วันนี้ในอดีต
13 มกราคม 2562
รำลึกถึง ท่านเขมานันทะภิกขุ
หรือ อาจารย์โกวิท เอนกชัย
ผู้ปั้นรูปอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์
จำลองไว้ที่สวนโมกข์ ไชยา
.
ท่านอาจารย์สวนโมกข์ที่ข้าพเจ้ารู้จัก
ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับชีวิตและงานของท่านพุทธทาสภิกขุโดยพระโกวิท เขมานันทะ
"...ครูของผมคือ นายคลำ นั่นคือการทดลองความจริงแห่งชีวิต คลำทางไปโดยลำดับ ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจเป็นเบื้องต้น ต่อวิถีทางของท่านอาจารย์สวนโมกข์..."
เหตุผลที่ผมรับคำเชิญมาพูดเกี่ยวกับท่านอาจารย์สวนโมกข์ ก็มีอยู่ ๒ ประการ
ประการแรก คือ อยากจะพูดในสิ่งที่อยากจะพูดซึ่งคิดเพียงแต่ว่าจะได้เพิ่มเติมในส่วนที่ตัวเองได้รู้เห็น เพื่อประกอบกับทัศนะ หรือสิ่งที่ท่านทั้งหลาย ได้ยินได้ฟังจากคนอื่น หรือพระภิกษุรูปอื่น เกี่ยวกับชีวิตของท่านอาจารย์
เหตุผลประการที่ ๒ ก็คือ ผมเองโดยส่วนตัวเป็นหนี้พระคุณท่านอาจารย์มาก ไม่รู้จะตอบแทนด้วยวิธีใดตั้งแต่ท่านสิ้นบุญแล้วก็ยังไม่ได้ลงไปกราบศพ มัวแต่ไปพูดที่โน่นที่นี่ ถือเอาเป็นเสมือนว่าเป็นบุญกิริยา คือ การได้พูดถึงบุคคลที่เรารักเราเคารพ ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าเราจะเทิดทูนเฉพาะท่านอาจารย์สวนโมกข์คนเดียวเท่านั้น คนอื่นเราไม่นับถือ ผมไม่อยากจะเห็นตัวเองหรือเพื่อนฝูง หรือแม้แต่ชาวพุทธทั่วไปมีกิริยาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอาการยึดมั่นยึดติดในครูบาอาจารย์ของตัว กิริยาเช่นนั้นในพุทธศาสนาถือว่าไม่งาม แม้แต่เองเมื่อไปแสดงธรรมจนอุบาสกอุบาสิกาเลื่อมใสแล้ว เปลี่ยนจากการนับถือพวกนิครนถ์หรือไชนะมานับถือท่าน ท่านยังเตือนว่า ให้ทำทานทำบุญกับนักบวชที่เคยนับถือต่อไป
คำนึงถึงภาษิตจีนบทหนึ่ง ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์และครู สำหรับคนร่วมสมัยหรือคนรุ่นใหม่ ๆ อาจจะเห็นเป็นสิ่งเร่อร่าไปแล้วก็ได้ "เป็นครูหนึ่งวันเป็นบิดาชั่วชีวิต" คำพูดนี้เราได้ยินบ่อย ด้วยเหตุผลที่ว่าปราชญ์จีนโบราณถือว่าครูนั้นหายากยิ่งนัก เป็นธรรมเนียมของคนตะวันออก เมื่อบุคคลเริ่มออกแสวงหาความรู้แจ้งทางวิญญาณ ประการแรกเขาต้องหาครูของเขาให้พบก่อนปราศจากครูแล้วการงอกงามก้าวหน้าย่อมลำบาก เว้นไว้แต่กรณีของบุรุษชาติอาชาไนย อย่างกรณีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่แม้กระนั้นท่านก็ยังตั้งต้นด้วยครู แม้ว่าครูสอนไม่สมบูรณ์ก็ตาม ท่านอาจารย์สวนโมกข์นั้นเคยปรารภให้ผมได้ยินอย่างน้อย ๒ ครั้ง เรื่องเกี่ยวกับครู ท่านใช้คำว่าผมเพราะว่าผมเองเป็นนักบวชตอนนั้น ท่านไม่ใช้คำว่าอาตมา ครูของผมคือ นายคลำ นั่นคือการทดลองความจริงแห่งชีวิต คลำทางไปโดยลำดับ ผมคิดว่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจเป็นเบื้องต้น ต่อวิถีทางของท่านอาจารย์สวนโมกข์
