ทุกวันขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปี คือ "วันเยี่ยมสวนโมกข์" หรือ
"วันทำวัตรท่านอาจารย์พุทธทาส" ปีนี้ตรงกับวันที่ 15 กันยายน 2567
.
ในทุกครั้งท่านอาจารย์พุทธทาสปรารภธรรมกับพระสงฆ์ที่มาเยี่ยม และจะพูดถึงหลักปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันว่า
.
" การทำวัตรแบบโบราณของเรานี้มันมีความหมาย อย่างน้อยก็สามประการใหญ่ ๆ คือ
.
วันทามิภันเต นั้น แสดงความเคารพ
สัพพัง อะปะราธัง นั้น ขอโทษ
มะยา กะตัง นั้น แบ่งส่วนบุญ แลกเปลี่ยนส่วนบุญ
.
แล้วขอให้ทุกท่านถือเป็นหลักว่า สังคมที่จะอยู่เป็นปรกติผาสุกมั่นคงนั้น ถือหลักอันนี้ได้แล้วเป็นที่แน่นอน ว่ามีการเคารพแก่กันและกันตามสมควรแก่ฐานะ อยู่สูงกว่าก็เคารพอย่าง อยู่เสมอกันก็เคารพอย่าง ต่ำกว่าก็เคารพอย่าง ตามแบบวิธีของการเคารพ
.
แล้วก็ให้อภัย ข้อนี้ถือกันว่า ในธรรมวินัยนี้ถือกันว่า เป็นการล้างจิตใจให้หมดไปจากมลทิน เพราะว่าอาจจะล่วงเกินผู้ใดโดยไม่เจตนาก็ยังมี ด้วยความสะเพร่าก็ยังมี ยังมีการไม่สะอาดติดอยู่ในจิตใจ
.
ฉะนั้นจึงขอขมา ขออภัย มันก็ไปล้างความไม่สะอาด ฉะนั้นเมื่อมีผู้ขอก็ต้องให้ และเมื่อเรามีก็ต้องขอ ถ้าเรามีสิ่งที่ต้องล้างและต้องขอ เมื่อมีผู้มาขอต้องให้ อย่าได้เกี่ยงงอนเอาไว้โดยประการใด ๆ จะได้หมดโทษด้วยกันและกันทั้งสองฝ่าย
.
เมื่อมีความสะอาดไม่มีมลทินด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว การสังคมสมาคมนั้นจะแน่นแฟ้นยั่งยืนและมีประโยชน์ นี่เป็นเรื่องของการขอโทษและให้อภัยโทษ
.
เรื่องที่สาม มะยา กะตัง เป็นต้นนี้ เป็นการแลกเปลี่ยนส่วนบุญ ผู้ที่ต่างฝ่ายต่างมีส่วนบุญแล้วก็ไม่ริษยา ให้ส่วนบุญแก่กันและกัน ยิ่งให้ยิ่งมาก บุญนี้เป็นของประหลาด ยิ่งให้ออกไปกลับยิ่งมากขึ้น
.
เพราะว่าการให้ออกไปนั้นมันเป็นการทำบุญอย่างสูงสุด คือเสียสละความเห็นแก่ตัวหรือความมีตัว เลยได้บุญใหม่กลับมามากกว่าเก่า บุญที่ให้ออกไปมันกลับมามากกว่าเก่า ยิ่งให้ยิ่งมาก"
.
ในการทำวัตรแต่ละปี ท่านอาจารย์ปรารถเรื่องสำคัญในสังคมและการที่พุทธศาสนาจะมีส่วนช่วยสังคมได้อย่างไร อย่างเช่นใน ปี 2534 ท่านกล่าวถึงเรื่องความเห็นแก่ตัวไว้ว่า
.
