วันนี้ในอดีต วันที่ 13 พค 2566
พี่ประชาได้กลับคืนสู่ธรรมชาติ
Download
https://u.pcloud.link/publink/show?code=kZT5ib5ZItULfLdRJzzLIjLeHr4jN4Bd31i7
อ่าน
https://u.pcloud.link/publink/show?code=XZJLib5ZKAjxXQdUMe0GCop7ljlzcYGNdbxk
แชรได้ ขอบคุณครับ
.
รำลึกถึงพี่ประชา หุตานุวัตร
รำลึกถึงประชา หุตานุวัตร | พระไพศาล วิสาโล
จาก..
https://www.visalo.org/article/personPracha.html
ข้าพเจ้าพบพี่ประชาเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๖ ที่ค่ายยุวชนสยาม จังหวัดนครสวรรค์ แต่ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของพี่ประชาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะพี่ประชาเป็นผู้ก่อตั้งคนหนึ่งของกลุ่มยุวชนสยาม ซึ่งตอนนั้นได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักเรียนหัวก้าวหน้าที่ค่อนไปทาง “หัวรุนแรง” กลุ่มนี้ได้ริเริ่มจัดทำค่ายที่แหวกแนวไปจากที่นิยมทำกัน คือแทนที่จะก่อสร้างถาวรวัตถุ เช่น อาคารเรียน ศาลาประชาบาล ก็มาเน้นที่การ “สร้างคน” หรือ ทำ“ค่ายฝึกกำลังคน” มุ่งการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกทางสังคมสำหรับคนหนุ่มสาว
ตอนนั้นข้าพเจ้าเพิ่งจบชั้นม.ศ.๓ และเพิ่งเสร็จจากการทำค่ายของนักเรียนอัสสัมชัญ ส่วนพี่ประชากำลังขึ้นปี ๒ ของคณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสายตาของชาวค่าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย พี่ประชาตอนนั้นเป็นคนที่น่าเกรงขาม มุ่งมั่นในอุดมการณ์ เข้มงวดกับตัวเองและผู้อื่น ไม่รีรอที่จะทักท้วงติติงเวลาเห็นอะไรไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้ายังเคยถูกพี่ประชาพูดแขวะที่สวมกางเกงผ้าร่มแบบนักฟุตบอลในค่ายนี้ เพราะแต่งตัวแปลกแยกกับชาวบ้าน เป็นการเอาค่านิยมแบบคนเมืองเข้ามาในหมู่บ้าน
.
หลังจากค่ายนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบพี่ประชาร่วมสองปี ระหว่างนั้นมีอะไรเกิดขึ้นมากมายในบ้านเมือง เช่นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา การประท้วงของนักศึกษา ชาวนาชาวไร่และกรรมกร นับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งการเติบใหญ่ของขบวนการนักศึกษาฝ่ายซ้าย ขณะที่แนวความคิดปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธแพร่หลายมากขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาว ปลายปี ๒๕๑๗ ข้าพเจ้าได้ทราบจากวิศิษฐ์ วังวิญญู (ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพี่ประชา และเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มยุวชนสยามเช่นกัน)ว่า พี่ประชา กำลังตัดสินใจอยู่ว่า จะเข้าป่าจับอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)หรือจะไปเมืองจีนดี มาทราบข่าวอีกทีก็เมื่อพี่ประชาออกบวชแล้ว
.