การมีความคิดสร้างสรรค์ มีความคิดมากมาย แต่แล้วความคิดอันนั้นก็ว่างเปล่าเหมือนฟองน้ำที่เหือดแห้งไป ถ้าปราศจากการทดลอง ในหนังสืออัตประวัติของมหาตมคานธี ประโยคแรกนี่สำคัญมาก แม้โดยทั่วไปเราทราบว่ามหาตมคานธีเป็นนักการเมืองเป็นผู้นำ แต่แล้วท่าน เองเรียกตัวเองว่าเป็นนักศาสนา "ข้าพเจ้าทดลองชีวิตทางศาสนาในสนามของการเมือง" จิตสำนึกของมหาตมคานธีนั้นเป็นนักศาสนา เป็นผู้ปฏิบัติศาสนธรรม ผมคิดว่าจิตสำนึกที่นำบุคคลไปสู่ความสำเร็จ เป็นสิ่งที่ต้องพินิจพิเคราะห์เป็นเบื้องแรก
กรณีของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ซึ่งเรารู้ว่าพระองค์ท่านเป็นวีรบุรุษของชาติ รวมชาติบ้านเมืองที่แตกสลายให้คืนสู่เอกภาพ คำถาม คือ เพราะอะไรพระเจ้าตากจึงประสบชัยชนะทั้ง ๆ ที่เป็นสามัญชน ในขณะที่เชื้อพระวงศ์ที่เป็นทายาทสายตรงก็เป็นหัวหน้าก๊กหนึ่งด้วย แต่ไม่ได้รับการสนับสนุน จิตสำนึกที่นำพระเจ้าตากไปสู่ชัยชนะก็คือความจงใจที่จะรวมไทยอีกหนหนึ่งนั่นเอง
ความดำริที่จะรวมไทย ในขณะที่เจ้าก๊กอื่น ๆ นั้นฉวยโอกาสไขว่คว้าเอาบางส่วน ในช่วงที่ประเทศบ้านเมืองแตกเป็นเสี่ยง จิตสำนึกที่สัตย์ซื่อต่อชาติต่อเกียรติภูมิของบ้านเมืองนี้นำไปสู่ชัยชนะในที่สุด นั่นไม่ได้หมายถึงแค่รวมประชาชนทั้งหมดด้วย จิตสำนึกเช่นนี้สำคัญนัก แต่ว่าเอาชนะใจประชาชนทั้งหมดด้วย จิตสำนึกเช่นนี้เช่นนี้สำคัญนัก มหาบุรุษทั้งหลายหรือบุรุษชาติอาชาไนย ย่อมรักษาจิตดวงแรกที่เปี่ยมกุศลสำนึกไว้อย่างต่อเนื่องและยาวนาน
ท่านอาจารย์สวนโมกข์ก็เหมือนกัน ภายหลังนั้นท่านพูดกับผมว่า ที่จริงผมไม่ใช่คนมีความรู้ความสามารถอะไร แต่ผมมีสิ่งหนึ่งคือผมจริงเสมอ ท่านพูดอย่างนั้นแล้วเราจะเห็นว่าทุกครั้งที่ท่านเทศนา ท่านได้กระทำแล้วอย่างจริงจัง พระภิกษุโดยทั่วไปมักจะพูดเล่นพูดหัวพูดให้โยมติดอกติดใจ แต่ว่าท่านอาจารย์เวลาเปิดมิติแห่งการเทศนานั้น บางทีเราใจเต้นระทึกกลัวท่านจะพูดอะไรที่เราไม่อยากได้ยิน ซึ่งเป็นนิสัยของเรา ที่ไม่อยากให้ใครมาเจาะแทงเข้ามาในหัวใจของเรา เหมือนกับว่าน้องสาวหรือเพื่อนบอกเราว่า เธอมันโง่ เราจะไม่ชอบทั้ง ๆ อาจจะเป็นเรื่องจริง บทบาทของท่านอาจารย์สวนโมกข์นับตั้งแต่วันแรกของการตั้งสวนโมกข์ และปีนั้นเป็นปีประเดิมของการชิงชัยความเป็นผู้นำทางปัญญา
ประเทศนี้นับตั้งแต่ราชอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งปกครองด้วยระบบพ่อเมือง บิดาปกครองบุตร จนกระทั่งอยุธยา ด้วยระบบเทวสิทธิ์จนกระทั่งรัตนโกสินทร์ด้วยระบบสมมุติเทพ หรือกินรวมไปถึงสมัยศรีวิชัยด้วยแล้วนับเวลาได้ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีเศษ ๑,๐๐๐ กว่าปี ที่อำนาจเด็จขาด ศูนย์รวมของอำนาจอยู่ในกำมือของพระมหากษัตริย์ในรูปหนึ่งรูปใด ปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นปีที่ประเทศเรามีประสบการครั้งใหม่ คือช่วงแห่งการโนถ่ายอำนาจรัฐ จากการศูนย์รวมไปสู่คณะราษฎร์ สิ่งนี้ถ้าฐานะของผู้รับรู้เป็นนักเรียนนอก เช่นนายทหารที่เคยไปเรียนฝรั่งเศสก็ไม่แปลกอะไร เพราะเอารู้ว่าอำนาจตกถึงมือประชาชนได้ เขามีประสบการณ์ในการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เคยไปเรียนเมืองนอกอย่างท่านอาจารย์สวนโมกข์นั้น นับเป็นสิ่งใหม่ทีเดียว และผมเชื่อว่าผู้ที่มีพลังสร้างสรรค์ ซ่อนอยู่ในตัว ในช่วงนั้นคงเกิดการเคลื่อนไหวในกระแสความรู้สึกนึกคิดว่ามันอะไรกันนี่ ที่ภาษาโรมันเขาว่า โควาดิส แปลว่าจะเอาทางไหนกันแน่ เมื่ออำนาจที่เคยอยู่ในมือของพระมหากษัตริย์ ถูกโอนถ่ายไปสู่คณะราษฎร์ซึ่งเป็นอะไรก็ไม่รู้ในความรับรู้ของคนไทยทั่วไป ดังนั้นเองผู้ที่มีพลังอยู่ในตัวจำต้องแสวงหาความจริงด้วยเหตุผลข้อนี้กระมัง ที่มหาเงื่อมซึ่งอยู่ในวัยท้าทายทางภูมิปัญญาและการค้นหานั้น นำสวนโมกข์เข้าสู่ยุคแสวงหาหลักธรรมจากพระคัมภีร์ปิฎก และการปฏิบัติตนเสมือนแปลกประหลาด พึ่งตนเองในกระแสธรรมชาติในช่วงชิงชัยความเป็นผู้นำทางปัญญานั้น
อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ท่านอาจารย์พุทธทาสมอบหมายให้ พระโกวิท เขมานันทะ เป็นผู้ปั้นขึ้นไว้เป็นสื่อสอนธรรมะ รูปปั้นนี้ขยายจากองค์จริง ซึ่งค้นพบที่ไชยา ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ในยุคศรีวิชัยนั้น ตามบ้านเรือนโดยทั่วไป จะมีรูปปั้นนี้ไว้บูชา เพื่อระลึกถึง องค์คุณของพระโพธิสัตว์ ได้แก่ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ
ชื่อของสวนโมกขพลาราม บอกว่า เป็นอารามสวนป่าที่ให้พลังต่อวิมุติ นี่คือจิตดวงแรกที่ท่านตั้งปณิธานไว้ ผมเชื่อว่าถึงปัจจุบันนี้ปณิธานอันนี้ได้บรรลุถึงตามที่ท่านตั้งไว้แล้ว ตามระดับของท่าน ผมไม่ได้ใช้ประโยคว่าดีที่สุดในโลก ไม่มีใครทัดเทียม ไม่ใช่อย่างนั้น จุดนี้เป็นสิ่งสำคัญที่จะได้เข้าใจอุปนิสัยของท่าน ก็คือท่านเป็นคนจริง และก็จิตดวงใดตั้งไว้แล้ว ก็ต่อสู้เพื่อรักษาจิตดวงแรก ที่ตั้งปณิธานไว้ ให้บรรลุเป้าหมายให้ได้
ครั้งหนึ่งผมเคยเรียนถามท่าน เมื่อสมัยผมเองยังเป็นนักบวช ด้วยความท้อแท้ ระอา หรือจะพูดว่าเบื่อหน่ายพรหมจรรย์ ว่าการบวชช่างเต็มไปด้วยระเบียบกฎเกณฑ์มาก ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ชอบธรรมะ แต่ว่าเมื่อต้องปฏิบัติต้องควบคุมตัวเอง ต้องอดกลั้นนี่มันลำบากมาก เราชอบธรรมะ แต่ไม่ชอบระเบียบอะไรที่มันบีบคั้นมากเกินไป ผมสอบถามท่าน ด้วยความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของท่าน ท่านกลับให้คำตอบเสมือนที่พระพุทธเจ้าให้คำตอบกับพราหมณ์ ซึ่งเข้าใจผิดในทางดีต่อพระองค์ อาจารย์ท่านบอกว่า เปล่า ผมไม่ได้แข็งแกร่งอะไร ผมคิดจะสึกตั้งหลายครั้งนะคุณรู้หรือเปล่า นี่เป็นการบอกอะไรบางสิ่งที่ตรงไปตรงมา สัตย์ซื่อต่อความเป็นจริง ที่จริงท่านจะคุยโวทับเสียก็ได้ว่า