วันนี้ในอดีต 23พค2510
ท่านพุทธทาสแสดงธรรมเทศนา #ธรรมวิจักขณกถา ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
ในโอกาสทรงบำเพ็ญพระราชกุศล #วิสาขบูชา
ณ. วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ไชยา
เมื่อเพ็ญเดือนหก ที่ 23 พ.ค. 2510
โดย #พุทธทาสภิกขุ
ฟัง Podcast
https://on.soundcloud.com/g3WtL
.
Youtube
.
อ่าน ธรรมวิจักขณกถา
https://drive.google.com/file/d/1l3cyi3E3RnVzvH1s7LzGVqX4C7B27iSd/view?usp=sharing
แชร์ได้ ขอบคุณครับ
.
ตามรอยพระยุคลบาทด้วยทศพิธราชธรรม 8-17มค2531,
by สืบสานงานท่านพุทธทาส #SoundCloud
https://on.soundcloud.com/aPNtr
.
ขอถวายพระพร เจริญพรพระราชสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลพระชนมสุขทุกประการ จงมีแด่สมเด็จ บรมบพิตรพระราชสมภาร พระองค์สมเด็จพระปรมินทรธรรมิกมหาราชาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ จักรับพระราชทานถวายวิสัชนา ในธรรมวิจักขณกถา ฉลองพระเดชพระคุณประดับพระปัญญาบารมี, ถ้ารับพระราชทานถวายวิสัชนาไป มิได้ต้องตามโวหารอรรถาธิบาย ในพระธรรมเทศนาบทใดบทหนึ่งก็ดี ขอเดชะพระเมตตาคุณ พระกรุณาธิคุณ และพระขันติคุณ ได้ทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานอภัยแก่อาตมะผู้มีสติปัญญาน้อย ขอถวายพระพร.
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธธัสสะ ฯ
โย ธัมมัง ปัสสะติ, โส มัง ปัสสะติ โย ธัมมัง นะ ปัสสะติ, โส มัง นะ ปัสสะตี-ติ ธัมโม สักกัจจัง โสตัพโพ ติ ฯ
ณ บัดนี้ จักได้รับพระราชทานถวายวิสัชนา ในธรรมวิจักขณกถา ดำเนินความตามวาระพระบาลี ดังที่ได้ยกขึ้นไว้เป็นนิกเขปบทเบื้องต้นว่า โย ธัมมัง ปัสสะติ โส มัง ปัสสะติ ฯลฯ เป็นอาทิ ซึ่งมีใจความว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ; ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเราตถาคต” ดังนี้ เป็นต้น เพื่อเป็นธรรมเทศนา เนื่องในโอกาสพระราชกุศลวิสาขบูชา ตามพระราชประเพณี
ก็แล ในการกุศลวิสาขบูชานี้ พุทธบริษัททั้งหลาย ย่อมถวายการบูชาอันสูงสุดด้วยกาย วาจา ใจ แด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า, การบูชาด้วยกาย ก็คือการเดินเวียนประทักษิณ เป็นต้น, การบูชาด้วยใจ ก็คือการน้อมระลึกถึงพระคุณของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น อยู่ตลอดเวลาแห่งการกระทำวิสาขบูชา.
ก็แต่ว่าการกระทำทั้งสามประการนี้ จักสำเร็จประโยชน์เต็มที่ได้ ก็ด้วยการเห็นธรรมตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ดังที่กล่าวแล้วข้างต้นนั้นเอง. ดังนั้น จะได้ถวายวิสัชนาโดยพิสดาร ในข้อความ
จากพุทธภาษิตนั้น ย่อมแสดงให้เห็นได้โดยประจักษ์อยู่แล้วว่า “พระพุทธองค์จริงนั้น คือสิ่งที่เรียกว่า ธรรม” หรือ “ธรรม นั่นแหละ คือพระพุทธองค์ องค์จริง”, ด้วยเหตุนั้นเอง พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเราตถาคต ; ต่อเมื่อเห็นธรรม จึงชื่อว่าเห็นตถาคต.