"ขอให้ท่านทั้งหลาย สังเกตดูว่า วิกฤตการณ์เลวร้าย เช่น การสงครามก็ดี อะไร ๆ ซึ่งเป็นเรื่องเลวร้ายก็ดี มันมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ประเทศมหาอำนาจก็เห็นแก่ตัว ประเทศเล็กกระจิ๋วหลิวก็เห็นแก่ตัว พรรคการเมืองแต่ละพรรคมันก็เห็นแก่ตัว นักการเมืองกับฝ่ายรัฐบาลมันก็ยังต่างฝ่ายต่างเห็นแก่ตัว เศรษฐีก็เห็นแก่ตัว ขอทานก็เห็นแก่ตัว นายจ้างก็เห็นแก่ตัว ลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวมากขึ้น ๆจนไม่มีอะไรเหลือ
ในครอบครัวมันก็มีการเห็นแก่ตัว ถ้าพ่อบ้านเห็นแก่ตัว แม่บ้านก็น้ำตาไหล พ่อบ้านเอาแต่ความสุขส่วนตัว หรือว่าถ้าแม่บ้านเห็นแก่ตัว ทั้งหมดก็น้ำตาไหล ถ้าลูกเห็นแก่ตัว พ่อแม่ก็น้ำตาไหลนะ แม้ในครอบครัวเพียงไม่กี่คนนี้ มันก็ยังมีพิษร้ายถึงขนาดนี้ ถ้าลูกเห็นแก่ตัวไม่เคารพ ไม่ซื่อสัตย์ หลอกลวงบิดามารดาด้วยการเป็นอยู่อยู่เสมอ ก็เท่ากับจับบิดามารดาใส่ในนรก
ทีนี้โลกมันกำลังมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น ๆ ตามความเจริญ ยิ่งเจริญในทางวัตถุ ยิ่งเห็นแก่ตัว ความเจริญในทางวัตถุนี้จะนำมาซึ่งความพินาศ ถ้าหากว่าควบคุมไม่ได้นะ ขอให้นึกถึงคำนี้ดี ๆ ถ้าควบคุมไม่ได้
ต่อความเจริญ ต่อวัตถุ โลกนี้จะวินาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรม เครื่องจักรทั้งหลาย ถ้าควบคุมไม่ได้ โลกนี้จะวินาศ เพราะมันผลิตออกมาแต่ส่วนเกิน เกินจำเป็น เกินจำเป็น ดีกว่าเก่าก็ต้องรื้อทิ้งของเก่า ซื้อของใหม่เรื่อยไปจนเกิน ๆ ๆ จนเป็นหนี้สิน
เพียงเท่านี้มันก็จะพอให้วินาศได้แล้วในหมู่คนทั่ว ๆ ไป เครื่องจักรมันผลิตส่วนเกินออกมาเรื่อย ควบคุมไว้ไม่ได้ มันก็เต็มไปด้วยส่วนเกิน แล้วมันก็ถึงกับขัดแย้งกัน ทำลายล้างกัน อันตรายต่อกัน
ถ้าว่าครูเห็นแก่ตัว ทำนาบนหลังศิษย์จะเป็นอย่างไร ถ้าว่าหมอเห็นแก่ตัว ทำนาบนหลังคนเจ็บ มันจะเป็นอย่างไร แล้วถ้าว่าตุลาการเห็นแก่ตัว ทำนาบนหลังจำเลย จะเป็นอย่างไร
หรือถ้าว่าพระเจ้า พระสงฆ์ เห็นแก่ตัวทำนาบนหลังทายก ทายิกา นั้นแหละ มันจะเป็นอย่างไร มันเห็นได้ทุกคนไม่ต้องช่วยอธิบายแล้ว นี่มันกำลังมีขึ้น ที่มันไม่เคยมี มันกำลังมีขึ้น มันกำลังมีมากขึ้น ๆ มันก็เป็นไปเพื่อความวินาศด้วยเหมือนกัน
