกาลเทอญ.ตุ๊กแก คงโกลาหลกันใหญ่ ไม่ได้ทํา เป็นความคิด ไม่กล้าทํา (หัวเราะ)
อาจารย์ครับ แล้วนก อาจารย์เคยเล่นไหมครับ
- นกกางเขนดงมันเคยมาออกลูกในไหเล็ก ๆ ที่เราเอาไปวางไว้บนหลังกันสาดหน้าต่าง มาออกลูกได้ ๒-๓ คอก มาไม่ไหว แมวคอยรังควาน ตอนสุดท้าย ย้ายไหขึ้นไปสูง ใกล้หลังคา พ้นแมว แต่ไม่พ้น ตุ๊กแก ออกลูกอ่อน ๆ มาตุ๊กแกกินหมด ห ยังติดอยู่เลย แต่ดูมันจะร้อนเกินไปด้วย อุณหภูมิร้อนเกินไป มันไม่กล้าไข่ เดี๋ยวนี้นกกางเขนดงเกือบจะสูญพันธุ์แล้ว เพราะ มีการดักไปขายที่กรุงเทพฯ ตระกูลนกกางเขน สีดํา หน้าอกแดง ตัวเมียสีเทาหน่อย หน้าอกเหลือง เขาว่าเอาไปขายที่กรุงเทพฯ ได้ตัวละ ๓๐๐ บาท ทั้ง ๆ ยังเป็นนกป่า ไม่ทันได้ฝึกหัด เด็ก ๆ ข้างวัดคอยดักไปขายตัวแทนที่ตลาด ครั้งหนึ่งมันเคยเข้าไปออกลูกในกุฏิพระ กุฏิคุณบัญญัติ เป็นนกกางเขนดง แกดูแลจนฟัก สําเร็จจนบินไปหมด เลี้ยงไม่ไหว มันกินเนื้อสัตว์ ไม่กินข้าวสุก กินแมลง ต้องคอยสับหมูบะช่อให้กิน แล้วมันขี้เหม็นที่สุด
อีกสมัยหนึ่งเคยเลี้ยงนกยูง นายทัศน์เขาซื้อมาให้ เขาไปค้าขายปลาตอนน้ําบ้านดอน ซื้อมาจากไหน ไม่รู้ ตัวละ ๓ บาทเท่านั้น เป็นตัวผู้เลี้ยงที่สวนโมกข์เก่า แล้วมาเลี้ยงต่อที่นี่ มาตายที่นี่ เลี้ยงปล่อย ไม่ได้ใส่ กรง แล้วมันไปเที่ยวในหมู่บ้าน ไปจิกลูกไก่ของชาวบ้าน ชาวบ้านตีปีกหัก เลยกลายเป็นนกปีกหัก บินขึ้นสูง ๆ ไม่ได้ นอนต่ําเตี้ยเกินไป เสือดําเอาไปกิน หมดเรื่อง
อีกสมัยหนึ่ง เลี้ยงนกกาฮัง นกเงือกขนาดใหญ่ ผมคิดว่าในบรรดานกทั้งหมด นกเงือกนี้ฉลาดที่สุด ฉลาดกว่านกอะไรหมด แม้อีกาที่ถือกันว่าเป็นนกฉลาดแล้ว ก็ยังสู้นกเงือกไม่ได้ มันรู้อะไรได้ไว รู้ได้ลึกรู้ สังเกต เล่นฉลาด โยนของให้รับ ไม่เคยพลาด โยนห่างก็ชะโงกออกมารับ โยนบนหัวก็รับได้
นายสมบูรณ์ซื้อมาให้คู่หนึ่งตั้งแต่เป็นลูกนก ปล่อยไว้ที่โรงปั้น มันไม่ชอบ มันมาอยู่แถวนี้ ก็เลยเลี้ยง กัน กินผลไม้ องุ่นชอบที่สุด กินองุ่นตั้งกํามือ โยนให้ที่ละเม็ด โยนส่งเดชมันก็รับได้เหมือนกัน แล้วมันก็ร้ายกาจ อย่างวางของบนโต๊ะนี้ มันรื้อหมด จับพลิก จับพลิก พลิกทิ้ง พลิกทิ้ง บางทีของทั้งหมด บาตรปิดอยู่ มันก็งัดทีเดียวฝาบาตรกระเด็น แล้วก็กินของในบาตร สารพัดที่มันทําความรําคาญ แต่ก็สนุก คนมาเยี่ยม จิกหัว จิกหลัง หลังสุดไปจับสายไฟแรงสูง ตกลงมากรอบที่โคนเสาไฟฟ้าตรงข้างบันไดศาลาโรงธรรม มันคง ตายตั้งแต่ตอนเย็นวันก่อนไปพบุรุ่งขึ้นนอนตายตัวแข็งแล้ว ตีนไหม้หมดทั้ง ๒ ตีน
ถ้าตัวเล็ก ชาวบ้านแถวนี้เขาเรียกนกเงือก ตัวใหญ่เขาเรียกนกฮาง ตัวเล็กนั้นเคยเลี้ยงเมื่ออยู่สวนโมกข์พุมเรียง มีพระเขาเอามาให้ที่วัดชยารามก่อน แล้วเอาไปเลี้ยงที่สวนโมกข์พุมเรียง เกือบไปเหมือนกัน มันกระโดดเจาะตาครูสิริ (ลูกชายคนโตของคุณธรรมทาส) เมื่อยังเล็ก ๆ เป็นรอยเหนือตาและใต้ตา ถ้าพอดี กับตาก็ตาบอด นี่ดีที่มันเจาะคร่อมลูกตา
ตอนเลี้ยงที่สวนโมกข์เก่า มันบินตามพระ เวลาพระไปบิณฑบาต มันไล่ตามพระไป เกาะฝ่ายโน้นที ฝ่ายนี้ที ใกล้ ๆ ข้างถนน ตอนหลังจิกหัวคนใส่บาตร โกลาหลกันใหญ่ ผลที่สุดต้องเลิกคบ ไม่ให้อยู่วัดไล่ตี มัน คิดว่ามันจะไปอยู่ป่า แต่มันก็เข้าไปอยู่ในหมู่บ้านไปอยู่บ้านคนนั้นที่ บ้านคนนี้ที่ ทีแรกมันก็น่าสนุก น่าสงสารเขาให้กินกล้วย กินอะไร พออยู่ชินเข้า มันก็เปิดหม้อข้าวหม้อแกงกินเองหมด เขาก็ไล่จากบ้านโน้น ไปบ้านนี้ ได้ยินว่าตลอดย่านตลาดหัวจดท้าย ตั้งแต่บนสุดถึงล่างสุดตลาดพุมเรียง นกตัวนี้เคยอยู่ไม่น้อย กว่า ๑๐ บ้านถึง ๒๐ บ้าน ผลสุดท้ายไม่มีใครคบ เข้าไปในหมู่บ้านมุสลิม ก็ไปทําอย่างเดียวกันอีก ก็เลยถูก จับแกง จบเรื่อง (หัวเราะ)
ไก่ต๊อก เราก็เคยเลี้ยง ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป หมดวัด ในที่สุดก็ไม่คุ้มครอง อีเห็นป่าก็กินหมด ไก่งวงก็เคย เลี้ยง คุณควนเอามาทิ้งไว้ เขาเป็นอัยการ ตอนนั้นจะย้ายไป ที่อื่น เป็นชนิดลายแปลกที่ว่าไก่งวงนี้จิกแล้วตีไม่เป็น คอย แต่จะขึ้นเหยียบคู่ต่อสู้ เลยสู้ไก่แจ้ตัวเล็ก ๆ ก็ไม่ได้ ไก่แจ้เป็น มวยไทย ไก่งวงเป็นมวยอะไรก็ไม่รู้ น่าหัว (หัวเราะ)
ไก่ธรรมดานี่เราเลี้ยงมาตลอดเวลา ก่อนนี้เลี้ยงที่โรง ฉัน ตกเย็นต้องพาดบันไดให้มันขึ้นนอนบนพุ่มไม้ แล้วเอา บันไดออก มีสังกะสีหุ้มโคนต้นไม้ อีเห็นขึ้นไปกินไม่ได้
เคยเลี้ยงหลายชนิด ชนิดหนึ่งเรียกไก่ลุ่น ไม่มีหาง รุ่น เหมือนนกคุ่ม นกกระทา เดี๋ยวนี้หายไปหมด ทั้งตัวผู้ตัวเมีย หางลุ่น จึงเรียกไก่ลุ่น คนเลี้ยงขายพูดว่ามันได้กําไรดี เพราะว่าให้กินอาหารเท่าไรก็เป็นน้ําหนักเป็นเนื้อ ไม่ มาทําหางมีมากอยู่พักหนึ่ง ต่อมานานเข้า คุ้มครองไม่ดี อีเห็นเอาไปกินหมด
คุณเพรียง (โรจนรัส) เคยเอาไก่เล็คฮอนพันธุ์แท้ที่ชนะการประกวดมาให้คู่หนึ่ง มันไข่ปีหนึ่งตั้ง ๓๐๐ ฟอง พอได้ ๕ ฟอง ก็ให้คนบ้านหนึ่งเอาไปฟัก ได้กันเกือบทุกบ้าน เดิมเป็นไก่ขาว พอชาวบ้านเอาไปผสมไก่ ตะเภา มันก็ค่อยลดลง สีค่อย ๆ เหลืองขึ้นมันรักษาพันธุ์แท้ไม่ได้ บ้านพี่ข้อง พันธุ์ผสม ได้ไข่ปีละ ๑๕๐ ฟอง แล้วก็จางไป ๆ เดี๋ยวนี้ไม่มีเชื้อไก่เล็คฮอนเหลืออยู่ตามหมู่บ้านแถบนี้อีกแล้ว