ก็แล ในสมัยที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนมชีพอยู่นั้น พระสรีระร่างกายของพระองค์ได้ตั้งอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนแห่งธรรม สำหรับรับเครื่องสักการบูชา แห่งสัตวโลกทั้งหลาย เป็นต้น ครั้นพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ก็มีพระสารีริกธาตุ คือธาตุอันเนื่องกับพระสรีระนั้น ได้เหลืออยู่เป็นตัวแทนแห่งธรรม สืบไปตลอดกาลนาน ดังเช่นพระสารีริกธาตุแห่งนี้ที่พุทธบริษัททั้งหลาย มีสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเป็นประธาน ได้กระทำสักการบูชา เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อสักครู่นี้.
ข้อนี้ สรุปความได้ว่า พระพุทธองค์ พระองค์จริงนั้นยังอยู่ตลอดกาล และเป็นสิ่งเดียวกันเสมอไป. ได้แก่สิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” ส่วนนิมิต หรือตัวแทนแห่งธรรมนั้น เปลี่ยนแปลงไปได้ตามควรแก่สถานะ, คือจะเป็นสรีระของพระองค์โดยตรงก็ได้, หรือจะเป็นพระสารีริกธาตุก็ได้, หรือจะเป็นอุทเทสิกเจดีย์มีพระพุทธรูปเป็นต้น ก็ได้, แต่ทั้งหมดนั้น ล้วนแต่มีความหมายอันสำคัญ สรุปรวมอยู่สิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” นั่นเอง.
คำว่า “ธรรม” คำนี้ เป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลก, เป็นคำที่แปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ ได้มีผู้พยายามแปลคำคำนี้เป็นภาษาต่างประเทศ เช่นภาษาอังกฤษเป็นต้น ออกไปตั้ง ๒๐-๓๐ คำ ก็ยังไม่ได้ความหมาย ครบ หรือตรงตามความหมายของภาษาบาลี หรือภาษาของพุทธศาสนา. ส่วนประเทศไทยเรานี้ โชคดี ที่ได้ใช้คำคำนี้เสียเลย โดยไม่ต้องแปลเป็นภาษาไทย, เราจึงได้รับความสะดวก ไม่ยุ่งยากลำบากเหมือนพวกที่พยายามจะแปลคำคำนี้เป็นภาษาของตน ๆ
คำว่า “ธรรม” เป็นคำสั้น ๆ เพียงพยางค์เดียว แต่มีความหมายกว้าขวางลึกซึ้ง น่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง เพียงไร เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาดูอย่างยิ่ง ดังต่อไปนี้.
ในภาษาบาลี หรือภาษาพุทธศาสนาก็ตาม คำว่า “ธรรม” นั้น ใช้หมายถึงสิ่งทุกสิ่ง ไม่ยกเว้นสิ่งใดเลย, ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดี สิ่งชั่ว หรือสิ่งไม่ดีไม่ชั่ว ก็รวมอยู่ในคำว่า “ธรรม” ทั้งหมด ดังพระบาลีว่า กุสลา ธัมมา, อกุสลา ธัมมา, อัพยากะตา ธัมมา, เป็นอาทิ.
ลักษณะเช่นที่กล่าวนี้ของคำว่า “ธรรม” ย่อมเป็นอย่างเดียวกันกับคำว่า “พระเป็นเจ้า” แห่งศาสนาที่มีพระเป็นเจ้า เช่น ศาสนาคริสเตียนเป็นต้น. คำคำนั้น เขาให้ความหมายว่า สิ่งทุกสิ่ง รวมอยู่ในพระเป็นเจ้าเพียงสิ่งเดียว. ดังนั้น แม้ในวงพุทธศาสนาเรา ถ้าจะกล่าวกันอย่างให้มีพระเจ้ากะเขาบ้างแล้ว เราก็มีสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” นี้เอง ที่ตั้งอยู่ในฐานะเป็น “พระเป็นเจ้า” อย่างครบถ้วนสมบูรณ์. ทั้งนี้ก็เพราะว่าสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” ในพุทธศาสนานั้น หมายถึงสิ่งทุกสิ่งจริง ๆ.
