Search this site
Embedded Files
Skip to main content
Skip to navigation
สืบสานงานท่านพุทธทาส
ศาลาธรรมโฆษณ์ออนไลน์ Lifetime
ประวัติท่านพุทธทาส
พุทธทาส เป็นใคร
อนุโมทนา
ประณิธาน 3 ข้อ ท่านพุทธทาส
ปฏิทินชีวิต ท่านพุทธทาส
วิธี Download เสียงธรรมท่านพุทธทาส
Download ธรรมโฆษณ์ทุกเรื่อง
รวม 170 เทศน์เรื่อง นิพพาน
พินัยกรรมท่านพุทธทาส
หลุมฝังศพข้าพเจ้า
อังคาร กัลยาณพงศ์
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา 2528
คิดถึงพี่ประชา
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา@1-100
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา@101-199
เหตุผลของการศึกษา
VDO พี่ประชาพูดถึงงานเขียน อ.พุทธทาส
ธรรมโฆษณ์ และ สารบัญ
ธรรมโฆษณ์ คือ อะไร
Download-ธรรมโฆษณ์และธรรมบรรยายอื่นๆ
สารบัญในธรรมโฆษณ์71เล่ม
ธรรมโฆษณ์ อรรถานุกรม
1..พุทธประวัติจากพระโอษฐ์
2.1..อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น
2.2..อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย
3..ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์
4..ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
ผมขอร้อง
Gd18 ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
มีภพมีชาติ แม้กำลังเคี้ยวอาหาร
ขอให้คำว่า ปฏิจจ* ติดที่ริมฝีปากคน
ถ้าเราไม่พ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้ แล้วพุทธศาสนาจะมีประโยชน์อะไร
อธิบายปฏิจจสมุปบาทจนเกิดทุกข์
11..พุทธจริยา
11ก..พระพุทธคุณบรรยาย
12..อิทัปปัจจยตา
12ก..ไกวัลยธรรม
12ข..อตัมมยตาประยุกต์
12ค..อตัมมยตาปริทัศน์
12ง..อตัมมยตาประทีป
13..สันทัสเสตัพพธรรม
13ก..โอสาเรตัพพธรรม
13ข..สันทิฏฐิกธรรม
14..ปฏิปทาปริทรรศน์
14ก..ปรมัตถสภาวธรรม
14ข..สมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
14ค..กข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
14ง..โพธิปักขิยธรรมประยุกต์
14จ..พุทธวิธีชนะทุกข์
+14ฉ..หลักพระพุทธศาสนา ที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่
15..ธรรมะกับสัญชาตญาณ
15ข..ธรรมะกับวิทยาศาสตร์
16..ตุลาการิกธรรม เล่ม 1
16 ตุลาการิกธรรม เล่ม 1-2-3
16ก..ตุลาการิกธรรม เล่ม 2
16ข..ตุลาการิกธรรม เล่ม 3
17..มนุสสธรรม
17ก..ฆราวาสธรรม
17ข..มหิดลธรรม
17ค..โมกขธรรมประยุกต์
17ง..เตกิจฉกธรรม
17จ..พุทธธรรมประยุกต์
17ฉ..ปัญหาแห่งมนุษยภาพ
18..พุทธิกจริยธรรม
18ก..การกลับมาแห่งศีลธรรม
18ข..ศีลธรรม กับ มนุษยโลก
18ค..อริยศีลธรรม
18ง..เยาวชนกับศีลธรรม
18จ..ธรรมะกับการเมือง
18ฉ..เมื่อธรรมครองโลก
18ช..ธรรมสัจจสงเคราะห์
18ซ..สันติภาพของโลก
18ฌ.ธรรมสัจจปกิณณกะ
18ญ ธรรมคือสิ่งพัฒนาชีวิต
19..บรมธรรม ภาคต้น
19ก..บรมธรรม ภาคปลาย
20ก.อานาปานสติภาวนา
20ค..อานาปานสติบรรยาย อภิปราย-สัมมนา-สาธิต
22..มาฆบูชาเทศนา
23..วิสาขบูชาเทศนา
24..อาสาฬหบูชาเทศนา
25ง..พัสสิกไตรเทศนา
26..ศารทกาลิกเทศนา
31..ธรรมปาฏิโมกข์ 1
31ก..ธรรมปาฏิโมกข์ 2
32 ชุมนุมปาฐกถกาชุด พุทธธรรม
32 ชุมนุมปาฐกถาชุด “พุทธธรรม”
36 ธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัย เล่ม 1 เสียงอ่าน
37ก..เทคนิคของการมีธรรม
37ข..ใครคือใคร?
37ค..อะไรคืออะไร?
37ง..ธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ
37จ..เทคนิคของการมีธรรม เล่ม 2 ปรมัตถธรรมกลับมา
38..สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 1
38ก..สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 2
39ค..ธรรมบรรยายต่อหางสุนัข
39ง..ราชภโฏวาท
40..ธรรมะเล่มน้อย
40ก..ธรรมศาสตรา 1
40ซ..คู่มือที่จำเป็นในการศึกษาและปฏิบัติธรรม
40ฉ..สัมมัตตานุภาพ
40ช..คู่มือการศึกษาพุทธศาสนา
42ก..ชุมนุมล้ออายุ เล่ม 1
42ก2..ชุมนุมล้ออายุ ตอน2(ยังไม่พิมพ์ )
42ค หัวข้อธรรมในคำกลอน และบทประพันธ์ ของ สิริวยาส โดย พุทธทาส อินทปัญโญ
75-2 เรียนธรรมะอย่าตะกละให้เกินเหตุ
42ค หัวข้อธรรมในคำกลอน และบทประพันธ์ของสิริวยาส
44ก..ใจความแห่งคริสตธรรม เท่าที่พุทธบริษัทควรทราบ
46ค..ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่มีสวนโมกข์ ตอน 1
46ง..ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่มีสวนโมกข์ ตอน 2,
ก..กข ก กา แห่งปรมัตถธรรม
ข..มนุษย์ธรรมปริทรรศน์
ค..สุญญตาธรรม
s1..ภาษาคน ภาษาธรรม
s5..อบรมชาวต่างประเทศ 2529 02 03
s6..พุทธธรรมนำสุข
s7..ธรรมมาศรมธรรมมาตา
s8..อบรมธรรมจาริณี
s9..อภิปรายธรรมที่คุรุสภากับ มรว.คึกฤทธิ์
s10..สูตรของเว่ยหล่าง
s11..อบรมพระวิปัสสนาจารย์
s12..อบรมพระนิสิตมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
s13..อบรมผู้ปฏิบัติจิตตภาวนา
s14..โอวาทอุปสมบท, สอนนาค
รวมเทศน์อื่นๆที่ไม่ใช่ธรรมโฆษณ์
สารบัญละเอียด ธรรมโฆษณ์ออนไลน์ Lifetime
s2 แก่นพุทธศาสน์
PDF ท่านพุทธทาส
พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์
อนุรักษ์ต้นฉบับของธรรมทานมูลนิธิ 12 เรื่อง
หนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา
สหายธรรมทานหมายเลข 1
พระสังฆราชเสด็จ
สาส์นสมเด็จกับพุทธทาส และดุลยพากย์สุวมัณฑ์
ท่านดาไลลามะเสด็จสวนโมกข์
พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์
พระอุปัชฌาย์ของท่านพุทธทาส
คุณสุจิตต์ พันธุมนาวิน
100 ปี ร้อยจดหมาย พุทธทาส-สัญญา
ทยาลุ เจริญ กุลสุวรรณ
พระยาอมรฤทธิ์ธำรง ท่านพุทธทาสให้ความนับถือ
อ.โกวิท หรือ เขมานันทะภิกขุ
สัมพันธ์ ก้องสมุทร วาดภาพปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน
ภาคเช้า
ภาคบ่าย
ภาคค่ำ
เรื่องที่เข้าใจผิดโดยบังเอิญ
ตามรอยพระอรหันต์ เขียนที่วัดร้างสวนโมกข์พุมเรียง
รวมเทศน์ วันวิสา-อาสา-มาฆะ-เข้าพรรษา
วันนี้ในอดีต
1มค2515 อิทัปปัจจยตา
7มค2527 สมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
7มค2505 แก่นพุทธศาสน์-ความว่าง
13มค2509 เทศน์ที่ธรรมศาสตร์
13มค2562 รำลึกถีง เขมานันทะภิกขุ อ.โกวิท
อ.โกวิท เล่าเรื่องปั้นรูปอวโลกิเตศวร
5พค ในหลวงครองราช พุทธทาสครองธรรม
21มค2505 แก่นพุทธศาสน์-วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง
22มค2513 สหายธรรมหมายเลขหนึ่ง
29มค2513 ปริญญาของสวนโมกข์
31มค2525 อนิจจา วตสังขารา
8กพ2525 50ปีสวนโมกข์
13กพ วันรักนกเงือก
20กพ2531 ยาระงับสรรพโรค
25กพ2518 คุยเสียดีที่แท้แพ้กิเลส
14มีนา วันเกิดพระยาลัดพลี
20มีนา2514 อภิธรรม คืออะไร
23มีนา2524 บวชอยู่ที่บ้าน
28มีนา ทำพินัยกรรม
2เมษา2520 พระพุทธคุณบรรยาย
6เมษา2514 เกิดมาทำไม
7เมษา2512 บรมธรรมภาคต้น
1พค2479 สุกรยักษ์
13พค2566 คิดถึงพี่ประชา
อ.พระไพศาล พูดถึงพี่ประชา
23พค2510 ถวายเทศน์ในหลวง ร.10
27พค2515 พระพุทธเจ้าท่านเป็นอะไร ในทุกแง่ทุกมุม ในพุทธจริยาของท่าน
27พค2529 ข้าพเจ้าไม่มีมรดกอะไร
5มิย2491 ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
7มิย2530 อ.สุลักษณ์-พุทธทาส
12มิย2514 การเห็นปฏิจจสมุปบาทคือการเห็นพระพุทธเจ้า
16มิย2534 สงบเย็นเป็นประโยชน์
19มิย2501 เห็นอนิจจัง_ทุกขัง_อนัตตา
22มิย2528 บวชอยู่ที่บ้าน
24มิย2521 การบวชคืออะไร
3กค2519 ธรรมะกับการเมือง
5กค2529 สันติภาพของโลก
8กค 100ปีพุทธทาส
8กค-1 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-2 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-3 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-4 ท่านพุทธธาสมรณ
13กค2483 วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม
5สิงหา2504 ตัวกู ของกูฉบับสมบูรณ์
6สค2515 ตายเสียก่อนตาย
12สค พระคุณของแม่ คือสันติภาพของโลก
14สค ธรรมะกับนักการเมือง
28สค2475 ชื่อพุทธทาส
31สค2528 ตรงไปยังหัวใจของธรรมะ
13กย2509 ตัวกู ตัวสู
22กย2522 เรียนพุทธฯจากที่ไหน
28กย2526 วันเผาศพท่าน
20ตค unesco ประกาศว่าท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก
26ตค2523 ธรรมบรรยายต่อหางสุนัข
29ตค2523 ตัดต้นเหตุทันเวลา
2พย2530 แด่สหายธรรม
13ธค2504 ชาติและโลกตามความหมายของพระพุทธศาสนา
17ธค2504 แก่นพุทธศาสน์
20ธค2561 พี่ประชากับท่านพุทธทาส
28ธค2503 พุทธศาสนาระดับที่ทุกคนควรรู้
31ธค
อาสาฬหบูชา 2502
มาฆบูชา วันพระอรหันต์
วิสาขบูชา วันพระพุทธ
วันลอยกระทง
13ค่ำเดือน10ของทุกปี วันทำวัตรอาจารย์
24สค2521 ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปจยตา
รวม-จิตว่าง จากบรรยายในทุกวาระ
จิตว่าง ในหลวง
ปริศนาธรรม
หลักธรรมสำหรับนักศึกษา
คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ ปี 2499
จะทำ-จับประเด็น
วิวาทะ ท่านพุทธทาส กับ มรว.คึกฤทธิ์
อานาปานสติ16.สติปัฏฐาน4
เทศน์บางตอนสั้นๆ
เวลา
ทำไมจึงมีการบรรยายประจำวันเสาร์
นืพพานชิมลองคืออย่างไร - ภาพแจกดวงตาเกิดขึ้นได้ยังไง.
ฟังต้นไม้พูด ฟังก้อนหินพูด
ยึดมั่นสิ่งใด ก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น
ชาติ หมายถึงอะไร
เกิดมาทำไม
หนึ่งในวิธีเข้าถึงพุทธธรรม
บันทึกการสนทนาธรรม อานาปานสติ พุทธทาสภิกขุ
แม้กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ในปากไม่ทันจะกลืน มีภพ มีชาติได้ตั้งหลายหน
ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
เรื่องที่เข้าใจผิดโดยบังเอิญ
ถ้าเราไม่พ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้
อธิบายปฏิจจสมุปบาทจนเกิดทุกข์
โลงศพของอาตมา ก็คือความดีที่ทำไว้ในโลก
อตัมมยตา 3 เล่ม
เสียงอ่าน เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา
เสียงอ่านโดย AMJ Studio
ล้ออายุ 27พค2449
พุทธทาสภิกขุ...จากหลายมุมมอง
พี่ประชา
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ท่านปัญญานันทภิกขุ
มรดกธรรม ท่านพุทธทาส
อภิธรรม คืออะไร
วิธีใช้ SoundCloud
Install-สมัคร SoundCloud
เก็บไฟล์มาใช้ ในมือถือ
ปัญหา ภาพ-เสียง
ถนอมสายตา Dark mode
ฟังซ้ำ
Follow
Search
Like
Playlist
ปุจฉา-วิสัชนา ปี2500-2534
ผังก้างปลา สืบสานงานท่านพุทธทาส
ภาษาคน ภาษาธรรม
ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
ปทานุกรมธรรม พุทธทาส
หัวข้อธรรมในคำกลอน
เสียงท่านพุทธทาสอ่านกลอน
48 - 4+ ตกนรกพลางคว้านิพพานพลาง
52-1 ตัวกู ตัวสู
บทพระธรรมประจำภาพ 3 เล่ม
สวดมนต์แปลสวนโมกข์
- หน้า1 คำบูชาพระรัตนตรัย
- หน้า7 ปุพพภาคนมการ
- หน้า7 พุทธาภิถุติ
- หน้า10 ธัมมาภิถุติ
- หน้า11 สังฆาภิถุติ
- หน้า13 รตนัตตยัปปณามคาถา
- หน้า15 สังเวคปริกิตตนปาฐะ.
- หน้า22 พุทธานุสสติ.
- หน้า23 พุทธาภิคีติ.
- หน้า26 ธัมมานุสสติ.
- หน้า27 ธัมมาภิคีติ.
- หน้า30 สังฆานุสสติ.
- หน้า32 สังฆาภิคีติ.
- หน้า34 ปุพพภาคนมการ.
- หน้า36 สรณคมนปาฐะ.
- หน้า38 อัฏฐสิกขาปทปาฐะ
- หน้า40 ทวัตติงสาการปาฐะ.
- หน้า44 เขมาเขมสรณทีปิกคาถา.
- หน้า47 อริยธนคาถา.
- หน้า50 ติลักขณาทิคาถา.
- หน้า52 ภารสุตตคาถา.
- หน้า54 ภัทเทกรัตตคาถา.
- หน้า58 ธัมมคารวาทิคาถา.
- หน้า62 โอวาทปาฏิโมกขคาถา.มาฆะบูชา
- หน้า65 ปฐมพุทธภาสิตคาถา.
- หน้า67 ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ.
- หน้า69 บทพิจารณาสังขาร.
- หน้า72 สัพพปัตติทานคาถา.
- หน้า74 ปัฏฐนฐปนคาถา.
- หน้า77 อุททิสสนาธิฏฐานคาถา.
- หน้า81 คำสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ.
- หน้า85 อริยมรรคมีองค์แปด.
- หน้า95 ปัจจเวกขณ์องค์อุโบสถศีล.
- หน้า105 ปฏิจจสมุปบาท .
- หน้า110 กรณียเมตตสูตร
- หน้า115 ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตปาฐะ.
- หน้า122 อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาทปาฐะ.
- หน้า127 ธาตุปัจจเวกขณปาฐะ
- หน้า130 ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ
- หน้า133 มงคลสูตร
หน้า148 แผ่เมตตา
พิเศษ อานาปานสติ
พิเศษ ธัมมนิยามสุตตปาฐะ
พิเศษ โยคฐานาริยสัจจธัมมปาฐะ
พิเศษ ปรมัตถสภาวร้มมปาฐะ
พิเศษ พระพุทธคุณร้อยบท-มหาพุทธโถมนาการปาฐะ
พิเศษ ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณปาฐะ
พิเศษ อตีตปัจจเวกขณปาฐะ
พิเศษ ธัมมปหังสนปาฐะ
บทความที่กล่าวถึงท่านพุทธทาส
สังฆะ ในทัศนะท่านพุทธทาส
ท่านพุทธทาส คนไข้ที่ผมรู้จัก
อ.จำนงค์ ทองประเสริฐ
ปรีดี พนมยงค์
พุทธทาสในความทรงจำ ของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์
พุทธทาส กับ คณะราษฎร
จากสวนโมกข์ไชยา สู่สวนโมกข์นานาชาติ | พื้นที่ชีวิต
ติดต่อเรา
สืบสานงานท่านพุทธทาส
ศาลาธรรมโฆษณ์ออนไลน์ Lifetime
ประวัติท่านพุทธทาส
พุทธทาส เป็นใคร
อนุโมทนา
ประณิธาน 3 ข้อ ท่านพุทธทาส
ปฏิทินชีวิต ท่านพุทธทาส
วิธี Download เสียงธรรมท่านพุทธทาส
Download ธรรมโฆษณ์ทุกเรื่อง
รวม 170 เทศน์เรื่อง นิพพาน
พินัยกรรมท่านพุทธทาส
หลุมฝังศพข้าพเจ้า
อังคาร กัลยาณพงศ์
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา 2528
คิดถึงพี่ประชา
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา@1-100
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา@101-199
เหตุผลของการศึกษา
VDO พี่ประชาพูดถึงงานเขียน อ.พุทธทาส
ธรรมโฆษณ์ และ สารบัญ
ธรรมโฆษณ์ คือ อะไร
Download-ธรรมโฆษณ์และธรรมบรรยายอื่นๆ
สารบัญในธรรมโฆษณ์71เล่ม
ธรรมโฆษณ์ อรรถานุกรม
1..พุทธประวัติจากพระโอษฐ์
2.1..อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น
2.2..อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย
3..ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์
4..ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
ผมขอร้อง
Gd18 ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
มีภพมีชาติ แม้กำลังเคี้ยวอาหาร
ขอให้คำว่า ปฏิจจ* ติดที่ริมฝีปากคน
ถ้าเราไม่พ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้ แล้วพุทธศาสนาจะมีประโยชน์อะไร
อธิบายปฏิจจสมุปบาทจนเกิดทุกข์
11..พุทธจริยา
11ก..พระพุทธคุณบรรยาย
12..อิทัปปัจจยตา
12ก..ไกวัลยธรรม
12ข..อตัมมยตาประยุกต์
12ค..อตัมมยตาปริทัศน์
12ง..อตัมมยตาประทีป
13..สันทัสเสตัพพธรรม
13ก..โอสาเรตัพพธรรม
13ข..สันทิฏฐิกธรรม
14..ปฏิปทาปริทรรศน์
14ก..ปรมัตถสภาวธรรม
14ข..สมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
14ค..กข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
14ง..โพธิปักขิยธรรมประยุกต์
14จ..พุทธวิธีชนะทุกข์
+14ฉ..หลักพระพุทธศาสนา ที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่
15..ธรรมะกับสัญชาตญาณ
15ข..ธรรมะกับวิทยาศาสตร์
16..ตุลาการิกธรรม เล่ม 1
16 ตุลาการิกธรรม เล่ม 1-2-3
16ก..ตุลาการิกธรรม เล่ม 2
16ข..ตุลาการิกธรรม เล่ม 3
17..มนุสสธรรม
17ก..ฆราวาสธรรม
17ข..มหิดลธรรม
17ค..โมกขธรรมประยุกต์
17ง..เตกิจฉกธรรม
17จ..พุทธธรรมประยุกต์
17ฉ..ปัญหาแห่งมนุษยภาพ
18..พุทธิกจริยธรรม
18ก..การกลับมาแห่งศีลธรรม
18ข..ศีลธรรม กับ มนุษยโลก
18ค..อริยศีลธรรม
18ง..เยาวชนกับศีลธรรม
18จ..ธรรมะกับการเมือง
18ฉ..เมื่อธรรมครองโลก
18ช..ธรรมสัจจสงเคราะห์
18ซ..สันติภาพของโลก
18ฌ.ธรรมสัจจปกิณณกะ
18ญ ธรรมคือสิ่งพัฒนาชีวิต
19..บรมธรรม ภาคต้น
19ก..บรมธรรม ภาคปลาย
20ก.อานาปานสติภาวนา
20ค..อานาปานสติบรรยาย อภิปราย-สัมมนา-สาธิต
22..มาฆบูชาเทศนา
23..วิสาขบูชาเทศนา
24..อาสาฬหบูชาเทศนา
25ง..พัสสิกไตรเทศนา
26..ศารทกาลิกเทศนา
31..ธรรมปาฏิโมกข์ 1
31ก..ธรรมปาฏิโมกข์ 2
32 ชุมนุมปาฐกถกาชุด พุทธธรรม
32 ชุมนุมปาฐกถาชุด “พุทธธรรม”
36 ธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัย เล่ม 1 เสียงอ่าน
37ก..เทคนิคของการมีธรรม
37ข..ใครคือใคร?
37ค..อะไรคืออะไร?
37ง..ธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ
37จ..เทคนิคของการมีธรรม เล่ม 2 ปรมัตถธรรมกลับมา
38..สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 1
38ก..สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 2
39ค..ธรรมบรรยายต่อหางสุนัข
39ง..ราชภโฏวาท
40..ธรรมะเล่มน้อย
40ก..ธรรมศาสตรา 1
40ซ..คู่มือที่จำเป็นในการศึกษาและปฏิบัติธรรม
40ฉ..สัมมัตตานุภาพ
40ช..คู่มือการศึกษาพุทธศาสนา
42ก..ชุมนุมล้ออายุ เล่ม 1
42ก2..ชุมนุมล้ออายุ ตอน2(ยังไม่พิมพ์ )
42ค หัวข้อธรรมในคำกลอน และบทประพันธ์ ของ สิริวยาส โดย พุทธทาส อินทปัญโญ
75-2 เรียนธรรมะอย่าตะกละให้เกินเหตุ
42ค หัวข้อธรรมในคำกลอน และบทประพันธ์ของสิริวยาส
44ก..ใจความแห่งคริสตธรรม เท่าที่พุทธบริษัทควรทราบ
46ค..ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่มีสวนโมกข์ ตอน 1
46ง..ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่มีสวนโมกข์ ตอน 2,
ก..กข ก กา แห่งปรมัตถธรรม
ข..มนุษย์ธรรมปริทรรศน์
ค..สุญญตาธรรม
s1..ภาษาคน ภาษาธรรม
s5..อบรมชาวต่างประเทศ 2529 02 03
s6..พุทธธรรมนำสุข
s7..ธรรมมาศรมธรรมมาตา
s8..อบรมธรรมจาริณี
s9..อภิปรายธรรมที่คุรุสภากับ มรว.คึกฤทธิ์
s10..สูตรของเว่ยหล่าง
s11..อบรมพระวิปัสสนาจารย์
s12..อบรมพระนิสิตมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
s13..อบรมผู้ปฏิบัติจิตตภาวนา
s14..โอวาทอุปสมบท, สอนนาค
รวมเทศน์อื่นๆที่ไม่ใช่ธรรมโฆษณ์
สารบัญละเอียด ธรรมโฆษณ์ออนไลน์ Lifetime
s2 แก่นพุทธศาสน์
PDF ท่านพุทธทาส
พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์
อนุรักษ์ต้นฉบับของธรรมทานมูลนิธิ 12 เรื่อง
หนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา
สหายธรรมทานหมายเลข 1
พระสังฆราชเสด็จ
สาส์นสมเด็จกับพุทธทาส และดุลยพากย์สุวมัณฑ์
ท่านดาไลลามะเสด็จสวนโมกข์
พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์
พระอุปัชฌาย์ของท่านพุทธทาส
คุณสุจิตต์ พันธุมนาวิน
100 ปี ร้อยจดหมาย พุทธทาส-สัญญา
ทยาลุ เจริญ กุลสุวรรณ
พระยาอมรฤทธิ์ธำรง ท่านพุทธทาสให้ความนับถือ
อ.โกวิท หรือ เขมานันทะภิกขุ
สัมพันธ์ ก้องสมุทร วาดภาพปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน
ภาคเช้า
ภาคบ่าย
ภาคค่ำ
เรื่องที่เข้าใจผิดโดยบังเอิญ
ตามรอยพระอรหันต์ เขียนที่วัดร้างสวนโมกข์พุมเรียง
รวมเทศน์ วันวิสา-อาสา-มาฆะ-เข้าพรรษา
วันนี้ในอดีต
1มค2515 อิทัปปัจจยตา
7มค2527 สมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
7มค2505 แก่นพุทธศาสน์-ความว่าง
13มค2509 เทศน์ที่ธรรมศาสตร์
13มค2562 รำลึกถีง เขมานันทะภิกขุ อ.โกวิท
อ.โกวิท เล่าเรื่องปั้นรูปอวโลกิเตศวร
5พค ในหลวงครองราช พุทธทาสครองธรรม
21มค2505 แก่นพุทธศาสน์-วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง
22มค2513 สหายธรรมหมายเลขหนึ่ง
29มค2513 ปริญญาของสวนโมกข์
31มค2525 อนิจจา วตสังขารา
8กพ2525 50ปีสวนโมกข์
13กพ วันรักนกเงือก
20กพ2531 ยาระงับสรรพโรค
25กพ2518 คุยเสียดีที่แท้แพ้กิเลส
14มีนา วันเกิดพระยาลัดพลี
20มีนา2514 อภิธรรม คืออะไร
23มีนา2524 บวชอยู่ที่บ้าน
28มีนา ทำพินัยกรรม
2เมษา2520 พระพุทธคุณบรรยาย
6เมษา2514 เกิดมาทำไม
7เมษา2512 บรมธรรมภาคต้น
1พค2479 สุกรยักษ์
13พค2566 คิดถึงพี่ประชา
อ.พระไพศาล พูดถึงพี่ประชา
23พค2510 ถวายเทศน์ในหลวง ร.10
27พค2515 พระพุทธเจ้าท่านเป็นอะไร ในทุกแง่ทุกมุม ในพุทธจริยาของท่าน
27พค2529 ข้าพเจ้าไม่มีมรดกอะไร
5มิย2491 ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
7มิย2530 อ.สุลักษณ์-พุทธทาส
12มิย2514 การเห็นปฏิจจสมุปบาทคือการเห็นพระพุทธเจ้า
16มิย2534 สงบเย็นเป็นประโยชน์
19มิย2501 เห็นอนิจจัง_ทุกขัง_อนัตตา
22มิย2528 บวชอยู่ที่บ้าน
24มิย2521 การบวชคืออะไร
3กค2519 ธรรมะกับการเมือง
5กค2529 สันติภาพของโลก
8กค 100ปีพุทธทาส
8กค-1 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-2 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-3 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-4 ท่านพุทธธาสมรณ
13กค2483 วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม
5สิงหา2504 ตัวกู ของกูฉบับสมบูรณ์
6สค2515 ตายเสียก่อนตาย
12สค พระคุณของแม่ คือสันติภาพของโลก
14สค ธรรมะกับนักการเมือง
28สค2475 ชื่อพุทธทาส
31สค2528 ตรงไปยังหัวใจของธรรมะ
13กย2509 ตัวกู ตัวสู
22กย2522 เรียนพุทธฯจากที่ไหน
28กย2526 วันเผาศพท่าน
20ตค unesco ประกาศว่าท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก
26ตค2523 ธรรมบรรยายต่อหางสุนัข
29ตค2523 ตัดต้นเหตุทันเวลา
2พย2530 แด่สหายธรรม
13ธค2504 ชาติและโลกตามความหมายของพระพุทธศาสนา
17ธค2504 แก่นพุทธศาสน์
20ธค2561 พี่ประชากับท่านพุทธทาส
28ธค2503 พุทธศาสนาระดับที่ทุกคนควรรู้
31ธค
อาสาฬหบูชา 2502
มาฆบูชา วันพระอรหันต์
วิสาขบูชา วันพระพุทธ
วันลอยกระทง
13ค่ำเดือน10ของทุกปี วันทำวัตรอาจารย์
24สค2521 ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปจยตา
รวม-จิตว่าง จากบรรยายในทุกวาระ
จิตว่าง ในหลวง
ปริศนาธรรม
หลักธรรมสำหรับนักศึกษา
คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ ปี 2499
จะทำ-จับประเด็น
วิวาทะ ท่านพุทธทาส กับ มรว.คึกฤทธิ์
อานาปานสติ16.สติปัฏฐาน4
เทศน์บางตอนสั้นๆ
เวลา
ทำไมจึงมีการบรรยายประจำวันเสาร์
นืพพานชิมลองคืออย่างไร - ภาพแจกดวงตาเกิดขึ้นได้ยังไง.
