ความลึกซึ้งของธรรม
เรื่อง ภพ ชาติ (การเกิด) ใน "อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท"
อธิบายตอบปัญหาคำว่า“ชาติ”ในปฏิจจสมุปบาท
“(ถาม) อยากเรียนถามท่านอาจารย์สักนิดหนึ่ง คือ มีผู้ทรงพระไตรปิฎกคนหนึ่งเขาถามว่า คำว่า “ชาติ” นี้ ที่ท่านอาจารย์ตีความว่า เป็นความเกิดขึ้นครั้งหนึ่งของความสำคัญมั่นหมายว่า “เรา” “ของเรา” เกิดขึ้นครั้งหนึ่ง เรียกว่า“ชาติ” เขาถามว่า ท่านอาจารย์ตีความเอาเอง หรือว่าข้อนี้จะถูกต้องหรือเปล่า? ขอให้ท่านช่วยขยายความ.
(พุทธทาสภิกขุ ตอบ) ทำไมจึงไม่ถามให้ชัดว่า อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าไหนเล่า? ผมจะได้บอกว่า มันมีอยู่ทุกหน้า และทุกบรรทัดเลย เหตุผลที่แสดงหรือหลักฐานที่แสดงให้เห็นอย่างนี้นั้น ก็คือ “พระไตรปิฎก” นั่นแหละ! ถ้าเขาอ่านเป็น เขาจะพบว่า มันแสดงอยู่ทุกบรรทัด และทุกหน้า ทุกเล่ม คือแสดงถึงข้อที่ว่า “ความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวทุกข์, ถ้าไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่เป็นตัวทุกข์, แล้วความเกิดดับ-เกิดดับ ก็มีมากถึงกับว่า เกิดดับแห่งจิตนั้น ขณะจิตหนึ่งก็มีเกิด, ขณะจิตหนึ่งก็มีตั้งอยู่, ขณะจิตหนึ่งก็ดับไป; อย่างนี้ก็เรียกว่า “เกิด” เหมือนกัน แปลว่า มันมีการเกิดอยู่อย่างถี่ยิบ แต่เราไม่ได้เอาเกิดชนิดนี้ เอาเกิดชนิดที่“เป็นที่ตั้งของอุปทาน” ยึดมั่นว่า ตัวเรา ว่าของเรา ซึ่งเป็นความหมายที่ทำให้เกิดความทุกข์.
ต้องไปเข้าใจให้ดี เรื่อง“ปฏิจจสมุปบาท” ที่ในปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้ารอบหนึ่งจะมีคำว่า“ชาติ”อยู่ด้วยชาติหนึ่งเสมอ.
ถ้าเขาเข้าใจเรื่องนี้ เขาจะเห็นได้เองว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ มีได้ในหนึ่งรอบ ในขณะหนึ่งรอบ ในขณะหนึ่ง ในเรื่องหนึ่ง ในกรณีหนึ่งๆ ซึ่งอาจจะวินาทีหนึ่งก็ได้ สองวินาทีก็ได้, ในรอบของปฏิจจสมุปบาทนั้น “ทุกข์ขึ้นมาวาบหนึ่ง” แล้วก็เรียกว่า..ต้องมี“ชาติ”หนึ่งอยู่ในนั้นเสมอไป ตามนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาท.
ฉะนั้น ขอให้ไปศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วจะพบว่า มันต้องเป็น“ชาติ”ชนิดนี้ แล้วปฏิจจสมุปบาทเกิดขึ้นได้เสมอไป วันหนึ่งก็หลายๆรอบ.
