นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
“อิมัสสะมิง เภตะระนะทีตีระอาราเม
อัคคะสิทธัตถะโลหะมะยัง สุโขทัยยัง นาม พุทธะปะฏิมัง
สิระสา นะมามิหัง
อิมิสสานุภาเวนะ สัพพะโสตถี ภะวันตุ เมฯ”
-
พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี หรือ หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ เป็น ๑ ใน ๙ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมืองอุตรดิตถ์ มีพุทธลักษณะปางมารวิชัย หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์บริสุทธิ์ หน้าตักกว้าง ๒ ศอกเศษ มีพุทธลักษณะงดงามตามแบบอย่าง สกุลช่างสุโขทัย-เชียงแสน ซึ่งเป็นแบบที่พบได้น้อยมากและหายากที่สุด โดยหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ เป็นพระพุทธรูปสำคัญเพียงองค์เดียวในจังหวัดอุตรดิตถ์ที่องค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ทรงยกย่องเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองอุตรดิตถ์ และทรงมีพระเมตตาธิคุณทรงตั้งพระนามขึ้นใหม่ถวายเป็นพุทธบูชาเป็นกรณีพิเศษ
โดย ที่องค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ เดิมนั้นทางวัดไม่เปิดเผยสถานที่ประดิษฐาน และไม่ให้บุคคลทั่วไปเข้าสักการะได้ถึงองค์พระ เนื่องด้วยปัญหาด้านการรักษาความปลอดภัย โดยจะอัญเชิญหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีออกให้ประชาชนทั่วไปนมัสการ ได้ถึงตัวองค์พระเพียงในช่วงเทศกาลสงกรานต์เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน วัดคุ้งตะเภา ได้สร้างห้องตู้กระจกนิรภัย พร้อมทั้งติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอิเล็กทรอนิกส์แล้ว จึงทำให้สามารถเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าสักการะได้ทุกวัน โดยปัจจุบันหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีประดิษฐานอยู่ที่หอพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี วัดคุ้งตะเภา
หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ เดิมองค์พระถูกพอกปูนลงรักปิดทองอารักขาภัยไว้ ตัวองค์พระสำริดดังปรากฏในปัจจุบันนั้นสันนิษฐานว่าสร้างในสมัยแรกก่อตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ สกุลช่างเชียงแสนยุคปลายผสมสกุลช่างสุโขทัยยุคต้น หรือในช่วงยุครอยต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย เป็นรัชสมัยระหว่างพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับพญาลิไท มีอายุประมาณ ๘๐๐ ปี มีประวัติความเป็นมาและอภินิหารที่น่าสนใจยิ่ง
หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์นั้น จัดเป็นพระพุทธรูปเนื้อโลหะสัมฤทธิ์ปางมารวิชัยศิลปะสกุลสุโขทัย-เชียงแสนแปลง แบบท่านมหาสวน ปัจจุบันปรากฏเพียงไม่กี่องค์ในประเทศไทย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เขียน ยิ้มศิริ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร ศิลปินชั้นเยี่ยมสาขาจิตรกรรม กล่าวยกย่องคุณค่าทางศิลปะของพระพุทธรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์ อุตรดิตถ์มุนีไว้ในหนังสือ "พุทธานุสรณ์" ของท่านว่า พระพุทธรูปแบบหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์เช่นนี้ "เป็นศิลปะชั้นครู (Masterpiece)" ซึ่งนับว่าหายากมาก ทั้งหมดมีขนาดเท่ากันคือขนาดเท่าคน มีจุดเด่นที่พระพักตร์อันสงบงามยิ่ง โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เขียน ยิ้มศิริ ยกย่องพระพุทธรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีไว้ในหนังสือพุทธานุสรณ์ว่า
...อารมณ์การแสดงออกของท่านมีความสงบเป็นสำคัญ ยิ่งดูท่านนาน
เพียงไร ก็ยิ่งจับใจในความสง่างามของท่านยิ่งขึ้นเพียงนั้น...