ท่านแกร่ง ซึ่งผมก็เชื่ออยู่แล้ว เช่นเดียวกับที่พราหมณ์คนหนึ่งถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์เป็นสัพพัญญู ตลอดทุกขณะไหม คือรู้แจ้งอะไรทุกอย่างไหม แทนที่พระพุทธเจ้าตอบว่าใช่ ท่านบอกว่าเปล่า ท่านบอกว่าตถาคตไม่ได้เป็นสัพพัญญู รู้แจ้งเห็นจริงตลอดทุก ๆ ขณะ พราหมณ์ก็ยังคิดเข้าข้างว่าก็แล้วทำไม เมื่อถูกถามปัญหาคราวไร พระองค์ท่านตอบได้ทันทีราวกับว่ารู้อยู่แล้วล่วงหน้าเล่า? พระพุทธเจ้าท่านทรงอธิบายว่าเนื่องจากจิตท่านบริสุทธิ์ เมื่อโน้มไปสู่ปัญหา ๆ ก็แตกออก เนื่องจากมนุษย์เรานั้นมีอาสวะห่อหุ้ม ดังนั้นมีความเชื่องช้าทางภูมิปัญญา ปัญญาไม่แล่น ส่วนพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์นั้นก็ไม่ได้รู้คำตอบอยู่ล่วงหน้า นี่คือบุคคลที่มีเกียรติในตัวเอง ในบรรดาผู้นำในทางจิตวิญญาณ มีพระองค์เดียวที่โดดเด่นในความสัตย์ซื่อต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่อ้างตัวว่าเป็นเทพเจ้า ไม่อ้างเรื่องอะไรทั้งสิ้น แม้แต่ว่าไม่อ้างตัวเองเป็นประตูธรรมซึ่งทุกคนต้องเดินผ่าน นั่นเป็นเกียรติยศในความสัตย์ซื่อ
ท่านอาจารย์สวนโมกข์ก็มีจริยาอย่างนั้น ท่านบอกอะไรตรง ๆ และสาเหตุของการคิดจะสึก ก็เป็นเรื่องน่าขบขันทั้งสิ้น คือเห็นคนเขาถือปืนมายิงนกในวัด ท่านเล่าว่าผมนึกสนุกอยากจะไปหาปืนสักกระบอก ยิงนก มันบอกถึงจิตที่ซุกซนคิดนึก แต่แล้วนั่นเป็นเพียงรูปของความคิดที่ผ่านเข้ามา ส่วนสิ่งอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าดูแลครอบงำไว้ได้สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ผมคิดว่าเราน่าจะเรียกว่าบารมี ในความหมายที่แท้จริงของพุทธศาสนา ไม่ใช่ในความหมายของความเป็นเจ้าพ่อหรืออันธพาล ซึ่งเรานำมาใช้ผิด ๆ เสียแล้ว ปวงพระศาสดาในอดีต ไม่ว่าเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่หรือศาสดาพยากรณ์ ซึ่งเป็นศาสดาที่มาเพื่อป่าวประกาศท้าทายอำนาจรัฐต่าง ๆ นั้นน่าจะมีอุปนิสัยหนึ่งก็คือความเป็นบุรุษชาติอาชาไนย เมื่อปฏิบัติแล้วก็ต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนสำหรับเราท่านผู้มีบุญ คือได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบครูบาอาจารย์ที่ดี แต่เราอาจจะด้อยในทางวาสนาที่จะได้ทำการกุศลใหญ่หลวงก็ได้ คือเรามีบุญแต่ว่าบารมีไม่หนุน ผมคิดว่าคนโบราฯผู้เป็นสัตบุรุษของไทย เขาพูดเขาคิดดีมาก ท่านคงได้ยินคำว่า "บุญพาสาสนาส่ง" ใช่ไหมครับ คือ "บุญพาสาสนาส่ง" การไปพระนิพพานนั้นต้องอาศัยบุญและวาสนา บุญมีหากแต่บารมีไม่ถึงเขาพูดอย่างนี้
อ่านต่อ
https://www.facebook.com/page/976227579192504/search/?q=%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B0
หมายเหตุ
นายโกวิท เอนกชัย ศิลปินแห่งชาติ
สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช 2550
เสียชีวิต 13 มกราคม 2562
.