มีไข่พันธุ์แท้ลูกหนึ่ง ผมให้เณรชื่อจวนจัดการฟักให้ ใส่ลังไม้ไว้ แล้วให้จุดตะเกียงเล็ก ๆ แบบที่เขาตั้ง ไว้ตามร้านขายบุหรี่จุดไว้ข้างใต้ แล้วใส่ปรอทไว้ ให้วัดความอบอุ่นได้ ๓๒ องศาอยู่เรื่อย ๒๗ วันมันก็ ออกมา เป็นลูกไก่ที่ฟักในลังด้วยตะเกียง (หัวเราะ) แล้วเณรเขาก็ฉลาด โปรยข้าวลงไปที่ปลวก ให้ไก่คุ้ยเขี่ย กิน มันก็กินอาหารธรรมดา อ้วนใหญ่พิเศษ ขนเป็นมัน ตัวใหญ่กว่าไก่ธรรมดา แล้วก็ดุ จิกตีคนเดินมาวัด ไล่ ตีทางหลัง เดือดร้อนกัน โดยเฉพาะผู้หญิง จิกตีเป็นการใหญ่ มันคงรู้ว่าผู้หญิงเตะไม่เป็น (หัวเราะ) มันแทง ด้วยเดือยเลือดไหลไปหลายราย ในที่สุดก็โดนใครไม่รู้ตีตาย
สมัยอยู่สวนโมกข์เก่า ก็เคยเลี้ยงไก่เล็คฮอนมาแล้วทีหนึ่ง มันไปผสมกับไก่ป่า เป็นไก่เลอะเทอะสีต่าง ๆ อยู่พักหนึ่ง แล้วค่อย ๆ กลับเป็นไก่ป่าตามเคย ไก่ที่มีมาอยู่กับผมมีหลายชุด มันสมัครมาอยู่ใกล้ชิดเพื่อ ต้องการคุ้มครองเหมือนกัน ไม่ใช่เพื่อกินอย่างเดียว
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 292-294
ตอนที่ 93 ภาพหน้าที่ 294-296
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2109725069176077&id=976227579192504
.
https://www.blockdit.com/posts/61b304d3982fc10cb90a257a
อาจารย์ครับ แล้วหมาล่ะครับ อยู่สวนโมกข์เก่าอาจารย์ไม่เคยเลี้ยง ทําไมมาที่นี่จึงเลี้ยง
- ไม่ได้ตั้งใจจะเลี้ยง มันมาเองเป็นส่วนมาก ตั้งใจเลี้ยงก็มีอยู่ตัวหนึ่ง นายสติ เอามาให้ เป็นหมาพันธุ์ ใหญ่มาก อัลเซเชียน ที่เขาถือว่าฉลาดที่สุด แต่ตัวนี้มันโง่ ไม่รู้เพราะอะไร เลี้ยงหมาเลี้ยงแมวมันคุ้มกัน กระรอก ปราบกระรอก ปราบงู
ยุคหนึ่ง แกล้งตั้งชื่อให้ตัวหนึ่งว่า สมภาร เป็นหมาดําพันธุ์ไทยหูปรก เลี้ยงไว้ต้อนรับคนมาขอหวยเบอร์ มาขอเลข 3 ตัวบอกไปขอสมภารโน่น (หัวเราะ) สั่นหัวกันรู้ว่าด่าโดยอ้อมไปก้มไหว้มัน มันเลียกี่ทีก็เอาไปแทง เมื่อคุณทองสุขปั้นรูปผม ก็เลยปั้นรูปหมาสมภารไว้ด้วย มันอยู่ใกล้ ๆ ผมตลอดเวลา ลุกไปไหนก็ตามไป ไปเทศน์ก็ไปนอนอยู่ข้างธรรมาสน์ มันก็รักเรามากเหมือนกัน แต่ผมดูออกว่า มันไม่ได้รักเรา เพื่อจะคุ้มครองเรา มันรักเราเพื่อจะให้เราคุ้มครองมัน คนมักเข้าใจผิดกัน ที่มันคุ้มครองเราก็เป็นไปตามสัญชาตญาณของมัน มันรู้ว่าฝ่ายโน้นเป็นศัตรู ถ้าทํา อันตรายคนที่มันรัก มันก็จะต่อสู้ แม้จะรู้ว่าสู้ไม่ได้ มันก็ต้องสู้ จะใช้คํากตัญญมันเกินไป มันชอบมานอน หลับข้าง ๆ มันรู้ว่าปลอดภัย ที่อื่นไม่แน่ใจว่าใครจะคุ้มครองมัน นอนใกล้เรามันรู้ว่าปลอดภัย มันจึงหลับง่าย ไม่ใช่มาคุ้มครองเรา ถ้าศัตรูมา มันก็ต่อสู้ศัตรูร่วมกัน
อีกตัวหนึ่งชื่อไอ้ตึง หมาไทยสีดําเหมือนกัน แต่หูตั้ง มันมีหน้าที่สําหรับพาคนไปเที่ยวรอบวัด ถ้าคน เดินช้าล้าหลัง มันจะหยุดรอจนกว่าคนจะเดินไปทัน ทําอย่างนี้จนรอบวัด มีชื่อเสียงไปหลายจังหวัด (หัวเราะ) มันเกิดฟลุคเป็นของมันขึ้นมาเอง ไม่ได้ตั้งใจฝึก พอแก่เข้า หมานอกวัดมารุมกัดตาย เรื่องหมานี่ ไม่เคยศึกษาอย่างที่เขาทํากัน มันเป็นของแพง ก็เลยไม่เล่นตามวิธีของเขา เราให้กินข้าวธรรมดา อัลเซเชียน ก็ให้กินข้าวธรรมดา ไม่มีเนื้อ ไม่มีกระดูก
อาจารย์ครับ แล้วด้านต้นไม้ดอกไม้ เล่นอะไรบ้างครับ
- ไม่เคยจริงจัง เคยปลูกเล่นต้น ๒ ต้น กล้วยไม้กระเช้า ๒ กระเช้า เมื่อยังอยู่กุฏิไม้ข้างล่าง ใต้ชายคา เคยแขวนกระเช้ากล้วยไม้ ไปเชียงใหม่ที่หนึ่ง ติดมือมาต้นหนึ่ง หลายที่ก็หลายต้น คราวหนึ่งเจ้าราชภาคินัย เชียงใหม่ ขอร้องให้เอาฟ้ามุ่ยมาต้นหนึ่งเป็นที่ระลึก เหลืออยู่จนกระทั่งบัดนี้ ทั้งที่อื่นไม่รู้กี่ต้นต่อกี่ต้น ตาย ไปหมดแล้ว ข้อนี้จะพิสูจน์ว่า กล้วยไม้ภาคเชียงใหม่ มาเลี้ยงภาคใต้ก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร แม้จะเลี้ยงอย่าง เทวดา เลี้ยงแขวนไว้ในที่เหมาะ ๆ ตามบุญตามกรรม ที่บ้านเจ้าคุณภรตราชสุพิชนั่นเป็นคลังหน้าวัว อย่างดีๆ ที่สุด ชอบให้มาเที่ยวละต้นเสมอ ผมยอมรับเพียง ๑ ต้น หน้าวัวก็ดี กล้วยไม้ก็ดี ยอมรับครั้งละ ๑ ต้น หน้าวัวเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็น ดอกใหญ่มาก ไว้ที่วัดชยาราม ตอนนี้ถูกขโมยไปหมดแล้ว เคยสนใจเล่น ๆ สนใจ ศึกษาบ้าง เอาคู่มือกล้วยไม้มาศึกษา ก็เลยได้รู้จักกล้วยไม้ในพรุที่เรียกว่าแวนด้า ที่ผมถือว่าเป็นดอกไม้ ประจําเมืองไชยา จนตอนนี้ถูกคนกรุงเทพฯ มาขนไปหมด ขนเป็นตู้ ๆ รถไฟเลยหมด เราแนะนําให้คนที่มา เยี่ยมรู้จัก แล้วก็รู้ต่อ ๆ กันไปที่กรุงเทพฯ นักเลงดีเลยมาขนไปจนหมด
ตํารากล้วยไม้ที่เป็นภาษาไทย ก็อ่านฉบับของกรมพระนครสวรรค์ฯ ละเอียดถูกต้องที่สุด เป็นเล่ม ใหญ่ คุณเพรียงเอามาให้ นอกจากนั้น ก็ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง หนังสือพิมพ์ กสิกร บ้าง ตอนอยู่สวนโมกข์ พุมเรียงเคยไปเก็บกล้วยไม้ตระกูลหวาย เรียกว่าหวายตะมอย อยู่ในป่าข้าง ๆ วัด เอามาปลูกให้มันเป็นแถว ดอกขาว เอามาติดตามต้นไม้ ให้เป็นธรรมชาติขึ้นในวัด เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว คงจะเหลืออยู่บ้าง หวาย ตะมอย ดอกขาว บานพร้อมกันทั้งประเทศ เท่าที่เราเห็นทุกต้น ทุกตําบล ทุกอําเภอ ทุกจังหวัด (หัวเราะเบา ๆ) ในประเทศไทยภาคใต้ ทั้งภาคใต้ออกดอกปีละ ๒ ครั้ง