— ผศ.เขียน ยิ้มศิริ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เขียน ยิ้มศิริ กล่าวอีกว่าพระพุทธสิหิงค์ องค์ที่ประดิษฐานในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบความงดงามสู้กับพระพุทธรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธสุโข สัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีได้เลย เพราะพระพุทธรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีนับว่ามีจิต วิญญาณภายในมากกว่า ดังนั้นจึงนับได้ว่าในด้านความมีวิญญาณผุดผ่องภายในเชิงศิลปะของหลวงพ่อพระ พุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีนั้นนับได้ว่าเป็นเลิศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เขียน ยิ้มศิริ ได้สรุปสันนิษฐานไว้เป็นแนวคิดของท่านว่า พระพุทธรูปแบบหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีนั้น สร้างขึ้นโดย "ผู้มีภูมิสง่าราวกับกษัตริย์" หรือสร้างขึ้นโดยผู้มีบุญบารมีหรือโดยพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองนั่นเอง
อาศัยข้อสันนิษฐานจากพระพุทธลักษณะขององค์หลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์ ประกอบ กับเกณฑ์การแบ่งยุคพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยข้างต้นนี้ จึงสันนิษฐานว่าหลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์ของวัดคุ้งตะเภาองค์นี้ ได้สร้างขึ้นก่อนสมัยสุโขทัยยุคที่ ๑ หรือร่วมสมัยยุคแรก ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๘ คำนวนอายุที่สร้างองค์หลวงพ่อก็นับว่าไม่น้อยกว่า ๘๐๐ ปีมาแล้ว
พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี ได้สถาปนาขึ้นโดยพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ เมื่อ ๘๐๐ ปี ก่อน ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ เพื่อประดิษฐานเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองภายในพระวิหารหลวง เป็นมิ่งขวัญที่เคารพสักการะของชาวอาณาจักรโบราณที่รุ่งเรืองและรุ่มรวยด้วยอารยธรรมมานานหลายร้อยปี ต่อมาเมื่อมีการสงครามรบทัพจับศึกโกลาหลจนถึงขั้นเสียเมือง ชาวบ้านที่มีใจศรัทธาไม่ต้องการให้พระพุทธรูปอันเป็นที่เคารพรักและหวงแหนยิ่ง ต้องตกไปอยู่ในมือของข้าศึก จึงได้ร่วมใจกันพอกปูนลงรักไว้เพื่ออำพรางปิดบังข้าศึก และด้วยพระพุทธบารมีองค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีจึงรอดพ้นภยันตรายจากข้าศึกมาได้ แต่องค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีก็ต้องถูกปิดบังพระพุทธลักษณะเอาไว้เพื่อความปลอดภัยมานานนับร้อย ๆ ปี นับแต่บัดนั้น
จวบจนยุคสมัยก้าวล่วงเข้าสู่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ภายหลังยุคจลาจลเมื่อคราวสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ไม่นาน องค์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธรูปซึ่งอยู่ตามหัวเมืองต่าง ๆ ทั้งที่เป็นพระปูน พระโลหะ ซึ่งถูกทอดทิ้งไว้อย่างน่าเวทนาภายในหัวเมืองโบราณต่าง ๆ ทั้งหัวเมืองเหนือและหัวเมืองล้านนา ทรงมีพระราชศรัทธาเปี่ยมล้นในอันที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมารุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งบ้านเมืองยังดี จึงมีพระบรมราชโองการ ในปี พ.ศ. 2337 ให้อัญเชิญเคลื่อยย้ายพระพุทธรูปซึ่งถูกทอดทิ้งตามพระอารามร้างวิหารหลวงโบราณและจากวัดต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาเขต มารวบรวมไว้ในพระนครเพื่อรอการอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ยังพระอารามอันสมควรแก่การสักการบูชา ความว่า
“
...ศุภมัสดุ พระพุทธศักราชล่วงแล้ว ๒๓๒๗ พระวะษา ตยุลศักราช ๑๑๕๖ ปีขาล ฉ้อศก ณ วัน ๕ฯ๙ ค่ำ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมธรรมิกะมหาราชาธิราชเจ้า พระองค์ปรารถนาพระบรมโพธิญาณ ทรงพระราชศรัทธาธิคุณเปนอัคะสาสะนูปะถำ พกพระพุทธสาศนา ทรงพระราชกุศลจินดาไมยญาณไปว่า พระพุทธรูปพระนครใดที่ท่านผู้ทานาธิบดีศรัทธาสร้างไว้แต่ก่อน บัดนี้หามีผู้ทำนุกบำรุงปติสังขรณะไม่ ประหลักหักพังยับเยือนเปนอันมาก เปนที่หมิ่นปรมาทแห่งบุทคลอันทพาลแลมฤทาทิฐิ ทรงพระราชดำริไปก็บังเกิดสังเวดในพระบรมพุทธาวิฐารคณเปนอันมาก จึ่งมี พระราชบริหารดำหรัส สั่งให้ พญารักษมณเทียรกรมวังหลวง สมเด็จพระขรรคกรมพระแสงใน ขึ้นไปเชิญเสด็จพระพุทธรูปณะเมืองศุกโขไทย ผู้รั้งกรมการกับข้าหลวงจัดเรือขนาบมีร่มตลอดหัวท้าย มีฉัตรธงปักรายแคมแล้วเชิญเสด็จพระพุทธรูปเจ้าลงเรือล่องมายังกรุงเทพมหานคร ศรีอยุธยา จึ่งเชิญขึ้นประดิษถานไว้ ณะพระอารามพระเชตุพน..."