เขมานันทะ เป็นฉายาของนายโกวิท เอนกชัย เมื่อบวชอยู่ที่สวนโมกข์
น่าเสียดายที่อาจารย์พุทธทาสนั้น นับว่าแตกฉานในทางพระธรรมอย่างหาตัวจับไม่ได้เอาเลยที่ในประเทศนี้ ท่านคล่องแคล่วทั้งปริยัติและปฏิบัติ แต่ท่านไม่สามารถสร้างสังฆบริษัทขึ้นได้ นี่นับว่าต่างไปจากท่านอาจารย์ชา สุภัทโท ซึ่งสามารถสร้างสังฆบริษัทได้อย่างเหมาะสมกับยุคสมัย โดยอาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครเทียบเทียมพระคุณท่านได้เลยในวงการของพุทธศาสนาลังกาวงศ์
ศิษยานุศิษย์ของท่านอาจารย์พุทธทาสที่สึกหาลาเพศไป ยังคงใช้สมณฉายาสืบต่อไปเรื่อยๆ เว้นเพียงนายประชา หุตานุวัตร ซึ่งก็บวชอยู่กับท่านอาจารย์พุทธทาสกว่าสิบพรรษา และสัมภาษณ์ท่านไว้อย่างมีประโยชน์ยิ่งในเรื่อง “เล่าไว้ในวัยสนธยา” ซึ่งควรมึแปลออกเป็นภาษาต่างๆ
ศิษย์ที่สึกไปและยังใช้ฉายาเป็นชื่ออยู่ ก็เช่น สันติกโร แห่งสหรัฐ และเขมานันทะ แห่งกรุงสยาม ซึ่งแม้เมื่อสึกออกมาแล้ว ก็ยังเป็นที่เคารพนับถือในวงการธรรมปฏิบัติ ทั้งเขายังเขียนหนังสือไว้อย่างน่าอ่าน รวมถึงการเป็นศิลปินของเขา ที่เอื้อให้เราเข้าถึงความงาม ความดี และความจริงอีกด้วย
เขาป่วยอยู่นานด้วยโรคพาร์กินสัน ซึ่งไม่อำนวยความสะดวกสบายให้ชีวิต เป็นอันว่าเขาต้องใช้ธรรมปฏิบัติค่อนข้างสูงในการเผชิญกับโรคาพาธเช่นนี้
แล้วเขาก็ตายจากไปในวัย ๘๐ ปี
ข้าพเจ้าขอคารวะสักการ สัตบุรุษผู้นี้ ด้วยความเคารพนับถือ
ส. ศิวรักษ์
จาก มูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป
https://www.snf.or.th/2019/2019/06/12/khemananta/
.
.
.
