ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน ภาคค่ำ - 27พค2522
https://drive.google.com/drive/folders/1r8a_zIl-RXBWfHZBWePKhf701p99tHn2?usp=sharing
00:00:18
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญล้ออายุทั้งหลาย การล้ออายุปีนี้ดูจะไม่มีรสชาติอะไร เพราะกล่าวถึงแต่เรื่องที่เขาเข้าใจผิดต่ออาตมา เขากล่าวร้ายกันต่างๆ นาๆ ไปตามความคิดเห็นของตน เอามาพิจารณาดู มีลักษณะเหมือนกับแกล้งสาดโคลนก็มี หรือทำกระเด็นมาโดยไม่เจตนาก็มี จนถึงกับว่าเราเหยียบไม่ดีมันกระเด็นขึ้นมาก็มี มันเป็นการล้อสำหรับอาตมามากกว่า แต่อย่างไรก็ดี ถือโอกาส สิ่งที่ยังเข้าใจผิดกันอยู่นั้นมาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ เป็นการทบทวนผู้ที่เข้าใจอยู่บ้างแล้วและเพื่อให้ผู้ที่ยังไม่เข้าใจก็จะได้เข้าใจยิ่งขึ้น และก็จะได้เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
00:02:06
เรื่องต่อกันมาจากการบรรยายใน 2 ครั้งที่แล้วมา บัดนี้ก็มาถึงเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ภาษาคน ภาษาธรรม เกี่ยวกับภาษาคน ภาษาธรรมนี้ก็มีผู้กล่าวหาว่า เรื่องนอกรีตนอกรอย ไม่ควรจะทำให้ยุ่งยากขึ้นมาเป็น 2 ภาษา เป็น 3 ภาษาและเขาหาว่า เป็นเรื่องที่ว่าเอาเอง โดยเนื้อแท้แล้วขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนได้ทราบไว้ว่าข้อความในพระคัมภีร์ไม่ว่าคัมภีร์แห่งศาสนาใดศาสนาไหนมีการกล่าวไว้โดย 2 ภาษา ถ้าเราถือเอาผิดคือที่กล่าวไว้โดยภาษาคน ถือเอาเป็นภาษาธรรม หรือที่กล่าวไว้โดยภาษาธรรม มาถือเอาเป็นภาษาคน อย่างนี้มันก็จะจับใจความของพระคัมภีร์แห่งศาสนานั้นๆ ผิดไปหมด
อย่างในพุทธศาสนาเราก็มีข้อความที่พระองค์ตรัสเองในเรื่องเดียวกัน แต่ตรัสอย่างหนึ่งเป็นภาษาคน ตรัสอย่างหนึ่งเป็นภาษาธรรม ที่ตรัสโดยภาษาคนเช่น ตรัสว่า “เรามีความเกิดเป็นธรรมดา ไม่พ้นความเกิดไปได้ มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่พ้นความแก่ไปได้ มีความตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นความตายไปได้และเราจะต้องเป็นไปตามกรรม ไม่ฝืนกรรมไปได้” นี่กล่าวไว้ คือตรัสไว้ในภาษาคน ถ้าเราไม่พ้นความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้แล้วพุทธศาสนาจะมีประโยชน์อะไร
พระพุทธศาสนานี้เป็นที่รู้กันอยู่ว่า จะทำให้เราพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และให้เราพ้นกรรม อยู่เหนือกรรมหรือสิ้นสุดแห่งกรรม ในที่อื่นพระองค์ก็ตรัสข้อความในลักษณะที่ให้เราพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ตรัสถึงกรรมไม่ดำไม่ขาวเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งปวง มีคำยืนยันว่า บรรลุถึงซึ่งความสิ้นแห่งกรรมได้ เมื่อท่านทั้งหลายสวดมาถึงบทว่า เรามีความเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา ไม่พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้นี่ ไม่รู้สึกสะดุดหรืออย่างไร ไม่รู้สึกสะดุดกันบ้างหรืออย่างไร ครั้นจะเอาประโยชน์อันสูงสุดจากพระพุทธศาสนา มันก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าจะเอาผลคือพ้น หรือเหนือจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ก็พอจะมองเห็นได้แล้วว่าที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มันเหมือนกับเด็กๆ มองเห็นอยู่ว่า เรากำลังแก่ และเรากำลังตาย และทุกคนต้องตาย ก็เลยเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เราไม่พ้นจากความแก่ เจ็บ ตายไปได้ นี่เขาเรียกว่า ภาษาคน ภาษาวัตถุ เอาร่างกายนี้เป็นหลัก จึงเห็นว่าไม่พ้นจากเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้
ครั้นมาถึงภาษาธรรม เราพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ เป็นเรื่องทางจิตใจ เราต้องทำทางใจ ต้องบรรลุธรรมทางจิตใจ จึงมองเห็นว่าไม่ได้มีตัวตน สัตว์ บุคคล อะไรที่เป็นเรา ก็ยกให้เป็นของสังขาร ร่างกายไป ไม่ใช่ของเราเพราะไม่มีตัวเรา นี่เข้าถึงความจริงอย่างนี้ ไม่เอาร่างกายเป็นหลัก เอาจิตที่หลุดพ้นเป็นหลัก มันก็ไม่มีความเกิด แก่ เจ็บ ตายแก่เรา จิตก็ไม่รับเอาความเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้นมาเป็นของจิต ดังนั้นจิตจึงหลุดพ้นได้ คำกล่าวทีหลังที่ว่า เราพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ หรือว่าเราพ้นจากกรรม อยู่เหนือกรรมได้ นี่แหละเรียกว่าภาษาธรรม ถ้าพูดภาษาคนเราก็ต้องเกิด แก่ เจ็บตายไป แม้พระพุทธเจ้าก็ต้องตาย เนี่ยมีคนพูดอย่างนี้ ท่านทั้งหลายระวังให้ดี ระวังให้ดีๆ ว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ต้องตายนั้นน่ะ นั่นมันพูดภาษาคน พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไม่มีความตายแก่พระพุทธเจ้าอีก นี่มันภาษาธรรม
พูดอะไรก็ต้องระวังกันหน่อย อย่าพูดให้พระอรหันต์ตายหรือพระพุทธเจ้าที่เป็นจอมพระอรหันต์ก็ตายอย่างนี้ นั้นมันพูดภาษาคน มันถูกสำหรับเด็กๆ ฟัง ไม่จริงและไม่ถูกสำหรับผู้ที่มีความรู้ฟัง เพราะว่าโดยเนื้อแท้แล้ว พระอรหันต์จะตายไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะตายไม่ได้ เพราะหมายถึงจิตที่หลุดพ้นแล้วจากความยึดถือในตัวตนว่าต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ถ้าว่าเราไม่พ้นจากกรรมได้ ไม่อยู่เหนือกรรม ไม่สิ้นกรรมได้ พุทธศาสนาก็ไม่มีประโยชน์อะไร เดี๋ยวนี้ได้สอนให้จนรู้จักเพิกถอนตัวตน จนไม่มีที่ตั้งแห่งกรรม กรรมก็ไม่เกิดได้ เราจึงสิ้นกรรม อยู่เหนือกรรม ได้รับประโยชน์สูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้รับที่มีจิตใจอยู่เหนือกรรม เมื่อเขาไม่เข้าใจ เขาก็จะเห็นว่ามันทำความยุ่งยากเกี่ยวกับภาษาคนและภาษาธรรมอย่างนี้
00:10:16
การที่จะให้ถือเอาข้างเดียว ภาษาใดภาษาหนึ่งนั้นมันก็เป็นไปไม่ได้ .... เช่นถ้ามีแต่ภาษาธรรม มันก็ไม่มีปัญหา คนธรรมดาทั่วไปก็รู้ ไม่ได้ว่าเรานี้ไม่มีตัวเรา เราไม่ได้เกิด ไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตาย คนธรรมดารู้ไม่ได้เพราะคนธรรมดารู้สึกอยู่ มองเห็นอยู่ตามธรรมดาว่าเราเกิดมาแล้วแก่ เจ็บ ตาย เรื่องที่ต้องเป็นไปตามกรรมก็เหมือนกัน เขาเห็นกันอยู่ เขารู้สึกกันอยู่ ไม่ใช่เกิดมาแล้วไปรู้สึก อย่างจะรู้จักความไม่มีตัวตนแล้วก็ไม่ต้องเป็นไปตามกรรม อย่างนี้ก็ทำไม่ได้ นี่รู้จักแบ่งแยกให้ดีว่าภาษาคนพูดว่าอย่างไร มีความหมายอย่างไร ก็เข้าใจกันไปให้ได้ ให้ถูก ให้ตรงตามภาษาคนคือภาษาสมมติ ตามความรู้สึกของคนธรรมดาสามัญ
ทีนี้พอมาถึงผู้ที่รู้ธรรมะ รู้ความหลุดพ้น มันก็พูดไปอีกอย่างหนึ่งว่า อ้าวไม่มีคนโว้ย ไม่มีใครเกิดแก่เจ็บตายโว้ย ไม่มีใครที่เป็นไปตามกรรมโว้ย นี่จิตมันหลุดพ้นหมายความว่าอย่างนี้
จะพูดสำหรับลูกเด็กๆ ถ้าพูดภาษาคนก็พูดว่า พระพุทธเจ้าตายแล้ว เหมือนที่เด็กๆ เขาพูดกัน จะไม่ใช้คำว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ก็คือตายนั่นเองตามภาษาลูกเด็กๆ แต่ถ้าพูดภาษาผู้รู้หรือภาษาธรรม พระพุทธเจ้าไม่มีวันตาย พระพุทธเจ้าจะอยู่เป็นนิรันดร อยู่คู่กับเราเป็นนิรันดร การใช้คำพูดผิดให้โทษกว้างขวางเช่นว่า พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ตายแล้ว หรือนิพพานแล้วไม่ได้เหลืออยู่นี่ ก็เป็นปมด้อยเกิดขึ้นแก่พุทธศาสนา คือพวกศาสนาคริสเตียนเมื่อแรกเข้ามาในประเทศไทยใหม่ๆ เขาก็มาศึกษาสอบสวนเรื่องหลักของพุทธบริษัทว่าถือกันอยู่อย่างไร พุทธบริษัทที่รู้แต่ภาษาคนก็ตอบไปว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว คือตายแล้ว ทีนี้พวกมิชชันนารีเขาก็ถามขึ้นว่า “คุณจะพึ่งคนที่ตายแล้ว ไม่ได้มีอยู่ดี? หรือพึ่งคนที่ไม่รู้จักตายและมีอยู่ตลอดเวลาดี?” คือพระเจ้านี้ไม่รู้จักตาย มีอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าตายแล้ว นิพพานแล้ว คุณจะเลือกพึ่งใคร? พึ่งคนที่ตายแล้วดี? หรือว่าพึ่งคนที่ยังอยู่ตลอดไปดี? เนี่ยพุทธบริษัทมันเคยทำปมด้อยอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องจริงที่เขาบันทึกอยู่ในเรื่องราวที่เป็นเรื่องจริง ขอให้คิดดูเถิดว่าการพูดไปโดยภาษาคน งมงาย พระเจ้าตายแล้วไม่ได้เหลืออยู่ แล้วเราร้องตะโกนว่าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ พึ่งพระพุทธเจ้าที่ตายแล้ว จะพึ่งได้อย่างไร พระพุทธเจ้าที่เป็นที่พึ่งได้ต้องยังอยู่ ต้องไม่ตาย รู้จักพูดภาษาคนให้ดีๆ รู้จักพูดภาษาธรรมให้ดีๆ ต้องไม่ปนกันด้วย
ทีนี้ภาษาคน ภาษาธรรมนี้มันยังมีประโยชน์ที่จะใช้แปลถ้อยคำที่มีกันอยู่ทุกๆ ศาสนา ภาษาคนที่เขาพูดไว้สำหรับประโยชน์ทางศีลธรรม ให้พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลพิเศษ อย่างในพระคัมภีร์ว่า พระพุทธเจ้าประสูติออกมาก็เดินได้ ก็เดินได้ 7 ก้าว อย่างนี้เป็นต้น หรือเทวดามารับพระกุมารก่อนมนุษย์ เทวดารับแล้วจึงส่งให้มนุษย์ นี้มันก็เกิดความยุ่งยากลำบากให้แก่เด็กๆ หรือนักศึกษา เด็กๆ มันไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงก็เพราะว่าเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธเจ้านี้มันพ้นวิสัยที่จะเชื่อว่ามีจริง เช่นว่าเกิดมาก็เดินได้อย่างนี้ นั้นเป็นการกล่าวอย่างภาษาคนเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ในความหมายภาษาคน ถ้าคนเชื่อก็ดีไป ในที่บางแห่ง บางยุค บางสมัยถ้าคนเชื่อมันก็ดีไป แต่พอมาถึงยุคถึงสมัยที่คนไม่เชื่อ มันก็เกิดเป็นปัญหาขึ้น ฉะนั้นเราจึงต้องอธิบายโดยภาษาธรรม ว่าพระพุทธเจ้าเกิดเนี่ยไม่ใช่ประสูติ ไม่ใช่หมายถึงการประสูติจากท้องพระมารดา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาในโลกเหมือนวันวิสาขบูชา ถ้าผู้รู้ถึงที่สุดก็ว่าพระพุทธเจ้าเกิดนั้นคือการสิ้นไปแห่งกิเลสหรือการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั่นเอง นี่เรียกว่า พระพุทธเจ้าเกิด เกิดขึ้นในโลกหรือว่าความเป็นพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นในบุคคลคนหนึ่งซึ่งเกิดหรือคลอดมาจากท้องมารดาตั้ง 35 ปีแล้ว อายุ 35 ปีแล้วจึงเกิดเป็นพระพุทธเจ้า เกิดอย่างนี้มันก็เดินได้สิ เกิดเป็นพระพุทธเจ้าก็เดินได้ คือว่า กล่าวกันโดยภาษาธรรม เกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าหมายถึงพระศาสนาเกิดขึ้นแล้วก็แผ่ไปได้ใน 7 แคว้น 7 ประเทศในประเทศอินเดียสมัยนั้น หมายความว่าพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาแล้วไม่ติด ไม่ตัน ไม่ตายด้าน เผยแผ่ไปได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับไฟลามป่า