ฟังต้นไม้พูด ฟังก้อนหินพูด
ยึดมั่นสิ่งใด ก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น
ชาติ หมายถึงอะไร
เกิดมาทำไม
หนึ่งในวิธีเข้าถึงพุทธธรรม
บันทึกการสนทนาธรรม อานาปานสติ พุทธทาสภิกขุ
แม้กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ในปากไม่ทันจะกลืน มีภพ มีชาติได้ตั้งหลายหน
ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
เรื่องที่เข้าใจผิดโดยบังเอิญ
ถ้าเราไม่พ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้
อธิบายปฏิจจสมุปบาทจนเกิดทุกข์
โลงศพของอาตมา ก็คือความดีที่ทำไว้ในโลก
อตัมมยตา 3 เล่ม
เสียงอ่าน เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา
เสียงอ่านโดย AMJ Studio
ล้ออายุ 27พค2449
พุทธทาสภิกขุ...จากหลายมุมมอง
พี่ประชา
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ท่านปัญญานันทภิกขุ
มรดกธรรม ท่านพุทธทาส
อภิธรรม คืออะไร
วิธีใช้ SoundCloud
Install-สมัคร SoundCloud
เก็บไฟล์มาใช้ ในมือถือ
ปัญหา ภาพ-เสียง
ถนอมสายตา Dark mode
ฟังซ้ำ
Follow
Search
Like
Playlist
ปุจฉา-วิสัชนา ปี2500-2534
ผังก้างปลา สืบสานงานท่านพุทธทาส
ภาษาคน ภาษาธรรม
ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
ปทานุกรมธรรม พุทธทาส
หัวข้อธรรมในคำกลอน
เสียงท่านพุทธทาสอ่านกลอน
48 - 4+ ตกนรกพลางคว้านิพพานพลาง
52-1 ตัวกู ตัวสู
บทพระธรรมประจำภาพ 3 เล่ม
สวดมนต์แปลสวนโมกข์
- หน้า1 คำบูชาพระรัตนตรัย
- หน้า7 ปุพพภาคนมการ
- หน้า7 พุทธาภิถุติ
- หน้า10 ธัมมาภิถุติ
- หน้า11 สังฆาภิถุติ
- หน้า13 รตนัตตยัปปณามคาถา
- หน้า15 สังเวคปริกิตตนปาฐะ.
- หน้า22 พุทธานุสสติ.
- หน้า23 พุทธาภิคีติ.
- หน้า26 ธัมมานุสสติ.
- หน้า27 ธัมมาภิคีติ.
- หน้า30 สังฆานุสสติ.
- หน้า32 สังฆาภิคีติ.
- หน้า34 ปุพพภาคนมการ.
- หน้า36 สรณคมนปาฐะ.
- หน้า38 อัฏฐสิกขาปทปาฐะ
- หน้า40 ทวัตติงสาการปาฐะ.
- หน้า44 เขมาเขมสรณทีปิกคาถา.
- หน้า47 อริยธนคาถา.
- หน้า50 ติลักขณาทิคาถา.
- หน้า52 ภารสุตตคาถา.
- หน้า54 ภัทเทกรัตตคาถา.
- หน้า58 ธัมมคารวาทิคาถา.
- หน้า62 โอวาทปาฏิโมกขคาถา.มาฆะบูชา
- หน้า65 ปฐมพุทธภาสิตคาถา.
- หน้า67 ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ.
- หน้า69 บทพิจารณาสังขาร.
- หน้า72 สัพพปัตติทานคาถา.
- หน้า74 ปัฏฐนฐปนคาถา.
- หน้า77 อุททิสสนาธิฏฐานคาถา.
- หน้า81 คำสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ.
- หน้า85 อริยมรรคมีองค์แปด.
- หน้า95 ปัจจเวกขณ์องค์อุโบสถศีล.
- หน้า105 ปฏิจจสมุปบาท .
- หน้า110 กรณียเมตตสูตร
- หน้า115 ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตปาฐะ.
- หน้า122 อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาทปาฐะ.
- หน้า127 ธาตุปัจจเวกขณปาฐะ
- หน้า130 ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ
- หน้า133 มงคลสูตร
หน้า148 แผ่เมตตา
พิเศษ อานาปานสติ
พิเศษ ธัมมนิยามสุตตปาฐะ
พิเศษ โยคฐานาริยสัจจธัมมปาฐะ
พิเศษ ปรมัตถสภาวร้มมปาฐะ
พิเศษ พระพุทธคุณร้อยบท-มหาพุทธโถมนาการปาฐะ
พิเศษ ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณปาฐะ
พิเศษ อตีตปัจจเวกขณปาฐะ
พิเศษ ธัมมปหังสนปาฐะ
บทความที่กล่าวถึงท่านพุทธทาส
สังฆะ ในทัศนะท่านพุทธทาส
ท่านพุทธทาส คนไข้ที่ผมรู้จัก
อ.จำนงค์ ทองประเสริฐ
ปรีดี พนมยงค์
พุทธทาสในความทรงจำ ของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์
พุทธทาส กับ คณะราษฎร
จากสวนโมกข์ไชยา สู่สวนโมกข์นานาชาติ | พื้นที่ชีวิต
ติดต่อเรา
More
ศาลาธรรมโฆษณ์ออนไลน์ Lifetime
ประวัติท่านพุทธทาส
พุทธทาส เป็นใคร
อนุโมทนา
ประณิธาน 3 ข้อ ท่านพุทธทาส
ปฏิทินชีวิต ท่านพุทธทาส
วิธี Download เสียงธรรมท่านพุทธทาส
Download ธรรมโฆษณ์ทุกเรื่อง
รวม 170 เทศน์เรื่อง นิพพาน
พินัยกรรมท่านพุทธทาส
หลุมฝังศพข้าพเจ้า
อังคาร กัลยาณพงศ์
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา 2528
คิดถึงพี่ประชา
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา@1-100
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา@101-199
เหตุผลของการศึกษา
VDO พี่ประชาพูดถึงงานเขียน อ.พุทธทาส
ธรรมโฆษณ์ และ สารบัญ
ธรรมโฆษณ์ คือ อะไร
Download-ธรรมโฆษณ์และธรรมบรรยายอื่นๆ
สารบัญในธรรมโฆษณ์71เล่ม
ธรรมโฆษณ์ อรรถานุกรม
1..พุทธประวัติจากพระโอษฐ์
2.1..อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น
2.2..อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคปลาย
3..ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์
4..ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์
ผมขอร้อง
Gd18 ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
มีภพมีชาติ แม้กำลังเคี้ยวอาหาร
ขอให้คำว่า ปฏิจจ* ติดที่ริมฝีปากคน
ถ้าเราไม่พ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้ แล้วพุทธศาสนาจะมีประโยชน์อะไร
อธิบายปฏิจจสมุปบาทจนเกิดทุกข์
11..พุทธจริยา
11ก..พระพุทธคุณบรรยาย
12..อิทัปปัจจยตา
12ก..ไกวัลยธรรม
12ข..อตัมมยตาประยุกต์
12ค..อตัมมยตาปริทัศน์
12ง..อตัมมยตาประทีป
13..สันทัสเสตัพพธรรม
13ก..โอสาเรตัพพธรรม
13ข..สันทิฏฐิกธรรม
14..ปฏิปทาปริทรรศน์
14ก..ปรมัตถสภาวธรรม
14ข..สมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
14ค..กข ก กา ของการศึกษาพุทธศาสนา
14ง..โพธิปักขิยธรรมประยุกต์
14จ..พุทธวิธีชนะทุกข์
+14ฉ..หลักพระพุทธศาสนา ที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่
15..ธรรมะกับสัญชาตญาณ
15ข..ธรรมะกับวิทยาศาสตร์
16..ตุลาการิกธรรม เล่ม 1
16 ตุลาการิกธรรม เล่ม 1-2-3
16ก..ตุลาการิกธรรม เล่ม 2
16ข..ตุลาการิกธรรม เล่ม 3
17..มนุสสธรรม
17ก..ฆราวาสธรรม
17ข..มหิดลธรรม
17ค..โมกขธรรมประยุกต์
17ง..เตกิจฉกธรรม
17จ..พุทธธรรมประยุกต์
17ฉ..ปัญหาแห่งมนุษยภาพ
18..พุทธิกจริยธรรม
18ก..การกลับมาแห่งศีลธรรม
18ข..ศีลธรรม กับ มนุษยโลก
18ค..อริยศีลธรรม
18ง..เยาวชนกับศีลธรรม
18จ..ธรรมะกับการเมือง
18ฉ..เมื่อธรรมครองโลก
18ช..ธรรมสัจจสงเคราะห์
18ซ..สันติภาพของโลก
18ฌ.ธรรมสัจจปกิณณกะ
18ญ ธรรมคือสิ่งพัฒนาชีวิต
19..บรมธรรม ภาคต้น
19ก..บรมธรรม ภาคปลาย
20ก.อานาปานสติภาวนา
20ค..อานาปานสติบรรยาย อภิปราย-สัมมนา-สาธิต
22..มาฆบูชาเทศนา
23..วิสาขบูชาเทศนา
24..อาสาฬหบูชาเทศนา
25ง..พัสสิกไตรเทศนา
26..ศารทกาลิกเทศนา
31..ธรรมปาฏิโมกข์ 1
31ก..ธรรมปาฏิโมกข์ 2
32 ชุมนุมปาฐกถกาชุด พุทธธรรม
32 ชุมนุมปาฐกถาชุด “พุทธธรรม”
36 ธรรมบรรยายระดับมหาวิทยาลัย เล่ม 1 เสียงอ่าน
37ก..เทคนิคของการมีธรรม
37ข..ใครคือใคร?
37ค..อะไรคืออะไร?
37ง..ธรรมะคือเรื่องของธรรมชาติ
37จ..เทคนิคของการมีธรรม เล่ม 2 ปรมัตถธรรมกลับมา
38..สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 1
38ก..สุญญตาปริทรรศน์ เล่ม 2
39ค..ธรรมบรรยายต่อหางสุนัข
39ง..ราชภโฏวาท
40..ธรรมะเล่มน้อย
40ก..ธรรมศาสตรา 1
40ซ..คู่มือที่จำเป็นในการศึกษาและปฏิบัติธรรม
40ฉ..สัมมัตตานุภาพ
40ช..คู่มือการศึกษาพุทธศาสนา
42ก..ชุมนุมล้ออายุ เล่ม 1
42ก2..ชุมนุมล้ออายุ ตอน2(ยังไม่พิมพ์ )
42ค หัวข้อธรรมในคำกลอน และบทประพันธ์ ของ สิริวยาส โดย พุทธทาส อินทปัญโญ
75-2 เรียนธรรมะอย่าตะกละให้เกินเหตุ
42ค หัวข้อธรรมในคำกลอน และบทประพันธ์ของสิริวยาส
44ก..ใจความแห่งคริสตธรรม เท่าที่พุทธบริษัทควรทราบ
46ค..ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่มีสวนโมกข์ ตอน 1
46ง..ฟ้าสางระหว่าง 50 ปีที่มีสวนโมกข์ ตอน 2,
ก..กข ก กา แห่งปรมัตถธรรม
ข..มนุษย์ธรรมปริทรรศน์
ค..สุญญตาธรรม
s1..ภาษาคน ภาษาธรรม
s5..อบรมชาวต่างประเทศ 2529 02 03
s6..พุทธธรรมนำสุข
s7..ธรรมมาศรมธรรมมาตา
s8..อบรมธรรมจาริณี
s9..อภิปรายธรรมที่คุรุสภากับ มรว.คึกฤทธิ์
s10..สูตรของเว่ยหล่าง
s11..อบรมพระวิปัสสนาจารย์
s12..อบรมพระนิสิตมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย
s13..อบรมผู้ปฏิบัติจิตตภาวนา
s14..โอวาทอุปสมบท, สอนนาค
รวมเทศน์อื่นๆที่ไม่ใช่ธรรมโฆษณ์
สารบัญละเอียด ธรรมโฆษณ์ออนไลน์ Lifetime
s2 แก่นพุทธศาสน์
PDF ท่านพุทธทาส
พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์
อนุรักษ์ต้นฉบับของธรรมทานมูลนิธิ 12 เรื่อง
หนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา
สหายธรรมทานหมายเลข 1
พระสังฆราชเสด็จ
สาส์นสมเด็จกับพุทธทาส และดุลยพากย์สุวมัณฑ์
ท่านดาไลลามะเสด็จสวนโมกข์
พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์
พระอุปัชฌาย์ของท่านพุทธทาส
คุณสุจิตต์ พันธุมนาวิน
100 ปี ร้อยจดหมาย พุทธทาส-สัญญา
ทยาลุ เจริญ กุลสุวรรณ
พระยาอมรฤทธิ์ธำรง ท่านพุทธทาสให้ความนับถือ
อ.โกวิท หรือ เขมานันทะภิกขุ
สัมพันธ์ ก้องสมุทร วาดภาพปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน
ภาคเช้า
ภาคบ่าย
ภาคค่ำ
เรื่องที่เข้าใจผิดโดยบังเอิญ
ตามรอยพระอรหันต์ เขียนที่วัดร้างสวนโมกข์พุมเรียง
รวมเทศน์ วันวิสา-อาสา-มาฆะ-เข้าพรรษา
วันนี้ในอดีต
1มค2515 อิทัปปัจจยตา
7มค2527 สมถวิปัสสนาแห่งยุคปรมาณู
7มค2505 แก่นพุทธศาสน์-ความว่าง
13มค2509 เทศน์ที่ธรรมศาสตร์
13มค2562 รำลึกถีง เขมานันทะภิกขุ อ.โกวิท
อ.โกวิท เล่าเรื่องปั้นรูปอวโลกิเตศวร
5พค ในหลวงครองราช พุทธทาสครองธรรม
21มค2505 แก่นพุทธศาสน์-วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง
22มค2513 สหายธรรมหมายเลขหนึ่ง
29มค2513 ปริญญาของสวนโมกข์
31มค2525 อนิจจา วตสังขารา
8กพ2525 50ปีสวนโมกข์
13กพ วันรักนกเงือก
20กพ2531 ยาระงับสรรพโรค
25กพ2518 คุยเสียดีที่แท้แพ้กิเลส
14มีนา วันเกิดพระยาลัดพลี
20มีนา2514 อภิธรรม คืออะไร
23มีนา2524 บวชอยู่ที่บ้าน
28มีนา ทำพินัยกรรม
2เมษา2520 พระพุทธคุณบรรยาย
6เมษา2514 เกิดมาทำไม
7เมษา2512 บรมธรรมภาคต้น
1พค2479 สุกรยักษ์
13พค2566 คิดถึงพี่ประชา
อ.พระไพศาล พูดถึงพี่ประชา
23พค2510 ถวายเทศน์ในหลวง ร.10
27พค2515 พระพุทธเจ้าท่านเป็นอะไร ในทุกแง่ทุกมุม ในพุทธจริยาของท่าน
27พค2529 ข้าพเจ้าไม่มีมรดกอะไร
5มิย2491 ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
7มิย2530 อ.สุลักษณ์-พุทธทาส
12มิย2514 การเห็นปฏิจจสมุปบาทคือการเห็นพระพุทธเจ้า
16มิย2534 สงบเย็นเป็นประโยชน์
19มิย2501 เห็นอนิจจัง_ทุกขัง_อนัตตา
22มิย2528 บวชอยู่ที่บ้าน
24มิย2521 การบวชคืออะไร
3กค2519 ธรรมะกับการเมือง
5กค2529 สันติภาพของโลก
8กค 100ปีพุทธทาส
8กค-1 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-2 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-3 ท่านพุทธธาสมรณ
8กค-4 ท่านพุทธธาสมรณ
13กค2483 วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม
5สิงหา2504 ตัวกู ของกูฉบับสมบูรณ์
6สค2515 ตายเสียก่อนตาย
12สค พระคุณของแม่ คือสันติภาพของโลก
14สค ธรรมะกับนักการเมือง
28สค2475 ชื่อพุทธทาส
31สค2528 ตรงไปยังหัวใจของธรรมะ
13กย2509 ตัวกู ตัวสู
22กย2522 เรียนพุทธฯจากที่ไหน
28กย2526 วันเผาศพท่าน
20ตค unesco ประกาศว่าท่านเป็นบุคคลสำคัญของโลก
26ตค2523 ธรรมบรรยายต่อหางสุนัข
29ตค2523 ตัดต้นเหตุทันเวลา
2พย2530 แด่สหายธรรม
13ธค2504 ชาติและโลกตามความหมายของพระพุทธศาสนา
17ธค2504 แก่นพุทธศาสน์
20ธค2561 พี่ประชากับท่านพุทธทาส
28ธค2503 พุทธศาสนาระดับที่ทุกคนควรรู้
31ธค
อาสาฬหบูชา 2502
มาฆบูชา วันพระอรหันต์
วิสาขบูชา วันพระพุทธ
วันลอยกระทง
13ค่ำเดือน10ของทุกปี วันทำวัตรอาจารย์
24สค2521 ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปจยตา
รวม-จิตว่าง จากบรรยายในทุกวาระ
จิตว่าง ในหลวง
ปริศนาธรรม
หลักธรรมสำหรับนักศึกษา
คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ ปี 2499
จะทำ-จับประเด็น
วิวาทะ ท่านพุทธทาส กับ มรว.คึกฤทธิ์
อานาปานสติ16.สติปัฏฐาน4
เทศน์บางตอนสั้นๆ
เวลา
ทำไมจึงมีการบรรยายประจำวันเสาร์
นืพพานชิมลองคืออย่างไร - ภาพแจกดวงตาเกิดขึ้นได้ยังไง.
ฟังต้นไม้พูด ฟังก้อนหินพูด
ยึดมั่นสิ่งใด ก็เป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้น
ชาติ หมายถึงอะไร
เกิดมาทำไม
หนึ่งในวิธีเข้าถึงพุทธธรรม
บันทึกการสนทนาธรรม อานาปานสติ พุทธทาสภิกขุ
แม้กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ในปากไม่ทันจะกลืน มีภพ มีชาติได้ตั้งหลายหน
ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
เรื่องที่เข้าใจผิดโดยบังเอิญ
ถ้าเราไม่พ้นความเกิดแก่เจ็บตายไปได้
อธิบายปฏิจจสมุปบาทจนเกิดทุกข์
โลงศพของอาตมา ก็คือความดีที่ทำไว้ในโลก
อตัมมยตา 3 เล่ม
เสียงอ่าน เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา
เสียงอ่านโดย AMJ Studio
ล้ออายุ 27พค2449
พุทธทาสภิกขุ...จากหลายมุมมอง
พี่ประชา
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
ท่านปัญญานันทภิกขุ
มรดกธรรม ท่านพุทธทาส
อภิธรรม คืออะไร
วิธีใช้ SoundCloud
Install-สมัคร SoundCloud
เก็บไฟล์มาใช้ ในมือถือ
ปัญหา ภาพ-เสียง
ถนอมสายตา Dark mode
ฟังซ้ำ
Follow
Search
Like
Playlist
ปุจฉา-วิสัชนา ปี2500-2534
ผังก้างปลา สืบสานงานท่านพุทธทาส
ภาษาคน ภาษาธรรม
ภาษาคน ภาษาธรรมในปฏิจจสมุปบาท
ปทานุกรมธรรม พุทธทาส
หัวข้อธรรมในคำกลอน
เสียงท่านพุทธทาสอ่านกลอน
48 - 4+ ตกนรกพลางคว้านิพพานพลาง
52-1 ตัวกู ตัวสู
บทพระธรรมประจำภาพ 3 เล่ม
สวดมนต์แปลสวนโมกข์
- หน้า1 คำบูชาพระรัตนตรัย
- หน้า7 ปุพพภาคนมการ
- หน้า7 พุทธาภิถุติ
- หน้า10 ธัมมาภิถุติ
- หน้า11 สังฆาภิถุติ
- หน้า13 รตนัตตยัปปณามคาถา
- หน้า15 สังเวคปริกิตตนปาฐะ.
- หน้า22 พุทธานุสสติ.
- หน้า23 พุทธาภิคีติ.
- หน้า26 ธัมมานุสสติ.
- หน้า27 ธัมมาภิคีติ.
- หน้า30 สังฆานุสสติ.
- หน้า32 สังฆาภิคีติ.
- หน้า34 ปุพพภาคนมการ.
- หน้า36 สรณคมนปาฐะ.
- หน้า38 อัฏฐสิกขาปทปาฐะ
- หน้า40 ทวัตติงสาการปาฐะ.
- หน้า44 เขมาเขมสรณทีปิกคาถา.
- หน้า47 อริยธนคาถา.
- หน้า50 ติลักขณาทิคาถา.
- หน้า52 ภารสุตตคาถา.
- หน้า54 ภัทเทกรัตตคาถา.
- หน้า58 ธัมมคารวาทิคาถา.
- หน้า62 โอวาทปาฏิโมกขคาถา.มาฆะบูชา
- หน้า65 ปฐมพุทธภาสิตคาถา.
- หน้า67 ปัจฉิมพุทโธวาทปาฐะ.
- หน้า69 บทพิจารณาสังขาร.
- หน้า72 สัพพปัตติทานคาถา.
- หน้า74 ปัฏฐนฐปนคาถา.
- หน้า77 อุททิสสนาธิฏฐานคาถา.
- หน้า81 คำสาธุการเมื่อพระเทศน์จบ.
- หน้า85 อริยมรรคมีองค์แปด.
- หน้า95 ปัจจเวกขณ์องค์อุโบสถศีล.
- หน้า105 ปฏิจจสมุปบาท .
- หน้า110 กรณียเมตตสูตร
- หน้า115 ธัมมจักกัปปวัตตนสุตตปาฐะ.
- หน้า122 อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปาทปาฐะ.
- หน้า127 ธาตุปัจจเวกขณปาฐะ
- หน้า130 ตังขณิกปัจจเวกขณปาฐะ
- หน้า133 มงคลสูตร
หน้า148 แผ่เมตตา
พิเศษ อานาปานสติ
พิเศษ ธัมมนิยามสุตตปาฐะ
พิเศษ โยคฐานาริยสัจจธัมมปาฐะ
พิเศษ ปรมัตถสภาวร้มมปาฐะ
พิเศษ พระพุทธคุณร้อยบท-มหาพุทธโถมนาการปาฐะ
พิเศษ ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณปาฐะ
พิเศษ อตีตปัจจเวกขณปาฐะ
พิเศษ ธัมมปหังสนปาฐะ
บทความที่กล่าวถึงท่านพุทธทาส
สังฆะ ในทัศนะท่านพุทธทาส
ท่านพุทธทาส คนไข้ที่ผมรู้จัก
อ.จำนงค์ ทองประเสริฐ
ปรีดี พนมยงค์
พุทธทาสในความทรงจำ ของ อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์
พุทธทาส กับ คณะราษฎร
จากสวนโมกข์ไชยา สู่สวนโมกข์นานาชาติ | พื้นที่ชีวิต
ติดต่อเรา
คู่มือมนุษย์(ย่นความ)
ย่อความ คู่มือมนุษย์(2499)ฉบับสมบูรณ์
เกริ่นนำ
ที่มางานนี้เกิดจากอาสาท่านหนึ่งที่เรียนคลาสคู่มือมนุษย์(ดูเพิ่ม-
http://bit.ly/2pO8fq0
) ที่สวนโมกข์กรุงเทพ, มีฉันทะ พอใจที่จะอ่านหนังสือนี้และย่นเอาแต่สาระที่สำคัญของหนังสือนี้ มาเรียบเรียง , โดยมิได้ต่อเติมเสริมแต่งสิ่งใดๆ เว้นแต่หากกรณีจำเป็นจะอธิบายก็จะระบุที่ตอนล่างไว้ชัดเจนว่าช่วงนั้นเป็นการอธิบายศัพท์ หรือ บางอย่างโดยผู้ทำงานนี้ เพื่อให้ผู้อ่านทราบชัดเจน
เนื่องจากหนังสือคู่มือมนุษย์โดย อ.พุทธทาส มีจำหน่ายหลายปก หลายสำนักพิมพ์ , ฉบับที่กล่าวถึงและใช้ในงานนี้คือ คู่มือมนุษย์ฉบับสมบูรณ์ ปกอ่อน พิมพ์โดยธรรมสภา ดูเพิ่ม-
http://bit.ly/2CWcoLt
ที่มาของหนังสือ คู่มือมนุษย์(2499) ฉบับสมบูรณ์ มี 10 ตอน
พ.ศ. 2499 ในพรรษาที่ 30 ของท่านพุทธทาส ขณะนั้นท่านอายุ 50 ปี ,ท่านพุทธทาสได้รับอาราธนานิมนต์จากพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกาในขณะนั้น ให้ไปอบรมคณะผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษา เพื่อให้ท่านเหล่านั้นทำหน้าที่ดำรงความยุติธรรม และ ประพฤติตนเป็นมนุษย์ได้
อ
ย่างสมบรูณ์ การบรรยายครั้งนั้น ใช้เวลา 10 วัน ในหัวข้อชื่อว่า "วิชาที่ว่าด้วยอะไรเป็นอะไร"
เสียงคำบรรยายนี้ได้ความสนใจอย่างมาก คณะธรรมทานซึ่งมีท่านธรรมทาสพานิชและสหายธรรม จึงได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือ ตุลาการิกธรรมในปี 2500 และได้รับความสนใจในวงกว้าง ต่อมาคุณปุ่น จงประเสริฐ ขณะนั้นเป็นเลขานุการเอก ประจำสถานฑูตไทย ณ.กรุงไคโร ได้อ่านและศรัทธาในคำสอนท่านพุทธทาส ได้มาขออนุญาตท่านอาจารย์พุทธทาส ย่อหลักธรรมในหนังสือกล่าวนั้นให้เป็นภาษาชาวบ้านที่คนทั่วไปอ่านเข้าใจได้ง่าย โดยขอตั้งชื่อหนังสือเล่มใหม่นี้ว่า "คู่มือมนุษย์" ท่านพุทธทาสพิจารณาและอนุญาตให้เผยแพร่ได้ตั้งแต่นั้นมา.
ดูเพิ่ม :
http://bit.ly/2ySebiY
ฟังบรรยาย
https://bit.ly/3bsIVaz
เป็นมนุษย์หรือเป็นคน
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง
เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน
ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
ใจสะอาด ใจสว่าง ใจสงบ
ถ้ามีครบ ควรเรียก มนุสสา
เพราะทำถูกพูดถูก ทุกเวลา
เปรมปรีดา คืนวัน สุขสันต์จริง
ใจสกปรกมืดมัวและร้อนเร่า
ใครมีเข้า ควรเรียก ว่าผีสิง
เพราะพูดผิดทำผิดจิตประวิง
แต่ในสิ่ง นำตัว กลั้วอบาย
คิดดูเถิดถ้าใครไม่อยากตก
จงรีบยก ใจตน รีบขวนขวาย
ให้ใจสูง เสียได้ ก่อนตัวตาย
ก็สมหมาย ที่เกิดมา อย่าเชือนเอย
โดย พุทธทาสภิกขุ
(๑). คำอนุโมทนาของท่านอาจารย์พุทธทาส ต่อหนังสือ คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ ซึ่งนับว่าเป็น "บันไดขั้นแรกของการศึกษาพระพุทธศาสนา" อันมีใจความสำคัญ ดังนี้
คนเราในทุกวันนี้แม้ว่าจะทำความดีความงามอะไรเพื่อเป็นการเพิ่มพูนหรือการไถ่ถอนอะไรก็ตาม นับว่าเป็น
สิ่งที่น่าอนุโมทนา และน่าอนุโมทนาเป็นสองเท่า หากการ
กระทำนั้นๆ แผ่ไพศาลไปเป็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์จำนวนมากมายอีกด้วย
มนุษย์เรา จะเป็นมนุษย์อยู่ได้ก็เพราะกำลังประกอบอยู่ด้วยธรรม เมื่อโลกไม่มีธรรมแล้ว คนก็อยู่ในโลกไม่ได้ด้วยกัน โลกจะต้องเลิกบูชาวัตถุนิยม สร่างซาความหลงงมในวัตถุรสกันเสียบ้าง
แม้ธรรมะจะงุ่มง่ามบ้าง ก็ย่อมจะต้องดีกว่าอธรรมที่ปราดเปรียว มิใช่หรือ?