เรียนท่านผู้ติดตามเพจ
เขมานันทะในใจเรา-ชาติพันธ์ุภาวนา
วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นวันครบรอบ ๖ ปี การละสังขาร ของท่านอาจารย์เขมานันทะ (โกวิท เอนกชัย)
เขมานันทะ
เกิด: ๒๔ ก.พ. ๒๔๘๑
ละสังขาร: รุ่งเช้า ๑๓ ม.ค. ๒๕๖๒
อายุรวม ๘๐ ปี ๑๐ เดือน ๒๐ วัน
นามจริง : นายโกวิท เอนกชัย (MR.KOVIT ANAKECHAI)
นามปากกา : "เขมานันทะ" , "รุ่งอรุณ ณ.สนธยา" , "ฉับโผง" , "สหัสนัยน์"
"กาลวิง" (แปลว่านกกระจอก: ใช้สำหรับงานวิเคราะห์และวิจารณ์)
"มุนีนันทะ" (ใช้เขียนหนังสือ “สุดปลายแผ่นดินโลก” แนวจินตนิยายเพียงเล่มเดียวที่ท่านเขียน)
หนังสือของท่านเขมานันทะ สร้างสรรค์ขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ทั้งบทกวีนิพนธ์ วรรณกรรม สารคดี บทความแสดงทัศนะและบรรยายธรรมะศาสนาเปรียบเทียบ บทความวิชาการเกี่ยวกับวัฒนธรรม ศิลปะ และภูมิปัญญาไทย
เมื่อตามศึกษางานของท่านเขมานันทะอย่างครบถ้วน(ระดับหนึ่ง) จะพบว่า จังหวะชีวิตวิปัสสนิกของท่านอาจารย์ล้วนอยู่ในผลงานหนังสือของท่าน
และหากจะแบ่งช่วงงานหนังสือของท่านเขมานันทะ เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการศึกษาชีวิตและงานบนเส้นทางวิปัสสนิกของท่านอาจารย์แล้ว เพจฯ ขออนุญาตแบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ
๑. ช่วงบวช (๒๕๑๐)
- ที่สวนโมกขพลาราม (พบและช่วยงานอาจารย์สวนโมกข์ (ท่านพุทธทาส))
- พบหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (ครั้งแรกที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ๒๕๑๔)
๒. ช่วงลาสิกขา (สึกที่ ซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย ปลายปี ๒๕๒๕ / ในหนังสือทางทรายใกล้ทะเลสาบ ให้ข้อมูลว่าสึกปี ๒๕๒๖ )
ตลอด ๔๕ ปี กับหนังสือ ๘๒ เล่ม ของท่านเขมานันทะ (มี ๖ เล่ม ที่ปรับปรุงแล้วตั้งชื่อหนังสือใหม่ และ มี ๕ เล่มที่เขียนร่วมกับท่านอื่น) โดยท่านเขียน (บางเล่มถอดคำจากบทบรรยาย) ทั้งในช่วงที่ครองเพศบรรพชิตและฆราวาส และท่านได้ใช้นามปากกา ต่างๆ เช่น , ฉับโผง, เขมานันทะ, มุนีนันทะ, พระภิกษุเขมานันทะ, รุ่งอรุณ ณ. สนธยา
ลำดับหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์ เรียงตามปี พ.ศ.
๑. เพลงปราโมทย์ของเซ็น ๒๕๑๓
๒. ธรรมหรรษา ๒๕๑๔
๓. ระเหเร่ร่อน ๒๕๑๖
๔. เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" ๒๕๑๗
(ไซอิ๋ว ลิงจอมโจก ๒๕๔๐)
๕. สุดปลายแผ่นดินโลก ๒๕๑๘
(สุดปลายแผ่นดิน ๒๕๕๑)
