“...ผมขอร้องให้สนใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทเป็นพิเศษ และถึงกับว่าเอาไปร้องเพลงเล่นได้เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านทำ
เดี๋ยวนี้ถ้าใครยังท่องสูตรอันนี้ไม่ได้ก็นับว่าแย่มาก คือไม่สนใจหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ท่องได้กี่องค์ ท่องว่า อาศัยตากับรูป เกิดจักษุวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ จึงเรียกว่า ผัสสะ, ผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา, เวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา, ตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน, อุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ, ภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ, ชาติเป็นปัจจัย จึงเกิด ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส กองทุกข์ทั้งหลายเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้,
ที่พระพุทธเจ้าท่านยังขยันท่อง แล้วลูกศิษย์นี้มันอวดดี มันประมาท มันไม่รู้ไม่ชี้ มันไม่ท่องได้ ก็แปลว่า ไม่สนใจหัวใจของพระพุทธศาสนา เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ก็คือเรื่องอริยสัจจ์ การเกิดขึ้นแห่งทุกข์จากตัณหาโดยละเอียด มันเป็นเพียงแต่แสดงโดยละเอียด
เขาสอนกันแต่ว่า ทุกข์เกิดมาจากเหตุคือตัณหา ดับตัณหาเสียนี้เป็นนิโรธ ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ก็ดับตัณหาได้ มันสอนกันแต่เพียงเท่านี้.
มันไม่ละเอียดถึงกับว่า ตัณหาเกิดทุกข์ มันเกิดได้อย่างไร? มันเกิดขึ้นมาในลักษณะที่ว่าผู้อยากเกิดทีหลังความอยาก ตามบทสูตรของปฏิจจสมุปบาทที่ว่ามาแล้ว
ขออ้อนวอนให้ทุกองค์ รีบท่องให้ได้ก่อน ถ้าท่องไว้เป็นหลักไม่ได้ มันก็ทำความเข้าใจยาก อธิบายก็ยาก มันต้องท่องตัวบทสูตรก่อน แล้วจึงอธิบายทำความเข้าใจแล้วก็พินิจพิจารณา แล้วทำให้เป็นตัวจริงขึ้นมา
ทีนี้ถ้าตัวสูตรยังท่องไม่ได้ แล้วจะมีหลักอันไหนที่จะมาพินิจพิจารณาไปตามลำดับได้ หรือดูไปตามลำดับได้ ก็เลยไม่เข้าใจว่า “ตัวผู้อยากเกิดทีหลังความอยาก”
ถ้าใครศึกษาปฏิจจสมุปบาทโดยละเอียดก็เข้าใจได้เอง ผมไม่ต้องบอกก็เข้าใจได้เองว่า อ้าวนี่ทำไม ผู้อยากเกิดทีหลังความอยากแล้ว , ก็ถูกแล้วเพราะมันเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติมีลักษณะอย่างนั้น ก็เลยไม่ผิดลอจิก ไม่ผิดอะไรหมด
พวกฝรั่งเขาเป็นจ้าวลอจิก เขาก็จะค้านว่าพูดอย่างนี้มันผิดลอจิก ถ้าคุณพูดว่าผิดลอจิก ก็จะว่าให้ฟัง ว่ากันโดยจิตใจมันไปอย่างนั้น พุทธศาสนาเขาบัญญัติชื่ออย่างนี้ พุทธศาสนาไม่เป็นทาสของลอจิกของพวกคุณ มันมีอะไรก็ว่าไปตามเรื่องของพุทธศาสนา เรื่องของธรรมชาติมันจึงเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้ขัดลอจิก แต่วิธีพูดมันมีอีกอย่างนึง
วันนี้ผมตั้งใจจะพูดแต่เพียงว่า ความลับที่ซ่อนเร้นอยู่ หรือความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่เป็นความลับนั้น สรุปเป็นหัวข้อได้ว่า “ผู้อยาก เกิดทีหลัง ความอยาก” ไปดูเอาเองจากจิตใจของทุกๆคน จนเห็นความจริงอันนี้ แล้วจะง่ายแก่การปฏิบัติธรรมะต่อๆ ไป