การออกบวชของพี่ประชาเป็นเรื่องที่หลายคนไม่คาดคิด เพราะพี่ประชาตอนนั้นเป็นผู้นำนักศึกษาที่ยึดมั่นในอุดมการณ์สังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์อย่างจริงจัง การละทิ้งขบวนการออกมาสมาทานพุทธศาสนาอย่างเต็มตัวโดยเชื่อว่าสันติวิธีหรืออหิงสธรรมจะเป็นคำตอบของสังคมไทยได้ เป็นสิ่งที่ผู้นำนักศึกษาเวลานั้นหลายคนรับไม่ได้ เพราะตอนนั้นนักศึกษาฝ่ายซ้ายมีความรู้สึกลบกับพุทธศาสนามาก อีกทั้งยังดูแคลนสันติวิธี ยิ่งกว่านั้นแทนที่พี่ประชาจะออกจากขบวนการอย่างเงียบ ๆ กลับวิพากษ์วิจารณ์ขบวนการฝ่ายซ้ายอย่างรุนแรง โดยการเขียนบทความเผยแพร่(แบบอัดโรเนียว) ถ่ายทอดเนื้อหาในรูปบทสนทนาและการโต้เถียงทางความคิด (น่าเสียดายหากบทความนี้จะสาบสูญไป)
.
ข้าพเจ้าได้พบพี่ประชาในเพศสมณะเป็นครั้งแรกที่วัดผาลาด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๑๘ ตอนนั้นพี่ประชาได้รับนิมนต์ให้เข้าร่วมอาศรมแปซิฟิกที่อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์จัด นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับท่านติช นัท ฮันห์ และพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการได้ใกล้ชิดคุ้นเคยพี่ประชา เพราะข้าพเจ้าเองได้เข้าร่วมกลุ่มอหิงสา (ชื่อทางการคือ 'กลุ่มกัลยาณมิตร' ) ซึ่งมีพี่ประชา วิศิษฐ์ และสันติสุข โสภณสิริ เป็นแกนนำ
.
การที่พี่ประชาออกบวชนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะนอกจากจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากเพื่อน ๆ ในขบวนการแล้ว ยังถูกมองด้วยความหวาดระแวงจากพระผู้ใหญ่ ทั้งนี้เพราะภูมิหลังที่เป็นนักศึกษาหัวรุนแรงนิยมซ้ายของพี่ประชา ทราบมาว่าแม้กระทั่งหลวงพ่อปัญญาก็ไม่ยอมเป็นอุปัชฌาย์ให้พี่ประชา จนแกต้องไปบวชที่สุราษฎร์ โดยอาจารย์สุลักษณ์ได้ขอให้พระรูปหนึ่งซึ่งเป็นอดีตนักศึกษาธรรมศาสตร์ ช่วยติดต่อให้ (พระรูปนั้นคือหลวงพี่สด ซึ่งได้ขึ้นไปร่วมอาศรมแปซิฟิกกับพี่ประชาด้วย)
.
แม้บวชแล้วพี่ประชาก็ยังหาสำนักที่จะปักหลักจริงจังได้ยาก บางสำนักหลังจากพี่ประชาไปอยู่ได้สักพัก เจ้าสำนักเมื่อรู้ประวัติของพี่ประชา ทั้งจากปากของพี่ประชาเอง หรือจากปากของคนอื่น รวมทั้งสันติบาล ซึ่งยังติดตามสอดส่องแกอยู่ ก็ไม่ยินดีให้พี่ประชาอยู่ด้วย อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เป็นเพราะพี่ประชายังไม่พบครูบาอาจารย์ที่ศรัทธามากพอที่จะมอบตนเป็นศิษย์อย่างเต็มหัวใจ ครูบาอาจารย์ที่ว่านั้นนอกจากเป็นพระดีพระแท้แล้ว ยังต้องหนักแน่นและใจกว้าง และอดทนต่อความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาของพี่ประชาด้วย ซึ่งใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ มีคราวหนึ่งประมาณต้นปี ๒๕๒๐ ข้าพเจ้าลงไปภาคใต้กับพี่ประชา พี่ประชาได้พาไปพักที่วัดพัฒนาราม ซึ่งเป็นวัดที่ท่านบวช คืนหนึ่งขณะที่มีการสนทนากัน อุปัชฌาย์ของท่านได้พูดวิจารณ์ผู้นำนักศึกษาในเวลานั้นอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ตามข่าวลือที่ท่านได้ยินมา พี่ประชาพยายามชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง ปรากฏว่าอุปัชฌาย์ของท่านโกรธมากที่ถูกแย้ง ถึงกับไล่ท่านให้ไปสึกเสีย
.
