ฟัง-อ่าน #สันทัสเสตัพพธรรม #พุทธทาสภิกขุ
#ศาลาธรรมโฆษณ์ออนไลน์ Lifetime แชร์ได้ครับ
ดูสารบัญละเอียด ชุดธรรมโฆษณ์ 1,798 หน้า จาก 83 เล่ม
ธรรมโฆษณ์โดยท่านพุทธทาส เรื่อง
ธรรมบรรยายประจำวันเสาร์ ภาคมาฆบูชา 2514 ธรรมโฆษณ์ชุด สันทัสเสตัพพธรรม พุทธทาส อินฺทปญฺโญ ลานหินโค้ง,สวนโมกขพลาราม 9 มกราคม 2514
คำชี้แจง(วิธีใช้หนังสือเล่มนี้อย่างไร)
หนังสือเล่มนี้เป็นภาคหนึ่งของคำบรรยายชุดใหญ่ชุดหนึ่ง ที่บรรยายด้วยความมุ่งหมายเพื่อการชี้หนทาง แก่พุทธบริษัทแห่งยุคปรมาณู หรือยุคปิงปอง คือยุคที่โลกหมุนเร็วยิ่งขึ้นทุกทีจนเรียกได้ว่าหมุนจี๋, ให้สามารถถือเอาธรรมะในพุทธศาสนามาใช้ ให้เบ็นประโยชน์อย่างเพียงพอ และทันแก่เหตุการณ์, เพื่อความไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา จนได้นามว่าพุทธบริษัทนั่นเอง.
ความมุ่งหมายของการบรรยาย ชุดนี้ เป็นไปในทางจะให้เกิด คู่มือแห่งการตรวจสอบเทียบเคียง หลักธรรมะและการปฏิบัติ ที่กำลังเป็นปัญหามากขึ้นทุกๆที ในหลายๆทาง, กล่าวคือ ความผิดถูก, ความสมแก่ยุคสมัย, ความมีชั้นเชิงต่างกันหลาย ๆ ระดับของพุทธบริษัทนั้นเอง, ตลอดถึงความเป็นผู้กล้าคิดกล้าตีความ หรือมีแต่จะถือเอาตามตัวหนังสือ หรือประเพณีที่เคยทำสืบ ๆ กันมาโดยท่าเดียว. ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่า วิกฤตกาลของพุทธศาสนาซึ่งผู้บรรยายได้สังเกตและมองเห็นตลอดมา เป็นเวลาหลายสิบปี แต่ก็เพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้นๆทุกปี จนถึงกับรู้สึกว่า ควรจะได้วิพากษ์วิจารณ์กันเสียที เพื่อประโยชน์แก่คนทั่วไปในยุคปิงปองดังกล่าวแล้ว.
เรารู้จักพระพุทธเจ้ากันแต่องค์ที่เราถือกันว่า นิพพานไปเสียตั้งสองพันกว่าปีแล้ว, ส่วนองค์ที่ยังอยู่กับเราและเป็นที่พึ่งแก่เราตลอดเวลานั้น เราไม่สนใจ เพราะเรารู้จักแต่ว่าท่านปรินิพพานไปเสียแล้ว, เหลืออยู่แต่พระบรมธาตุ หรือวัตถุอื่นๆที่แทนท่าน, ซึ่งเป็นเปลือกไกลออกไปทุกทีๆ ความประสงค์ของการบรรยาย จึงมุ่งหมายที่จะดึงกลับมา ให้เข้ารูปกับพระพุทธภาษิตที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา, ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม" ดังนี้เป็นต้น. ครั้งพุทธกาลแท้ ๆ คนที่ไม่เห็นธรรมก็ไม่เห็น หรือรู้จักพระพุทธองค์,ทั้งที่เดินสวนทางกับพระองค์อยู่ทุกๆวันก็มี. บัดนี้เรากำลังพูดกันถึง พระพุทธเจ้าชนิดที่จะอยู่กับเราตลอดเวลา : หลายคนก็งง, หลายคนหัวเราะเยาะ, หลายคนก็ว่า พูดเล่นลิ้นไปเปล่าๆ. มีใครกี่คน ที่อยากจะมีพระพุทธเจ้าที่อาจจะอยู่กับตนตลอดเวลา ? คนที่อยากจะมีก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร. โดยมากก็คิดถึงการแขวนพระเครื่องไว้ที่คอตลอดเวลา,และก็เชื่อว่าพอแล้วสำหรับความปลอดภัยหรือความเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง. ข้าพเจ้าผู้บรรยายเห็นว่า ถ้าเรายังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็มีแต่จะมีโรคเส้นประสาทเกิดขึ้นในหมู่พุทธบริษัท ยิ่งกว่าในหมู่พวกอื่นไปเสียอีกก็ได้. อย่างดีที่สุดก็จะพอๆกัน เพราะดูเหมือนว่า บริษัทแห่งศาสนาอื่น ๆ ก็ตกอยู่ในสภาพอย่างที่เรียกได้ว่า ทำนองเดียวกัน แม้จะมีภาวะรูปที่ต่างกัน. แต่เมื่อมาคำนึงถึงคำว่า "พุทธะ" ซึ่งแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว เราควรจะอยู่ในฐานะที่น่าถูกล้อมากกว่าพวกอื่น ซึ่งมีชื่ออย่างอื่น คือไม่ได้เล็งถึง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั่นเอง: ดังนั้น ใครจะสามารถมีพระพุทธเจ้าองค์จริง ที่จะอยู่กับเราได้ตลอดเวลาเพียงไร และอย่างไร ก็ลองพยายามทำความเข้าใจกับคำบรรยายเรื่องที่หนึ่ง แห่งหนังสือเล่มนี้ดูเองเถิด.