ธรรมบรรยาย ๖ เล่ม ชุดพระธรรมกับชีวิต ๒๕๑๘ (พิมพ์ซ้ำหลายครั้งในปีต่างๆ ประกอบด้วย ๖.- ๑๑.)
๖. มิติของชีวิต
๗. ความหมายของชีวิต
๘. เงื่อนไขของชีวิตและสังคม
๙. ชีวิตกับความรัก
๑๐. อุปมาแห่งชีวิต
๑๑. ชีวิตกับการเรียนรู้ (เพิ่มมาภายหลัง ราวปี ๒๕๒๑ )
๑๒. โลกแห่งดนตรี ๒๕๑๙
๑๓. ศานติ-ไมตรี ๒๕๑๙
๑๔. แสงไฟในหุบเขา ๒๕๒๐ (หาไม่ได้)
๑๕. แด่ประชาชนสยาม ราว ๒๕๒๐
๑๖. ชีวิตของคุณมีเพียงขณะเดียว พ.ค. ๒๕๒๐
๑๗. กงล้อแห่งกาละ เม.ย. ๒๕๒๑
๑๘. บันทึกจากบ้านดง ก.พ. ๒๕๒๒
๑๙. แด่มิตรผู้แสวงหาความรัก เม.ย. ๒๕๒๒
๒๐. ผู้นำ ผู้ตาม และธรรมบรรยาย ก.ย. ๒๕๒๒
๒๑. ธารน้ำพุ ๒๕๒๒
๒๒. หิ่งห้อย ธ.ค. ๒๕๒๒
๒๓. รหัสแห่งความรัก ก.พ. ๒๕๒๓
๒๔. รอบกองไฟ พ.ค. ๒๕๒๓
๒๕. นวชีวัน พ.ย. ๒๕๒๓
๒๖. ประกายไฟกลางสายธาร พ.ค. ๒๕๒๔,
(เปลวไฟกลางสายธาร ๒๕๔๔)
๒๗. การเห็นกับอิสรภาพ ส.ค. ๒๕๒๔
๒๘. รัก ๒๕๒๔
๒๙. โพล้เพล้ เพลา ต.ค. ๒๕๒๕
๓๐. ศิลปะในการปฏิบัติธรรม มี.ค. ๒๕๒๖
๓๑. แสงดาวและคนเดินทาง ๒๕๒๖
๓๒. The valley ๒๕๒๖
๓๓. สองสามคำ รำพึง ถึงสายธาร มี.ค. ๒๕๒๗
๓๔. ข้อพินิจฯก่อนภาวนา ต.ค. ๒๕๒๗
๓๕. เริงรำฉ่ำเดือนฉาย ธ.ค. ๒๕๒๗
๓๖. รากฐานแห่งรัก ก.พ. ๒๕๒๘
๓๗. แรมรายคืน พ.ค.๒๕๒๘
๓๘. เค้าขวัญ เม.ย.๒๕๒๙
(เค้าขวัญวรรณกรรม ๒๕๔๓)
๓๙. ตามนก มิ.ย.๒๕๒๙
๔๐. ดั่งสายน้ำไหล มี.ค. ๒๕๓๒
๔๑. ไตร่ตรองมองหลัก พ.ย. ๒๕๓๓
๔๒. โลกคือครอบครัวเดียว ๒๕๓๓
(สืบสายธารน้ำพระทัยพระศาสดา พ.ย. ๒๕๔๗)
๔๓. ฟ้าใกล้แผ่นดินไกล ก.พ. ๒๕๓๔
๔๔. ช่วงชีวิต ช่วงภาวนา ต.ค. ๒๕๓๖
๔๕. สุขหรือเศร้าก็เท่านั้น ต.ค. ๒๕๓๖
(เพียงรักและตระหนักรู้ ๒๕๔๖)
๔๖. เตกูวากัน ธ.ค. ๒๕๓๗
๔๗. อันเนื่องกับทางไท ก.ค. ๒๕๓๘
๔๘. พฤษภาผ่าน ส.ค. ๒๕๔๐
๔๙. จากหิมาลัยถึงแอลป์ ก.ค. ๒๕๔๐
๕๐. ไซอิ๋ว ลิงจอมโจก ๒๕๔๐
(เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" ๒๕๑๗)
๕๑. Know not a thing ๒๕๔๐
๕๒. บุรีแห่งบรมพุทโธ เม.ย. ๒๕๔๑
๕๓. ธรรมวิทรรศน์ เม.ย. ๒๕๔๑
๕๔. แผ่นดินดับ เม.ย. ๒๕๔๓
๕๕. ทะเลสาบสงขลา เม.ย. ๒๕๔๓ (แนวสารคดี เขียนร่วมกับอีกหลายท่าน)
๕๖. ภาพประพิมพ์ประพาย ส.ค. ๒๕๔๓
๕๗. นิราศยุโรป ส.ค. ๒๕๔๓
๕๘. นิราศหิมาลัย ส.ค. ๒๕๔๓
๕๙. จากดักแด้สู่ผีเสื้อ ธ.ค. ๒๕๔๓
๖๐. กุศลเสน่หา พ.ย. ๒๕๔๓
๖๑. เค้าขวัญวรรณกรรม ต.ค.๒๕๔๓
(เค้าขวัญ ๒๕๒๙)
๖๒. เปลวไฟกลางสายธาร ๒๕๔๔
(ประกายไฟกลางสายธาร๒๕๒๐)
๖๓. ดวงตาแห่งชีวิต เม.ย.๒๕๔๕
๖๔. เพียงรักและตระหนักรู้ ๒๕๔๖
(สุขหรือเศร้าก็เท่านั้น ๒๕๓๖)
