แจ้งให้ทราบ
คำสวดมี 12 หน้า พบเสียงสวดแบ่งเป็นตอนๆ และ ยังไม่พบแบบคาราโอเกะ
ตอน 1 หมวดว่าด้วย ธาตุ หน้า 20 -22 ยาว 13 นาที
ฟัง https://soundcloud.com/user-327441149/whjwsku11tuw?in=user-327441149/sets/76vddowyzhm1
ตอน 2 หมวดว่าด้วย อายตนะ หน้า 23-28 ยาว 21 นาที
ฟัง https://soundcloud.com/user-327441149/7xud8oqd6sif?in=user-327441149/sets/76vddowyzhm1
ตอน 3 หน้า 28 เริ่ม สูตรที่ ๒ เทวทหวรรค สฬายตนส์...ยังไม่พบเสียงสวด
.
เชิญไหว้พระสวดมนต์ครับ
บท ปรมัตถสภาวร้มมปาฐะ
หน้า 20
(หนุท มยํ ปรมตุถสภาวธมุมสํวณุณนาย ปฐมภาคสุส ปาจํ ภณาม เส.)
(๑. หมวดว่าด้วยธาตุ)
ฉธาตุโร อย์ ภิกขุ ปุริโส,
ดูก่อนภิกษุ! บุรุษ (คือคนเรา) นี้, ประกอบอยู่ด้วยธาตุ ๖ อย่าง, ....ฯลฯ....
กิญเจต์ ปฏิจุจ วุตตํ? คำนี้,
เราอาศัยเนื้อความอะไรกล่าวเล่า?
ฉยิมา ภิกฺขุ ธาตุโย :
ดูก่อนภิกษุ! ธาตุทั้งหลาย - อย่าง เหล่านี้ มีอยู่ :
ปซีวีธาตุ, คือปฐวีธาตุ, อาโปธาตุ, คือ
อาโปธาตุ, เตโซธาตุ, คือเตโชธาตุ,
วาโยธาตุ,
คือวาโยธาตุ,
อากาสธาตุ,
คืออากาสธาตุ,
วิญญาณธาตุ.
คือวิญญาณธาตุ. ดังนี้.
- (ธาตุวิภังคสูตร อุปริ. ม. ๑๔/๔๓๖/ ๖๗๘-๙.)
โย ภิกฺขเว (เตส จนน์ ธาตุนำ)" อุปุปาโท ริติ อภินิพุพตฺติ ปาตุภาโว;
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ภาวะอันใด, เป็นความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ ความบังเกิด
ขึ้นมา ความปรากฏออก, (แห่งธาตุทั้งหลาย ๖ อย่าง เหล่านั้น):
ทุกฺขสุเสโส อุปฺปาโท,
นั่นแหละ คือความเกิดขึ้นแห่งทุกข์,
โรคาน์ จิติ,
ความตั้งอยู่แห่งธรรมชาติเป็นเครื่องเสียบแทงทั้งหลาย,
ชรามรณสุส ปาตุภาโว. เป็นความปรากฏออกแห่งชราและมรณะ.
โย จ โข ภิกุขเว (เตสํ ฉนน์ ธาตุนำ)' นิโรโธ วูปสโม อตุถงุคโม;
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ส่วนภาวะอันใด, เป็นความ
ดับไม่เหลือ ความเข้าไปสงบรำงับ ความถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้, (แห่งธาตุทั้งหลาย ๖ อย่าง เหล่านั้น):
ทุกุขสุเสโส นิโรโธ,
นั่นแหละ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,
โรคานํ วูปสโม,
ความเข้าไปสงบรำงับแห่งธรรมชาติเป็นเครื่องเสียบแทงทั้งหลาย,
ชรามรณสุส อตุถงุคโม.
ความถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ. ดังนี้.
- (สูตรที่ ๙ อุปฺปาทส์. ขนธวาร. ส. ๑๗/๒๘๖/๔๙๕-๖.)
ข้อความนี้ เป็นข้อความที่กล่าวรวบธาตุทั้ง ๖ ในคราวเดียวกัน, ไม่แยกกล่าวทีละอย่าง ตาม
บาลีแห่งสูตรนั้น : ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการสวด.
หน้า 21
ฉนุนํ ภิกุขเว ธาตูนํ อุปาทาย,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เพราะอาศัยธาตุ ๖ อย่าง เหล่านี้,
คพุภสุสาวกุกนฺติ โหติ;
ย่อมมีการหยั่งลงสู่ครรภ์;
โอกุกนฺติยา สติ นามรูป;
เมื่อการหยั่งลงสู่ครรภ์มีอยู่, นามรูป ย่อมมี;
นาม-รูปปจุจยา สฬายตนำ;
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย,
สฬายตนะ ย่อมมี;สพายตนปจุจยา ผสุโส;
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย, ผัสสะ ย่อมมี;
ผสฺสปจุจยา เวทนา.
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย, เวทนา ย่อมมี.
เวทิยมานสุสโข ปนาห์ ภิกุขเว,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สำหรับบุคคลผู้มีความรู้สึกต่อเวทนาอยู่ นั่นแล,
อิทำ ทุกุขนฺ-ติ ปญญาเปมิ,
เราย่อมบัญญัติให้รู้ว่า ทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ,
อย์ ทุกุขสมุทโย-ติ ปญฺญาเปมิ,
ย่อมบัญญัติให้รู้ว่า เหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ,
อย์ ทุกฺชนิโรโธ-ติ ปญญาเปมิ,
ย่อมบัญญัติให้รู้ว่าความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ,
อย์ ทุกุขนิโรธคามินี ปฏิปทา-ติปญณาเปมิ.
ย่อมบัญญัติให้รู้ว่า ข้อปฏิบัติเครื่องทำสัตว์ให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เป็นอย่างนี้ ๆ ดังนี้.
