เชิญฟังเสียงอ่าน
#ชุมนุมปาฐกถาชุด_พุทธธรรม
ท่านพุทธทาสบรรยาย
ณ.พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย
1 ตอน #วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม
แสดงเมื่อ 13 กรกฎาคม 2483
Youtube
Podcast
https://soundcloud.com/user-327441149/mcgpycfi97jf?in=user-327441149/sets/bwosuco6e22a&si=3b72210163564b7196e68d394e657a3c&utm_source=clipboard&utm_medium=text&utm_campaign=social_sharing
2 ตอน #ความสงบ_คือ_พุทธธรรม
แสดงเมื่อ 5 มิถุนายน 2485
Youtube
https://youtu.be/jO1OWPzTITA?si=zMFsvq6XWI1MQuCj
Podcast
https://soundcloud.com/user-327441149/ymxvhg93l7bc?in=user-327441149/sets/bwosuco6e22a&si=bfc1f933e48e464ebf7b9de6ae0d74bb&utm_source=clipboard&utm_medium=text&utm_campaign=social_sharing
3 ตอน #ธรรมจักรวรรดิ Kingdom of the Truth
แสดงเมื่อ 14กุมภาพันธ์ 2486 ณ มหามกุฏราชวิทยาลัย
Youtube
https://youtu.be/rtLMLeiM-X0?si=DeMc8wkeOxU6GcNj
Podcast
4 ตอน #พุทธธรรมและสันติภาพ
แสดงเมื่อ 12 มีนาคม 2489 ณ.พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย
Youtube
https://youtu.be/THbl9TEL8II?si=P-MAK65kuCuY8As7
Podcast
5 ตอน #พุทธธรรม_กับ_เจตนารมณ์ของประชาธิปไตย
แสดงปี 2490 ณ.พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย
Youtube
Podcast
https://on.soundcloud.com/rmTGWR7Hea4aoasQ6
6 ตอน #ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
ณ.พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย แสดงเมื่อ 5 มิถุนายน 2491
Youtube
Podcast
https://on.soundcloud.com/7NQXY7RF8Udb3vwJA
7 ตอน #ขยายความภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
ณ.พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย แสดงเมื่อ 23 มิถุนายน 2491
Youtube
Podcast
https://on.soundcloud.com/j39SegoDrkHvPa3U7
8 ตอน ภาคผนวก (ถาม-ตอบ)
Youtube
Podcast
https://on.soundcloud.com/pNt1cdfZPRG4y6fS9
อ่าน
https://drive.google.com/file/d/1RnUChBBL5j9OPfU0KrLd3TpwGIkKhbVf/view?usp=sharing
ขอขอบคุณ
ธรรมทานมูลนิธิ
สวนโมกข์กรุงเทพ
AMJ Studio
https://www.youtube.com/@AMJ_Studio
มา ณ.โอกาสนี้ครับ
#แตะแล้วฟังเรื่องที่สนใจ
#แชร์ได้ขอบคุณครับ
.
#ชุมนุมปาฐกถาชุด_พุทธธรรม
โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ
แสดงที่ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ 2483 ถึง 2491
คณะธรรมทานจัดพิมพ์มี 4 เรื่อง คือ
1 วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม
แสดงเมื่อ 13 กรกฎาคม 2483
2 ความสงบคือพุทธธรรม
แสดงเมื่อ 5 มิถุนายน 2485
3 ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม
แสดงเมื่อ 5 มิถุนายน 2491
4 ขยายความภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม (เรื่องผนวกของภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม,บันทึกเกี่ยวกับการตอบปัญหา ภูเขาพุทธธรรม ของ ศ.ศ ดูชุมนุมปาฐกถาชุด พุทธธรรม หน้า 402)
แสดงเมื่อ 21 มิถุนายน 2491
จาก คำปรารภ หนังสือ
ชุมนุมปาฐกถาชุด พุทธธรรม
-
.
.
.
วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม
มองให้ทะลุโลกผ่านเข้าไปทางด้านใน
“อันการที่จะมองโลกในด้านใน เพื่อให้เห็นพุทธธรรมนั้น เราจะต้องใช้เครื่องมือที่เป็น “อินทรีย์ชั้นพิเศษ”
.
