คำถาม
อาจารย์ครับ แล้วอย่างพระยาอมรฤทธ์ิธํารง ที่พาอาจารย์ตระเวนเทศน์ตลอดภาคใต้ และอาจารย์เคย บอกว่าถือเป็นอาจารย์หนึ่งนั้น เป็นในแง่ไหนครับ
.
ท่านพุทธทาสตอบ
เป็นในแง่ที่พูดเล่าเร่ืองต่าง ๆ ที่เราไม่รู้ให้ฟัง เรื่องที่คนอื่นพูดไม่ได้ เล่าไม่ได้ ตลอดเวลาที่สัมพันธ์กัน แม้แต่นั่งในรถไฟก็พูดคุยให้ฟัง พักที่ไหนก็เล่าให้ฟัง ตลอดเวลา ทัง้เร่ืองส่วนตัวและเร่ืองคนอื่น แสดงความ คิดเห็นทางธรรมะธัมโม บางทีก็ทักเร่ืองภาษาไทยที่ผมเขียนหรือพูดผิด ผมใช้คําว่าอลเวง ท่านก็บอกว่าที่ พูดนัน้ต้องหมายถึงอลวนอลเวง ต้องไพเราะครืน้ เครง ไม่มีความหมายในทางร้าย ถ้าอลวนมีความหมาย ในทางร้าย อย่างนีเ้ป็นต้น
ครั้งหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า ฝรั่งที่รัฐบาลเชิญมาเป็นที่ปรึกษาเร่ืองข้าว ในฐานะผู้เช่ียวชาญเร่ืองข้าว พอเดินทางเข้ามาทางรถไฟจากสิงคโปร์ เห็นข้าวในนา ๒ ข้างทางรถไฟ ไม่รู้จัก ต้องถามคนที่นั่งมาด้วยว่า นั่นต้นอะไร อย่างนีก็้ ยังมี
บางทีก็เล่าเร่ืองเพื่อนฝูงที่กรุงเทพฯ อย่างนายเลิศที่คุ้นเคยกันมา เคยหยอกล้อกันมา สมมติเป็น นิทานหยอกล้อกันก็มี ทําให้ผมได้รู้ว่าเออ คนพวกนีเ้ขาเจริญขึน้มาได้อย่างไร มีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ศึกษากันมาอย่างไร จึงเป็นอย่างที่เขาเป็น ๆ กันอยู่ ซึ่งมันคงมีอีกไม่ได้ สําหรับสมัยต่อ ๆ ไป เพราะอะไร ๆ มันเปลี่ยนไปหมด คนแบบนั้นเป็นคนธรรมดาสามัญแบบหนึ่งแบบคนสมัยโบราณ มีอารมณ์ มีความนึกคิด ตรงกันข้ามกับเด็ก ๆ สมัยนี ้ เขาไม่ค่อยแตกตื่น ไม่ตื่นตูม ไม่คิดไปในทางอวดดี มีความคิดเห็นของตนเอง ไม่แสดงตนเป็นผู้รู้ มีการคุยสนุกแบบล้อเลียนอย่างสุภาพ
ตัวพระยาอมรฤทธ์ิเอง เป็นคนสนใจธรรมะ เป็นนักศึกษาธรรมะ ทําสมาธิกรรมฐานแบบง่าย ๆ มี ความคิดซื่อตรงละเอียดแบบคนประจบประแจงไม่เป็น เป็นภาพพจน์ของขุนนางผู้ใหญ่ที่สุจริต เยือกเย็น สุขุม แน่วแน่ วางตนไม่เจ้ายศเจ้าอย่าง เป็นคนมีอารมณ์ขันอยู่มาก มีนิสัยอารมณ์ขัน ชอบความขัน พูดให้ เกิดอารมณ์ขันอยู่เสมอ ขันแบบผู้ใหญ่แบบโบราณ
ทางการเมือง ไม่วางตัวเป็นฝ่ายไหน เป็นฝ่ายตัวเองมาก ๆ ฝ่ายที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้อง ไม่แสดงออก นอกหน้าว่าเป็นฝ่ายไหน เป็นแบบฉบับของคนโบราณได้คนหนึ่ง เคยบวชเรียนมา และศึกษาธรรมะอยู่เร่ือย ลูกชาย ๓ คน ก็เคยให้มาบวชที่นี่ ต้องการให้บวชแบบพระป่า แทนพระเมือง
เร่ืองคนที่รู้จักเหล่านี้ เล่าไปก็เหมือนกับยกย่องตัวเอง สรรเสริญตัวเอง ชวนให้คนอื่นนึกคิดไปได้ว่า เราพูดเพื่อประโยชน์ของตัวเอง แล้วมันก็มีแต่เร่ืองอย่างนีเ้สียด้วย คือเล่าเร่ืองคนที่เขายกย่องนับถือเราก็ เท่ากับยกตัวเอง มีอีกคนหนึ่ง อย่าเอ่ยช่ือเขาเลย ถึงกับนิมนต์ให้เข้าไปฉันในห้องนอน ถือตามความเช่ือ แบบเก่า ๆ ให้เป็นสิริมงคลอะไรทํานองนั้น ผมไปกรุงเทพฯ ทีไร ก็ต้องมาคอยดูแลว่าจะฉันอะไร ผมไม่ได้ บอกหรอก แล้วแต่จะเอามา มีปิ่นโตหลาย ๆ สาย หลาย ๆ คน
หลาย ๆ คนก็ติดต่อกันมาเร่ือย ๆ จนตายจากกันไป โดยมากก็ไม่ได้ไปเผาศพด้วย ศพเจ้าคุณลัดพลี ฯ ก็ไม่ได้ไป เขาดีเกินกว่าที่จะไป ไปเหมือนกับไปล้อเล่น ทําอะไรเล่น งานสมเด็จวัดเทพศิรินทร์ผมก็ไม่ได้ไป งานศพคุณปรานี งานศพแม่ของคุณชํานาญ ก็ไม่ได้ไปทัง้ นัน้ ไม่อยากได้เกียรติ ไม่อยากเป็นผู้มีเกียรติ เจ้าภาพเขาคงเสียใจบ้าง แต่เราคิดว่ามานั่งคนเดียว คิดถึงคุณความดีของเขาดีกว่าไปเผาเขา ความดีของ เขามีมาก ไปงานศพสัก ๑๐ หนมันก็ไม่คุ้มกับความรัก ความเสียสละของเขา ยุคก่อน ๆ ที่ไปงานศพที่ กรุงเทพฯ ก็มี ๒-๓ รายเท่านัน้ งานศพแม่พูน ลูกโยมตุ้มรายหนึ่ง เพราะเราได้รับอุปการะจากโยมตุ้ม ตลอดเวลาที่ไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ แล้วก็ไปงานศพพระยาอรรถกรมมนุตตี คนบ้านใกล้เรือนเคียงรู้จัก คุ้นเคยมาตัง้แต่เด็ก ดังที่เคยเล่าแล้ว แล้วก็งานศพพระยาอมรฤทธ์ิ ที่เราถือว่าเป็นอาจารย์คนหนึ่ง ไปวัน เดียวแล้วก็กลับ
จาก เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา หน้า 274
ฟัง-อ่าน เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา อัตชีวประวัติของพทธภิกขุ
https://u.pcloud.link/publink/show?code=kZT5ib5ZItULfLdRJzzLIjLeHr4jN4Bd31i7
.
ภาพประกอบจาก
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=3113339008903264&id=2276209862616187&set=a.2277970299106810