~ พุทธทาสภิกขุ ~
ย่นความจาก
หน้า อนุโมทนา หนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
จัดพิมพ์โดยธรรมสภา และ สถาบันบันลือธรรม
(๒). บทนำหนังสือคู่มือมนุษย์
ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องพยายามเป็นมนุษย์ให้ได้
คนเราเกิดมาทำไม ทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่
ชีวิตคืออะไร ทำอย่างไรจึงจะได้หรือพบสิ่งที่ชีวิตต้องการนั้น
เดิมข้าพเจ้าเป็นอะไรก็บอกไม่ถูก แต่ก็เหมือนกับสัตว์เดรัจฉานอยู่ 4 ประการ คือ รู้จักแต่เรื่อง กลัว กิน นอน เสพกาม
แต่เมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาธรรมะ จึงทราบว่า ทรัพย์เป็นเพียงเครื่องนำมาซึ่งความปลื้มใจแบบชาวโลกเท่านั้น แต่ไม่ทำให้คนแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉาน
มนุษย์คือผู้มีใจสูง สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้นั้นก็คือ ความไม่มีทุกข์ โดยเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์นั่นเอง
~ วิโรจน์ ศิริอัฐ ~
ประธานมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ
จากหนังสือ คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
หัวข้อ: บทนำหนังสือคู่มือมนุษย์
ทำไมข้าพเจ้าจึงต้องพยายามเป็นมนุษย์ให้ได้
(๓). บันทึกความเป็นมา
หนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ในปี พ.ศ 2499 ท่านพุทธทาสได้รับอาราธนานิมนต์ ขอให้อบรมคณะผู้ที่จักเป็นผู้พิพากษา เพื่อศึกษาและเรียนรู้การปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องดีงาม เพื่อทำหน้าที่ของผู้ดำรงความยุติธรรม และประพฤติตนเป็นมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์
เมื่อคำบรรยายได้รับความสนใจและกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง คณะธรรมทาน ได้คัดลอกจากแถบบันทึกเสียงจัดพิมพ์เป็นเล่ม ในปี พ.ศ 2500 และได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างแพร่หลาย หนึ่งในนั้นคือ คุณปุ่น จงประเสริฐ ซึ่งเดินทางมาสวนโมกข์ เพื่อขออนุญาตย่อหลักธรรมในหนังสือเล่มนั้น ให้เป็นภาษาชาวบ้าน ให้คนทั่วไปอ่านเข้าใจได้ง่าย โดยขอตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ใหม่ว่า "คู่มือมนุษย์" ซึ่งท่านพุทธทาสได้พิจารณาแล้ว จึงอนุญาต
หนังสือคู่มือมนุษย์จึงบังเกิดขึ้นในบรรณพิภพ ในปี พ.ศ 2501 มีเพียง 9 ตอน โดยตัดตอนที่ 10 ออก ,เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตุลาการ
เมื่อหนังสือคู่มือมนุษย์ได้รับการสนใจอย่างต่อเนื่องมาตลอด ในระยะเวลาร่วม 40 ปี ในปี พ.ศ 2530 ธรรมสภาจึงได้พยายามสืบค้นหาต้นฉบับ ที่เป็นคำบรรยายของหลวงพ่อพุทธทาสโดยตรง และพบว่าเป็นหนังสือที่มีการบรรยายอย่างละเอียดและพิสดารอย่างยิ่ง ธรรมสภา จึงขออนุญาตธรรมทานมูลนิธิจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ และ ตั้งชื่อใหม่ว่า คู่มือมนุษย์ ( ฉบับสมบูรณ์) นับแต่นั้นมา
~ธรรมสภา~
จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
หัวข้อ: บันทึกความเป็นมาหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
<ความคิดเห็นผู้รวบรวม>
เราควรสำนึกในพระคุณท่านผู้มีพระคุณยิ่งต่อพุทธศาสนิกชนและศาสนิกอื่นอย่างสูงสุด ดังนี้
* พระธรรมโกศาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ
แห่งสวนโมกขพลาราม องค์บรรยายธรรม
* ท่านพระยาลัดพลีธรรมประคัลภ์
ผู้อาราธนานิมนต์องค์บรรยายธรรม
* ท่านธรรมทาสพานิช
ผู้จัดพิมพ์ครั้งแรกในนามคณะธรรมทาน
* ท่านอาจารย์ปุ่น จงประเสริฐ
ประธานองค์การฟื้นฟูพระพุทธศาสนา
* ท่านอาจารย์วิโรจน์ ศิริอัฐ
ประธานมูลนิธิเผยแพร่ชีวิตประเสริฐ
* คุณครูเมตตา พานิช
ท่านประธานธรรมทานมูลนิธิ
* ธรรมสภา และสถาบันบันลือธรรม
ผู้จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่และส่งเสริมพระพุทธศาสนา
ทุกท่านเป็นผู้มีส่วน ในการสนับสนุน ส่งเสริม ช่วยอุปถัมภ์และช่วยเผยแพร่หนังสือคู่มือมนุษย์ (ฉบับสมบูรณ์) เล่มนี้
.
ย่นความ คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
โดย พุทธทาสภิกขุ
ตอนที่ ๑
หน้า ๓-๗
เรื่อง:ใจความสำคัญของพุทธศาสนา
เนื่องจากเนื้อหาค่อนข้างยาว ผู้รวบรวมจึงแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๕ ตอน ดังนี้
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
พุทธศาสนา และ ศีลธรรม เป็นวิชาความรู้ที่จำเป็นแก่บุคคลทั่วไปทุกประเภท คำว่า ศาสนามีความหมายเป็นไปได้กว้าง หรือลึกกว่าคำว่าศีลธรรม
คำว่า "ศีลธรรม" หมายถึงข้อปฏิบัติ ซึ่งเกี่ยวกับประโยชน์สุข ในชั้นที่เป็นพื้นฐานทั่วไป ส่วนคำว่า "ศาสนา" นั้น หมายถึงระเบียบวิธีปฏิบัติในขั้นสูง
คำว่าศีลธรรม ย่อมหมายถึงระเบียบการปฏิบัติ เป็นการทำให้คนเป็นคนดี เช่น มีศีล มีสัจจะ มีกตัญญูกตเวที มีการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนหรือคนอื่น มีศีลธรรมดีแล้ว ปัญหาก็ยังคงมีเหลืออยู่ว่า คนนั้นยังไม่พ้นทุกข์ ไม่พ้นจากการเบียดเบียนของกิเลส ส่วนขอบเขตหรือหน้าที่ของศาสนานั้น ยังไปได้ไกลต่อไปอีก คือ มุ่งหมายโดยตรง ที่จะกำจัดกิเลส ให้สิ้นเชิง หรือดับความทุกข์ทั้งหลาย ที่จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น จากการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นต้น สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ไปไกลกว่าศีลธรรมเช่นนี้ ชี้ให้เห็นชัดๆว่า ศาสนากับศีลธรรมนั้น ต่างกันอย่างไร
" พุทธศาสนา คือ วิชารวมทั้งระเบียบปฏิบัติ สำหรับจะให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร" คำที่ว่า ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น มีความหมายลึกซึ้งมาก ถ้าผู้ใดรู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร ผู้นั้นจะเป็นผู้รู้พุทธศาสนา ถ้ารู้หมดจนสิ้นเชิง ก็เท่ากับว่ารู้พุทธศาสนาหมดจนสิ้นเชิงได้ เมื่อเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริงๆแล้ว เราย่อมไม่ปฏิบัติผิดต่อสิ่งทั้งปวง
การปฏิบัติพุทธศาสนา ย่อมเป็นการปฏิบัติเพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวง ตามที่เป็นจริงนั่นเอง เราปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่า สิ่งทั้งปวงคืออะไร ตามที่เป็นจริงอย่างไร เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร ก็ย่อมหมายถึงการบรรลุมรรคผลชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือถึงที่สุด เพราะว่าความรู้นั้นเอง เป็นตัวทำลายกิเลสไปในตัว และเป็นการรู้ผล ของการหมดกิเลสไปในตัว ความรู้เช่นนั้น ย่อมทำลายกิเลสเองอยู่ในตัวจนหมดไปในตัว
เราพยายามแต่เพียงให้เกิดความรู้อันนั้นขึ้นมา คือให้เป็นความรู้ที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงที่สุดจริงๆเท่านั้น โดยสรุปก็คือ ความรู้ว่าสิ่งทั้งปวง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง
เมื่อเราไม่รู้ ก็หลงรักยินดีติดพันยึดถือในสิ่งเหล่านั้น ครั้นเรารู้จริง จนมองเห็นชัดว่า ไม่มีอะไรที่น่าผูกพันตัวเรา เข้าไปกับสิ่งนั้นๆจริงๆแล้ว ก็จะเกิดความหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ฉะนั้น การปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติเพียงเพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริง คือ ยิ่งกว่าที่รู้ๆกันอยู่ตามธรรมดาโลกหรือตามที่ตนเข้าใจว่ารู้เท่านั้นเอง
.
ตอนที่ ๒
หน้า ๘ - ๑๑
เรื่อง : ใจความสำคัญของพุทธศาสนา
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
การที่จะตอบว่า พุทธศาสนาคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น แทบจะไม่มีประโยชน์ ถ้าจะถามว่า ทำไมจึงไม่อ้างบาลีข้อนั้นข้อนี้มาตอบ อาตมาก็อยากจะตอบว่า คำกล่าวที่ว่า ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นแหละ คือใจความของพระบาลีหมดทั้งพระไตรปิฎก
ถ้าถือเอาตามหลักที่ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้ยินได้ฟังกันอยู่ทั่วไปแล้วสักอย่างหนึ่งมาอ้างก็ได้ เช่น หลักเรื่อง
อริยสัจจ์ ๔ ประการ
อริยสัจจ์ข้อที่ ๑ แสดงว่า สิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ สิ่งทั้งปวงหรืออะไรเป็นอะไรนั่นเอง แต่สัตว์ทั้งหลายไม่ทราบ ไม่รู้ ไม่เห็น ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นความทุกข์ จึงได้มีความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งในสิ่งทั้งปวง
อริยสัจจ์ข้อที่ ๒ แสดงว่า ความอยาก เป็นเหตุของความทุกข์ สัตว์ทั้งหลายก็ไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็น ไม่ได้เข้าใจ จึงได้พากันอยากนั่น อยากนี่ ร้อยแปดพันประการ โดยไม่เห็นว่าความอยากนี้ เป็นที่ตั้งของความทุกข์ เป็นที่เกิดของความทุกข์ นี่ก็เรียกว่า รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอีกนั่นเอง
อริยสัจจ์ข้อที่ ๓ ที่แสดงว่านิโรธ หรือพระนิพพานคือการดับตัณหาเสียให้สิ้นเป็นความไม่มีทุกข์ เป็นสิ่งที่สัตว์ทั้งหลายยิ่งไม่รู้จักกันใหญ่มากขึ้นไปอีก ก็คือว่า ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงไม่มีใครปรารถนาที่จะดับความอยาก ก็คือ ไม่ปรารถนาพระนิพพานเพราะไม่มีความรู้
อริยสัจจ์ข้อที่ ๔ มรรค อันได้แก่วิธีดับความอยากนั้นๆเสีย อริยมรรคมีองค์ ๘ ประการล้วนแต่เป็นการดับเสียซึ่งความอยาก เรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ เป็นสิ่งที่เลิศประเสริฐที่สุดในบรรดาวิชาความรู้ของมนุษย์เราในโลกนี้ หรือโลกอื่นๆรวมทั้งเทวโลกอะไรๆ ด้วยกันก็ได้ ไม่มีความรู้อันใดที่จะสูงสุดยิ่งไปกว่าหลักธรรมที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘
ทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้ว่า เรื่องอริยสัจจ์ ๔ ประการนั้น คือความรู้ที่บอกให้เห็นชัดว่าอะไรเป็นอะไรอย่างครบถ้วนนั่นเอง และเราไม่รู้ มีคนบอกให้ก็ไม่เข้าใจ จนเต็มไปด้วยความทุกข์ ดังนี้แหละเรียกว่าเป็นความโง่เขลาหรือเป็นอวิชชา เป็นความไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรตามที่เป็นจริง
เพราะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงปฏิบัติผิดปฏิบัติถูกบ้างก็เล็กน้อยเกินไป และถูกแต่ตามความหมายของคนที่มีกิเลสตัณหา ซึ่งถือว่าถ้าได้อะไรมาตรงตามความต้องการของตนแล้ว ก็ถือว่าเป็นการปฏิบัติถูก แต่แล้วความทุกข์ก็ยังเหลืออยู่ เช่นนี้ ตามทางธรรมไม่ถือว่าปฏิบัติถูก เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ถือว่านั่นคือการรู้ที่ถูกต้องว่าอะไรเป็นอะไร ถือเป็นเพียงความรู้อย่างโลกๆ และถูกต้องเพียงนิดเดียว ส่วนที่เป็นทางธรรมแล้ว ก็ยังนับว่าไม่รู้อะไรเลย พระพุทธศาสนานั้น คือวิชาที่บอกให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นเอง ดังนี้
.
ตอนที่ ๓
หน้า ๑๑ - ๑๕
เรื่อง: ใจความสำคัญของพุทธศาสนา
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ที่นี้ เราจะลองถือเอาหลักบาลีที่รู้กันโดยมากทั่วไปอีกข้อหนึ่ง ที่เรียกกันว่า หัวใจพระพุทธศาสนา หรือ พระคาถาของพระอัสสชิ มาเป็นเครื่องพิจารณา เมื่อพระอัสสชิ ได้พบกับพระสารีบุตรแต่ก่อนบวช พระสารีบุตรได้ถามถึงใจความของพระพุทธศาสนา ว่ามีอยู่อย่างไร โดยย่อที่สุด พระอัสสชิได้ตอบว่า โดยย่อที่สุดแล้ว ก็คือ เย ธฺมมา
เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํุ ตถาคโต, เตสญฺจ โย นิโรโธ จ, เอวํวาที มหาสมโณ, ถ้าแปลเป็นภาษาไทยเราก็ว่า "สิ่งทั้งหลายเหล่าใด เกิดมาแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าท่านทรงแสดงเหตุของสิ่งเหล่านั้น พร้อมทั้งแสดงความดับสิ้นเชิงของสิ่งเหล่านั้น เพราะหมดเหตุ พระมหาสมณเจ้าตรัสอย่างนี้" นี่เป็นคำตอบของพระอัสสชิ ถือกันว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนาในทุกประเทศที่เป็นพุทธบริษัทถึงกับมีการจารึกลงในแผ่นอิฐมาตั้งแต่ครั้งใกล้สมัยพุทธกาลคือยุคสมัยพระเจ้าอโศกเป็นต้นมาทีเดียว
ถ้าเอาตามหลักนี้ ใจความของพุทธศาสนานั้นคือการบอกให้รู้ว่า "สิ่งทั้งปวงนั้น มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา มันดับไม่ได้จนกว่าจะดับเหตุเสียก่อน" ใจความสำคัญนี้ก็เป็นการชี้ให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไรนั่นอีกเหมือนกัน เป็นการชี้ให้รู้ว่าอย่าไปเห็นว่าปรากฏการณ์อะไรเป็นตัวตนที่ถาวร มีแต่สิ่งที่เกิดงอกงามออกมาจากเหตุ และงอกงามเจริญต่อไปโดยอำนาจของเหตุ คำว่า เหตุในที่นี้หมายถึง สิ่งที่มีอำนาจปรุงแต่ง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ปัจจัย ก็ได้ สิ่งหนึ่งๆ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยปรุงแต่งสิ่งอื่นๆสืบต่อกันไป
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏอยู่ในบัดนี้หรือปรากฏการณ์ทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นผลิตผลของสิ่งที่เป็นเหตุ ไม่มีตัวมันเองที่เป็นของอิสระตายตัวแต่เป็นความเลื่อนไหลไปในฐานะเป็นผลของสิ่งที่เป็นเหตุที่ปรุงทยอยกันมาไม่หยุด เพราะอำนาจของธรรมชาติมีลักษณะปรุงไม่หยุดยั้ง สิ่งต่างๆจึงปรุงแต่งกันไม่หยุดและเปลี่ยนแปลงกันไม่หยุด พุทธศาสนาจึงบอกให้รู้ว่าสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตนมีแต่ความที่เหตุปัจจัยปรุงแต่งกันไป และเป็นความทุกข์รวมอยู่ในนั้นด้วย เพราะไม่มีอิสระในตัวเอง ต้องเป็นไปตามอำนาจของเหตุ จะไม่มีความทุกข์ก็ต่อเมื่อหยุดหรือดับ ก็ต่อเมื่อดับเหตุ
ข้อนี้เป็นการบอกให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างลึกซึ้ง อย่างสุดสามารถ นับว่าเป็นหัวใจพุทธศาสนาจริงๆ การบอกนี้คือบอกให้รู้ ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นแต่เรื่องของมายา คือเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้นเท่านั้น อย่าไปหลงยึดถือ จนชอบหรือชังมันเข้า ทำใจให้เป็นอิสระจากความชอบหรือความชังดีกว่า นั่นแหละ คือการออกมาเสียได้จากอำนาจแห่งเหตุ เป็นการดับเหตุเสียได้ ไม่ทำให้ความทุกข์เกิดได้ เพราะความชอบหรือความชังอีกต่อไป ก็เป็นการชี้ในข้อที่ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้องลึกซึ้งที่คนทั่วไปตามธรรมดาไม่เคยได้ยินได้ฟัง นั่นเอง
อาตมาอยากจะชี้ให้ท่านทั้งหลายสังเกตเห็นสักนิดหนึ่ง ถึงวัตถุประสงค์แห่งการออกผนวชของพระพุทธเจ้า ว่าท่านออกผนวชจากความสุขในราชสมบัตินั้น โดยพระประสงค์อย่างใด พระองค์ใช้คำว่า กิํ กุสลคเวสี หมายถึงพระองค์ในขณะที่เป็นผู้ออกจากเรือนบวชแสวงหาอยู่ "อะไรเป็นกุศลๆ" ที่พระองค์ทรงออกบวชจากบ้านจากเรือนก็เพื่อแสวงหาความรู้ที่ว่า อะไรเป็นกุศล แต่คำว่า "กุศล" ของพระองค์ในที่นี้หมายถึงความรู้ หมายถึงความฉลาดกุศลแปลว่า ความฉลาด ในที่นี้หมายถึงความรู้ที่ถูกต้องที่สุด ว่าอะไรเป็นอะไรโดยเฉพาะก็คือว่า อะไรเป็นความทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อะไรเป็นความไม่มีทุกข์ อะไรเป็นวิธีให้ถึงความไม่มีทุกข์นั้น นี้เรียกว่าเป็นกุศลถึงที่สุด เป็นความฉลาดถึงที่สุด การออกผนวชของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการออกแสวงหาว่าอะไรเป็นความรู้ที่ฉลาดที่สุดในโลกทั้งปวง ในที่สุดก็ได้ทรงพบความรู้อันนี้เราจะเห็นได้ว่าพระองค์ออกผนวช เพื่อแสวงหาความรู้ เพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเพราะถ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้องแล้ว งั้นก็คือความฉลาดหรือความรู้ที่ถึงที่สุดดุจกัน ความรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์นั่นแหละคือตัวพุทธศาสนา
ทีนี้ ถ้าจะถือตามที่คนทั่วๆไปได้ยินได้ฟัง โดยเฉพาะที่คนแก่คนเฒ่าพูดกันติดปาก ก็คือเรื่องพระไตรลักษณ์ ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นหลักสำคัญหรือตัวพุทธศาสนาอีกแนวหนึ่งด้วยเหมือนกัน ไตรลักษณ์ มีหัวข้อสั้นๆว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้เป็นหลักพุทธศาสนาที่เราต้องรู้ ถ้าไม่รู้ก็เรียกว่าไม่รู้พุทธศาสนา นี่คือการประกาศความจริงออกไปว่า "สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่งนั้นไม่เที่ยง สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เป็นทุกข์ สิ่งทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่งและปัจจัยไม่ปรุงแต่งนั้นเป็นอนัตตา" นี้ เป็นหลักพระพุทธศาสนา
ที่ว่าเป็นอนิจจัง ก็คือสิ่งทั้งปวงเปลี่ยนแปลงเรื่อยไม่มีอะไรเป็นตัวมันเองที่หยุดอยู่แม้ชั่วขณะ ที่ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นทุกข์ นั้น หมายถึงข้อที่ว่าสิ่งทั้งปวงมีลักษณะเป็นความทนทุกข์ทรมานอยู่ในตัวมันเอง มีลักษณะที่ดูแล้วน่าเกลียด น่าชัง น่าเบื่อหน่าย น่าระอา อยู่ในตัวมันเองทั้งนั้น และ ที่ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตา นั้น หมายถึง บรรดาสิ่งทั้งปวงไม่มีอะไรที่เราควรจะเข้าไปยึดถือเอาด้วยจิตใจที่ยึดมั่นเป็นตัวตน หรือเป็นของตน ไม่มีทางจะยึดเอาเป็นตัวตนหรือเป็นของตนได้เลย ถ้าไป ยึดถือเข้า ก็ต้องเป็นความทุกข์ นี้คือ การบอกให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงคืออะไร เป็นอะไร โดยนัยแห่งพระไตรลักษณ์ นี้ยิ่งเป็นการชี้ให้เห็นชัดได้ว่า พุทธศาสนา คือวิชา หรือระเบียบปฏิบัติ ที่ทำให้รู้ได้ว่าอะไรคืออะไรเท่านั้นเอง
ที่นี้เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ไม่ต้องสงสัย เราก็จะปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวง การที่เราจะปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวงโดยที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรจะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา กรรมฐาน ภาวนาให้ถูกต้องโดยไม่หวังผลเป็นความรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไรอย่างไรนั้น เป็นไปไม่ได้เป็นความเขลาอย่างยิ่ง เราจะต้องปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไร แล้วเราจึงจะรู้ว่าสิ่งนั้นประกอบอยู่ด้วยประโยชน์หรือว่าจะเป็นคุณประโยชน์แก่เราได้อย่างไร
.
ตอนที่ ๔
หน้า ๑๕ - ๑๘
เรื่อง: ใจความสำคัญของพุทธศาสนา
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
หลักในพระบาลีก็มีอยู่อีกพวกหนึ่งหรือส่วนหนึ่งที่เป็นคำตอบของปัญหาข้อนั้นสืบไป ได้แก่ กฎหรือหลักที่เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์ คำว่า "โอวาทปาฏิโมกข์" แปลว่า ประธานหรือหัวหน้าของคำสอนทั้งหมด หรือจะแปลว่าคำสอนที่เป็นประธานของคำสอนทั้งหมดอย่างนี้จะดีกว่า
โอวาทปาติโมกข์มีอยู่ ๓ ข้อสั้นๆ คือ
๑. การไม่ทำความชั่วทั้งปวง
๒. การทำความดีให้เต็มที่ครบถ้วน และ
๓. การทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากเครื่องเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง
เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นสิ่งที่ยึดถือเอาไม่ได้ ไปหลงใหลด้วยไม่ได้ เราต้องปฏิบัติต่อสิ่งทั้งปวง ในลักษณะที่ถูกต้องด้วยความระมัดระวัง คือ เว้นจากการทำชั่วทั้งปวง ที่หมายถึงการละโมบโลภมาก ด้วยอำนาจของกิเลสที่อยากทำชั่ว อีกทางหนึ่งนั้น ให้ทำแต่ความดี ตามที่บัณฑิตสมมุติตกลงกันว่าเป็นความดี ท่านทั้งหลายย่อมจะทราบได้เองเป็นอย่างดีว่าเป็นแต่เพียงขั้นศีลธรรมหรือระเบียบปฏิบัติทั่วไป ที่จะต้องประพฤติเพื่อความเป็นอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนข้อที่สาม ให้ทำจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองโดยประการทั้งปวงนั้นนั่นแหละเป็นตัวใจความสำคัญคือเป็นตัวพุทธศาสนาโดยตรง
การทำจิตให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจากสิ่งเศร้าหมองนั้น หมายความว่า ทำจิตให้เป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง ถ้าจิตใจยังไม่เป็นอิสระจากอำนาจครอบงำของสิ่งทั้งปวงแล้ว จะเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้เลย จิตใจที่จะเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงนั้น ต้องมาจากความรู้ว่า อะไรเป็นอะไรถึงที่สุดเสมอไป ถ้ายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้วก็จะต้องไปหลงรักหลงชังอะไร หรือมีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วจะมีความเป็นอิสระได้อย่างไรกัน คนเรามีความรู้สึก ตามธรรมดาอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น คือ รักกับเกลียด ชอบกับชัง หรือพอใจกับไม่พอใจ ถ้าเรียกอย่างภาษาบาลีก็เรียกว่า อภิชฌาและโทมนัส
ความไม่รู้ว่าอารมณ์หรือสิ่งทั้งปวงนั้นคืออะไร ก็คือความไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั่นเอง ทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาเป็นความชอบหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ อภิชฌาในที่นี้ มีลักษณะที่จะรวบอะไรๆ เข้ามาหาตัว ส่วนความไม่พอใจหรือโทมนัสนั้น มีลักษณะที่จะปฏิเสธหรือผลักไสอะไรอะไรออกไปเสียจากตัว ขอให้กำหนดความหมายให้กว้างๆอย่างนี้ อย่ามุ่งเอาแต่เพียงเรื่องรักหรือกำหนัด ที่เป็นกิเลสตัณหาทางกามารมณ์อย่างเดียว ถ้าสิ่งใดเกิดความรู้สึกอยากเอาเข้ามาหาตัว ก็เรียกว่าเป็นความพอใจ สิ่งใดที่ก่อให้เกิดความรู้สึกที่จะผลักออกไปเสียให้พ้น หรืออยากทำลายให้สูญสิ้น อย่างนี้เรียกว่าเป็นความไม่พอใจ ถ้ายังมีความรู้สึกสองอย่างนี้อยู่แล้ว ก็หมายความว่ายังไม่เป็นอิสระ เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ยังเลือกหลงรักหลงทางอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ จิตยังไม่มีทางที่จะบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากความครอบงำของสิ่งทั้งปวงได้ โดยเหตุนี้เอง หลักพระพุทธศาสนาในขั้นสูงสุดนี้จึงปฏิเสธการยึดถือทั้งหมด ทั้งสิ่งที่น่ารักน่าชัง และเป็นการปฏิเสธเลยขึ้นไปถึงความดีและความชั่ว เป็นผู้ไม่หลงติด ทั้งในความดีและความชั่ว จิตจึงจะเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงและบริสุทธิ์จากสิ่งห่อหุ้มจริงๆ
ขอย้ำในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งว่า ข้อที่๑ ว่าอย่าทำความชั่ว ข้อที่ ๒ ว่าให้ทำความดีและข้อที่ ๓ ว่าให้ทำจิตใจอยู่เหนือความครอบงำทั้งของความดีและความชั่วจึงจะเป็นอิสระและบริสุทธิ์สิ้นเชิงว่าไม่มีอะไรที่น่าผูกพันตัวเข้าไปเป็น "ทาส" ของมัน ทั้งที่ถือกันว่าเป็นความดีและความชั่วก็ตามคำสอนนี้แหละเป็นคำประกาศให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า เมื่อคนเหล่าอื่น ลัทธิอื่นนิยมกันแต่เพียงให้เว้นความชั่ว ไปยึดถือในความดีให้หลงใหลในความดี ให้ผูกพันในความดีจนถึงยอดของความดี คือพระเป็นเจ้าหรืออะไรก็ตาม พุทธศาสนาก็ยังไปไกลกว่านั้น คือการไม่ยอมผูกพันตัวกับสิ่งใดเลย การผูกพันในความดีนั้น จัดไว้เป็นการปฏิบัติถูกในระยะกลางเท่านั้น ขอให้สังเกตให้รู้ว่าท่านจัดไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่ต้องทำในเมื่อเรายังจะทำอะไรให้สูงไปกว่านั้นไม่ได้เท่านั้นเองในระยะแรก เราเว้นจากความชั่วท่านนี้ยังต่ำอยู่ในระยะถัดมาเราทำความดีให้เต็ม ส่วนในระยะสูงสุดนั้นเราทำจิตให้กระโดดลอยสูงอยู่ เหนือความครอบงำของความดีและความชั่ว
.
ตอนที่ ๕
หน้า ๑๘-๒๓
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
การที่ผูกพันตัวอยู่ใต้ผลของความดีหรือที่เรียกว่า ตัวความดีนั้นก็ตาม ยังไม่ใช่ความพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง ยังไม่เป็นความรู้ที่ถูกต้องถึงที่สุด ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเหตุใดจึงสอนเช่นนี้ ในเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ต้องการคำอธิบายยืดยาว แต่อาตมาอยากจะสรุปความสั้นๆ ชนิดที่ท่านทั้งหลายอาจนำไปคิดให้เห็นเองก็ได้ คือว่าคนชั่วก็จะต้องมีความทุกข์ไปตามประสาของคนชั่ว คนดี ก็จะต้องมีความทุกข์ไปตามประสาของคนดีอาตมาใช้คำว่า "ความทุกข์ตามประสาของคนดี" จะดีอย่างมนุษย์ก็มีความทุกข์อย่างมนุษย์ที่ดี จะดีอย่างเทวดาก็มีความทุกข์อย่างของเทวดา แม้จะเป็นพรหมเป็นยอดของเทวดา ก็มีความทุกข์อย่างของคนดีชั้นยอดของพรหม ไม่มีข้อยกเว้น ก็ต่อเมื่อกระโดดขึ้นไปให้พ้นให้สูง ขึ้นไปอยู่เหนือสิ่งที่เรียกว่าความดี กลายเป็นโลกุตตระหรือเหนือโลกแล้วเท่านั้น ถ้าเรียกโดยสมมติก็คืออยู่ในโลกของพระอริยเจ้า จนกลายเป็นพระอริยเจ้าไปนั่นคืออยู่เหนือความดีอย่าเข้าใจผิด เอาความดีไปผูกพันกับพระอริยเจ้า การแต่งตั้งพระอริยเจ้าให้เป็นอย่างนั้นอย่างนั้น เพราะว่าความดีนั้นเป็นของจำกัดอยู่แต่ในวงของโลก ในวิสัยโลก อย่างโลกๆ โดยสมมติ
ความดีหรือความชั่วนี้เป็นเรื่องของสมมติ ต่อเมื่อจิตพ้นไปเหนือความดีความชั่วคือมีจิตใจอยู่เหนือฐานะที่จะเกลียดความชั่วหรือรักความดีนั่นแหละจึงจะเป็นอันพ้นจากโลกหรือพ้นจากทุกข์ตามแบบของพระอริยเจ้า นี่ เรียกว่าเป็นการปฏิบัติชั้นที่ ๓ คือ ชั้นที่ทำให้จิตบริสุทธิ์หมดจด ปราศจากสิ่งเศร้าหมองโดยประการทั้งปวง และอันนี้เป็นผลเกิดมาจากการที่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้อง ตามทางที่ถูกต้อง และถึงที่สุดตามหลักของพระพุทธศาสนา นี้แหละคือการที่จิตมีความรู้ หรือประกอบไปด้วยความรู้อันถูกต้องถึงที่สุดว่าอะไรเป็นอะไรจนสามารถที่จะทำจิตนั้นให้ปราศจากความทุกข์ได้จริงๆ ถ้าถึงที่สุดก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ ถ้ายังไม่ถึงที่สุด ก็คือพระอริยเจ้าชั้นที่รองๆ ลงมา แต่ว่าทั้งหมดทุกชั้นล้วนแต่เป็นผู้รู้อะไรเป็นอะไรตามหลักที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นทั้งนั้น
ที่นี้ข้อสุดท้าย คำว่า ศาสนา นั้นแปลว่าอะไร? พุทธ แปลว่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า แปลว่า ผู้รู้ พุทธศาสนาก็ต้องแปลว่า ศาสนาของผู้รู้ พุทธบริษัทก็แปลว่า บริษัทของผู้รู้ พุทธศาสนิก ก็แปลว่า ผู้ปฏิบัติตามพุทธศาสนาคือตามศาสนาของผู้รู้ คำว่าพุทธะๆ ที่แปลว่าผู้รู้นั้น หมายถึงรู้อะไร ก็คือรู้สิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริงถึงที่สุดนั้นเอง อาตมาจึงกล่าวว่า พระพุทธศาสนา ก็คือศาสนาที่ทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นศาสนาเกี่ยวกับความรู้จริง ท่านทั้งหลายทั้งปวงจงผูกใจ จงปักใจมั่น ในทางที่จะเข้าถึงพุทธศาสนา ด้วยวิธีทำการปฏิบัติในทางที่จะให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเท่านั้น ขอแต่ให้ เป็นความรู้ที่ถูกต้อง ให้เป็นการรู้ด้วยความเห็นแจ้งจริงๆ
เมื่อดู หรือพยายามจะเข้าถึงพระพุทธศาสนากันโดยวิธีนี้แล้ว ก็จะเข้าถึงตัวพุทธศาสนาได้ เมื่อถูกเข้ากับสิ่งใดครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะต้องศึกษาสิ่งนั้นๆ ให้เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าสิ่งนั้นมันเป็นอย่างไรแน่ ความทุกข์ที่เกิดขึ้นและกำลังเผาผลาญเราให้เร่าร้อนอยู่นั้นมันคืออะไร มันเป็นอย่างไร มันมาจากอะไร ถ้าทุกคนตั้งสติคอยเฝ้ากำหนด พิจารณาความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตนในลักษณะดังกล่าวนี้แล้ว จะเป็นทางเข้าถึงพุทธศาสนาได้ดีที่สุด
อาตมาขอสรุปความสำหรับบรรยายในวันนี้ ว่า พุทธศาสนานั้น คือวิชาและระเบียบปฏิบัติเพื่อให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรขอแต่เพียงให้เรารู้ว่าอะไรเป็นอะไรในเบื้องต้นเท่านั้น เราก็จะปฏิบัติถูกต้องต่อไปได้ด้วยตัวของเราเอง เราจะเป็นพุทธเจ้าหรือพุทธบุคคลขั้นใดขั้นหนึ่ง ของเราเองขึ้นมาทันที เราจะปฏิบัติอะไรไม่ผิดขึ้นมาทันที เราจะรู้ถึงสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์เราควรจะได้ หรือที่ชอบเรียกกันไพเราะๆ ว่า มรรค ผล นิพพานนี้ได้ด้วยตนเองเพราะการที่เรามีความรู้ว่าอะไรเป็นอะไรโดยถูกต้องถึงที่สุดแท้จริงเท่านั้น
.