อินทรีย์ธรรมดา กล่าวคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามธรรมดานั้น ไม่มีกำลังพอ “อินทรีย์ชั้นพิเศษ”นั้น ได้แก่ “ปัญญา” และ ดา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ควบคุมไว้ได้ ภายใต้อำนาจของ “ปัญญา” มิใช่ชนิดที่ถูกตัณหาเย็บให้ติดแน่นอยู่กับโลก
.
กิริยาที่มองในด้านในนั้น ได้แก่ มองให้ทะลุโลก อันประกอบไปด้วยฉากที่สวยงาม ซึ่งสามารถจะจับเอาใจของสัตว์ให้หยุดชะงักติดอยู่เพียงนั้น อธิบายว่า ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน กระแสแห่งการมองของเราก็ไปติดตันอยู่แค่สิ่งที่เราเรียกว่า “โลก” หูของเรา จมูกของเรา ลิ้นของเรา ประสาททางกายของเรา ใจของเรา ถูกกักขังอยู่ในวงโลก กล่าวคือ เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอารมณ์ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แล้วก็วนเวียนอยู่กับสิ่งนั้น ถ้ามิใช่ด้วยความพอใจ ก็ด้วยความไม่พอใจ ป่วนอยู่ในภายในเสมอ หลีกไปทางไหนก็ไม่พ้น เหมือนกับปีศาจที่คอยหลอกเราอยู่รอบทิศ ไม่ว่าเราจะหมุนหน้าไปทางไหนอินทรีย์ของเราจึงต้องทำการพัวพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ไม่มีสร่าง อินทรีย์ธรรมดาของเราจึงใช้ไม่ได้ เพราะไม่มีความสามารถพอ เราจึงจำเป็นต้องบ่มหรือสร้างอินทรีย์ชนิดพิเศษ ที่สามารถมองเห็นสิ่งอันพ้นไปจากวิสัยโลก โดยมองผ่านทะลุโลกเข้าไปทางด้านใน
.
สิ่งที่เรียกว่าพ้นไปจากวิสัยโลกนั้น เป็นคำที่เข้าใจยากอยู่ อาจมีผู้สงสัยขึ้นในทันทีนี้ว่า ถ้าพ้นวิสัยโลกแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนเล่า?
.
ข้อนี้ควรทำความเข้าใจพอเป็นเค้าในขั้นต้นเสียก่อนว่า “ถ้อยคำที่มนุษย์เราใช้พูดกันนี้ มีความหมายแคบ หรือไม่พอกับความหมายของปรัชญา ปรัชญาจึงกลายเป็นของยาก หรือเข้าใจยากไป”
.
ที่ว่าพ้นวิสัยโลก ก็ไม่อาจอยู่ที่อื่นที่ไหนได้ คงสัมพันธ์กันอยู่กับโลกนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น เก้าอี้กับความไม่มีเก้าอี้ เก้าอี้อยู่ที่นั่น ถ้าเรายกเก้าอี้ไปเสีย ความไม่มีเก้าอี้ก็อยู่ที่ตรงนั้น แต่ถึงแม้เมื่อเก้าอี้ยังอยู่ที่เก่า ความไม่มีของเก้าอี้ก็มีอยู่แล้วที่ตรงนั้นเหมือนกัน ท่านไปมองเห็นเก้าอี้เสีย ท่านจึงมองไม่เห็นความไม่มีเก้าอี้ ซึ่งแท้ที่จริงก็ซ้อนกันอยู่ตรงนั้น การมองสิ่งที่พ้นไปจากวิสัยโลกก็ทำนองเดียวกัน คือ จะต้องมองที่โลก แต่ทองให้ทะลุถึงด้านในของมันเท่านั้น แต่เมื่อเราเป็นโลกเสียเอง ก็ย่อมตกบ่อของตัวเอง มองอย่างไรก็ไม่ทะลุพ้นออกไปจากโลกได้ เลยถูกความยึดถือในโลกหุ้มห่อเอาเป็นเปลือกหุ้นอันหนาแน่น ไม่มีโอกาสที่จะสัมผัสกับ “พุทธธรรม” อันเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือวิสัยของโลกชนิดหนึ่งด้วย.
.