00:17:31
เมื่อการตรัสรู้ของพระองค์ทำลายทิฐิของคนที่เป็นมิจฉาทิฐิหรือลัทธิต่างๆ ที่ตรงกันข้ามที่ต่อต้าน นี้มันต่อต้านไม่ได้ ลัทธิของพระองค์แผ่ไปได้โดยเร็ว นี่เรียกว่าใน 7ประเทศ นี่ก็แผ่ไปได้ในเวลาอันสั้น เหมือนกับว่าพอเกิดขึ้นมาเป็นพุทธศาสนาก็แผ่ไปได้ มันก็ไม่ขัดกัน เด็กๆ ก็จะรับพระพุทธเจ้าได้ เพราะว่าท่านเกิดมาเนี่ยไม่มีใครต่อต้านได้ คำสอนของท่านแผ่ไปโดยเร็ว ที่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น พระพุทธเจ้าประสูติ พระพุทธเจ้าประสูตินั้นเทวดารับก่อนมนุษย์ มนุษย์นี่หมายถึงคนธรรมดา เทวดาหมายถึงคนฉลาดหรือคนชั้นสูง การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้านี้มันเป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งแก่คนชั้นสูงที่มีการศึกษา เขาก็รับได้และรับก่อน คนธรรมดาที่ไม่มีการศึกษา คนโง่เง่าธรรมดานี่ก็รับทีหลัง รับได้ทีหลัง คนชั้นพระราชามหากษัตริย์หรือคนชั้นเจ้าลัทธิที่เฉลียวฉลาดเช่น ชฎิล เป็นต้น เนี่ยเขารับก่อน เขาเข้าใจก่อน เข้าใจได้ทันที แพร่หลายเป็นปึกแผ่นในคนชั้นเทวดาเหล่านี้ แล้วจึงค่อยๆ ลงไปถึงคนชาวบ้านธรรมดาชาวไร่ชาวนาไปรู้กันในทีหลังหรือยุคหลัง
ข้อความที่เป็นตำนานทางนิยายก็ว่าภายในปี 2 ปี พระพุทธเจ้าก็ขึ้นไปโปรดพระมารดาในเทวโลก ถ้าเราอธิบายอย่างภาษาธรรมก็เข้าใจได้ ว่าเทวดาเขาได้ก่อน เขาฉลาด เขารับเอาก่อน แล้วคนชาวบ้านก็เอาทีหลัง นี่ประโยชน์ของภาษาคน ภาษาธรรมมันมีอยู่อย่างนี้
00:20:31
ถ้าว่าไม่แปลความภาษาคนให้เป็นภาษาธรรมแล้วมันจะขัดกันไปหมด และโดยเฉพาะในระหว่างศาสนา ศาสนาแต่ละศาสนามีคำกล่าวในภาษาคนบ้าง ภาษาธรรมบ้างตามแบบของตน ถ้าไม่แปลความข้อนี้เป็นภาษาธรรมแล้วมันก็จะเข้ากันไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราจะต้องการทำความเข้าใจระหว่างศาสนา จึงต้องรู้จักอธิบายธรรมะในภาษาธรรม ถ้าไม่อธิบายในภาษาธรรม เรื่องเกี่ยวกับพระศาสดาก็จะเป็นนิยายไปหมดสิ้น เป็นนิยายอย่างที่เขาเรียกว่า mythology ที่มันเป็นนิยายไปหมดสิ้น ว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาก็เดินได้อย่างนี้ มันเป็นเรื่องนิยายไป ที่ต้องบังคับให้เชื่อ แต่ถ้าแปลความเป็นภาษาธรรมแล้วไม่ต้องบังคับให้เชื่อ มันก็เข้าใจได้ ศาสนาอื่นๆ ก็เหมือนกัน อย่างข้อความในคัมภีร์คริสเตียนใบแรก หน้าแรก เกิดแสงสว่าง พระเจ้าสร้างแสงสว่างก่อนสร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ อย่างนี้เด็กๆ มันก็เข้าใจไม่ได้เพราะมันเห็นอยู่ทุกวัน และมันเรียนมาแล้วว่าแสงสว่างนี้มาจากดวงอาทิตย์ คำว่าแสงสว่างในวันแรกที่สร้างนั้น มีความหมายในภาษาธรรม ไม่ใช่ในภาษาคน คือมันเป็นอำนาจอะไรอันหนึ่งที่สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ขึ้นมาอีกทีหนึ่ง พระเจ้าสร้างแสงสว่างในวันที่ 1 แล้วต่อวันที่ 4 จึงจะได้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ในระยะ 7 วันนั้น มันเข้าใจไม่ได้ คำว่าแสงสว่างที่สร้างในวันที่ 1 นั้นมันคืออะไร ต้องถอดความหมายโดยภาษาธรรม คืออำนาจที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นและวิวัฒนาการเป็นไป นั่นน่ะคือกฎของธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เอามาเรียกว่าแสงสว่าง สิ่งแรกที่มีอยู่ก่อนสิ่งอื่นก็คือกฎของธรรมชาติ หรืออำนาจที่จะให้เกิดวิวัฒนาการเป็นไป มันมีอยู่แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต่อถึงวันที่ 4 ถึงยุคที่ 4 อะไรที่ 4 จึงจะเกิดดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ขึ้นมา มันก็ไม่ผิด ก็เป็นข้อความที่รับได้ เด็กๆ ก็รับได้ นักศึกษาสมัยนี้ก็รับได้ ทางฝ่ายพุทธก็รับได้ ทางฝ่ายคริสต์ก็รับได้ ว่ามีอำนาจอะไรอันหนึ่งซึ่งสามารถบันดาลให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป มีอยู่ก่อนสิ่งใดและสิ่งต่างๆ ก็เกิดขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ก็ได้แก่คำว่าธรรมในความหมายที่ 2 คือกฎของธรรมชาติ
ถ้าเราใช้ภาษาธรรมในกรณีที่ต้องใช้ภาษาธรรม มันจะไม่มีอะไรขัดขวางกันเลยสำหรับข้อความในพระศาสนา ในคัมภีร์ของแต่ละศาสนา อาตมาจึงรู้สึกว่ามันมีความจำเป็นอย่างยิ่งและมันมีประโยชน์อย่างยิ่งที่เราต้องใช้ภาษาธรรมให้ถูกเรื่อง ใช้ภาษาคนให้ทุกเรื่อง ทีนี้เราก็จะเข้าใจศาสนาของเราเองดีขึ้นถึงที่สุด แล้วเราก็จะเข้าใจซึ่งกันและกันในระหว่างศาสนา มันจึงได้ผลอันกว้างขวาง ทำความร่วมมือกันได้ในการที่จะสร้างสันติภาพให้แก่โลกนี้ นี่คือภาษาคน ภาษาธรรมที่ได้มองเห็นและบอกขึ้นและกล่าวขึ้น
00:25:04
ที่จริงเขาก็มีพูดกันอยู่ก่อนบ้างเหมือนกันแต่เขาเรียกอีกอย่างหนึ่ง คือเขาใช้คำว่าบุคลาธิษฐานหรือธรรมาธิษฐาน บุคลาธิษฐานแปลว่าตั้งทัพบุคคล ธรรมาธิษฐานแปลว่าตั้งทัพธรรม ดังนั้นคำกล่าวที่เป็นบุคลาธิษฐานมันระบุไปยังบุคคลหรือวัตถุ ที่เป็นธรรมาธิษฐานก็ระบุไปยังธรรมหรือนามธรรมซึ่งไม่ใช่วัตถุ ถ้าเอาไปปนกันแล้วจะไม่รู้เรื่อง หรือถ้าแสดงโดยบุคลาธิษฐานมันไม่ลึกซึ้ง เพราะมันติดวัตถุ ถ้าแสดงโดยธรรมาธิษฐานจะลึกซึ้งถึงที่สุด เพราะมันไม่ติดอยู่ที่วัตถุ ทีนี้มามองเห็นว่าคนธรรมดาสามัญนี้พูดกันแต่บุคลาธิษฐาน ภาษาพูดของเขาจึงเป็นภาษาคน คนธรรมดา ภาษากลางถนน ภาษากลางตลาด ต่อเมื่อเป็นนักปราชญ์ เป็นฤาษีมุนีมีสติปัญญา ในทางธรรมจึงจะมองเห็นลึกกว่าและก็พูดในภาษาธรรม
ฉะนั้นเราได้รับประโยชน์จากภาษาธรรม ก็ยังมีคนคัดค้านเยาะเย้ยว่าทำให้มันยุ่ง ก็ตามใจ เดี๋ยวนี้เรื่องภาษาคน ภาษาธรรมเป็นที่สนใจของชาวต่างประเทศมาก หลังจากที่แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วก็มีคนติดต่อขออนุญาตแปลเป็นภาษาอื่นๆ ต่อไปอีก เช่นกำลังแปลเป็นภาษาเยอรมันอยู่ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าการใช้ภาษาคน ภาษาธรรม แพร่หลายกว้างขวางออกไป ความสัมพันธ์ในทางศาสนา ระหว่างศาสนาก็จะดีขึ้นเป็นแน่นอน ไม่มีเรื่องเหลืออยู่สำหรับเด็กๆ จะสงสัยว่ามันเป็นเรื่องนิยาย ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นอะไรต่างๆ ถ้าจะล้อมันก็ล้อคนที่ไม่รู้จักภาษาคน ภาษาธรรมนั้นต่างหาก ทำไมจะต้องมาล้อเราที่รู้จักและต้องการจะใช้ภาษาคน ภาษาธรรม ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่าหัวขึ้นมาชั้นหนึ่ง น่าล้อขึ้นมาชั้นหนึ่ง คือตั้งใจจะทำให้ดี ให้มีประโยชน์ ให้สำเร็จประโยชน์โดยกว้างขวางก็ยังมาถูกล้อ นี่เรื่องหนึ่ง
00:27:54
เรื่องต่อไปอีกก็จะพูดถึงเรื่อง ที่เราเรียกกันว่านิกายเซน นิกายเซน อยากจะคุยโตสักหน่อยว่า เรื่องนิกายเซนเนี่ย รู้จักกันขึ้นมาในภาษาไทยเนี่ยก็เพราะอาตมา นี่เราคุยโตเนี่ย ก่อนนี้ภาษาไทยไม่ได้สนใจเรื่องคำว่าเซน ไม่รู้จัก ไม่รู้เรื่อง จนถึงวันหนึ่งจึงได้แปลหนังสือเว่ยหล่าง พิมพ์ออกมาเป็นภาษาไทย จึงเอะอะๆ กันขึ้นเป็นเรื่องเซน เรื่องเซนอย่างนั้น เรื่องเซนอย่างนี้ แล้วเราก็ต้องรับบาป โดยเขาหาว่าเป็นเซน นิยมเซน สอนเซนไปแล้ว เขาว่าอาตมานี้นิยมเซน สอนเซน นับถือเซน
ต่อมาหนังสือฮวงโปก็แปลออกมาอีก เรื่องเซนมันก็เป็นที่สนใจกันมาก จึงมีการนิยมสั่งซื้อหนังสือเซนที่เป็นภาษาอังกฤษเข้ามาขายกันในเมืองไทยยกใหญ่ หรือเป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ก่อนนี้ไม่มีใครได้ยินหรือรู้จักคำว่าเซน
ก็จะบอกให้ว่าคนพูดนั้นมันไม่รู้ข้อเท็จจริงอันนี้ อาตมาไม่ได้นิยมเซนหรือว่าถือเซนหรือสอนเซนอะไร มันไม่ดีอะไรไปกว่าพุทธศาสนาชนิดที่เรามีๆ กันอยู่แล้ว แต่พุทธศาสนาอย่างเซนมันก็เป็นที่น่าสนใจ ใครไปเรียนไปรู้เข้าก็ต้องฉลาดยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
พุทธศาสนาอย่างแบบเซนนี้เกิดขึ้นในประเทศจีน เขาเรียกว่าเสี่ยง เขาไม่ได้เรียกว่าเซน ต่อเมื่อไปถึงประเทศญี่ปุ่นจึงเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่าเซน พุทธศาสนาอย่างเซนนี่มันเกิดขึ้นเพราะความจำเป็น คือเมื่อพุทธศาสนาไปถึงประเทศจีนในสมัยนั้น คนเขาฉลาดอยู่แล้วด้วยลัทธิขงจื้อ ลัทธิเล่าจื๊อ มันฉลาดอย่างยิ่งอยู่แล้ว ถ้าพุทธศาสนาเข้าไปทึ่มๆ อย่างธรรมดาสามัญอย่างนี้ ไม่ปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่ ไม่เข้ารูปกันได้กับหัวของคนที่มันฉลาดอยู่ด้วยลัทธิขงจื้อเล่าจื๊อมันไปไม่รอด ไม่มีใครเอาหรอก พุทธศาสนาจึงต้องปรับปรุงเสียใหม่ ปรับตัวเสียใหม่ให้เป็นที่สบใจของคนฉลาดอยู่ด้วยลัทธิขงจื๊อหรือเล่าจื๊อ มันเลยต้องเกิดพุทธศาสนาอย่างเซนขึ้นมาในประเทศจีน เนี่ยค่าของมันเป็นอย่างนี้มันจึงน่าสนใจ แต่บางคนเข้าใจผิดคิดว่าเซนนี้เป็นมหายาน เป็นพุทธศาสนาอย่างมหายาน มันเป็นไปไม่ได้ มหายานนั้นเขาไปตามเนื้อผ้าสำหรับคนทั่วๆ ไป พุทธศาสนาอย่างเซนนี้มันเกิดขึ้นเพื่อจะล้อ ล้อพวกมหายานมากกว่า มันทำเป็นเรื่องของสติปัญญา เรื่องของมหายานนั้นอยู่กับความเชื่อ นิกายสุขาวดี อมิตตาภะ ถึงจะเชื่อเรื่องพระพุทธเจ้าอมิตตาภะ ก็จะรอดตัวได้ ส่วนเซนเขาล้อ มีคำล้อที่คมคายต่างๆ นาๆ เซนนั้นก็ไม่ใช่มหายาน มันเกิดขึ้นเพื่อจะล้อมหายาน
