วันนี้ในอดีต 13 พค 2566
พี่ประชา หุตานุวัตร ผู้ซึ่งเคยไปขออนุญาตสัมภาษณ์ประวัติท่านพุทธทาส แต่ท่านพุทธทาสปฏิเสธหลายครั้ง และด้วยความพยายามของพี่ประชา ในที่สุดท่านพุทธทาสจึงยอมเล่าเกี่ยวกับประวัติและงานของท่าน และจากเทปสัมภาษณ์นั้นจึงทำเป็นหนังสือชื่อว่า เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา
.
วันที่ 13 พค 2566 พี่ประชาได้กลับคืนสู่ธรรมชาติแล้ว
ด้วยความเคารพ รัก พี่ประชา ,
ผมขอนำบางตอนในหนังสือ เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา มาเพื่อสดุดีคุณูปการที่พี่ประชาฝากให้สังคมไทยและโลกครับ
....
คำปรารภ
โดย พระประชา ปสนฺนธมฺโม
คําปรารภสําหรับเล่ม ๑ (บทที่ ๑-๒)
เมื่อข้าพเจ้าแรกไปอยู่ประจําที่สวนโมกข์เก่า-พุมเรียงนั้น อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้เตือนอยู่เสมอ ว่าให้ศึกษาชีวิตและการทํางานของท่านพุทธทาส
เพื่อที่จะได้ข้อคิดทั้งสําหรับข้าพเจ้าเองและคนร่วมสมัย ในวงกว้างออกไป เกี่ยวกับการดํารงชีวิตในสมณเพศ และการทํางานเพื่อพระศาสนาและสังคม จาก แบบอย่างอันเลิศของท่านที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เมื่อมีโอกาสเหมาะ ข้าพเจ้าจึงมักไปเรียนถามเรื่องราวต่าง ๆ แต่หนหลังของท่านเสมอ ในระยะแรก ท่านไม่สู้จะยอมเล่าอะไรมากนัก เพราะท่านเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่สู้จะเป็นประโยชน์ต่อใครนัก (ในทัศนะของท่าน)
ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านอยู่หลายครั้ง ถูกท่านขนาบแรง ๆ หลายหน แต่ก็พยายามเล่าให้ท่านฟังว่าคนรุ่นข้าพเจ้าที่เข้ามาบวชประสบปัญหากันอย่างไรบ้าง ถ้าได้มีโอกาสเรียนรู้ปฏิปทาของท่านบ้างก็ จะมีประโยชน์เพียงไร
ในที่สุดท่านจึงค่อย ๆ เล่าให้ฟัง ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งที่ตนได้รับฟังนั้น มีคุณค่าต่อคนวงกว้างออกไปอีกมาก โดยเฉพาะคนรุ่นข้าพเจ้า และคนรุ่นถัดไปซึ่งเติบโตมานอกวัฒนธรรมพุทธศาสนาอย่างแต่ก่อน ซึ่งยากที่จะเข้าใจได้ว่าการดํารงชีวิต ในสมณเพศนั้นเป็นไปได้โดยมีอะไรเป็นเหตุปัจจัย
นอกจากนั้นสภาพทางสังคมและวงการพระศาสนาในสมัยก่อน ๆ ที่ท่านได้ประสบพบเห็นก็เป็นสิ่งที่น่าบันทึกไว้อย่างยิ่ง จึงกราบเรียนขอให้ท่านเขียน อัตชีวประวัติ แต่ท่านปฏิเสธเพราะเห็นว่าการเขียนเรื่องราวในชีวิตของตนเองนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พึงกระทําตามคติวัฒนธรรมของเราเอง
และย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องโฆษณาตนเองไม่ในรูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง จําได้ว่า เรียนเสนอท่านอยู่หลายครั้งหลายหน ท่านก็ไม่เห็นพ้องด้วย ข้าพเจ้าจึงใช้วิธีจดบันทึกสิ่งที่ได้ฟังจากท่านเอาไว้ แต่เนื่องจากระบบโรงเรียนได้ทําลายฉันทะในการจําไปมากต่อมากแล้ว จึงทําให้เก็บสิ่งที่ท่านเล่าไว้ได้น้อยเต็มที
ในที่สุดขอท่านอัดเสียงไว้ โดยเรียนท่านว่า จะไม่นําออกเผยแพร่ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ นี่ก็ต้องอ้อนวอนท่านอยู่หลายครั้งท่านจึงยอมอนุญาตให้
ต่อมาเมื่อปี ๒๕๒๕ เพื่อนฝูงในกลุ่มพุทธ-ไทยปริทัศน์และคณะกรรมการศาสนาเพื่อการพัฒนา (ศ.พ.พ.) ได้ดําริจัดงานทางความคิดเกี่ยวกับพุทธศาสนา ร่วมฉลองในโอกาสที่สวนโมกข์อยู่ครบ ๕๐ ปี เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของท่านที่อัดไว้ จึงได้นํามาถอดเทปเป็นตัวอักษร เพื่อศึกษากันในหมู่ผู้จัดงาน
และได้เรียนถามเพิ่มเติมด้วย แต่งานคราวนั้นมุ่งศึกษาความคิดของท่านมากกว่าชีวิตของท่านโดยตรง ดังปรากฏออกมาเป็น พุทธทาสกับคนรุ่นใหม่ : เมื่อคนหนุ่มสาวถามหารากของความเป็นไทย ซึ่งมูลนิธิโกมลคีมทอง ได้ตีพิมพ์ออกมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๖ นั้นแล้ว
ต่อมาปลายปี ๒๕๒๗ มิตรสหายบางคนได้ปรารภขึ้นอีกว่าน่าจะทําประวัติท่านอาจารย์อย่างสมบูรณ์ และควรจะตีพิมพ์เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ด้วย เมื่อไปเรียนให้ท่านทราบถึงความคิดอันนี้ ท่านก็ถาม ว่าทําไปเพื่ออะไรอยู่หลายครั้ง กว่าจะยอมอนุญาตให้พวกเราดําเนินการได้
ข้าพเจ้าได้นําสิ่งที่เคย สัมภาษณ์ท่านมาพิจารณาใหม่และพบว่ายังบกพร่องอีกมาก เพราะถามท่านไว้ไม่เป็นระบบเลย จึงตั้งโครงเรื่องใหม่ และขอสัมภาษณ์ท่านอีกเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ที่สุด โดยตั้งใจไว้ว่าจะให้เสร็จสมบูรณ์ในปี ๒๕๒๘ นี้
เมื่อเริ่มลงมือทําก็ได้คิดกันหลายตลบว่าควรจะออกมาในรูปแบบใดจึงจะเหมาะ หลังจาก ปรึกษาหารือกันหลายครั้ง จึงขออนุญาตท่านทําออกมาในรูปคําถามคําตอบ โดยเรียบเรียงจากคํา สัมภาษณ์ของท่าน แล้วนําไปอ่านให้ท่านฟังเพื่อแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อทําไปได้ ๒ บท ก็ส่งมาให้มิตรสหายทางโกมลคีมทองซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีให้ข้าพเจ้าทํางานชิ้นนี้อย่างจริงจัง ให้ดู และเห็นพ้องกันว่าน่าจะทยอยพิมพ์เป็นตอน ๆ ที่หนึ่งก่อน