ทีนี้เดี๋ยวนี้ความหลงใหลในความเจริญทางวัตถุ อยากจะมีสวย อยากจะกินเกิน อยู่เกิน แต่งเนื้อแต่งตัวเกิน อะไรเกิน อะไรเกินนี้ มันจึงเป็นเหตุให้เกิดอันธพาลมากขึ้นทั่วไปทุกหัวระแหง ทรัพย์สมบัติ ชีวิตนี้ไม่ปลอดภัยยิ่งขึ้นทุกที สำหรับคนที่อยู่ในโลกนี้ เพราะอันธพาลเพิ่มขึ้น ความเห็นแก่ตัวมันสร้างอันธพาลขึ้นมา
ขอเสียเวลาสักหน่อยเถอะ พิจารณาเรื่องนี้ว่าจะได้เห็นความจริง ก็จะได้ช่วยกันแก้ไขคนเห็นแก่ตัว ภาษาบาลีไม่มีคำโดยตรง โดยตัวหนังสือ แต่ตรงโดยความหมาย คือคำว่า
อตฺตตฺถปญฺญา
อตฺต นั้นตน
ตฺถ นั้นประโยชน์
ปญฺญา นั้นคือว่าปัญญา
อตฺตตฺถปญฺญา ผู้มีปัญญาเห็นแต่ประโยชน์ของตน
อสุจี มนุสฺสา เป็นมนุษย์ อสุจิ นี่พระบาลีมีอย่างนี้ คำว่าเห็นแก่ตัวนั้นคือ อตฺตตฺถปญฺญา ผู้มีปัญญามองเห็นแต่ประโยชน์ของตนเท่านั้น ไม่เห็นอันอื่น แล้วเขาก็ดำเนินเดินไปตามกิเลสนั้น ๆ เขาเห็นแก่ตนแล้วมันเกิดอาการวิปริตมากมายหลายอย่างนะ เข้าใจกันได้ไม่ยากนักนะ
แต่ว่าอยากจะขอย้ำสักหน่อย คนเห็นแก่ตนนั้นมันขี้เกียจ มันขี้เกียจ มันไม่อยากจะทำงานแต่จะเอาประโยชน์ มันคอยนอนรับประโยชน์ หรือเมื่อผู้อื่นเขาทำ
เมื่อเราแรกทำถนนเดินมาสวนโมกข์นี้ใหม่ ๆ อาตมาก็ไปชักชวนทำ พวกชาวบ้านก็ชักชวนเพื่อนฝูงทำ ก็มากันมาก มากพอสมควร เรียกว่ามากละ แต่ว่าก็ยังมีบางคนนะ ตอบว่า มึงทำเถอะ เสร็จแล้วกูจะเดินให้มึงได้บุญ อย่างนี้ก็ยังมี
เรียกว่ากูจะเดินให้มึงได้บุญ มึงทำเถอะ นี่เพราะเขาเห็นแก่ตัว เขาก็ขี้เกียจ เขาก็ไม่สามัคคี เขาก็เอาเปรียบ เขาก็อิจฉาริษยา เขาก็ดูหมิ่น จองหองพองขน
ในที่สุดเขาก็เป็นคนที่ว่าอยาก ต้องรวยลัด ไม่ออกเหงื่อ ไม่ทำนาทำไร่ออกเหงื่อ รวยลัดคือปล้นจี้ขโมย ปล้นธนาคารพักเดียวก็ได้เป็นล้าน ๆ นะ เขามีโปรแกรมตั้งใจว่าจะรวยลัด เขาทำทุกอย่างเพื่อให้รวยลัด โดยไม่คำนึงถึงความผิดหรือความถูกอะไร ทำไปตามอำนาจแห่งความเห็นแก่ตัว มันจึงเกิดปัญหามากมายหลายอย่างหลายชนิด
อันแรกที่จะต้องพูดถึงก็คือ มลภาวะทั้งหลาย มลภาวะทั้งหลายนี้มันมาจากพวกเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ ไปดูไม่ว่ามลภาวะไหนมันมาจากผู้เห็นแก่ตัว แม้จะเนื่องด้วยธรรมชาติมันต้องมีผู้เห็นแก่ตัวเข้าไปร่วมมือด้วย จึงจะเกิดมลภาวะเต็มไปหมด เต็มไปหมด จนเป็นปัญหาทั้งโลก
พุทธทาสภิกขุ
.
Listen to 2510 09 17 ให้โอวาทแก่พระมาทำวัตร พูดภาษาใต้ by #สืบสานงานท่านพุทธทาส on #SoundCloud
https://soundcloud.app.goo.gl/jUC8D