ทีนี้เมื่อมาเทียบกับเถรวาทเรา เซนมันก็ไม่ใช่เถรวาทอีก หรือมันจะมีส่วนคล้ายเถรวาทแต่ว่ามันไปทำให้เข้มข้น เหมือนกับเอาไปงวดเข้าให้มันข้น แล้วก็ใส่วิธีการให้เฉียบแหลม รวดเร็ว คมคายนี่ จึงเกิดเป็นเซนขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่มหายานและไม่ใช่เถรวาท ทีนี้พวกเราในเมืองไทยนี้เป็นพวกเถรวาท ออกจะยึดหลักตามตัวหนังสือแน่นแฟ้นอยู่มาก ควรจะได้ฟังหรือได้รู้เรื่องของพวกอื่นบ้างโดยเฉพาะพวกเซน ก็จะทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมาอีกแบบหนึ่งซึ่งมีประโยชน์ ไม่ให้โทษอะไร ฉะนั้นจึงยืนยันว่าเรื่องเซนนี้ไม่เสียหลาย ศึกษาให้เข้าใจแล้วเอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ เป็นวิธีการอันหนึ่งที่จะใช้ประโยชน์ได้ เป็นการทำสมาธิกับปัญญาพร้อมกันไป ไม่ต้องแยกกัน อย่างนี้เรียกว่าวิธีของเซน ไปมัวแยกศีล แยกสมาธิ แยกปัญญาออกเป็นเรื่องๆ นี้มันงุ่มง่ามๆ มันหลายเรื่อง มันดึงกัน ฉะนั้นเขาจึงเอามารวมเข้าเป็นเรื่องเดียว ศีลก็รวมอยู่ในเซน สมาธิก็รวมกันอยู่กับปัญญาแล้วก็เป็นเซน เขาจึงได้เรียกว่านิกายรวดเร็ว นิกายฉับพลัน ไม่รู้ก็ไม่รู้ ถ้ารู้ก็เป็นแทง เหมือนกับรวดเดียวตลอด เหมือนกับฟ้าแลบ เหมือนกับสายฟ้าแลบ ฉะนั้นจึงเป็นวิธีการอันหนึ่งสำหรับทำให้เร็วเท่านั้นเอง ส่วนหลักของธรรมะนั้นก็เป็นอย่างเดียวกัน คือสอนให้เห็นความจริงที่ว่าไม่ใช่ตัวตน แต่เขาใช้คำมันแปลกออกไป เช่นใช้คำว่าจิตเดิม จิตเดิมแท้ จิตเดิมๆ ก่อนจะเกิดโง่ว่ามีตัวตน นั่นคือจุดหมายของเซน จิตที่มาหลงโง่ว่ามีตัวมีตน ติดอยู่ในดี ในชั่ว ในบุญ ในบาป ในวัฏสงสารเนี่ย มันไม่ดับทุกข์ มันมุ่งเอาจิตก่อนที่จะโง่อย่างนี้ เขาจึงได้เรียกว่าจิตเดิม หรือจิตแท้ หรือจิตจริง คือจิตล้วนๆ ทำนองจิตประภัสสรของเถรวาทเรา เขาจึงต้องการจะพบจิตอันนั้น จิตชนิดนั้น ก็เรียกว่าบรรลุถึงจิตเดิมแท้ ก็มีประโยชน์ไปตามแบบของการที่มีจิตก่อนที่มันจะโง่ หรือมันปลดเปลื้องความโง่ออกไปเสียได้ เป็นจิตเดิม เขาก็พูดเปรียบเทียบในภาษาคนว่าเหมือนกับจิตของเด็กในท้องมารดา
จิตของเด็กในท้องมารดาไม่ได้คลอดออกมานั้นน่ะ มันไม่มีกิเลสตัณหาอะไร มันปรุงอะไรไม่ได้ มันยังเป็นจิตล้วนๆ แต่ก็ขอให้เข้าใจ ให้เห็นอกเห็นใจให้เขาบ้าง เขาอุปมาอย่างนี้เพราะมันไม่มีอุปมาอย่างอื่นจะดีกว่านี้ นักค้าน นักด่ามันก็คอยแต่จะค้าน คอยแต่จะด่า ก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร นี่เราควรจะรู้ว่าพวกนี้เขามีวิธีพูดอย่างนี้ มีวิธีสอนอย่างนี้ มีจุดมุ่งหมายว่าจะให้เข้าถึงจิตที่ไม่โง่ จิตที่ก่อนแต่จะโง่ เป็นจิตล้วนๆ เป็นจิตเกลี้ยง เป็นจิตเดิม ขอให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าเซนโดยหลักอย่างนี้ แล้วก็เอามาใช้เป็นประโยชน์แก่หลักธรรมะในฝ่ายเถรวาทด้วยได้
00:36:37
ในนิกายเซนนั้นไปเน้นเรื่องสุญญตามากที่สุด เรื่องตถตา เรื่องสูญญตานี่เขาใช้มากที่สุด เอามาพูดจามากที่สุด ก็มีวิธีเซนให้เข้าถึงสุญญตาหรือตถตานั้นโดยเร็วที่สุด นั่นแหละคือเซน ก็คนที่เขาไม่เห็นด้วย เขาก็ด่าอาตมาตามเคยว่าขบถต่อพุทธศาสนา ไปเอื้อมเอาอันอื่นที่ไม่ใช่พุทธศาสนามาสั่งมาสอน นี่ไม่มี ไม่จริง เราไม่ได้นิยมเซน หรือถือเซน หรือสอนเซน แต่เราต้องการจะให้ฉลาดไม่น้อยกว่าพวกเซนและรู้เรื่องของพวกเซนเท่าที่จะไม่ขัดขวางกันกับเรื่องของเถรวาท เอามาประกอบให้ฉลาด ให้ลืมหูลืมตาขึ้นมาอีกส่วนหนึ่ง อย่าให้มัวงมโง่หลับหูหลับตาอยู่ จนไม่รู้ว่าพวกอื่นน่ะเขามีวิธีสอนอย่างไร
คนพวกหนึ่งเขาขอบใจอาตมาที่ว่าทำให้ได้มีการศึกษาหรือรู้จักเรื่องเซนขึ้นในเมืองไทย แต่คนอีกพวกหนึ่งเขาด่า เขาประณามว่าทำให้เกิดความไขว้เขวยุ่งยาก เอามิจฉาทิฏฐิมาสอน เนี่ยใครเป็นผู้ที่ควรจะถูกล้อ อาตมาควรจะถูกล้อหรือว่าคนที่ด่าอาตมานั้นเป็นคนที่ควรจะถูกล้อ ก็คิดเอาเองก็แล้วกัน แต่วันนี้ก็อยากจะล้อตัวเอง ว่ามันโชคดีอะไรนะ ทำทีเดียวได้ผลมากทั้งถูกด่าและถูกชม ใครมันทำอะไรได้กำไรอย่างนี้บ้างทำทีเดียวได้ทั้ง 2 อย่างคือทั้งถูกด่าและถูกชม เขามักจะได้กันเพียงข้างเดียว ได้ถูกด่าก็ถูกด่าไปข้างเดียว ถูกชม ก็ชมไปข้างเดียว อาตมานี้โชคดี ได้ทั้งถูกชมและถูกด่า แล้วก็ด่าอย่างแรงๆ เสียด้วย คือด่าให้เป็นมิจฉาทิฐิ มันก็แรงที่สุดแล้ว สำหรับที่จะเป็นการด่ากันแบบของชาวพุทธ
00:39:22
นี่เรื่องเซน ทีนี้เรื่องต่อไปก็จะพูดถึงเรื่องคริสต์ เอาเรื่องคริสเตียนมาพูด มาอธิบาย มาทำความเข้าใจ ก็เพื่อจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาให้มันกลมกลืนกันได้ ไม่ใช่ต้องการให้เปลี่ยนศาสนา ท่านทั้งหลายคงจะยังจำได้ว่าอาตมาได้มีปณิธานตั้งไว้ ว่าจะทำความเข้าใจในระหว่างศาสนาให้เข้าใจกันดี และต้องการจะให้แต่ละคนในศาสนาของตนรู้ซึ้งถึงศาสนาของตนให้ถึงที่สุด และต้องการจะให้โลกนี้เป็นอิสระออกมาเสียจากอำนาจของวัตถุนิยม ปณิธานซึ่งมันออกจะใหญ่โตอยู่มาก ได้ตั้งไว้อย่างนี้
ทีนี้ก็เลยพยายามเรื่อยๆ มาที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ให้ทุกคนเข้าใจศาสนาของตนได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการให้รู้จักใช้ภาษาคน ภาษาธรรมในการศึกษาศาสนาของตนของตน เข้าใจดีแล้วก็จะพบว่า เมื่อกล่าวโดยภาษาธรรมแล้วทุกศาสนามันก็มีอะไรที่เข้ากันได้หรือเหมือนกัน คือความหมด หมดความเห็นแก่ตน หมดความมีตน เป็นของตน เหลืออยู่แต่สิ่งๆ หนึ่งซึ่งประเสริฐ วิเศษ ไม่รู้จักเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างนี้เป็นต้น เขาจะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้ เราก็เรียกว่าพระนิพพานก็ได้ คือมันมีสถานะอันหนึ่งซึ่งเมื่อเข้าถึงแล้วไม่มีความทุกข์ก็แล้วกัน
ทีนี้วิธีการที่จะเข้าถึงจุดจุดนั้นมันก็ต่างกันบ้าง แต่มันก็ต่างกันแต่เพียงผิวเปลือก ส่วนเนื้อในมันก็ตรงกันตรงที่ว่ารักผู้อื่นเหมือนที่วันนี้เราก็ได้พูดกันมาแล้ว อธิบายกันแล้วว่า ทุกศาสนามีหัวใจคือความรักผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น มันก็เหมือนกันที่ตรงนี้ ทุกศาสนาทำความเข้าใจกันได้ที่ตรงนี้ โดยเฉพาะศาสนาคริสเตียน เราต้องการจะทำความเข้าใจกันเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งโลก เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้เสียแล้ว คือในข้อที่ว่ามันต้องมีหลายศาสนา แล้วต่างคนต่างถือศาสนาของตนของตน มันไม่เหมือนกับยุคแรกที่ยังไม่มีศาสนาแตกแยกกันเป็นแต่ละศาสนาอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันได้แตกแยกแล้ว มันก็มีศาสนาหลายศาสนา
ทีนี้ความสุขหรือสันติสุขของโลก ของคนทั้งโลกเนี่ย มันต้องรวมถึงข้อที่ศาสนานี้ช่วยกันทำให้คนแต่ละคนเข้าถึงหัวใจของศาสนาของตน ก็ไม่มีความทุกข์ ก็มีความสงบสุข อยู่ร่วมกันได้ เราจึงพยายามทำความเข้าใจศาสนาอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือคริสตศาสนาที่มีอิทธิพลมาก ที่เข้าครอบคลุมอยู่ในที่ทั่วๆ ไป เพราะว่าชนชาติที่เขาถือคริสตศาสนานั้นเขามีอำนาจ เขามีกำลัง เขามีอะไรต่างๆ มันก็เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องต้อนรับกันให้ดีๆ สัมพันธ์กันให้ดีๆ ไม่ต้องทะเลาะวิวาทกันเพราะอำนาจของศาสนา แล้วมนุษย์ก็จะอยู่กันเป็นผาสุกอย่างนี้ อาตมาจึงพยายามที่จะชี้ความเหมือนกันในระหว่างศาสนา เช่นว่าระหว่างพุทธกับคริสต์ มันก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นมาทันที ฝ่ายคริสต์เขาก็ระแวงว่าเราก็จะไปกลืนศาสนาของเขา เขาก็มองอาตมาในฐานะเป็นศัตรูที่ไว้ใจไม่ได้ ตั้งใจจะกลืนศาสนาของเขา ทีนี้ฝ่ายพุทธเราก็มองอาตมาว่ากบฏต่อพระพุทธเจ้าเสียแล้ว ไปสอนคริสเตียนเสียแล้ว ไปยกย่องคริสเตียนเสียแล้ว เขาก็ด่าว่าเป็นคนกบฏ เลยได้กำไรมากอีกเหมือนกัน ได้กำไรทั้งขึ้นทั้งล่อง ฝ่ายนั้นก็ด่า ฝ่ายนี้ก็ด่า
ใครเคยทำได้อย่างนี้บ้าง มีกำไรมาก คือถูกทั้งขึ้นทั้งล่อง นี่เรื่องที่มันจะต้องเอามาพูดกัน จะล้อหรือไม่ล้อก็แล้วแต่ แล้วใครควรจะเป็นผู้ถูกล้อ อาตมาควรถูกล้อหรือว่าคนที่ด่าอาตมานั่นแหละเป็นคนที่ควรจะถูกล้อ
00:45:12
เรื่องศาสนาแต่ละศาสนาเนี่ย เขามีวิธีปฏิบัติเป็นหลักการของเขาทั้งนั้น ถ้าหลักการนั้นมันสบเหตุผลตามธรรมชาติมันก็ได้ผลดี เดี๋ยวนี้เรามองเห็นว่าหลักการบางอย่างในศาสนาคริสเตียนนั้น เขาทำไว้ดี เขาทำให้ลูกเด็กๆ มีพระเจ้า เชื่อพระเจ้าอย่างมั่นคง เขาก็ไม่ทำบาปทำชั่วเพราะกลัวพระเจ้า ฝ่ายพุทธเราก็เหมือนกัน มีอะไรอันหนึ่งมาทำให้กลัวบาป อยากได้บุญ แล้วก็ไม่ทำบาป แต่วิธีการบางทีมันยังไม่แน่นแฟ้น ไม่เข้มแข็ง และย่อหย่อน จึงอยากจะใช้วิธีการบางอย่างของคริสเตียนที่ทำให้เกิดความเชื่ออย่างมั่นคงในสิ่งสูงสุดสำหรับศาสนา จึงแนะว่าวิธีการของคริสเตียนทุกอย่างเอามาดัดแปลงใช้กับอย่างของเราได้ เช่นว่าถือว่ามีพระเจ้าคือผู้สร้าง เราก็มีพระธรรมเจ้ามาเป็นผู้สร้าง เราต้องรัก เราต้องเชื่อฟัง เราต้องอ้อนวอนคือประจบพระเจ้า คือพยายามทำให้ดีที่สุด ให้ถูกใจพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้ทำดี ก็ทำดีที่สุด พยายามทำดีที่สุดนั่นแหละคือการอ้อนวอนพระเจ้า ทีนี้เราต้องขอบคุณพระเจ้า ลูกเด็กๆ เนี่ยสอนให้มันขอบคุณพระเจ้า ถ้ามันยังไม่รู้ว่าอะไรก็สุดแท้แต่ขอให้มันเชื่อว่ามีพระเจ้า มีพระธรรมะเจ้า มีอะไรเป็นสิ่งสูงสุด นั่นแหละมันทำให้เรารอดชีวิตอยู่ได้ หรือสร้างเราให้เกิดขึ้นมา ฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงและขอบคุณ เช่นว่าได้กินอาหารเพราะอำนาจของพระเจ้าจึงมีอาหารกิน และได้กินอาหาร และไม่ตายเสียในวันหนึ่งหนึ่ง พอจะนอนก็ขอบคุณพระเจ้าว่าได้ช่วยสร้างให้รอดชีวิตมาวันหนึ่งๆ มันก็คือยึดถือในพระธรรมมากขึ้นนั่นเอง ที่เรียกว่าพระธรรมไม่ขลังสู้เรียกพระเจ้าไม่ได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า หรือขอบคุณพระธรรม ก็แล้วแต่จะชอบ ถ้าทำผิดต้องขอโทษ ให้พระเจ้ายกบาป