พี่ประชาคงเจอกับการผลักไสแบบนี้อยู่หลายครั้ง ดังนั้น ๒-๓ ปีแรกของการบวชจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพี่ประชา จนกระทั่งเมื่อมาลงเอยที่สวนโมกข์พุมเรียงหรือสวนโมกข์เก่าของท่านอาจารย์พุทธทาส ชีวิตการบวชของพี่ประชาจึงได้ปักหลักเป็นที่เป็นทาง และนับแต่นั้นงานคิดงานเขียนและงานแปลของพี่ประชาก็พรั่งพรูเหมือนสายน้ำ
.
นับเป็นโชคของพี่ประชาที่ได้มาอยู่กับท่านอาจารย์พุทธทาส เพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีความหนักแน่น ใจกว้าง และเมตตา เข้าใจคนรุ่นใหม่อย่างพี่ประชา และไม่หวั่นไหวกับคำถามที่ท้าทายหรือความเห็นที่ตรงไปตรงมา อันที่จริงพี่ประชาได้อ่านงานของท่านอาจารย์พุทธทาสตั้งแต่เป็นนักเรียนสวนกุหลาบ ก่อนที่จะสนใจมาร์กซิสต์เสียอีก จึงมีศรัทธาในตัวท่านเป็นพื้นเดิมอยู่ก่อนแล้ว การที่พี่ประชาออกจากขบวนการฝ่ายซ้าย ส่วนหนึ่งก็เพราะเห็นว่าขบวนการนี้ขาดมิติด้านใน ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ จึงไม่เชื่อว่าจะนำพาไปสู่สังคมใหม่ที่ดีงามได้ การเห็นคุณค่าของมิติด้านในดังกล่าว พี่ประชาย่อมได้รับอิทธิพลจากหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างไม่ต้องสงสัย
.
เป็นโชคของพวกเราเช่นกันที่พี่ประชาได้มาปักหลักที่สวนโมกข์ และอยู่ใกล้ชิดท่านอาจารย์พุทธทาส เพราะช่วยให้พี่ประชามีความลุ่มลึกทางด้านภาวนาและมิติจิตวิญญาณมากขึ้น งานเขียนงานแปลของพี่ประชาในช่วงที่บวชอยู่นั้น มีอิทธิพลอย่างมากต่อคนหนุ่มสาวเวลานั้น โดยเฉพาะการเน้นถึงความสำคัญของการภาวนาหรือการทำงานด้านในเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสังคม ในด้านหนึ่งพี่ประชาชี้ชวนให้ผู้คนตระหนักถึงโครงสร้างสังคมที่อยุติธรรม ที่สร้างความทุกข์ให้แก่ผู้คนมากมาย แต่อีกด้านหนึ่งพี่ประชาก็ย้ำถึงความจำเป็นของการรู้เท่าทันกิเลสและอุปาทานภายใน ไม่ปล่อยให้ครอบงำจิตใจของตน รวมทั้งสามารถเข้าถึงความสุขจากความสงบใจ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีพลังในการทำงานเพื่อสังคม
.
ข้าพเจ้าเองได้รับอานิสงส์จากงานเขียนงานแปลของพี่ประชามาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นงานแปลชิ้นแรกของพระประชา ปสนนธมโม จากนั้นยังมีงานเขียนและงานแปลอีกมากมายในแนวทางนี้ อาทิ ศาสตร์แห่งการดำเนินชีวิต ศาสนธรรมกับคนหนุ่มสาว อยู่อย่างขบถ และภาวนากับการรับใช้สังคม ผลงานเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมให้ข้าพเจ้าหันมาสนใจสมาธิภาวนามากขึ้น จนมีความสนใจอยากบวชสักช่วงหนึ่งของชีวิต
.
