ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน
ภาคเช้า
ภาคเช้า
ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน ภาคเช้า - 27พค2522
https://drive.google.com/drive/folders/1r8a_zIl-RXBWfHZBWePKhf701p99tHn2?usp=sharing
00:00:19
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญล้ออายุทั้งหลาย ก่อนอื่นทั้งหมดอาตมาขอแสดงความขอบคุณแก่ท่านทั้งหลาย ในการที่ได้มาร่วมการทำบุญนี้ก็ดีและในการให้ของขวัญก็ดี ของขวัญในที่นี้ก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าคืออะไร การชวนกันมาอดข้าวสักวันหนึ่งเป็นการให้ของขวัญนี่ ทำไมอาตมาจะต้องขอบใจ เพราะมันได้อะไรแก่อาตมา ถ้ามันได้ มันก็ควรจะได้แก่ผู้อด ถ้าผู้ใดยังสงสัยอยู่อย่างนี้ อาตมาก็จะขอบอกกล่าวให้ทราบว่า ที่ต้องขอบใจผู้ให้ของขวัญนั้นมันมีเหตุผลที่เกี่ยวกับอาตมา คืออาตมาต้องการจะให้ทุกคนมีความเข้าใจว่าการอดอาหารเสียบ้างบางเวลานั้น มันทำความเข้มแข็งและก็ไม่ตาย บางทีจะสบายกว่าไม่อดกันเสียด้วยซ้ำ
ที่ท่านทั้งหลายมาให้ของขวัญด้วยการอดสักวันหนึ่ง นี่มันก็เป็นการช่วยเป็นพยาน ช่วยเป็นพยานให้อาตมา เป็นพยานในข้อที่ว่าอดข้าวสักวันหนึ่งนี้มันไม่ตาย ผู้ที่มาให้ของขวัญนั้นก็คือผู้ที่มาช่วยเป็นพยานว่าอาตมาขอร้องนั้น มันก็ไม่ได้ทำให้ใครตายแต่กลับมีประโยชน์ นี่มาช่วยกันทำให้มันเป็นพยานขึ้นมาได้อย่างนี้ มันมีประโยชน์แก่อาตมาผู้มุ่งหมายจะให้ทุกคนเข้าใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องขอบใจผู้ที่ให้ของขวัญ
เขาให้ของขวัญกันอย่างไรก็ตามใจแต่อาตมาต้องการของขวัญอย่างนี้ ทีนี้ใครให้ คนนั้นก็ช่วยเป็นการแสดงให้เห็นว่ามันเป็นพยาน ไม่มีใครต้องตายหรือต้องเป็นอะไรเพราะการให้ของขวัญ ทีนี้ที่ว่ามาร่วมกันล้ออายุ นี่ก็ขอบใจเพราะมันจะได้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น
ทำไมจะต้องล้ออายุ ในเมื่อเขาทำบุญ เขาทำบุญต่ออายุกันทั้งนั้น การทำบุญเนื่องด้วยอายุนี่ เขาทำบุญต่ออายุ พอใจในความมีอายุกันทั้งนั้น เราทำไมมาทำบุญด้วยการล้ออายุ เราก็หวังบุญเหมือนกันในการทำบุญอายุเนี่ย ก็หวังบุญเหมือนกันแต่หวังบุญที่มันแปลกออกไปเท่านั้นเอง จะว่าสูง จะว่าต่ำนี่ มันก็ไม่อยากจะพูดแต่ว่ามันแปลกออกไป
อายุหรือชีวิตนี้ใครเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์ น่าชื่นชมยินดี พอใจ หลงไหลก็ต่ออายุกันไป แต่อาตมาเห็นว่าอายุหรือชีวิตนี้มันไม่น่าอภิรมย์ที่ตรงไหน มันน่าล้อมากกว่า ฉะนั้นจึงเกิดมีการทำบุญแบบที่ล้ออายุ
เราได้ยินได้ฟังกันมาแล้วทุกคนว่าความเมานั้น มันเมาในวัยคือในอายุ เมาในชีวิต เมาในความไม่มีโรค ทีนี้ชีวิตนี่ มันเป็นที่ตั้งแห่งความเมา อายุก็เป็นที่ตั้งแห่งความเมา ฉะนั้นเราจะมายินดีปรีดาอภิรมย์อะไรกันกับอายุ ช่วยกันมาล้ออายุเพื่อถอนความเมานี่ ดูเหมือนจะมีเหตุผลกว่า ถ้าท่านทั้งหลายบางคนที่มา ตั้งใจจะช่วยกันล้ออายุ ก็เข้าใจเอาเองว่าจะล้อกันอย่างไร จะล้อที่มันโง่ ที่มันหลงใหลมัวเมาในอายุ ในชีวิต ในความไม่มีโรคเป็นต้น นั่นเอง ถ้าล้อสำเร็จมันก็คงจะหยุดความเมาเหล่านี้ได้บ้างเป็นแน่นอน ถ้าล้อเก่งจริงความเมาเหล่านี้อาจจะหายไปหมดเลยก็ได้ ฉะนั้นมันก็ต้องถือว่าการทำบุญล้ออายุนี้มันก็มีอานิสงส์มากเหมือนกัน แต่ว่ามันแปลกออกไปกว่าที่เขาชอบทำกันอยู่ ขอให้ถือเอาประโยชน์จากการมาที่นี่ในวันนี้ให้ได้ตามสมควร
00:07:31
คนที่มาจากที่ไกล เหนื่อยมาก เปลืองมาก ลำบากมากเนี่ย บางทีก็ตั้งใจมาเพื่อร่วมกับอาตมาหรือมาร่วมการทำบุญ อย่างนี้ก็ต้องขอบใจขอบคุณ และขอร้องว่าให้ถือเอาประโยชน์ให้ได้ ให้มากที่สุด คือร่วมกันล้ออายุนั่นเอง ถ้ายิ่งให้ของขวัญด้วยก็ยิ่งขอบใจมากขึ้นไปอีก ได้ยินว่ามีผู้ให้ของขวัญเนี่ยเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้น กระทั่งลูกเด็กๆ บางคนเขาก็ยังให้ของขวัญนี้ นี่ก็ยิ่งน่าขอบใจ
สำหรับการมาที่นี่อาตมาก็พูดเหมือนกับว่าจะเอาเปรียบ ใครจะว่าเอาเปรียบก็ได้เหมือนกันแต่ก็ไม่ได้คิดจะเอาเปรียบ คือว่าถ้าผู้ใดมาที่นี่แล้ว ขอให้ถือว่าเป็นเจ้าของบ้านกันทุกคน เป็นเจ้าของบ้านหมายความว่าช่วยตัวเอง หาที่พักเอาเอง หาอะไรเอาเองนู่น มันก็ไม่มีการบกพร่อง ซึ่งเรียกว่าเป็นการต้อนรับที่บกพร่องเพราะว่าทุกคนเป็นเจ้าของบ้านกันไปหมด พอย่างเข้ามาในที่นี้มันก็กลายเป็นเจ้าของบ้านไปหมด อาตมาก็จะไม่ต้องขออภัยตามธรรมเนียมที่เขามักจะขอกันว่าการต้อนรับนี้มันบกพร่องไป ก็เป็นอันว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกันระหว่างบุคคลนี้ก็เป็นที่เข้าใจกันดีแล้ว ทีนี้ก็จะได้พูดเรื่องที่มีประโยชน์เกี่ยวกับการล้ออายุนี้สืบไป
ก็มีการล้ออายุมาหลายปีแล้วและก็ได้พูดเรื่องต่างๆ กันทุกปี จนชักจะไม่ทราบว่าจะพูดเรื่องอะไรดีอยู่แล้ว แต่เมื่อต้องพูดมันก็ต้องพูด พูดตามที่เห็นว่ามีประโยชน์อย่างไร ในการพูดปีนี้จะพูดไปทำนองเป็นการซ้อมความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่ควรจะซ้อม ในเรื่องซ้อมความเข้าใจนี่มันมีอยู่หลายอย่างนะ ขอให้ลองคิดดูให้ดี ซ้อมความเข้าใจกับผู้ที่ฟังแล้ว เคยเข้าใจแล้วมันก็ลืมเสีย อะไรๆ ที่เคยพูดมาแล้วเข้าใจแล้วลืมเสีย เอ้าวันนี้ก็เอามาซ้อมกันใหม่ ถ้าเรื่องมันซ้ำกับเรื่องเดิมก็อย่าเพิ่งโมโหนะเพราะว่ามันต้องซ้อมความเข้าใจ ทีนี้ซ้อมความเข้าใจกับผู้ที่พยายามจะเข้าใจ หรือให้เข้าใจยิ่งขึ้น หมายความว่าที่แล้วมาเข้าใจไม่ถึงที่สุดก็จะซ้อมความเข้าใจกันให้ถึงที่สุด ทีนี้ก็ยังมีบางพวกที่ว่าเขาเข้าใจผิด ฟังผิด เข้าใจผิด กำลังโกรธอยู่ก็มี นี่ก็ต้องซ้อมความเข้าใจกันเสียใหม่เพื่อให้เข้าใจถูก
ทีนี้มันก็มีคนอีกพวกหนึ่งซึ่งเขามีเจตนาร้าย แกล้งที่จะไม่เข้าใจ แกล้งที่จะหาแง่ค้าน คัดค้าน หรือหาแง่ด่าเลยก็มี นี่ก็ต้องซ้อมความเข้าใจด้วยเหมือนกัน ดังนั้นเรื่องซ้อมความเข้าใจนี้มันมีแง่มุมมาก จึงเชื่อว่าไม่เสียหลาย คงจะไปตรงกันได้สักแง่หนึ่ง มุมหนึ่ง สำหรับคนหนึ่งๆ เป็นธรรมดา อาตมาพูดนี้เพื่อซ้อมความเข้าใจ ไม่ได้พูดเพื่อเจตนาจะขอความเห็นใจ มันไม่ใช่วิสัยของอาตมาที่จะไปขอความเห็นใจจากใคร เพราะว่ามันต้องการจะรับผิดชอบ จะรับผิดชอบทุกๆ คำที่ได้พูดออกไปแล้ว ฉะนั้นจึงไม่ต้องขอความเห็นใจ มันเป็นทิฏฐิมานะของอาตมาก็ได้แต่ไม่เป็นไร มันคงจะไม่ให้โทษร้ายแรงอะไร
00:13:20
ทีนี้ขอให้มองดูต่อไปอีก ว่าการซ้อมความเข้าใจนี่ มันก็เป็นเรื่องทำสิ่งที่ไม่ถูกให้มันถูก มันก็เลยเป็นว่าอาตมาทำการล้างโคลนก็ได้ โคลนที่มันเปื้อนน่ะ มันต้องล้าง ใครบ้างที่โคลนเปื้อนแล้วไม่ล้าง ทุกคน ถ้าโคลนมันเปื้อนแล้วมันก็ต้องล้าง ทีนี้ดูให้ดีว่าช่วงเวลา 48 ปี เกือบครึ่งศตวรรษ 48 ปีที่มีสวนโมกข์เนี่ย มันมีโคลนเยอะเหลือเกินที่เปื้อน โดยเฉพาะกับอาตมา เรื่องเปื้อนโคลนเนี่ยท่านลองคิดดูบ้างเถอะว่ามันมีหลายอย่าง หลายปัจจัยที่ทำให้เปื้อนโคลน เขาเคยเอาโคลนสาดเพราะเขาโกรธ เขาเกลียด อย่างนี้ก็มี มันก็เปื้อน ทีนี้เขาเอาโคลนสาดเพราะอยากจะล้อเล่น หยอกเล่นก็มี เช่นสาดโคลนสงกรานต์เนี่ย มันก็อยากจะล้อเล่น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เปื้อน เปื้อนแล้วมันก็ต้องล้าง