- (สูตรที่ ๑ มหาวรรค ติก. อํ. ๒๐/๒๒๗/๕๐๑.)
อปราปี (อาวุโส) ติสุโส ธาตุโย :
(ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย!)
ธาตุทั้งหลาย แม้เหล่าอื่น ๓ อย่าง ยังมีอีก :
กามธาตุ,
กล่าวคือ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งกาม, เป็นไปเพื่อกามทั้งหลาย, อย่างหนึ่ง:
รูปธาตุ,
กล่าวคือ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งรูป, เป็นไปเพื่อรูปธรรมทั้งหลาย, อย่างหนึ่ง:
อรูปธาตุ.
กล่าวคือ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งอรูป, เป็นไปเพื่ออรูปธรรมทั้งหลาย, อย่างหนึ่ง. ดังนี้.
- (ข้อความตอนนี้ เป็นสารีปุตตเถรภาษิต ในสังคีดิสูตร ปา. ที่. ๑๑/๒๒๘/๒๒๘.)
อปราปี (อาวุโส) ติสุโส ธาตุโย :
(ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย!)
ธาตุทั้งหลาย แม้เหล่าอื่น ๓ อย่าง ยังมีอีก :
รูปธาตุ,
กล่าวคือ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งรูป,เป็นไปเพื่อรูปธรรมทั้งหลาย, อย่างหนี้ง:
อรูปธาตุ,
กล่าวคือ ธาตุเป็นที่ตั้งแห่งอรูป,เป็นไปเพื่ออรูปธรรมทั้งหลาย, อย่างหนึ่ง:
นิโรธธาตุ.
กล่าวคือ ธาตุเป็นที่ตับแห่งรูปธาตุและอรูปธาตุทั้งหลาย,เป็นไปเพื่อนิพพาน, อย่างหนึ่ง.ดังนี้.
- (ข้อความตอนนี้ เป็นสารีปุตตเถรภาษิต ในสังคีติสูตร ปา. ที. ๑๑/๒๒๘/๒๒๘.)
หน้า 22
ติสุโส (อาวุโส) นิสุสารณียา ธาตุโย :
(ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย!)
ธาตุ อันเป็นธรรมชาติเครื่องสลัดออก ซึ่งสิ่งควรสลัดออก, มีอยู่ ๓ อย่าง:
กามานเมตํ นิสุสรณ์, ยทิทํ เนกุขมุมํ,
กล่าวคือเนกข้มมธาตุ อันเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามธาตุ นั้น, อย่างหนึ่ง:
รูปานเมตํ นิสุสรณ์, ยทิทํ อรูป,
กล่าวคืออรูปธาตุ อันเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งรูปธาตุ นั้น, อย่างหนึ่ง;
ยํ โข ปนกิญจิ ภูตํ สงขตํ ปฏิจุจสมุปุปนฺน, นิโรโธ ตสุส นิสุสรณ์.
กล่าวคือนิโรธธาตุ อันเป็นเครื่องสลัดออก ซึ่งสังขารธาตุอันเกิดแล้ว, ปรุงแต่งแล้ว อาศัยกันเกิด
ขึ้นแล้ว ใด ๆ ก็ตาม นั้น, อย่างหนึ่ง. ดังนี้.
- (ข้อความตอนนี้ เป็นสารีปุตตเถรภาษิต ในสังคีติสูตร ปา. ที. ๑๑/๒๙'๒/๓๙๕.)
เย จ รูปูปคา สตฺตา,
สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ผู้เข้าไปถือเอาซึ่งรูปธาตุด้วย,
เย จ อรูปฎรายิโน,
สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ผู้เข้าไปตั้งอยู่ในอรูปธาตุด้วย,
นิโรธั อปุปชานนฺตา,
ล้วนแต่เป็นผู้ไม่รู้ทั่วถึงอยู่ ซึ่งนิโรธธาตุ,
อาคนฺตาโร เต ปูนพุภวั.
สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น, ย่อมเป็นผู้มาสู่ภพใหม่อีก.
เย จ รูเป ปริญญาย,
ส่วนสัตว์ทั้งหลายเหล่าใด, รอบรู้แล้ว ซึ่งรูปธาตุทั้งหลาย,
อรูเปสุ อสณฺจิตา,
ไม่ติดอยู่แล้ว ในอรูปธาตุทั้งหลาย,
นิโรเธ เยว มุจุจนฺติ,
ย่อมหลุดพ้นไปในนิโรธธาตุนั่นเทียว;
เต ชนา มจุจุหายิโน.
สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น,ชื่อว่าผู้ละซึ่งมัจจุ, ดังนี้.
- (ท์วยตานุปัสสนาสูตร มหาวรรค สุ.ขุ, ๒๙/๔๘oldo๔.)
อถวา :
อีกอย่างหนึ่ง :
สพุพสงขารธาตุยา จิตตํ ปฏิวาเปตุวา, นรชน.
ถอนแล้วซึ่งจิตจากสังขารธาตุทั้งปวง,
อมตาย ธาตุยา จิตฺตํ อุปสํหรติ;
ย่อมน้อมนำจิตเข้าไปในอมตธาตุ:
เอตํ สนุตํ เอตํ ปณีตํ, นั่นแหละ คือ
ธรรมชาติอันรำงับ, นั่นแหละ คือธรรมชาติอันประณีต,
ยทิทำ,
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ :\-
สพฺพสงขารสมโถ,
คือความสงบรำงับแห่งสังขารทั้งปวง,
สพพูปธิปฏิ-นิสุสคุโค,
คือความสลัดคืน ซึ่งอุปธิทั้งปวง,
ตณฺหกฺขโย,
คือความสิ้นไปแห่ง
ตัณหา, วิราโค,
คือความจางไปหมดสิ้น,
นิโรโธ,
คือความดับไมเหลือ
นิพุพานํ.