แล้วตอนแรกก็ปรากฏออกมา เป็นเล่มดังที่ท่านผู้อ่านเห็นอยู่นี้ โดยเริ่มเรื่องตั้งแต่ช่วงชีวิตในวัยเยาว์ของท่าน จนถึงช่วงที่ท่านเดินทางออกจากกรุงเทพฯ กลับไชยาเพื่อเริ่มก่อตั้งสวนโมกขพลาราม
ส่วนตอนสองซึ่งต่อจากเล่มนี้นั้น จะเป็นช่วงชีวิต ของท่านในงานต่อสู้บุกเบิกสวนโมกขพลารามระหว่าง ๒๐ ปีแรก
และตอนสามอันเป็นตอนสุดท้ายนั้น จะ เป็นช่วงชีวิตหลังจากนั้นจนกระทั่งปัจจุบัน อันรวมถึงข้อคิดและทัศนะของท่านฝากไว้สําหรับอนาคตด้วย
และหากเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่คาดไว้ ๒ ตอนนี้คงจะเสร็จสิ้นให้ได้อ่านกันภายในปีนี้
สําหรับภาพที่นํามาลงประกอบเนื้อหานั้น ส่วนหนึ่งเราสืบหาและหยิบยืมมาจากบุคคลต่าง ๆ รวมทั้ง วัดวาอีกหลายแห่ง เพื่อนํามาถ่ายอัดขยายใหม่ อีกส่วนหนึ่งมาจากการตระเวนถ่ายรูปตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องกับชีวิตของท่านตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน
หากท่านผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว และเห็นว่ามีประเด็นใดน่าจะเรียนถามท่านอีก ทั้งในช่วงชีวิตที่อยู่ในเล่มนี้และช่วงต่อ ๆ ไปหลังจากเล่มนี้ ขอให้เสนอแนะมาได้ เพื่อจะได้ช่วยกันนําเสนอสิ่งที่มีคุณค่าต่อส่วนรวมนี้ให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แม้การตั้งคําถามในเล่มนี้เอง ข้าพเจ้าก็มิได้ทําตาม ลําพัง หากแต่งานชิ้นนี้สําเร็จได้ก็ด้วยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่ายหลายท่านตั้งแต่แรกมาแล้ว ทั้งใน แง่ร่วมกันคิดร่วมกันทําและคอยส่งเสริมกําลังใจกัน รวมทั้งชาวสวนโมกข์หลายท่านที่ให้ความสนับสนุน อย่างดี
คุณโยมธรรมทาส พานิช (น้องของท่านอาจารย์) ได้กรุณาอ่านทวนต้นฉบับบางตอนเพื่อความแม่นยําด้านข้อมูล และได้ให้ยืมภาพเก่า ๆ มาถ่ายรูปใหม่เพื่อใช้ประกอบในหนังสือเล่มนี้ด้วย
ฉะนั้นขอ ท่านผู้อ่านจงอนุโมทนาในส่วนกุศลของบุคคลต่าง ๆ ทั้งที่เอ่ยนามมาแล้วและไม่ได้เอ่ย โดยทั่วกันด้วย
พระประชา ปสนฺนธมฺโม
๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘
+
ประวัติ พี่ประชา หุตานุวัตร
นักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางสังคมคนสำคัญ
ในกลุ่มยุวชนสยาม ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยและเข้าศึกษาต่อที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ไม่ทันจบก็ลาออกเพื่อดำเนินชีวิต “ขบถ? กับเพื่อนในกลุ่มอหิงสา ซึ่งเชื่อมั่นในทางที่ใช้สันติวิธีและไม่ยอมสยบยอมกับคำตอบสำเร็จรูปจากลัทธิที่สัญญาว่าจะให้ความหวังใหม่
เป็นนักคิดนักเขียนที่โดดเด่นคนหนึ่งของวงการองค์กรพัฒนาเอกชน นับว่าเป็นครูและผู้ทำงานด้านสังคมที่มีความพิเศษเฉพาะตัว เคยบวชเป็นพระภิกษุ มีนามว่า พระประชา ปสนฺนธมฺโม เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ เป็นผู้สัมภาษณ์และเขียนอัตชีวประวัติของท่านพุทธทาสภิกขุ เผยแพร่เป็นหนังสือเรื่อง เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา สนใจการนำพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในสังคมเพื่อแก้ปัญหาชนิดถึงรากถึงโคน ทั้งยังสนใจในการพัฒนาแนวคิดแบบใหม่ๆทางสังคม โดยไม่ละเลยการศึกษาและแลกเปลี่ยนกับแนวความคิดกระแสอื่น หรือหลงลืมทอดทิ้งการกลับคืนสู่รากเหง้าของวัฒนธรรมท้องถิ่นและภูมิปัญญาของไทยเราเอง ดังที่ได้รับเลือกเป็นปาฐกแสดงปาฐกถาประจำปีของมูลนิธิโกมลคีมทอง เมื่อปี พ.ศ.2524
ได้รับเชิญไปเรียนหลักสูตรสำหรับนักฝึกอบรมจนจบขั้นสูงสุดจาก A Movement for Society เมืองฟิลลาเดลเฟีย มลรัฐเพนซาวาเนีย สหรัฐอเมริกา ทำงานด้านการฝึกอบรมมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งกับคนไทย และคนจากประเทศเพื่อนบ้าน
เป็นวิทยากรและผู้แปลภาษาให้กับเสมสิกขาลัยหลายโครงการ อาทิ โครงการการเมืองสีเขียว โครงการฝึกอบรมผู้นำระดับรากหญ้าในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
จาก.https://semsikkha.org/2019/trainer-pracha/
ชมคลิป เสวนา "เล่าไว้..ฝากไปให้ประชา"
วันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566
เวลา 14.30 - 16.00 น. ณ ห้องปฏิบัติธรรม สวนโมกข์กรุงเทพ
ร่วมเสวนาโดย
ศ.นพ.ประเวศ วะสี / ส.ศิวรักษ์ / พระไพศษล วิสาโล / สันติสุข โสภณสิริ / อรศรี งามวิทยาพงศ์ /บัญชา พงษ์พานิช ประสิทธิ์ วิทยสัมฤทธิ์ ดำเนินรายการ
เนื่องในวาระ 12 ปี สวนโมกข์กรุงเทพ และ 30 ปีพุทธทาสละสังขาร
ร่วมจัดโดย มูลนิธิเสฐียรโกเศศ นาคะประทีป เสมสิกขาลัย มูลนิธิสุขภาพไทย มูลนิธิหมอชาวบ้าน มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ มูลนิธิศักดิ์พรทรัพย์ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ อาศรมวงศ์สนิท สถาบันยุวโพธิชน มูลนิธิโกมลคีมทอง มูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา อาศรมศิลป์ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
จาก
https://www.facebook.com/photo?fbid=642755254550031&set=pcb.642755304550026
จาก..
https://www.visalo.org/article/personPracha.html
.
