ฟัง-อ่าน #โอสาเรตัพพธรรม #พุทธทาสภิกขุ
#ศาลาธรรมโฆษณ์ออนไลน์ Lifetime แชร์ได้ครับ
https://u.pcloud.link/publink/show?code=kZ0LXb5ZrI1p4nY7bPLzo266TiqtMhfw3X2X
ดูสารบัญละเอียด ชุดธรรมโฆษณ์ 1,798 หน้า จาก 83 เล่ม
* ดาวน์โหลดก่อนใช้ *
https://u.pcloud.link/publink/show?code=XZFESW5ZeTTY8qpAcYh9VkSy9aAX6BzLrMpV
.
ธรรมโฆษณ์โดยท่านพุทธทาส เรื่อง
คำชี้แจง (การใช้หนังสือเล่มนี้อย่างไร) หนังสือเล่มนี้ มีชื่อว่า โอสาเรตัพพธรรม เป็นคู่ฝาแฝดกับหนังสือชื่อ สันทัสเสตัพพธรรม หมายความว่าต้องใช้ร่วมกัน อย่างที่ไม่ต้องแยกกัน เพราะจะช่วยขยายความ หรือช่วยตอบปัญหา ให้แก่กันและกันได้เป็นอย่างดี, และมีอะไร ๆ มากอย่าง ที่สัมพันธ์กันอยู่; ดังนั้น จึงขอแนะให้ศึกษาหนังสือ ๒ เล่มนี้พร้อมกันไป.
มีผู้สงสัยและสอบถามมาแต่แรกแล้วว่า คำว่า สันทัสเสตัพพธรรม และ โอสาเรตัพพธรรม นี้แปลว่าอย่างไร หรือหมายความว่ากระไร. ข้าพเจ้าอยากจะให้ คำ ๒ คำนี้เป็นที่คุ้นปาก คุ้นหู ของพวกพุทธบริษัทเรา เพราะมีความสำคัญและ เหมาะสมอย่างยิ่ง จึงนำมาใช้ทั้งที่รู้สึกอยู่ก่อนแล้ว ว่าเป็นคำที่แปลกหูเกินไป และจะมีผู้สงสัย หรือรำคาญ, แต่เชื่อว่าคงจะเป็นคำธรรมดาไปในที่สุด และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสืบไปภายหน้า. ดังนั้น ควรจะอธิบายความหมายของคำทั้งสองนี้ ให้เป็นที่เข้าใจกันเสียก่อน.
คำทั้งสองนี้ หมายถึง ลักษณะเฉพาะของพุทธศาสนา, และหมายถึง สิ่งที่พุทธบริษัท จะต้องใช้ในการหล่อเลี้ยงชีวิตของพุทธศาสนาไว้; ด้วยการประพฤติให้ตรงตามความหมายของคำ ๒ คำนี้
คำว่า โอสาเรตัพพ แปลว่า ควรหยั่งลงให้ถึงใจความ, คำว่า สันทัสเสตัพพ แปลว่า ควรสอบถามให้ทั่วถึงโดยรอบด้าน. จากพระพุทธโอวาท เช่น กาลามสูตร เป็นต้น เราจะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ไม่ทรงพระประสงค์ให้พุทธบริษัทเป็นคน เชื่อง่าย หรือเชื่ออย่างงมงาย และเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็มีหลักเกณฑ์ที่อาจจะช่วยสะสางปัญหานั้น ๆ ได้ อย่างถูกต้อง. คำ ๒ คำนี้ เป็นคำที่ข้าพเจ้า “ขอยืม”เอามาจากพระพุทธภาษิต ในมหาปริพพานสูตร ที่ตรัสไว้ในรูปของ มหาปเทส คือ หลักสำหรับตัดสินข้อขัดแย้งสงสัย เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์ ที่อาจจะเกิดกุ้งเถียง กันขึ้นในหมู่พุทธบริษัท ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อ้างได้ว่า ได้ฟังมาอย่างนี้ จากพระองค์เอง, หรือจากคณะอาจารย์ ที่ศึกษามาจากพระองค์เอง เป็นต้น.
พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ถ้าเกิดขัดแย้งกันขึ้นด้วยข้อธรรมวินัยใด ก็อย่า เพ่อคัดค้านกัน หรือถึงกับทะเลาะวิวาทกัน ขอให้เอาประเด็นแห่งปัญญานั้น ๆ มาทำ การ “สันทัสเสตัพพ” หรือ “โอสาเรตัพพ” กับหลักเกณฑ์ใหญ่ หรือหลักการทั่วไป ในวินัยและในสูตร ทั้งหลายดู, ถ้าข้อความใด ของผู้ใดลงรอยกันได้กับกฎเกณฑ์ ใหญ่นั้น ๆ แล้ว ให้ถือว่านั้นถูกต้อง หรือตรงตามพระพุทธประสงค์, ถ้าลงกันไม่ได้ก็อย่าได้ถือเอามาเป็นหลักปฏิบัติ, เพราะมันเป็นข้อปลีกย่อย ที่มีผู้จำมาผิด, สอนสืบ ต่อกันมาผิด เป็นต้น. นี่แหละคือความหมายของคำที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า คำทั้งสองนั้น หมายถึง หลักการสำหรับทดสอบให้พบเนื้อแท้ของพุทธศาสนา และทั้งยังเป็นสิ่งที่ พุทธบริษัทจะพึงกระทำ เพี่อเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตของพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง ให้คงอยู่ตลอดกาลนาน. ข้าพเจ้าขอยํ้า ถึงคำทั้งสองนั้น อีกครั้งหนึ่งว่า: -
โอสาเรตัพพ : ต้องหยั่งเข้าไปให้ถึงใจความอันแท้จริง,
สันทัสเสตัพพ : ต้องสอบสวนให้ทั่วถึง โดยรอบด้านจริง ๆ;
เมื่อได้กระทำไปอย่างทั่วถึง ด้วยความระมัดระวัง สุขุมรอบคุมแล้ว ในอาการทั้งสองนี้ เราจะมองเห็นอะไรลึก และ กว้าง, ละเอียดลออ และสมบูรณ์, มากแง่มากมุม และ ทุกระดับ ; ในที่สุดเราก็สามารถเลือก และพบสิ่งที่ดีที่สุด หรือเหมาะสมที่สุด อันอาจจะใช้ให้สำเร็จประโยชน์ได้จริง คือแก้ปัญหา หรือดับทุกข์ทั้งปวงได้ตามความประสงค์ ขอให้คำ ๒ คำนี้ คุ้นปากสำหรับพูด, คุ้นหูสำหรับ ได้ยิน, สืบไปตลอดกาล.
การหยั่งลงไปให้ลึก กับ การสอบให้รอบด้าน นี้ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพราะมุ่งทำหน้าที่ต่างกัน แต่จะขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งมิได้, ดังนั้น จึงถือว่าต้องไปด้วยกันอย่างเป็นคู่ฝาแฝด ในทุกกรณีแห่งกิจการที่ต้องใช้สติปัญญาอันเต็มไปด้วยปัญหาอันสลับซับซ้อน. หนังสือชื่อ สันทัสเสตัพพธรรม และ โอสาเรตัพพธรรม ๒ เล่มนี้มีลักษณะดังที่กล่าวนี้ และเป็นการเพียงพอโดยแน่นอน สำหรับการศึกษา ของนักศึกษาสมัยปัจจุบัน ที่รุ่งเรืองอยู่ด้วยปัญญา แต่มีกิจมากมีเรื่องมาก จนหาเวลามาทุ่มเทให้กับการศึกษาพุทธศาสนาได้ยาก. กล่าวอีกอย่างหนึ่ง ก็คือหนังสือ ๒ เล่มนี้ จะเป็น สูตรสำเร็จ ที่ครบถ้วน สำหรับการเลือกเฟ้นอย่างรุนแรงไม่ไว้หน้า ต่อสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในหมู่มนุษย์ สมัยอวกาศหรือปรมาณู หรือกระทั่งสมัย ปิงปอง นี้เอง.