๖๕. เนื่องในความงาม พ.ค. ๒๕๔๖
๖๖. จิตสถาปนา ธรรมสถาปนา พ.ค. ๒๕๔๗
๖๗. สืบสายธารน้ำพระทัยพระศาสดา พ.ย.๒๕๔๗
(โลกคือครอบครัวเดียว ๒๕๓๓)
๖๘. วันเวลาใน ๔ ทวีป ๒๕๔๘ (รวมจากหนังสือ ๔ เล่ม แรมรายคืน, เตกูวากัน, จากหิมาลัยถึงแอลป์, บุรีแห่งบรมพุทโธ)
๖๙. รุ่งอรุณแห่งความรู้สึกตัว พ.ค. ๒๕๔๘
๗๐. ทะเลสาบแห่งหัวใจ ๒๕๕๐
๗๑. ปรีชาญาณของผู้ไม่รู้หนังสือ ๒๕๕๐
๗๒. ท่านอาจารย์สวนโมกข์ ที่ข้าพเจ้ารู้จัก (บทความวิชาการ) ไม่แสดงวันเวลาตีพิมพ์
๗๓. ทางทรายใกล้ทะเลสาบ: อัตประวัติช่วงแสวงหามายาชีวิตของเขมานันทะ ก.ย. ๒๕๕๐
๗๔. สุดปลายแผ่นดิน ก.ย. ๒๕๕๑
(สุดปลายแผ่นดินโลก ๒๕๑๘)
๗๕. ชาติพันธุ์พระพุทธเจ้า มิ.ย. ๒๕๕๑
๗๖. ก่อนพสุธาปรากฏ ๒๕๕๑
๗๗. ทุกขณะนาทีของชีวิต คือข่าวสารด้านใน ก.พ. ๒๕๕๓
๗๘. เวลาคือการเปลี่ยนแปลง ส.ค. ๒๕๕๔
๗๙. บทรักร้อย ร้อยบทรัก ธ.ค. ๒๕๕๔
๘๐.โศลกคำสอนมหามุทราของติโลปะ (แปล) ก.พ. ๒๕๕๕
๘๑. เกวลิน เม.ย.๒๕๕๖
๘๒. ก่อนฤดูเก็บเกี่ยวมาถึง เม.ย. ๒๕๕๘
หมายเหตุ:
หนังสือที่ปรับปรุงพิมพ์ใหม่และเปลี่ยนชื่อ มี ๖ เล่ม
๑. เดินทางไกลกับ"ไซอิ๋ว" (ไซอิ๋วลิงจอมโจก)
๒. สุดปลายแผ่นดินโลก (สุดปลายแผ่นดิน)
๓. ประกายไฟกลางสายธาร (เปลวไฟกลางสายธาร)
๔. เค้าขวัญ (เค้าขวัญวรรณกรรม)
๕. โลกคือครอบครัวเดียว (สืบสายธารน้ำพระทัยพระศาสดา)
๖. สุขหรือเศร้าก็เท่านั้น (เพียงรักและตระหนักรู้)
หนังสือที่เขียนร่วมกับท่านอื่น มี ๕ เล่ม
๑. นวชีวัน
๒. การเห็นกับอิสรภาพ
๓. รัก
๔. ศิลปะในการปฏิบัติธรรม
๕. ทะเลสาบสงขลา
เพจฯ ขออนุญาตนำบันทึกที่ท่านอาจารย์เขียนไว้ นำมาให้ท่านผู้ติดตามเพจฯ ได้อ่านอีกครั้ง
เมื่อผมตายไปจากชีวิตนี้
ผมจะมีชีวิตอยู่ในตัวหนังสือ
ทุกประโยค ทุกพยางค์จะพูดแทนผม
หากว่าหนังสือไม่ทำกิจนั้น ก็ปล่อยให้
ความตายลบทุกสิ่งที่หนังสือพูดถึงทั้งหมด
ให้มันหายไปดีกว่าจะอยู่โดยไม่พูดถึงธรรมะ
ของสิ่งที่หนังสือหรือถ้อยคำไม่อาจเอื้อมถึงได้
พูดถึงสิ่งที่พูดไม่ออกบอกไม่ได้ เป็นส่วนของความสุข
ที่ผมพอจะให้แก่กันและกันกับเพื่อนร่วม....ภาวนา.
เพจเขมานันทะในใจเราฯ มีความตั้งใจจะนำถ้อยคำในหนังสือของท่านอาจารย์ มาทำเป็นบทคัดย่อให้ท่านผู้ติดตามเพจฯ ได้อ่านให้มากที่สุด
น้อมกราบระลึกถึง
ท่านอาจารย์เขมานันทะ
ด้วยความเคารพรักอย่างสูง
เพจเขมานันทะในใจเรา-ชาติพันธุ์ภาวนา
๑๓ ม.ค. ๒๕๖๘
จาก เพจเขมานันทะในใจเรา-ชาติพันธุ์ภาวนา
https://www.facebook.com/share/p/15Xb5XovGa/