”
โดยในครั้งนี้มีการอัญเชิญพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่าง ๆ มายังกรุงเทพมหานคร มากกว่า ๑,๒๔๘ องค์ (หนึ่งพันสองร้อยสี่สิบแปดองค์) ซึ่งพระพุทธรูปปูนปั้นหุ้มหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีก็ได้ถูกอัญเชิญมาในคราวเดียวกันนี้ ในการนั้น ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานองค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี และพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมาประดิษฐานไว้ ณ พระระเบียงวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ที่ทรงบูรณปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นในปี พ.ศ. ๒๓๔๔
พระระเบียงวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๓๖ พระสัมพันธวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ พระโอรสในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ พระพี่นางเธอในรัชกาลที่ ๑ ทรงทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดเลียบเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้พระราชทานนามวัดว่า "วัดราชบุรณราชวรวิหาร" ตามนามวัดราชบุรณะซึ่งเป็นวัดคู่เมืองราชธานีตลอดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และได้มีพระบรมราชูปถัมภ์ในการบูรณปฏิสังขรณ์ด้วย
กาลเวลาผ่านมาจน ในสมัยรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถอนสีมาวัดเลียบเก่า แล้วสร้างพระอุโบสถและพระวิหารใหม่ พร้อมกับทำการสร้างพระระเบียงล้อมรอบพระอุโบสถ ภายในอัญเชิญพระพุทธรูปซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำมาจากหัวเมืองรวม ๑๖๒ องค์ มาประดิษฐานไว้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือองค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีด้วย
บรรยากาศหน้าสะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ฝั่งพระนคร ปี พ.ศ. ๒๔๗๕
ด้านซ้ายคือตึกโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย กลางภาพเห็นวัดราชบุรณราชวรวิหาร (ก่อนถูกทำลายหมดทั้งวัดจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในปี พ.ศ. ๒๔๘๘) เห็นภาพโรงไฟฟ้าวัดเลียบอยู่ด้านหลังวัด (ถูกทำลายในคราวสงครามโลกครั้งที่สองเช่นเดียวกัน)
และด้านขวามือสุดคือพระปรางค์วัดราชบุรณะ ศาสนสถานแห่งเดียวที่รอดจากการถูกทำลายจากระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร
กาลล่วงเลยมาจนถึง พ.ศ. ๒๔๘๘ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ วัดราชบุรณะถูกระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้พระอุโบสถ พระวิหาร และ กุฏิเสนาสนะ เสียหายมาก คณะสังฆมนตรี และคณะรัฐมนตรีขณะนั้นมีมติว่า สมควรยุบเลิกวัดเสีย จึงนำความกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ และได้รับพระบรมราชานุญาตให้ยุบเลิกวัดได้ ทางราชการจึงออกประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เมื่อถูกยุบเลิก ทางวัดได้อนุญาตให้วัดต่าง ๆ ในหัวเมือง อัญเชิญพระพุทธรูปที่พระระเบียงที่รอดจากการถูกทำลาย ไปประดิษฐานยังวัดของตนได้ตามแต่ประสงค์ หลังจากสงครามสงบลงในปีเดียวกัน พระพุทธรูปเหล่านั้นจึงกระจายไปอยู่ตามวัดต่าง ๆ