ต้นไม้อื่น ๆ ก็ศึกษาบ้าง แต่ไม่ได้ศึกษาอย่างพฤกษาศาสตร์ ศึกษาในทางใช้ประโยชน์ เช่นเรื่องหยู กเรื่องยา เป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป ศึกษาให้รู้จักไม้ดี ไม้แพง ไม้ถูก ตระกูลไม้ตะเคียน ไม้ยางอะไร เป็นอย่างไร กันถูกหลอกเท่านั้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 294-296
ตอนที่ 94 ภาพหน้าที่ 296-297
อาจารย์ครับ แล้วเรื่องวิทยุ อาจารย์เล่นอย่างไรครับ
- ผมไม่ได้ประกอบวิทยุ เล่นฟังเท่านั้นแหละ สมัยที่ยังอยู่วัดชยารามเปิดให้คนที่อยากฟัง มาฟังรอบ กุฏิ สมัยนั้นคนยังไม่ค่อยมีวิทยุกัน และตอนระยะสงคราม ถ่านไฟฉายในตลาดไม่มีขาย ใครมีวิทยุก็ต้อง หยุดหมด เราไม่ยอมแพ้ ไปเอาน้ําเกลือที่บ่อน้ําร้อน ซึ่งมีแอมโมเนียมคลอไรด์เอามาใส่ถ้วยเล็ก ๆ แล้วก็เอา มาถ่านไฟฉายที่หมดแล้ว ปอกข้างนอกออกทิ้ง คงเหลือไว้แต่ข้างในที่หุ้มแกนถ่าน หย่อนลงไปในถ้วยนั้น แล้วหย่อนสังกะสีชิ้นหนึ่งลงไปแช่ แล้วต่อจากถ้วยนี้ไปถ้วยนั้น จนครบจํานวนโวลต์ที่ต้องการ กระบะใหญ่ ๆ ก็พอใช้เปิดวิทยุตลอดสมัยที่ไม่มีถ่าน ที่นี้คนก็พลอยมาฟัง โดยเฉพาะข้าราชการอําเภอที่มีหน้าที่บันทึก ข่าว ก็ได้มาพลอยฟังและคอยจด เมื่อมีคําสั่งด่วน
ต่อมาผมเคยไปเอาน้ําจากบ่อน้ําร้อนมาตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ เอาน้ํามาเคี่ยวจนงวด เป็น น้ําตาลทรายเปียก ๆ ก็มาเกลี่ยดูใต้กล้องจุลทรรศน์ ก็พบว่ามีผลึกสี่เหลี่ยมจตุรัสมากที่สุด นี่ก็คือเกลือ โซเดียมคลอไรด์ เกลือธรรมดา รองลงไปเป็นผลึกทรงกระบอกข้าวหลาม นี่เป็นแอมโมเนียคลอไรด์ เป็นตัวที่ ต้องการ เพื่อกัดสังกะสี ตามแบบหม้อไฟฟ้าที่เรียกกันว่า เลอคลังเช่ ที่น้อยลงไปกว่านั้นก็คือโปรแตสเซี่ยม คลอไรด์ เป็นผลึกหัวแหลมท้ายแหลมรูปลอดช่อง แต่มันอยู่ในน้ํา ไม่มีใครมีปัญญาแยกออกมาเฉพาะได้ ถ้าแยกได้รวยตายเลย เพราะขายได้ราคาแพง
อาจารย์ รู้ได้อย่างไรครับว่า น้ําในบ่อน้ําร้อนจะมีสารพวกนี้
- เกิดความเห็นร่วมกับพระครูโสภณฯ (เอี่ยม) ว่าน่าจะไปเอามาลองดู ก็เดาเอาว่าในน้ําอาจจะมี ทดลองดู ลองไปลองมามันก็ทําได้ขึ้นมา พอใช้ประโยชน์ได้ แต่ไม่ได้ผลดีเท่ากับแอมโมเนียมคลอไรด์ ที่เขา ใช้กันโดยตรง มันกัดสังกะสีเร็วเกินไป เพราะมีเกลืออยู่ด้วย แต่ว่ามันก็ดีกว่าไม่มี อุตส่าห์ทนลําบากหน่อย คอยเปลี่ยนสังกะสีบ่อย ๆ ทีแรกก็ลองเดา ๆ เอามันเกิดใช้ได้ ต่อมาคุณสมัคร บุราวาสมาเยี่ยม เล่าเรื่องนี้ ให้ฟัง จึงรู้ว่าเป็นแอมโมเนียมคลอไรด์ และอธิบายให้ฟังถึงผลึกอย่างอื่น จึงรู้เรื่องหมดทุกชนิด
ผมบอกชาวบ้านว่า ถ่านไฟฉายหมดแล้วไม่ต้องทิ้ง ใครมีเขาก็เอามาให้ บอกบุญถ่านไฟฉายที่ใช้แล้ว (หัวเราะ) แล้วบอกบุญขวดเบียร์ขนาดเล็ก ๆ เอามาตัดทําเป็นถ้วยใส่น้ําอย่างที่ว่า
เวลาจะตัดขวด เอาน้ํามันข้น ๆ เช่นน้ํามันเครื่องใส่เข้าไป จะตัดตรงไหนก็ใส่น้ํามันแค่นั้น แล้วก็เผา เหล็กขนาดที่รอดลงในปากขวดได้ให้แดง แล้วจี้ลงไปตรงระดับน้ํามัน ข้างบนมันถูกความร้อน ส่วนข้างล่าง น้ํามันยังรักษาไว้ไม่ร้อน ส่วนหนึ่งขยายตัว อีกส่วนหนึ่งไม่ขยายตัว มันก็แยกจากกัน สวย เกลี้ยง เหล็กเผา ให้แดงเฉพาะแต่ปลายเท่านั้น ใส่ลงไปเร็ว ๆ พอแตะน้ํามัน ขวดก็แยกจากกัน ตัดพักเดียวได้เยอะแยะ ท่าน พระครูโสภณฯ เอี่ยม บอกวิธีให้ วิธีอื่นก็มี แต่สู้วิธีนี้ไม่ได้ เลยตัดแก้วบ้าง ตัดขวดบ้างด้วยวิธีนี้
อาจารย์ครับ ผมได้ยินว่ามีการต่อเครื่องส่งวิทยุด้วย อาจารย์ทําเองหรือครับ
-คุณจรูญ พระจรูญ ช่างวิทยุสมัครเล่น เขาอยากรู้ของเขาเอง ทําขึ้นเอง เรามีแต่ห้ามว่าอย่าให้มัน รุนแรง เปิดเผย เดี๋ยวจะถูกตํารวจจับ แต่ก็ไม่เคยมีใครมาจับ คุณจรูญ เขาทําเล็ก ๆ ตามหลักเครื่องส่ง เอา ความรู้จากหนังสือในตํารา วิทยุธรรมดา ๆ เพิ่มอะไรเข้าไปบางอย่างก็กลายเป็นเครื่องส่ง ส่งออกรับกัน เฉพาะในวัด ไม่ได้ทําอะไรจริงจัง ทําเป็นครั้งเป็นคราว รู้ว่ามันผิดกฎหมาย ยุคต่อมา ภิรมย์เขาทําแรง ได้ยิน ไปถึงตลาด ไปเข้าเครื่องของพวกในตลาด เราบอกไม่ได้ เดี๋ยวเกิดเรื่องยุ่ง หยุด ๆ ส่วนมากออกตอนเย็นๆ เขตอุบาสิการับ เอาเทปออกอากาศ มีบางครั้ง ยุคบรรยายในโรงฉัน ก็มีการส่งบ้าง อุบาสิกาไม่ต้องฟังที่โรง ฉัน อยู่ที่บ้านพักเปิดฟังเอาเอง เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทดลองอะไรกันเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 296-297
ตอนที่ 95 ภาพหน้าที่ 297-301
อาจารย์ครับ ท่องเที่ยวพวกนี้ อาจารย์ไปแล้วรู้สึกว่าได้อะไรบ้างครับ
-ไม่คิดเอาแต่ความเพลิดเพลินพัก ๆ สรุปแล้วไม่ต้องไปก็ได้ เดี๋ยวนี้จึงไม่อยากไป
ไม่อยากไป หรือไปไม่ไหวครับ
- ไม่อยากไป ถ้าจะดันทุรังไปก็ไปได้เมืองนอกก็ไปได้ แต่ไม่อยากไปมันเบื่อล่วงหน้า พอไปแล้วก็ได้ ความกลับมาว่า ไม่ต้องไปก็ได้ เกือบจะทุกแห่ง มันเบื่อยิ่งกว่าเบื่อ ไปเมืองนอก ยิ่งเบื่อ ผลที่ได้รับไม่คุ้มค่า ยุ่งยาก ความเจริญสมัยใหม่เหล่านี้ ใช้อะไรกับเราไม่ได้ผล ถ้าสมัยก่อน ๆ โน้น มันยังอยากไปดูของแปลก ๆ เดี๋ยวนี้มันไม่มีของอะไรแปลกมันอย่างนั้นเอง เลยหมดอยาก เที่ยวชมธรรมชาติอะไรก็ไม่ค่อยอยากเที่ยว อยากจะนอน อยากนอนอ่านหนังสือ นอนคิด นอนนึกอะไรมากกว่า
อาจารย์ครับ หากตอนนี้อาจารย์ ไม่ต้องทําอะไร อาจารย์จะหงุดหงิดไหมครับ