ข้าพเจ้าพบพี่ประชาเป็นครั้งแรกเมื่อปี ๒๕๑๖ ที่ค่ายยุวชนสยาม จังหวัดนครสวรรค์ แต่ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ของพี่ประชาก่อนหน้านั้นแล้ว เพราะพี่ประชาเป็นผู้ก่อตั้งคนหนึ่งของกลุ่มยุวชนสยาม ซึ่งตอนนั้นได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนักเรียนหัวก้าวหน้าที่ค่อนไปทาง “หัวรุนแรง” กลุ่มนี้ได้ริเริ่มจัดทำค่ายที่แหวกแนวไปจากที่นิยมทำกัน คือแทนที่จะก่อสร้างถาวรวัตถุ เช่น อาคารเรียน ศาลาประชาบาล ก็มาเน้นที่การ “สร้างคน” หรือ ทำ“ค่ายฝึกกำลังคน” มุ่งการถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกทางสังคมสำหรับคนหนุ่มสาว
ตอนนั้นข้าพเจ้าเพิ่งจบชั้นม.ศ.๓ และเพิ่งเสร็จจากการทำค่ายของนักเรียนอัสสัมชัญ ส่วนพี่ประชากำลังขึ้นปี ๒ ของคณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในสายตาของชาวค่าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย พี่ประชาตอนนั้นเป็นคนที่น่าเกรงขาม มุ่งมั่นในอุดมการณ์ เข้มงวดกับตัวเองและผู้อื่น ไม่รีรอที่จะทักท้วงติติงเวลาเห็นอะไรไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้ายังเคยถูกพี่ประชาพูดแขวะที่สวมกางเกงผ้าร่มแบบนักฟุตบอลในค่ายนี้ เพราะแต่งตัวแปลกแยกกับชาวบ้าน เป็นการเอาค่านิยมแบบคนเมืองเข้ามาในหมู่บ้าน
หลังจากค่ายนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้พบพี่ประชาร่วมสองปี ระหว่างนั้นมีอะไรเกิดขึ้นมากมายในบ้านเมือง เช่นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา การประท้วงของนักศึกษา ชาวนาชาวไร่และกรรมกร นับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งการเติบใหญ่ของขบวนการนักศึกษาฝ่ายซ้าย ขณะที่แนวความคิดปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธแพร่หลายมากขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาว ปลายปี ๒๕๑๗ ข้าพเจ้าได้ทราบจากวิศิษฐ์ วังวิญญู (ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของพี่ประชา และเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มยุวชนสยามเช่นกัน)ว่า พี่ประชา กำลังตัดสินใจอยู่ว่า จะเข้าป่าจับอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)หรือจะไปเมืองจีนดี มาทราบข่าวอีกทีก็เมื่อพี่ประชาออกบวชแล้ว
การออกบวชของพี่ประชาเป็นเรื่องที่หลายคนไม่คาดคิด เพราะพี่ประชาตอนนั้นเป็นผู้นำนักศึกษาที่ยึดมั่นในอุดมการณ์สังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์อย่างจริงจัง การละทิ้งขบวนการออกมาสมาทานพุทธศาสนาอย่างเต็มตัวโดยเชื่อว่าสันติวิธีหรืออหิงสธรรมจะเป็นคำตอบของสังคมไทยได้ เป็นสิ่งที่ผู้นำนักศึกษาเวลานั้นหลายคนรับไม่ได้ เพราะตอนนั้นนักศึกษาฝ่ายซ้ายมีความรู้สึกลบกับพุทธศาสนามาก อีกทั้งยังดูแคลนสันติวิธี ยิ่งกว่านั้นแทนที่พี่ประชาจะออกจากขบวนการอย่างเงียบ ๆ กลับวิพากษ์วิจารณ์ขบวนการฝ่ายซ้ายอย่างรุนแรง โดยการเขียนบทความเผยแพร่(แบบอัดโรเนียว) ถ่ายทอดเนื้อหาในรูปบทสนทนาและการโต้เถียงทางความคิด (น่าเสียดายหากบทความนี้จะสาบสูญไป)
ข้าพเจ้าได้พบพี่ประชาในเพศสมณะเป็นครั้งแรกที่วัดผาลาด จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๑๘ ตอนนั้นพี่ประชาได้รับนิมนต์ให้เข้าร่วมอาศรมแปซิฟิกที่อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์จัด นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้พบกับท่านติช นัท ฮันห์ และพระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการได้ใกล้ชิดคุ้นเคยพี่ประชา เพราะข้าพเจ้าเองได้เข้าร่วมกลุ่มอหิงสา (ชื่อทางการคือ 'กลุ่มกัลยาณมิตร' ) ซึ่งมีพี่ประชา วิศิษฐ์ และสันติสุข โสภณสิริ เป็นแกนนำ
การที่พี่ประชาออกบวชนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะนอกจากจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากเพื่อน ๆ ในขบวนการแล้ว ยังถูกมองด้วยความหวาดระแวงจากพระผู้ใหญ่ ทั้งนี้เพราะภูมิหลังที่เป็นนักศึกษาหัวรุนแรงนิยมซ้ายของพี่ประชา ทราบมาว่าแม้กระทั่งหลวงพ่อปัญญาก็ไม่ยอมเป็นอุปัชฌาย์ให้พี่ประชา จนแกต้องไปบวชที่สุราษฎร์ โดยอาจารย์สุลักษณ์ได้ขอให้พระรูปหนึ่งซึ่งเป็นอดีตนักศึกษาธรรมศาสตร์ ช่วยติดต่อให้ (พระรูปนั้นคือหลวงพี่สด ซึ่งได้ขึ้นไปร่วมอาศรมแปซิฟิกกับพี่ประชาด้วย)
แม้บวชแล้วพี่ประชาก็ยังหาสำนักที่จะปักหลักจริงจังได้ยาก บางสำนักหลังจากพี่ประชาไปอยู่ได้สักพัก เจ้าสำนักเมื่อรู้ประวัติของพี่ประชา ทั้งจากปากของพี่ประชาเอง หรือจากปากของคนอื่น รวมทั้งสันติบาล ซึ่งยังติดตามสอดส่องแกอยู่ ก็ไม่ยินดีให้พี่ประชาอยู่ด้วย อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เป็นเพราะพี่ประชายังไม่พบครูบาอาจารย์ที่ศรัทธามากพอที่จะมอบตนเป็นศิษย์อย่างเต็มหัวใจ ครูบาอาจารย์ที่ว่านั้นนอกจากเป็นพระดีพระแท้แล้ว ยังต้องหนักแน่นและใจกว้าง และอดทนต่อความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาของพี่ประชาด้วย ซึ่งใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ มีคราวหนึ่งประมาณต้นปี ๒๕๒๐ ข้าพเจ้าลงไปภาคใต้กับพี่ประชา พี่ประชาได้พาไปพักที่วัดพัฒนาราม ซึ่งเป็นวัดที่ท่านบวช คืนหนึ่งขณะที่มีการสนทนากัน อุปัชฌาย์ของท่านได้พูดวิจารณ์ผู้นำนักศึกษาในเวลานั้นอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ตามข่าวลือที่ท่านได้ยินมา พี่ประชาพยายามชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง ปรากฏว่าอุปัชฌาย์ของท่านโกรธมากที่ถูกแย้ง ถึงกับไล่ท่านให้ไปสึกเสีย
พี่ประชาคงเจอกับการผลักไสแบบนี้อยู่หลายครั้ง ดังนั้น ๒-๓ ปีแรกของการบวชจึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพี่ประชา จนกระทั่งเมื่อมาลงเอยที่สวนโมกข์พุมเรียงหรือสวนโมกข์เก่าของท่านอาจารย์พุทธทาส ชีวิตการบวชของพี่ประชาจึงได้ปักหลักเป็นที่เป็นทาง และนับแต่นั้นงานคิดงานเขียนและงานแปลของพี่ประชาก็พรั่งพรูเหมือนสายน้ำ