ทีนี้มันยังมีว่า เขาทำกระเด็นมาโดยไม่ได้เจตนา มีคนทำกระเด็นมาถูกโดยไม่ได้เจตนา แม้อย่างนั้นมันก็เปื้อน ขึ้นชื่อว่าโคลนแล้วมันก็เปื้อน มันก็ต้องล้างอยู่ดี หรือว่าเราเดินไปดีๆ เกวียนผ่านมา รถผ่านมา มันเหยียบน้ำโคลนที่บนถนนกระเซ็นมาถูกเรา เราก็ยังเปื้อน ไม่มีใครแกล้ง เพราะเราไปเดินทางรถ ทางเกวียน น้ำโคลนมันกระเด็นมา มันก็เปื้อน มันก็ยังต้องล้างอยู่ดี หรือว่าเดินไปบิณฑบาตเช้าๆ ในทางแคบๆ เป็นหญ้ารกสองข้างทาง มันก็ต้องเปื้อนโคลนอยู่ดีเพราะว่ามันมีควายที่เปื้อนโคลนเดินไปก่อน โคลนมันติดอยู่ตามหญ้าสองข้างทาง อาตมาเดินไปบิณฑบาตเนี่ย ก็เปื้อนโคลนชนิดนี้ ไม่มีใครแกล้ง ไม่มีใครอะไร แล้วเราก็ต้องไป ก็ต้องผ่าโคลนเปื้อนเข้าไป ในเมื่อมันเปื้อนแล้วมันก็ต้องล้างอยู่ดีไม่ว่าโคลนชนิดไหน ทีนี้เราไปเหยียบเองในที่บางแห่งมีของแข็งอยู่ข้างบนข้างล่างเป็นโคลน เหยียบของลงไป โคลนก็ปรู๊ดปร๊าดขึ้นมาตามระหว่างนิ้วเท้า ขึ้นมาเปื้อน คิดดูสิ มันก็โคลน แล้วเราไปเหยียบเอง แล้วก็มันขึ้นมาตามช่องนิ้วเท้ามาเปื้อนเรา ขึ้นชื่อว่าโคลน เปื้อนแล้วมันก็ต้องล้าง หรือบางทีเราไม่รู้ ไม่คิดว่าเป็นหล่ม เป็นโคลน เดินไป อาตมาก็เคยไปเที่ยวดูที่ริมทะเล ที่เขาพ่นโคลนจากทะเลขึ้นมาถมที่ดินที่ริมทะเล มันก็ดูแห้งแข็งเดินไปได้สบาย เดินกันไปหลายคน อาตมาจะเป็นคนเคราะห์ร้ายหรืออะไรก็ไม่ทราบ มันไปเหยียบถูกที่ตรงนั้น มันทะลุดินแข็งที่ผิวหน้าลงไปได้ มันลงไปๆ จนถึงสุดขา ลงนั่งเลย ต้องมีเพื่อนมาช่วยยกขึ้นจึงยกขึ้นได้ ถอนขึ้นมาทั้งขาเปื้อนเป็นโคลนเหนียวทั้งนั้น ล้างกันเกือบตาย นี่มันก็ต้องล้างเหมือนกัน คิดดูเถิดว่าการที่มันจะเปื้อนโคลนได้ มันมีหลายอย่างหลายวิธีอย่างนี้ และไม่ว่าโคลนชนิดไหนมันก็ต้องล้างทั้งนั้น
ชั่ว 48 ปีที่มีสวนโมกข์มาจนกระทั่งวันนี้ มันเต็มไปด้วยโคลนนานาชนิดที่เปื้อนอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว บางทีอาตมาพูดอย่างนี้ คนอื่นเขาเอาไปพูดต่อกลายเป็นพูดอย่างโน้น คนที่ได้ฟังมันรู้ว่าพูดผิด มันไม่เห็นด้วย มันก็ค้าน แล้วมันก็ด่าอาตมาว่าเป็นผู้พูด ที่จริงเรื่องอย่างนั้นก็ไม่ได้พูดแต่มีคนเอาไปพูดต่อ ว่าย่อไปบ้าง เลียนแบบไปบ้าง ไปพูดต่อ
00:19:27
อย่างนี้มันก็คิดด้วยเหตุว่ามันน่าล้อหรือไม่น่าล้อ ไม่ได้ทำแต่ว่าถูกด่า มันน่าล้อหรือไม่น่าล้อ แม้ที่สุดแต่ว่าชวนให้ของขวัญ อดข้าวสักวันหนึ่งเนี่ย ก็มีคนเอาไปล้อ มีคนเอาไปด่า มันก็เป็นโคลนชนิดหนึ่งเหมือนกันที่เขาสาดกลับมาหาอาตมา ว่ามันเป็นเรื่องชวนให้คนลำบากบ้าๆ บอๆ คนชนิดนี้มันอ่อนแอเกินไป เพียงไม่ได้กินข้าวสักวันหนึ่งเนี่ย เขาถือว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค เขาก็ปรับให้อาตมาเป็นมิจฉาทิฐิ ชวนให้คนบำเพ็ญอัตตกิลมถานุโยค นี่มันก็เป็นโคลนที่สาดมาแล้วชนิดหนึ่ง มันต้องล้างแหละ มันก็ต้องช่วยกันล้าง อย่างที่กำลังบอกอยู่เนี่ยว่าเราจะฝึกฝนตน ปฏิบัติตนให้เข้มแข็งจนกระทั่งว่าการอดข้าววันหนึ่งเนี่ย เป็นเรื่องเล็กๆ ไม่มีความหมายอะไร เป็นเรื่องที่ลูกเด็กๆ ก็ทำได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็เคยอดข้าว อดพระกระยาหาร อะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียกเป็น 7 วันก็มี บางทีก็ว่าถึง 49 วันก็มี มันแสดงความเข้มแข็ง ผู้ที่จะบรรลุธรรมะ ได้รับประโยชน์จากธรรมะนั้น ล้วนแต่เป็นผู้เข้มแข็งและมาฝึกฝนการเข้มแข็งกันบ้างเนี่ย คงไม่ผิดแน่ ฉะนั้นเพียงอดข้าววันหนึ่งเนี่ย เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะเยาะมากกว่าที่จะมาตกใจ หรือกลัวว่าจะตาย กลัวจะเป็นลม หรือว่ามันโง่มากไป จนเห็นว่าเป็นเรื่องอัตตกิลมถานุโยคเป็นหนทางผิด อย่างนี้เป็นต้น เราจะประพฤติปฏิบัติเพื่อให้มันเข้มแข็งกลับถูกหาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นหนทางผิด โคลนชนิดนี้มันก็ต้องละ
เป็นอันว่าการพูดปรับความเข้าใจทั่วๆ ไปนี้ มันก็จะเป็นเหมือนกับการล้างโคลนนานาชนิดพร้อมกันไปในตัว อาตมาก็ขอบใจคนที่ทำให้เปื้อนเพราะโคลนสาด เพราะจะได้แสดงความสามารถด้วยการล้างโคลน บ้าหรือดีก็คิดดูเอาเองเถิด เขาช่วยทำให้เรามีโอกาสสามารถในการที่จะล้างโคลน หรือผู้ที่ชอบคุ้ยเขี่ยหาความผิด จับผิด จับอะไรนี้ก็ขอบคุณ เพราะเขาทำให้เราได้มีความสามารถในการที่จะชี้แจง ค้นหาวิธีที่จะชี้แจง ได้โอกาสที่จะชี้แจง แล้วก็รู้วิธีที่จะชี้แจงให้มันดียิ่งขึ้น
ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลายมองดูกันในแง่นี้ เพราะถ้าเขาด่าเรา เราควรจะขอบใจเขา เพราะเขาทำให้เราได้รับประโยชน์หลายอย่าง อย่างน้อยก็เป็นเครื่องสอบไล่ดูว่าหมอนี่ มันดีกี่มากน้อย ด่าแล้วมันโกรธหรือไม่โกรธ ถ้าเราโกรธเราก็โง่เอง เราก็เลวเอง ถ้าเราไม่เลว เราก็จะเอาคำด่านั้นมาพิจารณาดูว่ามันจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่จริงก็แล้วไป ก็เลิกกัน ถ้ามันจริงเหมือนเขาด่าก็จะได้ปรับปรุงเสียใหม่ จะได้แก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นเราก็จะขอบคุณคนที่ด่า หรือว่าคนที่เอาโคลนสาด หรือแม้ทำโดยไม่เจตนาอะไรก็ตาม ให้เราได้มีโอกาสที่จะล้างโคลน ได้อาบน้ำอาบท่าให้มันดียิ่งกว่าเก่า
00:24:26
ทีนี้อาตมามีเรื่องที่จะต้องสารภาพสักเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับสาดโคลน ล้างโคลนนี่ คือบางทีเราพูดไม่ชัด เพราะการที่เราพูดไม่ชัดคนเขาก็เข้าใจผิด เพราะขัดกับความรู้ ความคิด ความนึกของเขา เขาก็ค้าน เขาไม่ใช่เพียงแต่ค้าน เขาด่าเลยก็มี นี่เราถูกด่า ถูกสาดโคลนโดยเจตนา ก็เพราะว่าเรามันพูดไม่ชัด เช่นเรื่องจิตว่าง พูดตอนแรกๆ มันไม่ชัด คนเขาฟังไม่ถูก ขัดกับความรู้สึกของเขา เขาก็ค้านแล้วเขาก็ด่า แล้วเขาก็เอาไปล้อเล่นได้เป็นปีๆ อย่างนี้ เราจะไปโกรธเขาได้อย่างไร อาตมาได้ยินได้ฟังจากเสียงของบุคคลผู้ทรงคุณธรรมอันประเสริฐ อย่าต้องออกชื่อท่านเลย ได้กล่าวไว้อย่างประเสริฐ ตรงกับข้อความเรื่องนี้ ว่าเรามันพูดไม่ชัด เขาฟังไม่ชัด เขาโวยวายด่าเรา อย่างนี้เราโกรธเขาไม่ได้ เราไม่ควรจะโกรธเขา มันไม่ยุติธรรมที่จะไปโกรธคนที่ด่าเราเพราะเราพูดอะไรออกไปมันไม่ชัด เขาทำตัวเป็นผู้รับผิดชอบของส่วนรวม ของโลก ของศาสนา เขาก็ค้าน เขาก็ด่า เราก็ไม่ต้องโกรธ เราควรจะพูดเสียใหม่ให้ชัด เราไปขอโทษเขา ที่เราทำผิดไป ให้เขาเหนื่อยต้องด่า แล้วเราก็ขอบคุณเขาเพราะว่าเขาได้ด่าเพื่อให้เรารู้สึกตัว นี่เราก็พูดเสียใหม่ให้มันชัด ถ้าอาตมาพูดอะไรไม่ชัดเรื่องจิตว่างเรื่องอะไรก็ตามช่วยกันด่า ปวารณาทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ช่วยกันด่าในเรื่องที่อาตมาพูดไม่ชัด ให้เข้าใจผิด แล้วก็จะพูดเสียใหม่ให้มันถูกต้อง เนี่ยขอให้เข้าใจว่าโดยแท้จริงเนี่ย มันเป็นอย่างนี้ และมันเป็นเรื่องที่ควรจะล้อหรือไม่ควร อาตมาพูดไม่ชัดแล้วเขาก็ด่า ก็ควรจะมาล้อตัวเองที่มันไม่เก่ง ทำอะไรไม่สามารถ ไม่รอบคอบพอ
00:27:35
เอาละทีนี้ก็พูดกันเป็นเรื่องติดต่อกันไปดีกว่าว่าตลอดเวลา 48 ปีมาแล้ว ที่เริ่มมีสวนโมกข์ ไม่ใช่นับตั้งแต่แรกที่อาตมาบวช ถ้านับแต่แรกบวชมันก่อนก็ต่อไปจากนั้นอีก ตั้ง 7 ปี 7 ปีก่อนหน้านั้นไม่มีเรื่อง เพราะมันไม่ได้ทำอะไรให้เด่นให้ดังออกไป พอถึงมีสวนโมกข์เนี่ย มันก็เป็นการทำอะไรที่แปลกออกไป ดีเด่นหรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกออกไป มันก็มีโคลนสาดเข้ามาโดยเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าการที่เราจะเปื้อนโคลนได้นั้น มันมีตั้ง 7-8 อย่างของปัจจัยที่ทำให้เปื้อนโคลน ทีนี้ชั่วเวลา 48 ปีที่มีสวนโมกข์เนี่ย มันก็มีโคลนประดังกันขึ้นมาอย่างที่ว่ามาแล้ว ถ้าเราไม่เก่งพอหรือว่าเราเผลอไป เช่นว่าเราเหยียบไม่เป็น โคลนกระเด็นขึ้นมาตามง่ามนิ้วเท้ามาเปื้อนเราอย่างนี้ มันก็ต้องเป็นเรื่องความโง่ของเราเอง แม้ว่าเราจะหวังดีแก่เขา แต่ถ้าเราทำไม่ถูกวิธีมันก็กลายเป็นผลร้าย เช่น มีโคลนสาดเข้ามา ฉะนั้นจะพูดให้ฟังว่า 48 ปีนี้ มันมีโคลนอะไรบ้างจนกระทั่งทุกวันนี้