-ไม่หงุดหงิด มันก็หลับเอง หงุดหงิดนั้น มันต้องการอะไรอยู่แล้ว มันไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่รู้ว่าจะต้องการอะไร
อาจารย์ครับ ถ้าไม่มีเทศน์วันเสาร์ ไม่ต้องพูดกับคน ไม่ต้องรับแขก อาจารย์อยู่ได้หรือครับ
- คิดว่าอยู่ได้ โดยการอ่านหนังสือแปลก ๆ หนังสือที่ไม่เคยอ่าน แต่ในที่สุดก็รู้ว่า ได้ผลไม่คุ้มค่า แสบ ตา เดี๋ยวนี้ผมอ่านอะไรก็ได้ หนังสือนักเรียนชั้นประถมสมัยโน้นก็อ่านได้ อ่านเพลิน แต่มันไม่ถึงกับต้องอ่าน หนังสืออย่างนั้น หนังสือที่ซุกอยู่นี่เป็นปีก ๆ ได้มาแล้วยังไม่เคยอ่านก็ยังมี
อาจารย์ครับ ถ้าถึงกับอ่านหนังสือไม่ได้ อาจารย์อยู่เฉย ๆ ได้ไหม
- ก็ยังคิดอยู่เหมือนกัน เบื้องหน้าถ้าสมมติว่าตาบอด จะทําอย่างไร คงสนุกได้บ้าง ก็คงได้คิดอะไร แปลก ๆ บอกให้คนอื่นจดหรือบันทึกเสียงไว้ ขอบันทึกเสียงไว้ อาจจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ คงไม่ถึงกับเหงา จนรําคาญ สํารวมจิตให้ดี ยังมีความคิดอะไรแปลก ๆ อีกมาก ปัญหาที่ว่าโลกจะตกลงเรื่องสันติภาพกันได้ เพราะอะไรนี่เป็นปัญหาที่สิงสถิตในใจผมอยู่ตลอดเวลา มีความเหมาะสมเมื่อไร อาจจะมีคําตอบออกมา
ของเล่นตอนแก่เดี๋ยวนี้ ก็คืออย่างนี้ การคิดถึงอะไรแปลก ๆ ยาก ๆ คิดอะไรใหม่ ๆ (หัวเราะหึ ๆ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 300-301
ตอนที่ 96 ภาพหน้าที่ 302-303
คําถามตอนแรกในบทนี้ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายที่อาจารย์ศึกษาปริยัติธรรม ระยะแรกสุดที่ อาจารย์กลับมาถึงพุมเรียงเพื่อปฏิบัติธรรม แล้วมาจับงานปริยัติอีกครั้งหนึ่งนั้น อาจารย์มีความมุ่งหมาย อย่างไรครับ
- มันไม่ใช่ความมุ่งหมาย แต่มันมีความจําเป็นบังคับ คือว่าเราออกมาจากกรุงเทพฯ ด้วยเจตนาข้อ ใหญ่ก็คือ เพื่อจะปฏิบัติธรรม ทีนี้พอมาจะลงมือปฏิบัติธรรม มันก็ปรากฏว่า ความรู้ไม่พอ และอีกอย่างหนึ่ง ก็คือว่า ที่เขาพูด ๆ สอน ๆ กันอยู่ แม้จะมีบ้าง เราก็ไม่เห็นด้วย เราเลยจําเป็นที่จะต้องค้นหาหลักเอาเอง อัน นี้มันจึงทําให้ต้องไปสนใจกับสิ่งที่เรียกว่าปริยัติ แต่ไม่ใช่เพื่อเป็นนักปริยัติ หากเพื่อจะเก็บเอาหลักธรรมมา สําหรับใช้ปฏิบัติ ที่นี้มันก็ต้องช่วยตัวเอง จึงต้องค้นเอาจากพระไตรปิฏกด้วยตนเอง ถึงแม้ว่าเขาจะมี พระไตรปิฎกแปลกันอยู่บ้าง ก็น้อยมาก และก็ไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ เราเป็นคนชอบช่วยตัวเองมากกว่า จึงขอ สมัครค้นคว้าด้วยตัวเอง เพื่อเก็บเอาหลักธรรมะที่จะอาศัยได้นั้นมาเป็นหลักปฏิบัติ ซึ่งหลักเหล่านี้ก็ได้มา ตามสมควร สําเร็จรูปออกมาเป็นหนังสือที่เรียกว่า ตามรอยพระอรหันต์ ที่นี้มันมีความจําเป็นแทรกเข้ามา อีก คือว่าทางคณะธรรมทานจะออกหนังสือพิมพ์กันหนังสือพิมพ์พุทธสาสนา รายตรีมาสต้องการให้เรา ช่วยในการงานนี้ด้วย ก็เลยเปิดแผนกเผยแผ่พระไตรปิฎก ส่วนที่ควรจะเผยแผ่ จึงต้องคัดเลือกเอา พระไตรปิฎกส่วนหรือสูตรที่ควรจะเผยแผ่มาแปล มาให้หนังสือพิมพ์พุทธสาสนา มันก็เลยกลายเป็นสอง เรื่องเข้า ก็ค่อนข้างจะมากอยู่ในการที่จะต้องไปเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกในรูปแบบที่คล้าย ๆ กับปริยัติ แต่ ไม่ใช่ปริยัติ ไม่มีวิธีการศึกษาอย่างรูปแบบปริยัติ ศึกษาอย่างรูปแบบจะคัดเลือกเอาส่วนที่จะใช้ปฏิบัติได้มา เป็นหลักปฏิบัติ แม้ที่เราจะเผยแผ่ไปในหนังสือพิมพ์ก็ยังมุ่งหมายอย่างนั้น คัดเลือกเอามาแต่สูตรที่จะมี ประโยชน์แก่การปฏิบัติ หรือความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติของประชาชนทั่วไปด้วย นี่คือมูลเหตุอันแท้จริงที่ต้อง มาเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎกอีก มันไม่ใช่เรื่องเปลี่ยนกลับหรืออะไร มันเป็นเรื่องที่ก้าวหน้าต่อไป
อาจารย์ครับ นอกจากพระไตรปิฎกแล้ว ตอนหลังนี้อาจารย์ค้นคว้าออกมาถึงเรื่องอื่น ๆ อีกเป็นอันมาก ทําไมจึงต้องเป็นเช่นนั้นครับ
- ถ้าว่าโดยแท้จริงนั้น ตอนแรกก็มุ่งมั่นอยู่แต่พระไตรปิฎกเท่านั้น แต่เมื่อได้อ่านหรือได้พบเรื่องของ ฝ่ายอื่น เช่น พวกฝ่ายเซนเป็นต้น มันกลายเป็นพบว่ามันมีประโยชน์เหมือนกัน มันจะใช้ประกอบใน การศึกษาได้ดี โดยเฉพาะอย่างเซนนั้น มันเป็นเทคนิคของการรวบรัดที่สุด ทําพร้อมกันไปในคราวเดียว ทั้ง สมถะและวิปัสสนา แล้วยังมีพิเศษที่ว่าสามารถใช้คําพูดที่คมคายที่สุด เมื่อพบอย่างนี้ (หัวเราะ) ก็เลยต้องสนใจด้วย สนใจและพยายามเอามาใช้เป็นประโยชน์ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงได้ศึกษาเรื่องอื่น ๆ มากออกไปนอกจากพระไตรปิฎก แล้วประกอบกับนิสัยก็ชอบศึกษาอย่างไม่มีขอบขีดจํากัดอยู่แล้ว ก็เลย เป็นไปได้โดยง่าย ที่จะศึกษาขยายวงกว้างออกไป
อย่างวิทยาศาสตร์ก็เห็นอาจารย์ศึกษาจริงจังมาก
- (หัวเราะ) มันก็ศึกษาเท่าที่จะทําได้ เล่นหรือจริงก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เท่าที่มันชอบ เท่าที่มันพอใจ แล้วก็มี ความหวังอยู่มากเหมือนกันว่าจะใช้วิชาวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ธรรมะ และคิดว่าเราจะเผย แผ่ธรรมะให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะเป็นหมู่ชนที่มีอิทธิพลมากในอนาคตนั้น จะต้องทําอย่างไร จึงศึกษา วิถีทางวิทยาศาสตร์เผื่อ ๆ เอาไว้ ศึกษาเท่าที่จะทําได้ ดูมันก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่มันเท่าที่จะทําได้ เท่าที่จะเอามาสนองความประสงค์ที่ว่า จะเผยแผ่ธรรมะแก่นักวิทยาศาสตร์ หรือใช้วิทยาศาสตร์เป็น เครื่องมือในการเผยแผ่ สิ่งใดที่ให้สําเร็จประโยชน์ได้ตามนี้ก็พยายามเต็มที่