นับเป็นโชคของพี่ประชาที่ได้มาอยู่กับท่านอาจารย์พุทธทาส เพราะท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่มีความหนักแน่น ใจกว้าง และเมตตา เข้าใจคนรุ่นใหม่อย่างพี่ประชา และไม่หวั่นไหวกับคำถามที่ท้าทายหรือความเห็นที่ตรงไปตรงมา อันที่จริงพี่ประชาได้อ่านงานของท่านอาจารย์พุทธทาสตั้งแต่เป็นนักเรียนสวนกุหลาบ ก่อนที่จะสนใจมาร์กซิสต์เสียอีก จึงมีศรัทธาในตัวท่านเป็นพื้นเดิมอยู่ก่อนแล้ว การที่พี่ประชาออกจากขบวนการฝ่ายซ้าย ส่วนหนึ่งก็เพราะเห็นว่าขบวนการนี้ขาดมิติด้านใน ไม่เข้าใจความเป็นมนุษย์ จึงไม่เชื่อว่าจะนำพาไปสู่สังคมใหม่ที่ดีงามได้ การเห็นคุณค่าของมิติด้านในดังกล่าว พี่ประชาย่อมได้รับอิทธิพลจากหนังสือของท่านอาจารย์พุทธทาสอย่างไม่ต้องสงสัย
เป็นโชคของพวกเราเช่นกันที่พี่ประชาได้มาปักหลักที่สวนโมกข์ และอยู่ใกล้ชิดท่านอาจารย์พุทธทาส เพราะช่วยให้พี่ประชามีความลุ่มลึกทางด้านภาวนาและมิติจิตวิญญาณมากขึ้น งานเขียนงานแปลของพี่ประชาในช่วงที่บวชอยู่นั้น มีอิทธิพลอย่างมากต่อคนหนุ่มสาวเวลานั้น โดยเฉพาะการเน้นถึงความสำคัญของการภาวนาหรือการทำงานด้านในเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสังคม ในด้านหนึ่งพี่ประชาชี้ชวนให้ผู้คนตระหนักถึงโครงสร้างสังคมที่อยุติธรรม ที่สร้างความทุกข์ให้แก่ผู้คนมากมาย แต่อีกด้านหนึ่งพี่ประชาก็ย้ำถึงความจำเป็นของการรู้เท่าทันกิเลสและอุปาทานภายใน ไม่ปล่อยให้ครอบงำจิตใจของตน รวมทั้งสามารถเข้าถึงความสุขจากความสงบใจ เพื่อหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีพลังในการทำงานเพื่อสังคม
ข้าพเจ้าเองได้รับอานิสงส์จากงานเขียนงานแปลของพี่ประชามาโดยตลอด เริ่มตั้งแต่ปาฏิหาริย์แห่งการตื่นอยู่เสมอ ซึ่งเป็นงานแปลชิ้นแรกของพระประชา ปสนนธมโม จากนั้นยังมีงานเขียนและงานแปลอีกมากมายในแนวทางนี้ อาทิ ศาสตร์แห่งการดำเนินชีวิต ศาสนธรรมกับคนหนุ่มสาว อยู่อย่างขบถ และภาวนากับการรับใช้สังคม ผลงานเหล่านี้ช่วยหล่อหลอมให้ข้าพเจ้าหันมาสนใจสมาธิภาวนามากขึ้น จนมีความสนใจอยากบวชสักช่วงหนึ่งของชีวิต
กล่าวได้ว่างานเขียนและงานแปลของพี่ประชา ทำให้คนหนุ่มสาวที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคม หันมาสนใจสมาธิภาวนา ส่วนคนหนุ่มสาวที่สนใจพุทธศาสนาอยู่แล้ว ก็หันมามีสำนึกในการเปลี่ยนแปลงสังคม ยิ่งไปกว่านั้นงานคิดงานเขียนของพี่ประชายังมีส่วนในการทำให้เกิดสิ่งที่บางคนเรียกว่า “ทางเลือกแบบพุทธ” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า หลังจากที่พคท.ล่มสลาย เกิดปรากฏการณ์ “ป่าแตก” คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยมีคำถามขึ้นมาว่า ในเมื่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์และการปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธไม่อาจเป็นคำตอบของเมืองไทยได้ แล้วอะไรเล่าจะเป็นทางออกของเมืองไทย
ช่วงนี้นักคิดนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวจำนวนมากพยายามแสวงหาและเสนอคำตอบ มีข้อเสนอมากมาย เช่น แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน แนวทางการพัฒนาความจำเป็นพื้นฐาน (จปฐ) รวมทั้งการพัฒนาแบบทุนนิยม ในฝ่ายพุทธก็มีนักคิดและนักเขียนหลายท่านเสนอทางออกสำหรับสังคมไทย เช่น อาจารย์ประเวศ วะสี แสดงปาฐกถาเรื่อง “พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนจะกู้ชาติได้อย่างไร” อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขียนหนังสือเรื่อง ศาสนากับการพัฒนา และ บทบาทของพุทธศาสนิกในสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนท่านเจ้าคุณพระราชวรมุนี แสดงปาฐกถาเรื่อง “ชาวพุทธกับชะตากรรมของสังคม”
พี่ประชาเป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้เสนอทางออกของสังคมด้วยวิถีพุทธ โดยอาศัยแนวคิดของท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นแกน นอกจากการเขียนบทความหลายชิ้นและการบรรยายในโอกาสต่าง ๆ แล้วเมื่อครบ ๕๐ ปีแห่งการก่อตั้งสวนโมกข์ พี่ประชาเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดสัมนาในโอกาสดังกล่าว จนเกิดหนังสือเรื่อง พุทธทาสกับคนรุ่นใหม่ : เมื่อคนหนุ่มสาวถามถึงรากของความเป็นไทย
กล่าวได้ว่าในช่วงนั้นพี่ประชาเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทอย่างมากในการเผยแพร่แนวคิดพุทธศาสนาเพื่อสังคมโดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว ขณะเดียวกับก็ขับเคลื่อนแนวทางการเปลี่ยนแปลงสังคมโดยอิงมิติด้านศาสนธรรม (หรือ spirituality) ทั้งนี้ยังไม่นับการผลักดันให้เกิดงานแปลซึ่งเป็นที่กล่าวขานอย่างมากเมื่อ ๔๐ ปีที่แล้ว คือ จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ (The Turning Point) ของฟริตจ๊อฟ คาปร้า
พี่ประชานอกจากเป็นนักเขียนและนักแปลแล้ว ยังเป็นนักจัดตั้งและนักเคลื่อนไหวหรือ activist ตัวยง ข้าพเจ้ามาทำงานใกล้ชิดกับพี่ประชาก็หลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙ ตอนนั้นมีนักศึกษาประชาชนถูกจับกุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มากกว่า ๓,๐๐๐ คน และที่ถูกจับกุมหลังจากนั้นด้วยข้อหา “ภัยสังคม” อีกหลายพันคน มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกหนแห่ง ซึ่งผลักดันให้คนหนุ่มสาวและประชาชนจำนวนไม่น้อยเข้าป่าจับอาวุธต่อสู้กับรัฐบาล จนมีแนวโน้มว่าจะเกิดสงครามกลางเมืองในอนาคตอันใกล้
