ธรรมะน้ำล้างธรรมะโคลน ภาคบ่าย - 27พค2522
https://drive.google.com/drive/folders/1r8a_zIl-RXBWfHZBWePKhf701p99tHn2?usp=sharing
00:00:19
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญล้ออายุทั้งหลาย อาตมาจะได้บรรยายข้อความที่เป็นการล้ออายุสืบต่อไปจากที่ได้บรรยายแล้วในตอนเช้า ที่จริงก็เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ด แทบจะเรียกว่าไม่มีสาระก็มี แล้วทำไมจะต้องเอามาพูด เอามาพูดสำหรับอาตมานั้นก็เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่น่าล้อ เป็นสิ่งที่น่าล้อเพราะว่าตั้งใจจะทำให้ดี มันก็กลายเป็นเรื่องขัดใจของคนอื่น อย่างนี้มันก็มีอยู่มาก เราอยากจะให้วัดมันเงียบสงัด แต่คนบางคนซึ่งก็มีไม่น้อยก็ชอบให้มันกึกก้องตามความพอใจของเขา กว่าจะพูดกันรู้เรื่องก็หลายปี เช่นพอมานั่งตรงนี้ เราว่าความสงบสงัดอย่างนี้มันสบายดี สบายใจ เย็นอกเย็นใจ มันเงียบดี ก็มีคนหลายคนเขาว่ามันเหมาะที่จะฟังเพลง แล้วเขาก็เปิดวิทยุขึ้น ก็เขาหิ้ววิทยุไปเที่ยวหาที่สงบเย็น จะฟังเพลงให้มันไพเราะสักที เนี่ยความประสงค์มันก็ขัดกัน เราต้องการจะทำให้มันดีแต่มันดีคนละอย่าง เราว่าสงบเงียบเย็นอย่างนี้มันดีสำหรับชิมความสงบ บางคนก็กลับเห็นเป็นว่าที่เงียบสงบอย่างนี้เพลงมันไพเราะ จริงหรือไม่จริง ก็ไปคิดดู บรรยากาศที่สงบเย็น เพลงนี้มันก็ไพเราะกว่าบรรยากาศที่ไม่สงบเย็น
นี่ก็แสดงถึงความรู้สึกของคนเราที่มันรู้สึกต่างๆ กัน บางคนเขาเห็นประโยชน์อย่างไรเขาก็ทำไปอย่างนั้น เช่นสัตว์ในวัด ในป่า เช่นนก เช่นสัตว์ ลิง ค่าง เราว่าเอาไว้ดูเล่นดีกว่า เขาว่าเอาไปฆ่าแกงกินเสียดีกว่า ถ้าพระไปขอร้อง เขากลับด่าเอา ว่าทำไมจึงทำตนเป็นเจ้าของไปเสียหมดแม้แต่นก แม้แต่นกบนต้นไม้หรือว่าปลาในลำธาร ในสระน้ำ ความรู้สึกมันผิดกันไกล ที่เราเห็นว่าเอาไว้ดู เขาก็ว่าจะเอาไว้กิน ก็เลยทำการฆ่าสัตว์แม้ในวัด ซึ่งกฎหมายยังลงโทษผู้ฆ่าสัตว์ในวัดอยู่ ดูจะไม่ได้ยกเลิก เราก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้คิดที่จะใช้กฎหมายใช้อะไรกับคนเหล่านี้ ขอให้นึกดู แล้วก็เห็นใจทุกฝ่าย เห็นใจสัตว์ เห็นใจพระที่เขาอยากจะมีนก กระรอกที่พระเขาเอาข้าวให้กินจนมันคุ้น เนี่ยมันก็ยังมีคนมายิง มาฆ่า มาตีต่อหน้าพระ ก็ยังมี นกที่ร้องเพราะๆ เขาก็บันทึกเสียงมันแล้วเอามาทำเป็นนกต่อ เขาหลอกให้มันเข้ามาด้วยเสียง เครื่องบันทึกเสียงแล้วก็ติดยาง ติดบ่วง อันนี้มันก็มี เราบอกเขาว่ามันในวัด มันเป็นบาปพิเศษ คือไม่ใช่บาปอย่างธรรมดาสามัญเพราะว่ามันเป็นวัด ซึ่งตามธรรมดาวัดก็เป็นของศาสนา เป็นของพระพุทธเจ้า การฆ่าสัตว์ในวัดน่ะมันบาป มันควรจะบาปมากกว่าฆ่าสัตว์นอกวัด บอกว่ามันซวยตลอดกาล ก็ชี้ให้ดูคนบางคนที่มันอุกอาจ ระราน ฆ่าสัตว์ในวัดเนี่ย มันซวยมาหลายสิบปีแล้ว จะตลอดกาลหรือไม่ก็ยังไม่ทราบ แต่ได้เห็นคนคนนั้นมันซวยมาเรื่อยๆ หลาย 10 ปีแล้ว จะทำมาหากินอะไรก็มีแต่ผิดพลาด มันมีความไม่สมประกอบแห่งจิตใจของเขานั่นแหละเป็นต้นเหตุ เพราะจิตใจไม่สมประกอบจึงมารุกรานฆ่าสัตว์ในวัดต่อหน้าพระที่นั่งห้ามอยู่ จิตใจมันผิดปกติมากไปเสียแล้ว ซึ่งมันก็แน่นอนที่จะต้องซวยตลอดชาติ เพราะเขาก็ทำอะไรด้วยจิตใจชนิดนั้นอยู่ตลอดเวลา
00:08:17
ที่จริงสัตว์ป่า สัตว์ทั่วๆ ไปนี้มันเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วมันก็ฝึกจนเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ว่านก หรือกระรอก หรือสัตว์ใดๆ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสัตว์เหล่านี้มีความรู้สึกธรรมดาสามัญ ไม่เป็นศัตรูกัน เมื่ออาตมาอยู่ที่สวนโมกข์แห่งเก่าโน่น อาศัยอยู่ในเพิงที่ต่อออกไปจากโบสถ์ร้าง เสามันเป็นไม้เก่า มันกลวง มันเป็นโพรง ลูกตะกวดมันเข้าไปอยู่ในโพรง โต ลูกตะกวดนี้โตเกือบเท่าฝ่ามือ ไม่ถึงเท่าข้อมือแต่มันก็โตมาก และมันอยู่ในโพรง มันโผล่ศีรษะออกมาจากรูเสานั้น พออาตมาเดินเข้าไปในที่พักมันก็หลุบพลุบเลย พอเดินเข้าออกทีใดมันก็หลุบปุ๊บ แต่หลายหนเข้ามันก็ไม่ค่อยจะหลุบ จนกระทั่งว่าเดินผ่านเฉียดเข้าไปมันก็ไม่หลุบ เราเอามือไปถูกจมูกมัน มันจึงจะหลุบ เนี่ยความเคยชินเป็นมิตรมันมากขึ้น ทีนี้ในตอนหลังๆ เดิน มันไม่หลุบ เอามือไปถูกจมูกมัน มันหลับตาเสีย ลองคิดดูว่ามัน มันทำตนเป็นเพื่อนเหลือประมาณ ไม่ได้ให้อะไรกินนะ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรให้ลูกตะกวดกิน ไม่มีความรู้ เพียงแต่เป็นเพื่อนกัน อยู่ด้วยกัน อาตมาก็อยู่ในเพิงนั้น เขาก็อยู่ที่เสานั่น มันก็เป็นเพื่อนกันได้ขนาดนี้
ก็ควรจะถือเป็นหลักว่า สัตว์เหล่านี้เอาไว้ฝึกความเป็นเพื่อนกันจะดีกว่า อย่าไปฆ่า ไปอะไรมันเลย เว้นไว้แต่มันจะเหลือทนจริงๆจึงค่อยไล่ค่อยตะเพิดไปเสีย สัญชาตญาณของสัตว์มันไม่ต้องการจะเป็นศัตรูและมันไม่สันนิษฐานว่าใครจะเป็นศัตรู มันเพียงแต่ระวัง ระวังเชิง พอเห็นว่าไม่มีความเป็นศัตรูมันก็แสดงความเป็นมิตร ไก่ป่ามันก็มามากขึ้นเพราะว่ามันได้กินอะไรบ้าง อย่างนี้มันไม่เหมือนกับลูกตะกวดตัวนั้นซึ่งไม่ได้กินอะไรเลย มีไก่ป่าหลายสิบตัวมาคอยกินอาหาร เมื่อเราฉัน มันก็ไปอยู่ใต้ถุนร้านที่เรานั่งฉัน ซึ่งเป็นซีกฟาก มันก็มีมากจนนักเลงต่อไก่หรือนักเลงยิงไก่มาเห็นแล้ว มันก็เป็นอย่างที่เขาเรียกว่าน้ำลายไหล ทั้งที่มันยังเป็นๆ อยู่อย่างนี้ มันก็ไม่เป็นไร
00:12:28
ทีนี้มันก็มีสัตว์ อีกามาคอยกินด้วย อีกานี่ทีแรกก็มี 2 ตัว ไม่เท่าไรมันเรียกกันมาได้ตั้ง 49 ตัว จนอาตมาไม่ค่อยมีอะไรจะฉัน ถ้าไปเลี้ยงอีกาทั้ง 49 ตัว มันก็เป็นเพื่อนกับอีกาขึ้นมาอีกรายหนึ่ง แต่ว่าเพื่อนรายนี้ทนไม่ไหว อาตมาสารภาพว่าทนไม่ไหว คือว่าพอมากเข้าแล้วมันก็มาอยู่ก่อน ก่อนที่เราจะกลับมาจากบิณฑบาต มันมารออยู่แถวโบสถ์ร้างที่พัก มันมาขี้รดในโอ่งน้ำ ในถังน้ำ จนในนั้นเต็มไปด้วยอุจจาระของกาเพราะมันไม่มีฝาปิด จะกินน้ำที่ไหนกัน ไม้ขีดเอาไปหมด หาไม่พบ มันเที่ยวค้น พบกลักไม้ขีดก็เอาไปฉีกเล่นบนยอดต้นยางสูงร่วงลงมา เทียนไข มันก็คาบไปทั้งซองเลย มันก็เอาไปจิกกินอีก กินหรือไม่กินก็ไม่ทราบแต่มันจิก หล่นมาจากยอดยาง นี่เรา อะไรๆ ที่ว่ามันจะคาบไปได้ แล้วมันก็คาบไปหมด นี่มิตรภาพมันสั่นสะเทือนเสียแล้ว
ทีนี้ต่อมา มันตามไปรับ ไปคอยรับอยู่ที่ประตูวัด ประตูนอกวัด ประตูที่จะเข้าวัด แล้วก็บินตามเข้ามาเมื่อเราเดินกลับ เดินเข้ามาในวัด มาสู่ที่พักมาฉันอาหาร มันก็ไปคอยรับมาแต่ประตูนอกวัดแล้วมันก็บินตามขึ้นมาข้างบนตั้งหลายสิบตัว มันก็ขี้รด กว่าจะมาถึงที่พักเนี่ยมันขี้รดกัน 2-3 ตัว ขี้รดหัว รดบ่า รดอะไรที่เดินมา มันเหลือที่จะทนได้ จนสุดท้ายก็ต้องประกาศสงครามกัน กับอีกานี่สู้ไม่ไหว ให้คนเขาช่วยขว้าง ช่วยไล่ ช่วยอะไรกันไปตามเรื่อง แล้วก็ไม่ให้กินเลย อะไรนิดนึงก็ไม่ให้กิน มันก็ค่อยๆ หายไป
ที่พูดนี่ก็เพื่อให้รู้ว่าสัตว์บางชนิดมันก็เหลือกำลังเหมือนกันที่จะไปผูกพันความเป็นมิตร แต่สัตว์บางชนิดนั้นสมควรอย่างยิ่งที่จะมีความเป็นมิตร เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างลูกตะกวดตัวนั้นมันก็อยู่ด้วยกันเรื่อยมา ไม่ทำอะไรให้เดือดร้อนแม้แต่นิดเดียว จนตัวมันโตเข้าไปในรูโพรงนั้นอีกไม่ได้ ก็หาย หายไป ไม่ทราบว่าไปไหน
นี่พูดถึงเรื่องว่าเรามีสัตว์อยู่ในวัด นี่ก็เกิดจากฝึกฝนความเป็นมิตร แล้วมันก็ช่วยให้ความเป็นพระมันก็มากขึ้น แต่แล้วก็ประสบอุปสรรคกับคนบางคนที่ไม่เห็นใจ จึงขอให้ท่านทั้งหลายช่วยชี้แจงแก่ลูกเล็กๆ ลูกเด็กๆ นั้นว่าอย่าไปทำเลย ไปทำอันตรายสัตว์ในวัดนั้นมันบาปพิเศษ คือบาปชนิดที่จะซวยเรื่อยๆ ไปจนตลอดชาติ คนแก่ๆ สงสารลูกเด็กๆ แล้วก็ช่วยอธิบายกันในข้อนี้ ก็จะมีประโยชน์ด้วยกันทุกฝ่าย นี่อาตมาพูดถึงเรื่องส่วนตัว ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มีแง่ที่จะน่าหัว น่าล้อหรือว่าน่าสงสาร ก็ไปคิดดูเอาเอง