แล้วเกี่ยวกับปรัชญาอินเดียล่ะครับ
- ปรัชญาอินเดียนั้นเรารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่กับพุทธศาสนา บางอย่างมันเป็นพื้นฐานหรือเป็น แบ็คกราวน์ของพุทธศาสนา และมีชาวอินเดียบางคนอ้างว่า หลักพุทธศาสนานั้นแยกตัวออกมาจาก เวทานตะ อย่างนี้มันก็ทําให้ต้องศึกษาปรัชญาอินเดีย แล้วก็มีอยู่อีกตอนหนึ่งในระยะต่อมา ผมรับแต่ง หนังสือให้คณะบางคณะ เช่น คณะกองตํารามหามกุฏราชวิทยาลัย เรื่องพุทธประวัติ มันก็ต้องเอาปรัชญา อินเดียมากล่าวในฐานะเป็นบทแรก ๆ เพื่อให้รู้ว่าชาวอินเดียมีความรู้กันอยู่อย่างไรในยุคที่พระพุทธเจ้า เกิดขึ้น อันนี้ก็เป็นเหตุอันหนึ่งเหมือนกัน ที่ทําให้ต้องศึกษาปรัชญาอินเดีย ศึกษาเพื่อประโยชน์ให้รู้พุทธ ศาสนามากขึ้นบ้าง ศึกษาเพื่อตอบปัญหาที่ถูกกล่าวหาบ้าง แล้วมันก็พบความน่าสนุก คือมีรสมีชาติใน การศึกษามากเหมือนกัน แล้วมันก็พบตามข้อเท็จจริงที่ว่า บางแง่ไม่ใช่ทั้งดุ้น บางแง่ก็มีส่วนเป็นรากฐาน ของพุทธศาสนา หรืออย่างน้อยก็ช่วยให้รู้จักพุทธศาสนาดีขึ้น ดังนั้นสมัยหนึ่งแม้ว่าจะเป็นระยะสั้นก็ตาม เถอะ ก็เคยทุ่มตัวศึกษาปรัชญาอินเดีย
- ปรัชญาตะวันตกนับว่าน้อยมาก เพราะว่าไม่ค่อยศรัทธา เราจึงมักจะดูถูก เพราะว่ามันไม่มีเรื่อง ลึกซึ้งสูงสุดไปในทางดับทุกข์ มันเป็นเรื่องของนักคิดธรรมดาสามัญ หรือ มันคิดไปแต่ในเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่มาในทางที่จะดับทุกข์ หรือเพื่อมรรค ผล นิพพาน ดังนั้นจึงสนใจน้อยมาก แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คือ เห็น ว่ามันมากเกินไป กว่าที่จะไปทํากับมันได้ ก็เลยศึกษาแต่บางเรื่องของเขา บางเรื่องของบางคน แล้วก็มักจะ ศึกษาเฉพาะเรื่องของบางคนที่เกี่ยวพันอ้างอิงมาถึงพุทธศาสนา อย่างเรื่องของโชเป็นฮาว เป็นต้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 302-303
ตอนที่ 97 ภาพหน้าที่ 304-306
แต่ดูเหมือนอาจารย์จะจับจิตวิทยาตะวันตกไว้มากเหมือนกันใช่ไหมครับ ตอนที่เขียน "ปมเขื่อง" รู้สึกว่า นํามาเปรียบเทียบกันอยู่
- เท่าที่เห็นว่ามันพอจะเปรียบเทียบได้ ก็เอามาเปรียบเทียบเพื่อเข้าใจพุทธศาสนาดีขึ้น และเพื่อ ป้องกันไม่ให้มัน (หัวเราะ) ปนกันจนเป็นเรื่องมีผลร้าย เพื่อให้รู้จักแยกออกจากกัน บางทีมันก็นึกไปทํานอง ดูหมิ่นว่ามันต่ําเตี้ย ต่ําต้อยกว่ากัน ถ้าเอามาพูด ก็พูดให้เห็นในทางที่มันยังไม่ถูกต้องมากกว่า ยังไม่ถูกต้อง ในการที่จะดับทุกข์ไม่ใช่ดูถูกดูหมิ่นอะไรเขามากมาย แต่ถ้าพูดในเรื่องที่ดับทุกข์ มันยังไม่ถึงขนาด มันก็ อยากให้พุทธบริษัทรู้จักคุณค่าของพุทธศาสนาของตัวเอง จึงเอาไปเปรียบเทียบบ้าง ตามที่ทําได้ มันก็ไม่ใช่ มากมายอะไรนัก
- คริสต์ศาสนานั้นมีมูลเหตุหลายอย่าง หลายทิศทาง ดูเหมือนนายธรรมทาสเขาสนใจก่อนผมเสียอีก ชอบเอาอะไรมาอ้างอิง พูดกับมิตรสหายในคณะธรรมทาน (หัวเราะ) ผมก็เกิดสนใจขึ้นมาบ้าง อีกทางหนึ่ง ก็อยากจะรู้ว่า ทําไมจึงมีคนนับถือมาก และพร้อมกันนั้นก็เกิดสงสัยว่า ทําไมรัชกาลที่ 5 ที่แต่งเทศนาเสือ ป่านั้นจึงประณามไว้อย่างรุนแรง ผมก็บังเกิดสนุกขึ้นมาบ้างเหมือนกัน อย่างตอนที่ออกหนังสือพิมพ์พุทธ สาสนาแล้ว มีบาทหลวงบางคนเขาเขียนมา จะหวังดีหวังร้ายอะไรก็ไม่รู้ แต่มันพาดพิงถึงพุทธศาสนาใน ลักษณะที่ว่า จะลองเชิงหรือว่าจะหาช่องโอกาสมาเปรียบเหยียบย่ํา ผมก็เลยศึกษาในแง่ลบ (หัวเราะ) คริสต์ศาสนาตามความรู้สึกของเรา แล้วตอนนั้นเราก็รูคริสต์ศาสนาน้อยมาก คือรู้แต่คําว่า พระเจ้า ใน ความหมายที่เขาใช้ ๆ กันอยู่ในภาษาคน ก็เลยเขียนต่อต้านพระเจ้า (หัวเราะ) พิมพ์เป็นหนังสือขึ้นมา คือ ตอบปัญหาของบาทหลวง บาทหลวงที่ว่าก็คือ ยอน อุลลิอานา (หัวเราะ) ซึ่งตอนหลังก็มาเป็นมิตรกัน เดี๋ยวนี้ตายแล้ว
แต่การเขียนครั้งนั้นมันกระเทือนไปถึงฝ่ายอิสลาม มีนักศึกษาฝ่ายอิสลามเขียนมาทํานองคัดค้าน ข้อความที่พาดพิงถึงพระเจ้า ในลักษณะเป็นการจ้วงจาบ เพราะว่าเราพูดอย่างพระเจ้าชนิดบุคคล ก็มีผล มาก หนังสือพิมพ์ของชาวคริสต์ก็เขียนต่อต้านเรื่องนี้ ตอบโต้เรื่องนี้ แต่ต่อมา เมื่อใช้หลักภาษาคน - ภาษา ธรรม ก็มองเห็นไปอีกทางหนึ่งว่า พระเจ้า ที่สอนอย่างภาษาคนนั้นมันสอนคนโง่ พระเจ้าควรจะมี ความหมายในภาษาธรรม สอนคนที่มีสติปัญญา แต่ว่าเขาบันทึกไว้อย่างในรูปภาษาคน เป็นเหตุให้นึกว่า การพูดสําหรับคนที่ไร้การศึกษา มันก็ต้องมีอยู่ส่วนหนึ่งในพระคัมภีร์ หรือจะเป็นส่วนมากด้วยซ้ําไป ตอน หลัง ๆ ผมจึงพูดถึงพระเจ้าในลักษณะอื่น ในลักษณะที่พระเจ้าจะมีความหมายที่มีประโยชน์และเข้ากันได้ ทุก ๆ ศาสนา เอาพระเจ้ามาช่วยคุ้มครองโลก นี้จะได้แก่บทเขียนหลัง ๆ นี้มันก็เป็นผลที่สนใจเกี่ยวเรื่องพระ เจ้ากันมาเป็นเวลานาน สําหรับคริสต์ศาสนานั้น ระยะแรก มันก็รู้สึกว่าเป็นคู่แข่งขันโดยแน่นอน จึงจะต้องรู้เรื่องของฝ่ายที่เป็นคู่แข่งขัน ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จึงพยายามศึกษาเท่าที่จะศึกษาได้ แต่ก็ไม่ใช่ มากมายถึงขนาดที่เรียกว่า เต็มขนาดอะไรกัน ก็เพียงเท่าที่พระในป่าจะทําได้ เดี๋ยวนี้กลับมีความมุ่งหมาย ว่าทุกศาสนาที่มีอยู่ในโลก จะต้องคงมีอยู่ในโลกต่อไปแหละ สําหรับบุคคลบางคนเป็นพวก ๆ ลดหลั่นเป็น ขั้น ๆ ลงไป ก็เลยมองไปถึงข้อที่ว่าคนจะต้องสัมพันธ์แก่กันและกัน ในระหว่างคู่ต่างศาสนา จะเป็นเรื่อง การเมืองก็ดี เรื่องเศรษฐกิจก็ดี จะต้องมีความสัมพันธ์ในระหว่างคนที่ต่างศาสนาต่อกันกระทั่งว่า มัน จะต้องแต่งงานกันในระหว่างคนที่ต่างศาสนากัน และมีหลักเกณฑ์อะไรที่จะทําให้สัมพันธ์กันได้ด้วยดี แม้ เดี๋ยวนี้ก็ยังคิดอยู่ว่า (หัวเราะ) คู่ผัวเมียที่มันต่างศาสนา จะต้องมีหลักทางศาสนาอย่างไร คนถือพุทธแต่ง กับคริสต์ก็มี แต่งกับอิสลามก็มี นี่มันจึงเป็นเรื่องที่จะต้องคิดว่าจะวางหลักทางศาสนากันอย่างไร แล้วเขา จะได้เข้ากันอย่างสนิท ไม่เกิดปัญหาขึ้นมา
เฉพาะในทางพุทธศาสนาเอง ต่างนิกายออกไปอย่างทางมหายาน วัชรยาน อาจารย์ได้ศึกษามากไหม ครับ
- จะเรียกว่ามากก็ไม่ได้ เพราะว่ามีเรื่องอย่างอื่นอีกมาก ก็ศึกษาเท่าที่โอกาสจะอํานวย คงจะพอ ๆ กัน กระมัง ถ้าเทียบการศึกษาคริสต์กับศึกษามหายาน แต่ว่ามหายานนั้น เราไม่ค่อยจะต้องศึกษาอะไรให้มาก เพราะว่ามันคล้าย ๆ กับเถรวาท (หัวเราะ) เข้ากันได้กับเถรวาทของเราก็มีอยู่มากแล้ว ก็ประหยัดได้ ส่วน คริสต์นั้นต้องศึกษาในฐานะที่มันแปลกออกไป และจะเป็นผู้คัดค้าน ในระยะแรก จึงศึกษาอย่างพิถีพิถัน มากกว่าศึกษามหายาน ตรงนี้ต้องพูดกันสักหน่อยว่า มหายานอย่างที่พูดถึงนี้ คือมหายานชนิดที่สําหรับ คนด้อยการศึกษาสําหรับผมนั้น นิกายเซน ผมไม่จัดเป็นมหายาน แต่ว่ามีคนหลายคนเขาไปจัดเซนเป็น มหายาน คล้าย ๆ กับว่าถ้ามันเกิดในเมืองจีน เมืองญวน แล้วมันก็จะเป็นมหายาน ที่จริงเซนนั้นเป็นผู้คัดค้าน ล้อเลียนมหายาน ฉะนั้นจึงเอาข้อความในมหายาน สูตรของมหายาน ไปอธิบายใหม่อย่างล้อเลียน เรื่องสวรรค์ เรื่องสุขาวดีอย่างนี้ พวกเซนไม่ได้ถือว่าอยู่บนสวรรค์ทางทิศตะวันตก สวรรค์อยู่ที่การเข้าถึงจิต เดิมแท้ นี่เรียกว่า เป็นผู้ต่อสู้ล้อเลียน ท้าทายมหายาน
แม้ว่ามหายานชั้นดี มันก็ไม่มีเรื่องอะไรแปลกออกไปจากเถรวาทสูตรใหญ่ ๆ ยาว ๆ เช่น สัทธัมมปุณฑริกสูตร ใจความสําคัญ มันก็ไปอยู่ตรงที่ละอุปาทานในขันธ์ ๕ สูตรใหญ่ ๆ อย่างอื่น ประจํานิกายอื่น ๆ ก็เหมือนกันมันไปจบลงที่ละอุปาทาน ในขันธ์ ๕ ทั้งนั้น ข้างต้น ๆ ของสูตรเหล่านี้มันอาจเลอะเทอะ เปรอะปะ เตลิดเปิดเปิงไปไหน ๆ ก็สุดแท้ อย่างลังกาวตารสูตร ว่าจะไปสอนชาวลังกา พวกทศกัณฐ์นะให้ ถือศีล จะไปสอนเรื่องไม่กินเนื้อเป็นต้น แต่พอตอนท้าย ตอนจบสูตรก็เป็นเรื่องละความยึดมั่นถือมั่นใน เบญจขันธ์นั้นเอง ดร.ซูสุกิ จึงมองว่าลังกาวตารสูตรนี้เป็นเงื่อนต้นของเซน (หัวเราะ)
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 304-305
ตอนที่ 98 ภาพหน้าที่ 306-307
อาจารย์ครับ แล้วทางด้านสังคมศาสตร์สมัยใหม่นั้น อาจารย์ได้ศึกษาเท่า ๆ กับวิทยาศาสตร์ไหมครับ
- คําว่าสังคมศาสตร์ สําหรับผมนี่ ผมเห็นด้วยกับสวามี สัตยานันทบุรี ที่เขาพูดว่า มันเกือบจะทุกวิชา แหละ ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่สังคมศาสตร์ วิชาอะไรที่สังคมควรจะรู้ แล้วก็เป็นสังคมศาสตร์หมด มันจึงลงมา กระทั่งถึงเรื่องศาสนา เรื่องกฎหมาย เรื่องอนามัย เรื่องสุขภาพ เรื่องอะไรต่าง ๆ เรียกว่าเป็นสังคมศาสตร์ หนึ่ง ๆ ทั้งนั้น แล้วมันก็ศึกษากันไม่รู้จักจบ สวามี สัตยานันทบุรีแกถือหลักอย่างนั้น แล้วเราก็ได้ฟังเป็นครั้งแรก ก็พลอยถือหลักอย่างนั้นไปด้วย แล้วเราก็ตกลงเห็นพ้องกันว่าเราไม่สามารถจะเผยแผ่ สังคมศาสตร์ได้ ทุกวิชา จะเลือกเผยแผ่เฉพาะบางศาสตร์เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ปรัชญา ศาสนา ที่เรียกว่าวิธีดับทุกข์ นี่เป็นศาสตร์ที่สังคมควรจะรู้ เพราะตัวหนังสือนี่มันเปิดโอกาสให้อย่างนั้น ศาสตร์ที่สําหรับสังคมควร จะรู้นับไม่ไหว อักษรศาสตร์ วัฒนธรรม อะไรต่าง ๆ ก็นับเป็นสังคมศาสตร์ ผมเลือกศึกษาเฉพาะ ที่เกี่ยวกับ พุทธศาสนา ไป ๆ มา ๆ สังคมศาสตร์ที่อ่านมากหน่อยก็ไม่พ้นปรัชญาอินเดีย
สังคมศาสตร์แนวคิดตะวันตกยังไม่ได้อ่านเลยใช่ไหมครับ
- ไม่ ไม่ได้สนใจ ไม่ได้เกี่ยวข้อง โดยถือเสียว่ามันเหมือนกัน คือสิ่งที่สังคมควรจะรู้ รู้เอาได้เอง ไม่ต้อง ไปอ่าน หรือไม่ยอมซื้อหนังสือชนิดนั้น (หัวเราะ) ให้เปลืองมากออกไป
อาจารย์ครับ เห็นมีช่วงหนึ่ง อาจารย์มาเล่นทางโบราณคดี พงศาวดารมากใช่ไหมครับ
- ก็มี มีมูลเหตุมาจากการที่เมืองไชยา เต็มไปด้วยหลักฐานทางโบราณคดี ทางประวัติศาสตร์ มันก็อด สนใจด้วยไม่ได้ เท่าที่ผมสนใจแล้วก็เขียนเป็นหนังสือแนวสังเขปโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน แล้วก็ยังรวบรวมไว้อีกมากพอ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันเหนื่อยแล้ว มันอ่อนเพลียแล้ว ไม่อาจจะเขียนได้อีกแล้ว แม้ว่าถ้าจะ เขียน ก็เขียนได้อีก มากเท่าตัวรูปภาพต่าง ๆ ก็สะสมไว้ด้วยความตั้งอกตั้งใจ เดี๋ยวนี้มันเบื่อหมด ปล่อยให้ เสียหมด วิชาโบราณคดีไม่ดับทุกข์ (หัวเราะ) การศึกษาทางโบราณคดีไม่ดับทุกข์ แต่ถ้าเป็นเรื่องกระตุ้นให้ เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้สนใจวิธีการดับทุกข์ที่เขาเคยใช้กันมาแต่โบราณ โบราณคดีอย่างนี้ก็สนใจมากเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องวัตถุต่าง ๆ แล้ว ก็ชักจะหมดศรัทธา เราไม่เรียกว่าเป็นเรื่องของพุทธศาสนา มันโบราณคดี ของวัตถุ ของศิลปะ ของความคิดของมนุษย์ในแง่ของศิลปะมากกว่า ถ้าขยายออกไปถึงสถาปัตยกรรมด้วย แล้ว ยิ่งแล้วใหญ่