ตอนที่ ๖
หน้า ๒๗ - ๓๑
เรื่อง: ไตรลักษณ์ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ หน้า ๒๗ - ๔๙ ซึ่งเนื้อหาค่อนข้างยาว ผู้รวบรวมจึงแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๕ ตอน ดังนี้
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
อาตมาได้กล่าวแล้วในบรรยายครั้งก่อนว่า ศีลธรรม กับ ศาสนา นั้นมีขอบเขตต่างกัน ศีลธรรมนั้น เป็นระเบียบปฏิบัติ เพื่อจะกำจัดความทุกข์ความยุ่งยาก ในชั้นแรกๆ และเป็นเรื่อง ชั้นโลกๆ เป็นเรื่องของสังคม ส่วนหน้าที่ของศาสนานั้น ไปไกลจนถึงกับสามารถกำจัดความหม่นหมองทุกชนิดที่เหลือวิสัยที่ศีลธรรมจะกำจัดได้ เช่น ความยุ่งยากใจเป็นส่วนตัว ความทุกข์ในใจอันมาจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และกิเลสชั้นละเอียดเหล่านี้ ซึ่งไม่อยู่ในวิสัย ที่ศีลธรรมทั้งหลายจะช่วยกำจัดให้ได้ เพราะฉะนั้นจึงมีขอบเขตที่ต่างกัน แม้ว่าเราจะรวมเอาศีลธรรมเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาก็ตาม ศีลธรรมเป็นสิ่งที่มีขอบเขตจำกัด อยู่ในวงจำกัดวงหนึ่ง
เรื่องของศีลธรรมนั้น เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าหลักแห่ง ศีลและธรรม ๕ คู่ของพุทธศาสนา หลัก ๕ประการนั้น คือ
๑. การไม่เบียดเบียน พยาบาทปองร้าย ริษยากันทั้งทางกาย ทางวาจา และทางจิต ทุกวิถีทาง
๒. การไม่ลักขโมยแย่งชิงกัน ไม่เอาเปรียบบุคคลและสังคม ทั้งซึ่งหน้า และลับหลัง
๓. ไม่ล่วงละเมิดของรักและบุคคลเป็นที่รักของคนอื่นทุกชนิด ไม่ปล่อยตัวตามกระแสตัณหา
๔. การไม่กล่าวเท็จทางกาย ทางวาจาหรือทางตัวอักษรทุกวิถีทาง แต่กลับเป็นผู้มีวาจาเชื่อถือได้ มีประโยชน์ควรแก่การฟังของผู้อื่น มีสัตย์ มีความเที่ยงธรรม ไม่ลำเอียง ไม่มีมายาสาไถย
๕. การไม่ตกเป็นทาสของอบายมุขทุกชนิด เช่น สิ่งมึนเมาเสพติดทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม อันเป็นทางแห่งความประมาทมัวเมา เสียความปกติแห่งสติสมปฤดีทุกประการ
ศีล และ ธรรม ทั้งหมดนี้ มีความมุ่งหมายผลเพียงความเป็นอยู่อย่างสงบเรียบร้อยของสังคมทั่วไป เป็นความผาสุกขั้นต้นๆ อันเป็นวิสัยของปุถุชน มิได้หมายสูงพ้นขึ้นไปถึงการดับทุกข์ หรือตัดกิเลสเด็ดขาดสิ้นเชิงจนเป็นพระอริยเจ้า
ต่อจากนั้น อาตมาได้กล่าวให้ทราบว่า สิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนานั้นอาจจะจำกัดความลงไปได้สั้นๆ ว่า ได้แก่ วิชา หรือระเบียบปฏิบัติ ที่จะทำให้รู้ว่า อะไรเป็นอะไรอย่างถูกต้องเท่านั้น เพราะเป็นวิธีหรืออุบายอันหนึ่ง ที่จะทำให้ท่านทั้งหลายเข้าใจพุทธศาสนาได้ง่ายที่สุด ถ้าเรารู้จักว่า อะไรเป็นอะไรจริงๆ แล้ว หมายความว่าเราต้องรู้ว่าเราจะพึงปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ อย่างไรด้วย
บัดนี้อาตมาอยากจะกล่าวต่อไปถึงข้อที่ว่า ที่ว่ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรนั้น ถ้ากล่าวตามหลักแห่งพระพุทธศาสนาแล้ว ก็คือรู้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่ประกอบอยู่ด้วยลักษณะอันเรียกว่า "ไตรลักษณ์" หรือลักษณะ 3 ประการ ท่านทั้งหลายอาจได้ยินได้ฟังกันอยู่ทั่วทั่วไป เป็นส่วนใหญ่แทบทุกคนก็ว่าได้ นั่นคือ คำที่คนเฒ่าคนแก่พูดกันติดปากว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจังลักษณะหนึ่ง ทุกขังลักษณะหนึ่ง อนัตตาลักษณะหนึ่ง แต่ความหมายของคำทั้ง 3 นี้ ออกจะลึกซึ้ง ซับซ้อนยากที่จะเข้าใจ เราจึงจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกัน ในเรื่องนี้เป็นพิเศษ
อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง มีความหมายว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ประเภทที่เป็นสังขาร คือมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งนั้น มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลง อยู่เสมอ ไม่มีความคงที่ตายตัว ทุกขัง แปลว่า เป็นทุกข์ มีความหมายว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงประเภทสังขาร มีลักษณะที่เป็นทุกข์ มองดูแล้วน่าสังเวชใจ นำให้เกิดความทุกข์ใจแก่ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มแจ้งในสิ่งนั้นๆ อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัวตน มีความหมายว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งประเภทที่เป็นสังขารและมิใช่สังขาร ไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ไม่มีความหมายหรือลักษณะอันใด ที่จะทำให้เราถือเป็นหลักได้ว่า มันเป็นตัวเป็นตน ถ้าเราเห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนถูกต้องแล้ว ความรู้สึกที่ว่า ไม่มีตัว ไม่มีตัวตน จะเกิดขึ้นมาเองในสิ่งทั้งปวง ขอให้ทราบว่า ลักษณะ ๓ ประการ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ เป็นคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมากที่สุด จนถึงกับเรียกว่า "พหุลานุสาสนี" คือ พระโอวาทที่ทรงสั่งสอนมากที่สุด บรรดาคำสั่งสอนทั้งหลาย จะนำมารวบยอดอยู่ที่การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตานี้ทั้งนั้น
.
ตอนที่ ๗
หน้า ๓๒ - ๓๕
เรื่อง: ไตรลักษณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง คือเปลี่ยนแปลงเสมอ
ทุกขัง แปลว่า ดูแล้วสังเวชใจ
อนัตตา มีความหมายว่า ไร้ตัวตนอันแท้จริง
เราจะพบว่ามีข้อที่สังเกตได้ง่ายๆ ข้อหนึ่ง คือ การเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตานั้น ต้องเป็นการเห็นจนรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่น่ายึดถือ ไม่มีอะไรที่น่าอยาก น่าปรารถนาในทางที่จะเอา จะได้ จะมี จะเป็น "ไม่มีอะไรที่น่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าเป็น" คือเมื่อท่านได้มองเห็นหรือเข้าใจในสิ่งต่างๆก็ตาม หรือในความมีความเป็นอย่างไรก็ตาม ว่าเป็นความหลอกลวง เป็นมายา ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น ด้วยการมองชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นจริงๆ ดังนั้นแล้ว นั่นแหละคือ การเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างถูกต้องของท่าน ส่วนคนที่ท่องบ่นอยู่ทั้งเช้าเย็นกลางวันกลางคืนหลายร้อยครั้ง ก็ไม่อาจเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ เพราะไม่ใช่เป็นวิสัยที่จะเห็นได้ด้วยการฟัง ด้วยการท่อง หรือแม้ด้วยการคำนึงคำนวณตามหลักเหตุผล
การคำนึงคำนวณตามหลักแห่งเหตุผลนั้น ไม่ใช่ "การเห็นแจ้ง" อย่างที่เรียกว่า "เห็นธรรม" การเห็นธรรม จึงไม่อาจจะเห็นได้ด้วยการคำนวณตามเหตุผล แต่ต้องเห็นแจ้งด้วยความรู้สึกในใจแท้จริงคือ เห็นด้วยใจจริง การเห็นแจ้งทำนองนี้ อาจเลื่อนสูงขึ้นไปได้ตามลำดับๆ จนกว่าจะถึงอันดับสุดท้าย ที่สุด ที่ทำให้ปล่อยวางสิ่งทั้งปวงได้ นี้เรียกว่าเป็นการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของบุคคลผู้นั้นอย่างแท้จริง ส่วนผู้ที่แม้จะท่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือพิจารณาอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ทั้งวันทั้งคืน แต่ถ้าไม่เกิดความรู้สึกถอยหลังต่อสิ่งทั้งปวง คือ ไม่อยากเอาอะไร ไม่อยากเป็นอะไร ไม่อยากยึดถือในอะไรแล้ว ก็เรียกว่า ยังไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น อาตมาจึงสรุปความ ของการเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาลงไว้ที่คำว่า "เห็นจนเกิดความรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าเอา น่าเป็น"
พุทธศาสนามีคำอยู่คำหนึ่ง เป็นคำรวบยอด คือคำว่า "สุญญตา" ซึ่งแปลว่า ความเป็นของว่าง คำว่า "ว่าง" ในที่นี้ ก็คือ ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตน กินความรวบยอดไปถึงหมด ทั้งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ที่ว่า " ว่างจากตัวตน" นี้ หมายถึงว่าจากสาระที่เราควรเข้าไปยึดถือเอาด้วยกำลังใจทั้งหมดทั้งสิ้น ว่าของเรา การพิจารณาให้เห็นว่า สิ่งทั้งปวงว่างจากความหมายหรือสาระ ที่ควรเข้าไปยึดถือนั้น เป็นตัวพุทธศาสนาแท้ เป็นหัวใจ หรือใจความสําคัญ ที่เป็นจุดศูนย์กลาง ของการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะถอยมารวมไว้ที่คำว่า "ว่างจากตัวตน" คำเดียวก็เป็นการเพียงพอ เพราะจะรวบเอาคำว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามาไว้ด้วยเสร็จ ถ้าบุคคลใดเห็นความว่างของสิ่งทั้งปวงดังนี้แล้ว จะเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า "ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น" ในสิ่งต่างๆขึ้นมาทันที
ความรู้สึกที่ไม่อยากเอา-ไม่อยากเป็น นี่แหละ มีอำนาจเพียงพอ ที่จะคุ้มครองคนเราไม่ให้ตกเป็นทาสของกิเลสหรือของอารมณ์ทุกชนิดและทุกประการ บุคคลชนิดนี้จึงไม่สามารถที่จะทำความชั่วอะไรได้ ไม่สามารถจะหลงใหลพัวพันอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือเอนเอียงไปตามสิ่งยั่วยวนใดๆได้ ;ย่อมมีจิตใจเป็นอิสระอยู่เสมอ.
.
ตอนที่ ๘
หน้า ๓๖-๓๙
เรื่อง: ไตรลักษณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ความรู้สึกที่รู้สึกว่า"ไม่น่าเอา-ไม่น่าเป็น" นั้น เป็นอย่างไร และเราจะมีวิธีปฏิบัติได้อย่างไร คำว่า "เอา" และ "เป็น"
ในที่นี้ หมายถึง การเอาหรือการเป็นด้วยจิตใจที่หลงใหล ด้วยจิตใจที่ยึดถือด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นจริงๆ มิได้หมายความว่า คนเราจะอยู่ได้โดยไม่มีอาการที่เรียกว่า เอาอะไรเป็นอะไรเสียเลย
ตามปรกติ คนเราจะต้องเอาอะไรเป็นอะไรอยู่เป็นประจำ เช่น จะต้องมีทรัพย์สมบัติ เงินทอง มีบุตร มีภรรยา เรือก สวนไร่นาเหล่านี้เป็นต้น หรือว่า เราจะต้องเป็น เช่นเป็นคน เป็นคนดี หรือเป็นตุลาการ หรือเป็นอย่างอื่นๆ เช่น เป็นผู้แพ้ ผู้ชนะ เป็นผู้เอาเปรียบ เป็นผู้ถูกเอาเปรียบเหล่านี้ เป็นต้น ซึ่งต้องมีความเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง อยู่เสมอ
ตามที่รู้กันอยู่
แต่แล้วทำไมหลักของพุทธศาสนาจึงมาสอนให้พิจารณาในทางที่จะไม่เอา-ไม่เป็น ข้อนี้หมายความว่าพุทธศาสนาได้ชี้ให้เห็นว่าการเอา-การเป็นนั้น เป็นแต่เรื่องสมมุติของโลก อย่างโลกๆ อย่างหนึ่ง และเป็นไปได้ ด้วยอำนาจของความไม่รู้ หรืออวิชชานั่นเอง อีกอย่างหนึ่งเท่านั้น เพราะว่า โดยที่แท้แล้ว คนเราเอาอะไรไม่ได้ เป็นอะไรไม่ได้ ในเมื่อพูดกันด้วยความจริงชั้นที่จริงเด็ดขาดที่สุด ซึ่งเรียกว่าจริงชั้นปรมัตถ์
โดยความจริงชั้นปรมัตถ์อันเด็ดขาดนี้ คนเราจะเอาอะไรไม่ได้เลย เป็นอะไรไม่ได้เลย เพราะเหตุใด? เพราะเหตุว่า ทั้งคนที่จะเอา และสิ่งที่จะถูกเอานั้น มันเป็นอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งนั้น ขอให้พิจารณากันตรงนี้ให้มาก คือว่าคนที่จะเอา หรือจะเป็น อะไรก็ตาม สิ่งที่จะถูกเอา หรือความมี ความเป็นที่จะถูกมี ถูกเป็น ก็ตาม มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แต่แล้วบุคคลที่มีจิตใจยังประกอบอยู่ด้วยความไม่รู้ รู้ไม่ถึงว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังมีอวิชชาอยู่เช่นนั้นย่อมจะต้องมีความรู้สึกว่า "เราเอา" "เรามี" "เราเป็น" เป็นธรรมดา นี่เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้ แต่แล้วความรู้สึกว่าเอา-ว่าเป็นนั่นเอง ได้ทำให้เกิดมีความหนัก หรือเป็นความทุกข์ขึ้นมา
ความทุกข์ทั้งหลายต้องเกิดขึ้นมาจาก การเอา-การเป็น หรือความอยากเอาอยากเป็นทั้งนั้น ไม่มีความทุกข์อันใด ที่เกิดมาจากสิ่งอื่น นอกจากความอยากมี- อยากเป็น-อยากได้ อันรวมเรียกสั้นๆว่า ความอยาก ซึ่งเรียกโดยภาษาบาลีว่า ตัณหา การที่อยาก ก็เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนี้ หรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรอยาก เพราะเหตุที่มีความสำคัญผิดติดมาแต่ในท้อง โดยสัญชาตญาณ เราเกิดมาในโลกนี้ตั้งแต่เล็กๆ ก็รู้จักอยาก รู้จักทำตามความอยาก แล้วก็เกิดผล อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา ซึ่งตรงตามที่ตนอยากก็มี ไม่ตรงก็มี
ถ้าได้ผลตรงตามที่ตนอยาก ก็อยากได้มากขึ้นไปอีก ครั้นยิ่งอยากได้อีก ก็ยิ่งทำมากขึ้นไปอีกเหมือนกัน ถ้าไม่ได้ผลตามที่ตนอยาก ก็ดิ้นรนอยากทำอย่างอื่น อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปอีก จนกว่าจะได้ผลตามที่ตนอยาก นั่นก็เป็นเหตุให้ลงมือทำต่อไปอีกเหมือนกัน เมื่อลงมือทำลงไป มันก็ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่งมาอีก วงเป็นวงกลมของกิเลส-กรรม-วิบาก อยู่อย่างนี้ อันท่านเรียกว่า วัฏฏะ หรือ วัฏฏสงสาร
คำว่า วัฏฏสงสาร นั้น อย่าเพ่อไปเข้าใจว่าเป็นเรื่องเวียนวน ชาติโน้น ชาตินี้ ชาตินั้น แต่อย่างเดียว แท้จริงเป็นเรื่องของการเวียนวน ของ ๓ สิ่ง คือ ของความอยาก ของการ
กระทำตามความอยาก และของการได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่งมาจากการกระทำนั้นแล้ว ไม่สามารถจะหยุดความอยากต่อไปอีกได้ เลยต้องอยาก ต่อไปอีก แล้วก็กระทำอีกและได้ผลมาอีก แล้วก็ส่งเสริมความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปอีก เป็นวงกลมซึ่งประกอบด้วย ๓ ส่วน อยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ท่านเรียกว่าวัฏฏะ เพราะเป็นวงกลมที่วงเวียนไม่มีสิ้นสุด
คนเราต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในวงกลมนี้เอง ถ้าออกไปจากวงกลมนี้ได้ ก็เป็นอันว่าพ้นไปจากความทุกข์โดยแน่นอน แต่ถ้ายังตกอยู่ในวงกลมของความอยาก ของการกระทำตามความอยาก และของการได้ผลมาจากการกระทำ ซึ่งส่งให้เกิดความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป ไม่มีที่สิ้นสุด ดังนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะพ้นทุกข์ได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นยาจกเข็ญใจ หรือเศรษฐี หรือเป็นมหากษัตริย์ เป็นจักรพรรดิ เป็นเทวดา เป็นพรหม หรือเป็นอะไรก็ตามที ทุกคนล้วนแต่ตกอยู่ในวงกลมนี้ทั้งนั้น จะต้องมีความทุกข์ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเหมาะสมกับความอยาก และการกระทำตามความอยากของตนทั้งนั้น
ฉะนั้น จึงกล่าวว่า ในวัฏฏสงสารนี้ เต็มไปด้วยความทรมาน ทรมานด้วยความอยาก ทรมานด้วยการกระทำด้วยอำนาจความอยาก และทรมานด้วยการที่ได้ผลอย่างใดอย่างหนึ่งมาแล้ว ก็ยังหยุดอยากไม่ได้ ยังจะต้องอยากต่อไปอีก โดยไม่มีที่สิ้นสุด นี้เรียกว่าเป็นการทรมานอันใหญ่หลวงในวัฏฏสงสาร ซึ่งท่านจะเห็นได้ว่า โดยลำพังของ ศีลธรรม หรือ จริยธรรม นั้น ไม่สามารถจะแก้ปัญหาข้อนี้ได้เลย
เราจึงต้องพึ่งพาอาศัยตัวแท้ของพุทธศาสนา ที่เป็นหลักธรรมชั้นสูงสำหรับจะแก้ไขในเรื่องนี้โดยเฉพาะทีเดียว ทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้แล้วว่าความทุกข์นั้นมาจากความอยาก สมดังที่พระพุทธเจ้าท่านจัดจำแนกไว้เป็น ๓ อย่าง ในเรื่องอริยสัจจ์ข้อที่สอง ในฐานะเป็นมูลเหตุให้เกิดทุกข์โดยตรง.
.
ตอนที่ ๙
หน้า ๓๙-๔๓
เรื่อง: ไตรลักษณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ความอยาก ๓ อย่าง อย่างแรก เรียกว่า "กามตัณหา" อยากในสิ่งที่ตนรักใคร่พอใจ จะเป็น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นสิ่งที่น่ารักใคร่พอใจ ความอยากอย่างที่ ๒ เรียกว่า " ภวตัณหา" คือความอยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ตามที่ตนอยากจะเป็น ความอยากอย่างที่ ๓ เรียกว่า "วิภวตัณหา" คือความอยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น ไม่ให้เป็นอย่างนี้ ตามที่ตนอยากจะไม่ให้เป็น รวมกันเป็น ๓ ความอยาก สำหรับหลักเกณฑ์อันนี้ เรากล้าท้าให้ใครพิสูจน์หรือแย้งกันอย่างไรก็ได้ ว่ายังมีความอยากอะไรอีกบ้างนอกเหนือไปกว่านี้
ในที่สุด ใครๆก็ต้องยอมรับว่าในบรรดาความอยากทั้งหลายของสิ่งที่มีชีวิตและวิญญาณนั้นมันจะสรุปลงในความอยาก ๓ ประการนี้เท่านั้น ความอยากอันนี้เอง เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ เมื่อมีความอยากที่ไหน ก็มีความร้อนใจที่นั่น และเมื่อต้องการกระทำตามความอยาก ย่อมมีความทุกข์ยาก ตามส่วนของการกระทำ ได้ผลมาแล้ว ก็หยุดอยากไม่ได้ยังอยากต่อไปอีก ก็ต้องมีความร้อนต่อไปอีก เพราะยังไม่เป็นอิสระจากความอยาก ยังต้องเป็นทาสของความอยากต่อไป เพราะเหตุฉะนี้แหละ จึงได้กล่าวว่า คนชั่ว ทำชั่ว เพราะอยากทำชั่ว มันก็มีความทุกข์ไปตามประสาคนชั่ว
แม้คนดีอยากทำความดีก็ต้องมีความทุกข์อีกแบบหนึ่งไปตามประสาของคนดี แต่ข้อนี้อย่าเพ่อเข้าใจว่า เป็นการสั่งสอนให้เลิกละจากการทำความดี มีปัญหาหรือมีข้อ ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกันอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งจะกล่าวทีหลัง เฉพาะในที่นี้ประสงค์จะชี้ให้เห็นกันว่าความทุกข์นั้น มีอยู่หลายระดับหลายชั้น ละเอียดจนคนธรรมดาเข้าใจไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยสติปัญญาของพระพุทธเจ้า ซึ่งชี้ให้เห็นว่า เราจะพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงด้วยลำพังเพียงการกระทำความดีอย่างเดียวเท่านั้นยังไม่พอ ยังจะต้องทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่ง หรือเหนือไปกว่าการกระทำความดีอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งได้แก่ การทำจิตให้หลุดพ้นไปจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของความอยากทุกชนิดนั่นเอง นี้ เป็นใจความสําคัญของพระพุทธศาสนาซึ่งไม่มีทางแพ้ศาสนาใดๆ จึงเป็นสิ่งที่ต้องจำไว้ให้แม่นยำเพื่อทำความเข้าใจหรือศึกษากันต่อไป
ที่นี้ ก็มาถึงปัญหาที่ว่า เราจะกำจัดความอยากหรือจะระงับความอยากให้ได้หรือจะตัดรากเหง้าของความอยากให้สิ้นเชิงได้นั้น เราจะกระทำอย่างใด คำตอบก็คือ หลักการพิจารณาให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจนมองเห็นว่าไม่มีอะไรที่น่าอยากนั่นเองมันมีอะไรบ้าง ที่น่าเอา-น่าเป็น ซึ่งเมื่อเอาหรือเป็นเข้าแล้ว จะไม่โยนความทุกข์ชนิดใดชนิดหนึ่งมาใส่ให้บุคคลนั้น ขอให้ตั้งปัญหาขึ้นอย่างนี้ เช่นได้วัตถุสิ่งของก็ได้ ได้ตำแหน่งหน้าที่ก็ได้ ได้เกียรติยศชื่อเสียง ความดีความเด่นอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ สิ่งเหล่านั้นเมื่อได้มาแล้ว สิ่งใดบ้างที่จะไม่ทำให้เกิดความต้องทนทำเพื่อจะรักษา หรือเพื่อจะยังทำให้คงมีอยู่ก็ตาม หรือจะไม่ทำให้เกิดความหนักอกหนักใจ ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นวิบัติพลัดพรากสูญหาย เปลี่ยนแปลงไปก็ตาม ในเมื่อสิ่งต่างๆต้องเปลี่ยนแปลงคงที่อยู่ไม่ได้ ดังนี้
คำว่า การได้ ในที่นี้หมายถึงเรื่องทางวัตถุ เช่น ได้เงิน ได้ทอง ได้สิ่งของต่างๆ สำหรับคำว่า ความมี ความเป็น นั้น หมายถึง การเป็น เช่นเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นคนดีคนเลว เป็นมนุษย์ เป็นเทวดาและอื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งสองประเภท เรียกว่า การได้กับการเป็น สองอย่างนี้ ได้อะไรหรือเป็นอะไรบ้าง ที่จะไม่นำมาซึ่งความหนักอกหนักใจ
ขอให้เราลองคิดดู เช่น การได้เงินได้ทองที่ปุถุชนคนธรรมดาได้มานั้น นำเอาความเบากายสบายจิต เย็นอกเย็นใจมาให้ หรือว่าเอาความหนักอกหนักใจ วิตกกังวลในการเก็บรักษาเป็นต้นมาให้? การได้บุตร ได้ภรรยา/สามี เอาความเบากายเบาใจมาให้ หรือเอาภาระอย่างอื่นอีกหลายอย่างมาให้? การได้เป็นนั่นเป็นนี่ ในตำแหน่งหน้าที่อย่างนั้นอย่างนี้ก็ดี โดยเกียรติยศก็ดี เป็นการได้มาซึ่งความสงบเย็น หรือว่าได้มาซึ่งภาระหนัก อย่างใดอย่างหนึ่งเพิ่มขึ้น
โดยนัยนี้ อาจจะเห็นได้โดยง่ายว่า ล้วนแต่นำมาซึ่ง ภาระและหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งนั้น เพราะเหตุว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนแต่เป็นภาระ เพราะความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาของมันนั่นเอง เราได้อะไรมา เราจำต้องจัดการกับสิ่งนั้นๆ ในลักษณะที่จะให้มันยังคงอยู่กับเรา เป็นไปตามใจเราหรือมีประโยชน์แก่เรา แต่แล้วสิ่งนั้นๆ ตามปกติมันเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา คือ ไม่รู้ไม่ชี้ ต่อความประสงค์มุ่งหมายของบุคคลใด มีแต่จะเปลี่ยนแปลง ไปตามเหตุ ไปตามปัจจัยของมันเอง การพยายามของคนเรา จึงเป็นการต่อสู้หรือเป็นการต้านทานต่อกฎแห่งความเปลี่ยนแปลง ของสิ่งเหล่านี้ จึงเกิดเป็นการยากลำบาก หรือเป็นการทนทรมานขึ้น ในการที่จะเป็นอยู่ หรือทนอยู่ นี่แหละ คือ "ความจริง"
อุบายวิธีอันหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เข้าถึงความจริงที่จะให้รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่น่าเอา-ไม่น่าเป็นนั้นมีอยู่ ข้อนี้ ได้แก่การพิจารณาให้ลึกซึ้งจนพบความจริงอย่างหนึ่งว่า เมื่อยังมีกิเลสตัณหา ยังสำคัญผิด ยังไม่รู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ความรู้สึกในการเอา-การเป็นนั้นย่อมมีลักษณะไปในทางหนึ่ง ถ้าไม่มีกิเลสตัณหา มีแต่ปัญญา ซึ่งรู้จักถูกต้องดีว่าอะไรเป็นอะไร ความรู้สึกในการเอา-การเป็นหรือการได้ของบุคคลนั้นย่อมมีอยู่ในลักษณะอีกอย่างหนึ่ง
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น การบริโภคสิ่งของหรือการกินอาหาร ถ้าการกินนั้นเป็นการกินด้วยตัณหา หรือความอยากในความเอร็ดอร่อย การกินอาหารของบุคคลผู้นั้นต้องมีลักษณะเป็นอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างจากบุคคลหนึ่ง ซึ่งไม่กินอาหารด้วยตัณหา แต่กินด้วยสติสัมปชัญญะหรือปัญญา อันรู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวง นั้นว่า อะไรเป็นอะไร นี่ เป็นมนุษย์ด้วยกันแต่คนหนึ่งกินอาหารด้วยตัณหา อีกคนหนึ่งกินอาหารด้วยความรู้สึกตัว ด้วยปัญญา การกินจะต้องผิดกันแม้แต่กิริยาอาการที่กินและความรู้สึกในขณะกินก็จะต้องผิดกันเป็นอย่างยิ่ง และในที่สุดผลอันเกิดมาจากการกินนั้น ก็จะต้องผิดกันอย่างยิ่งอีกเหมือนกัน เราจะต้องทำความเข้าใจในข้อนี้ว่า แม้จะไม่มีตัณหาความอยากในรสอร่อย คนเราก็ยังกินอาหารได้ ไม่จำเป็นต้องมีตัณหา คนเราก็ยังทำอะไรได้ด้วยสติปัญญา คือทำโดยมีปัญญารอบรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ควรทำ หรืออะไรไม่ควรทำ ก็ยังคงทำสิ่งต่างๆไปได้
เพื่อเข้าใจได้ง่าย ขอกระโดดข้ามไปกล่าวถึงพระอรหันต์ หรือพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่มีกิเลสตัณหา แต่ท่านก็ยังทำอะไรอะไรได้ ยังเป็นอะไรอะไรได้ แม้ว่าคนธรรมดาทั่วๆไป มองแล้วจะรู้สึกว่าท่านก็ทำอะไรหรือเป็นอะไรท่านก็ยังทำงานมาก ไม่น้อยกว่าพวกเรา ซึ่งยังมีกิเลสตัณหาแต่ท่านทำด้วยอำนาจของอะไรเหมือนกับพวกเราที่ทำด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา อยากได้เป็นนั่นเป็นนี่หรือไม่ คำตอบที่ถูกต้องที่สุดนั้นคือ ท่านเหล่านั้น ทำด้วยอำนาจของปัญญา คือความรู้ที่แจ่มแจ้งถึงที่สุด ว่าอะไรเป็นอะไร การกระทำของท่านไม่มีตัณหาเป็นมูล แต่มีปัญญาเป็นมูล เพราะฉะนั้น จึงผิดแผกแตกต่างจากพวกเรา ซึ่งทำอะไรๆ ก็กระทำด้วย ตัณหาอย่างตรงกันข้ามทีเดียว ผิดแผกกันตรงที่ว่า ผลที่เกิดขึ้นนั้นพวกเราเป็นทุกข์กันตลอดเวลา ส่วนท่านเหล่านั้น ไม่มีความทุกข์เลย ท่านเหล่านั้นไม่อยากได้อะไร ไม่อยากเอาอะไร ผลนั้นก็ไปได้กับคนอื่น แก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นความพ้นทุกข์ ของคนทั้งหลายเหล่าอื่น ด้วยความเมตตาของท่าน ดังนี้.