00:17:45
เราพูดกันในเรื่องที่น่าล้อ ตั้งใจจะทำให้ดี มันก็ทำไม่ได้หรือทำไม่ค่อยจะได้ หรือถูกเห็นเป็นว่าใช้ไม่ได้ คือไม่ดี อาตมาไม่รับบวชนาคนอกฤดูกาลพรรษาก็เพราะว่า มันได้ผลไม่ค่อยคุ้มค่า มันบวชน้อยเกินไป เขาก็ว่าไม่ดี ไม่เห็นอกเห็นใจ แต่อาตมาเห็นว่าฝืนทำไป วัดมันจะร้างหมด ไม่ยอมรับคนบวช 7 วัน 10 วัน 15 วันอะไรอย่างนี้ เพราะว่าถ้าเรายอมเปิดการบวชชนิดนี้ขึ้นมา ก็จะทำให้คนหนุ่มๆ นั้นบวชกันแต่เพียงชนิดนี้ ไม่บวชจริง ไม่เข้าพรรษา วัดมันก็ร้างเพราะไม่มีใครคิดจะบวชอย่างเข้าพรรษา บวชอย่าง 7 วัน 10 วัน 15 วันแล้วก็สึกกันเสียหมด มันมีโทษถึงกับทำให้วัดร้าง พ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่า ตายายอะไรก็ตามช่วยสอนลูกหลาน อย่านิยมบวช 5 วัน 10 วัน 15 วันเลย มันไม่ได้รับประโยชน์อะไร ไม่คุ้มค่าผ้าเหลือง ไม่คุ้มค่าเวลาที่ลงทุนบวช ไม่คุ้มค่ายุ่งยากลำบาก แล้วผลมันก็จะเกิดมีประเพณีชนิดที่ทำให้วัดร้าง คือไม่มีใครจะบวชเข้าพรรษา สมัครบวชนอกพรรษา เดือนหนึ่งบ้าง ครึ่งเดือนบ้าง 10 วันบ้าง 7 วันบ้าง ลัทธินี้จะทำให้วัดร้างได้ เขาก็โกรธ ว่าไม่อำนวยความสะดวกบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง
อาตมาก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวอะไร แต่เห็นแก่วัด เห็นแก่อนาคตของวัด เห็นแก่พระศาสนานั่นแหละมากกว่า เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสงสารตัวเอง อยากจะให้มันดี มีผลดี มันก็มีความเข้าใจผิดกันอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวนี้ก็งุ่มง่าม ร่างกายไม่แข็งแรง ไปไหนก็ไม่สะดวก ก็ขอโอกาสว่าอย่าต้องไปไหนเลย จะไปสวดมนต์บังสุกุลหรือไปเทศน์ ไปอะไรนอกสถานที่นี้ มันจะไปหกล้มให้เขาดูเสียมากกว่า อาตมาเชื่ออย่างนั้นจึงไม่กล้าไป หรือไม่กล้ารับนิมนต์ หมอเขาว่าเส้นโลหิตฝอยซีกซ้ายของสมองมันตีบ ก็จะไม่ทำงาน มันจะอุดตันได้ง่ายถ้าไปหกล้มเข้าก็มีหวังโลหิตอุดตัน หรือเส้นโลหิตฝอยแตก หรือจะเป็นอัมพาต หรือว่าจะต้องตายไปเลย เนี่ยความที่ไม่กล้าไปในที่ต่างๆ ที่ไม่จำเป็น มีคนว่า โอ๊ย เอาแต่ความสะดวกส่วนตัว เห็นแก่ตัว ก็ไปคิดดูเถิดว่ามันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวหรือไม่เห็นแก่ตัว ผู้ใดมองเห็นแล้วก็คงจะเข้าใจ ว่าทำไมจึงไม่รับนิมนต์เหมือนกับที่เขารับกันอยู่ทั่วๆ ไป อาตมาบอกว่าเมื่อตอนหนุ่มๆ นั้นมันรับอย่างที่ไม่ได้อยู่กับวัด ไม่ได้อยู่ติดวัด เดี๋ยวนี้มันก็แก่ขนาดที่มันงุ่มง่ามแล้ว ขอยกเว้นทีเถิด อย่าต้องไปรับนิมนต์ค่ำๆ คืนๆ ไปสวด ไปเทศน์ ไปอะไรเลย สังขารมันอยู่ในสภาพที่ไม่อำนวยแล้ว ข้อนี้ยังนับว่าเป็นโชคดี ที่มีคนเห็นใจมากขึ้น ไม่ค่อยรบกวน ไม่ค่อยนิมนต์ แม้แต่ทางราชการเขาก็อภัยให้ ไม่นิมนต์ แม้แต่ที่สุดแต่การไปรับพระราชทานพัดยศสมณศักดิ์นี้ อาตมาก็ได้รับการผ่อนผัน คือบอกความจำเป็นว่า ขืนไปก็จะไปหกล้มหรือไปคะมำลงไปในพิธี ก็จะเสียพิธีหมด เนี่ยคือข้อที่ต้องขอยกเว้นเป็นพิเศษ ว่าไม่ต้องไปในที่นิมนต์แม้ที่เป็นราชการ
เป็นอันว่าความน่าทุเรศ น่าสงสารแห่งสังขาร ของสังขารอะไรนี่มันก็มีอยู่ แล้วมากขึ้น เป็นเรื่องโทษในอายุ โทษของชีวิต มีแง่ที่น่าจะล้อเล่น ทำอะไรไม่ได้ ไม่สะดวก ไม่เหมือนก่อนแล้ว
00:24:15
ที่นี่ท่านคงจะเห็นได้ว่าไม่ได้ตั้งหีบเรี่ยไร ไม่ได้ตั้งตู้ให้หย่อนเรี่ยไรเงิน แล้วก็ไม่ออกปากเรี่ยไรทั่วๆ ไปนอกวัดนอกวา ในวัดก็ไม่ตั้งหีบเรี่ยไร มีคนบอกว่ามันโง่ ทำไมไม่ตั้งหีบเรี่ยไร ก็ถ้าตั้งมันก็คงจะได้มากอยู่เหมือนกัน เราก็บอกว่า เรื่องเรี่ยไรโดยตรงหรือเรี่ยไรโดยอ้อม ตั้งหีบตั้งตู้ไว้เนี่ย มันรบกวนคนอื่น มันไม่ใช่ที่ทำความสงบเย็น มันเป็นเรื่องรบกวนจิตใจของผู้อื่น เขาไม่อยากจะให้ เขาก็ต้องให้เพราะมันตั้งอยู่ให้เห็น ถ้ามาด้วยกันหลายคน คนหนึ่งให้ คนที่ไม่ให้มันก็ละอาย มันก็ฝืนความรู้สึก มันเป็นเรื่องยุ่งไปหมด เราก็ไม่เรี่ยไรทั้งนอกวัด ไม่เรี่ยไรทั้งในวัด
ฝรั่งคนหนึ่งเขามาออกปากว่า เขาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่วัดไม่ได้ตั้งหีบหย่อนสตางค์ เขาเรียก donation box เราไม่มี ไม่ได้ตั้งหีบหย่อนสตางค์ เขามาบอกอาตมาว่า เขามาเห็นที่นี่เป็นวัดแรกในประเทศไทย บ้าหรือดีก็ไม่รู้ ถ้าไม่ทำเหมือนคนอื่นเขาว่าบ้าทั้งนั้นแหละ คุณก็เคยว่าคนอื่นที่เขาไม่ทำเหมือนเราว่าเป็นคนวิปริต วัดนี้ก็ต้องวิปริตที่ไม่มีหีบตั้งไว้สำหรับเรี่ยไร ก็เป็นเรื่องน่าล้อ ซึ่งอำนวยความประสงค์อันนี้ไม่ได้ คนที่หวังดีเขาก็ยังมาแนะนำว่าควรจะมี อาตมาว่าไม่ได้ เพราะมันทำมาตั้งแต่แรกแล้ว เรื่องไม่ตั้งหีบเรี่ยไร
แล้วก็ไม่ตั้งเซียมซี ที่จริงก็คิดจะตั้ง อยากจะตั้งที่สุดแต่จะกลายเป็นเซียมซีบ้า คือจะบอกในใบเซียมซีว่า คนที่จับได้ใบนี้มันเป็นคนไม่ประพฤติธรรมะข้อนั้น ๆ ข้อนั้น เป็นคนเลว ไม่มีธรรมะข้อนั้นๆ คนนี้จะต้องไปปฏิบัติธรรมะเสียใหม่ ใบเซียมซีทุกใบจะบอกธรรมะสำหรับคนที่จับได้ เขาจะต้องปฏิบัติให้เป็นคนดีกันเสียบ้าง ก็คิดอยู่เสมอว่าจะมีหีบเซียมซีอย่างนี้แต่ก็ยังไม่ได้ทำ กลัวว่ามันจะเกิดเรื่อง กลายเป็นเซียมซีด่าคน ไม่ได้ให้พรใคร
ความคิดนี้ยังตายด้านอยู่ ดีหรือไม่ดี น่าล้อหรือว่าน่าชมก็ลองไปคิดดู
00:28:26
คนเขามาบอกว่าช่วยเป่าหัวที เป่ากระหม่อมที อย่างนี้มันมีทุกเดือน เดือนละหลายๆ ครั้ง แล้วบางรายก็เป็นผู้หญิงด้วย ก้มหัวเข้ามาให้ช่วยเป่าหัวที เป่ากระหม่อมที นี้จะทำได้อย่างไร เข้าใจว่าคงมีที่อื่นทำ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทำกับเราที่นี่อย่างนี้ อาตมาบอกเขาว่าทำไม่เป็น ไม่ได้ศึกษา มีผู้ชายคนหนึ่งเขาว่า “ชิ” เขามองตาอาตมาถลนเพราะอาตมาบอกว่าทำไม่เป็น ไม่ได้ศึกษาเรื่องเป่าหัวนี่ เนี่ยก็ยังมีอยู่ ยังคงมีอยู่ แม้จนวันนี้ จนบัดนี้มันก็ยังมีคนที่เข้าไป ก้มหัวเข้าไปจะเกือบจะถึงตัว ให้เป่าหัวที บอกว่าทำไม่เป็น แสดงว่าเขาไม่เชื่อ
เรื่องรดน้ำมนต์ที นี้จะมากกว่าเป่าหัวเสียอีก บอกว่าไม่ได้ทำ ยังไม่ได้ทำน้ำมนต์ ยังไม่ได้ทำ มันก็มีที่อื่นทั่วๆ ไปแล้ว มากแล้ว ก็ไม่ต้องทำ บางทีก็ขอพระเครื่อง ก็บอกว่าไม่ได้ทำ มันมีมากทั่วไปทุกหนทุกแห่งแล้ว คุณไปเอาแห่งละองค์ๆ เอามาแขวนเถิด คอหักตาย จนที่นี่ไม่ต้องทำ มันก็มีสีหน้าไม่ชอบใจ โกรธหรือขัดใจ เป็นเรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ อาตมาหมดปัญญา ไม่รู้จะแก้ปัญหานี้อย่างไร ใครฉลาดก็ช่วยบอกหน่อยว่าจะแก้ปัญหานี้กันอย่างไร
ซื้อรถยนต์มาใหม่ เอามาให้ช่วยเจิม นั่งอ้อนวอนอยู่นั่นแหละ หรือบางทีก็เป็นเด็กใกล้ชิดสนิทสนมด้วย ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็เอาแป้งมาเขียนที่กระจกเป็นรูปตัว อ แล้วก็ตัว ป แล้วก็ตัวสุ อ คืออัปปะมาท แกอย่าอวดดี อย่ากินเหล้าขับรถ อย่าง่วงนอนขับรถ อย่าประมาท แล้วก็ ป คือประหยัด เรียกว่าถ้าเก็บค่าโดยสารได้แล้ว ให้ประหยัดไว้สำหรับใช้ซ่อมรถต่อไปข้างหน้า อย่าเอามากินเหล้าเสียหมด ใช้จ่ายเสียหมด ป ให้ประหยัด มันก็จะมีเงินซ่อมรถหรือว่ามีเงินใช้ แล้วก็ สุ ว่าสุภาพ ถ้าแกเป็นคนสุภาพก็จะไม่ถูกคนโดยสารหรืออันธพาลตีหัวแตกตาย ก็ถือ อ อัปปะมาท ไม่ประมาท ถือ ป คือประหยัดอย่างยิ่ง ถือ สุ คือสุภาพ เนี่ยเจิมรถยนต์ เขียนหนังสือให้ 3 ตัว ก็ปรากฏว่ายังไม่มีเรื่อง พวกที่ได้รับเจิมไปนั้นมันยังดีๆ กันอยู่
เจิมอย่างอื่นก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ไม่ได้เรียน จริงๆ มันไม่ได้เรียนว่าเจิมแจมนี้ทำกันอย่างไร ก็ได้แต่ทำอย่างนี้ ถ้ามันผิดเขาบ้างก็เป็นเรื่องที่น่าหัว น่าล้อเหมือนกัน