การอ่านหนังสือเล่มนี้ หรือชนิดเดียวกับหนังสือเล่มนี้ ผู้อ่านจะต้องตัดสินใจ ในการทำตนให้เป็นอิสระจากความคิดเก่าๆ และความคิดใหม่ๆ ที่ตามก้นพวกวัตถุนิยมมากเกินไป เสียก่อน, คือให้พร้อมที่จะมองตัวเอง ตามแบบของพุทธบริษัทกันจริงๆ : ไม่หลงความเอร็ดอร่อยทางเนื้อหนัง และก็ไม่งมโง่จนไม่กล้ายอมรับรสของอะไรเสียเลย, ให้ตรงกับหลักที่ว่า ไม่เป็นทั้งกามสุขัลลิกานุโยค และทั้งอัตตกิลมถานุโยคนั่นเอง. เมื่อได้จิตใจที่เป็นอิสระ หรือเป็นกลางแล้ว ย่อมจะเข้าใจข้อความเหล่านี้ได้โดยง่ายและลึกถึงที่สุด.
พระพุทธเจ้านั้น มีทั้งในภาษาคน และภาษาธรรม. อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า "ธรรมวินัยอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วนั้น จักอยู่เบ็นศาสดาแก่พวกเธอทั้งหลาย หลังจากการล่วงลับไปแห่งเรา" ดังนี้ ย่อมแสดงอยู่แล้วว่า มีพระพุทธองค์อยู่ ๒ ชนิด คือชนิดที่มีการล่วงลับไป และ ชนิดที่ยังไม่ล่วงลับไป ตลอดเวลาที่ยังมีผู้ปฏิบัติตามธรรมวินัยอยู่, แล้วมีการเห็นธรรมได้ด้วยการปฏิบัตินั้น ชนิดที่ตรัสไว้ว่า เห็นเราคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นเรา, ดังที่พุทธบริษัทแม้สมัยนี้ ก็ได้ยินกันจนชินหู. เห็นธรรมที่คู่กับเห็นเรา นั้นคือพระพุทธองค์ในภาษาธรรม เป็นพระพุทธองค์ที่อาจอยู่กับเราได้ ตลอดเวลาที่เราประพฤติธรรม หรือมีธรรมที่เราเห็นอยู่ว่ามีอยู่ในใจของเราจริง ๆ, ส่วนการไม่เห็นธรรมที่คู่กับการไม่เห็นเรา นั้นมีการเห็นแต่พระพุทธองค์ซึ่งเป็นเพียงในภาษาคน คือร่างกาย หรือสิ่งที่แทนร่างกายตลอดถึงรูปภาพเป็นต้น, ซึ่งเป็นเพียงชนวนที่จะจูงไปสู่การเห็นธรรม หรือพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอีกต่อหนึ่ง. ทั้งหมดนี้กำลังเป็นปัญหาอยู่ในหมู่พุทธบริษัท แม้ในสมัยนี้มากน้อยเพียงไร, เชื่อว่าเราก็พอจะมองเห็นกันอยู่แล้วว่า ถ้ายังไม่สะสางออกไปเสียให้หมดสิ้นแล้ว ก็จะยังคงเป็น พุทธบริษัทที่ตายด้าน อยู่เพียงนั้น.