.
ตอนที่ ๑๐
หน้า ๔๓-๔๙
เรื่อง: ไตรลักษณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
เมื่อไม่อาศัยกิเลสตัณหา หรือหมดกิเลสตัณหาแล้วก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้ เรายังคงทำอะไรได้ทุกอย่าง หากแต่บัดนี้ทำด้วยอำนาจของปัญญาและเมตตานั่นเอง ทำด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากเอาอะไร ไม่อยากเป็นอะไร พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสทำสิ่งต่างๆด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากเอาอะไร ไม่อยากเป็นอะไร เป็นแต่ว่ามีปัญญาเป็นเครื่องบ่ง เป็นเครื่องบอกว่านี้ควรจะทำ แทนที่จะอยู่เฉยๆ เพราะฉะนั้น ท่านจึงทำการสืบอายุพระศาสนามาจนถึงพวกเราได้ และทั้งทำประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายตามสติปัญญาของท่านระบุว่าควรจะทำ ร่างกาย และ จิตใจ ซึ่งปราศจากกิเลสตัณหาก็แสวงหาและบริโภคอาหารได้ ด้วยอำนาจสติปัญญาไม่แสวงและบริโภคด้วยกิเลสตัณหาเหมือนแต่กาลก่อน
เมื่อเราหวังว่าจะเป็นผู้พ้นทุกข์ ตามรอยทางของพระ
พุทธเจ้า หรือของพระอรหันต์ทั้งหลาย เราก็ควรฝึกฝนตัวในการที่จะทำอะไรลงไปแต่ด้วยอำนาจของสติปัญญาอย่าทำไปด้วยอำนาจกิเลสตัณหา ถ้ามีหรือทำไปด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดี คือด้วยอำนาจของปัญญาแล้ว จะไม่ร้อนเหมือนคนที่ทำไปด้วยอำนาจของตัณหา เพราะฉะนั้น เราจำเป็นจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกของปัญญาที่รู้สึกอยู่เสมอว่า "สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ โดยที่แท้แล้ว เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่น่าเอา-ไม่น่าเป็น" แต่เมื่อเรายังตัดไม่ได้ ยังละไม่ได้ ยังมีกิเลสอยู่ก็ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยความรู้สึกที่เป็นความรอบรู้ที่เรียกว่าปัญญานั้นเอง การกระทำของเราก็จะไม่ตกหล่มของกิเลสตัณหา ทำไปได้ด้วย "ความลืมตา" ทำด้วยสติปัญญา จึงไม่มีความทุกข์ตั้งแต่เบื้องต้นจนปลาย โดยจิตใจไม่มีความหลงยึดถือโดยความเป็นตัวตนหรือของตน โดยที่จิตใจไม่ยึดถือสิ่งเหล่านั้นในฐานะเป็นของน่าเอา-น่าเป็น
ยกตัวอย่าง เช่น เรามีที่ดินเป็นทรัพย์สมบัติอยู่ เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้สึกที่เป็นตัณหา จนถึงกับว่าเป็นที่หนักอกหนักใจแผดเผาหัวใจอยู่เสมอก็ได้ ขนบธรรมเนียม
ประเพณีหรือกฎหมายท่านยังคงคุ้มครองที่ดินผืนนั้นให้ยังเป็นกรรมสิทธิ์ของเราอยู่นั่นเอง เราไม่ต้องไปยึดถือผูกพันด้วยกิเลสตัณหา ให้เป็นความทุกข์ร้อน วิตกกังวลแก่เรา มันก็ไม่หลุดมือหายไปไหนเสีย แม้ว่าจะมีใครมาแย่งชิงก็ยังคงทำการต้านทานป้องกันไว้ได้ด้วยสติปัญญา ไม่ต้องทำการต้านทานด้วยกิเลสตัณหาให้เร่าร้อนด้วยไฟโทสะ ก็ยังอาศัยอำนาจขนบธรรมเนียมประเพณีและกฎหมายทำการต้านทานได้โดยไม่ต้องมีความทุกข์ ถ้าหากว่ามันจะต้องหลุดมือไปจริงๆ เราจะมีกิเลสตัณหาหรือไม่มีกิเลสตัณหาก็ตาม มันช่วยไม่ได้ เพราะว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจดังนี้มันก็ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรแม้จะมีกิเลสตัณหาหวงแหนสักเท่าใด ถึงคราวที่มันจะเปลี่ยนแปลงไปมันก็ช่วยไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะไปผูกพันยึดถือในการมีของสิ่งใดหรือวัตถุสังขารเหล่าใดด้วยกิเลสตัณหาเลย นี้ เป็นวิธีปฏิบัติต่อสิ่งทั้งปวงที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
แม้ "การเป็น" ก็เหมือนกันเราต้องไม่ยึดถือในการเป็นนั่นเป็นนี่ เพราะว่าโดยที่แท้แล้ว ไม่มีอะไรที่น่าสนุกเลยในการเป็น ล้วนแต่นำมาซึ่งความทุกข์ทรมานอย่างใดอย่างหนึ่งทั้งนั้น อุบายอย่างง่ายๆที่เราจะพิจารณาซึ่งเรียกว่าเป็นวิปัสสนาโดยตรงหรือการปฏิบัติธรรมโดยตรง ก็คือ พิจารณาให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่น่าเป็น หรือไม่มีการเป็นอะไรที่น่าสนุกเลย เช่น เป็นบุตรของบิดามารดาน่าสนุกไหม? หรือเป็นบิดามารดาของบุตรเสียเอง น่าสนุกไหม?
คนที่มีอายุผ่านมาถึงขนาดมีบุตรมีหลานแล้วจะตอบปัญหาข้อนี้ได้ดีว่า เป็นพ่อเขาก็ไม่สนุก เป็นลูกเขาก็ไม่สนุก เพราะต่างมีภาระที่จะพึงปฏิบัติ ทีนี้ เป็นสามีเขาสนุกไหม? เป็นภรรยาเขาสนุกไหม? เป็นนายเขาสนุกไหม?เป็นบ่าวสนุกไหม? ตลอดถึงที่ไกลออกไปถึงกับว่าเป็นคนเอาเปรียบเขา โกงเขา สนุกไหม? เป็นคนถูกเขาโกงสนุกไหม? เป็นคนแพ้สนุกไหม? เป็นคนชนะสนุกไหม? ดังนี้ เป็นต้น
ถ้าท่านมีความรู้ชนิดที่เรียกว่ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรอย่างแท้จริงแล้ว ความรู้สึกที่จะทำให้เห็นว่าไม่น่าสนุกนั้นจะแสดงอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ในสิ่งทุกสิ่ง และในความมีความเป็น หรือในภาวะทุกอย่าง ทุกอย่างล้วนแต่ว่าไม่มีอะไรที่น่าสนุกเลย เราต้องทนทำ ทนเป็น ทนเอา ทนอยู่ โดยไม่รู้สึกตัว ทำไมเราจะต้องไปมอบกายถวายชีวิตหรือทำไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาเล่า เราควรจะมีความรู้สึกที่ถูกต้องในสิ่งเหล่านี้ ซึ่งไม่น่าเอา--ไม่น่าเป็น ให้ถูกต้องจริงๆ แล้วเป็นอยู่ด้วยความรู้สึกของปัญญาเข้าไปเกี่ยวข้องในสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นในลักษณะที่จะให้เป็นทุกข์น้อยที่สุด หรือไม่ให้เป็นทุกข์เลย
อีกประการหนึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจกับผู้ที่อยู่ร่วมโลกกันในโลก ว่าสิ่งทั้งปวงมันเป็นอย่างนี้ ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเหมือนกับเรา แล้วก็จะไม่มีอะไรขัดขวางกันในครอบครัวหรือในบ้านในเมืองตลอดถึงในโลก ต่างคนต่างมีจิตใจไม่ยึดถือหลงใหลในสิ่งใดๆ หรือในกันและกันด้วยอำนาจกิเลสและตัณหา แต่ว่าคงมีชีวิตเป็นอยู่ด้วยอำนาจของปัญญา มองเห็นชัดอยู่เสมอว่า ไม่มีอะไรที่จะยึดถือจริงจังได้ ในการที่จะให้มาเป็นตัวเราหรือเป็นของของเรา ทุกคนควรมีความรู้สึกว่าสิ่งทั้งหลายมันเป็นอย่างนั้นเอง คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาอยู่เช่นนั้นเอง ไม่น่าหลงปรารถนาด้วยกำลังใจทั้งหมดทั้งสิ้น ควรยับยั้งไว้ด้วยปัญญาเข้าไปเกี่ยวข้องในสิ่งนั้นๆ แต่ในลักษณะที่จะมีความทุกข์น้อยหรือปลอดภัย คือไม่มีความทุกข์เลย
บุคคลชนิดนี้ เรียกว่าผู้เป็นอยู่ด้วยปัญญา มีสัมมาทิฏฐิตามทางแห่งพระพุทธศาสนาถึงที่สุดควรจะเรียกว่าเป็นพุทธบริษัทโดยแท้จริง แม้จะไม่เคยบวชเคยเรียน แม้จะไม่เคยรับศีล แม้จะไม่เคยสมาทานอะไรก็ตาม แต่ก็เป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยศีล ด้วยธรรม เป็นบุคคลที่เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแท้จริง มีความสะอาด สว่าง สงบในใจ เพราะเหตุที่ไม่หลงยึดถือสิ่งใดว่าน่าเอา หรือน่าเป็นเขาเป็นพุทธบริษัทขึ้นมาได้โดยสมบูรณ์ โดยง่ายดายและโดยแท้จริงด้วย
ความชั่วทั้งหลายที่เป็นชั้นเลวทรามที่สุด ก็มาจากความอยากเอาอยากเป็นด้วยอำนาจกิเลสตัณหา แม้ความชั่วที่เบาขึ้นมา ก็ทำการด้วยอำนาจของความรู้สึกที่เป็นกิเลสตัณหา แม้ความดีทั้งปวงก็ทำกันด้วยอำนาจตัณหาชนิดที่ประณีตละเอียดสูงขึ้นมา ที่เป็นความอยากเอาอยากเป็นในชั้นดี แม้ความดีถึงที่สุดก็ทำด้วยกิเลสตัณหาที่ประณีตละเอียดที่สุดจนไม่จัดว่าเป็นความชั่วหรือเป็นบาปเลย แต่แล้วก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่พ้นทุกข์ถึงที่สุด คือ พระอรหันต์ จึงเป็นผู้ที่หมดจากการกระทำด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาและกลายเป็นบุคคลที่ทำชั่วก็ไม่ได้ ทำดีก็ไม่ได้ ได้แต่ทำสิ่งที่เหนือไปกว่าความชั่วและความดี คือ มีใจที่เป็นอิสระอยู่เหนือความครอบงำของความชั่วและความดีจึงไม่มีความทุกข์เลย ดังนี้
อาตมาได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าแนวแห่งพุทธศาสนาของเรามีอยู่อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจะทำได้หรือไม่ได้นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะทำได้หรือไม่ได้ก็ตามแนวของพุทธศาสนาก็ยังคงมีอยู่ดังนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ท่านทั้งหลายจะปรารถนาหรือไม่ปรารถนาก็ตาม แนวของความพ้นทุกข์ย่อมมีอยู่ดังนี้ บัดนี้ยังไม่ปรารถนา วันหน้าสักโอกาสหนึ่งก็ต้องปรารถนาอยู่ดี ส่วนที่พวกเราควรจะศึกษากันอย่างไร เพียงใด เท่าใดนั้น ไว้ทำความเข้าใจกันในวันหลัง
ขอสรุปความว่าพุทธศาสนานั้นคือหลักวิชาและระเบียบวิธีปฏิบัติที่ให้รู้ว่า "อะไรเป็นอะไร" ถึงที่สุดนั้น คือ รู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อรู้โดยแท้จริงแล้ว จะเกิดมีความรู้สึกชนิดที่จิตใจจะไม่อยากอะไร ไม่อยากได้อะไรไม่อยากเป็นอะไรด้วยความยึดถือ ถ้าต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งใดๆ โดยลักษณะที่เรียกกันว่า "ความมี--ความเป็น" บ้างก็เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยสติสัมปชัญญะ โดยอำนาจของปัญญา ไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยอำนาจของตัณหาเพราะฉะนั้น จึงไม่มีความทุกข์ หรือมีความทุกข์แต่น้อยที่สุด นี้ เป็นผลของการเห็นแจ้งในความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาซึ่งสรุปอยู่ในหลักที่ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง มีลักษณะที่ใครๆ ไม่น่ามอบตัวเข้าไปเป็นทาส เพื่อจะเอาหรือจะเป็น แต่ประการใดเลย
.
ตอนที่ ๑๑
หน้า ๕๕
เรื่อง : อุปาทานสี่ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ใจความสำคัญของพระพุทธศาสนานั้น คือวิชาและระเบียบปฏิบัติจนเกิดความรู้อันถูกต้องว่าอะไรเป็นอะไร ถ้ารู้ถูกต้องแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ; ใครไปยึดถือว่าเป็นตัวตน หรือของตนเข้า มันก็เป็นความทุกข์ ; แม้ที่สุดแต่ใครไปหลงใหล หลงรัก หลงชัง มันเข้า มันก็เป็นความทุกข์ ; เราเรียกความทุกข์ หรือความทรมานอันนี้เองว่าเป็นโรคทางวิญญาณ, ซึ่งสัตว์กำลังเป็นกันอยู่ทุกรูปทุกนาม. (๕๕)
.
ตอนที่ ๑๒
หน้า ๕๖-๕๗
เรื่อง : อุปาทานสี่ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
.
กิเลส ซึ่งเป็นความยึดถือ หรือเป็นเครื่องยึดถือในสิ่งทั้งปวงนั้น พุทธศาสนาเรียกว่า "อุปาทาน" คำว่า อุปาทาน ก็แปลว่า ความยึดถือ ถ้าตามตัวหนังสือจริงๆ ก็แปลว่าการเข้าไปถือเอาหรือการเข้าไปทรงไว้เป็นต้น. แต่โดยใจความแล้ว คือการเข้าไปยึดถือเอาด้วยกำลังจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นนั่นเอง (๕๖)
อุปาทาน หรือกิเลสเป็นเครื่องให้ยึดถือนี้ ท่านจำแนกเป็น ๔ ประการด้วยกัน ประการแรกเราเรียกว่า กามุปาทาน คือการยึดถือในของรักของใคร่ทั่วไป. ประการที่สองเรียกว่า ทิฏฐุปาทาน การยึดถือทิฏฐิความคิดเห็นตามที่ตนมีอยู่. ประการที่สามเรีบกว่า สีลัพพตุปาทาน ยึดถือในศีลและวัตรปฏิบัติต่างๆ ที่ตนเคยประพฤติปฏิบัติกระทำโดยงมงายมาแต่เดิม และประการสุดท้าย คือประการที่สี่นั้น เรียกว่า อัตตวาทุปาทานคือ การยึดถือด้วยการกล่าวว่า เป็นตัวเป็นตน. (๕๗)
.
ตอนที่ ๑๓
หน้า ๕๗-๕๘
เรื่อง : อุปาทานสี่ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูนณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
กามุปาทาน ยึดมั่นในกาม ซึ่งเป็นประการแรกนั้น เห็นได้จากการที่คนเราตามธรรมดา มีความติดพันในสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด คือจะเป็นรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม (๕๗)
แต่ตามหลักธรรมในพุทธศาสนานั้น ขยายออกไปเป็น ๖, คือมี "ธรรมารมณ์" เพิ่มอีกอย่างหนึ่ง หมายถึงสิ่งที่ผุดขึ้นในความรู้สึกในใจ, เป็นเรื่องอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ เกี่ยวกับวัตถุภายนอกหรือภายในก็ได้, เป็นของจริงหรือเป็นเพียงคิดฝันก็ได้, ซึ่งอาจให้เกิดเอร็ดอร่อยทางจิตในขณะที่รู้สึก (๕๗)
แม้แต่เรื่องทำบุญให้ทานเพื่อไปสวรรค์ก็เป็นการกล่าวว่ามีมูลมาจากความหวังในทางกามารมณ์ (๕๘)
.
ตอนที่ ๑๔
หน้า ๖๐-๖๑
เรื่อง : อุปาทานสี่ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
แม้ว่าเราจะยังคงยึดถือทิฏฐิอยู่ก็ตาม เราจะต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น คือจากมิจฉาทิฏฐิ ให้ค่อย ๆ กลายมาเป็นสัมมาทิฏฐิ และยิ่ง ๆ ขึ้น จนเป็นสัมมาทิฏฐิถึงที่สุด ชนิดที่รู้อริยสัจจ์ (๖๐)
ทิฏฐิที่เป็นเหตุแห่งความถือรั้น มีมูลมาจากหลาย ๆ ทาง แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว มักจะเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณี หรือลัทธิศาสนาเป็นส่วนใหญ่. (๖๑)
ทิฏฐิต่าง ๆ นี้ ยังเกี่ยวกับความไม่รู้ที่เรียกว่า อวิชชา. เมื่อมีความไม่รู้ ก็มีความเข้าใจเอาเองตามอำนาจกิเลสพื้นฐาน ว่าสิ่งนี้น่ารัก สิ่งนี้น่ายึดถือ สิ่งนี้เที่ยงแท้ถาวร สิ่งนี้เป็นความสุข สิ่งนี้เป็นตัวเป็นตน แทนที่จะเห็นว่าสังขารเหล่านั้นเป็นของปฏิกูล เป็นมายา เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้เป็นต้น กระทั่งว่าอะไร ๆ ที่ตนเคยสำคัญมั่นหมาย เคยเข้าใจมาแล้วละก็ ต้องเป็นของถูก ไม่ยอมให้เป็นของผิด (๖๑)
.
ตอนที่ ๑๕
หน้า ๖๒-๖๔
เรื่อง : อุปาทานสี่ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
สีลัพพตุปาทาน อันเป็นข้อที่สามนั้น หมายถึงความถือมั่นในการประพฤติกระทำ ที่เคยประพฤติกระทำสืบปรัมปรากันมาอย่างไร้เหตุผล หรือที่ถือว่าเป็นการประพฤติกระทำที่นิยมกันว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ยึดถือไว้ในฐานะเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ (๖๒)
ต่างจากอุปาทานข้อที่สองข้างต้น ซึ่งหมายถึงการถือในตัวทิฏฐิ หรือความคิดความเห็นที่ผิด. ส่วนข้อนี้เป็นการยึดถือในตัวการปฏิบัติ หรือการกระทำทางภายนอก. (๖๓)
แม้ที่สุดแต่เราจะรักษาศีล, จะเป็นศีลห้า, หรือศีลแปด ศีลสิบ หรือศีลอะไรก็ตาม ถ้ารักษาโดยคิดว่าเราจะเป็นผู้ขลัง ผู้ศักดิ์สิทธิ์ จะมีอำนาจวิเศษอะไรขึ้นมา เพราะการรักษาศีลนั้นแล้ว ก็กลายเป็นสีลัพพตปรามาส ซึ่งทำไปโดยอำนาจสีลัพพตุปาทานนี้ทั้งนั้น (๖๓-๖๔)
.
ตอนที่ ๑๖
หน้า ๖๔-๗๑
เรื่อง : อุปาทานสี่ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
อัตตวาทุปาทาน อันเป็นอุปาทานข้อสุดท้ายนั้น แปลว่า ความยึดมั่นด้วยวาทะว่าตัวตน ท่านใช้คำว่า ยึดมั่นด้วยวาทะ คือคำพูดว่าตัวตน แต่ที่จริงไม่ใช่คำพูด. มันเป็นความยึดถือในใจ (๖๔-๖๕)
ความรู้สึกที่มีประจำอยู่ในชีวิตจิตใจของสิ่งที่มีชีวิตนั้น ย่อมจะมีความรู้สึกในข้อที่ว่า เราเป็นเรา หรือเราเป็นตัวตนของเราอยู่ดังนี้เสมอไป (๖๕)
ถ้าเราจะพูดกันโดยสรุปความให้สั้นที่สุดแล้ว ก็พูดว่า "สิ่งต่าง ๆ ที่มีอุปาทานยึดครองอยู่นั่นแหละ เป็นตัวความทุกข์" หรือให้สั้นกว่านั้นอีก ก็ว่า "ร่างกายและจิตใจที่มีอุปาทานเข้าไปยึดถือหรือครอบครองอยู่นั่นแหละเป็นตัวความทุกข์" (๖๖)
อุปาทานข้อนี้ เป็นมูลกำเนิดของชีวิตด้วย เป็นมูลกำเนิดของความทุกข์ด้วย พร้อมกัน หรือเคียงคู่กันมา และคำที่ว่า "ชีวิตคือความทุกข์ ความทุกข์คือชีวิต" นี้ ท่านหมายความกันถึงข้อนี้เอง (๖๖)
ยังมีคำกล่าวในพระพุทธศาสนาซึ่งกล่าวในฐานะเป็นอุปมาว่า ผู้ที่จะเอาตัวรอดจากความทุกข์ให้ได้นั้น ให้ฆ่าพ่อฆ่าแม่เสีย. ที่ว่า ฆ่าพ่อฆ่าแม่ ในที่นี้นั้น ก็หมายถึง ฆ่าอุปาทาน หรือ ฆ่าอวิชชาอันเป็นมูลเหตุของตัณหาและอุปาทาน นี้เอง (๖๖)
ที่สุดที่จบของพรหมจรรย์ในพุทธศาสนานี้ก็คือการทำจิตให้หลุดพ้นจากอุปาทาน. (๗๑)
หมายเหตุ : อุปาทานว่าตัวตนเป็นเหตุให้มีภพ มีชาติ, จึงถูกเปรียบด้วย พ่อแม่.
.
ตอนที่ ๑๗
หน้า ๗๗-๗๘
เรื่อง : ไตรสิกขา จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
คำว่า สมาธิ แปลว่าจิตตั้งมั่นก็จริง แต่ต้องหมายถึงตั้งมั่นในลักษณะที่พร้อมที่จะปฏิบัติงาน ไม่ใช่ตั้งมั่นในลักษณะที่ไม่ปฏิบัติงานใดๆ คือสงบนิ่งเงียบอยู่เฉย ๆ (๗๗-๗๘)
.
ตอนที่ ๑๘
หน้า ๗๙
เรื่อง : ไตรสิกขา จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
คำว่า "ความเข้าใจ" กับ คำว่า "ความเห็นแจ้ง" นั้น ในทางธรรมแล้ว ไม่อาจจะเป็นอันเดียวกันได้. ความเข้าใจ นั้น ต้องอาศัยอยู่บนการคิดการคำนวณไปตามหลักของคณิตศาสตร์บ้าง ของตรรกคือการใช้เหตุผลบ้าง หรือตามวิธีของปรัชญา คือการอนุมานเอาตามเหตุผลต่าง ๆ บ้าง (๗๙)
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ส่วนความเห็นแจ้ง นั้น ไปไกลกว่านั้น คือต้องเป็น สิ่งที่เราได้ซึมซับมาแล้วด้วยการผ่านสิ่งนั้น ๆ มาแล้วด้วยตนเอง หรือว่าด้วยการบ่มจิตใจให้เกี่ยวเนื่องอยู่กับสิ่งนั้น ด้วยการพิจารณาจนเกิดเป็นความรู้สึกในใจขึ้นมาจริง ๆ ในลักษณะที่จะเบื่อหน่ายหรือไม่หลงใหลในสิ่งนั้น ๆ ด้วยใจจริง ๆ ไม่ใช่ด้วยเหตุผล (๗๙)
เพราะฉะนั้นคำว่า ปัญญาสิกขาตามหลักของพระพุทธศาสนาจริงๆนั้น
จึงไม่ได้หมายถึงปัญญาที่เป็นไปตามอำนาจเหตุผลหรือเหมือนที่ใช้กันอยู่ในวงการศึกษา ของวิชาการสมัยปัจจุบัน แต่เป็นคนละอย่างทีเดียว
ปัญญาในทางพุทธศาสนาต้องเป็นการรู้แจ้งเห็นจริงด้วยใจจริงๆด้วยการผ่านสิ่งนั้นไปแล้วโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง (๗๙)
.
ตอนที่ ๑๙
หน้า ๘๑
เรื่อง : ไตรสิกขา จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
สิกขามีอยู่ ๓ สิกขาด้วยกัน คือสีลสิกขา ได้แก่การฝึกฝนอบรมให้มีการประพฤติถูกต้อง ทั้งที่เกี่ยวแก่สังคมทั้งหมด ทั้งที่เกี่ยวแก่ครอบครัว ทั้งที่เกี่ยวกับสิ่งของไม่มีชีวิตวิญญาณ ; และ จิตตสิกขา คือการฝึกฝนให้มีความสามารถบังคับจิต ให้อยู่ในอำนาจ ให้สงบเงียบเป็นสุขก็ได้ ให้บริสุทธิ์สะอาดดีก็ได้ ให้สามารถคือว่ามีสมรรถภาพพร้อมที่จะปฏิบัติงานใด ๆ ต่อไปก็ได้ ; และสิกขาที่ ๓ คือ ปัญญาสิกขา นั้น หมายถึงการอบรมจนเกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่จริงถึงที่สุด จนถึงกับถอนความยึดถือด้วยอุปาทาน คือถอนความโง่หลงต่าง ๆ ออกไปได้จากใจ ซึ่งเป็นการถอนจิตใจให้หลุดออกมาเสียจากสิ่งที่มันเคยเข้าไปผูกพันไว้ตั้งแต่ต้นมา. (๘๑)
.
ตอนที่ ๒๐
หน้า ๘๓
เรื่อง : ไตรสิกขา จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ที่ถือว่าเป็นยอดอานิสงส์ศีลนั้น ท่านเรียกเป็นบาลีว่า สมาธิสํวตฺตนิกา แปลว่า "เป็นไปเพื่อให้เกิดสมาธิ". อานิสงส์อย่างอื่น ๆ ของศีล เพียงว่าให้อยู่เป็นผาสุก หรือให้ไปเกิดในสวรรค์เป็นต้นก็ตามนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงมุ่งหมายโดยตรง. (๘๓)
ศีลที่ปฏิบัติดีถึงที่สุด ท่านเรียกว่า "ศีลชนิดที่เป็นที่ชอบใจของพระอริยเจ้า" (๘๓)
.