อาจารย์ครับ แล้วอย่างเรื่องโบราณคดี คุณธรรมทาสสนใจก่อนอาจารย์หรือเปล่าครับ หรือว่าสนใจ พร้อม ๆ กัน
- อาจจะก่อนก็ได้ ผมก็ไม่แน่ใจ ผมลืมเสียแล้ว เขาสนใจที่จะพิสูจน์เรื่องเกี่ยวกับเมืองไชยาเป็นส่วน ใหญ่ ส่วนผมนั้นสนใจทั่วไปด้วย ไม่ได้หมายมั่นปักหลักอะไรที่ไชยาเท่านั้น
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 306-307
ตอนที่ 99 ภาพหน้าที่ 307-308
ตอนต่อไปจะเกี่ยวกับหนังสือ และคัมภีร์ที่อาจารย์ได้ศึกษาค้นคว้านะครับ ตลอดชีวิตการเป็นนักศึกษา ของท่านอาจารย์ หนังสือชุดสําคัญ ๆ ที่ใช้ค้นคว้าศึกษามีอะไรบ้างอาจารย์จําได้ไหมครับ
- อันนี้เป็นหลักทั่วไป คือว่า พระไตรปิฎกเป็นหัวใจ เป็นชุดที่สําคัญที่สุด แล้วก็จําเป็นจะต้องมีชุดอธิบายพระไตรปิฎก คือ อรรถกถา ผมต้องมีอรรถกถาเท่าที่จะมีได้ แล้วก็มีพระไตรปิฎกที่ฝรั่งแปล เพื่อเอามาเทียบเคียงคําแปลของเรา ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ก็มีบางอย่างที่เห็นด้วยไม่ได้ ที่จะแปลอย่างฝรั่งแปล ยกตัวอย่าง คําสองคําที่ว่า สุวใจ มุทุ อนฺติมานี บทสวดที่ใช้สวดเจริญพุทธมนต์ สุวโจ ฝรั่งแปลว่า พูดดี ในเมืองไทยนี้ แปลว่า ว่าง่าย ว่าง่ายสอนง่าย คนละทิศคนละทางเลย แปลว่า พูดดี หมายถึงคนที่มีคําพูดดี แต่ตัวแท้ต้องแปลว่า เป็นคนว่าง่าย สุ แปลว่า ง่าย ในที่นี้ไม่ได้แปลว่า ดี อย่างนี้ก็มีอยู่บ่อย ๆ แล้วก็ที่ว่า หลักธรรมปฏิบัติซึ่งถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติ มันก็แปลได้ไม่ถูกต้อง เช่น คําว่า "สพฺพกายปฏิสํเวที" สพฺพ คํานี้ ฝรั่ง เขาแปลว่า whole แต่ที่ถูกนั้นต้องแปลว่า all เพราะมันมีหลายกาย ทุก ๆ กาย ถ้าคําว่า whole นั้นมัน หมายถึงทั้งหมดของสิ่งเดียว ถ้าใช้คําว่า all มันหมายถึง ทั้งหมดของทุกสิ่งหรือหลายสิ่ง คําบาลีมันมีอยู่ สําหรับคําว่า whole แต่ไม่ใช่ คําว่า สพฺพ ต้องใช้คําว่า สกล หรือ เกวล ที่นี้คําแปลของฝรั่งโดยเฉพาะในอานาปานสติสูตรที่ว่านี้ เขาแปลว่า whole body ผมบอกให้ทุกคนที่พอจะบอกได้ว่าอย่างนี้มันไม่ถูก บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ เราก็เอาความคิดของเรา ความรู้ที่เรามี ตัดสิน (หัวเราะ) ซึ่งมันก็มีเหตุผล ถ้าแปลว่า all มันก็หมายถึงทุก ๆ กาย ทั้ง ๒ กาย คือกายเนื้อและกายลม ถ้าใช้คําว่า whole ก็กายลมอันเดียว แต่ว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นรอบกายเดียว แต่เราก็เชื่อว่า เราถูก ฉะนั้น เราจึงไม่เอาตามฝรั่งในเรื่องอย่างนี้ ในกรณีอย่างนี้ แต่ก็มีเหมือนกันที่ว่า ฝรั่งเขาแปลออกไปได้คมคายกว่า ดีกว่า ก็มีบ้างเหมือนกัน พระไตรปิฎกภาษาอังกฤษที่เป็นคัมภีร์สําคัญ ๆ เราก็มี ได้ซื้อเอาไว้ ชุดของ Pali Text Society นอกจากนั้นก็มีอีกชุดหนึ่ง The Sacred Books of the Buddhist มีทั้งบาลี ทั้งอรรถกถา อยู่ในชุด The Sacred Books of the East มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดเขาจับให้นักศึกษา รวบรวมความรู้ สติปัญญา ของตะวันออกทั้งหมด ที่นี้พวกฝรั่งที่เป็นชั้นอาจารย์ ๆ ที่ถนัดในเรื่องอะไรก็รับเขียนเรื่องนั้น ๆ เป็นเล่ม ๆ คนละเล่ม ๒ เล่ม ทั้งหมดตั้ง ๗๕ เล่ม มันก็ขาดคราว หาซื้อไม่ได้ครบ ซื้อได้ไม่กี่เล่ม ๒๐-๓๐ เล่ม มันเป็นหนังสือที่ทําขึ้นก่อนแต่ที่การศึกษาบูรพวิทยาของฝรั่งจะถูกต้องและแน่นอนมันจึงเพี้ยนเสียส่วนใหญ่ สูตรอะไรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาก็เพี้ยน แม้ที่เกี่ยวกับฮินดูนั้นก็เพี้ยน เช่น โยคสูตรเล่มที่อยู่ในชุด Sacred Books of the East ผิดกันอย่างลิบลับจากฉบับที่ สวามี สัตยานันทบุรีแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งใช้ได้ดี แกรู้สันสกฤต แปลจากสันสกฤต ฝรั่งรู้สันสกฤตบ้าง งูๆ ปลา ๆ แปลจากสันสกฤต มันก็เลยมีแปลชนิดที่คาดคะเนสันนิษฐานอะไรมากจนไม่สําเร็จประโยชน์ ยังมีอีกหลายเล่มแม้แต่สูตรเต๋าเต้อกิงของเหลาจื๊อ ก็มีหลายคนแปลใช้ไม่ค่อยดี สู้ฉบับที่คนจีนรู้ภาษาไทยแล้วแปลเป็นภาษาไทยไม่ได้ จะดูเหมือนเป็นยุคแรกเริ่มของฝรั่งที่หันมาทางตะวันออก ยังงูๆ ปลา ๆ เรื่องของมันลึกเกินไป (หัวเราะ) เพียงแต่ทําออกมาให้ได้เป็นเล่ม ๆ เท่านั้น แต่เป็นหนังสือที่ ได้รับความยกย่องที่สุด เป็นเอกที่สุด ยุคหนึ่งเมื่อแรก ๆ ออกมา
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 307-308
ตอนที่ 100 ภาพหน้าที่ 308-310
อาจารย์ครับ รวมแล้วคัมภีร์ไตรปิฎกของอาจารย์มีกี่ภาษา