วัดคุ้งตะเภา ซึ่งในสมัยนั้นกำลังทำการก่อสร้างอุโบสถ และยังไม่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่สำหรับเป็นพระประธานเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงได้แจ้งความจำนงขอรับพระพุทธรูปเก่าจากวัดราชบุรณราชวรวิหารมาองค์หนึ่ง กรมการศาสนาจึงได้ส่งพระพุทธรูปโบราณทั้งที่เป็นพระปูนพระสัมฤทธิ์ รวมทั้งองค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีที่เคยประดิษฐานที่พระ ระเบียงคต รวมจำนวน ๘ องค์ คู่กับรูปหล่อสัมฤทธิ์พระอัครสาวกที่เคยประดิษฐานเป็นพระอสีติมหาสาวก ๘๐ องค์ ภายในวิหารซึ่งเป็นพระที่รอดจากการทำลายจากระเบิดสัมพันธมิตรในครั้งนั้นมา ด้วย
การเคลื่อนย้ายนั้น กรมการศาสนาได้อัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีและพระพุทธ รูปอื่น ๆ ขึ้นมายังจังหวัดอุตรดิตถ์โดยทางรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟศิลาอาสน์ และอัญเชิญมาประดิษฐานเป็นการชั่วคราวที่วัดธรรมาธิปไตย ซึ่งเป็นวัดของพระเดชพระคุณพระสุธรรมเมธี (บันลือ ธมฺมธโช ป.ธ.๘) เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ในขณะนั้น โดยท่านได้ทำการจัดแบ่งถวายยังวัดต่าง ๆ ที่แจ้งความประสงค์มาโดยการเลือกบ้างจับสลากบ้าง พระปลัดป่วน ซึ่งยังเป็นเจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภาในครั้งนั้นจึงได้ส่งมัคนายกวัดคุ้งตะเภา ๒ ท่าน คือทายกบุตร ดีจันทร์ และทายกอินทร์ รัตนมาโต มาที่วัดธรรมาธิปไตยเพื่อคัดเลือกและรับอัญเชิญพระพุทธรูปหลวงพ่อพระพุทธสุ โขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีมายังวัดคุ้งตะเภา โดยได้รับถวายรูปหล่อพระอัครสาวกมาจำนวน ๒ องค์เพื่อประดิษฐานคู่กับหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีด้วย (ปัจจุบันรูปพระอัครสาวกทั้งสองได้สูญหายไปนานแล้ว)
การเคลื่อนย้ายหลวงพ่อพระพุทธสุโข สัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีมายังวัดคุ้งตะเภาในครั้งนั้น ทายกทั้งสองได้ชวนคนวัดและชาวบ้านร่วมกันอัญเชิญมาลงที่ท่าอิฐไม่ไกลจากวัด ธรรมาธิปไตย และทวนแพมาขึ้นฝั่งหน้าวัดคุ้งตะเภาโดยทางแม่น้ำน่านในช่วงสงกรานต์ปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ในครั้งนั้นเล่ากันมาว่ามีน้ำหลากสูงเต็มตลิ่งผิดปกติ ทำให้ชาวบ้านสามารถอัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีขึ้นฝั่ง ตรงหน้าวัดบริเวณ ต้นโพธิ์หน้าศาลาการเปรียญได้เป็นอัศจรรย์
สถานที่แม่น้ำน่านเต็มตลิ่งถึงหน้าวัดเป็นอัศจรรย์
เป็นเหตุให้สามารถอัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีขึ้นแพยังฝั่งแม่น้ำหน้าวัดคุ้งตะเภาเดิมได้
(แม่น้ำน่านในสมัยนั้นอยู่ห่างจากตลิ่งวัดไปกว่า ๑ กิโลเมตร)
ในช่วงแรก ชาวบ้านคุ้งตะเภาได้ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์ อุตรดิตถ์มุนีไว้เป็นพระประธานบนบนศาลาการเปรียญเปิดโล่งสี่ทิศ หรืออาคารศาลาการเปรียญหลังเก่าที่สร้างมาแต่ พ.ศ. ๒๔๗๒ ซึ่งเป็นศาสนสถานหลักของวัดในสมัยนั้นก่อนจะมีการสร้างอุโบสถเพื่อประดิษฐาน ในช่วงหลัง โดยผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบมาว่าหลังอัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์ อุตรดิตถ์มุนีมาประดิษฐาน เป็นหลักชัยของวัดในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้มีฝนตกต้องตามฤดูกาลเสมอมา ชาวบ้านคุ้งตะเภาในช่วงนั้นหากินได้อุดมสมบูรณ์มากกว่าปกติ และต่างเชื่อกันว่าเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปที่นำมาจากวัดราช บุรณะ ในภายหลังจึงได้การขนานพระนามถวายองค์พระว่า "หลวงพ่อสัมฤทธิ์" ที่แปลว่า พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่บันดาลความสุขอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จดังปรารถนา มาให้ จนในช่วงหลังพระสงฆ์ในวัดเรียกกันคุ้นปากว่า "หลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์" ที่มีความหมายถึงความสุขเช่นเดียวกัน