เพื่อให้เห็นได้อย่างแจ้งชัดและโดยง่าย ว่าสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” หมายถึงสิ่งทุกสิ่ง อย่างไรนั้น เราอาจจะทำการจำแนกได้ว่า “ธรรม” หมายถึงสิ่งเหล่านี้ คือ
(๑) ธรรมชาติทุกอย่างทุกชนิด ล้วนแต่เรียกในภาษาบาลีว่า “ธรรม” หรือธรรมในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติ นั่นเอง.
(๒) กฎของธรรมชาติ ซึ่งมีประจำอยู่ในธรรมชาติเหล่านั้น ก็เรียกในภาษาบาลีว่า “ธรรม” อีกเหมือนกัน, นี้คือ ธรรม ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ, และมีความหมายเท่ากันกับสิ่งที่เรียกว่า “พระเป็นเจ้า” ในศาสนาที่ถือว่ามีพระเป็นเจ้าอยู่อย่างเต็มที่แล้ว.
(๓) หน้าที่ต่าง ๆ ที่มนุษย์จะต้องประพฤติหรือกระทำ ในทางโลก หรือทางธรรมก็ตาม, นี้ก็เรียกโดยภาษาบาลีว่า ธรรม อีกเหมือนกัน. มนุษย์ต้องประพฤติให้ถูกให้ตรงตามกฎของธรรมชาติ จึงจะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา. มนุษย์ส่วนมากสมัยนี้หลงใหลในทางวัตถุมากเกินไป ไม่สนใจสิ่งที่เป็น ความสุขทางนามธรรม ข้อนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎของธรรมชาติ จึงเกิดการยากนานาประการที่เรียกว่า “วิกฤติกาล” ขึ้นในโลก จนแก้กันไม่หวาดไม่ไหว. มนุษย์สมัยนี้ ต้องการสิ่งประเล้าประโลมใจ เหมือนคนในครั้งพุทธกาล. และยิ่งไปกว่านั้น อีกก็คือ มนุษย์สมัยนี้ มีการกักตุนเอาไว้เป็นของตัว หรือพวกของตัว มากเกินไป จนผิดกฎของธรรมชาติ, จึงได้เกิดลัทธิอันไม่พึงปรารถนาขึ้นมาในโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดมาแต่ก่อน ดังนี้เป็นต้น. ข้อนี้ เป็นตัวอย่างของการที่มนุษย์ ประพฤติหน้าที่ของตน อย่างไม่สอดคล้องกันกับกฎของธรรมชาติ, หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ประพฤติผิดต่อธรรมฝ่ายที่จะเป็นไปเพื่อดับทุกข์. แต่ได้เป็นไปในฝ่ายที่จะสร้างความทุกข์ขึ้นมาในโลก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด. นี้อย่างหนึ่ง.
(๔) ผลของการทำหน้าที่ หรือการปฏิบัติ. ที่เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ เช่น ความทุกข์ ความสุข หรือการบรรลุมรรคผลนิพพาน หรือแม้ที่สุดแต่ความเป็นพระพุทธเจ้า ของพระพุทธองค์ก็ดี ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นผลของการทำหน้าที่ หรือการปฏิบัติไปทั้งนั้น, ทั้งหมดนี้ ทุกชนิดทุกอย่าง ก็ล้วนแต่เรียกโดยภาษาบาลีว่า “ธรรม” อีกเหมือนกัน. ทั้งหมดนี้ คือความหมายอันกว้างขวางของคำว่า “ธรรม” ซึ่งมีอยู่เป็นประเภทใหญ่ ๆ ๔ ประเภท.