เมื่ออาตมาเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ ปีสุดท้ายของการเรียน มันเบื่อ มันไม่ไม่เห็นว่าจะน่ามีอะไรที่น่าชื่นใจ การเรียนบาลีมันก็สนุกดีเหมือนกันแต่มันไม่ทำความพอใจให้แก่ตัวเอง ที่ว่าเราเป็นพระกันนี้เราควรจะได้อะไร มันก็รู้สึกรุนแรงถึงขนาดว่าถ้าอยู่อย่างนี้ทนไม่ได้ จะต้องลาสึก ถ้าไม่ลาสึกมันต้องทำอะไรที่รู้สึกว่าพอใจหรือน่าทำ เมื่อออกมาแล้ว เลิกการเรียนแล้ว มันยังไม่สึก มันก็ต้องทำอะไรสักอย่างนึง นี่แหละคือความคิดที่ทำให้มีสวนโมกข์ คืออยากจะมีสวนโมกข์ เพื่อเป็นที่สถานที่ที่เตรียมไว้อย่างเหมาะสมสำหรับที่จะปฏิบัติธรรม สำหรับตัวเองที่เรียนมาแล้วก็ได้ หรือสำหรับเพื่อนบรรพชิตทั้งหลายซึ่งมีมากมายที่เขาอยากจะประพฤติปฏิบัติตามที่ได้เรียนมา เราก็จะได้ใช้สวนโมกข์นั้นร่วมกัน
ฉะนั้นสวนโมกข์มันก็มีขึ้นมาด้วยเหตุปัจจัยอันนี้สำหรับอาตมาโดยตรง ว่าจะเป็นสถานที่ให้ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วมาใช้ปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์แก่สิ่งที่เรียนมา ฉะนั้นจึงมีกฎ มีกติกา รับเข้าอยู่เฉพาะคนที่เรียนมาแล้วคือเป็นนักธรรมเอกหรือเป็นเปรียญ ทีนี้ก็เป็นที่ไม่พอใจของคนบางคน เขาก็บ่นเขาก็ว่า หรือเขาก็ด่าอยู่ในใจ มันก็เป็นโคลนชนิดหนึ่งด้วยเหมือนกันที่เขาสาดมา เขาพูดว่านี่มันอวดดีอะไรนะที่มันจะรับแต่นักธรรมเอกและเปรียญ เราก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่าผู้ที่ไม่ได้เล่าเรียนมาพอสมควรนั้นมันปฏิบัติยาก มันยุ่งยากไปหมด ขอให้เรียนมาแล้วพอสมควรแล้วก็มาปฏิบัติ จะเป็นเพื่อนศึกษาหารือกันได้ในหมู่ผู้เป็นนักปฏิบัติ
ต่อมาก็มีความจำเป็นบางประการที่ทำให้ต้องรับผู้ที่ไม่เป็นเปรียญหรือไม่ได้นักธรรมเอกในบางกรณี ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่มองเห็นว่าคนนี้มันปฏิบัติได้แน่ มันดีได้แน่ ก็รับ มันก็ถูกด่าอีกเหมือนกันว่าทำไมโกหกว่าจะไม่รับผู้ที่ไม่เป็นเปรียญและไม่เป็นนักธรรมเอก แต่เราเห็นว่าคนนี้มันดีกว่าที่เป็นเปรียญหรือเป็นนักธรรมเอกเสียอีก มันไม่เคยเล่าเรียนในโรงเรียน แต่มีอะไรๆ แสดงว่าเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ปฏิบัติไปพลาง ศึกษาอะไรไปพลาง เนี่ยมันก็มีอย่างนี้แหละ ลองคิดดูเถิดว่าการที่จะพูดอะไรออกไปโดยส่วนเดียวนั้นมันก็ไม่ถูก มันต้องมีข้อแม้ มีเงื่อนไขที่เราก็ไม่รอบคอบ เราก็มักจะพูดอะไรโดยส่วนเดียว
จึงขอเตือนท่านทั้งหลายว่าให้ถือหลักเกณฑ์อันนี้ให้ถูกต้อง ว่าเราจะไม่พูดอะไรผ่าซากโดยส่วนเดียว พูดให้มันมีช่องสำหรับจะแสดงเงื่อนไขได้ แล้วก็จะดี
00:34:24
เอ้า ทีนี้ การมีสวนโมกข์เนี่ยมันก็เป็นปี 2475 ซึ่งทุกท่านก็ทราบได้ดีว่ามันเป็นปีเดียวกันกับที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ออกมามีสวนโมกข์ แล้วอยู่ในสวนโมกข์ในเดือนพฤษภาคม พอเดือนมิถุนายน เพื่อนที่กรุงเทพฯ ก็เขียนจดหมายบอกมาให้อาตมาทราบ เขาไม่มีความรู้อะไรเลยเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนการปกครอง เขาเขียนมาเล่าว่ามีอะไร ทำอะไรกันก็ไม่รู้ของรัฐบาล เขาพูดมาอย่างที่เขาไม่รู้ว่านั่นคือทำอะไร การปฏิวัติรัฐประหาร เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ มันไม่เคยพูดกัน เขาก็เขียนจดหมายมาอย่างน่าหัวว่าที่กรุงเทพฯ เขาทำอะไรกันก็ไม่รู้ คิดดูเถิดว่าเรานี้มีการศึกษากันอย่างไร อีก 2-3 วันก็รู้ข่าวทางหนังสือพิมพ์ ทางอะไรต่างๆ ว่ามันคือการปฏิวัติรัฐประหารเปลี่ยนการปกครอง มันก็เป็นอันว่าสวนโมกข์เกิดขึ้นปีเดียวกับการเปลี่ยนการปกครองของประเทศไทย สวนโมกข์ยังมีอายุแก่กว่าตั้ง 1 เดือน สวนโมกข์มีเมื่อเดือนพฤษภาคม 2475 การเปลี่ยนการปกครองมีเมื่อมิถุนายน 2475 แต่เอาละเป็นอันว่าเราก็มีการปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลงในปีเดียวกัน ทีนี้มันก็มีผลในทางความหมายว่ามันเป็นการปฏิวัติด้วยกัน นั้นปฏิวัติเปลี่ยนการปกครอง นี้ปฏิวัติเกี่ยวกับการศึกษาและการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา ถ้ามีสิ่งไรที่มันผิดพลาด บกพร่อง งมงาย เราก็จะแก้ไขให้มันดี เว้นแต่ว่ามีการปฏิวัติ
ในยุคนั้นคือ 48 ปีมาแล้ว เรื่องการปฏิบัตินับตั้งแต่วินัยขึ้นไปจนถึงปฏิบัติกรรมฐานวิปัสสนานั่น มันยังเรียกว่ารวนเร หรือว่ากำลังเลื่อนลอยไปอย่างไม่มีหลักเกณฑ์โดยเฉพาะการปฏิบัติวิปัสสนา เราก็เกิดปณิธานขึ้นมาว่ากิจกรรมของสวนโมกข์นี้จะเป็นการรื้อฟื้นส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ดังนั้นในปีรุ่งขึ้น คือปี 2476 ก็มีการออกหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นเรื่องแถลงการณ์ของสวนโมกข์หรือการงานของสวนโมกข์ เช่นพระไตรปิฎกแปลไทยของสวนโมกข์ เขียนบทความส่งเสริมการปฏิบัติธรรม เรียกว่าเกือบจะทั้งเล่มอาตมาเขียนคนเดียว หนังสือฉบับหนึ่งๆ ที่ออกไป มันเป็นการปฏิวัติ ในรูปแบบของการปฏิวัติเรียกว่ารื้อฟื้น ส่งเสริมการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
พูดถึงคำว่าปฏิวัติกันอีกสักนิดหนึ่ง ปฏิวัติรัฐประหารนั้นเขายึดอำนาจรัฐบาล เปลี่ยนการปกครอง ทีนี้ปฏิวัติสวนโมกข์นี่มันยึดได้แต่จิตใจของคน มันจะไปยึดอำนาจที่ไหนไม่ได้ มันก็ได้แต่ยึดจิตใจของบุคคลให้มามีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ฉะนั้นมันก็เกิดอำนาจขึ้นมาเอง สำหรับจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ถ้ายอมให้พูดอวดดีสักหน่อยก็จะพูดว่ายึดจิตใจของสังคมออกมาเสียจากอำนาจแห่งความงมงายที่มันไม่ก้าวหน้า ถูกกักขังอยู่ด้วยความงมงาย เรามีการปฏิวัติยึดอำนาจ ดึงจิตใจของคนออกมาเสียจากความงมงาย เนี่ย คือยึดอำนาจของสวนโมกข์ที่มันมีขึ้นมา มีความหมายแห่งคำว่าปฏิวัติรัฐประหารอยู่พอตัวด้วยเหมือนกัน
00:40:09
ทีนี้มันก็มีเรื่องฝอยอาตมาก็อยากจะเอามาเล่า เพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับโคลนหรือสาดโคลนเหมือนกัน ในหลายๆ แบบที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่าเจตนาก็มี ไม่เจตนาก็มี
พออาตมาออกไปอยู่ในป่าร้าง วัดร้างในสวนโมกข์นั้น มันก็แปลกหูแปลกตาอยากจะพูดว่าจีวรดำๆ อย่างที่ห่มกันเดี๋ยวนี้ไม่มี เพิ่งมีพระสวนโมกข์นั่นแหละ สมัยนั้นก็ห่มจีวรตามแบบถือกันว่าถูกต้องเคร่งครัด ย้อมด้วยแก่นขนุนอย่างเดียว เขียวเกือบดำ เหลืองแกมเขียวเกือบดำ มันก็ผิดเพื่อน พระมหาที่ห่มจีวรดำนั้นหายาก ซึ่งเรามันก็แปลกเพื่อน แล้วก็ไปอยู่กับเพิงจาก พื้นดิน อย่างนี้มันก็บ้า เขาก็เลยจัดว่าพระบ้า พระมหาที่อยู่ที่วัดตระพังจิกเป็นพระบ้า เขาเอามารักษาให้หายบ้า เขาให้อยู่อย่างนั้น เขาให้กินอย่างนั้น กินอาหารก็อย่างจานแมว ฉันในบาตร ออกไปบิณฑบาตตอนเช้า เด็กๆ ที่ตลาดมันก็ร้องบอกกันว่าพระบ้ามาแล้ว พระบ้ามาแล้ว เป็นอยู่อย่างนี้ตั้งหลายเดือนกว่ามันจะหายไป นี่เรียกว่า นี่มันๆ ไม่ใช่โคลนที่ใครแกล้งสาดโดยเจตนา เขาก็ทำไปตามความรู้สึกของเขาจริงๆ เราก็ไม่ได้โกรธเขา ได้แต่เดินยิ้มๆ ไปเท่านั้นเอง จนกว่าเสียงนี้มันก็จะหายไป
ทีนี้ก็มีผู้ใหญ่ไม่ใช่เด็กๆ ก็เข้าใจอย่างนั้นว่าเป็นพระบ้าหรือเป็นพระอุตริอวดดีวิตถารกันอยู่พักหนึ่งแหละ กว่าเขาจะพูดกันใหม่ว่าไม่บ้า นี่ก็ลองคิดดูสิว่ามันน่าล้อหรือไม่น่าล้อ ชีวิตของอาตมาที่ผ่านมา แล้วเปรียบกับสวนโมกข์เนี่ย มันมีเป็นระยะๆ อย่างนี้ มันน่าเอามาล้อหรือไม่น่าเอามาล้อ มาถึงเดี๋ยวนี้ก็ลองคิดดู เอ้า ไหนๆ เล่าเรื่องฝอยก็จะเล่าให้หมดก็ดีนะเพราะมันมีประโยชน์เหมือนกัน