ตอนที่ ๒๑
หน้า ๘๗-๘๘
เรื่อง : ไตรสิกขา จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
"เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ย่อมเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง" ท่านตรัสไว้สั้น ๆ อย่างนี้ แต่โดยกิริยาอาการนั้นท่านหมายถึงอาการที่จิตประกอบด้วยสมาธิในลักษณะที่เป็นการพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่. (๘๗)
ถ้าผู้ใดเจริญสมาธิ ในลักษณะที่ถูกต้องตามเรื่องของพระพุทธเจ้า คือมีลักษณะที่เรียกว่า กมฺมนิโย พร้อมที่จะปฏิบัติงานทางจิตแล้ว ปัญหาต่าง ๆ ที่สะสมอยู่ใต้สำนึกนั้นมันจะมีคำตอบโพล่งออกมา (๘๗-๘๘)
ถ้าหากมันไม่โพล่งออกมาในลักษณะเช่นนั้น เราก็ยังมีระเบียบวิธีอีกอันหนึ่งที่วางไว้ว่าให้น้อมจิตที่เป็นสมาธิในลักษณะเช่นนั้น แล้วไปสู่การพิจารณาปัญหาที่เรากำลังมีอยู่นั่นเอง. การพิจารณาด้วยกำลังของสมาธิในลักษณะเช่นนี้เอง เรียกว่า ปัญญาสิกขา, หรืออย่างน้อยก็สงเคราะห์เข้าใน ปัญญาสิกขา. (๘๘)
.
ตอนที่ ๒๒
หน้า ๙๐-๙๑
เรื่อง : ไตรสิกขา จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
หลักทางพระพุทธศาสนานั้น ท่านแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสมาธิกับปัญญาไว้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก คือต้องมีสมาธิจึงจะมีปัญญา ต้องมีปัญญาจึงจะมีสมาธิ. (๙๐)
คนที่มีปัญญาต่างหากจึงจะสามารถมีสมาธิมากขึ้นได้ตามลำดับ. เมื่อสมาธิมากขึ้น ปัญญาก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้นตาม : มันส่งเสริมซึ่งกันและกันไปในตัว กลับไปกลับมากันอยู่ในตัว. (๙๐)
คนบางคนมีลักษณะที่เรียกว่าปัญญานำหน้า : ลักษณะของสมาธิไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยปรากฏ ก็มี. ถ้าเป็นอย่างนี้ เราเรียกเขาว่า คนเจ้าปัญญาจะถูกกว่า (๙๐)
คนอีกพวกหนึ่งนั้น เขามีลักษณะเป็นเจ้าสมาธิ ไม่ใช่เจ้าปัญญาอย่างที่ว่า. ที่ว่าเป็นเจ้าสมาธินั้น คือเขาเป็นคนสุขุม ชนิดที่ต้องรวบรวมกำลังใจทั้งหมดทั้งสิ้น ให้รอบคอบรัดกุมเสียก่อน จึงจะพินิจพิจารณา. (๙๑)
คราวนี้มีคนอีกพวกหนึ่งซึ่งอาจจะมีได้หรือหาได้ในโลกนี้เหมือนกัน. นี้คือคนที่มีปัญญากับสมาธิพอ ๆ กัน ซึ่งอาตมาเข้าใจว่าจะเป็นพวกที่ปลอดภัยที่สุด สบายที่สุด การฝึกหัดจิตให้เป็นสมาธิ ตามโอกาสที่ควรฝึกหัดอยู่เสมอ ๆ แล้วใช้ปัญญาพิจารณาในสิ่งที่ควรพิจารณา (๙๑)
.
ตอนที่ ๒๓
หน้า ๙๒-๙๓
เรื่อง : ไตรสิกขา จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
คำว่า วิมุตติ ต้องหมายความว่า หลุดจากการเป็นทาสของสิ่งทั้งปวง โดยเฉพาะก็เป็นทาสของสิ่งที่เรารัก แต่แม้สิ่งที่เราไม่รัก เราก็ตกเป็นทาสของมันเหมือนกัน ถ้ากล่าวตามโวหารธรรม : เป็นทาสตรงที่ต้องไปเกลียดมันนั่นเอง อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ก็อุตส่าห์ไปเกลียดมัน ไปร้อนใจกับมัน ; มันบังคับเราได้เหมือนกัน
จากหนังสือ คู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์ หัวข้อ : ไตรสิกขา (ตัวย่อ : คู่มือ.ม , ไตรสิกขา) หน้า ๙๒
เราหลุดออกจากการเป็นทาสของสิ่งทั้งปวงมาเป็นอิสระอยู่ได้ ด้วยอำนาจของปัญญา พระพุทธเจ้าท่านจึงได้วางหลักไว้สั้น ๆ ที่สุดว่า ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ, แปลว่า คนเราบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา. พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยตรัสว่าบริสุทธิ์ได้ด้วยศีล ด้วยสมาธิ แต่ตรัสว่าบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา เพราะมันทำให้หลุดออกมาจากสิ่งทั้งปวง.
.
ตอนที่ ๒๔
หน้า ๑๐๐-๑๐๑
เรื่อง : เบญจขันธ์ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
สำหรับเรื่องของสิ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของอุปาทานนั้น ถ้าจะชี้กันง่าย ๆ ตรง ๆ ก็คือสิ่งที่เราเรียกกันว่าโลกนี้เอง. คำว่า โลก ๆ นี้ ในทางธรรมมีความหมายอีกอย่างหนึ่งซึ่งกว้างกว่าความหมายตามธรรมดา. เมื่อพูดว่าโลกทางธรรมะ หมายถึงสิ่งทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้นกันทีเดียว ไม่ว่าจะเกี่ยวกับโลกมนุษย์นี้หรือโลกอื่น (๑๐๐)
ท่านแนะวิธีให้ดู ด้วยการจำแนกโลกออกเป็น ๒ ฝ่าย คือที่เป็นฝ่ายวัตถุ เรียกว่า รูป อย่างหนึ่ง. ฝ่ายที่ไม่ใช่วัตถุ ได้แก่ฝ่ายที่เป็นจิตใจ เรียกว่า นามธรรม อีกอย่างหนึ่ง. (๑๐๐)
แต่เพื่อให้ละเอียดยิ่งไปกว่านั้นอีก ท่านได้แบ่งส่วนที่เป็นนามธรรมหรือจิตใจนี้ออกเป็น ๔ ส่วน เรียกว่า เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ. (๑๐๑)
เมื่อเอาส่วนที่เรียกว่า "รูป" อีกหนึ่ง ซึ่งเป็นประเภทรูปธรรมมารวมเข้ากับ ๔ ส่วนที่เป็นนามธรรม หรือเป็นจิตใจก็ได้เป็น ๕ ส่วน ; ท่านเลยนิยมเรียกว่า "ส่วน ๕ ส่วน". ถ้าเรียกเป็นภาษาบาลีก็เรียกว่า เบญจขันธ์ หรือ ขันธ์ห้า แปลว่า ส่วน ๕ ส่วนที่ประกอบกันขึ้นเป็นโลก โดยเฉพาะก็คือเป็นสัตว์เป็นคนเรานี้เอง. (๑๐๑)
.
ตอนที่ ๒๕
หน้า ๑๐๗-๑๐๘
เรื่อง : เบญจขันธ์ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
คำที่ว่ายึดถือเอาเป็นตัวเป็นตนนี้ มีอยู่ ๒ อย่าง คือยึดถือว่าเป็นตัวตนที่จะเป็นฝ่ายจะเอา หรือผู้เอา นี้ฝ่ายหนึ่ง ; และยึดถือเป็นตัวเป็นตนในฝ่ายที่จะถูกเอา หรือแม้ถูกรังเกียจ เกลียดชัง ก็ตาม นี้อีกฝ่ายหนึ่ง ; มีอยู่ ๒ ฝ่ายเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่าเวทนานั้น จะถูกยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนในทางที่จะเอา หรือในทางที่จะไม่เอาก็ตาม เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่เป็นความยึดถือ หรือเป็นที่ตั้งของความทุกข์ได้ทั้งนั้น. ถ้ามันตรงกับความต้องการหรือเอร็ดอร่อย มันก็ยึดถือเป็นตัวเป็นตนที่มันจะเอา คือว่ารวบรัดดึงเข้ามาหาตัว. นี้เป็นการกอดรัดเอาไว้ด้วยอุปาทาน, ถ้ามันไม่ถูกไม่ตรงกับความต้องการ กลายเป็นความโกรธความชังอย่างนี้ก็เป็นเวทานาเหมือนกัน แต่เป็นทุกขเวทนา ; มันมีลักษณะที่จะถูกผลักถูกดันออกไปให้ห่าง ตรงกันข้ามจากที่ดึงเข้ามา, แต่ก็เป็นการผลักออกไปด้วยอำนาจอุปาทานอีกนั่นเอง. (๑๐๗-๑๐๘)
.
ตอนที่ ๒๖
หน้า ๑๐๒-๑๐๓
เรื่อง : เบญจขันธ์ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
คำว่า สัญญา นี้ ตามตัวหนังสือแปลว่า รู้พร้อม ; เป็นความรู้สึกเหมือนกัน แต่ไม่ใช่รู้สึกอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น. รู้สึกอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น รู้ไปในทางที่ว่าเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์. ส่วนสัญญานี้ เป็นความรู้สึกตัวอยู่เหมือนอย่างว่าเรากำลังรู้สึกตื่นอยู่ คือไม่หลับ ไม่สลบ ไม่ตาย หรือเรียกว่า มีสมปฤดี มีสติสมปฤดี. (๑๐๒-๑๐๓)
แต่โดยมากทั่ว ๆ ไป ท่านมักจะชอบพูดอธิบายกันว่าเป็นความจำ หรือความจำได้หมายรู้. นั้นก็ถูกเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่ถูก ที่จะแปลสัญญาว่าความจำได้หมายรู้. เพราะว่าถ้าเรายังจำได้หมายรู้อยู่ ก็คือเรายังไม่เมา ไม่สลบ ไม่หลับ ไม่ตาย ดังที่กล่าวแล้ว. ความที่เมื่อกระทบอะไรทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็รู้สึกหรือจำได้ ว่าเป็นอะไร เช่นรู้ว่าขาว ว่าเขียว ว่าแดง ว่าสั้น ว่ายาว ว่าสูง ว่าต่ำ ว่าคน ว่าสัตว์ ตามแต่จะทำได้ นั่นแหละเป็นความรู้สึกของสมปฤดีหรือสัญญาในที่นี้. (๑๐๓)
หมายเหตุ : "แต่ไม่ใช่รู้สึกอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น" ในที่นี้หมายถึง "เวทนา"
.
ตอนที่ ๒๗
หน้า ๑๐๘
เรื่อง : เบญจขันธ์ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ความรู้สึกชอบ กับความรู้สึกชังนี้ ตามความหมายอันแท้จริงของทางธรรมแล้ว ท่านถือว่าเป็นความทุกข์เท่ากัน. แต่ความหมายอย่างโลก ๆ ที่คนธรรมดารู้สึกนั้น กลับเห็นว่าฝ่ายที่ชอบที่รักนั้นเป็นความสุข ไม่ใช่ความทุกข์, ฝ่ายที่ไม่ชอบ จึงเป็นความทุกข์. (๑๐๘)
ทางธรรมนั้นหมายความว่ามันทำให้เกิดการทรมานที่เท่ากัน : ความชอบหรือความรัก ก็ทำให้เกิดความฟูขึ้นในทางจิตใจ : ความไม่ชอบไม่รัก ก็ทำให้แฟบลงในทางจิตใจ. การได้กับการเสีย การดีใจกับการเสียใจ เหล่านี้เป็นการทำให้จิตเหน็ดเหนื่อยเท่ากัน ; ทำให้เกิดความอยาก ทำให้เกิดการวนเวียนในความทุกข์เท่ากัน. (๑๐๘)
แต่ถ้ามองดูในวิถีทางของโลกียะก็เป็นอย่างที่ว่ามาแล้ว คือถ้าเป็นสุขก็มัวรัก ถ้าเป็นทุกข์ก็มัวชัง ถ้าเป็นอุเบกขาก็มัวรำคาญสงสัยต่าง ๆ นานา อยู่ไม่เว้นแต่ละวัน. ทั้งหมดนั้น เรียกว่าเป็นความยึดถือเวทนานั้น ๆ ว่าเป็นตัวตน. (๑๐๘)
.
ตอนที่ ๒๘
หน้า ๑๑๗-๑๑๙
เรื่อง : เบญจขันธ์ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ความยึดถือว่าตัว ในลักษณะที่เป็นผู้นั้น ผู้นี้ อย่างนี้ท่านเรียกว่า "ตัว" โดยสมมุติ. ถ้าจะพูดว่าเป็นความจริง ก็ต้องว่าเป็นความจริงอย่างสมมุติ ; เช่นพูดว่า คนนี้ชื่อ นาย ก. มันก็เป็นความจริง เพราะใคร ๆ ก็เรียกคนนี้ว่า นาย ก. (๑๑๗)
ทีนี้ ก็มาถึงขั้นที่เรียกกันว่า "บัญญัติ" บัญญัติในที่นี้ ตัวอย่างเช่น คน ๆ หนึ่ง เราไม่เรียกว่า นาย ก. นาย ข. นาย ง. อีกแล้ว เราเพ่งไปยังส่วนต่าง ๆ ที่จับกลุ่มประกอบกันอยู่เป็น นาย ก. เป็นต้น. นาย ก. ผู้นี้เมื่อเราพิจารณาดูร่างกายทั้งหมดของ นาย ก. หรือกลุ่มสังขารที่รวมกันเป็น นาย ก. ก็จะพบว่า นาย ก. นั้น เท่ากับ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมกัน. แต่ละส่วน ๆ ถูกบัญญัติเรียกว่าอย่างนั้นอย่างนี้ (๑๑๘)
การเห็นบัญญัติอย่างนี้ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย คือฉลาดขึ้นมาหน่อย เรียกว่าไม่ถึงกับหลงในสมมุติ ; แต่ติดบัญญัติ. ถ้าเราจะแยกบัญญัติให้ละเอียดออกไปอีกก็มีทางทำได้, เช่นส่วนที่เป็นรูปร่างกายนี้ แยกออกเป็น ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม. (๑๑๘)
ทีนี้ เมื่อดูกันในแง่ปรมัตถ์ที่ลึกลงไปอีก มันจะปรากฏเป็นความจริงว่า แม้ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ; ธาตุอ๊อกซิเจน ธาตุไฮโดรเจน หรืออะไรก็ตาม จะเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาก็ตาม, ดูให้ลึกแล้ว ก็จะพบลักษณะอันหนึ่ง ซึ่งเหมือนกันหมด คือ "ความว่าง". ว่างจากอะไร? ว่างจากตัวตนนั่นเอง. (๑๑๙)
ถ้าเรียกอย่างภาษาศาสนา ก็เรียกว่า "สุญญตา" แปลว่า ความเป็นของว่าง, และเล็งถึงความว่างจากความมีตัวตน ว่างจากความหมายที่ควรถือว่ามีตัวตนโดยเฉพาะ. (๑๑๙)
.
ตอนที่ ๒๙
หน้า ๑๑๔-๑๒๐
เรื่อง : เบญจขันธ์ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
เมื่อได้แยกดูทีละส่วน ๆ ทั้ง ๕ ส่วน ว่าไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวตน คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง ๕ ส่วน ก็ไม่มีส่วนไหนที่เป็นตัวตน ดังนี้แล้ว ก็จะถอนความเข้าใจผิดว่าเป็นตัวตนเสียได้ในสิ่งทั้งปวง. คำว่าในสิ่งทั้งปวงก็คือว่าในคนทุกคนนั่นเอง. (๑๑๔)
การรู้จักส่วนทั้ง ๕ ส่วนนี้ คือการรู้จักโลกทั้งหมดว่าไม่ใช่ตัวตน. การรู้จัก ในที่นี้หมายถึง การรู้แจ้ง อย่างที่ได้เคยอธิบายมาแล้ว ว่ามันเป็นคนละอย่างกับความเข้าใจ (๑๑๔)
ถ้าพิจารณาไปในทางเห็นแจ้ง ชนิดที่อาจจะถอนความยึดถือว่าเป็นตัวตนเสียได้แล้ว ต้องมีการวัดกันตรงที่ว่า ไม่เกิดความอยากอย่างใดอย่างหนึ่งในสิ่งเหล่านั้น คือไม่เกิดความรักหรือความเกลียดในสิ่งเหล่านั้น จึงจะเรียกว่าเห็นแจ้งสิ่งทั้งปวง ว่าไม่ใช่ตัวตน. ฉะนั้นการคิดเอาตามการใช้เหตุผล จึงถอนตัวตนไม่ได้. การพิสูจน์กันตามทางเหตุผลหรือการคิดกันตามทางเหตุผล ก็พอที่จะทำให้เกิดความเชื่อว่าไม่ใช่ตัวตนได้ แต่มันก็เป็นเพียงแต่ความเชื่อ ไม่ใช่การรู้แจ้งชนิดที่จะตัดความยึดถือว่าตัวตนได้อย่างเด็ดขาด. (๑๑๔)
ท่านผู้ใดเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในลักษณะที่เป็นของว่าง เป็นสุญญตา ดังนี้แล้ว ความยึดถือหรืออุปาทานย่อมไม่มีทางที่จะเกิดได้, ที่เกิดแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเหลืออยู่ได้ (๑๑๙)
มันจึงไม่มีสัตว์ ไม่มีคน ไม่มีธาตุ ไม่มีขันธ์ ไม่มีอายตนะ ไม่มีอะไรทั้งหมด อีกชั้นหนึ่ง. นี่แหละเป็นความว่างจากการยึดถือว่าตัวตนจนสิ้นเชิงแล้ว จนกระทั่งความทุกข์ก็ไม่มีที่เกิด และเกิดไม่ได้. ธรรมดาความทุกข์ต้องเกิดมาแต่กิเลส. กิเลสต้องมาจากการที่หลงเข้าไปยึดถือเบญจขันธ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ว่าเป็นตัวตน แล้วก็อยากได้ อยากมี อยากเป็น อย่างใดอย่างหนึ่งเสียก่อน. ความอยากชนิดนี้เป็นกิเลส พอเริ่มอยากก็เริ่มทุกข์. เมื่ออยากก็ต้องทำ เมื่อต้องทำตามอำนาจของความอยาก ก็ต้องทุกข์, ครั้นได้ผลมา ก็เป็นที่ตั้งของกิเลส ของความอยาก สือต่อไปอีก. (๑๑๙-๑๒๐)
.
ตอนที่ ๓๐
หน้า ๑๒๗-๑๒๙
เรื่อง : สมาธิและวิปัสสนาตามธรรมชาติ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
การที่จิตเป็นสมาธินั้น มิได้หมายความว่าจะต้องมีการกระทำตามแบบตามพิธีรีตอง หรือที่เป็นเทคนิคต่าง ๆ นั้นโดยตรงอย่างเดียวก็หาไม่. โดยที่แท้แล้วสมาธิอาจจะมีได้โดยทางตรงตามธรรมชาติ ซึ่งปราศจากเทคนิคใด ๆ ที่มนุษย์กำหนดขึ้น (๑๒๗)
สมาธิที่เกิดตามธรรมชาติ นั้นมักจะพอเหมาะพอสมแก่กำลังของปัญญาที่จะทำการพิจารณา. ส่วนสมาธิที่เกิดตามวิธีของการบำเพ็ญเป็นเทคนิคโดยเฉพาะ นั้น มักจะเป็นสมาธิที่มากเกินไป หมายความว่าเหลือใช้ และยังเป็นเหตุให้คนหลงติดชะงัก พอใจแต่เพียงแค่สมาธินั้นก็ได้ (๑๒๘)
ข้อความต่าง ๆ ในพระไตรปิฎกเอง มีเล่าถึงแต่เรื่องการบรรลุมรรคผลทุกชั้นตามวิธีธรรมชาติ ในที่เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเอง หรือในที่ต่อหน้าผู้สั่งสอนคนอื่น ๆ ก็มี (๑๒๘)
สมาธิตามธรรมชาตินั้น ย่อมรวมอยู่ในความพยายามเพื่อจะเข้าใจแจ่มแจ้ง และต้องมีอยู่ในขณะที่มีความเห็นอันแจ่มแจ้งติดแนบแน่นอยู่ในตัวอย่างไม่แยกจากกันได้ และเป็นไปได้เองตามธรรมชาติ ในทำนองเดียวกันกับตัวอย่างที่ว่า พอเราตั้งใจคิดเลขลงไปเท่านั้น จิตมันก็เป็นสมาธิเอง (๑๒๘-๑๒๙)
.
ตอนที่ ๓๑
หน้า ๑๓๐-๑๓๒
เรื่อง : สมาธิและวิปัสสนาตามธรรมชาติ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ปีติปราโมทย์นั้น มีอำนาจอยู่ในตัวมันเองอย่างหนึ่ง ซึ่งจะให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ปัสสัทธิ. (๑๓๑)
คำว่า ปัสสัทธิ นี้ แปลว่า ความรำงับ. ตามปรกติจิตของคนเราไม่ค่อยจะรำงับ เพราะว่าจิตตกเป็นทาสของความคิดความนึก ของอารมณ์ ของเวทนา ของอะไรต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา, เป็นความฟุ้งอยู่ภายใน ไม่เป็นความรำงับ. (๑๓๑)
ขอให้ย้อนมาพิจารณากันให้มาก ถึงความปีติปราโมทย์ทุกชนิดที่อาจเกิดตามธรรมชาติ นับตั้งแต่เราไปนั่งเล่นในที่สงัด อากาศดี วิวดี สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ดี จนมีความชุ่มชื่นใจ (๑๓๐)
พระบาลีมีกล่าวถึงปีติปราโมทย์ชนิดนี้อย่างน่าอัศจรรย์อยู่หลาย ๆ อย่าง เช่นกล่าวถึงภิกษุที่กำลังแสดงธรรมสอนผู้อื่นอยู่บนธรรมาสน์ บนที่นั่งสอนนั่นเอง. ก็ยังมีปีติปราโมทย์ในการที่ตนได้สอนได้ปฏิบัติหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดปีติปราโมทย์และอื่น ๆ ตามลำดับ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลเพราะเหตุนั้นได้ก็มี. (๑๓๑)
เมื่อจิตรำงับลงในลักษณะที่เรียกว่าปัสสัทธิแล้ว จะมีลักษณะอันแท้จริงของสมาธิ คือ ลักษณะแห่ง กมฺมนียภาพ หรือภาวะที่เหมาะสมแก่การที่จะประกอบการงานในทางจิต. สมาธิที่แท้จริงในการปฏิบัติธรรมเพื่อตัดกิเลสจึงไม่ใช่ไปทำจิตให้เงียบเป็นก้อนหิน (๑๓๒)
ในที่นี้ เราไม่ต้องเข้าฌาน ไม่ต้องการฌาน หากแต่ว่าต้องการจิตที่เป็นสมาธิ หรือมีคุณสมบัติเป็น กมฺมนิโย ครบถ้วนพร้อมที่จะรู้แจ้งจนเกิดสิ่งที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ คือ ความรู้ความเห็นตามที่เป็นจริงต่อโลกทั้งหมด หรือต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เราต้องการรู้ (๑๓๒)
.
ตอนที่ ๓๒
หน้า ๑๓๓-๑๓๗
เรื่อง : สมาธิและวิปัสสนาตามธรรมชาติ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
คำว่า เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะในที่นี้ หมายถึงการรู้การเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา (๑๓๓)
ถ้าเห็นตามที่เป็นจริง ก็คือเห็นว่า "ไม่มีอะไรที่น่าเอา ไม่มีอะไรที่น่าเป็น" (๑๓๓-๑๓๔)
พระบาลีนั้นมีอยู่ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย ; แต่เป็นบาลีจำยากก็เอาแต่คำไทย ๆ ก็แล้วกัน ซึ่งแปลว่า "ธรรมทั้งปวง ไม่ควรจะเข้าไปยึดถือเลย" คำว่า ธรรม หรือ สิ่งทั้งปวง ไม่ว่าอะไร ๆ ไม่ควรเข้าไปยึดถือเลยนี้ ก็คือไม่ควรเข้าไปยึดว่าเป็นตัวเป็นตน ว่าของตน ว่าดี ว่าชั่ว หรือกลาง ๆ ว่าน่าเอา ไม่น่าเอา น่ารักหรือน่าชัง อย่างนี้เป็นต้น, ถ้าเข้าไปมีความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งเป็นไปในทางพอใจก็ตาม ไม่พอใจก็ตาม เรียกว่าเข้าไปยึดถือในสิ่งนั้น. (๑๓๔)
แม้ที่สุดแต่สิ่งที่เรียกว่า "ความดี" ที่ใคร ๆ บูชากันอยู่ ถ้าหากว่าใครเข้าไปเกี่ยวข้องกับความดีในลักษณะที่ผิดทาง และยึดถืออะไรมากเกินไปก็จะได้รับความทุกข์จากความดีนั้นเช่นเดียวกัน (๑๓๗)
ถ้าเรายังจำเป็นต้องเอา ต้องเป็น เพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะก็คือยังละกิเลสไม่ได้แล้ว เราต้องเข้าไปเอา ไปเป็น ด้วยสติสัมปชัญญะที่รู้อยู่เสมอว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น (๑๓๗)
ถ้าเราเข้าไปเอา ไปเป็น กับสิ่งที่เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่น่าเอา ไม่น่าเป็น อยู่ตามธรรมชาติเหล่านั้น ด้วยวิชาความรู้ของพระพุทธเจ้า คือรู้ว่าแท้ที่จริง ไม่มีอะไรที่น่าเอา ที่น่าเป็น ก็เรียกว่าเราเข้าไปเพื่อเอาชนะสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่เข้าไปเพื่อแพ้และตกเป็นทาสสิ่งเหล่านั้น. (๑๓๖)
.
ตอนที่ ๓๓
หน้า ๑๔๔-๑๔๖
เรื่อง : สมาธิและวิปัสสนาตามธรรมชาติ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
เมื่อมี ยถาภูตญาณทัสสนะ เห็นจริงว่า ไม่มีอะไรที่น่าเอาน่าเป็น อย่างนี้แล้ว สิ่งที่เรียกว่า นิพพิทา คือความเบื่อหน่ายนั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นติดตามมา ตามส่วนสัดของการเห็น. คำว่า นิพพิทา นี้ แปลว่า ความเบื่อหน่าย. นี้ตรงกันเข้ามาจากคำว่า อัสสาทะ ซึ่งแปลว่า ความเอร็ดอร่อยที่อาจหาได้ในสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกียวิสัย. ส่วน นิพพิทา แปลว่า ความเบื่อหน่ายในสิ่งที่ตนเคยเอร็ดอร่อยมาแล้วนั้น. (๑๔๔)
ครั้นมีสิ่งที่เรียกว่านิพพิทาความเบื่อหน่ายแล้ว โดยอัตโนมัติตามธรรมชาตินั่นเอง ย่อมจะมีสิ่งที่เรียกว่า วิราคะ. วิราคะ แปลว่า ความจางออกหรือคลายออก (๑๔๕)
ความยึดถือที่คลายออก หรือจางออกจากโลก หรือจากสิ่งทั้งปวงที่เคยยึดถือนี้ ท่านเรียกว่า วิราคะ. (๑๔๕)
เมื่อมีความหลุด หรือหลุดออกมาได้จากความเป็นทาส ไม่ตกเป็นทาสของโลกอีกต่อไป ก็จะมีอาการที่เรียกว่า วิสุทธิ คือบริสุทธิ์. บริสุทธิ์ในที่นี้ หมายความว่าไม่เศร้าหมอง. (๑๔๕)
เมื่อมีความบริสุทธิ์แท้จริงอย่างนี้แล้ว ก็มีสิ่งที่เรียกว่า สันติ คือความสงบอันแท้จริงสืบไป. เป็นความสงบเย็นจากความวุ่นวาย จากความรบกวน หรือจากการต่อสู้ดิ้นรน ทนทรมานต่าง ๆ (๑๔๕)
สันติ คือความสงบรำงับดับเย็นของสังขารทั้งปวง แทบจะเรียกได้ว่าเป็นขั้นสุดหรือขั้นเดียวกับนิพพานได้. แท้จริง สันติ กับ นิพพาน นั้น เกือบจะไม่ต้องแยกกัน ที่แยกกันก็เพื่อจะให้เห็นว่า เมื่อสงบแล้วก็นิพพาน. (๑๔๖)
.
ตอนที่ ๓๔
หน้า ๑๔๘
เรื่อง : สมาธิและวิปัสสนาตามธรรมชาติ จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
สมาธิ และ วิปัสสนา ตามธรรมชาติ ที่ทำให้บุคคลบรรลุมรรคผลกันได้ในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคตรงที่นั่งฟังนั่นเอง และเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับบุคคลทุกคนนั้น ตั้งอาศัยอยู่บนรากฐานแห่งการพิจารณาความจริงในข้อที่ว่า "ไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็น" อยู่เป็นประจำวันทุกวัน. ผู้หวังจะได้ผลอันนี้ จะต้องพยายามทำตนให้เป็นคนสะอาด มีอะไรเป็นที่พอใจตัว จนยกมือไหว้ตัวเองได้ มีปีติปราโมทย์ตามทางธรรมอยู่เสมอ. ไม่ว่าในเวลาปฏิบัติงานในหน้าที่หรือเวลาพักผ่อน. ปีติปราโมทย์นั้นเองทำให้เกิดความแจ่มใสสดชื่น มีใจสงบรำงับเป็นปัสสัทธิ เป็นเหตุให้มีสมาธิตามธรรมชาติอยู่อย่างอัตโนมัติ จนเห็นความจริงที่ว่า ไม่มีอะไรที่น่าเอา น่าเป็นอยู่เสมอ. ขณะใดเป็นไปแรงกล้า จิตก็หน่ายคลายกำหนัด จากสิ่งที่เคยยึดถือหลุดออกมาได้จากสิ่งที่เคยยึดถือ แม้แต่การยึดถือว่าตัวตน หรือของตน. ไม่มีความหลงอยากในสิ่งใดด้วยกิเลสตัณหาอีกต่อไป ความทุกข์ไม่มีที่ตั้งอาศัยก็สิ้นสุดลง. ผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้ถึงที่สุดแห่งการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่มีอะไรที่จะต้องทำเพื่อให้ตนพ้นทุกข์อีกต่อไป. (๑๔๘)
.