สิ่งที่พ้นหรือนอกเหนือไปจากวิสัยโลก ซึ่งเรียกว่า “โลกุตตระ” หรือ “โลกุตตรธรรม” นั้น ถ้าจะให้เข้าใจชัดควรจะจับเงื่อนขึ้นศึกษาหรือพิจารณาไปจากโลกหรือโลกิยธรรมนั่นเอง โลกิยธรรมทั้งหลายจะเป็นพวกรูปธรรมคือวัตถุก็ตาม หรือเป็นพวกนามธรรมคือจิตใจก็ตาม ทั้งสองพวกนี้ล้วนแต่มีเหตุปัจจัยปรุง คืออาศัยสิ่งอื่นๆช่วยอีกทอดหนึ่ง จึงจะเกิดปรากฏขึ้นแล้วแปรผัน แตกทำลายไป แล้วกลับเกิดใหม่อีก ตลอดเวลาที่เหตุปัจจัยยังมีอยู่ โลกิยธรรมทั้งหลายจึงเป็นสิ่งที่หมุนเวียน และต้องหมุนเวียนอยู่เสมอ ทรงตัวมันอยู่ได้เพราะความหมุนเวียน หยุดหมุนเวียนเมื่อใด ธรรมพวกนี้ก็ดับไม่มีอะไรเหลือ
.
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเรียกกันว่าโลกๆนั้น จึงเป็นเพียงสิ่งทั้งหลายที่กำลังหมุนเวียนไปเรื่อยๆ เท่านั้น ได้แก่ความหมุนเวียนของธาตุทั้งหลาย ทั้งที่ประกอบด้วยนามธาตุ คือ วิญญาณ และหาวิญญาณมิได้ ขาดความหมุนเวียนเหล่านี้เมื่อใดแล้ว โลกหรือโลกิยธรรมก็ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ จะสลายลงทันที แต่เมื่อสิ่งเหล่านี้สลายไปหมดแล้ว อะไรเหลืออยู่ได้ โดยตนเองไม่แตกดับ สิ่งนั้นย่อมแสดงอยู่ในตัวเองแล้ว ว่ามันเป็นสิ่งอีกสิ่งหนึ่งซึ่งตรงกันข้ามกับโลกิยธรรมทั้งหลาย คือเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจหรือภายใต้วิสัยแห่งการหมุนเวียนนั่นเอง มันทรงตัวอยู่ได้โดยไม่ต้องมีการหมุนเวียน.
.
เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวโดยสิ้นเชิง เราจึงสามารถแบ่งสิ่งทั้งหลายออกเป็น ๒ ประเภท คือพวกที่มีเหตุปัจจัยปรุง ต้องหมุนเวียนและเกิดดับนี้พวกหนึ่ง กับอีกพวกหนึ่งตรงกันข้าม ไม่มีเหตุปัจจัยปรุง ไม่หมุนเวียน ไม่มีการเกิดดับ
.
พวกแรก ที่มีเหตุปัจจัยปรุงนั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สังขตธรรม”
.
พวกหลัง ซึ่งตรงกันข้ามนั้น เรียกว่า “อสังขตธรรม”
.
ทั้ง ๒ ประเภทนี้ท่านผู้ใดมองเห็นประจักษ์ชัด ก็ชื่อว่า “เห็นพุทธธรรม” หรือเห็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงค้นพบ คำว่า “เห็น” ในที่นี้ หมายถึงเห็นประจักษ์ชัดด้วยญาณทั้งหมด ชนิดที่สามารถจะเปลี่ยนหัวใจให้เหนื่อยหน่ายละวางโลกิยธรรม และเห็นซึมซาบในโลกุตตรธรรมที่จิตใจของตนได้ถึงโดยสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า...
.
“ถ้าท่านทั้งหลายเห็นประจักษ์ซึ่งโลกิยธรรมในด้านใน อันหุ้มห่อรึงรัดดวงวิญญาณอยู่ ก็สามารถเพิกถอน และเห็นโลกุตตรธรรมได้พร้อมกันนั่นเอง” เพราะทั้งสองสิ่งนี้เป็นคู่กัน และซ้อนกันอยู่ เช่นเดียวกับเก้าอี้กับความไม่มีเก้าอี้ ซึ่งซ้อนกันอยู่ แต่เรามองเห็นเพียงเก้าอี้อย่างเดียว โดยทำนองที่กล่าวมาแล้ว
.