แต่ถ้าตีความหมายปฏิจจสมุปบาท รอบหนึ่งรอบเดียวเท่านั้น; ตั้งต้นอยู่ชาติที่แล้ว - มาตรงกลางอยู่ชาติปัจจุบันนี้ - ตอนปลายอยู่ชาติข้างหน้าโน้น อย่างนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง; ผมถือว่า นั่นเป็นความเข้าใจแบบหนึ่ง ซึ่งผมถือสำหรับผมเองว่า ไม่ถูกต้องตามพุทธประสงค์ ที่จะเอาปฏิจจสมุปบาทวงหนึ่งแบ่งเป็น ๓ ส่วน : ส่วนหนึ่งอยู่ชาติที่แล้วมา - ส่วนตรงกลางอยู่ชาตินี้ แล้วส่วนหนึ่งอยู่ชาติหน้า ชาติที่ยังจะไปข้างหน้า จะตายแล้วเข้าโลงไป อย่างนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง.
“ชาติ”อย่างที่กล่าวมานั้น เขาก็มีพูดกันมาก ก็เช่นเดียวกับที่ว่า กว่าจะนิพพานก็เข้าโลงแล้วเข้าโลงเล่า, เข้าโลงแล้วเข้าโลงเล่า ก็ยกไว้ให้เขาแบบหนึ่ง เราไม่เอาอย่างนั้น เราจะเอานิพพานให้ทันแก่เวลาในชาตินี้ ฉะนั้น เราจะต้องตีความหมายชนิดที่เรียกว่า“ปฏิบัติได้” คือเป็น apply หรือว่าเป็น practical นั่นแหละ จึงจะไม่เสียทีที่ว่า..ได้รับพระพุทธศาสนามาสำหรับบำบัดกำจัดความทุกข์.
เรื่องนี้ ก็เคยพูดมาแล้วหลายครั้งว่า คำแต่ละคำมีความหมายเป็นสอง คือ “อย่างธรรมดาสามัญ” กับ “อย่างลึกซึ้ง” ที่เรียกกันว่า “ปรมัตถ์” แต่ถ้าเรียกให้ถูกต้องเรียกว่า “ทิฏฐธัมมิกโวหาร” พูดอย่างชาวบ้านพูด คำว่า “ชาติ” ก็คือ เกิดมาจากท้องแม่จนกว่าจะเข้าโลง: แต่ถ้าพูดอย่าง “สัมปรายิกโวหาร” ที่ผู้รู้ธรรมะพูด คำว่าชาติหนึ่งก็หมายถึงเกิดขึ้นแห่ง “ตัวกู” ครั้งหนึ่ง ซึ่งจะปรับกันได้ เข้ากันได้ กับคำสอนเรื่องปฏิจจสมุปบาท การเกิดมีขึ้นเมื่อ..ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น แล้วอวิชชาเข้ามาครอบงำ จะต้องมี“ชาติ”หนึ่งเสมอ เดี๋ยวตา เดี๋ยวหู เดี๋ยวจมูก ฯ วันหนึ่งจึงมีหลาย“ชาติ”
ถ้าผมจะว่าเอาเอง มันจะมีประโยชน์อะไร มันก็ใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ แล้วก็ยิ่งตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส จึงถืออย่างนี้.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ธรรมบรรยาย หัวข้อเรื่อง “จุดหมายปลายทางของคนคืออะไร”
๘ เมษายน ๒๕๑๘
จาก หนังสือธรรมโฆษณ์ เล่ม “โมกขธรรมประยุกต์” พิมพ์ครั้งที่ ๒ หน้า ๑๖๙-๑๗๐
..
มีผู้ทรงพระไตรปิฏกท่านหนึ่งถามว่า คำว่าชาติ ท่านตีความว่าเป็นการเกิดขึ้นของความสำคัญมั่นหมายครั้งหนึ่งนี้เรียกว่าชาติหนึ่งอันนี้เป็นการตีความไปเองมันจะถูกต้องหรือเปล่า
Youtube
Podcast
.
ฟังนาทีที่ 56.00
จาก Listen to 6.จุดหมายปลายทางของคนคืออะไร by สืบสานงานท่านพุทธทาส on #SoundCloud
https://on.soundcloud.com/V6WjG
..
อ่าน โมกขธรรมประยุกต์
https://drive.google.com/file/d/1wSOh2g-olAzlEsiqbTtqrTUxj7Srk0uG/view?usp=sharing
.