00:43:00
มันมีเด็กๆ อายุ 14-15 เด็กผู้ชาย เขาให้มารับใช้ถากหญ้าถางหญ้า มันก็ไม่มีความรู้อะไรเลย เรื่องบุญ เรื่องกุศล เรื่องสวนโมกข์อะไร ไม่รู้ เขาก็มารับใช้ถางหญ้า เพราะว่าลุงเขาใช้ให้มา แล้วก็เป็นการอยู่ช่วยเหลือ รับจ้างอยู่ในตัว เราก็ให้ประโยชน์ตอบแทนเขา เด็กคนนี้มันแข็งและกระด้าง มันมีความคิดเห็นของตัวเอง มันว่าสวนโมกข์น่ะคือสวนโม่ คำว่าโม่บ้านนอกคือโง่ สวนโมกข์คือสวนโง่ เด็กคนนี้เขาว่าอย่างนั้น เขาดูอะไรๆ เห็นในสวนโมกข์อยู่กับอาตมา มันโม่ไปเสียทุกอย่าง คือมันโง่ไปเสียทุกอย่าง อย่างที่ว่ามาแล้ว เรื่องกินอาหารมันก็โง่ เรื่องนุ่งห่มมันก็โง่ ที่อยู่อาศัยมันก็โง่อะไร เขาก็เห็นว่ามันโง่ เขาก็ชอบพูดกับเด็กอื่นๆ ว่าสวนโมกข์นี้คือสวนโม่ เด็กที่ไม่รู้อะไรก็ยังสามารถจะสาดโคลนให้สวนโมกข์ให้อาตมาว่ามันเป็นพระบ้าบ้าง มันเป็นสวนโม่บ้าง
ทีนี้อาตมาก็บอกว่า เออก็ดีเหมือนกัน เราก็จะโม่ แต่ว่าเราจะโม่อย่างโม่แป้ง สวนโมกข์คือสวนโม่ มันไม่ใช่โม่โง่ มันโม่แป้ง มันจะบดให้แหลกละเอียดไปเลย อะไรที่เป็นความโง่ เป็นความหลงงมงายของประชาชนเนี่ย จะเอามาใส่โม่บดให้แหลกละเอียดไปเลยอย่าให้มันมีเหลือ มึงว่ายังไง มันก็ว่ายังสวนโม่อยู่นั่นแหละ
ทีนี้เด็กบางคนเขายังออกความเห็นว่า คำว่าโม่เนี่ย มันเผอิญในภาษาบ้านนี้ มันไปตรงกับคำว่า ที่ภาษากลางเรียกว่าละมุ ไอ้เปลือกไม้ไผ่ที่มากองๆ เข้าเป็นละมุ แล้วก็ดักปลาเวลาน้ำลง เขาเรียกว่าโม่ๆ ทีนี้เขาเรียกว่าโม่ๆ แล้วสวนโมกข์นี้มันก็เป็นส่วนโม่ดักปลา มันก็ถูกแล้ว เราก็ว่าไอ้สวนโม่เนี่ยมันก็ดักปลา ที่ดักเอาสิ่งที่ควรจะเอา เอาไว้แต่ของดี มันกรองเอาไว้แต่ของดี เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมวินัยนี้มันก็จะกระทำอย่างที่ไม่ไว้หน้าใคร ใครมีแก่นคนนั้นก็ทนอยู่ได้ ใครไม่มีแก่นทนไม่ได้ มันก็ออกไป มันเป็นเครื่องกรอง ถ้าสวนโม่นี้มันตรงกับคำว่าโม่ละมุแล้วก็ มันก็คือเป็นเครื่องกรอง จะเอาไว้แต่ส่วนที่มันมีประโยชน์ นี่แม้แต่เด็กๆแท้ๆ มันยังรู้จักวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ว่าเป็นสวนโม่บ้าง ว่าเป็นสวนโม่ละมุดักปลาบ้าง อะไรบ้าง
00:46:42
และเด็กคนนี้มันก็แปลกอีกอย่างหนึ่งซึ่งอาตมาก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่ามันเป็นเรื่องอะไร เด็กคนนี้ ถ้าว่าไปดุเขาสักคำหนึ่งว่าทำงานไม่เรียบร้อย เขาก็จะเอามีดมาลับ มีดครัวปลายแหลมมานั่งลับๆ อยู่เป็นชั่วโมงๆ เลย ก็สงสัยว่าทำไมมันจึงมาลับ แล้วก็ตาแดงโกรธอยู่ เลยถามว่า “แกจะฆ่าฉันหรือ” มันก็ไม่พูด แต่ถ้าดุมันทีไรมันจะนั่งลับมีดเป็นชั่วโมงจนขาวจั๊วะ เป็นเรื่องที่แปลกดีก็เอามาเล่าให้ฟังว่ามันผ่านมาอย่างนี้ ตอนนี้มันก็อยู่คนเดียว ยังอยู่คนเดียว ต่อมาจึงจะมีอยู่ 2 องค์ 3 องค์ ตอนแรกๆ ที่อยู่คนเดียวมันก็มีเรื่องที่น่าล้อขนาดนี้ อาตมาอยากจะพูดว่ามันก็เป็นเรื่องฟลุ้คหรือเรื่องบังเอิญ หรือเรื่องอะไรที่บอกไม่ถูกว่า ถ้าอาตมาไม่ได้บวชมันก็จะมีอะไรก็ลองคิดดู มันก็คงไม่ได้มีสวนโมกข์ แล้วมันก็คงไม่ได้มานั่งพบกันปะกันอย่างนี้ถ้าอาตมาไม่ได้บวช มันก็มีเหตุอะไรที่ทำให้ได้บวช มันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน คือมันไม่ได้สนใจเรื่องจะมีครอบครัว มีอะไร ไม่เข้าใจไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้เรื่อง เพราะว่ามันบ้าทำการทำงาน เป็นร้านค้าขาย บิดาก็ถึงแก่กรรมแล้วก็ต้องทำเองเต็มที่ มันจึงลืมนึกถึงเรื่องมีครอบครัวจนอายุ 21 ปี จึงต้องบวชตามธรรมเนียมให้มารดา บวชตามธรรมเนียมให้มารดา อาตมานี่บวชเข้ามาอย่างโง่เขลาที่สุด อย่างงมงายที่สุด ก็สารภาพว่าบวชตามธรรมเนียมให้มารดา แล้วก็ตกลงกันว่าบวช 3 เดือนเท่านั้นแหละ เพราะอาตมาไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร แต่เพื่อเป็นที่พอใจของมารดาก็บวช 3 เดือน
บวชนี่ 3 เดือนก็เลยไม่ได้สะสางบัญน้ำบัญชี มอบงานมอบอะไรกับใคร บอกให้ปิดๆ ไว้ก่อนเถอะ บัญชีอะไรๆ ก็ปิดๆ ไว้ก่อน จนกว่าอาตมาสึกออกมา แล้วค่อยมาสะสางดำเนินการต่อไปใหม่ นี่เป็นเรื่องที่น่าล้อหรือไม่น่าล้อ น่านึกคิดอะไรบ้างหรือไม่ แล้วพอครบ 3 เดือนแล้วมันก็ไม่ได้สึก เพราะว่าเกิดสนุกในเรื่องของบวชของเรียนนี้ขึ้นมา แล้วก็เผอิญที่ว่าน้องชายคือนายธรรมทาสเขาก็หยุดการเรียนมาอยู่ทำงานบ้านได้ อาตมาก็เลยไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องสึกก็ได้ ก็มีผู้มาทำงานแทน มันก็เลยอยู่มาได้ปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 ก็เรียนนักธรรมแล้วก็บ้าเทศน์ ไปเรียนนักธรรมกลางวัน พอกลับมาถึงวัดตอนเย็น ก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ให้ยายชีเขาฟัง จนบ่อนมันติดขึ้นมา แต่ก่อนนี้มันไม่มีคนฟังกี่คน จนกลายเป็นมีคนฟังเต็มศาลา มันก็บ้าเรียน บ้าเทศน์ บ้าสอน จนลืมสึก 1 ปีก็ลืมสึก 2 ปีก็ลืมสึก 3 ปีก็ลืมสึก พอ 4 ปีก็ไปเป็นครูสอนนักธรรม มันก็ลืมสึก พอ 5 ปี 6 ปีก็เรียนบาลี พอปีที่ 6 นี้เป็นปีที่ว่าปักหัวหกคะเมนเลย คือไม่ชอบแล้ว ไม่ชอบเรียนบาลี ไม่ชอบทำอย่างที่ทำอยู่ ถ้ามีเพียงเท่านี้ก็ต้องสึกแน่ แล้วก็เตรียมมาว่า จะสึกแน่ๆ ทีนี้ความคิดมันมาเกิดที่ว่าจะมีสวนโมกข์นี้ มันก็พบป่าวัดร้างที่พอจะอยู่อย่างสงบตามแผนการอันนี้ได้ มันจึงคิดมีสวนโมกข์ แล้วก็มีขึ้นในเวลาอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น และก็มีลักษณะที่มุ่งหมายจะปฏิวัติสิ่งซึ่งเศร้าหมองหรืองมงาย หรือไม่มีประโยชน์ มันก็บ้าอีกชนิดหนึ่ง มันเปลี่ยนรูปของความบ้า
00:52:58
ที่อาตมาเรียกว่าความบ้านี่ท่านทั้งหลายจะคิดนึกว่าอย่างไร จะเป็นเรื่องพูดเล่นลิ้น เล่นโวหาร หรือว่าจะพูดบ้าๆ ต่อไปอีก อาตมาอยากจะพูดว่า ถ้ามันไม่ถึงขนาดบ้าแล้วมันทำไปไม่ได้หรอก บ้าผู้หญิง บ้าผู้ชาย บ้าเงินบ้าทองอะไร มันทำให้ถึงขนาดบ้าแล้วมันจะทำอะไรมากๆ อย่างนั้นไม่ได้ ฉะนั้นเรื่องเล่าเรื่องเรียนเนี่ยมันต้องถึงขนาดบ้า มันจึงจะเรียนได้ดี พอถึงขนาดที่จะมีสวนโมกข์ มันก็ต้องมีขนาดบ้าอีกเหมือนกัน มันบ้ามี มันจึงอดทนได้ ทำได้ ลงทุนลงแรงได้ อะไรได้ มรดกส่วนที่มารดาเขาแบ่งให้ตามธรรมเนียม บอกให้ทุกสตางค์ มรดกส่วนของอาตมา เอามาใช้ในเรื่องของสวนโมกข์ ของการทำสวนโมกข์ พี่น้องคนอื่นเขาก็มรดกไปใช้อย่างอื่นตามใจเขา เราอยากจะมีสวนโมกข์ แล้วเราอยากจะออกหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาเพื่อกิจการของสวนโมกข์ และมรดกส่วนที่อาตมาได้รับก็ไม่พอหรอก โยมก็ต้องออกให้อีกตั้งมากมาย ส่วนของโยม จึงมีสวนโมกข์แล้วก็มีหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาออกมาอย่างนี้
ก็จะเป็นเรื่องน่าล้อหรือว่าน่าชมก็สุดแท้แต่ท่านจะคิดจะนึก แต่ผู้ที่จัดผู้ที่ทำนั้นก็ต้องทำมาด้วยความบากบั่นถึงขนาดที่เรียกว่าบ้าทำ มันจึงทำได้
หนังสือพิมพ์พุทธศาสนาก็ออกมาในปีรุ่งขึ้นคือปี 2476 เป็นแถลงการณ์ของคณะธรรมทาน คณะธรรมทานซึ่งต่อมาบัดนี้ก็ได้กลายมาเป็นมูลนิธิธรรมทานดังที่ปรากฏอยู่ ทีแรกก็เป็นเพียงคณะธรรมทานสมัครเล่น ไปตามที่จะทำได้ ไม่มีทุนไม่มีรอนอะไร
เอาละทีนี้ออกหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา มันก็เขียนไปตามความรู้สึก ถ้าอยากรู้เรื่องนี้จริงๆ ก็ไปค้นหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาตั้งแต่ปีแรกออก ถึงปีที่ 10 ที่ 20 ดู จะพบบทความที่เรียกว่ารื้อฟื้นสะสาง ชำระชะล้าง จนกระทั่งส่งเสริมในที่สุด สำหรับเรื่องของพระศาสนา