สำหรับผู้ที่มีคุณธรรมสูงสุดคือความสะอาด - สว่าง- สงบ เต็มเปี่ยมอยู่ในใจตลอดเวลานั้น ควรจะเรียกว่าเป็นพุทธะได้ถึงที่สุดแล้ว, แต่มิได้ถึงสัมมาสัมพุทธะ เพราะมิได้ตรัสรู้เอง หากแต่ต้องฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธะมาก่อน มาปฏิบัติแล้วจึง ตรัสรู้ตาม, แม้ถึงกระนั้น ก็กล่าวได้ว่า มีความเป็นพุทธะด้วยเหมือนกัน แม้ไม่ถึงขั้น สัมมาสัมพุทธะ ; และก็นับว่าเป็นการเพียงพอแล้ว สำหรับจะมีอยู่กับเราตลอดเวลา. ทั้งนี้เพราะว่าความปลอดภัย หรือความไม่รู้จักกับความทุกข์ นั้นมีถึงที่สุดแล้ว. หรือถ้าจะกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ก็ยังอาจจะกล่าวได้ว่า เมื่อถอนความยึดถือว่า "เรา", หรือที่เรียกว่า "ตัวกู - ของกู" ออกได้หมดสิ้น ไม่มีเหลืออยู่ในจิตใจอีกต่อไปแล้ว จะมีอะไรเหลืออยู่ในใจ, ย่อมจะตอบได้ว่าเหลืออยู่แต่ "ความเป็นพุทธะ" ; นั่นคือการที่เราได้กลายเป็นพุทธะไปเสียเอง. ถ้ายังเป็นเรา คือยังมีอวิชชา,หมดเรา ก็คือหมดอวิชชา, มีแต่ความสะอาด - สว่าง - สงบ ซึ่งเป็นตัวพุทธะ, หรือ ธรรมที่ทำบุคคลให้เป็นพุทธะ. ดังนั้นควรจะเห็นว่า เราสามารถที่จะมีพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ในภาษาธรรมให้อยู่กับเราได้จริง, ได้นานที่สุด,หรือตลอดเวลา, หรือว่า หมดเรา เพราะกลายเป็นพระพุทธเจ้าเสียเองดังนี้
บัดนี้ ปัญหามันไปมีอยู่ในข้อที่ว่า โลกสมัยปัจจุบันนี้ มีแต่สิ่งที่ทำให้ยึดมั่นว่าตัวเราอย่างเหนียวแน่น ยิ่งขึ้นทุกที จนกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ขึ้นมาว่า ไม่ต้องละความยึดมั่นถือมั่น แม้ในสิ่งที่ทำให้เกิดความโลภ ความโกรธ และความหลง,หรือสรุปแล้วก็คือ ในสิ่งที่ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว หรือพวกของตัวอย่างเดียว. จิตไม่มีความเป็นพุทธะ, และเชื้อแห่งความเป็นพุทธะ ที่มีอยู่ในทุกสิ่งที่มีชีวิต ก็มีแต่เหี่ยวแห้งหายไป ไม่มีโอกาสได้รับการเพาะปลูกหรือบำรุงให้งอกงาม จนเบิกบานออกมาเป็นพุทธะได้. ถ้าคนในโลกยังขืนเป็นกันอยู่อย่างนี้ โลกนี้ ก็จะกลายเป็นโลกของคนใจบอดไปทั้งหมดในที่สุด แม้ลูกตายังดีก็มีแต่สำหรับจะไปแส่หาสิ่งที่เป็นความทุกข์มาใส่ตนเท่านั้นเอง. คนพวกนี้เท่านั้น ที่พร้อมที่จะหัวเราะเยาะคำพูดที่ว่า "เราสามารถมีพระพุทธเจ้าที่อาจอยู่กับเราได้ตลอดเวลา"
นี้เป็นประเด็น ที่เป็นตัวอย่างอันสำคัญ ที่เราทำผิดเกี่ยวกับสิ่ง หรือผู้ ที่เราเรียกว่าพระพุทธเจ้า, ซึ่งจะขอให้ทุกคนสนใจพิจารณาดูเป็นพิเศษ เป็นเรื่องแรกในลักษณะที่เป็น สันทัสเสตัพพธรรม.
จาก สันทัสเสตัพพธรรม หน้า18 คำชี้แจง วิธีใช้หนังสือเล่มนี้อย่างไร
https://drive.google.com/drive/folders/1lSxfWRO0IU0ASUNYflMwPFAOEe9ZJIMT?usp=sharing