สรุปแล้ว คำว่า “ธรรม” เพียงพยางค์เดียว หมายความได้ถึง ๔ อย่าง คือ หมายถึง ตัวธรรมชาติก็ได้, หมายถึงกฎของธรรมชาติก็ได้, หมายถึงหน้าที่ ที่มนุษย์ต้องทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติก็ได้, และหมายถึงผลต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ ก็ได้. นับว่าเป็นคำพูดคำหนึ่ง ที่ประหลาดที่สุดในโลก, และไม่อาจจะแปลเป็นภาษาอื่นได้ ด้วยคำเพียงคำเดียว ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น
เมื่อสิ่งที่เรียกว่าธรรม มีมากมายมหาศาลอย่างนี้ ปัญหาจะเกิดขึ้นมา คนเราจะรู้ธรรม หรือเห็นธรรม ได้ทั้งหมดอย่างไรกัน?
เกี่ยวกับข้อนี้ พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้เองแล้วว่า เราอาจจะรู้ได้หมด และปฏิบัติได้ทั้งหมด ในส่วนที่จำเป็นแก่มนุษย์หรือเท่าที่มนุษย์จะต้องเข้าเกี่ยวข้องด้วย. ส่วนที่เหลือนอกนั้นไม่ต้องสนใจเลยก็ได้, ข้อนี้ พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า ธรรมที่ตถาคตได้ตรัสรู้ทั้งหมดนั้น มีปริมาณเท่ากับใบไม้กำมือเดียว. ข้อนี้หมายความว่า ทรงนำมาสอนเท่าที่จำเป็นแก่การดับทุกข์โดยตรง เท่านั้น.
ธรรมที่ทรงนำมาสอนนั้น แม้จะกล่าวกันว่า มีถึง ๘๔๐๐๐ ข้อ หรือ ๘๔๐๐๐ ธรรมขันธ์ก็ตาม ก็ยังสรุปลงได้ในคำพูดเป็นประโยคสั้น ๆ เพียงประโยคเดียว ว่า “สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ” ซึ่งแปลว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใคร ๆ ไม่ควรสำคัญ มั่นหมาย ว่า ตัวตน หรือของตน” ดังนี้. การรู้ข้อนี้ คือการรับรู้ธรรมทั้งหมด, การปฏิบัติข้อนี้ คือการปฏิบัติธรรมทั้งหมด, ในพระพุทธศาสนา, และเป็นการมีชัยชนะเหนือความทุกข์ทั้งหมดได้ เพราะเหตุนั้น, ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ส่วนบุคคล หรือเป็นทุกข์ของโลกโดยส่วนรวม ก็ตาม. ถ้าผู้ใดเห็นธรรมส่วนนี้โดยประจักษ์ ผู้นั้นชื่อว่า เป็นผู้เห็นองค์พระตถาคตพระองค์จริงโดยแท้จริง.
การเห็นธรรม ในที่นี้ เมื่อกล่าวโดยใจความ หมายถึง การมี ธรรมที่เป็นความดับทุกข์อยู่แล้วในตน และเห็นประจักษ์การมี ธรรมที่เป็นความดับทุกข์อยู่แล้วในตน และเห็นประจักษ์อยู่แล้วภายในใจตน ว่าความดับทุกข์นั้นเป็นอย่างไร. นี่แหละคือหนทางออกทางเดียวของพวกเรา ซึ่งเป็นมนุษย์สมัยปัจจุบันนี้ที่อาจจะเห็นพระพุทธองค์พระองค์จริงได้ ทั้งนี้เขากล่าวกันว่าพระองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้วตั้งสองพันกว่าปี ; แต่เราอาจจะเห็นพระองค์ได้ โดยการนำมาใส่ไว้ในใจของเราเสียเลย ; นับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ ยิ่งขึ้นไปอีก.