คือความดับเย็นสนิท. ดังนี้.
- (มหานิ. บุ. ๒๙/๕๑๖/๘๒๕.)
(จบ หมวด ธาตุ)
หน้า 23
(๒. หมวดว่าด้วยอายตนะ)
อถาปรํ โภนฺโต อายตนานํ สํวณุณนา อมุเหหิ สชุฌายิตพุพา.
ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย! ลำดับนี้, เรื่องอันเกี่ยวกับอายตนะทั้งหลาย, เป็น
เรื่องที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะนำมาสาธยาย :
สพฺฬ โว ภิกฺขเว เทสิสุสามิ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เราจักแสดง ซึ่ง"สิ่งทั้งปวง" แก่เธอทั้งหลาย.
ตํ สุณาถ.
เธอทั้งหลาย จงฟังซึ่งธรรมนั้น.
กิญจ ภิกฺขเว สพฺฬ?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อะไรเล่า ชื่อว่า "สิ่งทั้งปวง" ?
จกุชุณุเจว รูปา จ; อายตนะ
คือจักษุและรูปทั้งหลายด้วย นั่นเอง;
โสตญจสทฺทา จ; อายตนะ
คือหูและเสียงทั้งหลายด้วย;
ฆานญจ คนุธา จ; อายตนะ
คือจมูกและกลิ่นทั้งหลายด้วย;
ชิวุหา จ รสา จ; อายตนะ
คือลิ้นและรสทั้งหลายด้วย;
กาโย จ โผฎรพุพา จ; อายตนะ
คือกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายด้วย;
มโน จ ธมฺมา จ; อายตนะ
คือมโนและธรรมารมณ์ทั้งหลายด้วย;
อิทำ วุจุจติ ภิกฺขเว สพฺฬ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! อายตนะทั้งหลายเหล่านี้ นี่เราเรียกว่า " สิ่งทั้งปวง." ดังนี้.
- (สูตรที่ ๑ สัพพวรรค สฬายตนส์. สฬา. ส. ๑๘/๑๙/๒๔.)
กตมณุจ ภิกฺขเว สหายตน์?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ก็สิ่งที่เรียกว่า อายตนะ ๖ อย่าง นั้นคืออะไรเล่า?
จกุขุวายตน์, คือจักขุ-อายตนะ,
กล่าวคือ ตา เป็นทวารที่กระทบแห่งอารมณ์ทางตา,
โสตายตน์,
คือโสตะ-อายตนะ,
กล่าวคือหู เป็นทวารที่กระทบแห่งอารมณ์ทางหู,
ฆานายตนํ, คือฆานะ-อายตนะ,
กล่าวคือจมูก เป็นทวารที่กระทบแห่งอารมณ์ทางจมูก,
ชิวหายตน,คือชิวหา-อายตนะ,
กล่าวคือลิ้น เป็นทวารที่กระทบแห่งอารมณ์ทางลิ้น.
กายายตน์, คือกายะ-อายตนะ,
กล่าวคือเนื้อหนัง เป็นทวารที่กระทบแห่งอารมณ์ทางกาย,
มนายตนั; คือมนะ-อายตนะ,
กล่าวคือใจ เป็นทวารที่กระทบแห่งอารมณ์ทางใจ;
อิทำ วุจุจติ ภิกุขเว สฬายตนํ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้ เราเรียกว่า อายตนะ ๖ อย่าง. ดังนี้.
- (สูตรที่ ๒ พุทธวรรค นิทานส์. นิทาน. ส่. ๑๖/๔/ ๑๓.)
หน้า 24
สมุทฺโท สมุทฺโทติ ภิกุขเว อสุสุตวา ปุถุซุชโน ภาสติ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!ปุถุชน ผู้มีการสดับอย่างธรรมดาสามัญ, กล่าวกันอยู่ว่า สมุทร ๆ ดังนี้.
เนโสภิกุขเว อริยสุส วินเย สมุทฺโท.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สมุทร ดังที่กล่าวนั้น หาใช่สุมทร ในอริยวินัย กล่าวคือระเบียบแห่งการพูดจาของพระอริยเจ้า ไม่.
มหา เอโส ภิกุขเว อุทกราสิ มหา อุทกณุณโว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นั่นเป็นเพียงน่านน้ำใหญ่ ๆ ห้วงน้ำใหญ่ ๆ.
สนุติ ภิกุขเว จกขุวิญเญยยา รูปา,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สมุทร ในระเบียบแห่งการพูดจาของพระอริยเจ้า, มีอยู่,
คือรูปทั้งหลาย อันจะพึงรู้สึกได้ด้วยจักษุ,
อิฎรา กนฺตา มนาปา,
เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ,
ปียรูปา กามูปสญหิตา รชนิยา;
มีรูปน่ารัก เป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด;
อย์ วุจุจติ ภิกุขเว อริยสุสวินเย สมุทฺโท.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นี้แล, คือสิ่งที่เรียกว่าสมุทร ๆ ในระเบียบแห่งการพูดจาของพระอริยเจ้า.
เอตุถาย์ สเทวโก โลโก สมารโกสพฺรหฺมโก,
ในสมุทรนั้นแล, สัตวโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก.
สสุสมณพุราหฺมณี ปชา สเทวมนุสุสา,
หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์,
เยภุยุเยน สมุนุนา ตนุตา,
โดยมาก พากันตกอยู่ จมอยู่,
กุลกชาตา กุลคุณฺฑิกชาตา มุณชปพุพชภูตา,
มีจิตเหมือนกลุ่มต้ายยุ่ง, ยุ่งเหยิงเหมือนความยุ่งของกลุ่มด้ายที่หนาแน่นไปด้วยปม.