ทีนี้ผลที่ได้รับที่เป็นที่น่าพอใจมันก็พอจะมี แล้วก็ตรงความประสงค์ของเราอยู่ แต่ผลอีกชนิดหนึ่งซึ่งก็มากมายเหลือเกินคือบัตรสนเท่ห์ด่า เขาด่าไปยังนามปากกาที่เขียนนั่นแหละ และส่วนมากก็เป็นอาตมาทั้งนั้น เกือบทั้งนั้น ใช้นามปากกาต่างๆกัน เขียนในแง่นั้นใช้อย่างหนึ่ง เขียนในแง่โน้นใช้อย่างหนึ่ง บัตรสนเท่ห์นี้มันเป็นมากมายเหลือเกินที่เขาด่า และเขาด่าอย่างที่เรียกว่าสุดเหวี่ยงทั้งนั้น ไม่ได้ด่าอย่างขยักไว้หรือว่าจะให้เกียรติให้คุณอะไรกันบ้าง อันนี้ โคลนอย่างนี้มันก็เข้ามามากมาย เรียกว่าแทบจะท่วมหัวท่วมตา ท่านทั้งหลายจะมองว่ามันเป็นความผิดของใคร เราก็ทำไปด้วยเจตนาดีแท้ๆ พยายามทำมันสุดเหวี่ยง แล้วมันก็เกิดบัตรสนเท่ห์ด่า เหลือประมาณ ด่าอาตมาโดยตรงคือผู้เขียนก็มี ด่ารวมเป็นคณะ เป็นสวนโมกข์ เป็นคณะธรรมทานก็มี เนี่ย มันน่าล้อหรือไม่น่าล้อ
ถ้ามันยอมแพ้พังทลายไปตั้งแต่สมัยนั้นแล้วเราไม่ได้มานั่งพบนั่งพูดกันอยู่ที่นี่อย่างนี้ มันก็ไม่มีสวนโมกข์แล้ว มันก็อันตรธานเป็นอากาศธาตุไปแล้ว แต่ทีนี้มันด้วยความอดกลั้นทนทานอย่างเป็นบ้า ก็บ้าทนแล้วทีนี้ บ้าอะไรมาทุกๆ อย่างแล้ว มันก็มาถึงเรื่องบ้าทน ทนทาน ทนทำ มันก็รอดมาได้จนบัดนี้
00:57:58
ทีนี้ที่จะมีสวนโมกข์แห่งแรกที่พุมเรียงนั้นน่ะ มันไม่มีที่ไหนเหมาะเท่ากับวัดร้างแห่งหนึ่ง วัดร้างจนดูเป็นดงทึบ เป็นที่กลัวผี กลัวงู กลัวเสือ แต่เป็นวัดร้าง ก็เลยต้องเช่าเพราะว่าถ้าไม่เช่าไม่มีสิทธิที่จะไปอยู่ ไปยึดครอง ไปหวงห้ามอะไรต่างๆ เช่นคนจะตัดไม้ก็หวงห้ามไม่ได้ คนจะมายิงนกก็หวงห้ามไม่ได้ จึงจำเป็นต้องตัดสินใจว่าต้องเช่า แล้วมันก็ต้องเช่า ก็มีทนายความ ขอออกชื่อขอบพระคุณเขาไว้จนเดี๋ยวนี้ว่าชื่อนายคลิ้ง ศิวายพราหมณ์ เป็นทนายความที่มีชื่อเสียงอยู่ในสมัยนั้น ให้ความร่วมมืออย่างยิ่งว่า “ผมเองๆ ชื่อผมเองเช่าวัด และก็ชื่อผมเองที่จะประกาศต่อสู้หวงห้ามไม่ให้เข้ามาในวัดนี้ ในเขตนี้” เราก็มีสิทธิที่จะอยู่ในนั้นอย่างมีอำนาจสิทธิ์ขาดหวงห้ามอะไรได้ทุกอย่างจนนกเนี่ยเต็มไปหมดแหละ
คน คนอิสลามเขาเข้ามาเที่ยว มานั่งคุยด้วย เขาก็เลยพูด ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นภาษาผม คือภาษาอิสลาม มันก็เอาไปเป็นตะกร้าๆ ไปใส่หม้อแกงหมด ทำไมนกมันอยู่มากอย่างนี้ นกตัวเขียวๆ เนี่ยเพราะว่าเรามีสิทธิหวงห้าม ฉะนั้นใครจะไปเปิดวัดป่าอย่างสวนโมกข์ที่ไหนก็ต้องพยายามให้ได้สิทธิชนิดนี้มาถึงจะอยู่เป็นผาสุข อาตมาหวงห้ามได้ทุกอย่าง ต้นไม้ทุกต้นตัดไม่ได้ แม้แต่ผักก็ไม่ให้เก็บ เพราะถ้าให้เก็บผักมันก็มาเก็บผัก มันก็รำคาญ จะมาเก็บผักเก็บเห็ดก็ไม่ได้ ขอร้องอ้างสิทธิอันนี้ ถ้าไม่มีนกเป็ดน้ำมาอยู่ในสระ ในวัดนั่นน่ะ ตั้ง 3,000 ตัวเห็นจะได้ เต็มไปหมดถึงฤดูน้ำ นี่มันทำได้ ถ้าไม่มีกฎหมายไม่มีอะไรสิทธิตามกฎหมายมันก็ทำไม่ได้
01:00:37
เนี่ยเพราะว่าเราเช่า มีสิทธิ ทีนี้ต่อมามันก็มีเรื่องที่คิดดูแล้วมันก็น่าล้ออีก ซึ่งอาตมาก็ไม่สะดุดในข้อที่ว่า เอ้อ ทำไมเช่าวัดให้พระอยู่ว่ะ เมื่อไปที่วัดบวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่วัดบวรท่านให้ความเป็นกันเองกับอาตมามาก “ทำไมแกเช่าวัดให้พระอยู่ว่ะ” เราก็เลยสะดุ้ง ก็นิ่งไว้ในใจ ต่อมาก็ไม่เช่า ปีต่อไปไม่เสียค่าเช่าแล้วเพราะว่าเราก็มีอะไรลงรูปลงรอยแล้ว ไม่ต้องเสียค่าเช่า เช่าวัดให้พระอยู่นี่เลิกกันที มันบ้ามั้ย เช่าวัดให้พระอยู่ ก็ลองคิดดู มันน่าล้อหรือไม่น่าล้อ ท่านทั้งหลายก็ลองเอาไปคิดดู ถ้าอยากล้อ ก็ล้อกันเลย ล้อกันเดี๋ยวนี้ก็ได้ เรื่องเช่าวัดให้พระอยู่
01:01:58
การมีสวนโมกข์ มีหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาเป็นหนังสือพิมพ์ทางศาสนาออกเมื่อมีสวนโมกข์เมื่อ 48 ปีมาแล้ว มีคณะธรรมทาน มีสวนโมกข์ มีหนังสือพิมพ์พุทธศาสนามาออกเนี่ย ไม่ใช่มันเป็นเรื่องเดียวเดี่ยวโดดเฉพาะตัวมันเอง มันมีปฏิกิริยามาก คือในปีถัดมานั้นมันก็ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ ทางกรุงเทพฯ มากเพราะว่าเขาอายคนบ้านนอก
คนบ้านนอกมีหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาออกได้ ทำไมในกรุงเทพฯ ไม่มี ตอนนั้นหนังสือพิมพ์ธรรมจักษุก็สลบอยู่ คือเขาออกตั้งแต่ครั้งสมัยกรมพระยาวิชิตยาน แล้วมันก็หยุดอยู่ เงียบอยู่ไม่ได้ออก พอหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาออกไปหนังสือพิมพ์ธรรมจักษุก็ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก มันมานะหรือว่าจะละอายคนบ้านนอก ทีนี้พุทธสมาคมก็เกิดขึ้นในปีถัดมานั้นแหละ ซึ่งแว่วเข้ามาเข้าหูอาตมาว่าที่บ้านนอกเขายังทำได้ คณะธรรมทานเผยแผ่พุทธศาสนา ทีนี้ในกรุงเทพฯ นี้มันน่าอาย เขาก็ชวนกันตั้งพุทธธรรมสมาคมขึ้นมา ปรารภเรื่องพระโลกนาถที่กำลังอื้อฉาวด้วย คณะธรรมทานนี้ก็กำลังดังมากเกี่ยวกับการวิจารณ์วิพากษ์พระโลกนาถ อาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ พระราชธรรมนิเทศพวกนี้เขาก็ชวนกันตั้งพุทธสมาคมขึ้นมาในกรุงเทพฯ แต่ตอนนั้นเรียกว่าพุทธะธรรมสมาคมเพราะขายขี้หน้าคนบ้านนอก พูดตรงๆ อย่างนี้ กล้าพูดอย่างนี้ เพราะเสียงมันแว่วหูเข้ามาอย่างนี้ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่โต สำนักที่เรียกกันชั้นหลังว่าสำนักวิปัสสนาก็เริ่มมีขึ้นๆๆ เพราะได้ข่าวสวนโมกข์ก็มีขึ้นจนเดี๋ยวนี้ก็มากไปทั่วทุกหัวระแหง มีคนเลียนอย่างสวนโมกข์ไปจัดไปทำ อย่างที่เชียงใหม่อย่างนี้เขาก็เอาเลียนแบบสวนโมกข์ไปจัดไปทำ นี่คือปฏิกิริยาที่มันเกิดขึ้นมาจากการที่มีสวนโมกข์ มีคณะธรรมทาน มีหนังสือพิมพ์พุทธศาสนา
จึงพูดได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาที่เก่าที่สุดสำหรับการที่ออกกันอยู่เดี๋ยวนี้แต่มันไม่ไปเทียบกับธรรมจักษุที่เค้าเคยออกมายุคก่อนโน้น แล้วก็หยุดพัก แล้วเพิ่งมาตั้งต้นสมัยนี้ ก็มีหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาออกตามขึ้นมาหลายฉบับด้วยความมานะ ด้วยความละอายอะไรก็ตาม แล้วมันก็ล้มไป ออกแล้วก็ล้มไป เดี๋ยวนี้ก็มีเหลืออยู่อย่างที่เห็นๆ กันอยู่ ก็ไม่ต้องบอกก็ได้ แต่ว่าในชั้นแรกนั้นมันออกขึ้นมาด้วยการกระทำปฏิกิริยาต่อหนังสือพิมพ์พุทธศาสนาของคนบ้านนอกโง่ๆ คนในกรุงมากมายและฉลาดด้วยทำไมจึงทำไม่ได้ จึงไม่ออก นี่อยากจะล้อก็ล้อเถอะว่ามันมาอย่างนี้
01:06:10