กล่าวได้ว่างานเขียนและงานแปลของพี่ประชา ทำให้คนหนุ่มสาวที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม หันมาสนใจสมาธิภาวนา ส่วนคนหนุ่มสาวที่สนใจพุทธศาสนาอยู่แล้ว ก็หันมามีสำนึกในการเปลี่ยนแปลงสังคม ยิ่งไปกว่านั้นงานคิดงานเขียนของพี่ประชายังมีส่วนในการทำให้เกิดสิ่งที่บางคนเรียกว่า “ทางเลือกแบบพุทธ” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า หลังจากที่พคท.ล่มสลาย เกิดปรากฏการณ์ “ป่าแตก” คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยมีคำถามขึ้นมาว่า ในเมื่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์และการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธไม่อาจเป็นคำตอบของเมืองไทยได้ แล้วอะไรเล่าจะเป็นทางออกของเมืองไทย
.
ช่วงนี้นักคิดนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวจำนวนมากพยายามแสวงหาและเสนอคำตอบ มีข้อเสนอมากมาย เช่น แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน แนวทางการพัฒนาความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ) รวมทั้งการพัฒนาแบบทุนนิยม ในฝ่ายพุทธก็มีนักคิดและนักเขียนหลายท่านเสนอทางออกสำหรับสังคมไทย เช่น อาจารย์ประเวศ วะสี แสดงปาฐกถาเรื่อง “พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนจะกู้ชาติได้อย่างไร” อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขียนหนังสือเรื่อง ศาสนากับการพัฒนา และ บทบาทของพุทธศาสนิกในสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนท่านเจ้าคุณพระราชวรมุนี แสดงปาฐกถาเรื่อง “ชาวพุทธกับชะตากรรมของสังคม”
.
พี่ประชาเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้เสนอทางออกของสังคมด้วยวิถีพุทธ โดยอาศัยแนวคิดของท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นแกน นอกจากการเขียนบทความหลายชิ้นและการบรรยายในโอกาสต่าง ๆ แล้วเมื่อครบ ๕๐ ปีแห่งการก่อตั้งสวนโมกข์ พี่ประชาเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดสัมนาในโอกาสดังกล่าว จนเกิดหนังสือเรื่อง พุทธทาสกับคนรุ่นใหม่ : เมื่อคนหนุ่มสาวถามถึงรากของความเป็นไทย
.
กล่าวได้ว่าในช่วงนั้นพี่ประชาเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการเผยแพร่แนวคิดพุทธศาสนาเพื่อสังคมโดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว ขณะเดียวกับก็ขับเคลื่อนแนวทางการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยอิงมิติด้านศาสนธรรม (หรือ spirituality) ทั้งนี้ยังไม่นับการผลักดันให้เกิดงานแปลซึ่งเป็นที่กล่าวขานอย่างมากเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว คือ จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ (The Turning Point) ของฟริตจ๊อฟ คาปร้า
.
พี่ประชานอกจากเป็นนักเขียนและนักแปลแล้ว ยังเป็นนักจัดตั้งและนักเคลื่อนไหวหรือ activist ตัวยง ข้าพเจ้ามาทำงานใกล้ชิดกับพี่ประชาก็หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ ตอนนั้นมีนักศึกษาประชาชนถูกจับกุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มากกว่า ๓,๐๐๐ คน และที่ถูกจับกุมหลังจากนั้นด้วยข้อหา “ภัยสังคม” อีกหลายพันคน มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกหนแห่ง ซึ่งผลักดันให้คนหนุ่มสาวและประชาชนจำนวนไม่น้อยเข้าป่าจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาล จนมีแนวโน้มว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองในอนาคตอันใกล้
.