พัวพันกันยุ่งเหมือนเชิงหญ้ามุญชะและหญ้าปัพพชะ,
อปาย ทุคคตี วินิปาต์สํสาร์ นาติวตุตนฺติ.
ย่อมไม่ล่วงพันซึ่งสังสารวัฏฏ คืออบาย ทุคติ วินิบาต.ดังนี้..
(ในกรณีแห่งเสียงเป็นสมุทรก็ดี กลิ่นเป็นสมุทรก็ดี รสเป็นสมุทรก็ดี
โผฏฐัพพะเป็นสมุทรก็ดี ธรรมารมณ์เป็นสมุทรก็ดี, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ไว้, มีนัยะ อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปเป็นสมุทร ).
หน้า ๒๕
หตุเถสุ ภิกุขเว สติ, อาทานนิกเขปนํ ปญญายติ;
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!เมื่อมือทั้งหลาย มีอยู่, การจับหรือการวาง ย่อมปรากฎให้เห็น;
ปาเทสุ สติ,อภิกุกมปฏิกุกโม ปญญายติ;
เมื่อเท้าทั้งหลาย มีอยู่, การก้าวไปหรือการถอยกลับ ย่อมปรากฏให้เห็น:
ปพุเพสุ สติ, สมุมิญชนปสารณิ ปญญายติ;
เมื่อข้อศอกข้อเท้าทั้งหลาย มีอยู่, การตู้เข้าหรือการเหยียดออก ย่อมปรากฏให้เห็น:
กุจฉิสุมี สติ, ชิฆจุฉาปีปาสา ปญญายติ;
เมื่อท้องไส้มีอยู่, ความหิวหรือความระหาย ย่อมปรากฎให้เห็น: นี้ฉันใด;
เอวเมว โข ภิกฺขเว :
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้ ก็ฉันนั้น :
จกขุสุมีปี สติ,
กล่าวคือ เมื่อจักษุมีอยู่,
จกขุสมุ-ผสุสปจุจยา อุปปชุชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์;
เพราะจักษุสัมผัสนั้นเป็นปัจจัย,ย่อมเกิดความสุขและทุกข์ขึ้นในตน;
โสตสุมี สติ,
เมื่อหูมีอยู่,
โสตสมุผสฺสปจุจยา อุปุปชฺชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์;
เพราะโสตสัมผัสนั้นเป็นปัจจัย, ย่อมเกิดความสุขและทุกข์ขึ้นในตน;
ฆานสุมี สติ, เมื่อจมูกมีอยู่,
ฆานสมุผสุสปจุจยา อุปุปชฺชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์;
เพราะฆานสัมผัสนั้นเป็นปัจจัย, ย่อมเกิดความสุขและทุกข์ขึ้นในตน;
ชิวหาย สติ,
เมื่อลิ้นมีอยู่,
ชิวุหาสมุผสุสปจุจยา อุปุปชุชติ อชุฌตฺตํสุขทุกฺข์;
เพราะชิวหาสัมผัสนั้นเป็นปัจจัย, ย่อมเกิดความสุขและทุกข์ขึ้นในตน;
กายสุมี สติ, เมื่อกายมีอยู่,
กายสมุผสุสปจุจยา อุปฺปชฺชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์;
เพราะกายสัมผัสนั้นเป็นปัจจัย, ย่อมเกิดความสุขและทุกข์ขึ้นในตน;
มนสุมื สติ, เมื่อใจมีอยู่,
มโนสมุผสุสปจุจยา อุปฺปชฺชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์.
เพราะมโนสัมผัสนั้นเป็นปัจจัย, ย่อมเกิดความสุขและทุกข์ขึ้นในตน. ดังนี้.
- (สูตรที่ ๙ สมุททวรรค สฬายตนสํ. สฬา.ส. ๑๘/๒๑๔/๓๐๕.)
ทิฏฐา มยา ภิกุขเว ฉ ผสุสายตนิกา นาม นิรยา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
นรก ชื่อฉผัสสายตนิกา, (คือนรกอันเป็นไปในการสัมผัสทางอายตนะทั้ง ๖),เราได้เห็นแล้ว.
ตตุถ ยงกิญจิ จกขุนา รูป ปสุสติ;
ในนรกนั้น, บุคคลเห็นรูปใด ๆ ด้วยจักษุ,
อนิฎธรูปณุเญว...อกนุตรูปญฺเญว...อมนาปรูปญเญว
หน้า 26
ปสุสติ,
ย่อมเห็นแต่รูป อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา... ไม่น่าใคร่...ไม่น่าพอใจทั้งนั้น.