โลกิยธรรม และ โลกุตตรธรรม ตั้งอยู่ปรากฏอยู่เป็นคู่กันเสมอ แต่เพราะเหตุที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามธรรมดาของเรา เป็นแต่เพียงเครื่องมือที่จะสัมผัสได้กับพวกโลกิยธรรมเท่านั้น เราจึงไม่อาจเห็นโลกุตตรธรรมซึ่งมีอยู่พร้อมกันในที่นั้นเอง ตา หู ตามธรรมดาดังกล่าวนี้ เห็นโลกโดยรอบตัว เฉพาะด้านนอก จึงให้ผลเพียงด้านนอก และให้เกิดผลกระท้อนอย่างอื่นๆสืบไป ก็ล้วนแต่ด้านนอกทั้งนั้น
.
เรามีตาเห็นรูปทั้งปวง เช่น เห็นโคมไฟฟ้า เห็นประตู เห็นหน้าต่าง ตู้หนังสือ และอื่นๆ ในสถานที่นี้ ความรู้สึกที่ได้จากตาเช่นนี้เพียงว่า นั่นดวงโคม นั่นประตู นั่นหน้าต่าง นั่นเป็นสิ่งนั้น นี้เป็นสิ่งนี้ ล้วนแต่ต่างกัน เช่น โคมไฟฟ้าต่างจากตู้หนังสือ ตู้หนังสือต่างจากโต๊ะ เป็นต้น สิ่งใดงามหรือถูกใจ ก็ชอบ บอกว่าพอใจ อยากมี อยากได้ สิ่งใดไม่งาม ก็ไม่ชอบ อยากให้ไปพ้นหูพ้นตา หรือดูกีดเกะกะไปเสียทั้งหมด และนี่เป็นผลที่ ตา หู เป็นวิสัยแห่งโลกิยะได้ก่อให้เกิดขึ้น
.
ความรู้สึกจับฉวยเอาด้วยใจ จนเกิดผลกระท้อนเป็นความสบายใจและไม่สบายใจเช่นนี้ เป็นเสมือนเปลือกที่งอกซับซ้อนห่อหุ้มดวงใจยิ่งขึ้นทุกที จึงยากที่แสงสว่างแห่งโลกุตตรธรรมจะส่องเข้าถึง
.
ต่อเมื่อใดได้อาศัยวิธีอันประเสริฐ กระทำตาหูตามธรรมดาให้เป็นอินทรีย์ชั้นพิเศษ สามารถเจาะแทงเพิกถอนเปลือกหุ้มนี้เสียได้ เห็นลักษณะอันเร้นลับที่เป็น “ด้านใน” ของสิ่งทั้งปวง เมื่อนั้นจะมองพบ “โลกุตตรธรรม” ในทันที และก็มองเห็นได้ที่โคมไฟฟ้า โต๊ะ ตู้หนังสือ เก้าอี้ และอื่นๆ เหล่านี้ เช่นเดียวกันอีกนั่นเอง แต่เป็นการมองข้ามพ้นโลกด้านนอกเข้าไปถึงด้านใน การมองตามวิธีนี้เห็นแปลก(แตกต่าง)กัน คือ เห็นเป็นสิ่งเดียวกัน หรือ เหมือนกันไปหมด เช่น โคมไฟฟ้าก็เหมือนกับตู้หนังสือ ตู้หนังสือก็เหมือนกับโต๊ะ โต๊ะก็เหมือนกับเก้าอี้ อะไรๆก็เป็นอย่างหนึ่งอย่างเดียวเหมือนกันไปหมด ไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระท้อนคือความถูกใจหรือความไม่ถูกใจ ไม่ก่อให้เกิดความพอใจหรือความไม่พอใจ ไม่รักไม่ชัง ไม่กระหายดิ้นรน ไม่แสดงความรู้สึกแปลกประหลาดอันใดหมด สรุปความว่า ผู้ที่ตาหูอันเป็นวิสัยโลกิยะ ย่อมมองเห็นด้านนอก เป็นสิ่งทั้งหลายแตกต่างกันนานาประการ แต่ตาหูชนิดที่เป็นวิสัยแห่งโลกุตตระ ย่อมมองเห็น “ด้านใน” เห็นทุกๆสิ่งเหมือนกันหมด ไม่เห็นความงามในสีหรือสัณฐานของสิ่งต่างๆในโลก แต่ได้ทะลุไปเห็นใจความอันสำคัญ คือที่เรียกกันในภาษาธรรมะว่า “สามัญญลักษณะ” อันทำให้สิ่งทั้งปวงในโลกเหมือนกันทุกสิ่ง
.