00:32:58
ทีนี้ก็มีเรื่องถูกกล่าวหาว่ารังเกียจพระพุทธรูป นี้มันเป็นโคลนที่สาดโดยไม่ตั้งใจ โดยเข้าใจผิด อาตมาไม่ได้รังเกียจพระพุทธรูป ไม่เชื่อลองเอามาให้สิ ก็จะรับไว้ทั้งหมดแหละ ไม่ได้รังเกียจพระพุทธรูปอะไรแต่บางทีก็ไม่สะดวกที่จะตั้ง อย่างตรงนี้ วันนี้ก็ไม่ได้ตั้ง เห็นไหม เพราะว่ามันไม่ได้ตั้ง ไม่ไช่รังเกียจนะ ไม่ได้มีเจตนาจะรังเกียจพระพุทธรูป แต่ความเคยชินมันมีไปในทางมีพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธรูปข้างใน ในจิตในใจเสียมากกว่า ช่วยบอกเขาทีว่าอาตมาไม่ได้รังเกียจพระพุทธรูป ก็มีอยู่หลายองค์เหมือนกันว่าที่จริง แต่ไม่ค่อยได้เอามาตั้ง ใครว่ารังเกียจพระพุทธรูปก็ช่วยเอามา ก็จะรับไว้ให้ดู ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปรังเกียจพระพุทธรูป มันจะน่ารังเกียจก็ต่อเมื่อไปยึดถือในพระพุทธรูปมากเกินไป อย่างที่คนโบราณแต่กาลก่อนเขาบอกว่าพระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า นั่นแหละมันน่ารังเกียจ มันยึดมั่นในพระพุทธรูปมากเกินไปจนไม่รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่เป็นนามธรรม
อย่างที่พระองค์ตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม การเห็นเนื้อเห็นตัว จับชายจีวรไว้นี้ไม่ชื่อว่าเห็นเรา ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นในพระพุทธรูปมากเกินไปก็บังพระพุทธเจ้าพระองค์จริง บังพระธรรม บังอะไรไปหมดเลย ฉะนั้นขอให้ระวังที่ตรงนั้น อย่าไปตั้งข้อรังเกียจที่พระพุทธรูป อย่าไป มีความระมัดระวังที่ว่า อย่าให้พระพุทธรูปนี้เกิดบังพระพุทธเจ้า หรือเกิดบังพระธรรมขึ้นมา ถ้าท่านทั้งหลายมีพระพุทธรูปอยู่ในห้องบูชาบนหิ้งที่ไหนก็ตาม ใช้พระพุทธรูปเป็นจุดสำหรับเพ่งให้ทะลุเข้าไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงซึ่งมีพระพุทธรูปนี้เป็นตัวแทนหรือเป็นสัญลักษณ์
เราอาศัยสัญลักษณ์ แล้วก็สอดส่องทะลุสัญลักษณ์ให้ไปถึงตัวความจริง มันก็ได้ประโยชน์ ฉะนั้นถ้ามีพระพุทธรูปก็มีไว้สำหรับเป็นถ้ำมอง สำหรับมองให้ทะลุเข้าไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง มีประโยชน์อย่างยิ่ง ดีกว่าไม่มี เนี่ยจึงว่าไม่ได้รังเกียจพระพุทธรูป แต่จะรังเกียจในการที่ยึดมั่น ถือมั่น ติดแน่น ผ่าทะลุไปไม่ได้นั่นแหละ มากกว่า จะเอามาแขวนคอก็ได้ ไม่ต้องรังเกียจอะไร แต่ถ้ายึดมั่น ถือมั่นจนไม่มีจิตใจถึงพระพุทธเจ้าจริง แล้วมันก็คงจะไม่คุ้มค่าที่มันรุงรังอยู่ที่คอ เนี่ยอาตมาพูดเพื่อให้เข้าใจกัน ใครจะล้อ ใครจะด่า จะว่าก็ไม่โกรธ มันมีเรื่องอยู่อย่างนี้
00:37:00
มีคนเอามาจากไหนพูด ไปเที่ยวเขียนในหน้ากระดาษนั่นนี่ว่าอาตมานี้แอนตี้ผู้หญิง ฟังดูก็ไม่รู้ว่าอะไร หมายความว่าอะไรแต่มันมีตัวหนังสือเขียนว่าอาตมาแอนตี้ผู้หญิง คนเขียนมันคงจะบ้าเอง ไม่มีความรู้สึกอะไรที่จะต้องไปแอนตี้ผู้หญิง ผู้หญิงเป็นมารดาของโลก ก็ต้องการให้ผู้หญิงเป็นผู้หญิง คือเป็นมารดา อย่ามาทำหน้าที่ มาแย่งหน้าที่บิดา เนี่ยจึงจะน่ารังเกียจ ถ้าผู้หญิงคนไหนไปแย่งหน้าที่บิดา แล้วมันก็น่ารังเกียจ ถ้าเป็นมารดากล่อมเกลาวิญญาณของลูกเด็กๆ ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ก็เป็นผู้ที่เคารพ น่าเคารพบูชาตามความหมายของคำว่ามารดา
แต่ที่รู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง ผู้หญิงขี้มักถามจู้จี้กว่าผู้ชายอย่างนี้ บางทีก็ถามปัญหาที่ไม่ต้องถามก็มี มาถามถึงอายุอานาม ถามถึงนั่นนี่เป็นรายละเอียดมากเกินไป อย่างนี้อาตมารำคาญ ถามเหมือนอย่างจะมาขอแต่งงานด้วยอย่างนี้ หรือว่าถามอย่างมาขอซื้อที่ดินวัดนี้ อย่างนี้ทำไม่ได้ มันคุยด้วยไม่ได้ ถึงแม้พวกฝรั่งก็เหมือนกัน ผู้หญิงฝรั่งเนี่ยอาตมาเคยปฏิเสธ ไม่ยอมพบ ไม่ยอมคุยด้วยจนเขาโกรธก็มี เพราะว่ามันเป็นผู้หญิง แล้วก็คุยกันแต่ผู้หญิงคนเดียว คนอื่นเขาฟังไม่รู้เรื่อง มันก็เหมือนกับนั่งในที่ลับหูกับผู้หญิง มันเป็นอาบัติ อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ก็ควรอภัยว่าไม่ใช่อาตมาจะแอนตี้หรือเกลียดชังผู้หญิง แต่มันต้องปฏิบัติตามระเบียบวินัย บางอย่างก็ปฏิบัติได้นะ เช่นจะไม่ยอมพูดกับผู้หญิงฝรั่งในลักษณะที่มันน่าเกลียดสำหรับทางวินัย แม้แต่จะเขียนจดหมายผนึกถึงผู้หญิงมันก็ยังรู้สึกว่ามันมีอาการเหมือนกับว่านั่งในที่ลับหูลับตากับผู้หญิง อย่างนี้เป็นต้น ไม่จำเป็นเหลือเกินก็ไม่ค่อยจะทำ อันนี้เป็นมูลเหตุให้เขาหา กล่าวหาว่าแอนตี้ผู้หญิง ซึ่งความจริงมันไม่มี ไม่รู้ว่าจะแอนตี้ไปทำไมกัน นี่เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดเล็กๆ น้อยๆ เรียกว่าจะไม่มีสาระอะไร ไม่ต้องเอามาพูด มันก็เอามาพูดเพื่อให้รู้กันไว้ ถ้าอยากจะล้อ ก็ได้ช่วยกันล้อ
00:40:28
เอาละ มาพูดเป็นเรื่องเป็นราวกันดีกว่า เรื่องฝอยเลิกกันทีก็ได้ อะไรบ้างที่ว่าจะพูดให้เป็นเรื่องเป็นราว เรื่องที่เข้าใจผิดโดยบังเอิญก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง คือว่ารูปที่พิมพ์แจกไป ถ่ายกับดอกบัว นั่งเพ่งดูดอกบัว มีข้อความเขียนว่า ทำกับฉันอย่างกับฉันนั้นคงอยู่ อยู่เป็นคู่กันชั่วฟ้าดินสลาย ทำกับฉันอย่างกับฉันนั้นไม่ตาย ท่านทั้งหลายก็อยู่กันนิรันดร เข้าใจว่าบางคนคงจะนึกได้ แล้วก็เคยได้รูปนี้ไป มีคนมากล่าวหาว่า แหมนี่ อวดดี ถึงกับว่าเป็นคนที่ไม่ตาย บรรลุพระอรหันต์แล้วหรืออย่างไร นี่ ทำกับฉันอย่างกับฉันนั้นคงอยู่ อยู่เป็นคู่กันชั่วฟ้าดินสลาย ทำกับฉันอย่างกับฉันนั้นไม่ตาย มันก็มีพระอรหันต์เท่านั้นที่จะไม่ตาย ถ้าจะกล้าพูดได้อย่างนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สมบูรณ์ในความหมายนี้ คนนั้นมันเรียนมาน้อย เป็นคนศึกษาน้อย ว่าสิ่งที่ไม่รู้จักตายมันมีอยู่สิ่งหนึ่งคือ ธรรมะ พระธรรม ประเภทอมตธรรม ประเภทอสังขตธรรม เนี่ยมันไม่รู้จักตาย อย่างไรก็ตายไม่ได้ มันอยู่ชั่วนิรันดร ผู้ที่จะมีสิทธิพูดอย่างที่ว่านี้มีแต่ธรรมะเท่านั้นแหละ ธรรมะเท่านั้นแหละ อมตะธรรม ธรรมะที่จะมีสิทธิที่จะพูดออกมาว่า ทำกับฉันอย่างกับฉันนั้นคงอยู่ อยู่เป็นคู่กันชั่วฟ้าดินสลาย ทำกับฉันอย่างกับฉันนั้นไม่ตาย และท่านทั้งหลายทุกคนก็อยู่กันนิรันดร
ธรรมะพูด ธรรมะพูดทางปากคือดอกบัว ดอกบัวเป็นปากของธรรมะ ธรรมะพูดด้วยปากคือดอกบัว อาตมาไปนั่งกับดอกบัวแล้วก็ได้ยินธรรมะพูดว่าอย่างนี้ แล้วก็เอามาบอกกล่าวท่านทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายได้ยินว่าอย่างนี้ คนเล่าเรียนน้อยมันก็เลยกล่าวหาอาตมาว่าอวดดี ยกตัวขึ้นเป็นอมตะ
จึงขอแถลงความจริงเสียที่นี่ เดี๋ยวนี้ ว่าธรรมะพูดทางดอกบัว อาตมาได้ยินแล้วก็เอามาบอกให้ฟัง ว่าธรรมะ พระธรรมท่านพูดอย่างนั้น ขอให้ทุกคนพยายามเข้าถึงพระธรรมเถิด แล้วคนนั้นก็จะไม่รู้จักตายเหมือนกับพระธรรมได้ด้วยกันทุกคนๆ เลย คนไหนเข้าถึงธรรมะจริงๆ เพียงพอแล้ว คนนั้นจะไม่มีตาย จะไม่รู้จักตายเพราะไม่มีตัวตน เพราะละความยึดมั่น ถือมั่นว่าตัวตนเสียได้ ไม่มีอัตตสัญญาอีกต่อไป ก็กลายเป็นคนที่ไม่ตายเหมือนกับธรรมะนั้น นี่เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ถ้าใครยังสงสัยข้องใจอย่างนี้ ก็เข้าใจเสียใหม่ว่าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเสียงอาตมาพูดแต่เป็นเสียงธรรมะพูดโดยทางดอกบัว อาตมาก็ได้ยินแล้วก็เอามาเล่าให้ฟัง เผอิญคนเขาเอาไปพิมพ์เข้า แจกกันเป็นการใหญ่ เป็นการเป็นงาน ก็มีคนหลายคนทีเดียวเข้าใจไปอย่างนั้นและนินทา คือสาดโคลนว่าอาตมาเป็นคนอวดดี ยกตัวเป็นผู้ไม่ตายอย่างนี้