โน อิฎรรูปั...กนฺตรูปั...มนาปรูปี;
ไม่ได้เห็นรูป อันมีลักษณะพึงปรารถนา...น่าใคร่...น่าพอใจเลย;
ยงกิญจิ โสเตน สทฺท์ สุณาติ,
ในนรกนั้น,
บุคคลฟังเสียงใด ๆ ด้วยหู,
อนิฏรรูปญเณว...อกนฺตรูปญฺเถว...อมนาปรูปญ-เถว สุณาติ,
ย่อมฟังแต่เสียงอันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา...ไม่น่าใคร่...ไม่น่าพอใจทั้งนั้น
โน อิฎรรูปัป..กนฺตรูปั..มนาปรูป่;
ไม่ได้ฟังเสียง อันมีลักษณะพึงปรารถ-นา...น่าใคร่...น่าพอใจ เลย;
ยงุกิญจิ ฆาเนน คนุธ ฆายติ,
ในนรกนั้น,บุคคลดมกลิ่นใดๆ ด้วยจมูก,
อนิฏรรูปญเญว..อกนฺตรูปญเถว...อมนาป-รูปญฺเญว ฆายติ,
ย่อมดมแต่กลิ่น อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา...ไม่น่าใคร่...ไม่น่าพอใจ ทั้งนั้น,
โน อิฏธรูปั...กนฺตรูปั...มนาปรูปี;
ไม่ได้ดมกลิ่น อันมีลักษณะพึงปรารถนา...น่าใคร่..น่าพอใจเลย;
ยงุกิญจิ ชิวหาย รสํ สายติ,
ในนรกนั้น, บุคคลลิ้มรสใด 1 ด้วยลิ้น,
อนิฏรรูปญเญว...อกบุตรูปญเถว...อมนาปรูปณฺเณว สายติ,
ย่อมลิ้มแต่รส อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา..ไม่น่าใครร่...ไม่น่าพอใจ ทั้งนั้น,
โน อิฏธรูปี..กนฺตรูปั...มนาปรูป;
ไม่ได้ลิ้มรส อันมีลักษณะพึงปรารถนา...น่าใคร่...น่าพอใจ เลย:
ยงกิญจิ กาเยน โผฎจพฺ ผุสติ,
ในนรกนั้น, บุคคลสัมผัสโผฎฐัพพะใด ๆ ด้วยผิวกาย,
อนิฎรรูปญเญว...อกนุต-รูปญเถว..อมนาปรูปณุเญว ผุสติ,
ย่อมสัมผัสแต่โผฎฐัพพะ อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา..ไม่น่าใคร่..ไม่น่าพอใจทั้งนั้น,
โน อิฏจรูปั...กนฺตรูปปั...มนาปรูป;
ไม่ได้สัมผัสโผฏฐัพพะ อันมีลักษณะพึงปรารถนา...น่าใคร่...น่าพอใจ เลย:
ยงกิณุจิ มนสา ธมฺมํ วิชานาติ,
ในนรกนั้น, บุคคลรู้สึกธรรมารมณ์ใด ๆด้วยใจ
อนิฏจรูปญเญว...อกนฺตรูปญฺเญว....อมนาปรูปญเญว วิชานาติ,
ย่อมรู้สึกแต่ธรรมารมณ์ อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา...ไม่น่าใคร่...ไม่น่าพอใจ ทั้งนั้น,
โน อิฏรรูปั...กนฺตรูปี...มนาปรูปั.
ไม่ได้รู้สึกธรรมารมณ์ อันมีลักษณะพึงปรารถนา...น่าใคร่...น่าพอใจ เลย. ดังนี้.
หน้า 27
ทิฏฐา มยา ภิกุขเว ฉ ผสุสายตนิกา นาม สคุคา.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! สวรรค์ ชื่อฉผัสสายตนิกา, (คือสวรรค์อันเป็นไปในการสัมผัสทางอายตนะ
ทั้ง ๖), เราได้เห็นแล้ว.
ตตุถ ยงกิญจิ จกขุนา รูปี ปสุสติ,
ในสวรรค์นั้น,บุคคลเห็นรูปใด ๆ ด้วยจักษุ,
อิฎรรูปี เยว...กนุตรูปั เยว...มนาปรูปั เยวปสุสติ,
ย่อมเห็นแต่รูป อันมีลักษณะพึงปรารถนา...น่าใคร...น่าพอใจ ทั้งนั้น,
โน อนิฏรรูปั...อกนฺตรูปี... อมนาปรูปั;
ไม่ได้เห็นรูป อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา... ไม่น่าใครร่... ไม่น่าพอใจ เลย;
ยงกิญจิ โสเตน สทฺทํ สุฌาติ,
ในสวรรค์นั้น, บุคคลฟังเสียงใด ๆ ด้วยหู,
อิฏรรูปั เยว....กนฺตรูปั เยว...มนาปรูปัเยว สุณาติ,
ย่อมฟังแต่เสียง อันมีลักษณะพึงปรารถนา..น่าใคร่...น่าพอใจทั้งนั้น,
โน อนิฎรรูปี...อกนฺตรูป่...อมนาปรูปี;
ไม่ได้ฟังเสียง อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา...ไม่น่าใคร่...ไม่น่าพอใจเลย;
ยงกิญจิ ฆาเนน คนุธ ฆายติ,
ในสวรรค์นั้น, บุคคลดมกลิ่นใด ๆ ด้วยจมูก,
อิฏฐรูป เยว...กนฺตรูปี เยว...มนาปรูปเยว ฆายติ,
ย่อมดมแต่กลิ่น อันมีลักษณะพึงปรารถนา....น่าใคร..น่าพอใจทั้งนั้น,
โน อนิฎธรูป๋..อกนฺตรูปัป้..อมนาปรูป;
ไม่ได้ดมกลิ่น อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา...ไม่น่าใคร่.....ไม่น่าพอใจ เลย;
ยงุกิญจิ ชิวหาย รสํ สายติ,
ในสวรรค์นั้น, บุคคลลิ้มรสใด ๆ ด้วยลิ้น,
อิฏฐรูปี เยว....กนุตรูปี เยว... มนาปรูปัเยว สายติ,
ย่อมลิ้มแต่รส อันมีลักษณะพึงปรารถนา..น่าใคร่...น่าพอใจ ทั้งนั้น,
โน อนิฏจรูป้...อกนฺตรูป้...มนาปรูปี;
ไม่ได้ลิ้มรส อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา..ไม่น่าใคร่....ไม่น่าพอใจ เลย:
ยงกิญจิ กาเยน โผฎรพฺ ผุสติ,
ในสวรรค์นั้น, บุคคลสัมผัสโผฎฐัพพะใด ๆ ด้วยผิวกาย,
อิฏจรูปี เยว....กนุตรูปัเยว...มนาปรูป เยว ผุสติ,
ย่อมสัมผัสแต่โผฎฐัพพะอันมีลักษณะพึงปรารถนา...น่าใคร่...น่าพอใจ ทั้งนั้น,
โน อนิฎธรูปั...อกนฺตรูปัป้...อมนาปรูป่;
ไม่ได้สัมผัสโผฏฐัพพะ อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา..ไม่น่าใคร่.. ไม่น่าพอใจ เลย;
ยงกิญจิมนสา ธมฺมํ วิชานาติ,
ในสวรรค์นั้น, บุคคลรู้สึกธรรมารมณ์ใด ๆ ด้วยใจ,
อิภูจรูปี เยว... กนฺตรูปี เยว...มนาปรูป เยว วิชานาติ,
ย่อมรู้สึกแต่ธรรมารมณ์
หน้า 28
อันมีลักษณะพึงปรารถนา...น่าใคร่...น่าพอใจ ทั้งนั้น,
โน อนิฏจรู...อกนฺต-รูป... .อมนาปรูป.