ข้อที่ควรทราบ ยังมีสืบไปอีกว่า สิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” นั้น นอกจากจะเป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุด โดยแปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ และหมายถึงสิ่งทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรเลยดังนี้แล้ว ยังเป็นของประหลาดในข้อที่ว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง เช่นเดียวกับสิ่งที่เรียกว่า “พระเป็นเจ้า” ในศาสนาของพวกที่มีพระเป็นเจ้า นั้นเหมือนกัน. ข้อนี้ปรากฏอยู่ในบาลี ขุททกนิกายชาดก ว่า “ธัมโม หะเว ปาตุระโหสิ ปุพเพ” ซึ่งแปลว่า “ธรรมได้ปรากฏอยู่ก่อนแล้ว แล” ดังนี้เป็นต้น. “ธรรม” ในลักษณะเช่นนี้ ในทางพุทธศาสนา หมายถึงกฎของธรรมชาติ หรืออำนาจอันลึกลับสูงสุดเหนือสิ่งใด ที่บันดาลให้สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปต่าง ๆ นานา อยู่ฝ่ายหนึ่งหรือประเภทหนึ่งและอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้าม คือไม่มีการเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลง อันได้แก่ตัวกฎธรรมชาติ หรืออำนาจอันนั้นนั่นเอง ดังนี้. ถ้าผู้ใด ได้รู้ ได้เห็น หรือได้เข้าถึงธรรมประเภทหลังนี้แล้ว ก็จะไม่หลงใหลในธรรมประเภทที่เปลี่ยนแปลง อีกต่อไป. นับว่าเป็นสิ่งที่น่าประหลาดมหัศจรรย์ อีกอย่างหนึ่ง.
อีกประการหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่า ธรรม นี้ ยังเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดกาล ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ เป็นต้นเสียอีก. สมมุติว่า ถ้าเอาอายุของดวงอาทิตย์เป็นต้น ไปเปรียบกับอายุของธรรมแล้ว ก็จะมีลักษณะกันกับการเอาอายุของยุงตัวหนึ่งไปเปรียบกับอายุของอาทิตย์ อีกนั่นเอง. ซึ่งจะเป็นสิ่งที่น่าขบขัน และน่าคิด อย่างไม่มีอะไรเหมือน. ทั้งนี้ก็เพราะว่าธรรม นั้นก็คือสิ่งที่เป็นความสมดุล หรือเหมาะสมที่จะคงอยู่ตลอดกาลนั่นเอง.
กฎทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า “สิ่งใดเหมาะสมที่จะอยู่สิ่งนั้นจะคงอยู่หรือเหลืออยู่ ; สิ่งใดไม่เหมาะสมที่จะอยู่คือเข้ากันไม่ได้กับสิ่งแวดล้อมเป็นต้น แล้ว สิ่งนั้นจะสูญไป” ดังนี้นั้น ก็คือ กฎของธรรม โดยตรง, และ ธรรมนั่นแหละเป็นเพียงสิ่งเดียว ที่จะยังคงอยู่ตลอดกาล อย่างไม่มีที่สิ้นสุดจริง ๆ. ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” นั้น จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นสิ่งสูงสุดเหนือสิ่งใด จนกระทั่งแม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ ก็ล้วนแต่ทรงเคารพธรรม, มีธรรมเป็นที่เคารพ, ไม่อาจจะมีสิ่งอื่นเป็นที่เคารพ นอกจากธรรมเพียงสิ่งเดียว ทั้งที่พระพุทธเจ้าเอง เป็นผู้ที่ได้ตรัสรู้ธรรม หรือทำให้ธรรมนั้นปรากฏแก่สายตาของสัตว์ทั้งปวง ซึ่งไม่อาจจะมองเห็นได้ด้วยสติปัญญาของตนเอง. ข้อความนี้ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงรำพึงและตรัสไว้เองในคราวที่ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ ซึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นว่าพระพุทธเจ้าจะทรงอยู่โดยมีอะไร เป็นที่เคารพหรือหาไม่ ดังนี้.