พี่ประชา ซึ่งตอนนั้นยังบวชได้แค่ ๒ พรรษา เห็นว่าพวกเราควรทำอะไรบ้างในสถานการณ์ดังกล่าว งานหนึ่งที่เร่งด่วนคือการช่วยเหลือผู้ที่ถูกจับกุมคุมขังโดยไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะนักโทษคดี ๖ ตุลา หลังจากที่ปรึกษากับเพื่อนพ้องหลายคน พี่ประชาก็นึกถึงกลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม ซึ่งอาจารย์สุลักษณ์เป็นผู้ร่วมก่อตั้งเมื่อต้นปี ๒๕๑๙ (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า “ศูนย์ประสานงานศาสนาเพื่อสังคม” แต่ต่อมาเปลี่ยนจาก “ศูนย์” เป็น “กลุ่ม” เพื่อไม่ให้พ้องกับชื่อศูนย์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ซึ่งมีชื่อเสียงในทางลบมากหลังเหตุการณ์ ๖ ตุลา) ทั้งนี้เพราะเห็นว่าชื่อกลุ่มและภาพพจน์ของกลุ่มน่าจะเอื้อให้ทำอะไรได้ในสถานการณ์ที่เผด็จการครองเมือง พี่ประชาจึงพยายามพูดคุยและชักชวนกรรมการและผู้ก่อตั้งกลุ่มนี้ให้มาทำงานช่วยเหลือนักโทษคดี ๖ ตุลา
ข้าพเจ้าจำได้ว่าพี่ประชาพยายามติดต่อพูดคุยกับผู้ใหญ่หลายท่าน ซึ่งต่อมาเป็นกำลังสำคัญให้กับกศส. บางคนเป็นแกนนำของกศส.อยู่ก่อนแล้วเช่น อาจารย์โกศล ศรีสังข์ แต่บางคนไม่ได้เกี่ยวข้องกับกศส.มาก่อน แต่พี่ประชาอยากให้มาร่วมงานนี้ หนึ่งในนั้นคือ อาจารย์โคทม อารียา ข้าพเจ้าจำได้ว่าพี่ประชาไปพูดคุยชักชวนอาจารย์โคทม ที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬา ฯ ใช้เวลาโน้มน้าวอยู่นาน ทั้งในห้องพักอาจารย์และบนรถส่วนตัว ทีแรกอาจารย์โคทมออกตัวว่าไม่ได้มีภาพลักษณ์ทางด้านศาสนิกชน หากมาเป็นกรรมการกศส.ก็ดูกระไรอยู่ อย่างไรก็ตามในที่สุดอาจารย์โคทมก็ยินดีร่วมหัวจมท้ายกับพวกเราด้วย
นอกจากนั้นอาจารย์โคทมแล้ว นิโคลัส เบนเนตต์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในเวลานั้น ก็ได้มาเข้าร่วมกับกศส.ด้วย ทั้งนี้โดยการชักชวนของพี่ประชาเช่นกัน นับแต่นั้นมาบ้านของนิโคลัสก็เป็นสถานที่ที่พบปะและประชุมของกศส. (เหตุผลหนึ่งเพราะมีความปลอดภัยเนื่องจากนิโคลัส ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของยูเนสโก มีเอกสิทธิ์ทางการทูต เจ้าหน้าที่รัฐจะมาบุกรุกบ้านไม่ได้) กล่าวได้ว่ากศส.ฟื้นตัวขึ้นมาและทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจังในเวลานั้นได้ก็เพราะพี่ประชาเป็นแกนนำ โดยมีสันติสุข (ซึ่งตอนนั้นบวชพระแล้ว) และวิศิษฐ์เป็นกำลังสำคัญ ส่วนข้าพเจ้าก็มาเป็นผู้ปฏิบัติงานเต็มเวลาให้กับกศส.จนกระทั่งออกบวช
การที่กศส.มีบทบาทอย่างแข็งขันในการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ในช่วงที่กลุ่มอิสระหรือ NGOอื่น ๆ ขยับตัวได้ยากมาก เพราะเป็นงานที่เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง (ภายหลังก็มีผู้ปฏิบัติงานกับอาสาสมัครของกศส.ถูกจับกุมด้วย) ทำให้แนวทางสันติวิธีหรืออหิงสา ที่พี่ประชาและเพื่อน ๆ ยึดถือ ถูกมองด้วยสายตาที่เป็นบวกมากขึ้นในหมู่ผู้นำนักศึกษาฝ่ายซ้าย เพราะเห็นได้ชัดว่า พวกเราไม่เพียงแต่พูด แต่ทำด้วย
พี่ประชาช่วยงานกศส.อยู่ในช่วง ๒ ปีแรก หลังจากนั้นก็ไปปักหลักที่สวนโมกข์พุมเรียงและกลับไปทำงานเขียนงานแปล มีผลงานออกมาสม่ำเสมอทางปาจารยสาร ส่วนข้าพเจ้าทำงานให้กับกศส. จนถึงปี ๒๕๒๖ ก็ออกบวช โดยตั้งใจว่าจะครองผ้าเหลืองเพียง ๓ เดือน แต่หลังจากนั้นก็ต่ออายุการบวชเรื่อยมา ในช่วง ๒-๓ แรกแห่งชีวิตพระของข้าพเจ้า พี่ประชาเป็นเสมือนพี่เลี้ยงของข้าพเจ้ากลาย ๆ แม้ข้าพเจ้าจะไปสวนโมกข์พุมเรียงไม่บ่อย แต่เวลาพบกันที่กรุงเทพ ฯ พี่ประชาก็ให้กำลังใจและคำแนะนำอยู่เนือง ๆ ยังไม่นับผลงานของพี่ประชา ที่ข้าพเจ้าได้อาศัยประโยชน์อย่างมาก ทั้งในแง่การภาวนาและการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะ เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา การได้อ่านเรื่องราววัยหนุ่มของท่านอาจารย์พุทธทาส จากการซักถามของพี่ประชา ให้แรงบันดาลใจแก่ข้าพเจ้ามาก กล่าวได้ว่าพี่ประชามีคุณูปการต่อชีวิตการบวชของข้าพเจ้ามาก ทั้งโดยส่วนตัวและผลงาน เป็นคุณูปการที่ข้าพเจ้าได้รับก่อนบวชเสียอีก และเมื่อบวชแล้ว หากช่วง ๒-๓ พรรษาแรกของข้าพเจ้าไม่มีพี่ประชาเป็นภันเต ก็ไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าจะบวชต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้
น่าเสียดายที่พี่ประชาครองเพศสมณะได้เพียง ๑๒ พรรษา หากพี่ประชาอยู่นานกว่านั้น เชื่อแน่ว่าจะผลิตผลงานออกมาอีกมากมาย และทำให้วงการพุทธศาสนามีสีสันและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น แต่คนอย่างพี่ประชา ไม่ว่าอยู่ที่ไหน หรืออยู่ในเพศใด ก็ย่อมทำประโยชน์ และผลักดันให้มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้มากมาย
เมื่อพี่ประชากลับมาเป็นคฤหัสถ์ แม้งานเขียนจะน้อยลง แต่ก็มีผลงานอย่างอื่นมาแทนที่ โดยเฉพาะการจัดตั้งองค์กรต่าง ๆ มากมาย ที่สำคัญคือ INEB (เครือข่ายพุทธศาสนิกสัมพันธ์นานาชาติเพื่อสังคม) พี่ประชาเป็นคนหนึ่งที่ปลุกปั้นให้เกิดขึ้นและเป็นผู้ประสานงานคนแรก เมื่อวางมือจาก INEB พี่ประชาก็หันมาจับงานฝึกอบรม เป็นทั้งกระบวนกร ล่าม และผู้จัด ทั้งหมดนี้เป็นช่องทางให้พี่ประชาได้เผยแพร่แนวคิดใหม่ ๆ ให้แก่ผู้คนมากมายโดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ซึ่งล้วนแต่มีแก่นแกนอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงสังคมควบคู่กับการเปลี่ยนแปลงตนเอง
ในช่วงระยะหลังข้าพเจ้ามีโอกาสพบปะพูดคุยกับพี่ประชาไม่มากนัก ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะพี่ประชาไม่อยากรบกวนข้าพเจ้า เพราะเห็นว่ามีงานมากอยู่แล้ว การติดต่อกันทางโซเชียลมีเดียก็มีเป็นครั้งคราว จนกระทั่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พี่ประชาเขียนมาบอกข้าพเจ้าว่า อยากนำบทความเกี่ยวกับชีวิตของข้าพเจ้ามารวมพิมพ์เป็นเล่ม เพราะเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับคนรุ่นใหม่ โดยจะพิมพ์ในโอกาสครบ ๕๐ ปี ๑๔ ตุลา ด้วย ข้าพเจ้าจึงทยอยส่งบทความเก่า ๆ ที่เคยเขียนไปให้ ในที่สุดก็ออกมาเป็นหนังสือเรื่อง ประกอบสร้างเป็นตัวตนพระไพศาล นับเป็นงานท้าย ๆ ของพี่ประชาในฐานะบรรณาธิการ