“สามัญลักษณะ” นั้น คือ ลักษณะทั่วไปแก่สิ่งทั้งปวงในโลก ได้แก่ สภาพแห่งความแปรผัน ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ความที่เมื่อพิจารณาดูให้ดีแล้วเป็นของน่าระอา และความเป็นอนัตตา คือ หาจุดกลางที่เป็น “ตัวตน” อันเป็นสาระอันใดมิได้
.
ภาพหรือลักษณะนี้ ได้ปรากฏเด่นชัดอยู่เองแล้วที่สิ่งทั้งปวงในโลก แต่มนุษย์เราได้ไพล่ไปมองภาพที่เป็นรูปร่างทรวดทรงที่งามหรือไม่งามไปเสีย จึงไม่เห็นภาพแห่ง “สามัญญลักษณะ” ดุจเดียวกับเมื่อมองเห็นเก้าอี้ ก็ย่อมมองไม่เห็นความปราศจากเก้าอี้ ฉันใดก็ฉันนั้น
.
ภาพแห่ง “สามัญญลักษณะ” ได้ส่องแสงแจ่มแจ้งยิ่งกว่าแสงอาทิตย์สักพันดวงรวมกัน แต่แม้กระนั้น ภาพแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็ยังไม่กระทบสายตาของมนุษย์ธรรมดาได้ ด้วยเหตุนั้นจึงมองข้ามพ้นไปเสียทางอื่น คือ คงมองเห็นนั่น เห็นนี่ ชนิดที่ทำให้เกิดความพอใจ หรือความไม่พอใจ อยู่ร่ำไป
.
ต่อเมื่อมีตาพิเศษดังกล่าวแล้วเกิดขึ้น จึงไม่เห็นรูปเขียว รูปแดง น่ารัก ไม่น่ารัก เป็นต้นนั้นๆ เห็นแต่แสงอันแจ่มจ้าจากสิ่งทั้งปวง ซึ่งส่องอยู่เป็นอย่างเดียว และเป็นอันเดียวกันทั้งหมด คือ แสงแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นั่นเอง.”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ปาฐกถาธรรมหัวข้อชื่อ “ วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม” ณ พุทธสมาคมแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๘๓
# ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #
----
วิธีการสอนของพระพุทธองค์ คือ “ขังคอก” กับ “บินไป”
.
…. “ลักษณะแห่งการบําเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นของพระพุทธองค์นั้น อาจแบ่งได้เป็นสองสถาน กล่าวคือ สําหรับสัตว์ที่ยังอ่อน พระองค์ทรง“ขังคอก”เอาไว้ ส่วนสัตว์ที่แก่กล้าแล้วพระองค์ทรง“ชี้ทางให้บินไป”
…. ที่ว่า “ขังคอกไว้” ก็คือ ให้อยู่ใน“กรอบวงของศีลธรรม” อย่าให้พลัดออกไปนอกคอก จะเป็นเหยื่อของสัตว์ร้าย กล่าวคือ “อบาย”.