รูปภาพรูปนั้นมันก็มีอะไรที่ชวนให้คิดนึกศึกษาได้อย่างลึกซึ้ง ขอให้เอาไปใคร่ครวญดูให้ดี ให้ได้ยินเสียงพูดของพระธรรมทางปากคือดอกบัวกันบ้าง รูปภาพรูปนี้ควรจะเอาไว้ดูเวลาเจ็บไข้ไม่สบาย เอารูปภาพนี้ไปแขวนไว้ปลายเตียงแล้วก็นอนดู มันจะทำให้หายเจ็บหายไข้โดยเร็ว หรือถ้าตายก็จะตายดีที่สุด อานิสงส์มันมีอย่างนี้ เอาไปแขวนไว้ดูเวลาเจ็บไข้หนักๆ จะทำให้หายเจ็บไข้เร็วขึ้น ถ้าจะตายก็จะตายดีที่สุดในเมื่อเพ่งเอารูปภาพอันนี้ติดอยู่ในใจ คือมันจะไปสู่อมตะตามแบบของพระธรรม ก็มีประโยชน์ในทางงมงายอยู่บ้าง นี่ก็เอามาพูดให้ฟัง ให้ช่วยกันล้อว่าเป็นความสะเพร่าไม่รู้เท่าถึงการณ์ พูดออกไปอย่างนั้นจนเขาจับผิด เอามากล่าวหานินทาได้อย่างนี้ เอามาล้อกันซะวันนี้ แล้วจะได้เลิกกัน จะได้เลิกเข้าใจผิดกันเสียที
00:47:05
คนคนหนึ่งเขาเขียนในหนังสือรายคาบรายเดือนฉบับหนึ่ง เห็นได้ชัดเลยว่าเขาเขียนกระทบอาตมา ด่าอาตมาโดยตรง ว่าทำไมๆ อะไรๆ ก็กาลามสูตร ไม่เชื่อพระไตรปิฎก ไม่เชื่อครูบาอาจารย์ ไม่เชื่อผู้ที่พูดได้ เอามาพูดทำไม ไม่มีประโยชน์ พูดว่าอย่าเชื่อพระไตรปิฎก มา ปิฏกสัมปทาเนนะ แล้วตัวเองก็อ้างพระไตรปิฎกอยู่ทุกหน้ากระดาษที่เขียนหรือว่าที่พูด เนี่ยเขาว่าอย่างนี้ เขาด่าว่าอย่างนี้ ว่าอาตมาเอากาลามสูตรมาโฆษณาทำไม ก็ไปดูเอาสิ รายการ 10 รายการนั้น รายการที่เขาหยิบขึ้นกล่าวหาก็คือว่า ที่ว่าอย่าเชื่อเพราะมีอยู่ในปิฎก อย่าเชื่อเพราะว่าผู้พูดอยู่ในสภาพที่ควรจะเชื่อ อย่าเชื่อด้วยเหตุว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา คนนั้นมันโทษว่าอาตมาเป็นผู้คุ้ยเขี่ยเรื่องนี้ เอากาลามสูตรมาเผยแผ่แล้วก็เน้นมากที่สุด แล้วก็ย้อนมาว่าตัวเองกลับไม่ทำตาม นี่มันเป็นความผิดพลาดของคนคนนั้นหรือว่าคนโดยมากที่ไม่เข้าใจหลักการของกาลามสูตร
พระพุทธเจ้าตรัสกาลามสูตรนั่นแหละ เพียงแต่ว่าอย่าไปเชื่อเพราะเหตุเพียงเท่านั้น แต่ไม่ได้ห้ามว่าอย่าฟัง อย่าอ่าน ที่ไม่ให้เชื่อเพราะพูดตามๆ กันมา ก็ไม่ได้ห้ามว่าอย่าฟัง ท่านไม่ได้ห้ามว่าอย่าฟัง แต่ท่านห้ามว่าอย่าเชื่อเพราะเหตุที่ว่าพูดตามๆ กันมา ก็ฟัง ที่เขาพูดว่าอย่างไรก็ฟังสิ ฟังแล้วก็เอามาใคร่ครวญพิจารณาดู----49.35--- ถ้ามันพูดไปในทางที่เห็นว่าดับทุกข์ได้ ก็เอาสิ ก็ดับทุกข์ได้ เอาไปใช้ดับทุกข์ได้ เห็นว่ามันดับทุกข์ไม่ได้ ก็ไม่สนใจเลย นี่เขาเรียกว่าใช้ยถาภูตญาณทัสสนะของตนเอง ทั้ง 10 ข้อแหละ อย่าเชื่อเพราะเหตุว่าเขาปฏิบัติตามๆ กันมา ก็ไม่ได้ห้ามว่าอย่าดู ก็ดูที่เขาปฏิบัติตามๆ กันมาอย่างไร ก็ดูสิ แต่ว่าอย่าเชื่อด้วยเหตุเพียงเท่านั้น เขาปฏิบัติอย่างไร มันจะดับทุกข์ได้หรือไม่ ก็ดู ถ้ามันดับทุกข์ได้ ก็เอา ก็ทำตาม อย่าเชื่อตามข่าวลือที่ลือกันอยู่กระฉ่อน ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ฟัง ฟังก็ได้ มันลือกันอยู่ว่าอย่างไร ฟังก็ได้ แล้วก็ไม่เชื่อเพราะมันลือกันกระฉ่อน แล้วก็อย่าเชื่อโดยอ้างพระไตรปิฎกว่ามันมีอยู่ในพระไตรปิฎก นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่าดูพระไตรปิฎก อย่าเปิดพระไตรปิฎก มันไม่ได้ห้าม แต่ว่าไม่ให้เชื่อเพราะเหตุที่ว่ามันมีอยู่ในพระไตรปิฎก ในปิฎก เอาข้อความในปิฎกนั้นน่ะ อ่านได้ ใครๆ อ่านก็ฟัง แล้วก็เอามาใคร่ครวญดู ว่าปฏิบัติตามแล้วดับทุกข์ได้ก็ปฏิบัติตาม ไม่ให้ลำพังว่ามันมีอยู่ในพระไตรปิฎกแล้วก็เชื่ออย่างตะครุบเอาไป เหมือนที่ข้ออื่นๆ ก็เหมือนกัน ที่มันทนได้กับความเห็นของเรา หรือว่ามันเกิดผุดขึ้นในจิตใจของเรา อันนี้มันห้ามไม่ได้ มันก็เกิดผุดขึ้นในจิตใจของเรา หรือบางทีก็ทนได้ต่อความคิดเห็นของเรา แต่เราก็อย่าเพิ่งเชื่อว่าเพราะมันทนได้ต่อความคิดความเห็นของเรา ต้องวิเคราะห์วิจารณ์ดูต่อไปว่าปฏิบัติเข้าแล้วตามนั้น มันดับทุกข์ได้หรือไม่
มาถึงข้อที่ว่าอย่าเชื่อเพราะผู้พูดอยู่ในฐานะที่น่าเชื่อ ก็ฟัง เขาอยู่ในฐานะที่น่าเชื่อ ก็ฟัง แล้วครูบาอาจารย์พูด ก็ฟัง ฟังด้วยความเคารพเพราะสมณะนี้เป็นครูของเรา เราฟังโดยเคารพแล้วก็เอามาวิเคราะห์วิจารณ์ดู เมื่อมันดับทุกข์ได้ก็ปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นกาลามสูตรนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร ไม่ได้เป็นเครื่องกีดขวางอะไรที่ให้คนเราต้องลำบากเพราะเหตุนั้น ฉะนั้นเราก็ดูพระไตรปิฎก อ่านพระไตรปิฎก อ้างพระไตรปิฎกได้ เฉพาะส่วนที่เราเห็นว่ามันถูกมันจริง พิสูจน์ความมีประโยชน์อยู่ในนั้น แล้วก็เราเคารพครูบาอาจารย์ เชื่อฟังครูบาอาจารย์ แต่ถ้ามันไม่พิสูจน์ความถูกต้องเรื่องความดับทุกข์ได้ เราเฉยเสียก็ได้ คือเราไม่ปฏิบัติตาม แม้ว่าเราจะรับฟังมา
เนี่ยคือกาลามสูตร มีหลักการในการที่ให้ใช้อย่างนี้ อาตมาก็เอามาเปิดเผยตามตรง แล้วก็บอกไปตามตรง มีคนคนนั้นเขาเกลียดมาก เขาโกรธมาก เขาเขียนกระทบด่าอาตมาว่าตลบตะแลง ว่าห้ามไม่ให้เชื่อพระไตรปิฎกแต่ตัวเองก็อ้างพระไตรปิฎกอยู่แทบจะทุกวัน ทุกหน้ากระดาษที่พูดหรือเขียน เนี่ยโคลนชนิดนี้มันก็เป็นโคลนเหมือนกันแหละ คือเขาด่า แล้วก็ถือว่าเป็นโคลนแต่มันเป็นความรับผิดชอบของใคร ท่านทั้งหลายจะล้ออาตมาเดี๋ยวนี้ก็ได้ ว่ามันเป็นความผิดของอาตมาหรือของใคร แล้วมันก็ออกจะเถรตรงเกินไป คือพระบาลีมีว่าอย่างไรก็เอามาพิมพ์ออกอย่างนั้น เปิดเผยไปอย่างนั้นด้วยเจตนาดี แต่แล้วก็มีผลเกิดขึ้นอย่างนี้ ฉะนั้นถ้าใครที่ยึดถือกาลามสูตรเป็นหลักก็ขอให้เข้าใจเสียใหม่ อย่าให้กาลามสูตรกลายเป็นอุปสรรคที่ไม่ยอมทำอะไรตามนั้น แล้วคนนั้นมันจะบ้าเอง มันจะอยู่ที่ไหนที่จะไม่ให้ได้ยินใครพูด ไม่ให้เห็นใครทำ หรือไม่ให้อ่านพระไตรปิฎก หรือไม่ให้ฟังครูบาอาจารย์ หรือไม่ให้คิดนึกตามความรู้สึกของตัว นี่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปได้ทุกอย่างแหละแต่ว่าไม่เชื่อทันที ไม่ถือเอาทันทีว่าเป็นอย่างนั้น มาใคร่ครวญดูตามที่เป็นจริงแล้วจึงจะถือเอา มันมีทางที่จะเทียบเคียงมากมาย จนในที่สุดรู้ได้ว่าข้อนี้มันถูก ข้อนี้มันผิด ข้อนี้ปฏิบัติตามแล้วดับทุกข์ ข้อนี้ปฏิบัติตามไม่ได้ ไม่ดับทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น นี้เรื่องกาลามสูตร
00:55:05
บ๊ะ ทำไมเร็วนัก ชั่วโมงแล้ว
ทีนี้มีคนบางคน กล่าวหาอาตมาว่าทำไมบอกสิ่งซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างไม่คงเส้นคงวา วันนี้คราวนี้บอกอย่างนี้ วันอื่นคราวอื่นบอกอย่างอื่น จนมีหัวใจพุทธศาสนาหลายแบบเหลือเกิน เนี่ยเขาหาว่าบอกหัวใจพุทธศาสนาไม่คงเส้นคงวา ถ้าท่านจำได้ท่านคงจะนึกได้ว่าบางครั้งก็บอกว่าหัวใจของพระพุทธศาสนานั้นคือคาถาพระอัสสชิ ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้นพร้อมทั้งความดับแห่งธรรมนั้น นี่คือหัวใจพุทธศาสนา บางทีก็บอกว่า สัพพปาปัสสะ อกรณัง ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำกุศลให้ถึงพร้อม ทำจิตให้บริสุทธิ์ นี้เป็นหัวใจพุทธศาสนา อย่างนี้ก็มี บางทีก็บอกว่าอริยสัจ 4 ข้อเป็นหัวใจพุทธศาสนา อย่างนี้ก็มี บางทีก็บอกว่า สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ สิ่งทั้งปวงยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ นี่เป็นหัวใจพุทธศาสนา อย่างนี้ก็มี หรือบางทีก็บอกว่า สุญญตา ความว่างจากตัวตน เมื่อจิตเห็นความว่างแล้วไม่ยึดถือสิ่งใดๆ น้อมไปเพื่อนิพพาน คือความว่าง สุญญตานี้เป็นหัวใจของพุทธศาสนา อย่างนี้ก็มี บางทีก็บอกว่า ตถตา ความเป็นเช่นนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ให้มองเห็นเถอะ นี่เป็นหัวใจของพุทธศาสนา เห็นแล้วไม่ยึดถืออะไร ก็เป็นหัวใจของพุทธศาสนาได้