เมื่อพี่ประชาป่วยหนักเมื่อปีที่แล้ว ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสไปเยี่ยม เพราะรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลได้ไม่กี่วันก็กลับบ้านได้ แต่ครั้งสุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าลงไปเยี่ยมพี่ประชาทันทีที่ทราบว่าอาการทรุดหนัก แม้เกือบตาย แต่พี่ประชาก็ยังบอกข้าพเจ้าด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาและพูดได้ไม่เต็มคำว่า “ไม่เป็นไร หลวงพี่” พี่ประชาคงเกรงใจข้าพเจ้า จึงพูดเช่นนั้น จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น พี่ประชาก็ถามข้าพเจ้าว่า “ไม่ไปทำธุระเหรอ” แกคงเกรงใจข้าพเจ้าจริง ๆ ที่มานั่งเฝ้า จึงอยากให้ไปทำอย่างอื่น
สี่วันหลังจากนั้น พี่ประชาก็คุยกับข้าพเจ้าทางไลน์ บอกว่า ข้ามจุดวิกฤตไปแล้ว ต่อไปก็จะกลับบ้านและดูแลตัวเองแบบประคับประคอง พร้อมทั้งขอให้ข้าพเจ้าส่งพลังไปให้ ฟังจากน้ำเสียงพี่ประชายังอ่อนเพลียอยู่ พูดได้ไม่เต็มคำ แต่พลังใจนั้นยังมีมาก จึงคงตั้งใจว่าจะต่อสู้กับทุกขเวทนาและพยาธิสภาพเพื่อมีชีวิตอยู่อีกสักระยะ อาจจะไปทำงานที่คั่งค้างอยู่ก็ได้ เป็นเพราะพลังใจของพี่ประชา จึงสามารถประคองตนเองมาได้หลายวัน แต่ในที่สุดสังขารก็ทนไม่ไหว พี่ประชาจึงจากไปในที่สุด
พี่ประชาเป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อผู้อื่นและส่วนรวมมาทั้งชีวิต ทำงานอย่างไม่รู้จักเหนื่อยมาโดยตลอด แต่ก็ไม่ละทิ้งการภาวนา ต่อสู้กับกิเลสและอุปาทานอย่างเอาจริงเอาจัง จึงยืดหยัดมั่นคงในอุดมคติและเป็นสุขกับชีวิตทวนกระแส หรือ 'วิถีขบถ' มาได้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แม้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พี่ประชาอยากทำในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ไม่อาจทำได้ดั่งใจ เพราะขันธมารและมัจจุมารมาขัดขวาง แม้กระนั้นข้าพเจ้าเชื่อว่า พี่ประชาจะปล่อยวางได้ เพราะในส่วนลึกพี่ประชาเข้าใจในอนัตตลักษณะ จึงรู้ว่าไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่น หรือสำคัญมั่นหมายให้เป็นดังใจปรารถนาได้ อีกทั้งพี่ประชายังระลึกถึงอุดมคติสูงสุดของชีวิต คือพระนิพพาน อยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อนาทีสุดท้ายใกล้มาถึง จึงเชื่อว่าพี่ประชาเห็นความสำคัญของการละวางทุกสิ่ง และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระแสแห่งเหตุปัจจัย เปิดใจยอมรับว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง” นี้คือโจทย์ใหญ่ของ “นักเลงธรรมะ” อย่างพี่ประชา และข้าพเจ้าเชื่อว่าพี่ประชาทำโจทย์นี้ได้ไม่มากก็น้อยก่อนลมหายใจสุดท้ายจะจากไป
ประชา หุตานุวัตร
เกิด 9 พฤษภาคม 2495
คืนสู่ธรรมชาติ 13 พฤษภาคม 2566
อายุ 71 ปี
พี่ประชากับอาจารย์
ครุ่นคิดถึงพุทธทาสภิกขุ กับ ประชา หุตานุวัตร
ภาพ-บท จาก หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ
https://youtu.be/SmnTq8oVqO8?si=8XoEa4RIEoCo6adg
จาก
https://main.bia.or.th/BlogDetail/news/235
.
ครุ่นคิดถึงพุทธทาสภิกขุ กับ ประชา หุตานุวัตร
“ผมก็แสวงหาไปที่ต่างๆ หลายที่ ในที่สุดหาคนคุยรู้เรื่องไม่ได้ ผมก็มาจบที่สวนโมกข์...คือท่านอาจารย์ผมเถียงได้ เถียงถึงที่สุดได้ เถียงจนเราพอใจได้ แล้วท่านก็ไม่ว่า ท่านก็คุยด้วย ซึ่งครูบาอาจารย์แบบนี้หายาก...” ประชา หุตานุวัตร หรืออดีตพระประชา ปสนฺนธมฺโม ผู้สัมภาษณ์และเรียบเรียงหนังสือ ‘เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา : อัตชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ’ เล่าถึงความทรงจำที่เขามีต่อภิกษุนาม ‘พุทธทาส’ ผู้ที่เขาสามารถแลกเปลี่ยนถกเถียงประเด็นทางความคิดได้ด้วยความเคารพ
พุทธทาสภิกขุ กับการรื้อความฝันแบบกระแสหลัก
ในโลกที่ยกย่องเชิดชูกระบวนการค้นหาคำตอบแบบวัตถุนิยม (Materialism) ภายใต้กรอบคิดวิทยาศาสตร์ซึ่งสนับสนุนการขับเคลื่อนทุนนิยมทางเศรษฐกิจ บ่อยครั้งความเป็นภิกษุแบบ ‘พุทธทาส’ มักได้รับการจัดจำแนกให้อยู่ในกลุ่มอนุรักษ์นิยมท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความทันสมัย ซึ่งมีนัยยะที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ในความทรงจำแรกรุ่นของ ประชา หุตานุวัตร หนังสือธรรมะของพุทธทาสภิกขุกลับมีความหมายที่ต่างออกไป
“ผมโตมาในครอบครัวจีนโพ้นทะเลผสมไทย ในครอบครัวก็จะมีบรรยากาศแบบ เราต้องเก่ง ประสบความสำเร็จในชีวิต ความฝันแบบอเมริกันดรีมเข้าในครอบครัวผมเยอะ ผมมาเปลี่ยนตอนที่ผมอยู่ มศ.๔ มศ.๕ ผมอ่านหนังสืออาจารย์พุทธทาส มีอิทธิพลกับผมมหาศาลในการรื้อความฝันแบบกระแสหลัก ครั้งแรกอ่านหนังสือที่ คุณปุ่น จงประเสริฐ ย่อมา เรื่องจิตว่าง ผมอ่านแล้วไม่รู้เรื่องเท่าไหร่หรอก แต่รู้สึกมีอะไรแปลก มีอะไรที่ไม่เหมือนศาสนาพุทธที่เราเบื่อๆ เรียนศาสนาพุทธในโรงเรียนแล้วมันเบื่อมาก ท่องนั่นท่องนี่ไปสอบ แต่ไม่มีความหมายอะไรกับเรา แต่ท่านพูดอะไรบางอย่างที่เรารู้สึก เฮ้ย มันน่าสนใจอยากรู้อยากเห็น ผมก็ขวนขวายหาหนังสือของท่านมาอ่าน ผมจำได้ผมอ่านทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ในตลาด”
เรียนศาสนาพุทธในโรงเรียนแล้วมันเบื่อมาก ท่องนั่นท่องนี่ไปสอบ แต่ไม่มีความหมายอะไรกับเรา แต่ท่านพูดอะไรบางอย่างที่เรารู้สึก
ประชา เล่าถึงความหลังเมื่อแรกครั้งรู้จักหนังสือของพุทธทาสภิกขุที่ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการตั้งคำถามกับกระบวนการถ่ายทอดพุทธศาสนาแบบประเพณี แต่ยังถอดรื้อคุณค่าความสำเร็จในระบบทุนนิยมที่เริ่มมีอิทธิพลต่อสังคมไทยไปพร้อมๆ กัน แต่ถึงกระนั้นการถอดรื้อความฝันแบบทุนนิยมด้วยพุทธศาสนาก็อาจจะยังไม่ใช่คำตอบต่อสังคมที่ดีกว่าสำหรับ ประชา ในเวลานั้น เส้นทางของฝ่ายซ้าย หรือสังคมนิยม (Socialism) จึงดูจะเป็นหนทางที่นักแสวงหาอย่างเขาต้องเลือกเดิน