พี่ประชา ซึ่งตอนนั้นยังบวชได้แค่ ๒ พรรษา เห็นว่าพวกเราควรทำอะไรบ้างในสถานการณ์ดังกล่าว งานหนึ่งที่เร่งด่วนคือการช่วยเหลือผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะนักโทษคดี ๖ ตุลา หลังจากที่ปรึกษากับเพื่อนพ้องหลายคน พี่ประชาก็นึกถึงกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม ซึ่งอาจารย์สุลักษณ์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งเมื่อต้นปี ๒๕๑๙ (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า “ศูนย์ประสานงานศาสนาเพื่อสังคม” แต่ต่อมาเปลี่ยนจาก “ศูนย์” เป็น “กลุ่ม” เพื่อไม่ให้พ้องกับชื่อศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งมีชื่อเสียงในทางลบมากหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา) ทั้งนี้เพราะเห็นว่าชื่อกลุ่มและภาพพจน์ของกลุ่มน่าจะเอื้อให้ทำอะไรได้ในสถานการณ์ที่เผด็จการครองเมือง พี่ประชาจึงพยายามพูดคุยและชักชวนกรรมการและผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้ให้มาทำงานช่วยเหลือนักโทษคดี ๖ ตุลา
.
ข้าพเจ้าจำได้ว่าพี่ประชาพยายามติดต่อพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายท่าน ซึ่งต่อมาเป็นกำลังสำคัญให้กับกศส. บางคนเป็นแกนนำของกศส.อยู่ก่อนแล้วเช่น อาจารย์โกศล ศรีสังข์ แต่บางคนไม่ได้เกี่ยวข้องกับกศส.มาก่อน แต่พี่ประชาอยากให้มาร่วมงานนี้ หนึ่งในนั้นคือ อาจารย์โคทม อารียา ข้าพเจ้าจำได้ว่าพี่ประชาไปพูดคุยชักชวนอาจารย์โคทม ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬา ฯ ใช้เวลาโน้มน้าวอยู่นาน ทั้งในห้องพักอาจารย์และบนรถส่วนตัว ทีแรกอาจารย์โคทมออกตัวว่าไม่ได้มีภาพลักษณ์ทางด้านศาสนิกชน หากมาเป็นกรรมการกศส.ก็ดูกระไรอยู่ อย่างไรก็ตามในที่สุดอาจารย์โคทมก็ยินดีร่วมหัวจมท้ายกับพวกเราด้วย
.
นอกจากนั้นอาจารย์โคทมแล้ว นิโคลัส เบนเนตต์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในเวลานั้น ก็ได้มาเข้าร่วมกับกศส.ด้วย ทั้งนี้โดยการชักชวนของพี่ประชาเช่นกัน นับแต่นั้นมาบ้านของนิโคลัสก็เป็นสถานที่ที่พบปะและประชุมของกศส. (เหตุผลหนึ่งเพราะมีความปลอดภัยเนื่องจากนิโคลัส ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของยูเนสโก มีเอกสิทธิ์ทางการทูต เจ้าหน้าที่รัฐจะมาบุกรุกบ้านไม่ได้) กล่าวได้ว่ากศส.ฟื้นตัวขึ้นมาและทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจังในเวลานั้นได้ก็เพราะพี่ประชาเป็นแกนนำ โดยมีสันติสุข (ซึ่งตอนนั้นบวชพระแล้ว) และวิศิษฐ์เป็นกำลังสำคัญ ส่วนข้าพเจ้าก็มาเป็นผู้ปฏิบัติงานเต็มเวลาให้กับกศส.จนกระทั่งออกบวช
.
การที่กศส.มีบทบาทอย่างแข็งขันในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ในช่วงที่กลุ่มอิสระหรือ NGOอื่น ๆ ขยับตัวได้ยากมาก เพราะเป็นงานที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง (ภายหลังก็มีผู้ปฏิบัติงานกับอาสาสมัครของกศส.ถูกจับกุมด้วย) ทำให้แนวทางสันติวิธีหรืออหิงสา ที่พี่ประชาและเพื่อน ๆ ยึดถือ ถูกมองด้วยสายตาที่เป็นบวกมากขึ้นในหมู่ผู้นำนักศึกษาฝ่ายซ้าย เพราะเห็นได้ชัดว่า พวกเราไม่เพียงแต่พูด แต่ทำด้วย
.