เราหัวเราะเยาะพวกคริสเตียน อาตมาก็เคยหัวเราะเยาะว่ายกบาปอะไรกัน พระจะมายกบาปให้ชาวบ้านได้อย่างไร เราไม่รู้เรื่องนี้ถึงที่สุด พระก็เป็นผู้แทนพระเจ้า ช่วยยกบาปให้ชาวบ้านเมื่อชาวบ้านทำผิด ก็ไปสารภาพกับพระ พูดจากันให้ถึงขนาดที่ว่า เสียใจอย่างยิ่ง จะเลิกละความชั่วอันนี้ ขอให้พระเจ้ายกโทษ โปรดให้เป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป วิธีการอันนี้มันก็มีประโยชน์คือทำให้คนไม่ปกปิดความชั่ว ถ้าวิธีการอันนี้บ้าบอแล้ว วิธีการแสดงอาบัติของพระสงฆ์นี้ก็บ้าบอเหมือนกัน ถ้าไม่บ้าไม่บอมันก็ไม่บ้าไม่บอด้วยกัน ในการที่จะทำตนหรือชำระตนให้สะอาดมันมีวิธีอยู่อย่างนี้ พวกคริสเตียนเขาทำจริงจังยิ่งกว่าเรา ทุกโบสถ์มีที่ที่สำหรับจะรับบาป จะแก้บาปแล้วก็ทำกันจริงๆ จังๆ ดูคล้ายกับว่าช่างมีบาปมากเสียเหลือเกิน เราไม่ไปแก้บาปเพราะมันปกปิดเอาไว้ เพราะหมักหมมเอาไว้ ระวังให้ดี เดี๋ยวจะเต็มไปด้วยบาป
เพราะฉะนั้นอย่าไปดูถูกหลักการหรือวิธีการของคริสเตียน ถ้าเอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ ก็เอามาใช้ก็แล้วกัน เขาสงวนลิขสิทธิ์ไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องสมมุติ
รวมความว่าการศึกษาคริสเตียน ทำความเข้าใจระหว่างคริสเตียนนี้จะมีประโยชน์แก่โลก โลกจะมีสันติได้เพราะมนุษย์มีความรักผู้อื่น และเป็นอันว่าประกาศตัว เปิดเผยเสียทีว่า อาตมาไม่ได้นิยมคริสเตียน หรือว่าเปลี่ยนศาสนาไปถือคริสเตียนและก็สอนคริสเตียน แต่ต้องการให้ทุกศาสนามันเข้ากันได้ ร่วมมือกันได้ ก็เพราะมันมีเหมือนกันโดยหัวใจ โดยจิตใจ เราก็ควรจะสนิทสนมกันได้ ไม่ตั้งข้อรังเกียจเกลียดชังด้วยกิเลสเดิมๆ ที่มันมีมึงมีกู มีสูมีกู แล้วมันก็มุ่งร้ายต่อกัน ไม่ไว้ใจกัน ระแวงกันอยู่ตลอดเวลา เผลอเข้าวันหนึ่งมันก็ทำร้ายกัน
ฉะนั้นเรามาตั้งปณิธานกันเสียใหม่ว่าจะทำความเข้าใจระหว่างศาสนา ให้ร่วมมือกันได้ คือเป็นมนุษย์กันก็แล้วกัน มีธรรมะสำหรับความสงบสุขในหมู่มนุษย์ก็แล้วกัน อย่าต้องเป็นพวกนั้นพวกนี้ หรือจะเอาความสุขแต่พวกตัว ให้พวกอื่นเป็นทุกข์เพราะเป็นพวกอื่น อย่างนี้มันไม่ถูกแน่ เป็นความเห็นแก่ตัวที่มันเข้มข้นจนไม่ยอมเปิดโอกาสหรือเปิดช่องให้ผู้อื่นก็เป็นเหมือนเราได้ อาตมายังยืนยันต่อไปตามเดิมว่า ถ้าเขาเป็นคริสเตียนที่ดีเขาก็เป็นชาวพุทธที่ดีรวมอยู่แล้วในนั้นเสร็จ หรือว่าถ้าใครเป็นชาวพุทธที่ดีก็จะมีความเป็นคริสเตียนรวมอยู่ในนั้นเสร็จ คือก็ต้องรักผู้อื่นนั่นเอง ฉะนั้นเรามีความรักผู้อื่นมันก็พอแล้วที่จะเป็นได้คราวเดียวทั้ง 3 ชนิด คือเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นอิสลามก็ได้ ถ้าเรามีความรักผู้อื่น เพราะว่ามันดีด้วยกันทุกศาสนา ถ้ามันรักผู้อื่น ที่เราแยกเป็นเขาเป็นเรา มันรักกันไม่ได้นั่นแหละมันจะผิดต่อหลักศาสนาแม้ของตนเอง การที่เรารักพวกคริสเตียนไม่ได้นั่นแหละคือเราจะไม่เป็นพุทธบริษัท ระวังให้ดี มันจะผิดหลักศาสนาของตนเอง ไม่อาจจะรักผู้อื่นในฐานะเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าลงสร้างความระแวงขึ้นมาแล้ว ไม่เท่าไหร่ก็จะต้องได้เป็นข้าศึกไปพลัน ฉะนั้นต้องขจัดออกไปเสียสำหรับความยึดมั่นถือมั่น เป็นกูเป็นสู เป็นเขาเป็นเรา ต้องไม่มี เพราะว่ามันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเขาจะมาเอาชาวพุทธทั้งหมดไปเป็นชาวคริสต์ที่ดีก็ยกให้เลย เป็นชาวคริสต์ที่ดีในโลก แต่อย่าลืมว่าถ้ามันเป็นชาวคริสต์ที่ดีมันก็เป็นชาวพุทธที่ดีเหมือนกัน พร้อมกันไปด้วย ปัญหามันก็ไม่ควรจะมีในข้อนี้ ถ้าเราไปเพ่งเรื่องทางวัตถุ ประโยชน์ทางวัตถุ เราก็จะยอมกันไม่ได้ ถ้าเราเพ่งในส่วนที่เป็นธรรมะอันลึกซึ้งสูงสุดแล้วมันก็ไม่มีที่จำเป็นจะต้องขัดขวาง หรือจะต้องยินยอมอะไร ที่ไหน มันเป็นไปเองของมัน เป็นตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่ว่ามันมีความถูกต้องอย่างไร แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น เราเป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจสูง มีจิตใจกว้าง รักผู้อื่นได้ด้วยจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้น นั่นแหละคือปัญหามันจะหมด เดี๋ยวนี้เราทำไม่ได้ เขาเป็นเขา เราเป็นเรา เขาจะกลืนเรา เราก็จะกลืนเขา มันก็เลยได้ทะเลาะวิวาทกัน สงครามศาสนาก็จะเกิดขึ้นได้เพราะเหตุนี้ เพราะแต่ละฝ่ายไม่เข้าถึงหัวใจแห่งศาสนาของตนๆ นั่นเอง การศึกษาศาสนาอื่นเพื่อให้เข้าใจ เพื่อให้รักกันได้นี้ คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ ควรกระทำ ขอให้เราตั้งใจในการที่จะไม่มีศัตรู ไม่มีผู้อื่นซึ่งเป็นศัตรู มันตรงตามหลักของพระศาสนานั้นๆ
เป็นอันว่าอาตมาไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้สอนศาสนาคริสเตียน แต่ต้องการให้ทุกศาสนาเนี่ยเข้าใจกันและกัน ร่วมมือกันสร้างสันติสุขให้แก่มนุษย์ทั้งโลกเท่านั้น อุบายวิธีจะมีอย่างไร ก็ไปคิดกันดู ไปช่วยกันคิดดู วิธีไหนจะลัดสั้นที่สุดก็ใช้วิธีนั้น เนี่ยปัญหาเกี่ยวกับเรื่องศาสนาคริสเตียน
00:56:00
ทีนี้ก็จะพูดเรื่องถัดไปอีก ก็มาถึงเรื่องคอมมิวนิสต์ อันนี้สับสนที่สุดที่อาตมาถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เคยมีบัตรสนเท่ห์แจกทั่วประเทศว่าอาตมากับท่านปัญญาเป็นคอมมิวนิสต์อย่างนี้ก็มี แต่แล้วมันก็เงียบหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ มีคนส่งมาให้ที่นี่ก็หลายแผ่น บอกว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ เขาใช้คำว่าคอมมิวนิสต์ยาสั่ง คือไม่ได้ทำเดี๋ยวนี้แต่วางแผนการไว้ในอนาคตสำหรับทุกคนจะเป็นคอมมิวนิสต์
ทีนี้ก็ลองฟังดูสิว่าอาตมาจะเป็นคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร พูดอยู่ตลอดเวลาว่าเราจะฆ่าคอมมิวนิสต์ด้วยความรักผู้อื่น จะทำให้ศาสนานี้เป็นยาพิษสำหรับทำลายคอมมิวนิสต์ หรือโทษอันตรายที่เกิดจากลัทธิคอมมิวนิสต์จะถูกขจัดออกไป คนที่เขาได้รับประโยชน์จากการกล่าวหาอาตมาว่าเป็นคอมมิวนิสต์เนี่ย เขาเป็นผู้โฆษณา จะด้วยอิจฉา หรือจะด้วยหวังอะไรก็ไม่ทราบ แต่ว่าเขาได้รับประโยชน์ถ้ามีการพูดกันขึ้นว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์มันเข้ามาเกี่ยวข้องกับอาตมาในลักษณะอย่างนี้
เรียกว่าถูกด่าก็มี แล้วถ้าว่าโฆษณาบัตรสนเท่ห์นั้นมันประสบความสำเร็จนะ มีคนเชื่อนะ เข้าใจว่าก็จะกล่าวได้ว่าคนไทยตั้งแต่ 80-90% เนี่ยก็จะเกลียดอาตมาเข้ากระดูกดำ เพราะว่าคนตั้ง 80 % เกลียดคอมมิวนิสต์ เพราะมีการทำให้เชื่อได้ว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ คนตั้ง 80% นั้นมันก็จะเกลียดอาตมา ถ้าคนมันมีในประเทศไทย 40 ล้านคน 80% มันก็กว่า 30 ล้านคน ที่จะมารุมกันเกลียดอาตมาว่าเป็นคอมมิวนิสต์
เรื่องมันก็ดูใหญ่โตอยู่ ทีนี้มันก็ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ ยังมีธรรมะสำหรับจะช่วยกำจัดโทษร้ายในโลกนี้ จะเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์ ลัทธิอะไรก็ตามใจ มันก็ไม่มีใครเชื่อกันกี่คนว่าอาตมาเป็นคอมมิวนิสต์ ดูจะไม่มีใครเชื่อ แต่ว่ามีคนอิจฉา ก็แกล้งว่า แกล้งโฆษณาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้าใครจะว่าเป็นคอมมิวนิสต์เราก็ทำอะไรไม่ได้ เราก็ว่าเขาไม่ได้ แต่อยากจะพูดว่า ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์จริงก็จะเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่าคอมมิวนิสต์ที่เขาเป็นๆ กันอยู่แล้ว คอมมิวนิสต์นี้ก็แปลกนะ เขามีความมุ่งหมายที่จะทำโลกให้เป็นสุขสงบสุขเหมือนกัน คุณอย่าไปเข้าใจคอมมิวนิสต์ผิดไปเสียโดยประการทั้งปวง ไปดูสิ หลักการของลัทธิคอมมิวนิสต์ เขาก็มุ่งหมายว่าจะให้โลกนี้มีสันติ มีความสงบสุข แต่เหตุผลของเขามันต่างจากเรา วิธีการของเขามันต่างจากเรา วิธีการที่จะสร้างสันติสุขขึ้นในโลก มันไม่เหมือนกับของเราชาวพุทธ ชาวพุทธนี้ก็ต้องการจะให้โลกมีสันติ คอมมิวนิสต์ก็ต้องการให้โลกมีสันติ นี่มันเหมือนกันตรงนี้ คอมมิวนิสต์กับพุทธศาสนาเหมือนกันที่ตรงนี้ แต่พอไปดูวิธีการที่จะให้โลกมีสันติมันกลับต่างกัน คอมมิวนิสต์เขาต้องฆ่าพวกหนึ่งให้หมดไป โลกจึงจะมีสันติ เขามีหลักอย่างนั้น เรามันมีหลักว่า ทุกคนต้องรักกันจนไม่มีเขาไม่มีเรา โลกนี้จึงจะมีสันติ ถ้าเราทำได้อย่างนี้เราก็เป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่า คอมมิวนิสต์ที่ประเสริฐกว่าตรงที่เราทำให้โลกนี้มีสันติ ด้วยวิธีการอย่างนี้จึงไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ นี่ถ้าจะเป็นคอมมิวนิสต์กันแล้วก็ขอให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่ดีกว่า ที่เหนือกว่าคอมมิวนิสต์กันอย่างนี้ มันก็ยังดียังมีประโยชน์แก่โลกเพราะว่าช่วยกันสร้างสันติภาพให้โลก
พูดอย่างนี้มันก็หมิ่นเหม่ สำหรับจะถูกจับไปเป็นคอมมิวนิสต์ไม่พูดดีกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ดี ความมุ่งหมายที่จะสร้างสันติในโลกนี้ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา ขอให้เข้าใจอย่างนี้ อาตมาไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ เพราะรู้ว่ามันอะไรคืออะไร แต่ก็มีคนแต่งตั้งให้เป็นคอมมิวนิสต์ ชั้นเอกเสียด้วย ขอให้ทุกคนมีศาสนาของตน เข้าถึงศาสนาของตน แล้วก็เข้มแข็งพอที่จะรับหน้าคอมมิวนิสต์ อย่าไปหลงโง่เขลาว่าคอมมิวนิสต์มาพุทธศาสนาหมด พุทธศาสนาไม่เลวถึงขนาดนั้น พุทธศาสนาไม่อ่อนแอถึงขนาดนั้น พุทธศาสนาไม่เปราะถึงขนาดนั้น พุทธศาสนาต้องเป็นเหมือนภูเขา คอมมิวนิสต์เข้ามาเอาหัวชนภูเขามันก็ต้องตายเอง เรามีธรรมะที่เป็นหัวใจของพระศาสนาให้ถึงที่สุดเอาไว้ มันก็จะต่อต้านคอมมิวนิสต์ กำจัดคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์เข้ามาหาก็หมดไปเอง เหมือนอย่างที่ว่าเป็นยาพิษสำหรับกำจัดศัตรูพืชคือความรักผู้อื่น