ทีนี้มันเป็นการนำอะไรให้เกิดขึ้นอีกบางอย่าง ก่อนแต่มีคณะธรรมทานหรือมีสวนโมกข์เนี่ย การบรรยายแบบปาฐกถาสำหรับธรรมะนั้นไม่มี เนี่ยกล้าพูดอย่างนี้ เราเป็นคนทำพวกแรก เอาเรื่องของธรรมะที่เขามาใช้เทศน์บนธรรมาสน์นี่แหละ เอามาเปลี่ยนเป็นรูปปาฐกถา พูดอย่างธรรมดา ปาฐกถา นี่การบรรยายธรรมะอย่างรูปแบบปาฐกถามันก็เกิดขึ้น แล้วก็มีผู้เอาอย่าง จนกระทั่งว่าอุปกรณ์ทันสมัยอะไรต่างๆ ที่ต่อมามันก็ขยับขยายเนี่ย จะเรียกว่าที่นี่เราได้นำขึ้นก่อน แม้แต่เรื่องฉายสไลด์ธรรมะเนี่ยเรานำขึ้นก่อน ก่อนนี้มันไม่มี อาตมาต้องซื้อฟิล์มมาล้างเองเป็นภาพที่ฉายได้ เป็นภาพ positive เอาโครงรถยนต์มาต่อด้วยลังไม้ให้มันฉายได้ ประกอบขึ้นด้วยเองล้วนๆ เครื่องฉายสไลด์ จนกลายมาเป็นไปใช้เครื่องฉายสไลด์ที่มาจากเมืองนอกมันอีกหลายปี นี่เรานำในเรื่องอย่างนี้เพราะการมีสวนโมกข์ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มาทั้งในสองฝ่ายทั้งในแง่ดีและร้าย ที่แง่ร้ายก็สาดโคลนกันเรื่อยเพราะความอิจฉาริษยา ในหมู่ฆราวาสก็ทั้งมีทั้ง 2 ฝ่ายคือทั้งชอบและไม่ชอบ ในหมู่บรรพชิตก็มีทั้ง 2 ฝ่ายคือทั้งที่ชอบและไม่ชอบ ที่ชอบก็ถึงกับอุตส่าห์มาประทานกำลังใจ เช่น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ที่กำลังทำหน้าที่บัญชาการคณะสงฆ์แทนองค์พระสังฆราชอยู่ในขณะนั้น อุตส่าห์มาเยี่ยมสวนโมกข์ อยากจะเล่าไว้สักนิดหนึ่ง ท่านเหลือกำลังแหละที่ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ มันมีแต่รถคนถีบ ท่านว่ามันผิดวินัย “ฉันสบายดีอยู่ ฉันจะนั่งรถนั่งเกวียนที่สัตว์มีชีวิตนั้นลากนั้นไม่ได้” ท่านก็เดินจากสถานีรถไฟไปถึงสวนโมกข์ ตั้ง 5-6 กิโล ก็เห็นความเสียสละของท่าน ท่านยังอวดนาฬิกาชนิดหนึ่งแขวนที่สะเอว แล้วมันก็นับก้าวย่างได้ว่าท่านย่างไปกี่ก้าวจากสถานีไชยาถึงสวนโมกข์ มันก็หลายพันก้าว ท่านไปพักในกระท่อมธรรมดาสำหรับพระพักเนี่ย รู้สึกแล้วมันก็เหลือประมาณเพราะท่านเป็นสมเด็จรักษาการในพระสังฆราช แล้วก็พักในกระท่อมมุงจากเล็กๆ แล้วมดก็ชุม เนี่ย ผู้ที่เห็นอกเห็นใจความมีสวนโมกข์ในฝ่ายบรรพชิตก็มีถึงขนาดนี้ ในฝ่ายที่ไม่ชอบก็เป่าข่าวอกุศลเรื่อยไป ก็มีอยู่ทางหนึ่ง การมีสวนโมกข์เนี่ยมันน่าล้อหรือน่าชมก็ลองคิดดู
ทีนี้เราก็พูดได้ว่า มีสวนโมกข์เป็นวัดป่าอยู่อย่างพระเถื่อน เป็นวัดป่าพระเถื่อน ต่อมาก็มีผู้เห็นประโยชน์และร่วมมือด้วย พระเถื่อนคืออาตมาก็มีโอกาสทำงานร่วมมือกับรัฐบาล เช่นว่าไปช่วยอบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษา ก่อนที่จะรับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาเนี่ยได้รับการอบรมเสียก่อน 10 ชั่วโมง อาตมาก็ไปช่วยตั้งแต่ปีพ.ศ 2499 ก็เรื่อยมาตั้ง 10 กว่าปี นี่เป็นเหตุให้พระเถื่อนได้มีโอกาสร่วมมือกับรัฐบาลซึ่งมันไม่เคยมี พระเถื่อนมันก็เถื่อนไปเสียจริงๆ เดี๋ยวนี้เป็นพระเถื่อนแต่ว่า จะให้ร่วมมือกับรัฐบาลช่วยอบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาบ้าง อบรมในมหาวิทยาลัยบ้าง แล้วพระเถื่อนก็มีโอกาสร่วมมือกับคณะสงฆ์ให้ช่วยทำการเผยแผ่ ตอนนั้นอาตมาช่วยทำการเผยแผ่ในภาค 8 คณะสงฆ์นี่ จนได้รับการยกย่องแต่งตั้งเป็นเผยแผ่ประจำภาค 8 พระเถื่อนร่วมมือกับคณะสงฆ์ มันน่าล้อในข้อที่เป็นพระเถื่อนแต่มันก็น่ายินดีในข้อที่ว่ามันทำอะไรได้
01:12:00
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องคำว่าพุทธทาส การมีชื่อพุทธทาสนี้ถูกด่าก็มาก เห็นด้วยก็มี พยายามจะคัดค้านอยู่ก็มี อาตมาอยากจะบอกว่าอาตมาใช้คำว่าพุทธทาสเนี่ยเป็นชื่อปากกาสำหรับเขียนข้อความไปลงหนังสือพิมพ์รายวันที่กรุงเทพฯ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการรื้อฟื้นพุทธศาสนา ใช้ชื่อปากกาว่า พุทธทาส มาตั้งแต่ก่อนบวชเพราะมันเหมาะสมกับงานที่อยากจะทำ ทีนี้พอบวชแล้วมันก็ยิ่งเหมาะสมมากยิ่งขึ้น แล้วก็ใช้คำว่าพุทธทาสตลอดมา มันมาเข้าความหมายในคำทำวัตรเย็นว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโส ว เป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มันก็ยิ่งดี คำนี้มันก็เหมาะแล้ว บวชแล้วก็ยังใช้อยู่
ทีนี้ มันยังสะดวกว่ามีชื่ออย่างนี้โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลง สะดวก โดยเฉพาะสำหรับติดต่อกับพวกต่างประเทศ ใช้ชื่อพุทธทาสตลอดมาจนบัดนี้ ตั้ง 40-50 ปี จนบัดนี้ เขาไม่ลำบาก ถ้าใช้ชื่อท่านมหานั่น เจ้ากูนี่ เจ้าคุณนั่น เจ้าคุณนี่ เปลี่ยนเรื่อยเนี่ย ฝรั่งเขาเวียนหัว เขาถามอย่างที่น่าละอายว่าทำไมเปลี่ยนชื่อกันเรื่อย คุณบ้าหรือดี อาตมาก็ว่าไม่ ไม่เปลี่ยน ใช้ชื่อพุทธทาสจนบัดนี้ จนเดี๋ยวนี้ถ้าเขียนหน้าซองว่าพุทธทาส สวนโมกข์ ไชยา Thailand เท่านั้นแหละพอ มาถึงที่นี่โดยสะดวก มันมีผลอย่างนี้ เราจึงไม่ต้องเปลี่ยนชื่อบ่อยๆ เราใช้คำนี้
แต่ก็มีคนเอาไปล้อ ว่าอาตมานี้อวดดี เขาให้เป็นเจ้าคุณ แล้วก็ไม่ใช้ชื่อเจ้าคุณ ไปใช้ชื่อพุทธทาส ท่านทั้งหลายก็ช่วยพิจารณาดูที่เถิดว่ามันมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล สมควรด่าหรือควรเห็นด้วย จะล้อก็ล้อ มันก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ไม่ใช่จะดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตั้งให้เป็นเจ้าคุณชื่อนั้นชื่อนี้แล้วมันก็ไม่ใช้
อาตมาไม่ได้รังเกียจสมณศักดิ์หรือการแต่งตั้งบัญญัติอย่างนี้ เหมือนที่คนบางคนเขาด่าอาตมาว่าอวดดี ดูหมิ่นดูถูก เรื่องนี้เราเคยพูดกันแล้ว เคยศึกษากันแล้วว่ามันมีประโยชน์ ถ้าว่าพระ ก พูด กับเจ้าคุณ ก พูดเนี่ยผลประโยชน์จะแตกต่างกันมาก พระ ก พูดเนี่ย ไม่มีใครเชื่อไม่มีใครสนใจแต่ถ้าเจ้าคุณ ก สมเด็จ ก พูด คนเขาสนใจ เขายินดี เอาไปใคร่ครวญศึกษากันอย่างละเอียดละออ มันดีกว่ากันอย่างนี้ ทำไมเราจะต้องไปรังเกียจสมณศักดิ์ ราชทินนาม อะไรทำนองนั้น มันก็เอาไว้ใช้ในทางนั้นก็เป็นประโยชน์แต่ว่าอีกทางหนึ่งเพื่อความสะดวกหรือเพื่อเป็นที่ระลึกแก่พระธรรม แก่พระพุทธเจ้าแล้วก็ขอใช้ชื่อพุทธทาส ถ้าในวงพระเขาใช้ขอใช้ชื่อว่าอินทปัญโญ
เรื่องสวดกรรมวาจาอุโบสถกรรม นี่ถ้าเขาต้องระบุชื่อ เขาใช้ชื่อพระราชทินนามกัน อาตมาบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นสังฆกรรม มันเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ขอให้ใช้ชื่อพระพุทธเจ้าประทานเถิด อย่าใช้ชื่อราชทินนามเลย ขอเสนอแนะอย่างนี้ ก็มีคนเอาอย่างใช้ชื่อว่าอินทปัญโญแทนชื่อว่า อริยะนันทมุนีบ้าง ราชชัยยะกวี เทพพระวิสุทธิเมธีบ้าง อะไรที่มันเป็นชื่อพระเจ้าแผ่นดินพระราชทานนั้นก็เอาไว้ใช้ในทางราชการ ส่วนในทางเรื่องของพระของสงฆ์นี่ใช้ชื่อที่เราถือว่าพระพุทธเจ้าประทาน แม้ว่าชื่อนี้อุปัชฌายะตั้งให้แต่ก็ตั้งให้ในนามของพระพุทธเจ้า อาตมาถือว่าฉายาว่า อินทปัญโญ ที่อุปัชฌายะให้ ท่านให้ในนามของพระพุทธเจ้า จึงถือว่าเป็นชื่อที่พระพุทธเจ้าตั้งให้ เปลี่ยนไม่ได้อีกต่อไป ฉะนั้นจึงมีชื่อเต็มๆ ว่าพุทธทาสอินทปัญโญ และชื่อราชทินนามนั้นกลับจะเอามาเป็นวงเล็บไว้ใส่ใต้ชื่อนี้ ชื่อจริง ลายเซ็นนี้เรามีว่าพุทธทาสอินทปัญโญ แล้วก็วงเล็บตัวเขียนว่าพระเทพวิสุทธิเมธีก็ได้
01:18:29
ทีนี้มันมีเหตุผล แต่ก็มีคนด่า ด่าแล้วด่าอีก เอาไปเขียนในหนังสือพิมพ์ด่าบ้าง ล้อบ้าง มันมีอยู่อย่างนี้ วันนี้ก็เอามาล้อตรงเป็นวันล้ออายุนี้ เดี๋ยวก็จะขี้เกียจฟัง มันยังมีอีกแยะ ถ้าใครเบื่อแล้วรึยังก็ไม่ทราบ มันมีอีกแยะ ที่จะน่าล้อ น่าเอามาล้อ อย่างที่ว่ามาแล้วนี่แหละ ทีนี้วันนี้มันเป็นวันล้ออายุก็ลองล้อดู
คำว่าพุทธทาสเนี่ยมันมีความหมายว่าจะรับใช้ จะพิทักษ์พระศาสนา จะรับใช้พระศาสนา จะพิทักษ์พระพุทธศาสนาให้ถูกต้อง ให้ผุดผ่อง จะเผยแพร่ แผ่เผยแพร่ให้ไปกว้างขวางที่สุดตามพระพุทธประสงค์ นี่พยายามเหน็ดเหนื่อยทำให้เพื่อนพุทธบริษัทเข้าถึงหัวใจแท้จริงของพุทธศาสนาเนี่ยคืองานของพุทธทาส ยอมลำบากยอมฟันฝ่า จะต้องเสียชีวิตก็ยังยอมเพื่อจะทำให้พุทธบริษัทเราเข้าถึงหัวใจแท้ของพระศาสนา
