“ตถาตา” เช่นนั้นเอง หรือ ความเป็นเช่นนั้น
มีหลักฐานปรากฏในพระไตรปิฎก เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท สามัญญลักษณะ และ อริยสัจ ๔
.
…. “ อะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา? โดยทั่วไปตามที่ได้ศึกษากันมา ก็จะระบุไปยัง “อริยสัจจ์ ๔” ก็มี ๔ ข้อ หรือ บางคนก็จะย่นลงมาที่คาถาของพระอัสสชิ - “เย ธมฺมา เหตุปฺปพฺภวา เตสํ เหตุํ ตถาคโต” อย่างนี้เป็นต้น มันก็ยังยืดยาว บางคนก็ย่นลงมาเหลือเพียงโอวาทปาฏิโมกข์ ว่า “สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา” เป็นอาทิ นี้มันก็ยังยาวตั้งสี่บรรทัด, อาตมาเคยบอกว่าเราเอากันแต่ประโยคสั้นๆประโยคเดียวว่า “สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย” ; นี่เป็นประโยคสั้นๆประโยคเดียวว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตน” นี้เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่ามันยาว คงไม่มีใครจะอยากเอาไปแขวนไว้ที่คอ เพราะมันยาวรุงรัง
…. ในวันนี้ เฉพาะสิ้นปีนี้ เพื่อปีหน้า ก็จะบอกหัวใจพระพุทธศาสนาไว้ด้วยคําที่สั้นที่สุด เหมือนกับพระองค์เล็กๆแขวนไว้ได้ที่คอ ; คํานั้น ก็คือคําว่า “ ตถาตา ” ; ถ้า ไม่ชอบเป็นภาษาบาลี ก็เอาเป็นภาษาไทย คือคําว่า “เป็นเช่นนั้นเอง”. ถ้าทุกคนแขวนเช่นนั้นเองไว้ที่คอ ก็เหมือนกับว่าได้แขวนพระเครื่องอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าชนิดไหนหมด คุ้มครองป้องกันได้หมด และทําให้ก้าวหน้าสูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป สมกับที่ว่ามันเป็นปีใหม่ มันควรจะยิ่งขึ้นไป
…. จะได้พิจารณากันดูต่อไปว่า คําว่า “เช่นนั้นเอง” นี้ จะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาได้อย่างไร คนที่รู้คําว่า “เช่นนั้นเอง” นั้น มาจากคําบาลีว่า “ตถาตา”, ตถาตา ก็แปลว่า “เช่นนั้นเอง” หรือ “ความเป็นเช่นนั้น”, นี้จะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาอย่างไร ?
…. ถ้าเคยได้ยินได้ฟังมาก็จะรู้ว่า เป็นคําที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ตถาคตจะเกิดหรือจะไม่เกิดขึ้น ธรรมธาตุนั้นก็มีอยู่แล้ว ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ และ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา อย่างนี้ก็มี.
…. บางทีพระองค์ก็ตรัสว่า “ธรรมธาตุนั้น คือความที่มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น แล้วก็ตรัส “ปฏิจจสมุปบาท” ตั้งแต่อวิชชาปัจจยาสังขารา เป็นต้นไป จนจบ ; แล้วก็ทรงสรุปความว่า นี่คือความเป็นอย่างนี้ คือ เป็นตถาตา, นี้เป็น อวิตฤตา นี้คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนี้ หรือว่า อนญฺญถตา นี้ไม่เป็นอย่างอื่นไปจากความเป็นอย่างนี้ ธมฺมฏฺฐิตฺตา นี้เป็นความตั้งอยู่โดยธรรมดา, ธมฺมนิยามตา - นี้เป็นกฎตายตัวของธรรมดา หรือว่า อิทปฺปจฺจยตาปฏิจฺจสมุปฺปาโท - เพราะมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เป็นการอาศัยซึ่งกันเกิดขึ้น ดังนี้ คําพูดมันหลายคํา แต่สรุปให้เหลือสั้นเข้ามาคําเดียว, ก็คือคําว่า “ตถตา” แปลว่า “ความเป็นเช่นนั้น” หรือจะเรียกว่า “เช่นนั้นเอง”
…. “เช่นนั้นเอง” นี้ ทรงแสดงไว้ด้วยพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็มี, ทรงแสดงไว้ด้วยปฏิจจสมุปบาทตลอดสาย ก็มี, ทรงแสดงไว้ด้วยอริยสัจจ์ ๔ ก็มี. ที่ทรงแสดง ไว้ด้วยอริยสัจจ์ ๔ นั้น ท่านกลับจะเรียกสั้นเข้ามาอีกเพียงว่า “ตถา” ก็แปลว่า เช่นนั้น, แสดงด้วยปฏิจจสมุปบาทท่านใช้ คําว่า “ตถาตา” หรือ “ตถตา” แปลว่า “ความเป็นเช่นนั้น” ; ขาดไปพยางค์หนึ่งก็ไม่เป็นไร เนื้อความยังเท่าเดิมว่า “มันเป็นเช่นนั้น”
…. พิจารณาดูความหมาย “เป็นเช่นนั้น.”
