ธรรมโฆษณ์โดยท่านพุทธทาส เรื่อง
สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 1 , 4สิงหา2512
เรื่องสุญญตาปริทรรศน์ มี 40 ตอน เกิดจากคำบรรยายอบรมภิกษุในพรรษาที่สวนโมกขพลารามไชยา ปี 2512 ทำเป็นหนังสือ 2 เล่ม คือ สุญญตาปริทรรศน์เล่ม 1 เป็นคำบรรยายครั้งที่ 1-26 กับ คำบรรยายครั้งที่ 27 - 40 ในพรรษาเดียวกัน คือ สุญญตาปริทรรศน์เล่ม 2.
ซึ่งการอบรมนี้มุ่งตรงสู่หลักปฏิบัติเกี่ยวกับสุญญตาในพระพุทธศาสนา แต่ละเรื่องจบสิ้นกระแสความในตัวเอง และ ในสุญญตาปริทรรศน์เล่ม 2 กล่าวถึง "ธรรมะในฐานะเครื่องมือ" ประยุกต์มาใช้ในการศึกษาปฏิบัติ
ในสุญญตาปริทรรศน์เล่ม 2 ตอนท้ายมีภาคผนวกเป็นคำบรรยายอบรมภิกษุภาคฤดูร้อนปี 2514 ให้แก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่สวนโมกขฯ ไชยา ระหว่างวันที่ 16 เมษา 2514 ถึง 28 เมษา 2514 ในชื่อเรื่องว่า สุญญตาธรรม.....สรุปจากคำนำในสุญญตาปริทรรศน์เล่ม 2
สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 1 เลขประจำเล่ม 38 ไม่พบไฟล์ที่ 13 ในต้นฉบับ
สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 2 เลขประจำเล่ม 38 ก
สุญญตาธรรม หมวด ค (อยู่ในภาคผนวกของ สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 2)
.
"..สำหรับเรื่องธรรมปาฏิโมกข์ทั้งหมด ไม่ว่าคราวไหนครั้งไหน มันก็เป็นเรื่องทำลายตัวกู-ของกู: นั่นแหละเป็นเรื่องสำคัญ : เพราะฉะนั้นเมื่อเราพูดถึงเรื่องรีบด่วนในทางธรรมะแล้ว ก็ไม่มีอะไร นอกไปจากเป็นการทำลายความยึดมั่นถือมั่น เรื่องตัวกู-ของกูนั่นเอง, แต่มันมีปัญหายุ่งยากมากตอนนี้ ที่ว่า ทุกหนทุกแห่ง หรือ พระมหาเถระผู้มีอำนาจท่านห้าม ไม่ให้เอาเรื่องทำลายความยึดมั่นเรื่องตัวตนนี้มาสอนพระใหม่, แทบทุกหนทุกแห่งเขาห้ามกันอย่างนี้ ว่าไม่ให้เอาเรื่องสูงสุดที่เขาสมมุติเรียกว่าโลกุตตระ, เรื่องหลุดพ้น, เรื่องทำลายความยึดมั่น, ซึ่งเป็นเรื่องสูงสุดเอามาสอนพระใหม่. แต่เรามันเห็นด้วยไม่ได้ เราเห็นว่ามันไม่มีเรื่องไหน, มันมีเรื่องเดียว; จะเป็นพระใหม่หรือพระเก่าก็ตาม มันมีเรื่องเดียว : เรื่องหาวิธีทางใดทางหนึ่ง ตามความเหมาะสมแก่ฐานะของตน แล้วทำลายความยึดมั่นว่าตัวกู - ว่าของกูนี้. แม้พระบวชใหม่เข้ามาใหม่ ๆ ทำไม่ได้มากก็จริง; แต่ก็ต้องมีความถูกต้องคือตรงจุด, ต้องมีความตรงจุด ถูกต้องในเรื่องนี้.