ทีนี้มันบ้าอะไรก็ไม่รู้ มันเลยไปถึงกับว่าจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา อันนี้เป็นการทำให้ถูกด่าทั้งขึ้นทั้งล่อง อาตมาพยายามจะชี้หัวใจของศาสนาทุกศาสนาว่าเป็นของสิ่งเดียวกัน แม้ว่าเปลือกนอกจะต่างกันแต่เนื้อแท้มันเหมือนกัน ตรงที่ว่าให้ทำลายความเห็นแก่ตัวเสีย แล้วก็เห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็รักผู้อื่น เมื่อรักผู้อื่น กิเลสเกิดไม่ได้ เมื่อกิเลสเกิดไม่ได้ตลอดเวลา มันก็หมดไปได้ เนี่ย มันเหมือนกันที่ตรงนี้ คนที่หมดความเห็นแก่ตัว หมดกิเลสแล้วไปอยู่กับพระเจ้าทั้งนั้น จะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ เรียกว่าพระนิพพานก็ได้ เรียกว่าอะไรก็ได้ สรุปจิตที่มันหมดความเห็นแก่ตัวคือไม่เกิดกิเลส ฉะนั้นข้อนี้แหละคือข้อที่ว่ามันเหมือนกันทุกศาสนาโดยหัวใจ ส่วนเปลือกนอกหรือวิธีปฏิบัตินั้นมันก็แตกต่างกันบ้างเป็นธรรมดา เพราะมันเกิดขึ้นกันคนละยุคคนละสมัย เกิดขึ้นในภูมิประเทศที่มีแบบแห่งการครองชีวิตเป็นอยู่ที่ต่างกัน ทีนี้มันก็เหมือนกันไม่ได้ พระพุทธศาสนาเกิดในประเทศอินเดีย มันก็ต้องเหมาะกับรูปแบบการเป็นอยู่ของชาวอินเดีย คริสต์ศาสนาเกิดในปาเลสไตน์ มันก็ต้องมีรูปแบบที่เหมาะกับพวกยิว ศาสนาอิสลามเกิดในอาระเบีย มันก็ต้องมีความเหมาะสมกับพวกอาหรับ อย่างนี้เป็นต้น เปลือกนอกไม่ต้องเหมือนกันแต่ข้างในมันเหมือนกัน จนกระทั่งเปรียบเทียบว่าเหมือนกับน้ำ ไม่ว่าน้ำอะไร น้ำต่างๆ กันแต่ข้างในมีน้ำอันบริสุทธิ์ทั้งนั้น นั่นแหละเราเรียกว่าเหมือนกัน
มันก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา ว่าบางคนเขาเห็นว่านี่เป็นการทำลายพุทธศาสนาให้ลดไปต่ำเหมือนกับศาสนาอื่น พวกอื่นเขาก็มองว่า พวกศาสนาอื่นเขาก็มองว่าอาตมาพยายามจะกลืนศาสนาของเขา เขาก็เขียนด่า พวกพุทธด้วยกันเขาก็ว่าอาตมาเอาพุทธศาสนาไปขายเสียแล้ว ไปขายให้เป็นศาสนาอื่นเสียแล้ว หาว่าขบถแล้ว เขาก็ด่า นี่เรียกว่าอาตมาถูกด่าทั้งขึ้นทั้งล่อง ในเมื่อพยายามจะทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนาเพื่อร่วมมือกัน เพื่อสันติภาพ
เนี่ยคำว่าพุทธทาสเนี่ยมันเป็นเหตุให้ถูกด่าอย่างนี้ ถูกด่าหลายแง่หลายมุม ทุกระดับ คนที่เรียกว่าพุทธทาสนี้ก็ถูกด่า ที่จะเรียกว่าถูกสาดโคลนโดยเจตนา โดยหยอกล้อหรือว่าโดยทำเองด้วยความไม่รู้เท่าถึงการณ์ หรือไปข้างๆ โคลนกระเด็นมาถูก หรือไม่ดูให้ดี เหยียบหล่มลงไปในโคลน มันก็เป็นได้ทั้งนั้น นี่เป็นการเล่าเรื่องที่น่าล้อ ลองพิจารณาดูว่ามันน่าล้อ แล้วก็เอามาพูดในฐานะเป็นวันที่จัดไว้สำหรับการล้ออายุ ถ้าชีวิตนี้ไม่น่าอภิรมย์ชมชื่นแล้ว นี้เป็นส่วนที่น่าล้อจริงหรือไม่ ก็ไปคิดกันดูเถิด
01:23:39
นี่ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับคำว่าสวนโมกข์ เกี่ยวกับคำว่าพุทธทาส มีความเป็นมาอย่างขรุขระ ระหกระเหิน โซซัดโซเซมาในลักษณะอย่างนี้ แต่ถ้าท่านชอบสวนโมกข์ก็คงจะมองในแง่ดีว่า ถ้าอาตมาไม่ได้บวชและไม่ได้มาเป็นพุทธทาสในลักษณะอย่างนี้เราก็ไม่ได้มานั่งกันที่ตรงนี้ ใช่ไหม เพราะว่ามันมีอะไรที่มันขัดกันอยู่ หรือว่ามันจะแยกออกไปได้เป็น 2 ฝ่าย พูดเรื่องสวนโมกข์ให้จบ จะเป็นสวนโม่ สวนโมกข์ สวนอะไรก็สุดแท้แหละ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราก็ได้ทำแล้ว และมันก็เลยมีผลมาทำให้เรามานั่งกันอยู่อย่างนี้ได้ แล้วก็มาจากที่ไกลด้วยน้ำจิตน้ำใจ มานั่งอยู่กลางดินอย่างนี้ มันน่าล้อไหม เจ้าของบ้านต้อนรับแขกผู้มีเกียรติให้มานั่งกลางดิน มันบ้าหรือดี อาตมาก็ยังพยายามบอกว่านั่งกลางดินนี่เป็นที่นั่งที่นอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประสูติกลางดิน ตรัสรู้กลางดิน สอนกลางดิน จนกระทั่งนิพพานไปก็กลางดิน แล้วก็ใต้ต้นไม้ ทีนี้เราก็มานั่งกลางดินใต้ต้นไม้ เพราะเรามีสวนโมกข์ ถ้าไม่มีสวนโมกข์เราก็ไม่มีโอกาสจะมานั่งอย่างนี้ อันนี้มันบ้าหรือดี มันได้หรือเสีย มันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ขอให้ช่วยเอาไปคิดดู เราหวังว่าจะได้เป็นโอกาสให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ พระพุทธเจ้านั้นท่านตรัสรู้ธรรมชาติ คือพระธรรม เพราะว่าท่านเป็นผู้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ท่านอยู่ในป่า อยู่กลางดิน อยู่จนกว่าจะตรัสรู้ ตรัสรู้แล้วก็ยังอยู่กับดิน อยู่กลางดิน เนี่ยเราเป็นลูกศิษย์ของท่านก็จะต้องนึกกันถึงข้อนี้บ้าง แล้วเรามานั่งกันอยู่กลางดินอย่างนี้มันก็จะคงทำให้นึกได้ นึกได้เป็นแน่นอน เนี่ยมานั่งอยู่กลางดินที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ สั่งสอนและนิพพาน เราก็มีโอกาสที่จะรู้สึกต่อธรรมชาติ รู้พระธรรมที่เป็นกฎของธรรมชาติได้ อย่างที่เรียกว่าตามรอยพระบาทแห่งพระพุทธองค์ไปทีเดียว นั่งตรงนี้ นั่งกับดินอย่างนี้ ให้ธรรมชาติมันครอบงำจิตใจเรา ให้จิตมันหยุด ให้มันเย็น ให้มันว่าง ให้มันสะอาด ให้มันสว่าง ให้มันสงบ มานั่งตรงนี้ในลักษณะอย่างนี้ เป็นการตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง
ดังนั้นเราจึงถือว่าป่าสวนโมกข์เนี่ย มันเป็นกำลังแก่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ ตรงตามคำบาลีที่ว่าโมกขพลาราม โมกขะแปลว่าหลุดพ้น พละแปลว่ากำลัง อารามแปลว่าป่าไม้ที่ร่มรื่น ป่าไม้ที่ร่มรื่นที่เป็นกำลังแก่โมกขะคือความหลุดพ้น นี่คือความมุ่งหมายของชื่อที่มีอยู่ในชื่อเพื่อจะใช้ให้เป็นประโยชน์แก่พวกเราชาวพุทธ ว่าให้ป่าไม้นี้มันเป็นกำลังส่งเสริมแก่การหลุดพ้นจากความทุกข์
เพียงมานั่งกับธรรมชาติอย่างนี้จิตมันก็หยุดเอง เย็นเอง ว่างเอง สงบเองไปตั้งครึ่งตั้งค่อน และมันก็สามารถที่จะมีสมาธิ มีปัญญามองเห็นธรรมะส่วนที่ลึกไปกว่านั้นยิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ ไปจนกว่าจะถึงที่สุด อาตมาจึงถือว่าชื่อสวนโมกข์นี้ก็ดีแล้ว การมีสวนโมกข์นี้ก็ดีแล้ว ก็มีประโยชน์แล้ว ขอให้ช่วยกันคิดดู
แต่ข้อที่มันต้องถูกสาดโคลนตลอดเวลาเนี่ย มันคงจะไม่มีใครชอบ แต่อาตมาชอบเพราะว่าจะได้เป็นการลงทุนยิ่งๆ ขึ้นไป อาตมาจะรวบเอาการถูกด่า การถูกทำให้ลำบากเป็นการลงทุนรวมเข้าไปในต้นทุน เพื่อจะใช้ไปในการสืบอายุพระศาสนา ยิ่งด่าก็ยิ่งดี ไม่ต้องกลัวว่าจะเลวเหมือนที่เขาด่า มีแต่ว่าการด่านั่นแหละจะทำให้ทำอะไรได้มากขึ้น เลยได้ดีเพราะว่าถูกเขาด่า ได้ดีเพราะถูกเขาด่านี่มันน่าล้อหรือไม่น่าล้อ ถ้าน่าล้อก็ช่วยกันล้อก็แล้วกัน
01:29:50
ทีนี้ในสวนโมกข์นี่ก็มีกิจกรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งบางคนอาจจะไม่สนใจ หรือว่าเข้าใจผิดก็ได้ คือกิจกรรมที่เรียกอย่างไพเราะกันสักหน่อยว่ามหรสพทางวิญญาณ มหรสพทางวิญญาณ
คำว่ามหรสพเนี่ยชาวบ้านเขาใช้แต่เรื่องสนุกสนาน ละเม็งละครอะไร เรื่องโลก เรื่องกามารมณ์อะไรเป็นมหรสพ ทีนี้เรามีมหรสพอีกชนิดหนึ่งที่ตรงกันข้ามคือมหรสพในทางธรรม ในทางจิต ในทางวิญญาณที่จะเป็นเครื่องต่อต้านมหรสพทางโลกที่เป็นไปเพื่อกิเลสตัณหา มหรสพของชาวบ้านเป็นเรื่องเป็นไปเพื่อกิเลสตัณหา เราจะมีมหรสพทางวิญญาณ ทางพระศาสนาเพื่อจะต่อต้านมหรสพชนิดนั้น ข้อนี้มันเป็นความจริงที่บังคับให้ทำอย่างนี้ ก็คือข้อที่ว่าคนเราจะอยู่โดยปราศจากสิ่งประเล้าประโลมใจนั้นไม่ได้
เข้าใจหรือไม่เข้าใจช่วยฟังให้ดีหน่อยว่าอาตมากำลังพูดว่า คนเรานี้มันดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน จะอยู่โดยปราศจากสิ่งประโลมเล้าโลมใจนั้นก็ไม่ได้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ยังชอบสิ่งประเล้าประโลมใจ เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปเขายังศึกษา ค้นพบและพิสูจน์ว่า แม้แต่ต้นไม้เนี่ยก็ชอบการประเล้าประโลม เขาพิสูจน์ในห้องทดลองว่าเมล็ดพืชที่เพาะเป็นหน่อขึ้นมาในห้องทดลอง ที่มีเด็กไปร้องเพลง ไปเย้ายวน ไปเล่นหัว ไปพูดจาเนี่ย งอกงามเร็วกว่าเมล็ดที่เพาะไว้ในห้องทดลองที่ถูกทอดทิ้ง ข่าวว่ามีครั้งหนึ่งที่ประเทศอินเดียเกิดค้นพบว่า เอาเพลงเย็นๆ เป่าลงไปในทุ่งนาทำให้ข้าวออกรวงดีและได้มาก เขาเชื่ออย่างนั้น ในการพิสูจน์ของเขา ถ้ามันเป็นจริงอย่างว่านี้แล้วเราก็จะพูดว่า แม้แต่ต้นไม้ก็ชอบสิ่งประเล้าประโลมใจ สัตว์เดรัจฉานแม้แต่สุนัขและแมวที่เราเลี้ยงไว้ลองไปประเล้าประโลมกับมัน มันก็ชอบใจเหลือประมาณ มันก็รัก