เดี๋ยวนี้เราก็รักได้แม้แต่รักคอมมิวนิสต์คือเราสงสารเขา อยากให้เขากลับใจเสียใหม่ให้ถูกต้อง ให้เขารู้จักรักผู้อื่น ความคิดที่จะฆ่าพวกนายทุนมันก็หมดไปเอง มันก็ไม่มีปัญหาเหลืออยู่ เพราะว่าทุกคนอยู่ด้วยกันด้วยความรักเพื่อนมนุษย์ เอาหล่ะเรื่องคอมมิวนิสต์มันก็มีอย่างนี้ ใครควรจะถูกล้อ อาตมาควรจะถูกล้อหรือว่าคนที่กล่าวหาควรจะเป็นผู้ที่ถูกล้อ
01:03:40
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่สำคัญยิ่งขึ้นทุกที ที่เขากล่าวหาว่าอาตมาสอนผิดๆ เกี่ยวกับเรื่องปฏิจจสมุปบาท เขามีสอนปฏิจจสมุปบาทอย่างคร่อมภพ คร่อมชาติตามหลักการของศีลธรรม เพื่อให้คนกลัวบาปกลัวกรรมไปตามแบบของศีลธรรม นั้นก็มีอยู่อย่างหนึ่ง ส่วนหนึ่ง แล้วก็มีมานานแล้ว ทีนี้เรามาบอกว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นน่ะมันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องดีกว่านั้น มันต้องเร็วกว่านั้น คือว่าในชาติหนึ่งนี้หรือแม้แต่ในวันหนึ่งนี้ มันก็มีปฏิจจสมุปบาทเป็นวงๆ ไป เกิดขึ้นทีไรเป็นทุกข์ทุกที เราต้องป้องกันไม่ให้เกิดหรือพอเกิดขึ้นมาก็หยุดเสียให้ได้ ทำลายเสียให้ได้ แล้วเราก็อยู่เหนือความทุกข์ ถ้าเราทำได้อย่างนี้เราก็ไม่ต้องเวียนว่ายไปในกองทุกข์ ในชาติหน้า ในชาติหลัง มันก็ป้องกันเสียได้ด้วยการประพฤติกระทำที่ถูกต้องในชาตินี้ คือไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดความทุกข์ตามแบบของปฏิจจสมุปบาท
แล้วอาตมาก็ไม่ได้บอกเลิก ไม่ได้คัดค้านในปฏิจจสมุปบาทแบบที่เขาสอนกันอยู่เดิม ขอให้เขาสอนกันไปตามเดิม แบบคร่อมภพ คร่อมชาติ เข้าใจง่ายฟังง่ายสำหรับคนพวกหนึ่ง มีประโยชน์ทางศีลธรรม แต่ถ้าพูดอย่างปรมัตถธรรมกันแล้ว มันก็พูดอย่างนี้ว่า พูดกันเสียใหม่ว่าไม่ต้องคร่อมภพ คร่อมชาติ หรือว่าถ้าจะให้คล่อมภพ คร่อมชาติก็ได้เหมือนกัน แต่ต้องอธิบายคำว่าชาติกันเสียใหม่ คือคำว่าชาติชนิดที่เกิดตัวกูขึ้นมาครั้งหนึ่ง นี่เรียกว่าชาติ ฉะนั้นในวันหนึ่งเราก็มีได้หลายชาติ หลายสิบชาติ มันก็คร่อมภพ คร่อมชาติกันอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ต้องเข้าโลง ก็มีการเกิด การดับ คร่อมภพ คร่อมชาติได้มาก นี้เรียกว่าเป็นปฏิจจสมุปบาทที่อธิบายตรงตามพระพุทธประสงค์
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจนมาก ถ้ามีเวทนา มีตัณหา แล้วก็มีอุปาทาน มีภพและมีชาติ วันหนึ่งเรามีตัณหาร้อยครั้งเราก็มีชาติร้อยครั้ง จนกว่าจะตายก็มีกันเป็นหมื่นชาติ แสนชาติก็ได้ พระบาลีปฏิจจสมุปบาทตรัสไว้ชัดเจนอย่างนั้น เมื่อใดมีตัณหาก็จะมีอุปาทาน มีภพ มีชาติไม่ต้องรอต่อตายแล้วเข้าโลงไปแล้ว แล้วคนเรามันมีตัณหาได้เป็นสิบๆ ครั้ง เป็นร้อยๆ ครั้ง ฉะนั้นมันก็ต้องจัดการให้มันถูกเรื่องกัน ก็ว่าที่มันมีตัณหา มีกิเลส มีชาติ มีทุกข์เป็นร้อยๆ ครั้ง ทำอย่าให้มันเกิดเสียได้ที่นี่ มันก็ไม่มีทางที่จะเกิดในชาติหน้า ถ้าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง มันก็มี แต่ว่าเรื่องที่ต้องทำมันต้องทำที่นี่ ต้องทำที่ชาตินี้และมีผลไปถึงชาติอื่นๆ เราจะให้มันผูกพันกันจนแก้ไขไม่ได้ จนระงับมันไม่ได้เนี่ย มันไม่มีประโยชน์อะไร เราต้องแก้ไขให้มันได้ทุกทีที่ความทุกข์เกิดขึ้น มีปฏิจจสมุปบาททีไรก็มีความทุกข์ทีนั้น เนี่ยชาตินี่ทำความเข้าใจยาก คำว่าชาติเกิดจากท้องแม่นั้น มันก็จริง ตายคือร่างกายนี้ทำลายไปนั้นมันก็จริง แต่ถ้าไม่มีชาติชนิดที่เกิดด้วยอุปาทานแล้ว มันก็ไม่มีความหมายอะไร เกิดจากท้องแม่หรือแก่ หรือตาย อันนี้ไม่มีความหมายอะไรถ้าไม่มีชาติที่เป็นตัวกู ของกูเกิดอยู่ในใจก่อน การเกิดจากท้องแม่นี่มันก็เกิดแล้ว แล้วมันก็ตายด้านอยู่อย่างนั้น ไม่มีทุกข์สุขอะไร จนกว่าเมื่อใดจะเกิดชาติตัวกู ของกูแบบตัณหา อุปาทานขึ้นมาในใจนี่ มันมีตัวกูขึ้นมาอย่างนี้แล้วมันจึงไปรับเอาชาติที่เกิดจากท้องแม่หรือแก่ตามธรรมชาติ ตายตามธรรมดานั่นแหละ เอามาเป็นของกู มันจึงมีทุกข์เกิดขึ้นมาเพราะเกิด แก่ เจ็บ ตายในความหมายธรรมดา ถ้าไม่มีชาติในความหมายพิเศษคือในภาษาธรรมแล้ว ชาติในความหมายธรรมดาไม่มีความหมายอะไร นอนตายด้านอย่างนั้น ไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรได้ พอมีชาติเป็นตัวกูด้วยอุปาทานขึ้นมา อะไรก็จะลุกขึ้นมา ประดังหน้ากันขึ้นมาทีเดียว ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายของกูก็จะมีความหมายขึ้นมา เกิดความกลัว เกิดความหวาดระแวงอะไรขึ้นมา นี่ความเกิด แก่ เจ็บ ตายก็เป็นทุกข์ขึ้นมาเพราะว่าเรามีชาติชนิดที่เป็นตัณหา อุปาทาน ทีนี้คำว่าชาติในปฏิจจสมุปบาทนั้นพระพุทธเจ้าท่านประสงค์ชาติชนิดนี้ ชาติที่เป็นตัณหา อุปาทาน อุปาทานว่าเรา ว่าของเราเนี่ย มันได้เกิดขึ้นเมื่อไร แล้วก็อะไรๆ ทั้งหมดก็จะมาเป็นปัญหาแก่จิตชนิดนั้น ความได้ ความเสีย ความแพ้ ความชนะ อะไรมันก็มามีปัญหา เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา มันจึงว่าเกิดทุกทีแล้วก็เป็นทุกข์ทุกที เกิดเป็นความรู้สึกเป็นตัวกูขึ้นมาทีไรจะต้องเป็นทุกข์ทุกที สิ่งที่มีมันอยู่ใกล้ที่สุดมันจะเข้ามารบกวนความรู้สึก เช่นความเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ก็จะวิ่งเข้ามาเป็นปัญหา แล้วประเภทที่ว่ามันเป็นความทุกข์ทนยากอย่างอื่น โสกะปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสก็จะมีความหมายความขึ้นมา ความกระทบกับสิ่งที่ไม่รัก ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ปรารถนาสิ่งใดแล้วก็ไม่ได้ตามที่ต้องการมันก็จะเข้ามา เพราะมันมีที่ตั้งคือตัวกู ถ้าไม่เกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวกู มันก็ไม่มีที่ตั้ง สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่รู้จะเข้ามาได้อย่างไร เข้ามาตั้งที่ไหน มันไม่มีที่ตั้ง นั่นแหละคือชาติในความหมายภาษาธรรม มันได้เกิดขึ้นแล้ว มันก็เป็นที่ตั้งแห่งชาติในภาษาคน ชาติภาษาคนเกิดจากท้องแม่ ชาติภาษาธรรมเกิดจากตัณหา อุปาทาน ชาติในภาษาธรรมต้องเกิดก่อน แล้วชาติในภาษาคนจึงจะมีที่ตั้งที่อาศัย เนี่ยเป็นความทุกข์ที่น่าหวาดกลัวขึ้นมาอย่างนี้
01:11:52
อาตมาอธิบายอย่างนี้ด้วยความเชื่อว่าตรงตามพระพุทธประสงค์ ตรงตามกระแสพระพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้าในการตรัสเรื่องปฏิจจสมุปบาท ทีนี้ก็อธิบายออกมาหลังจากที่ได้งมงายค้นคว้ามาตั้ง 50 ปีเห็นจะได้ อาตมาสนใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทมาตั้งแต่แรกบวชหรือก่อนบวช แล้วก็อธิบายผิดๆ ถูกๆ เรื่อยมา ตั้งหลายปี 20 ปีเห็นจะได้ เพิ่งมาเข้าใจถูกต้องเป็นเงื่อนงำขึ้นมาจนมีความแน่ใจว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วก็อธิบายไว้อย่างนี้ ก็มีคนค้าน คนด่า คนค้านคนด่านั้นเขาเพิ่งมาศึกษาหรือว่าสนใจเรื่องนี้แล้วก็มาค้านมาด่า ซึ่งอาตมาได้สนใจเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนเขาเกิดนู่น ก่อนที่เขาเกิดเราสนใจเรื่องนี้มาแล้ว มันก็ได้ผลเป็นอย่างนี้ แล้วก็พูดขึ้นไว้ แล้วคนที่เพิ่งสนใจเมื่อวานนี้ เขาก็ด่าเราได้ ก็เป็นเรื่องนี้ที่น่าหัวหรือน่าล้อเพราะว่ามันมีกำไรมากเกินไป ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าปฏิจจสมุปบาทนี้จะมีอยู่เป็น 2 ชนิด ชนิดเพื่อศีลธรรมคร่อมภพคร่อมมชาติก็ว่ากันไปตามแบบเดิม ไม่ต้องยกเลิก เขาว่าอาตมาเป็นมิจฉาทิฐิ เป็นเจ้าลัทธิ ตั้งลัทธิใหม่ ยกเลิกของเดิมมาบัญญัติใหม่ นี่ไม่จริง ของเดิมที่จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสนั่นคือหลักปฏิจจสมุปบาทที่เราเพิ่งศึกษาพบเพิ่งสังเกตเห็นและอธิบายเป็นปฏิจจสมุปบาทในภาษาธรรมไม่ต้องคร่อมภพ คร่อมชาติชนิดที่เข้าโลง ถ้ามันยังคร่อมภพ คร่อมชาติ ภพชาติที่มันเกิดขึ้นได้วันหนึ่งหลายสิบ หลายร้อยภพ หลายร้อยชาตินั่นเอง มันก็มีการคร่อมภพ คร่อมชาติอยู่ในกระแสอันนี้ คือในวันหนึ่งก็มีการคร่อมภพ คร่อมชาติได้หลายครั้ง หลายหน ส่วนที่ไปคร่อมภพ คร่อมชาติโดยวิธีตายแล้วเข้าโลงนั่นน่ะมันสั้นมาก มันก็เพียงชาติเดียว 2 ชาติ มันน้อยมาก อย่างนี้แหละมันคร่อมภพ คร่อมชาติมากเสียกว่า จนนับไม่ไหวในวันหนึ่งๆ
เนี่ยปฏิจจสมุปบาทในภาษาธรรม ไม่ต้องรอต่อตายแล้วเข้าโลงไปจึงจะมีเรื่องครบปฏิจจสมุปบาท มันมีเรื่องปฏิจจสมุปบาทครบอยู่ในความรู้สึกคิดนึกครั้งหนึ่งคราวหนึ่งที่เกิดตัณหา อุปาทาน พอเผลอสติ มีผัสสะ มีเวทนา แล้วเกิดตัณหาอุปาทาน มันก็มีภพมีชาติครั้งหนึ่ง จะกินเวลากี่วินาที กี่นาทีก็ตามใจหรือตั้งวันก็ได้ นี่คือปฏิจจสมุปบาทที่น่ากลัว ควรจะสนใจก่อน ควรจะเข้าใจถูกต้องและควบคุมมันให้ได้ คือมีสติเพียงพอ แล้วไปทำวิปัสสนา ฝึกกันให้มีสติให้เพียงพอ ก็ด้วยอำนาจของสติจะช่วยคุ้มกันการเกิดแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ ให้เราคล่องแคล่วในการมีสติที่สุด ให้มีสติทันเวลาที่มีผัสสะและมีเวทนา แล้วตัณหาก็เกิดไม่ได้ อุปาทาก็เกิดไม่ได้ ภพชาติก็ไม่มี ในวันหนึ่งๆ ก็ไม่มีภพ ไม่มีชาติที่เป็นตัวทุกข์ เนี่ยประโยชน์ของการควบคุมปฏิจจสมุปบาทได้มันมีอยู่อย่างนี้