ในการทำวิปัสนาหรือทำอะไรก็ดีจะง่ายขึ้น คือมันถูกเรื่องถูกราวของธรรมชาติมากขึ้น มันก็ง่ายขึ้น ถ้ามันผิดหรือขัดกับหลักของธรรมชาติอยู่โดยไม่รู้สึกตัว มันก็ติดตันอยู่ที่นั่น ถึงแม้จะรู้ธรรมะมาก พูดธรรมะมาก ก็ไม่มีธรรมะเลย ยกหูชูหางมีโลภมีโกรธหลงมาก มีเท่านั้นแหละ มันไม่มีอะไรซึ่งเป็นตัวธรรมะ
นี่เวลาก็ล่วงมาเป็นปี เป็นปี เป็นปี อีกเดือนกว่าๆ ก็จะสิ้นปี ก็รีบกันบ้างให้ทันแก่เวลาที่มันล่วงไปๆ อย่าให้ธรรมะมันแช่เย็นอยู่ คือมันไม่งอกงามขึ้นมาเป็นธรรมะเลย ถ้าเราไม่รู้ว่าจะจัดการกันอย่างไร ที่ตรงไหน และเมื่อไร
คุณต้องเข้าใจปฏิจจสมุปบาทในลักษณะอย่างนี้ และรู้จักทุกสิ่งที่มันเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท นับตั้งแต่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, รูป เสียง กลิ่น รส โผฐทัพพะ ธรรมารมณ์, อาศัยกันแล้วก็เกิด วิญญาณ, ๓ ส่วนนั้น รวมกันแล้วเรียกว่า “ผัสสะ” ต่อมาจึงเกิด ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ และทุกข์ ให้เห็นชัดอยู่อย่างนี้ทุกๆ ครั้งที่มันเกิดขึ้นแก่เรา เราก็จะรู้ธรรมะ แล้วก็จะพูดธรรมได้ แล้วก็จะมีธรรมะบ้าง,
เดี๋ยวนี้รู้ธรรมะ พูดธรรมะมาก แต่ไม่มีธรรมะเลย รู้เซ็นมาก พูดเซ็นได้มาก แต่ไม่มีเซ็นเลย รู้เต๋ามาก พูดเต๋ามาก แต่ไม่มีเต๋าเลย เพราะเต๋าก็ดี เซ็นก็ดี ธรรมะก็ดี ถ้าที่เป็นตัวจริงแล้วเอามาพูดไม่ได้
ขอให้มองเห็นความลับ ความยุ่งยากลำบากของธรรมะที่แม้แต่เรื่องเบื้องต้นของมัน มันก็ยุ่งยากแล้ว คือข้อที่ว่า ตัวผู้อยากเกิดทีหลังความอยาก ตัวกูเกิดทีหลังสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความอยากของตัวกู “เวทนาที่มาจากอวิชชาเป็นที่ตั้งแห่งการเกิดตัวกู” อันนั้นต้องมาก่อนแล้วจึงจะเกิดตัวกูได้ หรือจะพูดกันแบบอุปมาทางวัตถุ ก็ว่าต้นไม้มันเกิดทีหลังแผ่นดิน
สมมติว่าเป็นทางวัตถุแล้ว ต้นไม้นี่มันเกิดบนแผ่นดินน่ะ ต้นไม้มันต้องเกิดทีหลังแผ่นดิน มันต้องมีแผ่นดินก่อน มันจึงเกิดต้นไม้ได้ มันต้องมีความอยากคือตัณหาก่อน จึงจะมีตัวผู้อยากคือตัวกูของกูที่เป็นอุปาทานได้
ขอให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนอย่างยิ่ง ถูกต้องอย่างยิ่ง พวกเด็กๆ จะหาว่าขัดลอจิกก็ตามใจ นั่นเป็นเรื่องของเด็กๆ มันไม่เข้าใจ เราเป็นผู้ใหญ่แล้วขอให้เข้าใจว่า “ผู้อยากเกิดทีหลังความอยาก” ด้วยอาการอย่างนี้
ความอยากนั้นเป็นตัวกิเลสแล้ว แล้วความอยากนี้ก็เกิดมาจากสิ่งที่มิใช่กิเลส ที่ยังไม่เป็นกิเลส เช่น ตา หู นี้ไม่มีกิเลสยังไม่ใช่กิเลส , ผัสสะก็ยังไม่ใช่กิเลส , เวทนามาจากปฏิฆะสัมผัสที่ก็ยังไม่ใช่กิเลส
ต่อเมื่อมันมี “เวทนาที่มาจากอวิชชาสัมผัส” จึงเป็นที่ตั้งของกิเลส จึงเกิดกิเลสคือตัณหา คือความอยาก ครั้นเกิดความอยากแล้วก็เกิดตัวผู้อยาก คือตัวกูอย่างนี้ , สรุปความว่า ผู้อยากเกิดทีหลังความอยาก ในลักษณะอย่างนี้....”
จาก https://youtu.be/mn5wvhHVCao
.
🔥ขอเชิญชวนทุกท่านเลือก_ฟัง/download_ไฟล์ที่สนใจ ได้จากลิ้งค์ด้านล่าง🔥
🙏 #รวมเทศน์ปฏิจจสมุปบาท โดย พุทธทาสภิกขุ 🙏
https://drive.google.com/drive/folders/1t-v1ktC42FS4V5kkh2IjrR6TDJ8GvC1z?usp=sharing
และ
#รวมความหมายของ"คำต่างๆในปฏิจจสมุปบาท"
#รวมคำถามต่างๆที่เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท
#รวมคำถามต่างๆที่เกี่ยวกับขันธ์ 5
#แตะแล้วฟังเรื่องที่สนใจ_แชร์ได้ครับ
https://docs.google.com/document/d/1W8W4zzLhQ8SJ_8ur3K6NQlYmTmxMw4Qwh9An3lH3tMs/edit?usp=sharing
👆👆👆👆👆👆👆👆👆