ตอนที่ ๓๕
หน้า ๑๗๑-๑๗๓
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
วิปัสสนาทั้ง ๕ ตัวนี้ อาจสรุปแต่ใจความได้ว่า ตัวที่ ๑ คือ ทิฏฐิวิสุทธิ เป็นความหมดจดแห่งทิฏฐิความเห็น ไม่มีทิฏฐิเห็นผิดอีกต่อไป เพราะมารู้จักแยกคน แยกสัตว์ออกไปเป็นส่วน ๆ. วิปัสสนาตัวที่ ๒ เรียกว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ เพราะมารู้จักเหตุ-รู้จักปัจจัย แห่งส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นที่มาประกอบกันขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด. วิปัสสนาตัวที่ ๓ ชื่อ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ รู้แจ้งว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรเป็นทาง อะไรไม่ใช่ทาง และไม่ไปหลงของแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญทางจิต ที่แปลกประหลาดเหลือความคาดคะเนของคนธรรมดา. วิปัสสนาตัวที่ ๔ คือ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ได้แก่วิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ลำดับ ที่กล่าวมาแล้ว. ตัวนี้เป็นตัวการที่ดำเนินไปอย่างคมเฉียบเป็นปัญญาหรือญาณในขั้นที่แทงตลอดในภพทั้ง ๓ หรือสังขารทั้งปวง ซึ่งจะเป็นเหตุให้กิเลสเหลืออยู่ไม่ได้. ส่วนวิปัสสนาตัวที่ ๕ คือ อริยมรรคทั้ง ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น (๑๗๒)
ญาณทัสสนวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ ซึ่งได้แก่อริยมรรคญาณนั่นเอง เป็นตัวสุดท้ายของวิปัสสนา หรือผลของวิปัสสนา ได้แก่อริยมรรคญาณทั้ง ๔. (๑๗๑)
เมื่อเพิ่มรากฐานของวิปัสสนาทั้ง ๒ ขั้น คือ สีลวิสุทธิ กับ จิตตวิสุทธิ ข้างต้นเข้าด้วย ก็เป็น ๗ อันดับ. (๑๗๒-๑๗๓)
.
ตอนที่ ๓๖
หน้า ๑๕๔-๑๕๕
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
"สมาธิ และ วิปัสสนา ตามหลักวิชา (ในรูปของเทคนิค)". แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในรูปพระพุทธภาษิต เพราะเป็นสิ่งที่พระโบราณจารย์ยุคหลัง ๆ จัดขึ้นมาก็ตาม ก็ นับว่าเป็นวิธีที่เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติที่มีอุปนิสัยยังอ่อน ยังมองไม่เห็นทุกข์ตามธรรมชาติมาก่อนด้วยตนเอง. และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะสำหรับคนพวกที่นิยมหรือแตกตื่นไปทำวิปัสสนากัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมองเห็นความจริงของชีวิตอะไรมาก่อนเลย (๑๕๔)
แต่อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เรื่องที่เป็นเทคนิคชนิดนี้จะเป็นเรื่องวิเศษไปกว่าที่จะเป็นไปตามคอมมอนเซ้นส์หรือตามธรรมชาติ (๑๕๔)
ระเบียบวิธีตั้งหน้าปฏิบัติ เพื่อทำให้เกิดญาณทัสสนะ คือความเห็นแจ้งขึ้นมานี้ ท่านเพิ่งเรียกกันในยุคอรรถกถาโดยชื่อใหม่อีกชื่อหนึ่ง ว่า "วิปัสสนาธุระ" และจัดให้เป็นคู่กันกับ "คันถธุระ" ซึ่งเป็นเรื่องการเรียนตำราคัมภีร์โดยตรง ; ส่วนวิปัสสนาธุระนั้น คงให้เป็นเรื่องการเรียนจากภายในไปตามเดิม คืออบรมจิตโดยเฉพาะ (๑๕๕)
.
ตอนที่ ๓๗
หน้า ๑๕๕-๑๕๖
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
คำว่าวิปัสสนาธุระ ต้องกินความรวบหมดทั้งสมถภาวนา และวิปัสสนาภาวนา คือหมายถึงทั้งสมาธิและทั้งปัญญานั่นเอง และยิ่งไปกว่านั้นยังได้รวบเอาศีลซึ่งยังไม่ใช่ตัวภาวนาอะไรเลย เข้าไปอีกด้วย ในฐานะเป็นบริวารหรือบาทฐานของสมาธิ (๑๕๕-๑๕๖)
เมื่อตั้งปัญหาว่าอะไรเป็นที่ตั้งที่อาศัยของวิปัสสนา, ก็มีคำตอบว่าศีล กับ สมาธิ เป็นที่ตั้งที่อาศัยของวิปัสสนา เพราะว่าวิปัสสนานั้นหมายถึงการรู้แจ้งเห็นจริง. การรู้แจ้งเห็นจริงจะเกิดขึ้นมาได้ ก็ในเมื่อบุคคลมีจิตใจที่ปีติปราโมทย์ คือไม่มีอะไรเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ. ข้อนี้ ศีลช่วยได้ถึงที่สุด ; เมื่อไม่ขาดศีล มีศีลบริสุทธิ์ ก็มีปีติปราโมทย์ ฉะนั้นจึงต้องมีศีล. ท่านเปรียบว่า เหมือนอย่างคนจะตัดต้นไม้ หรือตัดป่าลงสักป่าหนึ่ง เขาจะต้องมีที่ยืนบนแผ่นดิน ถ้าเขาไม่มีแผ่นดินสำหรับยืน เขาจะทำงานได้อย่างไร (๑๕๖)
ส่วนกำลังหรือเรี่ยวแรงสำหรับจะตัดนั้น ท่านเปรียบเหมือนกับสมาธิ คือเขาจะต้องมีสมาธิเป็นกำลังงาน. ส่วนตัว ปัญญา หรือญาณ ซึ่งเป็นตัววิปัสสนา ก็คือของมีคมสำหรับตัด หรือตัวการตัด เพราะว่าความเห็นแจ้ง ย่อมตัดความมืดบอดคืออวิชชา. (๑๕๖)
.
ตอนที่ ๓๘
หน้า ๑๕๗
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ในบาลีมัชฌิมนิกาย ได้มีการกล่าวถึงความบริสุทธิ์สะอาดของการปฏิบัติเป็นขั้น ๆ เป็นอย่าง ๆ ไปตามลำดับ จนครบ ๗ อย่าง ก็ถึงที่สุด คือการบรรลุมรรคผล. ในขั้นแห่งความบริสุทธิ์ ๗ อย่างนั้น ท่านก็ได้ยกเอาศีลเป็นข้อแรก เรียกว่า สีลวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งศีล. สีลวิสุทธิ ก็ส่งให้เกิด จิตตวิสุทธิ คือความหมดจดดีแห่งจิต. ความหมดจดแห่งจิต ก็ส่งให้เกิด ทิฏฐิวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งทิฏฐิหรือความเห็น. ความหมดจดแห่งทิฏฐิ ก็ส่งให้เกิด กังขาวิตรณวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งความรู้ที่จะข้ามความสงสัยเสียได้. ทีนี้ความหมดจดแห่งความรู้เป็นเครื่องข้ามความสงสัยนี้ก็ส่งให้เกิด มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งความเห็นแจ้งชัดว่าอะไรเป็นหนทาง อะไรไม่ใช่หนทาง. ความหมดจดในเรื่องความรู้ ว่าอะไรเป็นทางอะไรไม่ใช่ทางก็ส่งให้เกิดปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งความรู้ความเห็นในตัวการปฏิบัตินั้น. ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินี้ ก็ส่งให้เกิดญาณทัสสนวิสุทธิ อันเป็นขั้นสุดท้าย คืออริยมรรค ซึ่งเป็นคู่กับอริยผล. (๑๕๗)
.
ตอนที่ ๓๙
หน้า ๑๕๘-๑๕๙
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ขอให้ท่านทั้งหลายจำความหมายของคำว่า ศีล ๆ นี้ไว้อย่างสั้น ๆ ว่า คือความปรกติปราศจากโทษในทางกาย ทางวาจา. (๑๕๘)
ฉะนั้นเราอาจจะถือศีลเพียงตัวเดียว แล้วได้ศีลทั้งพระไตรปิฎก คือ ทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ก็มีทางที่จะทำได้ โดยการรักษาความปรกติ ไม่มีโทษเกิดขึ้นทางกายวาจานั่นเอง (๑๕๙)
.
ตอนที่ ๔๐
หน้า ๑๕๙
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
เมื่อมีความปรกติ คือความสงบหรือเหมาะสมในทางกาย วาจา ก็ย่อมจะเกิดความปรกติ หรือความเหมาะสมในทางจิต ที่เรียกว่า จิตตวิสุทธิ ความหมดจดทางจิตตามมา. (๑๕๙)
ขอสรุปใจความสั้น ๆ ของคำว่า สมาธินี้ ว่าได้แก่ ความที่มีจิตอยู่ในสภาพที่เหมาะสม ที่จะปฏิบัติงานทางจิต. คือถือเอาบทที่แสดงลักษณะของสมาธิว่า กมฺมนิโย ; ส่วนคำว่า สมาหิโต, ปริสุทฺโธ, ปริโยทาโต และบทอื่น ๆ นั้น ก็ยังไม่มีความหมายสำคัญเท่ากับบทว่า กมฺมนิโย คือจิตมีสภาพเหมาะสมสำหรับจะปฏิบัติงานทางจิต. (๑๕๙)
สมาธิ ไม่ได้หมายความว่าตัวแข็งทื่อ ไม่มีความรู้สึกเป็นก้อนหินก้อนดิน หรือว่าเข้าฌานซึมเซาไปในความสุขของฌานนั้น ก็ไม่ใช่. (๑๕๙)
แม้ที่สุดแต่เรามีความโปร่งสบาย จิตใจสดชื่นเป็นที่พอใจของตัวอยู่ ก็เรียกว่ากำลังมีคุณสมบัติของความเป็นสมาธิอยู่ และอาจเริ่มทำงานทางจิตหรือวิปัสสนาธุระได้. (๑๕๙)
.
ตอนที่ ๔๑
หน้า ๑๖๐
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูนณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ตัววิปัสสนาที่ ๑ เรียกว่าความหมดจดของทิฏฐิ หมายถึงความหมดจดจากความเห็นผิด ที่เราเห็นผิดกันอยู่ตามธรรมชาติธรรมดามาแต่เดิม หรือด้วยการถูกแวดล้อมเป็นพิเศษก็ตาม นับตั้งแต่ความเชื่องมงายไร้เหตุผลในเรื่องของไสยศาสตร์ ขึ้นมาถึงเรื่องความเข้าใจผิดในธรรมชาติเช่นร่างกาย จิตใจ วิญญาณเหล่านี้ ก็เข้าใจผิดเห็นเป็นของเที่ยง ของสุข หรือเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นพรหม หรือเป็นอะไรล้วนแต่ขลัง ๆ ศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งนั้น ; ไม่สามารถจะเห็นว่ามันเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือส่วนที่เป็นร่างกาย ; เป็นวิญญาณธาตุคือที่เป็นส่วนจิต, และเป็นอากาศธาตุ คือ ส่วนที่เป็นพื้นฐานทั่ว ๆ ไป, หรือไม่เห็นว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงนามและรูป หรือกายกับใจ แต่ไปเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน มีเจตภูตหรือวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์เข้า ๆ ออก ๆ อยู่กับร่างกาย, มองไม่เห็นว่าเป็นนามรูป ; มองไม่เห็นว่าเป็นขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ; ไม่เห็นว่าเป็นเพียงอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้เป็นต้น (๑๖๐)
.
ตอนที่ ๔๒
หน้า ๑๖๑-๑๖๒
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
กังขาวิตรณวิสุทธิ ก็คือพิจารณาลงไปถึงเหตุถึงปัจจัยของส่วนหนึ่ง ๆ ที่เราได้แยกออกดูแต่ทีแรกนั้นแล้วอีกชั้นหนึ่ง : ทิฏฐิวิสุทธิ เห็นคน ๆ หนึ่งนี้ เป็นเพียงกายกับใจ. ทีนี้ กังขาวิตรณวิสุทธินี้ มีหน้าที่จะแยกดู ว่ากายกับใจแต่ละอย่าง ๆ นี่มีเหตุ มีปัจจัยสร้างปรุงกันมาอย่างไร (๑๖๑-๑๖๒)
กังขาวิตรณวิสุทธิ ที่เรียกว่าความหมดจดแห่งความรู้ที่จะให้ข้ามสงสัยเสียได้นี้ จึงหมายถึงการเห็นแจ้งในพวกเหตุพวกปัจจัยของสิ่งทั้งปวงนั่นเอง. ความสงสัยว่าเรามีหรือไม่มี ตัวของเรามีหรือไม่มี ตัวเราตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด ตัวเราเคยเกิดมาแล้วอย่างไร ตัวเราจะเกิดอย่างไรต่อไปอีกดังนี้เป็นต้น เหล่านี้ท่านเรียกว่าความสงสัย. (๑๖๒)
การที่จะข้ามความสงสัยเสียได้ ก็ต้องโดยเหตุที่ได้ทราบว่ามันไม่มีตัวเรา มีแต่ธาตุ ขันธ์ อายตนะ และเหตุปัจจัยต่าง ๆ เช่น อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม อาหาร เป็นต้น ซึ่งปรุงแต่งขันธ์อายตนะเหล่านั้น. มันไม่มีตัวเรา แล้วเริ่มหมดความเข้าใจเขลา ๆ ว่าเรามีอยู่ เรามีมาแล้ว เราจะมีต่อไปนั้นเสียที. (๑๖๒)
.
ตอนที่ ๔๓
หน้า ๑๖๒-๑๖๔
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
เมื่อมาถึงขั้นข้ามความสงสัยเช่นนี้เสียได้แล้ว ก็สามารถทำให้เกิดมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ คือความหมดจดสะอาดแห่งความรู้ความเห็นว่าอะไรเป็นทางที่จะก้าวต่อไปอย่างถูกต้อง อะไรเป็นทางที่จะไม่ก้าวต่อไปได้คือเป็นทางผิด. อุปสรรคที่ทำให้ก้าวไปไม่ได้ในขั้นนี้ก็มีอยู่หลายอย่าง (๑๖๒-๑๖๓)
ในตอนที่จิตเป็นสมาธินั้น มักจะเกิดสิ่งต่าง ๆ ชนิดแปลกประหลาด และจะจับอกจับใจผู้ทำมากเหลือเกิน (๑๖๓)
ถ้าคนเข้าใจผิดว่า "นี่แล้วเป็นผลของวิปัสสนา" หรือยินดีว่า "นี่ก็เป็นของวิเศษสำหรับเราพอแล้ว" ดังนี้ก็ตาม ข้อนั้นย่อมกีดกั้นหนทางของวิปัสสนา (๑๖๓)
อีกตัวอย่างหนึ่ง เช่น ปีติอิ่มอกอิ่มใจเกิดขึ้นมากล้นท่วมทับจิตใจเสียเรื่อยตลอดเวลา จนไม่อาจพิจารณาอะไรได้อีกต่อไป ; หรือเกิดไปเข้าใจว่า นี่แล้วเป็นนิพพานในปัจจุบันทันตาเห็นแล้ว (๑๖๓)
แม้ญาณคือความเห็นแจ้งในนามรูปบางขณะ ที่ทำความพอใจให้ว่าตนเป็นผู้รู้เห็นอย่างวิเศษ แล้วทะนงตัวฟุ้งซ่านอยู่ด้วยความเห็นแจ้งเหล่านั้น นี่ก็ชื่อว่าเป็นการผิดทางหรือเป็นอุปสรรคของวิปัสสนา (๑๖๓)
ในบางกรณีจิตตกไปในทางรำงับมากเกินไป จนคอยแต่จะรำงับหยุดนิ่งเสียท่าเดียว น้อมไปในทางพิจาณาธรรมไม่สำเร็จ (๑๖๓)
อีกอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่าความเชื่อ. ความเชื่อที่เคยไม่แน่นแฟ้นมาแต่ก่อนก็ปรากฏเป็นของแน่นแฟ้นในพระรัตนตรัย หรือในสิ่งที่ตนอยากจะเชื่อ ; แม้ที่สุดแต่ความพอใจในธรรม ก็มีอาการรุนแรง ; แม้ลักษณะของความเฉยต่อสิ่งทั้งปวง ก็มีอาการรุนแรง ; ล้วนแต่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้หลงใหลหรือติดตัน ในสิ่งเหล่านั้นแล้วแต่กรณี. (๑๖๔)
.
ตอนที่ ๔๔
หน้า ๑๗๑-๑๗๓
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค
จากหนังสือคู่มือมนุษย์ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
วิปัสสนาทั้ง ๕ ตัวนี้ อาจสรุปแต่ใจความได้ว่า ตัวที่ ๑ คือ ทิฏฐิวิสุทธิ เป็นความหมดจดแห่งทิฏฐิความเห็น ไม่มีทิฏฐิเห็นผิดอีกต่อไป เพราะมารู้จักแยกคน แยกสัตว์ออกไปเป็นส่วน ๆ. วิปัสสนาตัวที่ ๒ เรียกว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัยเสียได้ เพราะมารู้จักเหตุ-รู้จักปัจจัย แห่งส่วนต่าง ๆ เหล่านั้นที่มาประกอบกันขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด. วิปัสสนาตัวที่ ๓ ชื่อ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ รู้แจ้งว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรเป็นทาง อะไรไม่ใช่ทาง และไม่ไปหลงของแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญทางจิต ที่แปลกประหลาดเหลือความคาดคะเนของคนธรรมดา. วิปัสสนาตัวที่ ๔ คือ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ได้แก่วิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ลำดับ ที่กล่าวมาแล้ว. ตัวนี้เป็นตัวการที่ดำเนินไปอย่างคมเฉียบเป็นปัญญาหรือญาณในขั้นที่แทงตลอดในภพทั้ง ๓ หรือสังขารทั้งปวง ซึ่งจะเป็นเหตุให้กิเลสเหลืออยู่ไม่ได้. ส่วนวิปัสสนาตัวที่ ๕ คือ อริยมรรคทั้ง ๔ มีโสดาปัตติมรรคเป็นต้น
จากคม , สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค หน้า ๑๗๒
ญาณทัสสนวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งญาณทัสสนะ ซึ่งได้แก่อริยมรรคญาณนั่นเอง เป็นตัวสุดท้ายของวิปัสสนา หรือผลของวิปัสสนา ได้แก่อริยมรรคญาณทั้ง ๔.
จากคม , สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค หน้า ๑๗๑
เมื่อเพิ่มรากฐานของวิปัสสนาทั้ง ๒ ขั้น คือ สีลวิสุทธิ กับ จิตตวิสุทธิ ข้างต้นเข้าด้วย ก็เป็น ๗ อันดับ.
จากคู่มือมนุษย์, สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค หน้า ๑๗๒-๑๗๓
.
ตอนที่ ๔๕
หน้า ๑๖๕-๑๗๑
เรื่อง : สมาธิ และวิปัสสนา ตามหลักวิชาในรูปเทคนิค จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ครั้นมีญาณทัสสนะในเรื่องทางผิด ทางถูก โดยสมบูรณ์เช่นนั้นแล้ว ญาณในขั้นต่อไปก็จำต้องดำเนินถูกทางเป็นธรรมดา และก้าวไปตามลำดับนับตั้งแต่เห็นความจริงในสังขารทั้งปวงชัดแจ้งที่สุด จนกระทั่งวางเฉยในสิ่งทั้งปวง : เรียกว่า ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ซึ่งแปลว่าความหมดจดแห่งความรู้ความเห็นในตัวทางแห่งการปฏิบัติ (๑๖๕)
อาจารย์ในชั้นหลังนี้ จำแนกลำดับญาณในปฏิปทาญาณทัสสนาวิสุทธิ เป็น ๙ ลำดับด้วยกัน และเรียกว่า วิปัสสนาญาณ ๙ (๑๖๕)
อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ แปลว่า ญาณ เป็นเครื่องตามกำหนดให้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมสลายไป หรือมักเรียกกันแต่สั้น ๆ ว่า อุทยญาณ (๑๖๕-๑๖๖)
ภังคานุปัสสนาญาณ แปลว่า ญาณ เป็นเครื่องตามกำหนดเห็นความพังทลาย หรือความดับ นี้เป็นวิปัสสนาญาณ ที่ ๒. เรียกสั้น ๆ ว่า ภังคญาณ. (๑๖๖)
ภยตุปัฏฐานญาณ แปลว่าความรู้แจ้งในสังขารปรากฏว่าเต็มไปด้วยภาวะที่น่ากลัว. เรียกสั้น ๆ ว่า ภยญาณ. จัดเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๓ (๑๖๖-๑๖๗)
อาทีนวานุปัสสนาญาณ แปลว่า ญาณเป็นเครื่องตามกำหนดให้เห็นโทษของสังขารทั้งปวง. เรียกสั้น ๆ ว่า อาทีนวญาณ. จัดเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๔. (๑๖๗)
นิพพิทานุปัสสนาญาณ แปลว่า ญาณเป็นเครื่องตามกำหนดด้วยความเบื่อหน่าย. เรียกสั้น ๆ ว่า นิพพิทาญาณ. นับเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๕. (๑๖๗)
มุญจิตุกัมยตาญาณ แปลว่า ญาณเป็นเหตุให้เกิดความปรารถนาในการพ้น. นับเป็นวิปัสสนาญาณที่ ๖. (๑๖๘)
ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ แปลว่า ญาณเป็นเครื่องกำหนดพิจารณาหาทางรอด. (๑๖๙)
สังขารุเปกขาญาณ ซึ่งแปลว่า ความรู้เป็นเหตุให้วางเฉยในสังขารทั้งปวง. (๑๗๐)
สังขารุเปกขาญาณนี้จัดเป็นวิปัสสนาญาณอันดับที่ ๘. เรียกสั้น ๆ ว่า อุเบกขาญาณ. (๑๗๑)
สัจจานุโลมิกญาณ แปลว่า ญาณที่พร้อมถึงที่สุดแล้ว ที่จะรู้อริยสัจจ์ ชนิดที่เป็นขั้นที่จะทำลายกิเลสสังโยชน์ให้หมดไปเป็นพระอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่งได้. นับเป็นวิปัสสนาญาณอันดับที่ ๙. เรียกสั้น ๆ ว่า อนุโลมญาณ. (๑๗๑)
.
ตอนที่ ๔๖
หน้า ๑๗๙-๑๘๒
เรื่อง : อริยบุคคล กับ การละกิเลส จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
โลกียภูมิ ก็คือ ภูมิของจิตที่ต่ำอยู่ในขนาดที่สิ่งต่าง ๆ ในโลกมีอิทธิพลเหนือจิตได้. โลกียภูมินั้น ท่านแบ่งโดยสรุปที่สุดออกเป็น ๓ พวกด้วยกัน กล่าวคือ กามาวจรภูมิ หมายถึงภูมิของจิตที่ยังต่ำจนพอใจในกามทั้งปวง นี้เป็นภูมิแรก. ภูมิถัดไปคือ รูปาวจรภูมิ ได้แก่ฐานะของจิตที่ไม่ต่ำจนถึงกับพอใจในกาม แต่ว่ายังพอใจในความสุขที่เกิดมาแต่สมาบัติ ที่มีอารมณ์เป็นรูปธรรมสิ่งใด ๆ ก็ได้ ที่ไม่เกี่ยวกับกาม. ภูมิที่ถัดไปอีก คือ อรูปาวจรภูมิ ได้แก่สถานะของจิตที่ยังพอใจในความสุขหรือความสงบที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีกชั้นหนึ่ง ได้แก่ความสุขหรือความสงบอันเกิดแต่สมาบัติ ที่มีสิ่งที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ (๑๗๙-๑๘๐)
ภูมิหมายถึงสถานะหรือระดับแห่งจิตใจของสัตว์นั้น ๆ, ส่วน 'ภพ' หมายถึง โลกเป็นที่อยู่ที่เหมาะสมกับสัตว์ที่มีภูมิแห่งจิตใจเช่นนั้น ๆ. ฉะนั้น อาจจะจับคู่กันได้คือ กามาวจรภูมิ คู่กันกับ กามาวจรภพ, รูปาวจรภูมิ คู่กันกับ รูปาวจรภพ และ อรูปาวจรภูมิ คู่กันกับ อรูปาวจรภพ (๑๘๐)
ภูมิทั้ง ๓ นี้ เรียกว่า โลกียภูมิ เพราะว่าล้วนแต่ยังอยู่ในการข้องเกี่ยวกับโลก หรือยังตกอยู่ภายใต้วิสัยที่โลกจะครอบงำได้ตามชั้นตามลำดับ จนนับเป็นวิสัยโลกทั้งนั้น : สัตว์ที่อยู่ในกามภพ ก็ถูกครอบงำด้วยรสของกาม มีจิตใจต่ำจนติดพันอยู่ในกาม. สัตว์ที่อยู่ในรูปภพ ก็มีจิตใจติดพันอยู่ในความสุขที่เกิดมาแต่ความสงบชนิดที่ยังหยาบ คือชนิดที่ได้จากสมาบัติอันมีรูปธรรมเป็นอารมณ์. ส่วน สัตว์ที่อยู่ในอรูปภพ ก็มีจิตที่พัวพันอยู่ในความสุขหรือความสงบที่ประณีตขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง คือความสงบอันเกิดจากสมาบัติที่มีสิ่งที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์. (๑๘๐-๑๘๑)
คนเราคนหนึ่ง ๆ ในโลกนี้ อาจจะมีจิตตกอยู่ใน ๓ ภูมินี้ ภูมิใดภูมิหนึ่ง ในเวลาใดเวลาหนึ่งได้ด้วยกันทั้งนั้น (๑๘๑)
เมื่อใดจิตของผู้ใดตั้งอยู่ในภูมิใด เมื่อนั้นโลกที่เขากำลังอาศัยอยู่นั้น ก็จะกลายเป็นภพชื่อนั้นไปทันที (๑๘๑)
สัตว์ที่ยังอยู่ในภูมิทั้ง ๓ ภูมินี้ ยังถอนตัวตนไม่ได้ (๑๘๑)
ส่วนโลกุตตรภูมินั้นตรงกันข้าม และไม่ได้เอาลักษณะของจิตทั้ง ๓ อย่าง ที่กล่าวมาแล้วเป็นหลักเกณฑ์ แต่เอาความที่มีจิตอยู่สูงเหนือวิสัยโลก มองเห็นโลกโดยความเป็นของไม่มีตัวตน มีจิตอยู่เหนือความต้องการสิ่งใด ๆ ในโลก หรือในภพทั้งปวงดังกล่าวแล้ว. (๑๘๒)
ตามหลักของพุทธศาสนาแบ่งโลกุตตรภูมิออกเป็นมรรคผล ๔ ชั้นด้วยกัน ซึ่งเป็นคำที่ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้ยินกันทั่ว ๆ ไปว่า ชั้นพระโสดาบัน ชั้นพระสกิทาคามี ชั้นพระอนาคามี และชั้นพระอรหันต์. (๑๘๒)
.
ตอนที่ ๔๗
หน้า ๑๘๓
เรื่อง : อริยบุคคล กับ การละกิเลส จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
คำว่า โลกุตตระ หรืออยู่เหนือโลกนี้ หมายถึงจิตใจ มิได้หมายถึงร่างกาย. ร่างกายนั้นจะอยู่ในโลกไหนภพไหน ที่สมควรกันก็ได้ เช่นอยู่ในโลกมนุษย์นี้ก็ได้ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ หรือจะเกิดในสวรรค์ชั้นเทวโลก พรหมโลกก็ได้, เพราะว่าโลกเหล่านี้เป็นโลกที่พอสมควร สำหรับเป็นที่ตั้งอาศัยของสัตว์ที่มีจิตอันตั้งอยู่ในโลกุตตรภูมิ. ส่วนโลกที่ต่ำไปกว่านั้น เช่น กำเนิดเดรัจฉานหรือนรกเหล่านี้ ไม่ได้เป็นภพที่สมควร. (๑๘๓)
ถ้าจิตใจอยู่เหนือการครอบงำของโลก ซึ่งหมายถึงการอยู่เหนือความครอบงำของกิเลสตัณหา อันเป็นเหตุให้เกี่ยวข้องในโลกทุก ๆ โลก ทุก ๆ ภพนั่นเอง ก็เรียกว่าผู้นั้นตั้งอยู่ในโลกุตตรภูมิตามชั้นตามส่วน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๔ ชั้นดังกล่าวแล้ว. (๑๘๓)
.
ตอนที่ ๔๘
หน้า ๑๔๘-๑๙๑
เรื่อง : อริยบุคคล กับ การละกิเลส จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ในสังโยชน์หรือกิเลสชั้นละเอียดที่ผูกพันเราทั้ง ๑๐ ประการนี้ ประการแรกที่สุดเรียกว่า สักกายทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นว่ากายเป็นของตน ; ได้แก่ ความเข้าใจผิด สำคัญผิด ว่าเป็นตัวเป็นตน ว่าร่างกายนี้เป็นของตน (๑๘๔)
สังโยชน์หรือกิเลสชั้นละเอียดข้อที่ ๒ เรียกว่า วิจิกิจฉา. วิจิกิจฉาในที่นี้ หมายถึงความสงสัย, คือความรู้มีไม่เพียงพอ เป็นเหตุให้สงสัยลังเล ไม่กล้าหาญ ไม่แน่ใจ. ความลังเลสงสัยในที่นี้ ส่วนใหญ่ที่สุดประสงค์เอาความสงสัยลังเลในเรื่องการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ หรือถ้าลดลงมาก็คือ ความสงสัยในความดีความงามความยุติธรรมอะไรต่าง ๆ. (๑๘๕-๑๘๖)
ความลังเลนี้ยังขยายไปถึงลังเลในศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี หรือในวิชาการต่าง ๆ ที่ตนถือ หรือตนรับปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา. อย่างในพุทธศาสนาเรา ก็ลังเลในพระพุทธเจ้า ลังเลในพระธรรม ลังเลในพระสงฆ์.