ทีนี้เดี๋ยวนี้มาบอกว่า รักผู้อื่นนั่น หัวใจของศาสนาหรือทุกศาสนาเสียด้วย ทำไมบอกหัวใจของพุทธศาสนาไม่คงเส้นคงวา เดี๋ยวบอกอย่างนั้น เดี๋ยวบอกอย่างนี้ ข้อนี้มันก็ไปคิดดูเองเถอะ มันผิดที่ตรงไหนที่บอกว่าอะไรเป็นหัวใจพุทธศาสนา นั่นมันถูกทั้งนั้นแหละ มันเพียงแต่มองดูกันคนละเหลี่ยม เมื่อมองจากเหลี่ยมนี้ เพื่อเหตุการณ์อย่างนี้ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างนี้ มันก็เห็นหัวใจพุทธศาสนาในรูปร่างอย่างนี้ ทีนี้ไปมองเหลี่ยมอื่น เพื่อเหตุการณ์อย่างอื่น มันก็เห็นอย่างอื่น เมื่อก้อนหินก้อนนี้คุณนั่งตรงนั้น เห็นรูปร่างอย่างนั้น เลี้ยวมานั่งฝ่ายนี้ เห็นรูปร่างอย่างนี้ เลี้ยวมาทางทิศโน้น เห็นรูปร่างอย่างโน้น เลี้ยวไปทางทิศโน้น เห็นรูปร่างอย่างโน้น มองไปจากข้างบน เห็นรูปร่างอย่างหนึ่ง ถ้ามองมาจากใต้ดินข้างล่าง มันก็เห็นรูปร่างอย่างหนึ่ง มันก็แล้วแต่ว่าจะมองกันในเหลี่ยมไหน หัวใจมนุษย์นี่ก็เถอะ มองดู เอามาว่า ตัดออกมาแล้วก็มองดูจากทางนั้น จากทางนี้ จากข้างบน จากข้างล่างก็ไม่เห็นว่าหัวใจนี้มันมีรูปร่างอย่างไรโดยอย่างเดียว มันมีได้หลายอย่าง หัวใจของพุทธศาสนานี้ ถ้าเราจะเอามาพูดเพื่อให้เกิดการปฏิบัติรวบรัด ทางนี้ มันก็สรุปความออกมาว่าอย่างนี้ ถ้าจะให้ปฏิบัติรวบรัดอย่างโน้น มันก็สรุปความออกมาว่าเป็นอย่างโน้น เดี๋ยวนี้เพื่อจะสรุปความออกมาในฐานะที่เป็นประโยชน์ในทางสังคมแก่คนทั้งโลก ก็บอกว่าพูดหัวใจพุทธศาสนานั้นมีเพียง 3 พยางค์ว่ารักผู้อื่น รักผู้อื่นเนี่ยเป็นหัวใจของพระศาสนา ไม่เห็นแก่ตัว กิเลสเกิดไม่ได้ ก็หมดกิเลส แล้วสังคมก็เป็นสุข มันก็ได้เหมือนกัน จะไปพูดคำยาวๆ เรื่องภาษาพระอัสสชิ โอวาทปาติโมกข์ อริยสัจ 4 มันก็ได้เหมือนกัน มันแสดงในเหลี่ยมอื่นเมื่อมองมาจากเหลี่ยมคูอันอื่น นี่ขอให้เข้าใจข้อเท็จจริงอันนี้ไว้สำหรับที่จะไม่เกิดความขัดแย้งกันขึ้นในตัวเอง หรือระหว่างตัวเองกับผู้อื่นที่ว่าเรามองอะไรก็มองกันจากคนละทิศคนละทาง แล้วเป็นเหตุให้เถียงกันทะเลาะกันจนถึงกับเป็นข้าศึกแก่กันเพราะว่ามันมองคนละทาง ขอให้สังเกตไว้ให้ดี ต่อไปข้างหน้าก็จะไม่ต้องมีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่ามันขัดกัน
01:00:48
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องที่มันยาก เป็นเรื่องใหญ่เรื่องยาก เรื่องเป็นเรื่องตายของธรรมะ ของศาสนายิ่งขึ้น อาตมารวบรวมเอามาตามที่จะนึกได้ว่ามันมีอะไรที่เขากล่าวหาอย่างรุนแรง กล่าวหากันอย่างรุนแรง แล้วเราก็ถูกกล่าวหาให้เป็นมิจฉาทิฐิไปเลย นี้มีอยู่หลายเรื่อง ถ้าเข้าใจแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าล้อ น่าเอามาล้อเพราะมันคอยหลบมุมกลับตาลปัตรกันอยู่ เขากล่าวหาอาตมาว่าพูดอะไรมันเกินธรรมดา มันมากกว่าที่ควรจะพูด เดี๋ยวนี้มันมี มีข้อเท็จจริงอยู่อันหนึ่ง เนื่องจากอาตมาพอใจถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ ฝ่ายคริสต์ เนี่ยที่เป็นเหตุให้ถูกหาว่าเลื่อมใสคริสต์ กลายเป็นคริสต์ไปแล้วก็มี พระเยซูท่านกล่าวว่า “เรามานี่เพื่อช่วยทำให้มันเต็ม ไม่ได้มาเพื่อยกเลิก” ใจความสั้นๆ มีอย่างนี้ มาเพื่อช่วยทำให้มันเต็ม ไม่ใช่มาเพื่อยกเลิก เช่น บัญญัติของเดิมก่อนพระเยซูก็มีอยู่ ว่าเหมือนกับที่เรารู้กันทั่วๆ ไปว่า ไม่ให้ประพฤติผิดประเพณี ล่วงเกินบุตรภรรยาสามีหญิงชายของผู้อื่น หมายความว่าไปทำอย่างนั้นเข้า ก็ผิดศีลผิดธรรมะข้อนี้ ทีนี้พอพระเยซูเกิดขึ้น พระเยซูมาสอนว่าแม้แต่เพียงดูด้วยตาแล้วคิดอยู่ในใจ เท่านี้ก็ขาดศีลแล้ว ขาดศีลข้อที่ว่าล่วงเกินประเวณีแล้ว บัญญัติเดิมกล่าวอย่างโน้นว่าต้องไปทำอย่างนั้นกันจริงๆ จึงจะขาดศีลกาเมฯ พระเยซูว่าเพียงแต่ดู จ้องดูด้วยตาแล้วคิดด้วยจิตที่ประทุษร้าย คนนั้นก็ขาดศีลกาเมฯ แล้ว จะหาว่าพระเยซูมาเลิกของเก่าหรือว่าพระเยซูมาทำให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ของเก่าบัญญัติไม่ให้กระทำ พระเยซูก็ไม่ได้บอกให้ยกเลิก แต่เพิ่มน้ำหนักให้มันมากขึ้นว่าเพียงแต่มองดู จ้องตาแล้วคิดจะทำ มันก็ขาดศีลหมดแล้ว เนี่ยพระเยซูถูกกล่าวหา ถูกพวกยิว ฝ่ายยิว ฝ่ายศาสนายิวเขากล่าวหาว่ามาทำลายล้างของเดิม มายกเลิกของเดิม พระเยซูก็บอกว่าดูให้ดีสิ ยกเลิกของเดิมหรือทำให้มันดี ให้มันเต็ม ให้มันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พระเยซูรับบาปข้อนี้อย่างไร อาตมาก็กำลังรับบาปข้อนี้อย่างนั้นเพื่อจะป้องกันศีลธรรมไว้ในสภาพที่ปลอดภัยที่สุด แล้วจึงพูดอะไรไว้ให้มันมาก ให้มันเต็ม เช่นอาตมาบอกว่า คนที่แต่งตัววับๆ แวมๆ ผู้หญิงที่แต่งตัววับๆ แวมๆ ล่อกิเลสผู้ชายนั้นน่ะ มันเป็นโสเภณีแล้ว มันยังไม่ได้ทันไปรับจ้างเอาเงินเอาทองอะไรที่ไหน มันแต่งตัววับๆ แวมๆ เสื้อผ้าบางๆ ปิดๆ เปิดๆ อย่างนี้มันเป็นโสเภณีแล้ว เพราะจิตใจของเขาต้องการให้คนอื่นหลงรักเขาด้วยการกระทำอย่างนั้น เพื่อเขาจะได้ประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งไม่โดยตรงก็โดยอ้อม เพราะฉะนั้นคนแต่งตัวโป๊หรือครึ่งโป๊หรืออะไรก็ตาม มันเป็นโสเภณีแล้ว อย่างน้อยมันก็เป็นโสเภณีทางจิตทางวิญญาณ การพูดอย่างนี้ไม่ได้ยกเลิกของเก่าแต่มันกลับทำให้ของเก่านั้นมีความหมายสมบูรณ์เต็มที่ ปลอดภัยแก่ศีลธรรมยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง การที่มากล่าวหากันว่ามายกเลิกของเดิม มาว่าเอาเองใหม่นี้ ไม่มี อาตมารับรองได้ว่าไม่มี แต่เขาก็หาว่ามีและมีไปมากเรื่อง มากอย่าง
01:06:34
เขาหาว่าอาตมายกเลิกหลักธรรมะเดิมๆ เรื่องตายแล้วเกิด เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องโอปปาติกะ เรื่องมีตัวมีตน มีสัตว์ มีบุคคล เขาว่าอาตมายกเลิก ไม่จริง ไม่ได้ยกเลิก เรื่องตายแล้วเกิดเนี่ย เข้าใจผิดกันอยู่มาก ทุกคนที่นั่งอยู่นี่ระวังให้ดี เรื่องตายแล้วเกิดนี่เป็นคำพูดที่ผิด เรื่องตายแล้วไม่เกิดก็เป็นคำพูดที่ผิด เขาหาว่าอาตมาไปยกเลิกคำสอนที่ว่าตายแล้วเกิดแล้วทำให้คนไม่มีศีลธรรม นี้มันก็แล้วแต่เขาจะพูด แต่ความจริงตามหลักของพุทธศาสนานั้น พูดไม่ได้ว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด มันต้องพูดว่าแล้วแต่เหตุปัจจัยที่มันจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ ถ้าเหตุปัจจัยสำหรับเกิดมี มันก็ตายแล้วเกิด ถ้าเหตุปัจจัยสำหรับเกิดไม่มี มันก็ตายแล้วไม่เกิด มันพูดลงไปโดยส่วนเดียวไม่ได้
เมื่ออาตมาพูดอย่างนี้ ชี้แจงอย่างนี้ เขาก็หาว่ายกเลิกหลักของเก่าที่ว่าตายแล้วเกิด แล้วคนก็ไม่ทำบุญทำกุศล นี่ กลับกันมากถึงอย่างนี้ ทีนี้มันยังมีมากไปกว่านั้นว่า ที่พูดว่าตายแล้วเกิดหรือไม่เกิดนี้มันไม่ถูกตามที่เป็นจริง เพราะถ้าพูดให้จริงถึงที่สุดแล้วมันไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด ตรงนี้เขายิ่งโกรธใหญ่เพราะพูดว่าไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครเกิดใหม่ กระทั่งไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครนั่งอยู่ที่นี่ มันมีแต่กลุ่มของสังขารเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย หรือกลุ่มของธรรมชาติหมุนไปๆ ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา อย่างนี้มันไม่มีคน และไม่มีใครนั่งอยู่ที่นี่ ไม่มีใครจะตาย ไม่มีใครจะไปเกิดใหม่ เขาก็ยิ่งโกรธใหญ่หาว่ายกเลิกของเก่า ที่จริงนี่คือของเก่าของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ตรัสสอนเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