ข้อความทั้งหมด ตามที่กล่าวมานี้ ถ้าจะสรุปความให้สั้นที่สุด ก็จะสรุปได้ความว่า เนื้อตัวจิตใจเราทั้งหมด ก็คือธรรม, กฎธรรมชาติที่ควบคุมเราอยู่ ก็คือ ธรรม, หน้าที่ที่เราจะต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาตินั้น ๆ ก็คือธรรม, และในที่สุด ผลต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นแก่เรา ตลอดจนถึงการบรรลุมรรคผลในขั้นสุดท้ายของเรา ก็คือธรรม อีกนั่นเอง. ดังนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสว่า ธัมมทีปา ธัมมสะระณา, ซึ่งแปลว่าท่านทั้งหลาย จงมีธรรมเป็นดวงประทีป, จงมีธรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เถิด ดังนี้, และพร้อมกันนั้น ก็ได้ตรัสว่า “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ; ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเราตถาคต แม้ว่าผู้นั้นจะจับมุมจีวรของเราถืออยู่แล้ว ก็ตาม” ดังที่กล่าวแล้วข้างต้น
บัดนี้ เป็นการกล่าวได้ว่า เป็นโชคดีมหาศาล เป็นบุญกุศลมหาศาล ของประชาชนชาวไทย ที่ได้มี มหาอัตตา หรือตนหลวงที่เป็นดวงวิญญาณของประเทศชาติ ที่เป็นธรรมมิกราชาคือเป็นตนหลวงที่ประกอบด้วยธรรม, เป็นตนหลวงที่ทรงสรรเสริญธรรม, เป็นตนหลวงที่ทรงชักชวนประชาชนในธรรม, เป็นตนหลวงที่ทรงโปรดปรานผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม, และทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภก เพื่อความมีแห่งธรรม ในประเทศไทย และตลอดจนโลกทั้งปวง, ดังมีพระราชภารกิจต่าง ๆ ปรากฏเป็นประจักษ์พยานอยู่ แก่สายตาของประชาชนชาวไทยทั้งมวลแล้ว.
ส่วนที่ควรนับว่าเป็นกรณีพิเศษในวันนี้นั้น คือสมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร ได้เสด็จมาถึงเมืองไชยานี้ เพื่อทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา, ในที่เฉพาะหน้าที่แห่งพระธาตุเจดีย์ อันเป็นที่ประดิษฐานแห่งพระบรมสารีริกธาตุนี้ ย่อมเป็นการกระทำที่ส่งเสริมความมีอยู่แห่งธรรมในจิตใจของประชาชนให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ; หรืออย่างน้อย ก็จะยังคงมีอยู่อย่างพอเพียงแก่การที่จะคุ้มครองประชาชนส่วนนี้ ให้ตั้งอยู่ในธรรม, ให้มีความร่าเริงกล้าหาญในการประพฤติธรรมสืบต่อไปตลอดกาลนาน.
แม้ว่าเมืองไชยานี้ จะเป็นเมืองโบราณมาแล้วแต่สมัยศรีวิชัย เคยรุ่งเรืองด้วยพุทธศาสนามาแล้วอย่างยิ่ง ถึงกับแม้แต่บทกล่อมลูกของชาวบ้าน ก็มีการกล่าวถึงนิพพาน มาแล้วก็ตาม
ขอแต่บัดนี้ ตกอยู่ในสภาพที่ต้องการสิ่งกระตุ้นเตือนใจในทางธรรม เป็นอย่างยิ่ง. ดังนั้น การเสด็จพระราชดำเนินมาจนถึงที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ ในสภาวการณ์อย่างนี้ ย่อมเป็นพระมหากรุณาธิคุณ และสวัสดีมงคล แก่ประชาชนในถิ่นนี้ อย่างมหาศาล เหลือที่จะเปรียบปาน.
ขอให้สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภาร จงได้ทรงทราบถึงความจริงข้อนี้ โดยประจักษ์, แล้วทรงสำราญพระราชหฤทัยตามวิสัยแห่งธรรมราชา ผู้ทรงชักชวนประชาชนทั้งหลาย ในทางแห่งธรรม จงทุกประการเถิด.
.
ธรรมเทศนา สมควรแก่เวลา, เอวัง ก็มี ด้วยประการฉะนี้. ขอถวายพระพร.
.