การทำลายความยึดมั่นถือมั่นนี้ มีได้หลายระดับเหมือนกัน : ถ้าเราจะเอาตั้งแต่ระดับที่อาจจะประพฤติได้แม้พระใหม่ ก็จะเป็นการตั้งต้นที่ตรงจุด ถูกต้องรวดเร็ว คุ้มกับที่ว่ามีโอกาสบวชเพียงสามเดือน. ถ้าจะให้ไปเรียนอย่างที่เขากำหนดไว้ เรียนธรรมะเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็เรียนคิหิปฏิบัติ ในเดือนสุดท้ายนั้น อย่างนี้ ผมไม่เห็นด้วย: แต่ไม่ต้องออกชื่อ เดี๋ยวจะเป็นการกระทบกระเทือน ผมถือเสียว่า คิหิปฏิบัติอย่างนี้บางคนก็มีอยู่แล้ว, แล้วไปอ่านเอาเองก็ได้ ไม่ต้องมาพูดมาเรียนมาอะไรให้เสียเวลาที่มีค่า ; อย่างที่เราบวชเพียงสามเดือนนี้ ต้องถือว่าเป็นเวลาที่มีค่า เป็นทองคำ;ถ้าไปเรียนเรื่องที่ไม่จำเป็น ก็น่าเสียดาย ฉะนั้นจึงมีความเห็นว่า ชั่วบวชเพียงสามเดือนนี้ ต้องรีบเรียนเรื่องไม่ยึดมั่นถือมั่น โดยตรง, แล้วก็ให้พอเหมาะสมแก่ระดับ.
คำว่า “เรียน” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าเรียนอ่านอย่างเดียว แต่เป็นการเรียนทำ, เป็นการเรียนกระทำ.
ให้ถือไว้เป็นหลักว่า ในพุทธศาสนา เมื่อพูดว่า ศึกษาหรือเล่าเรียน เขาหมายถึงการกระทำทั้งนั้น การกระทำลงไปเลย นั่นแหละคือการเล่าเรียน : ฉะนั้นเราต้องถือโอกาสทำเลย โดยไม่ต้องเรียนชื่อเรียนเสียง หรือเรียนทฤษฎีอะไรกันมากนัก. ให้รีบตั้งต้นเสียเลย ในการกระทำที่ว่านี้ โดยมีหัวข้อง่าย ๆ ว่า : เมื่อก่อนบวชจนกระทั่งวันบวชนี้ ทำอะไร ๆ เพื่อตัวเองทั้งนั้น, แต่พอบวชเข้ามาแล้วอย่างนี้ต้องเปลี่ยน เปลี่ยนอย่างกลับหลัง ต้องทำอะไร ๆ เพื่อไม่ใช่ตัวเอง จะเรียกว่า เพื่อความว่างก็ได้: แต่ว่าฟังมันสูงไป ถ้าเรียกว่า เพื่อผู้อื่น มันค่อยยังชั่ว แต่ถ้าเพื่อผู้อื่น ก็เปรียบได้ว่า ไม่ใช่เพื่อตัวเองอยู่เหมือนกัน.
นับแต่บวชเข้ามาแล้วนี้ เราต้องเปลี่ยนกลับหลังตรงกันข้ามในข้อที่ว่า เคยทำเพื่อตัวเองนั้น จะต้องเปลี่ยนเป็นทำเพื่อผู้อื่น เมื่อก่อนนี้มีอาชีพ ตามความสามารถของตน ๆ หาเงินหาชื่อเสียง หาอะไรก็ตาม เพื่อตัวเองทั้งนั้น เพื่อผู้อื่นก็แต่ปากเท่านั้น : ที่จริงมันก็เพื่อตัวเอง หาเงินไว้ให้มากอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องของ
ฆราวาส มันก็อยู่อีกส่วนหนึ่ง, หรือว่าอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่แล้วไปแล้ว, เดี๋ยวนี้ ย่างเข้ามาในการบวช มันก็ต้องตรงข้าม : หัวข้อใหญ่มีอยู่อย่างนี้"
จากหนังสือ สุญญตาปริทรรศน์เล่ม 1 หน้า 4-5
อ่าน https://drive.google.com/drive/folders/1lSxfWRO0IU0ASUNYflMwPFAOEe9ZJIMT?usp=sharing
ขอท่านเซฟเก็บไว้ใช้และเชิญรับฟังได้แล้วครับ