บทปัจเวกข์พิจารณาปัจจัย 4 สำหรับภิกษุสามเณรนั่นแหละมีข้อความชัดเลย เช่นว่าบิณฑบาตนี้ก็ดี ผู้ที่บริโภคบิณฑบาตนี้ก็ดี เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์บุคคล ว่างเปล่าจากความหมายแห่งตัวตน อย่างนี้ทำไมไม่เอามาคิดดูบ้าง อันนี้มันยกเลิกไม่ได้ มันมีอยู่จริง เขาก็หาว่า เรายกเลิกว่าตายแล้วเกิด อีกซีกหนึ่งไม่เอามาพูด ที่ว่าตายแล้วไม่เกิด ไม่เอามาพูด เพราะเขาสอนเป็น พูดเป็นแต่เรื่องตายแล้วเกิด เขาสอนพูดเป็นแต่ว่า มีคนตายแล้วเกิด แล้วก็จะได้รับผลกรรมตามที่ทำไว้อย่างไร พูดไม่เป็นว่า อนัตตา ไม่มีสัตว์ไม่มีบุคคล ขืนเอามาพูดก็เข้าใจผิดจนไม่มีอะไรเลย เป็นนัตถิกทิฏฐิไปเสียอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ยิ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิใหญ่ ที่ไม่มีอะไรเสียเลย ตามหลักของพุทธศาสนาต้องพูดว่า มันมีธรรมชาติปรุงแต่ง เป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามกฎแห่งปฏิจจสมุปบาทหรืออะไรก็ตาม นั่นน่ะมันมี ไม่ใช่ไม่มีอะไรเสียเลย
อาตมาก็พูดทำนองอย่างนี้ พูดตรงๆ ว่าไม่มีใครตาย ไม่มีใครเกิด แต่มันเป็นธรรมะในชั้นสูง เขาฟังไม่เข้าใจ ทีนี้ถ้าพูดในชั้นต่ำก็ไม่พูดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วไม่เกิด แต่จะพูดว่าแล้วแต่เหตุปัจจัยมีอยู่หรือไม่ได้มี เราพูดอย่างนี้ เขาหาว่ายกเลิกของเก่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ
01:11:10
ทีนี้มาถึงเรื่องอบาย 4 นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย มีเรื่องราวที่เขากล่าวกันไว้แต่ก่อนอย่างไร มีรูปภาพเขียนไว้ตามผนังโบสถ์ เรื่องนรก มีไฟ มีหม้อทองแดง อย่างนั้นๆ เดรัจฉานคือสัตว์เดรัจฉานตามทุ่งนา เปรตคือเปรตรูปร่างผอมโซ ต่างๆ ชนิด อสุรกายคือผีชนิดหนึ่งซึ่งไม่มีใครเห็นตัว พูดไม่ได้ว่ารูปร่างอย่างไร ถ้าตายแล้วก็ไปตกอบายคือความเป็นอย่างนั้น เรียกว่าไปตกนรก นรกของคนพวกนี้ตายแล้วจึงจะตก ถ้ายังไม่ตายยังไม่มีปัญหาเรื่องนรก ไม่เกี่ยวกับนรก จะตกนรกก็ต่อเมื่อตายแล้ว อาตมาก็บอกเขาว่านรกนั้นไม่สำคัญ ไม่จำเป็น ไม่รีบด่วน เก็บไว้ก่อนก็ได้ มาดูอบายจริงๆ ที่นี่และเดี๋ยวนี้กันดีกว่า นรกก็คือความร้อนใจเหมือนกับไฟเผา เมื่อใดใจของใครร้อนเหมือนไฟเผาคนนั้นกำลังตกอยู่ในนรก เมื่อใดคนใดโง่อย่างไม่น่าจะเป็นได้ เมื่อนั้นคนนั้นเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ในรูปร่างอย่างนี้ ในรูปร่างคนก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน ทีนี้เปรตนั่นน่ะ เมื่อใดหิวๆ หิวด้วยกิเลสตัณหา หิวเหลือประมาณนั้นน่ะ เมื่อนั้นน่ะเป็นเปรต ไม่ต้องตายไปเกิดในโลกไหน โลกอื่นที่ไหน ที่นี่ ในรูปร่างอย่างนี้เนี่ย คนนั้นก็เป็นเปรตได้เมื่อมันหิวอย่างไม่มีเหตุผล หิวด้วยความโง่ หิวด้วยอวิชชา ทีนี้อสุรกาย เมื่อใดคนใดมันขลาด ขี้ขลาดขี้กลัวอย่างไม่มีเหตุผลอีกเหมือนกัน นี่มันเป็นอสุรกายที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยกเลิกที่เขาว่ากันไว้แต่ก่อนที่เขียนอยู่ตามผนังโบสถ์ ก็ไม่ได้ไปลบของเขาแต่อธิบายให้เห็นว่าที่มันแรงร้ายเหลือประมาณ แล้วมันมีอยู่ที่นี่ รบกวนอยู่ทุกวันนี่ทำไมไม่ดู ทำไมไม่ดูนรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย ที่เดี๋ยวเกิดตรงนั้น เดี๋ยวเกิดตรงนี้ คนคนหนึ่งมันก็เป็นได้วันละหลายๆ ครั้ง ร้อนใจหลายๆ ครั้งก็ตกนรกหลายๆ หนในวันหนึ่ง ในวันหนึ่งโง่หลายๆ ครั้งก็เป็นสัตว์เดรัจฉานหลายๆ หน ในวันหนึ่งหิวด้วยกิเลสไม่มีเหตุผลก็เป็นเปรตหลายๆ ครั้งในวันหนึ่ง อสุรกาย เมื่อขี้ขลาดไม่มีความหมาย ไม่มีเหตุผล มันก็เป็นอสุรกายหลายๆ ครั้งแม้แต่ในวันหนึ่ง ที่บอกว่าอย่าตกนรกชนิดนี้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้ว ตายไปแล้วก็ไม่ต้องตกนรกชนิดไหนที่โลกไหนอันอื่นอีก มันรับประกันได้ที่นี่ อย่าตกนรกอย่างนี้ นรกอย่างโน้นน่ะมันควบคุมมันไม่ได้ มือมันยังเอื้อมไปไม่ถึง เราก็มาควบคุมนรกที่อยู่ในวิสัยที่เราจะควบคุมได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อย่าตกนรก อย่าตกอบายในความหมาย 4อย่างนี้และตายแล้วก็ไม่ตกอบายชนิดไหนหมด
01:14:51
เขาก็ไปกล่าวหาว่า ยกเลิกของเก่ามาพูดเอาเองใหม่ว่า นรก เดรัจฉาน เปรต อสุรกายเป็นอย่างนี้ นั่นน่ะคนมันโง่เอง มันไม่รู้จักปฏิบัติตามความหมายเรื่องนี้ให้ปลอดภัย บางคนยังเป็นเอามากๆ ถึงกับว่า ที่อาตมาพูดนั้นเป็นอุปมาเปรียบเทียบ นั้นมันบ้ามากเกินไป อย่างที่อาตมาพูดนั้นคือตัวจริง ไม่ใช่อุปมาเปรียบเทียบ ที่อย่างที่เขียนตามฝาผนังโบสถ์อย่างนั้น หม้อทองแดงอย่างนั้น นั่นน่ะคืออุปมาเปรียบเทียบ เขากลับว่าอันนั้นเป็นตัวจริง ที่อาตมาพูดว่า นรกคือความร้อนใจ เดรัจฉานคือความโง่ เปรตคือความหิว อสุรกายคือความขลาด เขาถือว่านี่เป็นอุปมาเท่านั้น เป็นอุปมาเท่านั้น ดูสิ มันอุปมาอะไร มันเกิดอยู่จริงๆ ในจิตในใจทุกวันๆ มันไม่ใช่อุปมา ฉะนั้นเราจะรู้จักอบายที่แท้จริงกันเสีย แล้วก็อย่าตกอบายที่นี่ ในโลกนี้ แล้วก็รับประกันได้ว่าตายแล้วจะไม่ตกอบายชนิดไหนหมด แต่ก็ไม่พ้นจะถูกเขากล่าวหาว่าอวดดี ตั้งลัทธิใหม่ ยกเลิกของเก่า
ทีนี้เรื่องสวรรค์ก็เหมือนกัน ถ้ามีความรู้สึกสบายใจมากถึงขนาดชอบใจตัวเอง บูชาตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ว่ามีอะไรดี ความรู้สึกอันนั้นแหละเป็นความหมายของคำว่าสวรรค์ ขอให้ทุกๆ ท่านเนี่ย มีอะไรในตัวที่ดีพอที่จะยกมือไหว้ตัวเองได้วันละครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อย วันละครั้งหนึ่งเป็นอย่างน้อย ยกมือไหว้ตัวเองได้นั่นก็คือสวรรค์ที่แท้จริง ไม่ใช่อุปมา สวรรค์นางฟ้า สวรรค์วิมานนั่นแหละจะเป็นอุปมา สวรรค์จริงนี้มันอยู่ที่จิต ที่เป็นสุข พอใจตัวเอง ชื่นใจตัวเอง นี้เป็นสวรรค์ อธิบายอย่างนี้ไม่ได้ยกเลิกของเก่าแต่ว่าทำของเก่าให้ง่าย ให้เต็มขึ้นมา จนถึงนี่ เต็มขึ้นมาจนถึงกับว่าควบคุมได้ ปฏิบัติได้ ใช้เป็นประโยชน์ได้
พอทีนี้ก็มาถึงเรื่องโอปปาติกะ มีคนเขียนด่าอาตมาโดยตรงเลยว่าเป็นคนไม่เชื่อในโอปปาติกะ จึงไปอธิบายเสียใหม่ ที่จริงเราอธิบายเสียใหม่นั่นแหละคือให้ถูก ถูกกับโอปปาติกะที่แท้จริง ที่อธิบายเสียใหม่นั่นน่ะ คือให้ถูกโอปปาติกะที่แท้จริง โอปปาติกะที่เขาพูดกันอยู่ทุกวันนี้มันผิดแล้ว มันผิดหลักแล้ว โอปปาติกะที่แท้จริงคือว่า มันเกิดผลุงขึ้นมาโดยไม่ต้องมีบิดามารดา เกิดผลุงขึ้นมาโดยไม่ต้องเป็นทารกอ่อน นอนแบเบาะ ผลุงขึ้นมาโตเต็มที่เลยแล้วไม่ต้องมีบิดามารดา การเกิดอย่างนี้เรียกว่าโอปปาติกะ แล้วมันก็มีชั่วระยะที่เกิดเท่านั้นแหละที่เรียกว่าโอปปาติกะ ทีนี้เขาเข้าใจผิด เขาเอาไปปนกับคำว่าสัมภเวสี สัมภเวสีคือวิญญาณที่เที่ยวล่องลอยอยู่ หาที่เกิด นั่นแหละคือสัมภเวสี เขาเอาโอปปาติกะไปปนกับสัมภเวสี เอาสัมภเวสีมาเป็นโอปปาติกะ เขาว่าเขาแสดงปาฏิหาริย์อย่างนั้นอย่างนี้ได้โดยอำนาจของโอปปาติกะ นี้มันผิด สิ่งที่เขาเรียกนั้นเป็นสัมภเวสี โอปปาติกะนี้มีอยู่ชั่วขณะที่เกิดผลุงขึ้นมาก็เสร็จเรื่องของโอปปาติกะ ถ้ามันไม่ได้เกิด มันเที่ยวล่องลอยหาที่เกิดอยู่ เป็นวิญญาณชนิดนั้นอย่างที่เขาว่านะ ไม่ใช่ที่อาตมาว่านะ อย่างนี้ในบาลีเขาเรียกว่าสัมภเวสี เอาสัมภเวสีนี้มาใช้แสดงปาฏิหาริย์อย่างนั้นอย่างนี้ได้เหมือนที่เขาชอบคุยชอบอวดกัน แต่ไปใช้ในไปในนามของโอปปาติกะมันก็ผิดหมดแหละ เอาสัมภเวสีมาใช้ในนามของโอปปาติกะ เขาอธิบายโอปปาติกะว่าเกิดผลุงขึ้นมาในโลกทิพย์โน่น ในโลกทิพย์ โลกอื่นที่มองไม่เห็น และยังว่าเกิดเป็นคนก็ได้ เกิดเป็นสัตว์ก็ได้ เป็นโลกทิพย์ ในโลกทิพย์ก็มีคน มีสัตว์ มีอะไรเป็นทิพย์ นั่นน่ะเขาเรียกว่าโอปปาติกะ อาตมาบอกว่าไม่ใช่ โอปปาติกะเกิดผลุงขึ้นมาโตเต็มที่โดยไม่ต้องมีบิดามารดา เนี่ยคือมันเกิดด้วยกระแสแห่งความคิดยึดมั่นถือมั่น เมื่อใดมีความรู้สึกเป็นสัตว์นรกมันก็เกิดเป็นสัตว์นรก มีความรู้สึกเป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน รู้สึกอย่างเปรตก็เท่ากับเกิดเป็นเปรต รู้สึกอย่างอสุรกายมันก็เกิดเป็นอสุรกายที่นี่และเดี๋ยวนี้ หรือที่ให้ชัดไปกว่านั้นอีก ก็คือเมื่อมีความคิดอย่างเลวก็เกิดเป็นคนพาลทันที คนคนนี้ถ้ามีความคิดอย่างเลวก็เกิดเป็นคนพาลทันที คนคนนี้ถ้ามีความคิดดีคิดถูกต้องก็เกิดเป็นบัณฑิตขึ้นมาทันที มันคิดอย่างโจรก็เกิดเป็นโจรทันที คิดอย่างพระก็เป็นพระทันที เนี่ยคือเกิดแห่งจิตใจ มีความหมายอย่างหนึ่งๆ ผลุงขึ้นมาก็เป็นเต็มที่ ไม่ต้องมีบิดามารดา ไม่ต้องคลอดจากท้องแม่ ไม่ต้องเป็นแต่ก่อนนอนเบาะแล้วจึงจะโต มันโตเต็มที่ทันที เนี่ยขอให้ทุกคนระวังการเกิดแบบนี้ มันเผลอนิดเดียวมันก็เกิดเป็นโจรได้ คิดอย่างโจรก็เกิดเป็นโจรได้โดยไม่ต้องไปขโมย ไปปล้น ไปจี้อะไรที่ไหน เพียงแต่มันคิดพอใจที่จะทำอย่างนั้นมันก็เกิดเป็นโจรเสียแล้ว คิดอย่างคนดีก็เป็นคนดีแล้ว คิดอย่างคนชั่วก็เป็นคนชั่วแล้ว เนี่ยเรียกว่าโอปปาติกะที่แท้จริง ไม่ต้องตายเข้าโลงแล้วจึงไปเกิด ฉะนั้นเป็นโอปปาติกะที่นี่กันดีๆ ให้ถูกต้อง ระวังให้ดีๆ อย่าให้เกิดความคิดชั่วคิดเลว เป็นคนชั่วคนเลว ตายไปแล้วก็ไม่ไปเกิดเป็นคนชั่วคนเลว ถ้าโอปปาติกะชนิดนั้นมีอีกทีหนึ่งก็เป็นคนดี แต่อันนั้นมันยังไกล มันยังไม่เกี่ยวข้องกัน มันยังไม่ทำอันตรายอะไร โอปปาติกะชนิดที่นี่เดี๋ยวนี้ทำอันตรายมากเหลือเกิน พอเด็กๆ คิดผิดต่อพ่อแม่ มันก็เกิดใหม่เป็นสัตว์เนรคุณไปแล้ว เป็นลูกเนรคุณไปแล้ว ถ้ามันคิดดีเอื้อเฟื้ออ่อนน้อมต่อพ่อแม่มันก็เป็นสัตว์กตัญญูไปแล้ว มันเกิดได้ชั่วพริบตาเดียวหรือว่าเร็วกว่านั้นเสียอีก คือช่วงขณะจิตที่มันคิด
ฉะนั้นระวังนะ เกิดเป็นสัตว์นรกวันละร้อยครั้งก็ได้นะ ใครที่ขี้โกรธเก่งขี้ร้อนใจเก่ง เนี่ยมันเกิดเป็นสัตว์นรกวันหนึ่งตั้งหลายๆ ครั้ง หลายๆ สิบ หลายๆ ร้อยครั้งก็ได้ ขอให้ระวัง โอปปาติกะชนิดนี้ ร้ายกาจเหลือเกิน และอุตส่าห์เป็นโอปะปาติกะฝ่ายสวรรค์กันบ้าง ไปทำความดีและพอใจในความดี ยกมือไหว้ตัวเองได้ เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ ในความหมายของคำว่าสวรรค์คือพอใจและเป็นสุข ให้มีโอปปาติกะเป็นคนดีทำนองนี้อยู่เป็นประจำ มันก็จะดีมากและปลอดภัย ใช้คำว่าโอปปาติกะเสียให้ถูกต้อง อย่าเอาไปปนกับคำว่าสัมภเวสี คือวิญญาณที่ล่องลอย ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอย่างไร เหมือนกับจิตที่มันยังอยู่ในระยะที่ไม่แน่ใจลงไปว่ายึดมั่นอะไรๆ นั้น มันยังเหมือนกับสัมภเวสี จิตที่กำลังลังเลไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรแน่มีลักษณะเป็นสัมภเวสี พูดอย่างนี้ไม่ได้ยกเลิกของเก่า ในคัมภีร์ในตำรา บางทีพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสเรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้ มันมีอยู่ในคัมภีร์ตำราชั้นหลังแล้วก็เอามาถือกันจนเป็นมั่นเหมาะ จนเป็นลัทธิเข้มงวดกวดขัน พอเราไปพูดอธิบายอย่างอื่นผิดไปจากนั้น เขาก็เห็นว่ายกเลิกของเก่า แล้วก็ประณามให้เป็นคนทำลายหลักพระพุทธศาสนาเอาเสียทีเดียว
1:24:48
ทีนี้เรื่องตัวตน คนมีความรู้สึกว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นตัวกู เป็นของกูเนี่ยมาตั้งแต่เล็กๆ เป็นเด็กๆ เกิดมายังไม่รู้ความมันก็ยังไม่มีตัวตน พอเด็กๆ รู้เรื่องความสวย ความงาม ความน่าเกลียด ความหอม ความเหม็น ความเอร็ดอร่อย ความไม่เอร็ดอร่อยเนี่ยรู้สึกในเวทนาแล้ว เด็กก็รู้จักเกิดตัณหาคือความอยากไปตามอำนาจของเวทนานั้น มีความอยากแล้วมันก็เกิดความรู้สึกเท่านั้นแหละ ความรู้สึกนี้ไม่ใช่ตัวตนอะไร เกิดความรู้สึกอันหนึ่งว่า กูผู้อยาก ผู้ต้องการ ผู้จะเอาให้ได้ตามที่ต้องการ นี่ตัวตนมันเกิดในฐานะเป็นนามธรรมอย่างนี้ หลังจากที่เกิดตัณหา ตัณหาเกิดหลังจากเวทนา เวทนาเกิดหลังจากผัสสะ ถ้ามีผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจแล้วก็เกิดเวทนา เวทนาสบายแก่จิต เวทนาไม่สบายแก่จิต ก็เกิดตัณหาไปตามเวทนานั้น ถ้ามันอร่อยสวยงามสบายแก่จิต มันก็เกิดตัณหาอยากได้ อยากเอา อยากเป็น ถ้ามันไม่เป็นที่สบายแก่จิต มันก็เกิดตัณหาชนิดที่ อยากไม่เอา ไม่เป็น ถ้าเกิดความอยากเป็นความรู้สึกเต็มที่แล้ว มันก็เกิดความรู้สึกถัดมาคือ รู้สึกมีกูผู้อยาก เนี่ยก็เกิดตัวกูผู้อยาก มันอยากไปเอามาได้ มาเป็นของกู ความรู้สึกว่าของกูมันก็ตามมา ทีนี้เด็กๆ นั้นเขาเริ่มรู้สึกอย่างนี้ได้ เริ่มเกิดตัวกู ของกูได้ เขาก็เป็นผู้มีอุปาทานว่า ตัวกู ว่า ของกู หรือมีมานะ ความสำคัญมั่นหมายว่า เป็นตัวกู ว่า เป็นของกู ที่เป็นตัวกูก็คือว่า อหังการมานะ มานะสำคัญมั่นหมายว่าตัวกู ที่เป็นของกูก็คือมมังการมานะ ความสำคัญมั่นหมายว่า ของกู ทีนี้เกิดความรู้สึกอย่างนี้ทีหนึ่งมันก็มีความเคยชินสำหรับจะเกิดอีกขึ้นมาครั้งหนึ่ง ความเคยชินอันนี้เรียกว่า อนุสัย แปลว่า นอนตามคือนอนตามเป็นความเคยชินที่จะเกิดมานะว่า กู เกิดมานะว่า ของกู เด็กโตขึ้นมาๆ เป็นผู้ใหญ่ก็ซ้ำมีความ มีการเกิดตัวกู ของกูซ้ำๆ ซ้ำๆ ก็เป็นอนุสัยอันหนาแน่น เรียกชื่อเป็นพระบาลี ตามคำบาลีว่า อาหังการมมังการมานานุสัย ช่วยจำไว้ด้วย มันเป็นคำที่สำคัญมากที่สุด
อาหังการมมังการมานานุสัย อนุสัยคือมานะว่า ตัวกู ว่า ของกู แปลออกไปอีกว่า ความเคยชินที่จะหมายมั่นว่า เป็นตัวกู ว่า เป็นของกู เนี่ยมาตั้งแต่เด็กๆ เนี่ยเด็กๆ พอรู้ความดีแล้ว มันก็มีอันนี้สะสมมากขึ้นๆ จนหนาแน่นเป็นอนุสัยอยู่ในสันดาน อนุสัยนี้มากขึ้นๆ มันก็อัดตัวมากขึ้น มันก็ปรี่ที่จะไหลออกมาเป็นความรู้สึกที่เป็นกิเลสอีก ที่มันอัดตัวหมักหมมจนระเบิดไหลออกมาเป็นกิเลสอีกนี้ เราเรียกว่าอาสวะ อาสวะแปลว่าไหลนองออกมา อนุสัยที่มันมากเข้า พอมันได้เหตุได้ปัจจัยมันก็ไหลนองออกมาเป็นอาสวะ ก็มาเป็นกิเลสรูปใดรูปหนึ่ง ยึดถือว่า ตัวกู ว่า ของกู ตามสมควรแก่เหตุปัจจัยนั้นๆ อย่างนี้มีในทุกคน แล้วก็หนาแน่นอยู่ในทุกคนที่เป็นปุถุชน อันนี้จะไม่หมดไปจนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์คือการทำลายอาหังการมมังการมานานุสัยเสียได้ ฉะนั้นจงสนใจเรื่องอาหังการมมังการมานานุสัยให้เข้าใจและศึกษาธรรมะในการปฏิบัติธรรมะเพื่อจะทำลายเสียซึ่งอาหังการมมังการมานานุสัย ถ้าทำลายได้หมดก็เป็นพระอรหันต์ ทำลายได้ไม่หมดก็เป็นพระอริยบุคคลที่รองๆ ลงมา รู้จักสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออาหังการมมังการมานานุสัย จะให้รู้อย่างถูกต้องที่สุดว่าอหังการสำคัญว่าตน มมังการสำคัญว่าของตน คือตัวกู และของกูนั่นน่ะ มันมีอยู่อย่างนี้ มันเป็นเพียงความรู้สึก มันไม่ได้มีตัวตนอันแท้จริง ไม่ได้เป็นวิญญาณอย่างผีปีศาจอะไรที่ไหน มันเป็นความรู้สึกที่ปรุงแต่งขึ้นมาในจิตใจ ในระดับที่เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน แล้วเคยชินเป็นนิสัยเรียกว่าอาหังการมมังการมานานุสัย ไม่มีตัวตนที่ไหน ตัวกูก็เป็นเพียงความรู้สึก ของกูก็เป็นเพียงความรู้สึก
01:31:03
ความรู้สึกอันนี้มีชื่อหลายอย่าง เรียกว่าอัสมิมานะก็ได้ คือความสำคัญ ความหมายมั่น มานะว่าเรามีอยู่ อัสมิแปลว่าเรามีอยู่ อัสมิมานะคือมานะหมายมั่นว่าเรามีอยู่ หรือจะเรียกว่าอัตตสัญญา ความสำคัญว่าตัวตนก็มีอยู่ นี่เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ทั้งนั้นแหละที่เรียกว่าตัวตน มันเป็นความรู้สึกแห่งจิตที่มันรู้สึกคิดนึกได้ ในร่างกายที่ยังเป็นๆ ยังไม่ตาย มันมีอุปกรณ์พร้อมที่จะรู้สึกคิดนึกอย่างไรก็ได้
ทีนี้ความรู้สึกว่าตนว่าของตนหรือจะเรียกกันหยาบๆ ว่ามันเดือดจัดว่า ตัวกู ว่า ของกูนี้มันก็มีอยู่ตลอดเวลา ถึงเขาจะให้มายึดถือเป็นตัว เป็นตน เป็นที่พึ่งของตนนี่ มันเป็นไปไม่ได้ อาตมาจึงบอกตามหลักพระธรรมอันแท้จริงว่า มันไม่มีตัวไม่มีตัวตน มันจึงไม่มีใครเกิด มันจึงไม่มีใครตาย ไม่มีตัวตนอันถาวร เขาก็หาว่าอาตมาว่าเอาเอง ยกเลิกของเก่าที่ว่ามีตัวมีตน นั้นมันเป็นคำพูดประเภทชักชวนให้ทำบุญ เอาบุญกุศลเป็นตัว เป็นตน เป็นที่พึ่งของตน มีตัว มีตน อยู่ที่บุญ ที่กุศล อย่างนั้นมันก็ได้เหมือนกันแต่มันไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเรื่องชักชวน เป็นเรื่องช่วยให้เกิดสนใจในบุญในกุศล