ไม่ได้รู้สึกธรรมารมณ์ อันมีลักษณะไม่พึงปรารถนา...ไม่น่าใคร่...ไม่น่าพอใจ เลย. ดังนี้.
(จบ หมวด อายตนะ)
(* ตอนต่อจากนี้ยังไม่พบเสียงสวดครับ)
- (สูตรที่ ๒ เทวทหวรรค สฬายตนส์. สฬา. สํ. ๑๘/๑๕๙/๒๑๕.)
กิสุมี โลโก สมฺปุปนฺโน? โลกคือหมู่สัตว์,
เกิดขึ้นแล้ว ในอะไร? ฉสุโลโก
สมุปุปนฺโน;
โลกคือหมู่สัตว์, เกิดขึ้นแล้ว ในสภาวธรรม คือคู่แห่งอายตนะทั้งหลาย หก;
กิสุมึ กุพพติ สนุถว?
โลกคือหมู่สัตว์ ย่อมกระทำซึ่งความชิดชมในอะไร?
ฉสุ กุพุพติ สนุถวํ;
โลกคือหมู่สัตว์ ย่อมกระทำซึ่งความชิดชม ในสภาวธรรมคือคู่แห่งอายตนะทั้งหลาย หก:
กิสุมี โลโก อุปาทาย?
โลกคือหมู่สัตว์, เข้าไปยึดถือแล้ว ซึ่งอัสสาทะแห่งอะไร?
ฉนุนเมว อุปาทาย;
โลกคือหมู่สัตว์, เข้าไปยึดถือแล้ว ซึ่งอัสสาทะแห่งสภาวธรรม คือคู่แห่งอายตนะทั้งหลายหก นั่นเทียว;
กิสุมึ โลโก วิหญฺญติ?
โลกคือหมู่สัตว์, ย่อมลำบากเดือดร้อนเพราะเหตุแห่งอะไร? ฉสุ โโก วิหญญติ. โลกคือหมู่สัตว์, ย่อมลำบากเดือดร้อน เพราะเหตุแห่งสภาวธรรม คือคู่แห่งอายตนะทั้งหลาย หก. ดังนี้.
- (เหมวตสูตร อุรครรค สุ. ยุ. ๒๕/๓๕๗/๓๐๙.)
หตุเถสุ ภิกฺขเว อสติ, อาทานนิกุเขปนํ น ปญญายติ:
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! เมื่อมือทั้งหลาย ไม่มี, การจับหรือการวาง ย่อมไม่ปรากฎให้เห็น;
ปาเทสุ อสติ, อภิกุกมปฏิกุกโม น ปญญายติ;
เมื่อเท้าทั้งหลาย ไม่มี, การก้าวไปหรือการถอยกลับ ย่อมไม่ปรากฏให้เห็น;
ปพุเพสุ อสติ, สมุมิญชนปสารณ์ น ปญญายติ;
เมื่อข้อศอกข้อเท้าทั้งหลายไม่มี, การคูเข้าหรือการเหยียดออกย่อมไม่ปรากฎให้เห็น:
กุจฉิสุมี อสติ, ชิฆจุฉาปีปาสา น ปญญายติ;
เมื่อท้องไส้ไม่มี,ความหิวหรือความกระหายย่อมไม่ปรากฎให้เห็น: นี้ฉันใด;
เอวเมว โช ภิกุขเว :
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ข้อนี้ ก็ฉันนั้น :
จกุขุสมื อสติ,
กล่าวคือ เมื่อจักษุไม่มี,
จกขุสมุผสุสปจุจยา นุปปชชติ อชุณตุตํ สุขทุกข์;
ก็ไม่เกิดความสุขและทุกข์ ที่มีจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ขึ้นในตน;
โสตสุมี อสติ,
เมื่อหูไม่มี.
หน้า 29
โสตสมุผสฺสปจุจยา นุปุปชฺชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์;
ก็ไม่เกิดความสุขและทุกข์ที่มีโสตสัมผัสเป็นปัจจัย ขึ้นในตน;
ฆานสุมื อสติ,
เมื่อจมูกไม่มี,
ฆานสมุผสุส-ปจุจยา นุปฺปชุชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์;
ก็ไม่เกิดความสุขและทุกข์ ที่มีฆาน-สัมผัสเป็นปัจจัย ขึ้นในตน:
ชิวหาย อสติ,
เมื่อลิ้นไม่มี,
ชิวหาสมุผสุสปจุจยา นุปฺปชชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์;
ก็ไม่เกิดความสุขและทุกข์ ที่มีชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัย ขึ้นในตน;
กายสุมื อสติ,
เมื่อกายไม่มี,
กายสมุผสุสปจุจยา
นุปุปชชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกฺข์;
ก็ไม่เกิดความสุขและทุกข์ ที่มีกายสัมผัสเป็นปัจจัยขึ้นในตน; มนสุมื อสติ, เมื่อใจไม่มี,
โนสมุผสุสปจุจยา นุปุปชชติ อชุฌตฺตํ สุขทุกข์.