ลังเลในพระพุทธเจ้า คือลังเลว่าจะไม่เป็นบุคคลที่ตรัสรู้ถูกต้องจริง หรือเป็นบุคคลที่หลุดพ้นจากความทุกข์จริง ; ลังเลในพระธรรม คือลังเลในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หรือในการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ว่าจะไม่อาจนำไปสู่ความดับทุกข์จริงหรือจะไม่จริงตามนั้น ; ลังใลในพระสงฆ์ คือลังเลในผู้ปฏิบัติว่าผู้ปฏิบัติพ้นทุกข์นั้นคงไม่ปฏิบัติได้จริง หรือไม่อาจมีบุคคลชนิดนั้นในโลกนี้ เพราะเป็นสิ่งเหลือวิสัยเป็นต้น. ความลังเลที่อาจถือได้ว่าครอบคลุมความลังเลทั้งปวง ก็คือความลังเลในธรรม ได้แก่ความลังเลในเรื่องความพ้นทุกข์ ลังเลในความดี ลังเลในแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ แม้ที่สุดวิชาความรู้ที่ตนมีอยู่หรือกำลังใช้ปฏิบัติอยู่ก็มีความลังเล. (๑๘๖-๑๘๗)
มูลเหตุของความลังเลก็คือความไม่รู้ หรืออวิชชา ซึ่งก่อให้เกิดกิเลสตัณหาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นอีกทาง แล้วกิเลสตัณหานั้นก็คอยดึงกระชากไปทางนั้นอยู่เรื่อย จิตจึงเคยชินแต่ในการไหลไปทางต่ำ
คนเราที่จมอยู่ในโลกหรือในกามก็เหมือนกัน เคยชินกับกามเหมือนปลาอยู่ในน้ำ เมื่อพูดถึงเรื่องอยู่เหนือกาม เหนือโลก ก็เข้าใจไม่ได้ ส่วนใดที่เข้าใจได้บ้างก็ลังเล. (๑๘๗)
ทีนี้มาถึงสังโยชน์หรือกิเลสชั้นละเอียด ข้อที่ ๓ เรียกเป็นบาลีว่าสีลัพพตปรามาส แปลว่าการจับฉวยศีลและวัตร ผิดความมุ่งหมายที่ถูกต้อง.
สีลัพพตปรามาส ก็คือการติดแน่นยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเคยประพฤติปฏิบัติมาด้วยความเข้าใจผิด ในสิ่งที่ตนเห็นว่าดีที่สุดหรือถูกต้องที่สุด. ความเข้าใจผิดในการปฏิบัติเช่นนี้ ส่วนมากที่สุดเป็นเรื่องเกี่ยวกับลัทธิศาสนา แต่อาจกินความรวมไปถึงเรื่องที่ไม่ใช่ศาสนาก็ได้ แล้วยึดมั่นไว้ด้วยความเข้าใจผิด คงปฏิบัติสิ่งนั้น ๆ อยู่จนบัดนี้ด้วยความเข้าใจผิด (๑๘๘)
แม้การปฏิบัติในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าโดยตรง ถ้าทำไปด้วยความเข้าใจผิด ยึดมั่นเป็นเรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วก็เป็นเรื่องสีลัพพตปรามาสด้วยกันทั้งดุ้น (๑๘๙)
เมื่อรวมกิเลสหรือสังโยชน์ ๓ อย่างในตอนแรก คือสักกายทิฏฐิที่กล่าวแล้ว วิจิกิจฉาที่กล่าวแล้ว และสีลัพพตปรามาสที่กำลังกล่าวอยู่นี้เข้าด้วยกัน ถ้าละได้ขาดไปจริง ๆ ก็เรียกว่าตั้งอยู่ในโลกุตตรภูมิอันดับที่หนึ่ง คือเป็นพระโสดาบัน. (๑๙๑)
.
ตอนที่ ๔๙
หน้า ๑๙๒-๑๙๔
เรื่อง : อริยบุคคล กับ การละกิเลส จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
อันดับถัดไปเป็นโลกุตตรภูมิอันดับที่ ๒ นั้น ท่านหมายถึงบุคคลที่ละสังโยชน์เครื่องผูกผัน ๓ อย่างนั้นสิ้นไปแล้ว และยังสามารถทำโลภะ โทสะ โมหะ บางส่วนให้จางไปได้อีกระดับหนึ่งด้วย จนถึงกับมีจิตใจสูง มีความผูกพันอาลัยอยู่ในกามโลกหรือกามภพแต่เล็กน้อยที่สุด ถึงกับว่ายังจะเวียนมาสู่โลกนี้เพียงหนเดียวครั้งเดียว ซึ่งเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่า พระสกิทาคามี
อันดับต่อไป เป็นอันดับที่ ๓ เรียกว่า พระอนาคามี พระอนาคามีนั้น นอกจากจะละกิเลสขั้นต้น ๆ ได้อย่างพระสกิทาคามีแล้ว ยังละกิเลสหรือสังโยชน์ข้อที่ ๔ ที่ ๕ ได้อีกด้วย. สังโยชน์ข้อที่ ๔ เรียกว่า กามราคะ ข้อที่ ๕ เรียกว่า ปฏิฆะ. กามราคะนั้น หมายถึงความย้อมจิตอยู่ในกาม. (๑๙๒)
ส่วนกิเลสที่เรียกว่า ปฏิฆะ นั้น หมายถึงความรู้สึกโกรธ หรือความขัดแค้นใจ. พระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามีล้างออกเป็นส่วนมาก เหลืออยู่เป็นเพียงความหงุดหงิด หรือความขัดแค้นอยู่ภายใน (๑๙๓)
กิเลสหรือสังโยชน์ทั้ง ๕ ข้อที่กล่าวมาแล้วนี้ ท่านจัดไว้ว่าเป็นภาคแรกหรือภาคต่ำ
พระอริยเจ้าประเภทที่ ๓ ละได้หมด เพราะไม่มีกามราคะเหลืออยู่เลย พระอริยเจ้าประเภทนี้จึงไม่เวียนมาสู่กามภพอีกต่อไป เป็นเหตุให้ได้นามว่า อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มีการกลับมา, มีแต่จะรุดหน้าสูง-รุดหน้าสูงขึ้นไปเป็นพระอรหันต์ และนิพพานในภพอื่นที่ไม่ข้องเกี่ยวกับกาม, ได้แก่รูปาวจรภพอันดับปลาย ๆ. ส่วนกิเลสที่ยังเหลืออีก ๕ อย่างข้างปลายนั้น พระอริยบุคคลประเภทที่ ๔ คือพระอรหันต์จะละได้หมด. (๑๙๔)
.
ตอนที่ ๕๐
หน้า ๑๙๔-๒๐๒
เรื่อง : อริยบุคคล กับ การละกิเลส จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
สำหรับ รูปราคะ อันเป็นสังโยชน์ข้อที่ ๖ นั้น หมายถึงความรักความพอใจ ในความสุขที่เกิดมาแต่ในรูปสมาบัติ เหมือนที่เป็นแก่สัตว์ที่ตั้งอยู๋ในรูปาวจรภูมิเป็นประจำ. พระอริยเจ้าชั้นต้น ๆ ๓ จำพวก ไม่สามารถจะละความสุขความพอใจที่เกิดแต่รูปฌาน หรือรูปสมาบัติได้. (๑๙๔-๑๙๕)
สังโยชน์หรือกิเลสอันละเอียดข้อที่ ๗ ที่เรียกว่า อรูปราคะ นั้น หมายถึงความพอใจติดใจ ในความสุขที่เกิดมาแต่อรูปสมาบัติ. เรื่องต่าง ๆ คล้าย ๆ กับข้อที่ ๖ ผิดกันแต่ว่าชั้นนี้ละเอียดประณีตสุขุมลงไปอีกชั้นหนึ่ง. (๑๙๖)
ถัดไปถึงกิเลสชั้นละเอียดหรือเครื่องผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในโลกเป็นข้อที่ ๘. ข้อนี้เรียกว่า มานะ
มานะที่เป็นชื่อของกิเลสในที่นี้นั้น หมายถึง ความสำคัญในทางเป็นชั้นเป็นเชิง คือถ้ารู้สึกว่าตนเลวกว่า ก็น้อยใจ รู้สึกว่าตนดีกว่า ก็ทะนงใจ รู้สึกว่าเสมอ ๆ กัน ก็นึกไปในทางที่จะแข่งขันหรือทำตนให้ก้าวหน้ากว่า
คำว่ามานะในที่นี้หมายถึงความรู้สึกในชั้น สำหรับให้กำหนดรู้ความเป็นชั้น ๆ ว่ามีอยู่อย่างไรทั่วไป ไม่หมายถึงมานะทิฏฐิด้วยความเย่อหยิ่งจองหองอย่างเดียวนั้นมันแคบไป น้อยไป
ถ้าความยึดถือว่าเป็นตัวตนมีอยู่แล้ว ความยึดถือว่าตนมีลักษณะชั้นเชิงคุณสมบัติหรือสิ่งประกอบอื่น ๆ เป็นอย่างไร อันจะเป็นเครื่องวัดกันได้นั้นย่อมจะมีขึ้นเป็นธรรมดา. ทั้งนี้ก็เนื่องมาแต่การยึดถือด้วยอุปาทาน ว่ามีตัวมีตน มีดีมีชั่วตามที่สมมุติกันในโลกนั่นเอง (๑๙๘-๑๙๙)
ส่วนกิเลสชั้นละเอียดหรือสังโยชน์ข้อที่ ๙ เรียกว่า อุทธัจจะ อุทธัจจะนี้ แปลว่าความกระเพื่อม ความฟุ้งหรือความไม่สงบอยู่ได้ โดยใจความได้แก่ความรู้สึกที่ฟุ้ง หรือกระพือขึ้นในเมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นที่ตั้งแห่งความสนใจผ่านมา.
ถ้าเป็นสิ่งที่ตรงกับกิเลสหรือตัณหาแล้ว ก็เหลือที่จะระงับได้ ย่อมมีความทึ่งหรือสนใจจนเนื้อเต้น. ถ้าเป็นเรื่องที่ถูกใจ ก็ดีใจจนถึงกับทำให้จิตหวั่นไหวลืมตัว ถ้าเป็นเรื่องที่เศร้าใจ ก็ทำจิตให้ทรุดโทรม แฟบเหี่ยวจนถึงหมดความรู้สึกสนุก. (๑๙๙-๒๐๐)
สังโยชน์หรือกิเลสข้อที่ ๑๐ อันเป็นข้อสุดท้ายนั้น ท่านเรียกว่า อวิชชา.
คำว่า อวิชชา นี้ แปลว่า ความไม่รู้หรือภาวะที่ปราศจากความรู้.
ความรู้ที่ประสงค์ในที่นี้ หมายถึงความรู้จริง คือไม่ใช่รู้ผิดหรือรู้เท็จ (๒๐๑)
ความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับสนิทไม่เหลือของความทุกข์ และวิธีที่จะทำให้ดับสนิทไม่เหลือเหล่านี้ เป็นความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ ถ้าใครมีความรู้แจ้งจริง ๆ แล้ว เรียกว่าคนนั้นไม่มีอวิชชา
ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็มีขอบเขตอยู่แต่ในวงที่ว่าควรรู้. ในบรรดาสิ่งที่ควรรู้แล้วพระองค์ทรงรู้ทั้งหมด. คำว่า สัพพัญญู รู้ทั้งหมด ก็รู้แต่ในขอบเขตที่ควรรู้ ใช่ว่าจะครอบคลุมไปถึงที่ไม่ต้องรู้หรือไม่เกี่ยวข้องกันเลยหามิได้. (๒๐๒)
.
ตอนที่ ๕๑
หน้า ๒๐๒-๒๐๓
เรื่อง : อริยบุคคล กับ การละกิเลส จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
อวิชชา เป็นความไม่รู้ หรือรู้ผิด ทำให้หลง สำคัญผิดในสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นความสุขไป จนถึงกับพอใจเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ ; และสำคัญผิดในเหตุของความทุกข์ จนไปค้นหาเหตุผิดไป หรือเกิดความโง่เขลาใหม่ ๆ ขึ้นมา เช่นไปโทษผี โทษสาง โทษเทวดา โทษอะไรต่าง ๆ ว่าเป็นเหตุให้เกิดเจ็บไข้ (๒๐๒-๒๐๓)
สำหรับ อวิชชาในเรื่องความดับสนิทของทุกข์ไม่มีเหลือ นั้น คือไม่รู้เรื่องการดับกิเลสตัณหา ซึ่งเป็นต้นเหตุของทุกข์โดยตรง ไปหลงเอาความสงบสุขชนิดที่เกิดมาจากสมาธิหรือฌานสมาบัติ ว่าเป็นความดับทุกข์สิ้นเชิงคือเป็นนิพพานไป
และยิ่งไปกว่านั้น ยังอาจถึงกับยึดเอากามารมณ์มาเป็นเครื่องดับทุกข์
สำหรับ อวิชชาความไม่รู้ในหนทางที่จะให้ได้มาซึ่งความดับทุกข์นั้นก็เหมือนกัน : หนทางที่ถูกคืออริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น จนถึงสัมมาสมาธิเป็นที่สุด. แต่คนที่มีอวิชชาเขาไม่อาจจะมองเห็นอย่างนี้ ย่อมทำไปตามอำนาจกิเลสตัณหา คือตามความต้องการของตน หรือมีความเชื่อในวัตถุปัจจัยภายนอก พึ่งผีพึ่งเทวดาไปตามประสาของคนที่ไม่มีศาสนา. (๒๐๓)
.
ตอนที่ ๕๒
หน้า ๒๐๕-๒๐๗
เรื่อง : อริยบุคคล กับ การละกิเลส จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
พระอริยเจ้าทั้ง ๔ ประเภท คือพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นี้ จัดรวมเป็นผู้ตั้งอยู่ในโลกุตตรภูมิ คืออยู่เหนือโลก. ถ้ามองกันอีกทางหนึ่ง คือมองกันที่ตัวธรรมที่ท่านได้บรรลุ เขาเรียกว่า โลกุตตรธรรม โลกุตตรธรรมนั้นแยกออกเป็น ๙ อย่าง คือ ภาวะของพระโสดาบันในขณะที่ตัดกิเลสนั้น เรียกว่า โสดาปัตติมรรค อย่างหนึ่ง เมื่อตัดกิเลสแล้ว เรียกว่า โสดาปัตติผล นั้นอีกอย่างหนึ่ง จึงได้เป็นคู่ ๆ คือโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล, สิกทาคามิมรรค สกิทาคามิผล, อนาคามิมรรค อนาคามิผล, อรหัตตมรรค อรหัตตผล ; นี้เป็น ๘ คือ ๔ คู่ ; เติม นิพพาน เข้ามาอีกอย่างหนึ่งจึงเป็น ๙ อย่าง นี้เรียกว่า โลกุตตรธรรม คือสิ่งซึ่งเป็นโลกุตตระ.
ส่วนสิ่งที่เรียกว่านิพพาน ๆ นั้น ถ้าในกรณีโลกุตตรธรรมนี้ ก็หมายถึงสภาพอย่างหนึ่ง ซึ่งถือว่าไม่เหมือนกับสิ่งใด ๆ หมด คือไม่เหมือนกับโลก ผิดจากสิ่งทุกสิ่งในโลกโดยประการทั้งปวง. เมื่อโลกทั้งหลายหรือสิ่งทั้งหลายที่เป็นวิสัยโลกมีภาวะเป็นอย่างไร ยกเลิกภาวะและวิสัยเหล่านั้นทั้งหมดเสีย ก็จะเหลือสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน คือสภาพตรงกันข้ามจากโลกโดยประการทั้งปวง : เป็นธรรมหรือเป็นสิ่งที่ทรงอยู่ในตัวเองชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งใดเป็นปัจจัยปรุงแต่ง, และไม่ปรุงแต่งสิ่งใด ; เป็นที่ดับของสังขารทั้งปวง. (๒๐๕-๒๐๖)
แต่ถ้าจะกล่าวโดยผล นิพพาน หมายถึงภาวะที่ปราศจากความเผาลน ปราศจากการตบตี ทิ่มแทง ร้อยรัด ครอบงำ พัวพนอะไรทั้งหมดเหล่านี้ เพราะว่ากิเลสซึ่งเป็นเหตุให้จิตถูกเผาลนตบตีทิ่มแทงร้อยรัดพัวพันนั้น จะมีในนิพพานนี้ไม่ได้.
นิพพาน มีอยู่ในฐานะเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง แต่มันไม่มีขอบเขต และไม่ต้องการอาศัยกินเนื้อที่ ; ไม่ขึ้นอยู่กับการล่วงไปของเวลา หรือไม่เกี่ยวข้องกับกาลเวลา แต่อยู่ในลักษณะเป็นตัวของตัวเองชนิดหนึ่ง ไม่เหมือนอะไร ๆ ในโลก แต่เป็นที่ดับของโลก.
นี้เป็นการพูดอย่างอุปมา ไม่ใช่ตัวจริง เพราะมันไม่เหมือนกับบ้านเมืองหรืออะไรอย่างนัน ; แต่พูดในฐานะเป็นอุปมาของพระนิพพาน ที่ท่านให้นามว่าเป็น แดนที่ดับของสังขารทั้งปวง จึงเป็น ธรรมที่เกษมจากโยคะ. คำว่า โยคะ หมายความว่า เครื่องร้อยรัดพัวพันหุ้มห่อ ; เกษมจากโยคะ หมายความว่าปลอดโปร่งว่างเงียบจากโยคะทั้งปวง จึงไม่มีการเผาลน เสียดสี ทิ่มแทง ร้อยรัด พัวพัน หุ้มห่อ หรืออะไรอื่น ๆ ทั้งสิ้น. (๒๐๖-๒๐๗)
.
ตอนที่ ๕๓
หน้า ๒๑๒-๒๑๗
เรื่อง : พุทธศาสนากับคนทั่วไป จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ศาสนาทั้งหมดของโลกทุก ๆ ศาสนา นับตั้งแต่ชั้นต่ำที่สุดจนถึงระดับที่สูงที่สุดก็ตาม ถือกันว่ามีมูลดั้งเดิมร่วมกันมาจากความกลัว (๒๑๒)
สำหรับพระพุทธศาสนา ก็อาจกล่าวได้ว่ามีมูลมาจากความกลัวเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ความกลัวอย่างโง่เขลา เช่นกลัวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กลัวผี กลัวเทวดา
แต่หมายถึงกลัวสิ่งที่ควรกลัวยิ่งไปกว่านั้น คือความบีบคั้นแผดเผาหุ้มห่อของราคะ โทสะ โมหะ ตลอดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดมาจากอิทธิพลของความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
พุทธศาสนา แปลว่า ศาสนาของผู้รู้, เพราะ พุทธะ แปลว่า ผู้รู้ หรือผู้ตื่น คือไม่หลับ เป็นผู้เบิกบานคือไม่หุบหรือไม่มืด แต่รู้ความจริงของสิ่งทั้งปวงว่าอะไรเป็นอะไร จึงสามารถปฏิบัติถูกต่อสิ่งทั้งปวง ไม่เปิดโอกาสให้สิ่งทั้งปวงเกิดเป็นปัญหา หรือเป็นที่ตั้งแห่งความหลงใหลยึดถือ จนกระทั่งทำให้เกิดความทุกข์แก่ผู้ที่เข้าไปยึดถืออีกต่อไป ; เพราะฉะนั้น พุทธศาสนาจึงเป็นศาสนาที่อาศัยสติปัญญา หรืออาศัยวิชาความรู้โดยเฉพาะ เพื่อเป็นครื่องทำลายความทุกข์ หรือต้นเหตุของความทุกข์. (๒๑๕)
การที่จะทำพิธีรีตองเพื่อบูชาบวงสรวงอ้อนวอนนั้น ไม่ใช่พุทธศาสนา คือไม่ถูกรับเข้ามาในพระพุทธศาสนา กลายเป็นสิ่งที่น่าขบขันหัวเราะ และถือเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้. พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการกระทำเช่นนั้นโดยสิ้นเชิง. การบูชาอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การทำพิธีรดน้ำ อาบน้ำ สระเกล้า ดำหัวเหล่านี้ ล้วนแต่ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่อาจจะเป็นที่พึ่งได้. (๒๑๖)
เราไม่หวังพึ่งปัจจัยภายนอก เช่น เทวดาบนสวรรค์ หรืออำนาจดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นต้น แต่เราจะกระทำเอาด้วยสติปัญญา ความสามารถของเราเอง.
พุทธศาสนามีวิธีแต่ที่จะใช้ปัญญาให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรให้ถูกต้องตามที่เป็นจริง แล้วปฏิบัติต่อสิ่งนั้น ๆ ให้ถูกต้องตามกฎที่แท้จริงของสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น. (๒๑๗)
.
ตอนที่ ๕๔
หน้า ๒๑๙-๒๒๒
เรื่อง : พุทธศาสนากับคนทั่วไป จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
ข้อความที่คนชั้นหลังเพิ่มเติมปนเปเข้าไปตามความเห็นว่าจำเป็นในยุคนั้น ๆ เพื่อจะช่วยให้คนมีศรัทธามากขึ้น หรือกลัวบาปรักบุญมากขึ้น และมากขึ้น เกินขอบเขตจนกระทั่งเกิดเมาบุญอย่างนี้ก็มีมาก (๒๑๙)
แม้แต่พิธีรีตองต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้น เกี่ยวเนื่องกันกับพระพุทธศาสนาเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ถูกนับเข้าเป็นพุทธศาสนาไปด้วย. พิธีรีตองต่าง ๆ ก็เกิดเพิ่มขึ้นอย่างที่เรียกว่าน่าสมเพช เช่นการจัดสำรับคาวหวานทำนองเซ่นวิญญาณพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าถวายข้าวพระอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จะมีไม่ได้ในหลักของพุทธศาสนา. (๒๑๙)
"พุทธศาสนา" โดยทำนองนี้เกิดขึ้นใหม่ ๆ เกิดเป็นพุทธศาสนาแบบใหม่ ๆ อย่างนี้มีมากมาย แทบจะทั่วไปทุกแห่ง. ธรรมะหรือของจริงที่เคยมีมาแต่ก่อนอย่างไรนั้น ถูกหุ้มห่อโดยพิธีรีตองจนมืดมิดหมดสิ้นไป เกิดเป็นสิ่งที่มีความมุ่งหมายอย่างอื่นไปใหม่ (๒๒๑)
ยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งเช่นเรื่องกฐิน ; ของเดิมไม่มีความมุ่งหมายและวิธีการอย่างที่คนสมัยนี้ทำกันอยู่. กฐินนั้นพระพุทธองค์ทรงมีความมุ่งหมายจะให้พระภิกษุทำจีวรใช้เองเป็นด้วยกันทุกรูป และได้พร้อมเพรียงกันทำจีวรใช้เองด้วยมือของตัวเองในเวลาอันรวดเร็ว. (๒๒๑)
พุทธศาสนา "เนื้องอก" ทำนองนี้ มีขึ้นใหม่ ๆ มากมายหลายสิบหลายร้อยอย่าง โดยไม่ต้องระบุชื่อ เพราะมากจนระบุไม่ไหว แต่อาตมาอยากจะให้ชื่อว่าพุทธศาสนาเนื้องอก คือเป็นเนื้อร้ายชนิดหนึ่งซึ่งงอกขึ้น ๆ แต่ก็ยังได้ชื่อว่าพุทธศาสนาอยู่นั่นเอง เป็นการงอกออกมาปิดบังห่อหุ้มเนื้อดีหรือแก่นแท้ของพุทธศาสนาให้ค่อย ๆ ลับเลือนไป (๒๒๒)
.
ตอนที่ ๕๕
หน้า ๒๒๓-๒๒๗
เรื่อง : พุทธศาสนากับคนทั่วไป จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
แม้ว่าพุทธศาสนาตัวแท้ หรือคำสอนที่เรียกได้ว่าเป็นของเดิม ๆ ที่เราสงเคราะห์เรียกกันว่าพระไตรปิฎกนี้ ก็ยังมีหลายแง่หลายมุม ที่จะทำให้เกิดการจับฉวยเอาไม่ถูกใจความแท้ของพุทธศาสนาก็ได้. (๒๒๕-๒๒๖)
เช่นถ้ามองดูด้วยสายตาของบุคคลที่เป็นนักศีลธรรม สนใจแต่ในด้านศีลธรรม หรือมีความรู้แต่ในเรื่องศีลธรรม ก็จะเห็นว่าพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งศีลธรรม (Morals) ล้วน คือเต็มไปด้วยบทบัญญัติที่เป็นศีลธรรมที่ดีงาม (๒๒๔)
ทีนี้ พุทธศาสนาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งสูงขึ้นไปในฐานะที่เป็นสัจจธรรม (Truth) คือกล่าวถึงความจริงที่ลึกซึ้งที่เร้นลับ นอกเหนือไปกว่าที่คนธรรมดาจะเห็นได้ ส่วนนี้ก็ได้แก่ความรู้เรื่องสุญญตา เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเรื่องการเปิดเผยขึ้นว่า ทุกข์เป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิทของความทุกข์เป็นอย่างไร และวิธีปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์เป็นอย่างไร (๒๒๔)
ที่นี้อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศาสนา (Religion) คือส่วนที่เป็นระเบียบปฏิบัติได้แก่ศีล สมาธิ ปัญญา กระทั่งผลที่เกิดขึ้นคือ วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ซึ่งเมื่อบุคคลปฏิบัติแล้วจะหลุดพ้นไปจากทุกข์ได้ จัดเป็นตัวการปฏิบัติ (๒๒๔-๒๒๕)
และถ้าจะมองไปอีกทางหนึ่ง พุทธศาสนายังมีความรู้ซึ่งอยู่ ในฐานะที่จัดเป็นปรัชญาและวิทยาศาสตร์ (๒๒๕)
ความรู้อันลึกซึ้งเช่นเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้นนั้น ไม่ต้องสงสัยย่อมเป็นปรัชญาสำหรับผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรม, แต่จะกลายเป็นวิทยาศาสตร์ (Sciene) ไปทันทีสำหรับผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว. แม้เรื่องอย่างเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเรื่องสุญญตานี้ก็เหมือนกัน อย่างดีที่สุดจะเป็นได้ก็เป็นเพียงปรัชญาสำหรับคำนึงคำนวณของคนทั่วไป ไม่อาจจะเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้. แต่ถ้าสำหรับพระอรหันต์แล้ว เรื่องเหล่านี้กลายเป็นวิทยาศาสตร์ไปทันที เพราะท่านได้เห็นแจ้งประจักษ์แล้วด้วยใจของท่านเอง ไม่ต้องคำนึงคำนวณตามเหตุผล (๒๒๕-๒๒๖)
แต่อย่างไรก็ตาม อาตมาอยากจะขอยืนยันว่า เหลี่ยมซึ่งเราจะต้องสนใจที่สุดนั้น ก็คือเหลี่ยมแห่งพุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศาสนา (Religion) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง. พุทธศาสนาในฐานะที่เป็นศาสนานั้น หมายถึงวิธีปฏิบัติโดยรวบรัด เพื่อให้รู้ความจริงว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไร จนถอนความยึดถือหลงใหลต่าง ๆ ออกมาเสียจากสิ่งทั้งปวงได้. การประพฤติกระทำในลักษณะเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็น ตัวศาสนาแท้ (๒๒๗)
.
ตอนที่ ๕๖
หน้า ๒๒๙-๒๓๐
เรื่อง : พุทธศาสนากับคนทั่วไป จากหนังสือคู่มือมนุษย์ ฉบับสมบูรณ์
ศัพท์ธรรม ค้นไว ใช้เลย
http://bit.ly/2QtcWAv
การที่เราเข้าถึงตัวแท้ของพุทธศาสนา จนถึงกับนำมาใช้เป็นศิลปะแห่งการครองชีวิตให้ได้นั้น มันมีแง่ดีอยู่ว่า เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความบันเทิงเริงรื่นตามทางของธรรมะ ไม่เหงาหงอย ไม่เป็นทางให้เกิดความเบื่อหน่ายหรือเกิดความหวาดกลัว (๒๒๙)
ผู้ที่ดำรงชีวิตถูกต้องตามศิลปะแห่งการครองชีวิตของพุทธศาสนานั้น จะมีความบันเทิงเริงรื่นอยู่ตลอดเวลา คือเป็นผู้มีชัยชนะอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง ทุก ๆ สิ่งที่เข้ามาแวดล้อมตน ไม่ว่าเป็นสัตว์ บุคคล สิ่งของ หรืออะไรชนิดใด จะเข้ามาหาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ตาม ย่อมจะเข้ามาในฐานะเป็นผู้แพ้ เป็นฝ่ายแพ้ ไม่อาจจะทำให้เกิดความมืดมัวสกปรกเร่าร้อนแก่ผู้นั้นขึ้นได้. (๒๒๙)
ฉะนั้นเราจึงควรมีทรรศนะประจำตัวอยู่ทรรศนะหนึ่งเสมอไป ในการที่จะมองพระพุทธศาสนา ในฐานะเป็นโรงมหรสพของวิญญาณ เป็นที่แสวงหาความเพลิดเพลินเช่นเดียวกับโรงมหรสพทั่ว ๆ ไป ซึ่งเป็นที่แสวงหาความเพลิดเพลินทางกายหรือทางกิเลส. (๒๒๙-๒๓๐)
Google Sites
Report abuse
Page details
Page updated
Google Sites
Report abuse