ปฏิจจสมุปบาทที่เป็นความจริงอย่างนี้เท่านั้นจึงจะสามารถควบคุมได้ หรือว่าได้รับประโยชน์อานิสงส์จากการที่ควบคุมได้ ถ้าความทุกข์มันมีอยู่ชาตินี้ แล้วไปควบคุมกันชาติหน้า มันจะมีประโยชน์อะไร คำว่าชาติอย่างเข้าโลงไปแล้ว ความทุกข์มันอยู่ในชาตินี้แล้วจะไปกำจัดความทุกข์หลังจากเข้าโลงไปแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร หรือมันอยู่กันคนละชาติอย่างนั้น มันก็ทำอะไรกันไม่ได้ แล้วก็มันนานเกินไป มันไม่สมเหตุสมผลที่ว่าเกิดตัณหาทีไรต้องมีภพ มีชาติทุกที นั้นมีตัณหาทีหนึ่ง มันกินไปตั้ง 3 ชาติชนิดที่เข้าโลง แล้วมันก็ไม่มีเหตุผลที่ว่าเกิดตัณหาทีไรก็มีภพ มีชาติทุกที มองดูให้ดี ให้รู้จักตัณหา อุปาทานที่เกิดอยู่เป็นประจำวัน ว่านั้นน่ะคือตัวแท้ของปฏิจจสมุปบาท มีสติป้องกันไว้ให้ได้ อย่าให้มันเกิด ถ้าสติมันไม่พอก็รีบไปฝึกสติโดยวิธีกรรมฐาน ให้มีสติพอ มาทันเวลาทุกทีที่มีผัสสะและมีเวทนา อธิบายปฏิจจสมุปบาทที่ให้ทำให้สำเร็จประโยชน์คือปฏิบัติได้ ได้รับผลจริง กลับถูกด่าหาว่าเป็นเจ้าลัทธิ ลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า มาว่าเอาเองเสียใหม่ ข้อนี้มันช่วยไม่ได้เพราะว่าเขาเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง แล้วอาตมาเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกอย่างหนึ่ง พอเอามาเทียบกันเข้ามันก็ต้อง เรียกว่ามันขัดขวางกันโดยประการทั้งปวง แล้วกล่าวหากันว่าท่านอธิบายผิด ข้าพเจ้าเท่านั้นอธิบายถูก มันจะเป็นอย่างไรก็ลองนึกดู
นี่เอามาพูดให้ฟังว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทอันลึกซึ้งกว่าเรื่องทั้งปวงนั้นน่ะ มันเกี่ยวข้องกับอาตมาอย่างนี้ เป็นเหตุให้ถูกคัดค้านบ้าง ถูกด่าบ้าง ถูกประณามบ้าง มันก็เหมือนกับว่าสาดโคลนมาโดยความเข้าใจผิด ก็ให้อภัยได้
01:18:45
เอ้า ทีนี้ก็มาถึงเรื่องกรรม พูดเรื่องกรรมกันดีกว่า พูดถึงเรื่องกรรมนี่ก็อย่างเดียวกันอีกแหละ ถ้าพูดโดยภาษาคน มันก็คือทำกรรมก็ได้รับผลกรรม ทีนี้ก็ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ ภาษาคนมันแย่อย่างนี้ เรามีกรรมเป็นของตัว ไม่พ้นจากกรรมไปได้ ต้องเป็นไปตามกรรมเสมอ นี่พูดภาษาคน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสอย่างนี้ แต่ที่ท่านตรัสเนี่ย อยู่เหนือกรรมน่ะ คือการทำกรรมชนิดที่ไม่ดำไม่ขาว เป็นกรรมชนิดที่ทำลายตัวตนเสียได้ ก็เลยไม่ต้องเป็นไปตามกรรม ไม่มีการกระทำกรรม ไม่ต้องเป็นไปตามกรรม เนี่ยกรรมในพระพุทธศาสนาเนี่ย ต้องไกลไปถึงนั่นนะ ไม่ใช่มาหยุดอยู่ตรงที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไม่ใช่ว่าหยุดอยู่ตรงนี้ ถ้าหยุดอยู่เพียงแค่นี้แล้วศาสนาอื่นเขาก็สอน พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงพวกกรรมวาทีเหล่าอื่น เดียรถีย์อื่น ไม่ใช่เดียรถีย์นี้ เขาก็สอนเรื่องกรรมกันอยู่แล้ว แล้วก็ไม่ได้บอกถึงเรื่องสิ้นกรรมหรือเหนือกรรม กรรมในลัทธิอื่นมันมีอยู่ที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วมันก็จบอยู่แค่นั้น แล้วก็ทนทรมานไปตามกรรม ทีนี้พุทธศาสนาต้องการให้มีกรรมอีกชนิดหนึ่ง ทำความสิ้นสุดให้แก่กรรมเหล่านี้ แล้วก็อยู่เหนือกรรม อย่างนี้จึงจะเป็นพุทธศาสนา กรรมอันนี้ก็คือการกระทำให้มันถูกต้องจนเกิดความรู้แจ่มแจ้งขึ้นมาจริงๆ ว่าไม่มีใครทำกรรม ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย
คนที่เขาโกรธมากน่ะเขาสอนเรื่องผลกรรม ทำในชาตินี้ได้ในชาติหน้า เขาไปเน้นความมีตัวตนอย่างนั้น พอเราไปบอกว่าไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย เขาก็โกรธใหญ่ ประณามอาตมาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เลิกร้างเรื่องกรรม
อาตมาไม่ได้เลิกร้างเรื่องกรรม แต่บอกเรื่องกรรมในพุทธศาสนาให้ถึงที่สุดคือถึงขั้นที่เป็นกรรมที่ทำความสิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลาย กรรมดำ กรรมขาว กรรมด่าง มันเจือกันระหว่างดำกับขาวเนี่ย มันเป็นเรื่องหมุนไปตามกรรม เราจะต้องมีกรรมอีกชนิดหนึ่ง ไม่ดำไม่ขาว มาเลิกร้างกรรมเหล่านี้เสียให้หมด คือเรื่องของอริยมรรค อริยมรรคเป็นกรรมไม่ดำไม่ขาว ที่จะมากำจัดกรรมดำกรรมขาวคือดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ กุศลอกุศลนี้เสียให้หมด นี่คือกรรมในพุทธศาสนา
พอเราพูดมาถึงอย่างนี้เขาก็หาว่า อ้าวเลิกลัทธิหมดแล้ว เลิกลัทธิเรื่องกรรม ไปตามกรรม จะมาติดตันอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร มันพ้นกรรมไปไม่ได้ ก็ต้องไปให้ถึงจุดที่เรียกว่าพ้นกรรมตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เขาจะมายืนยันเรื่องกรรม แล้วก็ยืนยันอย่างประหลาดที่สุดแหละ เป็นเรื่องที่เขาถือว่าเขาเก่งที่สุด ที่เขาจะพูดเรื่องกรรมให้มีผลกรรมเข้ารูปเข้าแบบกัน อย่างในอรรถกถาที่ว่า คนคนหนึ่งมันเอาเชื้อเพลิงพันรอบคอสัตว์ตัวหนึ่ง แล้วมันจุดไฟ อันนี้คือการทำกรรม แล้วมันก็ตายไป ไปเกิดเป็นกา แล้วกาตัวนั้นก็บินไปในอากาศ ไปถึงที่แห่งหนึ่งไฟกำลังไหม้บ้าน ก็สังเวียนหม้อที่กำลังลุกเป็นไฟปลิวขึ้นไปในอากาศเพราะความดันของไฟ แล้วกาตัวนั้นก็บินมาพอดี หัวลอดเข้าไปในบ่วงสังเวียนหม้อ แล้วมันก็เลยตายอยู่ในรูปแบบเดียวกับที่มันเคยทำแก่สัตว์ตัวหนึ่งในชาติก่อน เขาต้องการจะอธิบายเน้นให้หนัก นี่ให้กลัวบาป กลัวกรรมกันเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็หยุดอยู่แค่นี้ เราไม่เห็นด้วย เราต้องการให้มันออกไปถึงขนาดที่เรียกว่าพ้นกรรม คือเรื่องที่ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย ไม่มีตัวไม่มีตนที่จะเป็นสัตว์ เป็นบุคคล คนหนึ่งพูดภาษาธรรม คนหนึ่งพูดภาษาคน มันก็เข้าใจกันไม่ได้ แล้วผู้ที่ต้องการจะพูดภาษาธรรม ให้เรื่องกรรมมันเป็นถึงที่สุดนี้ก็กลายเป็นฝ่ายที่ถูกด่า ถูกหาว่าเลิกหลักลัทธิกรรมที่ถูกต้อง ไปว่าเอาเองใหม่ว่า ไม่มีกรรม ว่า อยู่เหนือกรรม ว่า ไม่มีใครเกิด ว่า ไม่มีใครตาย
ขอให้ช่วยสังเกตกันไว้ดีๆ อาตมาไม่ได้เลิกเรื่องกรรม คงมีอยู่แต่ไม่ยอมหยุดที่อยู่ที่ตรงนั้นว่ามันติดอยู่กับกรรมนั้นตลอดไป เราจะต้องหมดกรรม เหนือกรรม สิ้นกรรมให้จนได้ คือการบรรลุมรรคผลขั้นสุดท้ายนั่นเอง นี้จึงจะเตือน ขอเตือนอีกครั้งหนึ่งว่า พระพุทธภาษิตที่ว่า เรามีกรรมเป็นของตัว ไม่พ้นจากกรรมนี้ไปได้ ก็มีอยู่ แต่พระพุทธภาษิตที่แสดงความสิ้นไปแห่งกรรมก็มีอยู่ นั่นน่ะคือจุดมุ่งหมาย คือเป็นพระนิพพาน พระนิพพานต้องอยู่เหนือกรรม ต้องเป็นความสิ้นกรรม พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้ ถ้าคนมันโง่มันก็จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าตรัสอะไรไม่คงแก่ร่องแก่รอย ไม่ยุติ เดี๋ยวว่าพ้นจากกรรมไปไม่ได้ เดี๋ยวว่าพ้นจากกรรมได้ ว่า เดี๋ยวต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายไปได้ เดี๋ยวก็ว่าพ้นได้จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่คนโง่มันก็จะกล่าวหาพระพุทธเจ้าว่าพูดอะไรไม่คงแก่ร่องแก่รอย เมื่อเขากล่าวหาพระพุทธเจ้าได้ ทำไมเขาถึงจะกล่าวหาอาตมาซึ่งเป็นเด็กเล็กๆ ลูกศิษย์คนรับใช้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ มันก็ต้องได้ จึงไม่แปลกที่ใครเขาจะกล่าวหา หรือด่าว่าอาตมาพูดอะไรไม่คงแก่ร่องแก่รอย ไม่พูดตามที่เขาพูด แล้วก็ยกเลิกหลักเดิมๆ ของเขาเสีย นี้ไม่ถูก ไม่ได้ยกเลิก ยิ่งรับรองหนักขึ้นไปอีก เพราะมันเป็นอย่างนั้นจริง เป็นมาตามลำดับ ต้องพูดให้ชัดเลยว่าทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว คำว่าได้ไม่ต้องพูดถึงกัน เขาพูดกันว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว อาตมาว่ายังผิด ยังโง่ ต้องพูดว่า พอทำดีก็ดีเท่านั้นแหละ พอทำชั่วก็ชั่วเท่านั้นแหละ ไม่ต้องรอให้ได้ ขณะจิตหนึ่งประกอบด้วยกิเลส และขณะจิตถัดมาก็เป็นขณะจิตที่ทำกรรม คือคิดนึกไปตามอำนาจของกิเลส ทีนี้ขณะจิตที่ถัดมาอีกก็คือเป็นวิบาก ได้รับผลกรรมติดกันไปเลย ไม่ต้องรอเป็นชั่วโมง หรือไม่ต้องรอเป็นวัน เป็นเดือน เป็นชาติ เป็นเข้าโลงแล้วจึงจะได้รับผลกรรม นั้นไม่มี เพราะว่าการกระทำอย่างนี้บัญญัติแล้วว่าดี พอไปทำเข้าก็ดีเท่านั้นแหละ ไม่ต้องรอว่าได้ ได้ดี กรรมอย่างนี้มันชั่ว พอไปทำแล้วมันก็ชั่วทันที ไม่ต้องรอว่าจะค่อยได้ความชั่ว ได้ผลชั่ว พอทำแล้วมันชั่วทันที มันเป็นผลชั่วแล้ว จึงขอให้พูดเสียใหม่ อาตมาขอร้องว่าถ้าจะพูดให้ถูก ให้ดี ต้องพูดกันเสียใหม่ว่า ทำดี ดี ทำชั่ว ชั่ว พูดอย่างนี้ถูกกว่าที่จะไปพูดว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันต้องมีได้อีกทีหนึ่ง หรือบางทีก็เกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้ขึ้นมาทันที เกิดข้ามภพข้ามชาติ เลยเกิดสงสัยว่าคนนี้ทำไมทำบาปแล้วกลับรวย กลับมีชื่อเสียง คนนี้ทำดีแล้วกลับยากจน นี่มันก็เป็นปัญหามาก กฎของกรรมนั้นมีชัดเลยว่า ทำดีก็ดีทันที ทำชั่วก็ชั่วทันที ขณะจิตกลุ่มทีแรกเป็นกิเลส ขณะจิตกลุ่มถัดมาจากนั้นก็เป็นการกระทำกรรม เป็นมโนกรรมหรือออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรมก็ได้ และขณะจิตกลุ่มถัดมาอีกก็เป็นการได้รับวิบาก คือเป็นจิตดี จิตเลว จิตชั่ว หรือเป็นจิตอะไรก็ตาม แล้วแต่การกระทำกรรมนั้นอย่างไร เนี่ยมันแน่นอนอย่างนี้ สรุปแล้วก็ว่าเราไม่ได้เลิกสอนเรื่องกรรมอย่างที่เขาเชื่อกันอยู่ แต่เรามาพูดใหม่ให้มันชัด ให้มันสมบูรณ์ว่า เรื่องกรรมเป็นอย่างนี้และมีหนทางที่จะทำความสิ้นกรรม ให้หมดกรรม เป็นนิพพานได้
01:28:33
กรรมจะหมดไปได้ก็ต่อเมื่อมี มัคคญาณ(ฟังไม่ชัด) เห็นความไม่มีตัว ไม่มีตน ทำลายอุปาทานว่าตัวตนเสียได้ กรรมจึงจะสิ้นไป ดังนั้นเราจึงต้องมีความรู้ธรรมะ คือบรรลุธรรมะถึงขนาดที่ถอนอัตตา ตัวตนเสียได้ เอาหล่ะเป็นอันว่าไม่ได้เลิกถอนเรื่องกรรมที่เขามีอยู่อย่างครึ่งๆ กลางๆ จะได้เสริมยอดเรื่องกรรมให้ไปจนถึงที่สุด คือความสิ้นแห่งกรรมซึ่งมันมีอยู่อย่างนี้ ถ้าถูกด่าก็มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะเราต้องการจะพูดความจริง
นี้มันเร็วจริง เวลา