ทีนี้คนก็ต้องอย่างนั้นแหละ มันต้องการสิ่งประเล้าประโลมใจอย่างเป็นปัจจัยที่จำเป็น ปัจจัยที่จำเป็นนั้นเขาพูดกันว่า มีอยู่ 4 อย่างคืออาหาร คือเครื่องนุ่งห่ม คือที่อยู่อาศัย และยาแก้โรค มีเท่านั้นปัจจัยจำเป็น อาตมาเห็นว่านั่นมันเรื่องวัตถุเท่านั้น มันไม่เกี่ยวกับจิตใจสักที ไม่มีอาหารใจสักที มันต้องมีอีกอันหนึ่งเข้ามาคือสิ่งประเล้าประโลมใจซึ่งเป็นเรื่องทางจิตใจ และต้องเป็นเรื่องทางธรรมะ ถ้าเราไม่มีทางธรรมะ เราก็ต้องไปหาทางกิเลส คือไปหามหรสพทางกิเลสที่ตลาด เรื่องกามารมณ์ อาบอบนวดอะไรก็ไป มันขาดไม่ได้ มันทนไม่ได้ มันต้องมีสิ่งประเล้าประโลมใจ เมื่อหาทางไหนไม่ได้ก็ไปหาทางกิเลส แต่ถ้าเรามีสิ่งประเล้าประโลมใจทางธรรม ทางจิตทางวิญญาณให้ ก็ไม่ต้องไปหาสิ่งประเล้าประโลมใจกิเลส ก็มาหาสิ่งประเล้าประโลมใจที่บริสุทธิ์คือพระธรรม พระธรรมนี้ถ้าเข้าถึงแล้วจะประเล้าประโลมใจ จะให้ความสุขแก่จิตใจยิ่งไปเสียกว่ามหรสพทางกิเลสแต่มันเข้าถึงยาก เข้าถึงลำบากที่จะเข้าถึงมหรสพทางวิญญาณ เราก็ต้องพยายามกันหน่อย ไม่ยอมแพ้
01:34:42
สวนโมกข์ที่นี่ก็มีมาตั้งแต่ 30 กว่าปีแล้ว กิจกรรมมหรสพทางวิญญาณคือโรงหนัง ที่เรียกว่าโรงหนังก็มีมาตั้ง 20 ปี ก็เป็นอันว่าเรายังไม่ค่อยได้รับผลในทางนี้ คนมาที่นี่ไม่ค่อยสนใจมหรสพทางวิญญาณ เพราะว่าคนเหล่านั้นติดแน่นแฟ้นในมหรสพทางเนื้อหนัง ทางกิเลส มันถอนยาก ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจมาพอใจในโรงมหรสพทางวิญญาณ เขามาเที่ยวที่นี่ก็มุ่งจะหาความประเล้าประโลมใจอย่างกิเลส มีหนุ่มสาวที่ไร้มารยาทมาใช้สถานที่นี้เป็นที่นั่งกระจู๋กระจี๋กระทั่งบนภูเขา พระเดินไปก็ไม่ละอาย เมินเสีย แกล้งทำเมินเสีย มาใช้ภูเขาของเราเนี่ยเป็นที่นั่งกระจู๋กระจี๋กัน คนหนุ่มคนสาว ดูท่าทางจะเป็นนักศึกษาก็มี ขอฝากนักศึกษาทั้งหลายไว้ด้วย เพราะรูปร่างมันเป็นนักศึกษาก็มี มันมานั่งทำอะไรที่ไม่น่าจะทำนี่ในสวนโมกข์นี้และบนภูเขาด้วย จะยกให้เป็นบาปของสวนโมกข์หรือเป็นบาปของใคร มันน่าล้อหรือไม่น่าล้อก็ช่วยไปคิดดูใหม่ แต่มันพิสูจน์ว่าคนที่สนใจมหรสพทางวิญญาณมันมีน้อย มันสนใจมหรสพทางเนื้อ ทางหนัง ทางกิเลสเรื่อยไป แม้เข้ามาในโรงมหรสพทางวิญญาณแล้วมันก็ยังต้องการจะทำอย่างกิเลส มันจึงมีวัยรุ่นหญิงชายไปจู๋จี๋กันบนหน้ามุกตึกโรงหนังนั่นเอง ไม่ต้องพูดถึงที่แถวท้ายเรือหรืออะไรที่มันห่างออกไป บนโรงมหรสพทางวิญญาณของเราแท้ๆ เขายังไปทำมหรสพสกปรกทางเนื้อทางหนัง อาตมาก็เลยต้องให้ทำรูปภาพขึ้นมารูปหนึ่งที่ผนังตึกด้านนอก มองจากนี้ก็เห็น มีการแจกลูกตา แล้วก็ 2-3 คนรับลูกตา นอกนั้นวิ่งหนีไปโดยไม่ต้องมีลูกตา คือหัวขาด วิ่งไปเป็นฝูงฝูงเลย เขาไม่ยอมรับบริการอันนี้ กลับไปหัวขาดเป็นฝูงๆ ผู้ที่สนใจจนได้รับลูกตาจากสวนโมกข์นี้มีไม่กี่คน ไปดูในรูปภาพก็แล้วกัน ลูกตาคือแสงสว่าง แสงสว่างคือพระธรรม ก็พยายามที่จะแจกลูกตาคือพระธรรมในฐานะบริการฟรีไม่เก็บสตางค์ มันก็ยังไม่ค่อยมีใครสนใจ เนี่ยอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า พระนิพพานนี้ให้เปล่าไม่เก็บสตางค์ แต่ก็ไม่ค่อยจะมีใครสนใจ เรื่องมหรสพทางวิญญาณในสวนโมกข์นี้ก็เหมือนกัน ให้เปล่าให้ฟรีแต่ไม่ค่อยจะมีใครสนใจ มันน่าหัวเราะ มันน่าล้อหรือไม่ ก็ต้องช่วยกันคิดดู
1:38:28
เนี่ยสวนโมกข์ที่ทำด้วยความมุ่งหมายอย่างนี้ มันก็ถูกสาดโคลน ถูกมองไปในแง่นั้นแง่นี้ แล้วแต่เขาจะค้นหาแง่ เมื่อค้นหาแง่มันก็ได้ และเมื่อจิตใจมันเป็นอันธพาล มันก็ต้องค้นหาพบแง่อันธพาลผิดๆ ได้ นี้เป็นที่แน่นอน ฉะนั้นขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ให้ระวังให้ดีๆ อย่าให้ได้ประมาท อย่าได้สะเพร่าเข้าใจผิดในเจตนารมณ์ของการมีสวนโมกข์
อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่าสวนโมกข์นี้รักษาหลักการอันเดิมคือมุ่งจะให้ความสะดวกแก่ผู้ที่เรียนปริยัติธรรมมาเพียงพอแล้วมาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อได้รับผลการปฏิบัติตามสมควรเถิด ก็ได้ชื่อว่าได้ช่วยกันสนับสนุนกิจกรรมของสวนโมกข์ให้เป็นไปตามวัตถุที่ประสงค์ คือเป็นที่สะดวกแก่ผู้ที่เรียนจบแล้วจะมาปฏิบัติเพื่อผลอันสูงขึ้นไปจากปริยัติ หรือว่าจะเป็นโรงมหรสพทางวิญญาณเพราะว่าประชาชนชาวบ้านทั้งหลายอย่าได้ไปลุ่มหลงในมหรสพทางเนื้อหนัง ทางกิเลสนั้นเลย การประเล้าประโลมใจนี้มันต้องมีแน่ เลือกใช้ให้ถูกๆ อย่าไปใช้ในรูปแบบของกิเลสเลย ให้มันเป็นเรื่องของพระธรรม มันก็จะเป็นความสุขเย็น ถ้าไปใช้ในเรื่องของกิเลสแล้วมันก็จะเป็นความ สุกร้อน ฟังดูให้ดีเถอะความสุกร้อน สุก ก สะกด จะได้รับประโยชน์ จะได้รับจากมหรสพทางเนื้อหนัง ความสุขเย็น สุขนี้ ข สะกด จะได้รับประโยชน์จากมหรสพทางจิต หรือทางวิญญาณ หรือทางธรรมะ
ถ้านั่งอยู่ตรงนี้นะ มันเกิดพอใจในธรรมชาติ หรือธรรมชาติมันทำให้จิตใจหยุดเย็นสงบลงไป ว่างจากตัวกูของกู มีความสุขเหลือที่จะกล่าวได้ นั่นคือผลของมหรสพทางวิญญาณ นั่งอยู่กลางดิน มีความเย็นอกเย็นใจ พอใจเหลือที่จะกล่าวได้ นี่คือผลของมหรสพทางวิญญาณ มหรสพที่ไม่เก็บสตางค์ ก็ได้ผลอย่างนี้ มหรสพที่ตลาดเขาเก็บสตางค์ก็ได้ผลเป็นอย่างอื่น ทีนี้ในสวนโมกข์มุ่งหมายจะทำอย่างนี้ให้สะดวกที่สุดสำหรับบุคคลผู้ต้องการมหรสพในทางวิญญาณ แล้วเราก็จะได้รับผลของพระธรรม คือความสงบแห่งจิตใจโดยง่ายๆ โดยสะดวก โดยง่าย
อาตมาจะพูดว่าถ้าใครคนหนึ่งเขาเดินเข้ามาในวัด เดินมาถึงตรงนี้ ผ่านตรงนี้ไปแล้ว ไม่รู้สึกสงบใจเย็นอกเย็นใจ พอใจบ้างแล้ว คนนั้นน่ะผิดปกติแล้ว คนนั้นถ้าเดินมาตรงนี้ มานั่งตรงนี้ไม่รู้สึกสงบใจพอใจบ้างแล้ว คนนั้นรีบไปหาหมอเถอะ หาหมอโรคจิต หาหมอโรคประสาท หาอะไรดีกว่า เนี่ยมันพิสูจน์อยู่ว่า มันเป็นโรงมหรสพทางวิญญาณ พอเดินผ่านมาตรงนี้ต้องสบายใจ ต้องมีจิตใจหยุด เย็น ยอมลงไป เป็นความสุข ทีนี้มันสะดวก มันง่ายอย่างนี้ เพียงเดินผ่านเข้ามามันก็เย็นอกเย็นใจ เป็นความสงบสุข เป็นมหรสพทางวิญญาณอย่างนี้ แม้ในชั้นต้นๆ ชั้นแรกๆ ที่เป็นชั้นชิมลองเท่านั้นเอง ถ้าได้ปฏิบัติเรื่อยไปๆ จนถึงที่สุดแล้วมันก็มากกว่านี้มาก แล้วมันก็ตลอดกาล คือว่าเป็นความสุขที่ไม่เปลี่ยนแปลง
อาตมาพูดกับท่านทั้งหลายในฐานะเป็นเรื่องล้ออายุ ล้อชีวิตที่ได้ผ่านมา โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับสวนโมกข์ แม้แต่การมีสวนโมกข์เนี่ยมันก็มีการกระทบกระทั่ง หรือที่จะเรียกว่าเปื้อนโคลนโดยวิธีต่างๆ กันเนี่ย มากมายเหลือเกิน แต่แล้วมันก็ยังไม่เข้า โคลนที่มาเปื้อนโดยทางอื่นนอกไปจากนี้คือการสั่งสอน การอธิบายธรรมะ อะไรอีกมากมาย ที่ทำให้ถูกคัดค้าน ถูกด่า ถูกว่ายังมีอีกมากมาย เอาไว้พูดกันในตอนต่อไป
นี้ก็ได้พูดมาถึง 2 ชั่วโมงแล้ว บางคนคงจะรำคาญแล้วก็ได้ บางคนคงจะโมโหแล้วก็ได้ ไม่เห็นพูดเรื่องอะไร พูดแต่เรื่องถูกล้อ พูดแต่เรื่องน่าล้อ อาตมาก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกันสำหรับการพูดไปตั้ง 2 ชั่วโมง มันก็ต้องหยุดการล้ออายุในตอนเช้าเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน และตอนบ่ายค่อยล้อกันใหม่ ตอนค่ำค่อยล้อกันใหม่ ถ้าใครอยากฟังก็ทนอยู่ทนฟัง อาตมาก็จะพูดให้ฟัง สำหรับในตอนนี้ขอยุติคำบรรยายล้ออายุไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน
ขอขอบคุณอาสาที่ช่วยถอดความและตรวจทาน,แชร์ได้ ขอบคุณครับ