ฉะนั้นการที่จะพูดว่าไม่มีตัวตนนี้ไม่ใช่ยกเลิกของเก่า ของเก่าแท้ของพระพุทธเจ้านั้นก็คือสอนเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา เรื่องตถตา คือไม่มีตัวตน
ความไม่มีตัวตนนั้นเป็นของจริงแต่จิตมันไม่รู้สึกอย่างนั้น จิตมันรู้สึกมีตัวตนเสียเรื่อย จิตมันรู้สึกมีตัวตนเสียเรื่อย มันก็เลย เราจึงรู้สึกว่ามีตัวตน มีตัวเรา มีของเรา ถ้ามันเข้มข้นมากเข้ามันมีความหมายอย่างที่เราเรียกว่ามีตัวกู มีของกู มีตัวกูของกูนี่มันเข้มข้นกว่าว่ามีตัวเราหรือของเรา มีตัวเราของเราก็ยังเข้มข้นกว่า จะพูดว่ามีตัวตนหรือของตน มันแล้วแต่ความรู้สึกแห่งจิตที่มันรุนแรงหรือว่ามันอ่อนแอ
รวมความว่าอาตมาไม่ได้ยกเลิกของเดิม เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องโอปปาติกะ เรื่องตัวตนอันถาวร ไม่ได้ยกเลิกแต่ประการใด แต่ช่วยอธิบายใหม่ให้เต็ม ให้ปฏิบัติได้ ให้ควบคุมได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ให้เราควบคุมนรกสวรรค์และตัวตนอะไรได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ แล้วก็มีผู้ที่ไม่เข้าใจ เขาหาว่ายกเลิกของเก่า แล้วก็ว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิบ้าง เป็นอะไรบ้างแล้วแต่เขาจะพูดออกไปด้วยอำนาจของความโกรธ เนี่ยน่าเอามาล้อไหม ตั้งใจจะทำให้เต็ม กลับหาว่าเป็นเรื่องยกเลิก สมน้ำหน้าที่ทำตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเยซูว่า เรามานี่เพื่อทำให้เต็ม ไม่ได้ยกเลิกของเก่า อาตมาเห็นว่ามันน่าล้อก็จึงเอามาล้อ เอามาล้อให้ได้ยินได้ฟังกันเสีย ไม่ยกเลิกของเก่าแต่พูดให้สมบูรณ์ ให้เห็นครบถ้วน ให้เห็นทางที่จะปฏิบัติได้ แล้วให้ปฏิบัติเอาตัวรอดได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ควบคุมอย่าให้กิเลสเกิดขึ้นได้แล้ว มันก็เป็นนิพพานโดยอัตโนมัติที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่มีกิเลสเกิดขึ้นรบกวนแล้ว ก็มีภาวะแห่งนิพพานในปัจจุบันที่นี่และเดี๋ยวนี้ ที่มันเย็น ไม่มีไฟกิเลสและไฟทุกข์เผาลน ถึงแม้ว่าร่างกายจะแก่จะตายมันก็ไม่มีอุปาทานเข้าไปยึดถือเอามาเป็นของเรา มันก็เท่ากับไม่มี เท่ากับไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย เนี่ยเขาเรียกว่านิพพานในทิฏฐธรรม มีพระบาลีเรียกว่านิพพานในทิฏฐธรรม นิพพานในเวลา ในระยะ ในขณะที่บุคคลคนนั้นเห็นได้หรือรู้สึกได้ด้วยตนเอง
นี่เกี่ยวกับหลักธรรมที่ถูกหา ถูกกล่าวหาว่ายกเลิกของเก่า ก็ว่าใหม่เอาเองซึ่งไม่มีทางที่ทำได้ ไม่มีใครทำได้ที่จะไปยกเลิกของเก่าของพระพุทธเจ้า นี้ไม่มีใครทำได้ ว่าใหม่เอาเอง ขืนว่ามันก็ผิด มันก็เป็นคนละเรื่องไป แต่เดี๋ยวนี้เราจะทำให้มีความหมายหรือคำอธิบายที่เต็มเปี่ยมครบถ้วนขึ้นมา
01:36:50
ทีนี้ก็มีอีกพวกหนึ่งที่เขากล่าวหา แต่รู้สึกว่าจะลำบากใจแก่ผู้ฟังบางประเภท คือเขากล่าวหาอาตมาว่า อวดดี ชอบใช้คำภาษาฝรั่งอังกฤษมาประกอบการบรรยายธรรมะ นี่มันก็มีเหตุผล ไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียเลยที่เขาจะกล่าวหาอย่างนี้ มันก็มีเหตุผลแต่มันมีเหตุผลชนิดที่เข้าใจไม่ตรงกัน เขากล่าวหาว่าการใช้คำภาษาอังกฤษภาษาต่างประเทศเข้ามาประกอบนั้น มันเป็นการอวดดี จะอวดภูมิ อวดความรู้ว่ารู้ภาษาต่างประเทศ พูดคำภาษาต่างประเทศมากเกินไป มาเอามาประกอบคำไทยมากเกินไป
ที่จริงไม่ใช่เป็นอย่างนั้น มันไม่ได้มากเกินไป มันเท่าที่จำเป็นที่จะต้องใช้คำภาษาต่างประเทศ เพราะเหตุว่ามันประหยัดเวลา ถ้าหากว่าการบรรยายธรรมะนั้นมันบรรยายแก่นักศึกษาที่รู้ทั้งภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ มีความรู้ทางปรัชญา ทางจิตวิทยา ทางอะไรที่เขาใช้ภาษาต่างประเทศอยู่แล้วเป็นประจำ เราก็พูดถึงคำเหล่านั้นขึ้นมาสักคำหนึ่ง มันก็คุ้มได้มาก ไม่ต้องพูดตั้งหลายคำ เช่นคำว่า summum bonum เป็นคำภาษาศีลธรรมสากล เขารู้กันอยู่แล้วว่าหมายความถึงอะไร ถ้าจะเอามาพูดแปลเป็นไทยมันจะต้องพูดกันหลายบรรทัด หลายคำพูด แล้วมันก็จะเลือน คำพูดมันก็จะเลือนเพราะมีอะไรมาแทรกแซงมากนัก คำว่า summum bonum ที่เขารู้กันอยู่ มันก็รู้ว่าหมายถึงอะไร คือสิ่งสูงสุดที่มนุษย์จะเข้าถึงได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ จะเป็นพระเจ้าก็ได้ เป็นนิพพานก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ เขาเรียกเป็นกลางๆ ว่า summum bonum ความดีสูงสุดสำหรับมนุษย์จะเข้าถึงได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ อาตมาต้องพูดถึงอย่างนี้ แต่ถ้าพูดด้วยคำที่เขาใช้กันอยู่แล้วก็ summum bonum ก็ 4 พยางค์สั้นๆ ลุ่นๆ มันก็ประหยัด คำอย่างนี้มีมาก ถ้าก็พูดกับนักศึกษา เช่นจะต้องพูดในที่อบรมผู้พิพากษาซึ่งเป็นนักศึกษา เป็นอะไรมามากแล้วหรือว่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยอย่างนี้ ก็ใช้คำที่ว่าเขารู้อยู่แล้วเพื่อประหยัดเวลา นี้อย่างหนึ่ง จึงได้ใช้คำภาษาต่างประเทศ เช่นคำว่า nihilism คือนัตถิกทิฎฐิในภาษาบาลี เขารู้กันดีทั่วโลกเลยว่า nihilism หมายถึงอะไร เราไม่ต้องไปเสียเวลาพูดเป็นประโยคหลายๆ ประโยค พูดว่า nihilism คือลัทธิที่ถือว่าไม่มีอะไร อย่างนี้มันก็ประหยัด ภาษาทางศีลธรรมมีมากคำ ที่พูดแล้วมันเข้าใจกันได้ทันที
ทีนี้คำอื่นที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ เช่นคำเปอร์เซียของนิกายซูฟี ความหมายอย่างเดียวกับลัทธิอัตตาในฮินดู มันรู้กันอยู่แล้ว ก็พูด เอามาใช้ได้ หรือว่าที่ยังไม่รู้เขาก็จะได้รู้ว่าในลัทธิอิสลามเขาก็มีคำสอนเรื่องอัตตาอันถาวรเหมือนกับลัทธิฮินดู มีคำเรียกสั้นๆ ว่า อันนาส ฮัต ฮัตตูอี ข้าพเจ้าก็เป็นพรหม ท่านก็เป็นพรหม อย่างนี้เป็นต้น คือทุกคนเป็นพรหม คำภาษาละตินก็มีอยู่หลายคำที่มันรู้กันดี ก็เอามาใช้เพื่อกำกับไว้ให้แน่นอน มันมีประโยชน์ตรงที่ว่า คำบรรยายไม่น้อยต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ คำบรรยายที่เราบรรยายอยู่เนี่ย เขาได้เอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้วหลายเรื่อง บางเรื่องเขาแปลไม่ถูกไม่ตรงอย่างที่เราต้องการเพราะว่าเราพูดเป็นไทย ทีนี้พอถึงตรงนั้นเราพูดเป็นภาษาอังกฤษประกอบไปเสียด้วย คนที่ช่วยเอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษมันก็ใช้คำถูกและตรงตามที่เราต้องการ มันมีประโยชน์เหลือประมาณอย่างนี้แหละจึงต้องใช้คำภาษาอังกฤษบางคำประกอบในการบรรยาย
อาตมาไม่ต้องการจะโอ้อวดอะไรในการที่จะใช้คำภาษาต่างประเทศ โดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ได้บูชาฝรั่ง เพราะพูดอะไรจนฝรั่งโกรธไม่อยากจะมองหน้าอยู่แล้ว จะเรียกว่าบูชาฝรั่งนั้น มันเป็นไปไม่ได้ คนก็ยังมาด่า มาหา กล่าวหาอาตมาว่าชอบใช้คำต่างประเทศเพราะบูชาฝรั่ง เดี๋ยวนี้ก็พูดกันจนฝรั่งโกรธ ไม่อยากจะดูหน้าอยู่แล้ว พูดว่าการศึกษาหมาหางด้วนของพวกฝรั่งอย่างนี้ เขาก็โกรธอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องบูชาฝรั่งเลย ทีนี้การเอาคำฝรั่งมาประกอบคำบรรยายก็เพราะเพื่อประโยชน์ให้มันง่าย ประหยัดเวลา ได้ผลดีเมื่อเขาจะเอาคำบรรยายนี้ไปแปลเป็นภาษาต่างประเทศ
01:43:43
เอ้า พระเจ้าเขาบอกว่าหยุด เทวดาเขาบอกว่าหยุดไว้ก่อน ก็หยุดไว้ก่อนเถอะ ค่อยพูดต่อกันไปใหม่ ที่พูดมานี้ก็จะ 2 ชั่วโมงอยู่แล้ว เอ้า ทุกคนเอาตัวรอด ช่วยตัวเอง