ในวงของปฏิจจสมุปบาทนั่นน่ะ มันมีกรรม มีผลกรรม แล้วมีกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำกรรม ปฏิจจสมุปบาทเริ่มต้นด้วยการกระทบทางอายตนะ เกิดผัสสะ แล้วเกิดเวทนา แล้วก็เกิดตัณหา ตัณหานี่คือกิเลส อุปาทาน ทีนี้พอเป็นภพ มันก็เป็นกรรม เป็นกรรมภพ พอหลังจากกรรมภพมันก็เป็นชาติ คือเป็นวิบากที่เกิดขึ้นมาเป็นชาติ แล้ววิบากอื่นๆ ที่เนื่องอยู่กับชาติมันก็มีเข้ามา คือความทุกข์เกี่ยวกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อะไรก็ตาม มันก็เข้ามา แฝงอยู่กับวิบากคือชาติ ฉะนั้นในวงของปฏิจจสมุปบาทอันแสนจะรวดเร็วนั่นน่ะ มันมีทั้งกิเลส มันมีทั้งกรรม มีทั้งการรับผลกรรมอย่างแน่นอนที่สุด ไม่ต้องไปรอต่อตายแล้ว ให้มองเห็นอย่างนี้ คือเป็นความรู้ที่ถูกต้อง ที่อาจจะปฏิบัติได้แล้วก็ได้รับผล ความรู้ที่ฟั่นเฝือนั้นมันปฏิบัติไม่ได้ เมื่อไม่ได้ปฏิบัติมันก็ไม่ได้รับผล เราต้องมีความรู้ชนิดที่ปฏิบัติได้ เนี่ย จึงจะได้รับประโยชน์สมตามความมุ่งหมายของพุทธบริษัทผู้นับถือพระพุทธศาสนา ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้รับพระพุทธศาสนา
01:31:38
เอ้า ขอให้ทนกันหน่อย แม้เวลามันจะไปตั้ง 2 ชั่วโมงแล้ว ก็จะพูดให้จบ
เรื่องถัดไปก็คือถูกด่าเพราะการอธิบายเรื่องวัฏสงสารกับนิพพาน วัฏสงสารกับนิพพานเป็นเรื่องที่แฝดกันอยู่เสมอ เพราะว่านิพพานเป็นเรื่องสิ้นสุดแห่งวัฏสงสาร จึงมีเรื่องวัฏสงสารกับเรื่องนิพพานที่เป็นเรื่องสิ้นสุดแห่งวัฏสงสาร เขากล่าวหาว่าอาตมาอธิบายเรื่องวัฏสงสารผิดจากพระพุทธวจน เพราะว่าเขาต้องการจะอธิบายให้เป็นสามชาติ ชาตินี้ทำกรรม ชาติหน้าได้รับผลกรรม แล้วก็มีกิเลสสำหรับจะทำกรรมต่อไปอีก มันคร่อมกันเป็นชาติๆ ชนิดที่เข้าโลง เขาเรียกว่าเวียนว่าย ตาย เกิดไปในวัฏสงสาร เป็นชาติชาติๆ ชาติๆ เกี่ยวกันอย่างนั้น เรียกว่าวัฏสงสาร กินเวลาตั้ง 3 ชาติจึงจะได้วัฏสงสารสักวงหนึ่ง
ทีนี้อาตมามาศึกษาแล้ว พิจารณาดูแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น อย่างนั้นมันนานเกินไป กิเลส ทำกรรมแล้วรับวิบากที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้ก็เป็นวัฏสงสารได้ ขณะจิตหนึ่ง กลุ่มแรกนี้เป็นกิเลส ขณะจิตกลุ่มถัดมาเป็นการทำกรรม ขณะจิตกลุ่มถัดมาเป็นการได้รับวิบาก แล้วมันก็วนกันอยู่อย่างนี้ ถ้าเรามีสติสมบูรณ์เพียงพอเราหยุดชะงักวัฏสงสารนี้ได้ หยุดชะงักกิเลสเสียได้ก็ไม่มีกรรม หรือว่าทำกรรมกันไป แล้วยังหยุดชะงักกรรม ไม่ยึดถือกรรม มีสติพอ มันก็ยังได้ แปลว่าเราควบคุมวัฏสงสารได้ตามสมควรแก่สติปัญญา ถ้ามีสติปัญญาก็ควบคุมกิเลสได้ นี่เรียกว่าวัฏสงสารมันก็หมดพิษๆ มันไม่ต้องรอต่อตายแล้วตั้ง 3 ชาติ ในวันหนึ่งเนี่ยก็มีวัฏสงสารได้หลายๆ วง เกิดกิเลสทีหนึ่งก็มีวัฏสงสารทีหนึ่ง แล้วมันก็ครบวงของมันเอง
นี่เขาหาว่าคำอธิบายนี้ผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เลิกร้างของเก่า มาตั้งเอาเอง มาว่าเป็นลัทธิใหม่ ก็ตามใจ เรามีความมุ่งหมายจะให้คนเอาชนะวัฏสงสารให้ได้โดยเร็ว เราไม่ต้องรอกันนานๆ ให้วัฏสงสารไปไกล นานๆ อย่างนั้นไม่น่ากลัว ไม่มีพิษร้ายอะไร วัฏสงสารที่ย้ำเอาๆ มันก็ย้ำหัวตะปูที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่อันตรายมาก ลองรู้จักมันให้ดีๆ ควบคุมมันให้ได้ ป้องกันมันให้ได้ อย่าให้มันเกิดขึ้นมา เนี่ยวัฏสงสารวงหนึ่ง คำอธิบายในแบบนี้ คือในแบบภาษาธรรม มันจะกินเวลาชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ชั่ววินาทีเดียวก็ได้ เป็นวัฏสงสารวงหนึ่ง ไม่ต้องรอเกิดตาย เกิดตาย เข้าโลงแล้ว เข้าโลงอีก ตั้ง 3 ชาติจึงจะเป็นวัฏสงสาร ฉะนั้นในวันหนึ่งๆ มีวัฏสงสารหลายวงเกี่ยวข้องกันไป คล้องกันไป เนื่องกันไป เพราะมันเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันได้ มีกิเลส ทำกรรม รับผลกรรม มันก็มาส่งให้เกิดกิเลสใหม่ มันก็เนื่องกันได้ ฉะนั้นการได้รับผลกรรม มันก็อนุโลมกัน หรือเข้ารูปกันได้กับกรรมแต่หนหลัง หรือว่ากรรมของวัฏสงสารวงอื่นช่วยปรุงแต่งกรรมในวัฏสงสารวงอื่น อย่างนี้มันก็เรียกว่าข้ามภพข้ามชาติได้เหมือนกัน โดยที่คนไม่ต้องตาย วัฏสงสารในความหมายที่จะมีประโยชน์และรีบด่วนมันมีอยู่อย่างนี้ และมันมีผลดีตรงที่ว่าเราจะสามารถควบคุมมันได้ จนกระทั่งว่าสามารถจะตัดมันให้ขาดไปเลย ตัดวัฏสงสารได้
01:36:27
เอ้า ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ถูกด่าสุดเหวี่ยง ก็คือคำพูดที่อาตมาได้พูดว่าในวัฏสงสารมีนิพพาน หรือว่านิพพานนี่หาพบได้ในวัฏสงสาร นี่เขาไม่เข้าใจ เราพูดว่าต้องดับไฟที่ไฟ ต้องดับทุกข์ที่ทุกข์ ดับความทุกข์ที่ความทุกข์ ฉะนั้นในไฟมันมีความดับไฟซ่อนอยู่ ดูให้ดี ในความทุกข์มันจะมีความดับทุกข์ซ่อนอยู่ ดูให้ดี จึงได้พูดว่า ในนั้นจะหาพบสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างนี้ก็เรียกว่าหานิพพานพบในวัฏสงสาร
ไปนั่งพิจารณาดูต้นมะพร้าวนาฬิเกร์ในสระนาฬิเกร์ เป็นภาพเปรียบที่ดีที่สุด ว่าต้นมะพร้าวนั้นเป็นนิพพาน ก็อยู่ท่ามกลางวัฏสงสารคือทะเลขี้ผึ้ง ซึ่งเปรียบเหมือนน้ำ ดีชั่ว บุญบาป สุขทุกข์ มันเป็นทะเลขี้ผึ้ง เป็นวัฏสงสาร ทีนี้ต้นมะพร้าวมันอยู่ที่กลางนั้นน่ะ ไปหาเถอะ พบ ถ้าไปหาที่อื่นไม่มีพบ จะไปหาความดับทุกข์ที่อื่น ไม่พบหรอก มันต้องหาที่ความทุกข์ จะไปหาการดับไฟที่อื่น มันไม่พบหรอก มันต้องหาที่ไฟ ทำไฟให้มันดับลงไปเถอะ มันก็จะเป็นความดับไฟอยู่ที่นั่น
ก้อนหินก้อนนี้วางอยู่ตรงนี้ ใครๆ ก็เห็นว่ามีก้อนหินอยู่ที่ตรงนี้ ก้อนนี้ ถ้าใครมีปัญญาพอที่จะมองเห็นว่า ความไม่มีก้อนหินก้อนนี้มันก็อยู่ในก้อนหินก้อนนี้ ก็คือลองเอาก้อนหินก้อนนี้ออกไปเสีย มันก็จะมีความไม่มีก้อนหินก้อนนี้อยู่ที่ตรงนี้เหมือนกัน ถ้าตามันแหลม มันก็พอจะมองเห็นว่า ความไม่มีก้อนหินก้อนนี้มันก็อยู่ในก้อนหินก้อนนี้ นี่เราจะให้มันง่ายขึ้น ให้มันอยู่ที่ตรงนี้เพื่อที่จะจัดการกับมันได้ ว่าต้องดับทุกข์ที่ความทุกข์ เหมือนกับดับไฟที่ไฟ ดับไฟที่อื่นมันจะดับได้อย่างไร ดับทุกข์ก็ต้องดับที่ความทุกข์ มันจึงจะหมดความทุกข์ ฉะนั้นดูให้ดีว่าความดับทุกข์หาพบในความทุกข์ นั่นแหละคือความหมายของคำว่านิพพานมีอยู่ในวัฏสงสาร ให้มองให้ดีๆ
พอพูดอย่างนี้ก็ถูกด่า ถูกรุมกันด่า ว่ามันบ้าแล้ว นิพพานมันตรงกันข้ามกับวัฏสงสาร มันจะมีอยู่ในนั้นอย่างไร เราบอกว่านั่น ดูให้ดี มันจะมีอยู่ในนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะหาพบที่ไหน จะหาความดับทุกข์พบได้ที่ไหนถ้าไม่หาในความทุกข์ ไปคิดดูเอง ไปคิดดูใหม่ ว่าต้องดับทุกข์ที่ความทุกข์ จึงจะหาพบนิพพานในวัฏสงสาร ไปหาที่อื่นไม่พบ ไม่มี
ทีนี้มันมีเงื่อนงำที่จะพูดอย่างอื่นอีกก็ได้ คือข้อที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า ความทุกข์ก็ดี เหตุให้เกิดทุกข์ก็ดี ความดับแห่งความทุกข์ก็ดี วิธีดับแห่งความทุกข์ก็ดี ตถาคตบัญญัติไว้ว่ามีอยู่ในกายนี้ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังเป็นๆ คือมีจิต มีใจ มีสัญญา กายที่เป็นๆ นั่นแหละ มันมีความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ ทุกข์ก็คือความทุกข์มีอยู่ในกายนี้ และความดับทุกข์ คือนิโรธ คือนิพพาน มันก็มีอยู่ในกายนี้ ในกายนี้มันหาพบทั้งความทุกข์และความดับทุกข์ อยู่ด้วยกันในกายนี้ ยังมีชีวิตเป็นๆ อยู่ เนี่ยจะไม่ยอม มันจะไม่ยอมให้พูดว่า หาพบความดับทุกข์และความทุกข์ อยู่ในที่เดียวกัน นี่เป็นเหตุให้พบนิพพานกับวัฏสงสารในที่เดียวกัน คือในจิตนี้ ในกายนี้ ในกายนี้มันหมายความถึงในจิตนี้ กายนี้มันเป็นเปลือก จิตนี้มันเป็นตัวสาระ เป็นตัวจริง ที่นั่นน่ะมันมีครบหมด เรื่องอริยสัจ 4 มันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่าจิต รู้ได้ด้วยจิต ถึงได้ด้วยจิต จะดับทุกข์ได้ก็ด้วยจิต อาศัยกายเป็นที่ตั้งเหมือนกับเป็นที่ตั้งสำนักงาน จิตนั้นเป็นคนทำงาน ฉะนั้นในจิตนั่นแหละจะพบได้ทั้งนิพพานและทั้งวัฏสงสาร จิตหลุดพ้นเมื่อใดมันก็มีนิพพานอยู่ที่ความหลุดพ้นนั้น เราก็ไม่ต้องเถียงกัน มันจะได้ง่ายขึ้นมาอีกว่า ให้ดูในวัฏสงสารจนมองเห็นนิพพาน คือสภาพที่ตรงกันข้าม หรือมันดับวัฏสงสารเสียได้
เนี่ยไปคิดดูให้ดีเถิดว่า ถ้าเราพูดในภาษาคน นิพพานกับวัฏสงสารมันอยู่คนละแห่ง จะอยู่คนละทิศ แล้วมันจะดับกันได้อย่างไร มันน่าหัวมาก แต่ถ้าเราพูดในภาษาธรรมแล้ว นิพพานกับวัฏสงสารมันก็อยู่ในที่เดียวกัน เพราะจะต้องมีนิพพานลงไปบนวัฏสงสาร คือดับวัฏสงสารเสีย
อาตมาพูดอย่างนี้เขาหาว่ามิจฉาทิฏฐิ เลิกร้างพระพุทธศาสนา เลิกร้างคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าเอาเอง เสียทีที่เป็นพุทธทาส คือรับใช้พระพุทธเจ้า แล้วมาพูดอะไรหักล้างพระพุทธเจ้า เนี่ยมันเป็นการด่ากี่มากน้อย อาตมาก็เห็นว่ามันดี มันเป็นการเสียสละมาก ได้บุญมากยิ่งขึ้นไปอีก ทำอะไรมันง่าย มันสะดวก มันไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด มันไม่ต้องทน แล้วมันก็ได้บุญนิดเดียว ถ้ามันต้องฟันฝ่ามากต่อสู้มาก อดทนมาก มันก็ควรจะได้บุญมาก ใครยิ่งด่ายิ่งดี ก็ได้ดีเพราะเขาด่า ที่มันจะเลวจะชั่วเหมือนเขาด่านั่นไม่เป็นไปได้หรอก แต่ว่ามันจะยิ่งดีไปในอีกทางหนึ่ง ซึ่งว่า มันไม่เป็นไปอย่างที่เขาด่า นี่ก็เป็นไปในทางที่ตรงกันข้าม เนี่ยเป็นอย่างนี้
01:43:30
ขืนพูดให้หมดทุกเรื่องคงจะไม่ไหว เดี๋ยวบางคนจะนึกด่าอาตมาอยู่ในใจแล้วก็ได้ มันดึกแล้ว จะรวบรัดให้มันจบเสียที