…. แต่แม้กระนั้น พระองค์ก็ทรงสอนให้กระทําไปด้วยความไม่ยึดถือหรือติดแน่นในศีลธรรมนั้นๆ ถึงกับตรัสเปรียบว่า ธรรมะนี้เหมือนเรือแพ จะอาศัยมันเพียงที่ยังต้องข้ามทะเลเท่านั้น เมื่อถึงฝั่งแล้วไม่จําต้องแบกเอาเรือหรือแพขึ้นบกไปด้วย กล่าวคือ “ความยึดติด” ซึ่งจะทําให้ขึ้นบกไม่ได้
…. ที่ว่า “ทรงชี้ทางให้บินไป” ก็คือ ทรงสอนให้ละวางโลกนี้ โดยมองเห็นในด้านในตามที่เป็นอย่างไร แล้วไม่ยึดถือ ไม่ติดอยู่ในโลก ไม่ติดอยู่ในธรรม สามารถข้ามขึ้นสู่“โลกุตตรสภาพ” ซึ่งทรงตัวอยู่ได้โดยปราศจากภพจากชาติ อันเป็นที่ตั้งแห่งความยุ่งยากโดยประการทั้งปวง
…. ในขั้นที่สอนให้บุคคลหนัก“อยู่ในศีลธรรมนั้น มิใช่เพื่อให้ยึดถือ” เป็นเพียงให้เดินไปตามทางที่มีการอารักขาไปก่อน หรือให้อยู่ในคอกที่มั่นคง เพื่อใช้เวลาในขณะนั้นสร้างความสามารถให้แก่ตัวเองให้เข้มแข็ง กลายเป็นเป็ดไก่ที่ไม่ต้องอยู่คอกเล้าหรืออาศัยคนเลี้ยง เช่น ลูกเป็ด ไก่อ่อน แต่ให้เป็นเป็ดสวรรค์ ไก่สวรรค์ หรือ นกซึ่งโบกบินไปได้ในอากาศอย่างเป็นอิสระเสรี
…. เพราะฉะนั้น ผู้ใดถอนตนออกมาได้เพียงใดขอจงกรุณาเอ็นดูสงเคราะห์ช่วยเหลือให้เพื่อนสัตว์ถอนตัวออกมาเพียงนั้น เมตตาที่มีอยู่นั้นจักเป็นเครื่องช่วยกําลังสมาธิหรือช่วยกําลังจิตให้ผ่องแผ้วกล้าหาญยิ่งขึ้น
…. และข้อที่ว่า ส่งเสริมกําลังปัญญา ก็คือ ข้อที่ตนถูกซักไซ้ไต่ถาม ย่อมทําให้ต้องพินิจพิจารณาในอรรถธรรมนั้นมากขึ้น ละเอียดขึ้น นี้เป็นผลกระท้อน(reaction) ที่กลับมาได้แก่ตัวเอง และส่งเสริมตัวเองให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
…. ในพระบาลี(พระบาลีไตรปิฎก) “วิมุตตายตนสูตร” มีข้อความที่กล่าวไว้ว่า บุคคลบางคนได้บรรลุมรรคผลในเบื้องสูงเด็ดขาดถึงที่สุดได้ ในขณะที่ตนกําลังพยายามตอบปัญหาเรื่องนั้นเองแก่ผู้อื่น ทั้งนี้ เนื่องจากว่า คนบางคนหรือบางประเภทมีความแปลกประหลาดบางอย่าง คือความคิดหรือปีติปราโมทย์ของเขาเกิดยากในเวลาอื่น แต่เกิดง่ายในเวลาจําเป็นจะต้องคิดเพื่อสอนผู้อื่น.
…. ในกรณีเช่นนั้น ความคิดของเขาจะเกิดขึ้นเอง รู้เองไปพลาง แล้วพูดออกมาพลาง อาบย้อมไปด้วยปีติปราโมทย์อยู่ตลอดเวลา, ซาบซึ้งในอรรถรสแห่งธรรมชั้นประณีตอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า การพยายามคิดเพื่อสอนผู้อื่น ในเมื่อถูกซักไซ้ไต่ถามนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยยกสถานะทางวิญญาณของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้สูงขึ้นแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ตนเองเข้าถึงพุทธธรรมได้ง่ายขึ้นอีก จึงเป็นสิ่งที่ควรพยายาม. และยังจะเห็นได้ชัดเจนสืบไปว่า วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรมนั้น มีการประพฤติปฏิบัติตามแนวที่กล่าวมาแล้วเป็นส่วนสําคัญ และมีการบําเพ็ญประโยชน์ผู้อื่นเป็นอุปกรณ์เครื่องส่งเสริม เป็นสองชั้นอยู่ดังนี้”
.
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : ปาฐกถาธรรม เรื่อง “วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม” ณ พุทธสมาคม กรุงเทพมหานคร (ในเวลานั้นยังใช้ชื่อว่า “พุทธธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย”อยู่ ) เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๔๘๓ จากหนังสือชุดธรรมโฆษณ์ เล่มชื่อว่า “ชุมนุมปาฐกถาชุดพุทธธรรม” หน้า ๙๐ - ๙๒
# ท. ส. ปัญญาวุฑโฒ - รวบรวม. #
..