“ผมเข้าไปอยู่กับสันนิบาตเยาวชนรักชาติแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นปีกเยาวชนของพรรคคอมมิวนิสต์ เขาเรียกเป็น ย ผมเป็น ย ก่อน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖...ผมอยู่จัดตั้งก่อนหลายคนที่มีชื่อเสียงในทางสังคม ผมเห็นเรื่องภายในมาก การเห็นเรื่องภายในมาก ก็เลยทำให้ผมเห็นว่า ระบบนี้ไม่สามารถสร้างสังคมอุดมคติได้ เพราะมันตรวจสอบผู้มีอำนาจข้างบนไม่ได้เลย มันเป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ คือข้างล่างตรวจข้างบนไม่ได้
อันนี้ผมเขียนไว้แล้วในเรื่องความหลังครั้งยุวชนสยาม...ผมเห็นขบวนการฝ่ายซ้ายมันซ้ายจัดมากเกินไป แล้วเริ่มไม่เห็นด้วยกับเพื่อนที่อยู่ในขบวนการ วิธีคิด ยุทธศาสตร์ในการทำงาน ผมเห็นต่างออกไป เรื่องนี้ก็คุยกันในกลุ่มจัดตั้งด้วย ผมรู้สึกไปไม่รอดแน่ ในที่สุดผมก็เลยตัดสินใจแยกออกมาจากกลุ่มฝ่ายซ้ายมาอยู่กลุ่มอหิงสา” ประชา หุตานุวัตร ย้อนความทรงจำบนเส้นทางฝ่ายซ้าย และอธิบายถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้เขามีโอกาสเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ว่า
“เรื่องบวชมันเป็นแบบนี้ คือมีบางคนในกลุ่มอหิงสาไม่เชื่อว่าผมเปลี่ยนใจจริงๆ นึกว่าผมมาแทรกซึมในกลุ่มอหิงสา เพื่อนผมคนหนึ่งคือวิศิษฐ์ วังวิญญู บอกประชามึงไปบวชซักหน่อยไหม ไอ้สีแดงของมึงจะได้จางๆ ลงหน่อย อันนี้เป็นเหตุให้ผมบวช...พอครบปีหนึ่งผมก็จะสึก อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ บอก อย่าเพิ่งสึกเลยอยู่ต่อ อธิษฐานเอาปีสองปี ตอนหลังชักเพลิน ส่วนหนึ่งเพราะได้โต้ทางความคิดกับเพื่อนฝ่ายซ้าย เริ่มมองประเด็นทางสังคมจากแง่มุมของฝ่ายพุทธมากขึ้น ในตอนนั้นก็มีนิตยสารปาจารยสารเป็นเวทีที่โต้กันกับฝ่ายซ้าย แล้วก็ขึ้นเวทีพูดก็บ่อย เกือบทุกมหาวิทยาลัยชวนไปคุยไปโต้กัน มันเพลินๆ อยู่นะ เพลินๆ กับไอ้พวกนี้อยู่หลายปี
ประชาเล่าต่อไปว่า “ผมก็แสวงหาไปที่ต่างๆ หลายที่ ในที่สุดหาคนคุยรู้เรื่องไม่ได้ ผมก็มาจบที่สวนโมกข์...คือท่านอาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ผมเถียงได้ เถียงถึงที่สุดได้ เถียงจนเราพอใจได้ แล้วท่านก็ไม่ว่า ท่านก็คุยด้วย ซึ่งครูบาอาจารย์แบบนี้หายาก จำได้เถียงกันเรื่องความเสมอภาค ท่านบอกมันเป็นไปไม่ได้เรื่องความเสมอภาค แล้วท่านอ้างอิง พระธรรมบทว่า คนอยู่เสมอกันเป็นทุกข์ ก็เถียงๆๆ เถียงๆๆ มันไม่ได้เสมอกันข้างนอก มันหมายถึงศักดิ์ศรีเสมอกัน ความเป็นมนุษย์ที่มันเสมอกัน ท่านยอม ถึงที่สุดแล้วท่านยอม ท่านก็ฟัง ผู้ใหญ่อย่างนี้ข้างนอกดุนะ แต่พอเถียงถึงที่สุดแล้ว พอท่านเห็นว่าเรามาถูกทางแล้วก็โอเค ซึ่งเป็นความวิเศษของท่าน”
พระประชา ปสนฺนธมฺโม ในสวนโมกข์ พุมเรียง
ขณะที่ความทรงจำของใครหลายคนเกี่ยวกับพุทธทาสภิกขุอาจรวมอยู่ที่ สวนโมกข์ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่สำหรับ ประชา หุตานุวัตร เขากลับมีภาพของสวนโมกข์ พุมเรียง เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำระหว่างเขาและพุทธทาสภิกขุ “ผมไม่แน่ใจว่าผมได้จำพรรษาที่สวนโมกข์ใหญ่ (สวนโมกข์ ไชยา) หรือเปล่า หรือว่าก่อนเข้าพรรษา สวนโมกข์เก่า พุมเรียง ขาดพระ แล้วท่านอาจารย์คงเห็นว่าผมคงเข้าพวกลำบากเลยส่งไปอยู่ที่นั่น... ท่านบอกไม่มีพระดูแล อยากให้คุณไปช่วยดูแล แต่ผมเข้าใจว่าตอนนั้นผมไม่ค่อยทำตามหมู่คณะเท่าไหร่” ประชา หุตานุวัตร ให้ข้อมูลที่พาดพิงถึงตนเองอย่างตรงมาตรงมา และเล่าต่อไปว่า
“พรรษาแรก ไปใหม่ๆ รู้สึกไป (สวนโมกข์ พุมเรียง) รูปเดียว แต่ตอนจะเข้าพรรษาจะมีพระ ๓-๔ รูปมาอยู่ด้วย แล้วก็มีพระในท้องถิ่นมาบวชด้วย ก็พาหมู่คณะสวดมนต์ภาวนา แล้วต่างคนก็ต่างศึกษางานอาจารย์พุทธทาส ผมเขียนหนังสือเยอะช่วงนั้น ใช้สวนโมกข์เก่าเป็นที่เขียนหนังสือ เขียนบทความสำคัญๆ เขียนมาจากที่นั่นเยอะ แต่ละบทมีเวลาไตร่ตรองเขียน ๒-๓ อาทิตย์เสร็จก็ส่งมาปาจารยสารก็พิมพ์ ก็เรียนรู้ผ่านทางนี้เยอะ แล้วพอได้จังหวะก็ไปสวนโมกข์ไชยา ไปคุยกับท่านอาจารย์...ส่วนใหญ่คุยเรื่องธรรมะ ผมอ่านหนังสือท่านแล้วผมไม่เข้าใจตรงไหนผมก็ถาม จดแล้วไปถาม เสียดายที่ไม่ได้อัดไว้ จำได้ว่าผมอ่านอานาปานสติฉบับสมบูรณ์ มีคำถามยาวเลยไปถามท่าน ซึ่งถ้าเก็บไว้จะเป็นประโยชน์มาก” ประชา เล่าถึงความทรงจำเมื่อครั้งบวชจำพรรษาในสวนโมกข์พุมเรียง
เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา : อัตชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ
ด้วยเหตุที่ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ซึ่งประชานับถือเป็นครูที่มีบทบาทสำคัญกับชีวิตของเขาคนหนึ่ง เคยเอ่ยกับเขาเสมอว่า “อยู่ใกล้คนที่มีความสำคัญ อย่าไปดูแต่คำสอนท่านอย่างเดียว ดูชีวิตของท่านด้วย ศึกษาชีวิตของท่านด้วย” ทำให้ในช่วง ๒-๓ พรรษาสุดท้ายในสวนโมกข์ พระประชา ปสนฺนธมฺโม ตัดสินใจที่จะบันทึกเรื่องราวจากการสัมภาษณ์พุทธทาสภิกขุ เพื่อเรียบเรียงเป็นหนังสือให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้จักกับ พุทธทาสภิกขุ ในแง่มุมของความเป็นมนุษย์ที่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งประชา ให้ข้อมูลว่า เขาต้องใช้เวลาเป็นปีในการค้นคว้าและอ่านเอกสารต่างๆ เพื่อให้ได้คำถามที่จะใช้ในการสัมภาษณ์