- ก็มีภาษาบาลีและภาษาไทย และที่แปลออกมาก็มีเป็นภาษาอังกฤษบ้างแค่นั้นแหละ แล้วก็มีภาษาบาลีแต่ใช้ตัวอักษรพม่าอีกชุดหนึ่ง นั่นเขาให้เมื่อผมไปร่วมฉัฏฐสังคายนาที่พม่าเขาให้เป็นเครื่องตอบแทน ส่งตามมาให้ก็เรียกว่าคล้ายกันเกือบจะทั้งหมด กับพระไตรปิฎกไทย นานๆจะมีคําผิดกันบ้าง ซึ่งก็มีเหตุผลที่จะผิดกันบ้าง เช่น ของเรามีคําว่า อทุติโย ไม่มีบุคคลที่ ๒ ของพม่าเป็น อตฺตทุติโย มีตนเป็นบุคคลที่ ๒ ก็หมายความว่าคนเดียวนั่นแหละ อทุติโย ไม่มีคนที่ ๒ ก็คือคนเดียว อตฺตทุติโย มีตนเป็นคนที่ ๒ ก็คือ คนเดียวกันนั่นแหละ แต่ตัวหนังสือมันผิดกัน อย่างนี้ไว้เปรียบเทียบ แล้วบางทีของเรามีคําตกหล่น ในประโยคบ้าง หลาย ๆ ประโยคบ้าง ไม่เต็ม ของพม่าบริบูรณ์ สมบูรณ์มาก สมบูรณ์กว่า เพราะเขาเทียบเคียงมาก เทียบเคียงจากทุกทิศทุกทาง เขาเพิ่งทํานี้เครื่องมือมันพร้อม มันเจริญแล้ว
อาจารย์ครับ แล้วฉบับภาษาจีน อาจารย์ก็มีใช่ไหมครับ
- นั้นเขาเรียกว่า พระไตรปิฎก แต่ว่าความจริงไม่ใช่พระไตรปิฎก มันเป็นทุกเรื่องที่ได้แต่งขึ้นในเมืองจีนเกี่ยวกับพระไตรปิฏกแม้แต่เรื่องเซนโดยตรงก็ไม่มี มีแต่คําอธิบายพาดพิงเกี่ยวกับเซน ทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างไร เขามีหมด ในชุดนั้นนะ (หัวเราะ) ไม่ใช่พระไตรปิฎก แต่เรียกกันเองว่า พระไตรปิฎกจีน เป็นชุดเหมือนกับอรรถกถา พระไตรปิฎกจีน เช่น สูตรต่าง ๆ นั้น ไม่มี
ผมอ่านภาษาจีนไม่ได้ แต่มีเรื่องสนุกๆมาก เบ็ดเตล็ดมาก แต่ก่อนคุณช้างบวชที่นี่ เขาช่วยอ่านให้ ฟังก็เป็นสติปัญญาที่คมคาย ผู้ที่แต่งหนังสือก็หลาย ๆ คน ไม่ใช่คนเดียวแต่ง แต่งกันคนละยุคคนละสมัย หลายๆคนแต่ง จึงเป็นหนังสือตั้งเต็มตู้เอกสารขนาดนั้น เต็มตู้พอดีเลย ไม่ใช่ตัวพระสูตรเลย ตัวคําอธิบายชั้นหลัง เป็นวินิจฉัยเป็นวิพากษ์วิจารณ์ อาจารย์คนไหนมีสติปัญญา จะอธิบายอะไรก็เขียนขึ้น ผมก็ประหลาดใจเหมือนกันเขาส่งมาให้ อาซิ้มคนหนึ่งที่บริจาคเงินสั่งซื้อพระไตรปิฎกจีนมาให้ แรกก็ดีใจว่า พระไตรปิฎกจีน พอมาดูไม่ใช่ตัวพระไตรปิฎก มันเป็นรวบรวมอรรถกถา คําอธิบายพระไตรปิฎกก็เนื่องกับพระไตรปิฎก เขาส่งมาให้สัก ๒๐ ปีแล้ว
อาจารย์ครับ คัมภีร์อรรถกถา อาจารย์มีครบหมดไหมครับ
- เท่าที่จําเป็นจะต้องใช้ ก็มีครบหมด อรรถกถาบางคัมภีร์ที่ไม่อยากจะใช้ ไม่อยากจะมีก็มี พวกอปทาน พวกเปตวัตถุ วิมานวัตถุ (หัวเราะ) นี่ไม่ต้องการได้ แต่เดี๋ยวนี้อาจจะซื้อได้ ก็คิดจะซื้อเหมือนกันให้ครบ ชุด เพราะเขาเพิ่งพิมพ์
แล้วคัมภีร์ที่แต่งทางลานนา อาจารย์มีหรือเปล่า
- พระไตรปิฎกลานนาไม่มี นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรมาก มีแต่เพียงปัญญาสชาดก ซึ่งก็แปลเป็น ภาษาไทยหมดแล้ว อีกเล่มก็ชินกาลมาลีปกรณ์ ที่มหาแสวง มนวิทูร แปล แต่ก็เป็นเพียงโบราณคดี เกี่ยวกับพุทธศาสนา กับมีอะไรที่ไม่ค่อยสําคัญนัก เช่น มังคลัตถทีปนี เวสสันตรทีปนี แต่ก็นับว่าเก่งแหละ อุตส่าห์รวบรวม ไม่ว่ามีคําอธิบายไว้ที่ไหน ในอรรถกถาก็รวบรวมมาไว้หมด สะดวกมาก ไม่ใช่อธิบายธรรมะอย่างอิสระ เป็นที่รวบรวมคําอธิบายจากอรรถกถาที่นั่นที่นี่ ที่เป็นเรื่องเดียวกันก็เอามารวมไว้หมด แล้วมันก็ตีกันเอง (หัวเราะ) เป็นธรรมดาระหว่างอรรถกถา
อาจารย์ครับ หนังสือนอกวงการพุทธศาสนาโดยตรง ชุดสําคัญ ๆ ที่อาจารย์ใช้อยู่หรือมีอยู่ มีอะไรบ้างครับ
- มันก็มีหลายชุด คนเขาให้มาบ้าง ซื้อเองบ้าง เขาคิดว่าเราควรจะมีเลยซื้อมาให้บ้าง ปรัชญาอินเดียมีหลายชุดชุดใหญ่ก็ของสวามีวิเวกนันทะ นั่นเจ้าคุณลัดพลีฯให้ ท่านเป็นผู้สนใจ แล้วไม่มีเพื่อนคุย เลยสั่งหรือซื้อทีละ ๒ ชุด ให้ผมชุดหนึ่งเพื่อว่าจะได้คุยกัน แต่ก็มีโอกาสน้อยที่จะถกเถียง ต่างคนต่างก็ธุระ ที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากหน่อยก็เกี่ยวกับกฤษณมูรติ นอกจากนี้ก็มีพวกหนังสือเซน ชุดสําคัญก็ของซูสุกิ อีกชุดก็ของชาร์ล ลุกซ์ พวกนี้บางชุดหมอประพันธ์ อารียมิตรเป็นคนให้ เพราะหมอประพันธ์เขาสนใจเซน อยู่ หนังสือของมหาตมา คานธี ผมก็มีเพราะสนใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สนใจถึงที่สุด เพราะเขาเป็นนักการเมือง ส่วนชุดสมบูรณ์ของลีโอ ตอลสตอยนั้น เป็นของคุณกวง(พระกวง มุตฺติภทโท) ผมก็ดูบ้างบางเรื่อง ไม่รู้สึกแปลกจากที่เราเคยคิดนึกกันอยู่เท่าไร ชุดใหญ่อีกชุดหนึ่งที่มีคนเห็นว่าเราควรมีไว้(หัวเราะ)แล้วไปบอกให้คุณเรียมซื้อมาให้ ก็คือ The Great Books of the West ทั้งหมด ๕๖ เล่ม ยาวตั้งวา มุ่งหมายเกี่ยวกับปรัชญาตะวันตกตั้งแต่ อีเลียด ของโฮเมอร์ เรื่อยมาตามลําดับสมัย เป็นงานของนักปรัชญาตะวันตกเป็นคน ๆ ไป คนหนึ่งเล่มหนึ่ง ๆ ลงมาจนถึงมากซ์ ถึงใครต่อใครในยุคหลังๆก็มี ชุดนี้ก็ได้ใช้ประโยชน์บ้างบางเล่ม คัมภีร์ไบเบิ้ลก็อยู่ในชุดนี้ ส่วนมากใช้เมื่อต้องการรู้ว่าฝรั่งเขาคิดกันอย่างไร ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่เราจะพูดหรือกําลังศึกษาอยู่ในแง่ของพุทธศาสนา หนังสือมันมากนักเกินกว่าที่จะอ่านไหว ก็เอาเฉพาะเรื่อง เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องและกําลังเป็นปัญหา เรื่องทางปรัชญานี้ไม่ค่อยชอบ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 308-310
อ่านตอนที่ 101-199 - https://sites.google.com/site/pttpk2020/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2101-199