ก็ไม่เกิดความสุขและทุกข์ ที่มีมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ขึ้นในตน. ดังนี้.
- (สูตรที่ ๙ สมุททวรรค สฬายตนส์. สฬา.สํ ๑๘/๒๑๔/๓๐๖.)
โย ภิกฺขเว (เตสํ ฉนนำ ฉนฺน์ อายตนานำㆍ อุปุปาโท ริติ อภินิพุพตฺติ ปาตุภาโว;
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ภาวะอันใด, เป็นความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ความบังเกิดขึ้นมา ความปรากฎออก, (แห่งอายตนะทั้งหลาย หก และ หกเหล่านั้น: ทุกขสุเสโส อุปฺปาโท,
นั่นแหละ คือความเกิดขึ้นแห่งทุกข์,
โรคาน จิติ,
ความตั้งอยู่แห่งธรรมชาติเป็นเครื่องเสียบแทงทั้งหลาย,
ชรามรณสุส ปาตุภาโว. เป็นความปรากฏออกแห่งชราและมรณะ.
โย จ โข ภิกุขเว (เตสํ ฉนน์ ฉนน์ อายตนานำ' นิโรโธ วูปสโม อตุถงุคโม; ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย!
ส่วนภาวะอันใด, เป็นความดับไม่เหลือ ความเข้าไปสงบรำงับ ความถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้, (แห่งอายตนะทั้งหลาย หก และหกเหล่านั้น);
ทุกชสุเสโส นิโรโ,นั่นแหละ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,
โรคาน์ วูปสโม,
ความเข้าไปสงบรำงับแห่งธรรมชาติเป็นเครื่องเสียบแทงทั้งหลาย,
ชรามรณสุส อตฺถงุคโม.
ความถึงซึ่งอันตั้งอยู่ไม่ได้แห่งชราและมรณะ. ดังนี้.
- (สูตรที่ ๑ อุปปาทส์. ขนธวาร. ส. ๑๗/๒๘๓/๕๗)๙,๕๘๐.)
....
. ข้อความตอนนี้ เป็นข้อความที่กล่าวรวบอายตนะทั้ง ๖ ทั้งสองหมวด ในคราวเดียวกัน ไม่
แยกกล่าวทีละอย่าง ๆ ตามบาลีแห่งสูตรนั้น ๆ : ทั้งนี้ เพื่อสะดวกในการสวด.
หน้า 30
จกขุสุมื โข สติ, อรหนุโต สุขทุกข์ ปญณเปนฺติ;
เมื่อจักษุ (ของสัตว์)นั่นแล มีอยู่, พระอรหันต์ ก็มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์:
จกขุสุมื อสติ,อรหนุโต สุขทุกุข์ น ปญญเปนฺติ,
เมื่อจักษุ (ของสัตว์) ไม่มี, พระอรหันต์ ก็ทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์;
โสตสุมี สติ, อรหนุโต สุขทุกุข์ ปญฺญเเมื่อหู (ของสัตว์) มีอยู่, พระอรหันต์ ก็มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์:
โสตสุมีอสติ, อรหนฺโต สุขทุกุข์ น ปญณเปนฺติ;
เมื่อหู (ของสัตว์) ไม่มี, พระอรหันต์ก็ไม่มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์:
มานสุมึ สติ, อรหนุโต สุขทุกข์ ปญญ-
เปนฺติ: เมื่อจมูก (ของสัตว์ มีอยู่, พระอรหันต์ก็มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์;
ฆานสุมื อสติ, อรหนุโต สุขทุกุข์ น ปญญเปนฺติ;
เมื่อจมูก (ของสัตว์) ไม่มี,พระอรหันต์ ก็ไม่มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์:
ชิวหาย สติ, อรหนุโต สุขทุกข์ ปญณเปนฺติ;
เมื่อลิ้น (ของสัตว์) มีอยู่, พระอรหันต์ ก็มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์;
ชิวหาย อสติ, อรหนุโต สุขทุกุข์ น ปญณเปนฺติ;
เมื่อลิ้น (ของสัตว์) ไม่มี, พระอรหันต์ ก็ไม่มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์;
กายสุมื สติ, อรหนุโต สุขทุกฺข์ ปญณเปนฺติ;
เมื่อกาย (ของสัตว์) มีอยู่, พระอรหันต์ ก็มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์;
กายสุมื อสติ, อรหนฺโต สุขทุกฺข์ น ปญณเปนฺติ;
เมื่อกาย (ของสัตว์) ไม่มี, พระอรหันต์ ก็ไม่มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์;
มนสุมื สติ, อรหนุโต สุขทุกุข์ ปญณเปนฺติ.
เมื่อใจ (ของสัตว์)มีอยู่, พระอรหันต์ ก็มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์;
มนสุมื อสติ, อรหนุโต สุขทุกฺข์ น ปญณเปนฺติ.
เมื่อใจ (ของสัตว์) ไม่มี, พระอรหันต์ ก็ไม่มีทางที่จะบัญญัติซึ่งสุขและทุกข์. ดังนี้.
- (ข้อความตอนนี้ เป็นอุทาอิเถรภาษิต สูตรที่ ๑๐ คหปติวรรค
สฬายตนส่. สฬา.สํ. ๑๘/๑๕๕/๒๑๒.)
สมุทฺโท สมุทฺโทติ ภิกุขเว อสุสุตวา ปุถุชชโน ภาสติ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! ปุถุชนผู้มีการสตับอย่างธรรมดาสามัญ, กล่าวกันอยู่ว่าสมุทร ๆ ดังนี้.
เนโส ภิกฺขเว อริยสุส วินเย สมุทฺโท.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สมุทรดังที่กล่าวนั้นหาใช่สมุทร ในอริยวินัย กล่าวคือระเบียบแห่งการพูดจาของพระอริยเจ้า ไม่.