พี่ประชาช่วยงานกศส.อยู่ในช่วง ๒ ปีแรก หลังจากนั้นก็ไปปักหลักที่สวนโมกข์พุมเรียงและกลับไปทำงานเขียนงานแปล มีผลงานออกมาสม่ำเสมอทางปาจารยสาร ส่วนข้าพเจ้าทำงานให้กับกศส. จนถึงปี ๒๕๒๖ ก็ออกบวช โดยตั้งใจว่าจะครองผ้าเหลืองเพียง ๓ เดือน แต่หลังจากนั้นก็ต่ออายุการบวชเรื่อยมา ในช่วง ๒-๓ แรกแห่งชีวิตพระของข้าพเจ้า พี่ประชาเป็นเสมือนพี่เลี้ยงของข้าพเจ้ากลาย ๆ แม้ข้าพเจ้าจะไปสวนโมกข์พุมเรียงไม่บ่อย แต่เวลาพบกันที่กรุงเทพ ฯ พี่ประชาก็ให้กำลังใจและคำแนะนำอยู่เนือง ๆ ยังไม่นับผลงานของพี่ประชา ที่ข้าพเจ้าได้อาศัยประโยชน์อย่างมาก ทั้งในแง่การภาวนาและการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะ เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา การได้อ่านเรื่องราววัยหนุ่มของท่านอาจารย์พุทธทาส จากการซักถามของพี่ประชา ให้แรงบันดาลใจแก่ข้าพเจ้ามาก กล่าวได้ว่าพี่ประชามีคุณูปการต่อชีวิตการบวชของข้าพเจ้ามาก ทั้งโดยส่วนตัวและผลงาน เป็นคุณูปการที่ข้าพเจ้าได้รับก่อนบวชเสียอีก และเมื่อบวชแล้ว หากช่วง ๒-๓ พรรษาแรกของข้าพเจ้าไม่มีพี่ประชาเป็นภันเต ก็ไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าจะบวชต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้
.
น่าเสียดายที่พี่ประชาครองเพศสมณะได้เพียง ๑๒ พรรษา หากพี่ประชาอยู่นานกว่านั้น เชื่อแน่ว่าจะผลิตผลงานออกมาอีกมากมาย และทำให้วงการพุทธศาสนามีสีสันและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น แต่คนอย่างพี่ประชา ไม่ว่าอยู่ที่ไหน หรืออยู่ในเพศใด ก็ย่อมทำประโยชน์ และผลักดันให้มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้มากมาย
.
เมื่อพี่ประชากลับมาเป็นคฤหัสถ์ แม้งานเขียนจะน้อยลง แต่ก็มีผลงานอย่างอื่นมาแทนที่ โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญคือ INEB (เครือข่ายพุทธศาสนิกสัมพันธ์นานาชาติเพื่อสังคม) พี่ประชาเป็นคนหนึ่งที่ปลุกปั้นให้เกิดขึ้นและเป็นผู้ประสานงานคนแรก เมื่อวางมือจาก INEB พี่ประชาก็หันมาจับงานฝึกอบรม เป็นทั้งกระบวนกร ล่าม และผู้จัด ทั้งหมดนี้เป็นช่องทางให้พี่ประชาได้เผยแพร่แนวคิดใหม่ ๆ ให้แก่ผู้คนมากมายโดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ซึ่งล้วนแต่มีแก่นแกนอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงสังคมควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงตนเอง
.
ในช่วงระยะหลังข้าพเจ้ามีโอกาสพบปะพูดคุยกับพี่ประชาไม่มากนัก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะพี่ประชาไม่อยากรบกวนข้าพเจ้า เพราะเห็นว่ามีงานมากอยู่แล้ว การติดต่อกันทางโซเชียลมีเดียก็มีเป็นครั้งคราว จนกระทั่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พี่ประชาเขียนมาบอกข้าพเจ้าว่า อยากนำบทความเกี่ยวกับชีวิตของข้าพเจ้ามารวมพิมพ์เป็นเล่ม เพราะเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับคนรุ่นใหม่ โดยจะพิมพ์ในโอกาสครบ ๕๐ ปี ๑๔ ตุลา ด้วย ข้าพเจ้าจึงทยอยส่งบทความเก่า ๆ ที่เคยเขียนไปให้ ในที่สุดก็ออกมาเป็นหนังสือเรื่อง ประกอบสร้างเป็นตัวตนพระไพศาล นับเป็นงานท้าย ๆ ของพี่ประชาในฐานะบรรณาธิการ
.