เรื่องที่เขาด่าเรื่องสุดท้าย ที่น่าหัวที่สุดที่จะมาพูดในวันนี้ก็คือ อาตมาบอกว่ายิ่งเรียนพระไตรปิฎกยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา คนโง่คนบ้ามันก็ชูหัวขึ้นสลอน ด่าอาตมาว่าดูถูกพระไตรปิฎก คิดดูสิ ดูถูกพระไตรปิฎกหรือไม่ ยิ่งไปเรียนพระไตรปิฎกมันก็ยิ่งไปเรียนบาลี ยิ่งมีความไพเราะทางวรรณคดี ยิ่งติดพระไตรปิฎก ยกหูชูหางเป็นผู้เก่งกล้า ไม่ปฏิบัติเลย จมอยู่ในพระไตรปิฎก ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ยิ่งไปติดกับอยู่เล่มหนังสือ ตำรับตำรา แล้วก็ มันก็รู้ได้เท่านั้นแหละ ไม่รู้ของจริงซึ่งต้องรู้ด้วยใจ ไม่เกี่ยวกับตัวหนังสือ เขาถามว่า ถ้าอย่างนั้นเรียนอะไรที่จะทำให้รู้พุทธศาสนา มันก็ต้องเรียนของจริง เรียนลงมาที่ตัวเบญจขันธ์ ร่างกายนี่ ความทุกข์นี่ เรียนลงไปที่ความทุกข์ เรียนลงไปที่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดูลงไปที่ตรงนั้น อย่าไปดูหนังสือเป็นแถวๆ ในพระไตรปิฎก ให้มันติดอยู่เป็นหนอนหนังสือ ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้ธรรมะ ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา แต่พอมาเรียนที่ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เรียนลงไป ดูลงไปที่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียนที่นี่มันจึงจะรู้พุทธศาสนา บางคนก็ยอมว่า เออ ถูกแล้ว บางคนก็ไม่ยอม แล้วยังด่าอยู่เรื่อย ว่านี่มันดูถูกพระไตรปิฎก มันคัดค้านพระไตรปิฎก มันทำลายคุณค่าของพระไตรปิฎก ตามใจ โกรธเท่าไหร่ก็ด่าไปให้มันสุดเหวี่ยง
อาตมายังคงพูดอยู่อย่างนี้ว่า ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่พบพระพุทธศาสนา มันน่าขันนะ ถ้าพูดตามภาษาคนมันก็เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าพูดตามภาษาธรรมแล้วเป็นไปได้ ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ยิ่งไปติดตัวหนังสือ เหมือนกับที่คนเรียนพระไตรปิฎก จบพระไตรปิฎกชื่อโปฐิละ ในพระคัมภีร์ก็มีอยู่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า โมฆะบุรุษ กำมือเปล่า เรียนจบพระไตรปิฎก ไม่มีธรรมะเลย ฉะนั้นไม่ต้องเรียนจบพระไตรปิฎก ก็มีธรรมะได้ เพราะว่าเขามีพระไตรปิฎกอีกแบบหนึ่ง คือพระไตรปิฎกที่มันมีอยู่ตามเนื้อ ตามตัว ตามจิต ตามใจเนี่ย อ่านได้ไม่รู้จักสิ้นเหมือนกัน
ฉะนั้นพระไตรปิฎกที่เป็นตัวหนังสือ ที่บันทึกหรือบรรยายนี้มันก็ปิดบังธรรมะได้ พระไตรปิฎกปิดบังพระธรรมได้ ถ้าไปเรียนพระไตรปิฎกอย่างที่เขาเรียนกันในทุกวันนี้ ต่อให้ฝรั่งมันเรียนจบพระไตรปิฎกเป็นร้อยเที่ยวพันเที่ยว มันก็ไม่รู้จักพุทธศาสนาก็ได้ เพราะมันเรียนไปในวิธีของหนังสือ เรียนไปในวิธีของวรรณคดี มันก็ไม่พบกับตัวธรรมชาติ มาเรียนกันที่ธรรมชาตินี่ จะพบธรรมะเร็ว พบพุทธศาสนาเร็วขอให้เข้าใจ ให้มากเท่าที่จะเข้าใจได้
อาตมาจะกล้าพูดว่า การที่จะมัวฟังอาตมาพูด มัวอ่านแต่เรื่องที่อาตมาเขียนก็ไม่ช่วยให้พบพระพุทธเจ้า ไม่ช่วยให้พบพระพุทธศาสนาหรือพระธรรม จะพบพระพุทธศาสนา พระธรรม ต้องเรียนที่ตัวเอง ที่เนื้อ ที่ตัว ที่ความทุกข์ ที่มันมีอยู่ในเนื้อในตัว อย่างนี้จะพบธรรมะเร็ว ใครจะเลิกอ่านหนังสือเสียได้ก็ดีเหมือนกัน แต่ต้องมาอ่านหนังสือเล่มนี้ อ่านหนังสือที่เป็นเนื้อ เป็นตัว ร่างกายยาววาหนึ่งนี้ มีทั้งสัญญาและใจ มีอะไรๆ ครบอยู่ในนั้น อริยสัจทั้ง 4 มีครบอยู่ในนั้น มาอ่านหนังสือเล่มนี้ จะรู้เร็ว บางทีหนังสือทั้งหลายที่เรามีอยู่กันเป็นตู้ๆ นั่นแหละ เป็นคำอธิบายวิธีที่จะมาอ่านหนังสือเล่มนี้เท่านั้นแหละ เรียนพระไตรปิฎกก็เพื่อรู้วิธีมาอ่านธรรมะที่ธรรมชาติ ที่ดิน น้ำ ลม ไฟ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เบญจขันธ์ อะไรก็ตาม เรียนหนังสือเล่มโน้นเพื่อมาอ่านหนังสือเล่มนี้ อ่านหนังสือเล่มนี้จบก็บรรลุธรรมะ
เนี่ยข้อที่ถูกด่าเพราะพูดว่า ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา ไปเถียงกับผู้มีปัญญาคนหนึ่งที่คุรุสภา คุรุสภา ที่กรุงเทพฯ จนเดี๋ยวนี้เรายังยืนยันอย่างนี้ คนนั้นเขาก็ไม่ยอมรับว่าอย่างนี้ มันก็ยังคาราคาซังกันมาอยู่จนเดี๋ยวนี้ อาตมาก็ขอยืนยันตลอดไปว่า ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา เพราะว่ามันเป็นคำพูดในภาษาธรรม ถ้าพูดในภาษาคนก็พูดได้ ยิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งรู้พระพุทธศาสนา แล้วเขาก็เคยยึดถือกันอย่างนั้นแหละ ต้องเรียนพระไตรปิฎกจึงจะรู้พุทธศาสนา วาณี อันว่านางฟ้า กล่าวคือพระไตรปิฎก จงผูกมัดรัดรึงจิตใจของข้าพเจ้าให้ติดอยู่กับวาณี คือพระไตรปิฎกข้อความอย่างนี้ก็เคยมี เขาใช้เป็นมนต์สำหรับท่องบ่น สำหรับผู้ที่จะศึกษาพระไตรปิฎกด้วยความหลงใหล จนเรียนให้มันจบ เขาเรียกว่าคาถาวาณี ใช้สำหรับการเรียนปริยัติคือพระไตรปิฎก มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรี ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง วาณีคือนางฟ้า กล่าวคือพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นสรณะของหมู่สัตว์ที่เกิดจากดอกบัว กล่าวคือพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมมุนี ปากของพระพุทธเจ้านั้นคือดอกบัวและนางฟ้านั้นก็เกิดในดอกบัว ออกมาเป็นพระไตรปิฎก คือวาณี ขอให้นางฟ้านี้ผูกมัดรัดรึงจิตใจของข้าพเจ้าให้ถึงที่สุด ข้าพเจ้าจะเรียนจบพระไตรปิฎกได้ มัยหัง ปิณะยะตัง มะนัง จงผูกมัดรัดรึงจิตใจของข้าพเจ้าให้ถึงที่สุด ข้าพเจ้าก็จะได้สมรสกับวาณี อย่างนี้มันเป็นพูดภาษาคน ไม่ใช่พูดภาษาธรรม มันก็พูดได้ว่ายิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งรู้พุทธศาสนา เขาพูดได้ เขามีสิทธิที่จะพูดได้ แต่พุทธศาสนาแบบไหนก็ไม่รู้ มันจะเป็นพุทธศาสนาแบบปริยัติซะมากกว่า แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติ แล้วก็ไม่ได้พุทธศาสนาอย่างปฏิเวธ คือการดับทุกข์จริง ทีนี้เรามาแยกกันเสีย แยกออกมาเสีย ว่ายิ่งเรียนพระไตรปิฎก ยิ่งไม่รู้พุทธศาสนา มาเรียนตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กันดีกว่า แล้วก็จะรู้พุทธศาสนา เห็นแจ้งพุทธศาสนา ท่านผู้ใดจะเลือกเอาอย่างไหนก็มีสิทธิเสรีภาพให้เลือกเอาเอง อาตมาก็ได้แต่บอกว่าความรู้สึกมันมีอยู่อย่างนี้
01:52:42
เอาล่ะเป็นอันว่าได้ถูกเขากล่าวหานานาประการ ยังมีอีกมากกว่านี้อีกมาก ไม่มีเวลาพอที่จะมาพูดกันให้จบสิ้น ก็พูดเท่าที่เวลามันมี ก็เป็นอันว่าพูดครั้งที่ 3 นี้ก็จบลงเพียงเท่านี้
ขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่มาร่วมในการทำบุญล้ออายุ ขอขอบคุณท่านทั้งหลายที่ให้ของขวัญ อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าให้อย่างไร ขอแสดงความขอบใจ พูดย้ำพูดซ้ำ อีกครั้งหนึ่งว่าของขวัญนี้มีประโยชน์แก่อาตมา ช่วยเป็นพยาน ช่วยเป็นเครื่องรับรอง ให้เห็นได้ว่าอดข้าววันหนึ่งนี้ไม่ตาย และยังมีเรี่ยวแรงที่จะพูดได้ตั้งหลายๆ ชั่วโมง ถ้าวันนี้ฉันอาหารแล้วพูดไม่ได้อย่างนี้ พูดไม่ได้นานเท่านี้ จะพูดอะไรให้มันละเอียดละออถี่ถ้วนก็ไม่ได้ เพราะมันอิ่ม เพราะมันมึนด้วยอาหารมันรบกวน ทีนี้ไม่กินอาหารสักวันหนึ่งเนี่ย มันกลับพูดได้ หรือว่าคล่องแคล่ว หรือว่าเบาสบาย หรือว่องไว นี่เป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ตายแหละ ฉะนั้นทุกคนที่ให้ของขวัญวันนี้ไม่กินอาหารวันหนึ่งนี้ไม่เห็นใครตาย ไม่เห็นใครเป็นลม แต่ว่านั่งฟังมันก็ยังรู้เรื่อง นี่ถือเอาข้อนี้ขอบคุณ ว่าช่วยเป็นประจักษ์พยานว่าอดข้าววันหนึ่งไม่ตาย และยังทำอะไรได้ ขอให้คนทั้งหลายกล้าในการที่จะไม่กลัวเรื่องที่จะไม่มีอะไรจะกิน เราเว้นกันเสียก็ได้สักวันหนึ่ง สองวันก็เว้นได้ หลายวันก็ยังได้ มันไม่ตายหรอก ถ้าตายก็ตายเพราะมันโง่ ไปกลัว แล้วก็เกิดเป็นลมเพราะความโง่ ความกลัว มันก็อาจจะตายได้ แต่ถ้ามีจิตใจเข้มแข็ง มุ่งจ้องอยู่ที่ธรรมะอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อใดข้อหนึ่งแล้วไม่ตาย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านอดเสวยพระกระยาหาร 7 วัน 49 วันตามเรื่องราวที่เขาเขียนไว้นั้น เป็นเรื่องที่เชื่อได้ว่าเป็นความจริง ไม่ตายหรอก มันอยู่ด้วยปิติปราโมทย์อย่างอื่น ถูกลอตเตอรี่ที่ 1 ใหญ่ๆ เนี่ยคงจะดีใจ กินข้าวไม่ลงไปสักวันสองวันก็ได้ แล้วมันก็ไม่ตาย มันอยู่ด้วยความดีใจ ถ้าเราพอใจธรรมะ ดีใจอยู่ในธรรมะ มันก็ไม่หิว ไม่กินอาหารมันก็อยู่ได้เพราะความพอใจนั้นๆ ท่านทั้งหลายช่วยเป็นประจักษ์พยานว่าไม่ตายและก็อยู่ได้ อาตมาก็ขอบคุณในการให้ของขวัญ ทีนี้ก็ยังจะยึดถือเอาของขวัญนี้เป็นหลักสืบต่อไป เผื่อว่าคนเขาจะเกิดชอบใจขึ้นมา เขาให้ของขวัญอย่างนี้แก่กันและกันแล้ว ก็จะช่วยมนุษย์ได้มาก ไม่กินข้าว 1 วันไม่ตาย ถ้าคน 40 ล้านคนในประเทศไทยไม่กินข้าวกันทั้ง 40 ล้านคน ก็จะประหยัดเงินได้อย่างน้อย 400 ล้านบาทในวันหนึ่ง ทำเดือนละครั้งก็จะประหยัดเงินได้เป็นพันๆ ล้านบาท ช่วยแก้การขาดดุลการค้าอะไรของรัฐบาลก็ได้ ลองไปคิดกันดู ว่ามันไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เป็นเรื่องที่จะช่วยคนได้ ช่วยมนุษย์ได้ ช่วยประเทศชาติได้ถ้าเราเป็นผู้มีความเข้มแข็งในเรื่องเกี่ยวกับการกินอาหาร
ทีนี้คนมันโง่ หมูไม่มี มันก็จะบ้าตายเสียแล้ว ปลาไม่มี มันก็จะบ้าตายเสียแล้ว นี่อะไรไม่มีก็ได้ เราก็อยู่ได้ แล้วก็ทำอย่างอื่นได้ หมูไม่มีก็ไม่ต้องทะเลาะกันให้หนวกหูทั่วกรุง เหมือนกับในกรุงเทพฯ ที่เป็นอยู่บ่อยๆ หมูไม่มี ไก่ไม่มี ปลาไม่มี ผักไม่มี ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราเข้มแข็งพอที่ว่าเราจะอยู่ได้โดยวิธีอื่น ฉะนั้นหัดไม่กินอาหารกันสักวันหนึ่งอย่างนี้ก็ดีแล้ว ขอบใจ ขอบคุณผู้ให้ของขวัญ ถ้าใครไม่เข็ด ไม่เบื่อ ไม่ตายเสีย ปีหน้าก็มาล้ออายุกันอีกใหม่ ของขวัญนี่คงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ขอยุติการบรรยายล้ออายุเป็นครั้งที่ 3 ในวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ และหวังว่าท่านทั้งหลายคงจะสามารถเก็บเอาไปล้ออายุของตนๆ ล้อชีวิตของตนๆ ที่มันน่าล้อ ล้อแล้วมันก็จะชนะไม่พ่ายแพ้ ก็จะเป็นไปเพื่อความเจริญงอกงาม ก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อยู่ด้วยกันทุกๆ คนเถิด ขอยุติการบรรยายนี้ไว้เพียงเท่านี้