“ตอนนั้นผมก็ใกล้ชิดกับน้องๆ ทางมูลนิธิโกมล คีมทอง พวกนี้มีส่วนช่วยเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะ อรศรี งามวิทยาพงศ์ (บรรณาธิการหนังสือ ‘เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา : อัตชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ’) เขาช่วยผมทำการบ้านเยอะเหมือนกัน เพราะว่าผมอ่านงานสมัยปัจจุบัน ให้อรศรีอ่านงานชุดแรก แล้วก็ช่วยค้นหนังสือพิมพ์ พุทธสาสนา ตั้งแต่ปีแรก แล้วก็ตั้งคำถามมา คำถามหลายอันเขาก็ช่วยตั้ง” ที่สำคัญหลังจากการเรียบเรียงข้อมูล ประชาจะต้องนำข้อมูลที่ได้มาอ่านให้ท่านพุทธทาสฟังอีกครั้ง “ทุกถ้อยคำท่าน ตรวจสอบ และรับรองแล้วถึงเอาลง ท่านก็มาแก้ตรงนั้นตรงนี้บ้างไม่น้อย” ประชา บอกเล่าถึงกระบวนการในการทำงานหนังสือ ‘เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา : อัตชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ’
จากการที่ได้สัมภาษณ์และเข้าถึงข้อมูลเอกสารอีกจำนวนมากของพุทธทาสภิกขุ ทำให้ ประชา รับรู้ได้ถึงบางแง่มุมที่งานทางความคิดของท่านไม่ได้เปิดเผย “เห็นท่านมีมุมของความเมตตากรุณา ความอ่อนโยน พอใกล้ชิดก็เห็นมุมนี้ มุมของความรู้สึก ซึ่งถ้าอ่านงานเขียนส่วนใหญ่เราจะไม่เห็นความรู้สึกของท่านเท่าไหร่ กลอนส่วนใหญ่ของท่านเขียนด้วยความคิดไม่ใช่ความรู้สึก มีบางบทสองบทเท่านั้นเองเขียนด้วยความรู้สึก อย่างที่ท่านเขียนถึงแม่เป็นบทความก็เหมือนกับบทกวี ท่านเอาความรู้สึกเข้าไปใส่ด้วย เขียนถึงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวโร) วัดเทพศิรินทร์ นี่ก็เป็นบทกวีมีความผูกพันส่วนตัว” ประชา หุตานุวัตร อธิบาย
ท่านอาจารย์วิจารณ์คนอื่นได้ เขาก็วิจารณ์ท่านอาจารย์ได้
สำหรับผู้ที่สนใจในประวัติและผลงานของพุทธทาสภิกขุ ย่อมทราบดีว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่ได้รับเสียงก่นด่าไม่น้อยไปกว่าคำชื่นชม ซึ่ง ประชา หุตานุวัตร แสดงความเห็นในเรื่องนี้เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ผมเองผมเชื่อในเรื่องความคิดที่หลากหลาย เชื่อในการที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ท่านอาจารย์ ผมว่าดี ลูกศิษย์ลูกหาก็จะได้ระวังตัวมากขึ้น สังคมที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกันผมว่าเป็นของดี แล้วพระพุทธเจ้าก็สอนแล้วว่า แม้แต่เขาปรารถนาไม่ดีกับเรา เราก็ฟัง อะไรเป็นประโยชน์ก็เอามาใช้
“หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ น่าทำ เอ้า...เขาวิจารณ์แบบนี้จริงไหม จัดสัมมนาเลย มีคนเล่นงานท่านอาจารย์เยอะ ซึ่งเป็นของดีเอามาสัมมนาเลย มองหลายมุม อันนี้จะช่วยทำให้ชีวิตงานของท่านไม่ตาย ถ้าคนมัวแต่ยกย่องตลอดเวลามันก็น่าเบื่อ พวกเราเป็นลูกศิษย์ลูกหาก็มาคุยกัน บางเรื่องก็จริงบางเรื่องก็ไม่จริง หอจดหมายเหตุพุทธทาสฯ ช่วยได้เรื่องพวกนี้ โดยการเอาประเด็นพวกนี้ขึ้นมาแล้วทำให้กระจ่างขึ้นชัดขึ้น ความต่างไม่เสียหาย ท่านอาจารย์ก็ตีความผิดได้ ต้องคิดแบบนี้ ท่านอาจารย์วิจารณ์คนอื่นได้ เขาก็วิจารณ์ท่านอาจารย์ได้ แล้วจริงๆ ท่านอาจารย์ท่านก็ฉลาดในแง่นี้ ท่านพูดบางเรื่องพูดให้คนตีความ พูดเผื่อคนตีความได้หลายแบบด้วยความตั้งใจ ผมไม่แน่ใจว่าอยู่ในหนังสือเล่าไว้เมื่อวัยสนธยาหรือเปล่า แต่ผมคุยกับท่านผมจำได้แน่นอน ท่านบอกว่าตั้งใจพูดให้คนตีความได้หลายแบบ สังคมมันเป็นได้หลายแบบ แบบนี้เหมาะกับสังคมแบบนี้ แบบนี้เหมาะกับสังคมแบบนั้น แต่เนื้อหาธรรมะอันเดียวกัน ถ้าคนไม่เข้าใจอันนี้ก็จะจับประเด็นผิดได้ง่ายๆ” ประชา หุตานุวัตร แนะนำวิธีจัดการกับประเด็นความขัดแย้งทางความคิด ก่อนกล่าวถึงความประทับใจที่เขามีต่อ พุทธทาสภิกขุ ว่า
“ในแง่ส่วนตัว ท่านเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย พยายามปฏิบัติตามที่ท่านสอนอย่างจริงจัง อันนี้ผมว่ายิ่งใหญ่สำหรับผม เป็นคุณค่าที่ทำให้คำสอนของท่านมีพลัง นอกเหนือจากนี้ก็เรื่องการสอนเชิงวิพากษ์วิจารณ์ การเข้าหาพุทธศาสนาเชิงวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งช่วยให้เราเห็นพุทธศาสนาลึกและกว้างโยงเรื่องต่างๆ แทนที่จะเห็นกระจัดกระจาย ผมว่าอันนี้ก็ยิ่งใหญ่มากสติปัญญาของท่าน ท่านเชื่อมสายปริยัติกับปฏิบัติ แต่ก่อนนี้พระปฏิบัติก็แยกกันไปไม่ค่อยสนใจปริยัติ พระปริยัติไม่ค่อยสนใจปฏิบัติ ท่านโยงสองอันนี้เข้าหากัน นี่ก็ยิ่งใหญ่ นี่เป็นสิ่งที่ท่านทำคุณให้กับพระศาสนามหาศาล
“ท่านเป็นคนกล้าพูดไม่เกรงใจคนเท่าไหร่ ส่วนหนึ่งท่านอาจเป็นคนทางปักษ์ใต้ด้วย ไม่กลัวด้วย ตลอดชีวิตท่านก็จะโยนระเบิดลงสังคมไทยเป็นครั้งๆ ตลอดช่วงการทำงานของท่าน เช่น บอกการไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเราเนี่ย ขวางทางถึงพระนิพพาน โอ้โห คนด่ากันทั้งเมือง ในแง่นี้ก็เป็นอุบายของท่าน ท้าทายทำให้คนคิดลึกซึ้ง ผมว่าดี” ประชา หุตานุวัตร ให้ความเห็นถึงคุณูปการของวิธีการเข้าถึงพุทธศาสนาเชิงวิพากษ์ในแบบของ ‘พุทธทาสภิกขุ’
ขณะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยแลเห็นว่าการสยบยอมอย่างนิ่งเงียบคือวิถีแห่งความนอบน้อมต่อองค์ความรู้ของครูบาอาจารย์ แต่การครุ่นคิดถึง ‘พุทธทาสภิกขุ’ ในแบบของ ประชา หุตานุวัตร กลับเผยให้เห็นแง่งามของการถกเถียงที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติบูชา สำหรับเขาแล้ว แก่นคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส เป็นสิ่งที่ไม่มีวันตาย และคำสอนทางสังคมของท่าน ต้องการคนเข้าใจงานของท่านอย่างเป็นองค์รวมและเรียบเรียงออกมาท้าทายแนวคิดกระแสหลักที่เราหยิบยืมมาจากฝรั่ง โดยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับท่านทุกถ้อยกระทงความ สิ่งสำคัญก็คือ แนวคิดทางสังคมของท่านนั้น เป็นการนำเสนอกระบวนทัศน์ใหม่ที่ท้าทายความทันสมัยของฝรั่งอย่างถึงแก่น และประชา หุตานุวัตร เชื่อว่า ถ้าสังคมไทยสามารถประยุกต์ความคิดของท่านได้อย่างเหมาะสม เราจะก้าวย่างเข้าสู่ระบบโครงสร้างสังคมอย่างใหม่ ที่วิกฤติของสังคมด้านต่างๆ จะได้รับการแก้ไข แทนที่เวียนวนอยู่กับความขัดแย้งอันไม่รู้จบ