เมื่อพี่ประชาป่วยหนักเมื่อปีที่แล้ว ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสไปเยี่ยม เพราะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลได้ไม่กี่วันก็กลับบ้านได้ แต่ครั้งสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าลงไปเยี่ยมพี่ประชาทันทีที่ทราบว่าอาการทรุดหนัก แม้เกือบตาย แต่พี่ประชาก็ยังบอกข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและพูดได้ไม่เต็มคำว่า “ไม่เป็นไร หลวงพี่” พี่ประชาคงเกรงใจข้าพเจ้า จึงพูดเช่นนั้น จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พี่ประชาก็ถามข้าพเจ้าว่า “ไม่ไปทำธุระเหรอ” แกคงเกรงใจข้าพเจ้าจริง ๆ ที่มานั่งเฝ้า จึงอยากให้ไปทำอย่างอื่น
.
สี่วันหลังจากนั้น พี่ประชาก็คุยกับข้าพเจ้าทางไลน์ บอกว่า ข้ามจุดวิกฤตไปแล้ว ต่อไปก็จะกลับบ้านและดูแลตัวเองแบบประคับประคอง พร้อมทั้งขอให้ข้าพเจ้าส่งพลังไปให้ ฟังจากน้ำเสียงพี่ประชายังอ่อนเพลียอยู่ พูดได้ไม่เต็มคำ แต่พลังใจนั้นยังมีมาก จึงคงตั้งใจว่าจะต่อสู้กับทุกขเวทนาและพยาธิสภาพเพื่อมีชีวิตอยู่อีกสักระยะ อาจจะไปทำงานที่คั่งค้างอยู่ก็ได้ เป็นเพราะพลังใจของพี่ประชา จึงสามารถประคองตนเองมาได้หลายวัน แต่ในที่สุดสังขารก็ทนไม่ไหว พี่ประชาจึงจากไปในที่สุด
.
พี่ประชาเป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อผู้อื่นและส่วนรวมมาทั้งชีวิต ทำงานอย่างไม่รู้จักเหนื่อยมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ละทิ้งการภาวนา ต่อสู้กับกิเลสและอุปาทานอย่างเอาจริงเอาจัง จึงยืดหยัดมั่นคงในอุดมคติและเป็นสุขกับชีวิตทวนกระแส หรือ 'วิถีขบถ' มาได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แม้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พี่ประชาอยากทำในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ไม่อาจทำได้ดั่งใจ เพราะขันธมารและมัจจุมารมาขัดขวาง แม้กระนั้นข้าพเจ้าเชื่อว่า พี่ประชาจะปล่อยวางได้ เพราะในส่วนลึกพี่ประชาเข้าใจในอนัตตลักษณะ จึงรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่น หรือสำคัญมั่นหมายให้เป็นดังใจปรารถนาได้ อีกทั้งพี่ประชายังระลึกถึงอุดมคติสูงสุดของชีวิต คือพระนิพพาน อยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อนาทีสุดท้ายใกล้มาถึง จึงเชื่อว่าพี่ประชาเห็นความสำคัญของการละวางทุกสิ่ง และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระแสแห่งเหตุปัจจัย เปิดใจยอมรับว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง” นี้คือโจทย์ใหญ่ของ “นักเลงธรรมะ” อย่างพี่ประชา และข้าพเจ้าเชื่อว่าพี่ประชาทำโจทย์นี้ได้ไม่มากก็น้อยก่อนลมหายใจสุดท้ายจะจากไป
.
ประชา หุตานุวัตร
เกิด 9 พฤษภาคม 2495
คืนสู่ธรรมชาติ 13 พฤษภาคม 2566
อายุ 71 ปี