หนังสือเพียง ๒ เล่ม จะเพียงพอสำหรับนักศึกษาพุทธศาสนาแห่งยุคปัจจุบัน ได้อย่างไร เป็นสิ่งที่จะประจักษ์แก่ใจของนักศึกษานั้น ๆ ในเมื่อได้ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือ ๒ เล่มนั้นไปแล้ว ด้วยความพยายามที่จะเข้าใจ โดยวิธีทั้ง ๒ วิธี คือทั้ง
โอสาเรตัพพะ และ สันทัสเสตัพพะ นั้นเอง. โดยไม่ต้องเชื่อตามคำยืนยันของข้าพเจ้า ที่กำลังยืนยันอยู่เช่นนี้, เพราะถ้าไปเชื่อเช่นนั้น มันก็จะผิดจากหลักเกณฑ์แห่งหนังสือ ๒ เล่มนี้ ไปเสียอีก อย่างน่าเวทนา.
หนังสือ ๒ เล่มนี้ บรรจุไว้ด้วยคำบรรยาย ที่เป็นเสมือน การผ่าตัด ตามวิธีโอสาเรตัพพะ และสันทัสเสตัพพะ อย่างเต็มที่ ในทุกแง่ทุกมุมของพระพุทธศาสนา ที่จำเป็นสำหรับผู้ศึกษาแห่งยุคปัจจุบัน. ถ้าท่านสังเกตดูให้ดี ท่านจะพบว่า ข้าพเจ้าผู้บรรยายกำลังมุ่งหมายจะผ่ากระโหลกศีรษะคน ที่มีมันสมองเติมอัดอยู่ด้วยความ กระหายที่จะศึกษาพุทธศาสนาแต่ตามวิถีทางของปรัชญาเสียท่าเดียว; เกลียดวิธีหรือวิถีทางศาสนา ที่เป็นอิสระจากการใช้เหตุผลอย่างยาเสพติดเพราะกำลังเห่อคำว่า “ปรัชญา” อย่างหลับหูหลับตาแบบสมัยนิยมแห่งยุคปัจจุบัน. ประโยชน์อันแท้จริง ที่มนุษย์จะได้รับจากพุทธศาสนา (ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้คำว่าอย่างแท้จริงพ่วงท้ายเข้าอีก) นั้นก็เลยไม่ได้รับ เพราะมัวแต่ไปเสพติดเฮโรอีนของปรัชญาเสียหมด. ข้าพเจ้าขอยืนยันและวิงวอนซํ้าอีกครั้งหนึ่งว่า ขอให้ช่วยกัน ใช้วิธีการ ๒ อย่างนี้ ตามวิถีทาง ของศาสนา เพื่อการเข้าถึง ตัวแท้ของศาสนา, แล้วหล่อเลี้ยง “ชีวิต” ของศาสนา ให้ยังคงอยู่สำหรับจะช่วยเหลือมนุษย์ ได้อย่างแท้จริง และครบถ้วนทุกระดับของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน โดยธรรมะระดับที่ต่างกัน ตามธรรมชาติแห่งปัจเจกชน นั้นๆ ทุกยุคทุกสมัยทีเดียว.
ขอให้ลองสังเกตดูอย่างธรรมดาสามัญ ว่า ถ้าเราไม่มีการตรวจดูโดยรอบคอบรอบด้านแล้ว เราจะหยั่งลึกลงไปที่ตรงไหน อย่างไรถูก, แม้ที่สุดแต่การที่จะปลูกต้นไม้สักต้นหนึ่งลงไปในสวน ก็ยังต้องตรวจสอบดูอย่างทั่วถึงเสียก่อนที่จะตัดสินใจลงไปว่าจะปลูกต้นไม้อะไร ที่ตรงไหน. การที่จะปลูกธรรมสักข้อหนึ่งลงไปในขันธสันดาน ก็จำเป็นที่จะต้องทำโดยวิธีการ ดังที่กล่าวมาแล้ว, และที่สำคัญยิ่งไป กว่านั้นอีกก็คือว่า ต้นไม้มีชื่ออย่างเดียวกัน ก็ยังมีหลายชนิด, เช่นกล้วยมีหลายชนิด เราจะปลูกกล้วยอะไร, โดยวิธีใด จึงจะได้ผลที่สุด, กระทั่งถึงการรับประทานผลของมัน ก็ยังจะต้องดูอีกว่าจะรับประทานอย่างไร จึงจะมีแต่คุณโดยส่วนเดียว.
จาก คำชี้แจงการใช้หนังสือเล่มนี้อย่างไร หน้า 27
.
ขอท่านเซฟเก็บไว้ใช้และเชิญรับฟังได้แล้วครับ