ทีนี้ก็มาพิจารณาดูกันถึงความหมายของคําว่า “เป็นเช่นนั้น” ก็หมายความว่ามันไม่ผิดไปจากนั้น มันไม่เป็นอย่างอื่น จากนั้น เพราะว่ามันเป็นกฎตายตัวของธรรมดา มันเป็นการตั้งอยู่โดยธรรมดา คือความที่มันอาศัยสิ่งนี้สิ่งนี้แล้วจึงเกิดขึ้น, ดูที่พระไตรลักษณ์ก่อน ว่าสังขารไม่เที่ยง สังขารเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา นี่. ความที่มันไม่เที่ยง คือมันเป็นเช่นนั้น, ความที่มันเป็นทุกข์ คือมันเป็นเช่นนั้น ความที่มันเป็นอนัตตา คือ ความเป็นเช่นนั้น ; ฉะนั้น ความเป็นเช่นนั้น ก็คือความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และ เป็นอนัตตา ถ้าผู้ใดเข้าใจ ผู้นั้นจะเห็นว่า ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความเป็นอนัตตา นั่นแหละ คือความเป็น เช่นนั้น, นี้จําไว้ทีหนึ่งก่อนว่า ที่ว่าเป็นเช่นนั้น ก็คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
…. ที่นี้ถ้าว่าจะพูดถึงเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ความเป็นเช่นนั้นมันอยู่ตรงที่ว่า : อวิชชาให้เกิดสังขาร - สังขารให้เกิดวิญญาณ - วิญญาณให้เกิดนามรูป - นามรูปให้เกิดอายตนะ - อายตนะให้เกิดผัสสะ - ผัสสะให้เกิดเวทนา - เวทนาให้เกิดตัณหา - ตัณหาให้เกิดอุปาทาน - อุปาทานให้เกิดภพ ภพให้เกิดชาติ ชาติให้เกิดทุกข์ทั้งปวง. นี้ ความเป็นเช่นนั้นเองมันยาวหน่อย มันไล่ติดกันไปยาวหน่อย; แต่สรุปความแล้ว มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้, ฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาท ทั้งปวงนั้น ก็สรุปเหลือได้เป็นเพียงคําคําเดียวว่า เป็นเช่นนั้น คือ ตถตา อีกเหมือนกัน
…. แล้วไปดูที่ อริยสัจจ์ ๔ : ความทุกข์เป็นอย่างนี้ เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, หนทางให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, ก็ชี้ชัดลงไปอย่างนี้ๆ ก็หมายความว่า มันเป็นเช่นนั้น มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้. ความทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้, เหตุให้เกิดทุกข์จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้, ความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้, ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็เป็นอย่างอื่นไม่ได้, มันจะเป็นแต่เช่นนี้ๆ อย่างที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ฉะนั้น จึงเรียกอริยสัจทั้ง ๔ นี้ว่า ตถา หรือ ตถตา ด้วยเหมือนกัน
…. ฉะนั้น คําว่า “ตถาตา” จึงได้แก่ พระไตรลักษณ์ ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่ อริยสัจ ๔. เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทําไมจะไม่เรียกว่านี้คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งสรุปเข้ามาเหลือเพียงคําคําเดียวว่า “ตถตา” คือความเป็นเช่นนั้น แม้จะใช้คําว่า “ตถาตา” ก็ยังเป็นคําที่มีความหมายอย่าง เดียวกัน
…. จงจําคําว่า “ตถตา” หรือ ความเป็นเช่นนั้น ไว้ให้แม่นยํา อยู่กับเนื้อกับตัว ; เหมือนกับเอามาแขวนไว้ที่คออย่างพระเครื่อง ให้มันคล่องปาก คล่องใจ ว่า ตถตา เป็นเช่นนั้น จะพูดเป็นภาษาชาวบ้านสักหน่อยก็ได้ว่า มันเช่นนั้นเอง เพื่อเป็นภาษาคนธรรมดามากขึ้นกว่า เช่นนั้นเอง เอา เช่นนั้นเอง มาแขวนไว้ที่คอเป็นพระเครื่อง แล้วจะคุ้มครองทุกอย่าง แล้วก็จะส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าเป็น ลําดับไป จนถึงการบรรลุมรรค ผล นิพพาน.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : “เช่นนั้นเอง” ธรรมโอวาทสำหรับปีใหม่ แก่นักศึกษารวมกันหลายคณะ เนื่องในวันสิ้นปี ๒๕๒๒ ณ ลานหินโค้ง สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๒ เวลา ๑๙.๓๐ น.
.
Listen to ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง 31ธค2522 by 31 ธันวาคม 2522 on #SoundCloud
https://on.soundcloud.com/baEnX