หน้า 31
มหา เอโส ภิกุขเว อุทกราสิ มหา อุทกณุณโว.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! นั่นเป็นเพียงน่านน้ำใหญ่ ๆ ห้วงน้ำใหญ่ ๆ.
จกุชุ ภิกฺขเว ปุริสสุส สมุทฺโท;
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! จักษุเป็นสมุทรของคนเรา;
ตสุส รูปมโย เวโค.
กำลังของจักษุสมุทรนั้น สำเร็จมาแต่รูป.
โย ตํ รูปมยํ เว สหติ;
บุคคลใดหยุดเสียได้ซึ่งกำลังแห่งสมุทรอันสำเร็จมาแต่รูปนั้น;
อยำ วุจุจติ ภิกุขเว อตริ จกุขุสมุทฺท,
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย! บุคคลนี้, เรากล่าวว่า ข้ามได้แล้วซึ่งจักษุสมุทร,
สอุมมีสาวฏฏ สคาห์ สรกุขสํ,
อันมีคลื่น มีเกลียววน, มีสัตว์ร้าย มีรากษส,
ติโณ,
เป็นผู้ข้ามแล้ว,
ปารคโต, เป็นผู้ถึงฝั่งแล้ว,
ถเล ติฏฐติ พุราหุมโณ.
เป็นพราหมณ์ยืนอยู่บนบก. ดังนี้.
(ในกรณีแห่งหูเป็นสมุทรก็ดี จมูกเป็นสมุทรก็ดี ลิ้นเป็นสมุทรก็ดี กาย
เป็นสมุทรก็ดี ใจเป็นสมุทรก็ดี, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้, มีนัยะอย่าง
เดียวกันกับในกรณีแห่งจักษุเป็นสมุทร.)
- (สูตรที่ ๑ สมุททวรรค สฬายตนส์. สฬา. สํ. ๑๘/๑๙'๖/๒๘๕.)
โย อิมํ สมุทฺท์ สคาห์ สรกุขส์, สอุมุมี ภยำ ทุตตร อจุจตริ; บุคคลใด,
ข้ามล่วงพันแล้วซึ่งสมุทรนี้, อันมีสัตว์ร้าย มีรากษส, มีคลื่น มีภัย, ข้ามได้โดย
ยาก; สเวทคู วุสิตพุรหฺมจริโย, โลกนฺตคู ปารคโตติ วุจุจติ.
บุคคลนั้น, เรากล่าวว่า เป็นผู้จบเวท จบพรหมจรรย์, ถึงที่สุดแห่งโลก ถึงฝั่งนอกแล้ว. ดังนี้.
- (สูตรที่ ๑ สมุททวรรค สฬายตนส์. สฬา. สํ. ๑๘/๑๙'๖/๒๘๖.)
ยสุส ราโค จ โทโส จ อวิชฺชา จ วิราชิตา;
ราคะ โทสะ และ อวิชชาของบุคคลใด, จางไปหมดสิ้นแล้ว:
โส อิมํ สมุทฺท์ สคาห์ สรกุขสํ, สอุมมิภ สุทุตตร์ อจุจตริ.
บุคคลนั้น, ข้ามล่วงพันแล้วซึ่งสมุทรนี้, อันมีสัตว์ร้าย มีรากษส, มีภัยเกิดแต่คลื่น ข้ามได้แสนยาก. อิติ. ดังนี้แล.
- (สูตรที่ ๒ สมุททวรรค สฬายตนส์. สฬา. สํ. ๑๘/๑๙๗/๒๘๘.)
หมายเหตุ
บทนี้มี 12 หน้า จาก 20 ถึง 31
เนื่องจากขั้นตอนการลอกบทสวด อาจมีบางคำสะกดผิด ตกหล่น
ผมจึงแนบภาพต้นฉบับมาให้ท่านดูสอบทานด้วย
หากมีผิดพลาดใดๆ ผมขออภัยด้วยครับ
ขอขอบคุณ คุณเติม ผู้ถ่ายภาพต้นฉบับให้ครับ
พบลิงค์ขัดข้อง/มีคำแนะนำ แจ้งที่
ขอบคุณครับ
.
เลือกสวดมนต์แปลบทอื่นๆ
https://docs.google.com/spreadsheets/d/1hlMz5sFHVdXuWNE8DEPR1BsRszG9M_S7Hxpb2eDDXEU/edit?usp=sharing
.
Youtube สวดมนต์แปลสวนโมกข์
https://www.youtube.com/playlist?list=PLmie17BZKID7OsIMuTdcQ5IcY6-VAZ7Au
.
หมายเหตุ.มรดกธรรมข้อที่ ๒๐
“บทสวดมนต์แปลแบบสวนโมกข์ คือ สวดมนต์แปล ที่ได้พยายามกระทำให้สวดกันได้ลื่นสละสลวย ได้เลือกมาเฉพาะเนื้อความที่เป็นหลักธรรมเข้มข้นและรัดกุม ใช้เป็นอารมณ์แห่งสมาธิและวิปัสสนา ไปได้ในตัว. ขอฝากไว้ให้ใช้สวดกันตลอดกาลนาน”
(สวดมนต์แปลสวนโมกข์ ท่านพุทธทาสเริ่มทำปี พ.ศ. 2497,ผู้รวบรวม)
(ผู้นำไปปฏิบัติจะได้รับประโยชน์ตามส่วนของการปฏิบัติ " ธรรม " นั้น จนในที่สุดก็พบความสงบเย็นในใจตนเอง)
จาก มรดกที่ขอฝากไว้
https://drive.google.com/open?id=1j37Jp8Ptu71dc63Fyll6uZg_5O3xBZDX&usp=drive_fs