ต่อมาในช่วงหน้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้มีลมพายุพัดรุนแรงมากจนทำให้กิ่งไม้หักถูกศาลาการเปรียญต้ององค์พระปูนปั้นหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ชำรุดจนเห็นเนื้อภายใน ทำให้พระสงฆ์วัดคุ้งตะเภาได้ทราบว่าพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาแต่วัดราชบุรณะนั้นเป็นพระพุทธรูปเนื้อสัมฤทธิ์โบราณ จึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานในอุโบสถของวัดคู่กับหลวงพ่อสุวรรณเภตรา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์สำคัญประจำวัดคุ้งตะเภา ปะปนกับพระพุทธรูปองค์อื่น ๆ โดยไม่ได้เปิดเผยว่าเป็นพระเนื้อสัมฤทธิ์โบราณ และมีพระสงฆ์วัดคุ้งตะเภาเข้าจำพรรษาเฝ้าระวังหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ทุกพรรษาในอุโบสถ ทำให้ในช่วงหลังนามหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ได้ลืมเลือนไปจากชาวบ้านรุ่นที่ทันเห็นในคราวที่ยังเป็นพระพุทธรูปปูน จนถึงกลางปี พ.ศ. ๒๕๓๗ มีการบูรณะอุโบสถวัดคุ้งตะเภา พระสงฆ์จึงได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์เข้าประดิษฐานยังห้องลับของวัดจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ จึงได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อออกประดิษฐานให้ประชาชนสักการะเป็นการชั่วคราวในเทศกาลสงกรานต์ และในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ วัดคุ้งตะเภาได้สร้างตู้กระจกนิรภัยพร้อมกับติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัยอิเล็กทรอนิกส์บนอาคารศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภา และได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นประดิษฐานในหอพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีประสิทธิมงคล เปิดโอกาสให้ประชาชนสักการะเป็นการถาวรจนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่วัดคุ้งตะเภาได้อัญเชิญหลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี กลับมาสู่แดนมาตุภูมิ (แถบนี้เคยเป็นหัวเมืองของกรุงสุโขทัยในอดีต) ก็มิได้มีการเปิดให้สักการบูชาและเปิดเผยองค์หลวงพ่ออย่างเป็นทางการเช่นในอดีต เนื่องจากปัญหาด้านการรักษาความปลอดภัย เพราะองค์หลวงพ่อเป็นโบราณวัตถุที่ประเมินค่ามิได้ และเป็นที่ปรารถนาสำหรับพ่อค้าวัตถุโบราณ ทำให้ทางวัดจำเป็นต้องเก็บงำปูชนียวัตถุโบราณสำคัญยิ่งของชาติชิ้นนี้ไว้ในสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัดโดยไม่ได้เปิดเผยให้ประชาชนทั่วไปทราบมานานกว่า ๖๐ ปี
ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ วัดคุ้งตะเภาจึงได้ทำการเปิดเผยองค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี และเปิดโอกาสให้ทุกคนได้สักการะปิดทองสรงน้ำได้ถึงองค์พระ โดยจะอัญเชิญหลวงพ่อมาประดิษฐานให้ประชาชนทำการสักการบูชาได้เฉพาะในช่วง เทศกาลสงกรานต์เท่านั้น
จนในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ วัดคุ้งตะเภาได้สร้างตู้กระจกนิรภัยพร้อมกับติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย อิเล็กทรอนิกส์บนอาคารศาลาการเปรียญวัดคุ้งตะเภา และได้อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นประดิษฐานในหอพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์ประสิทธิมงคล เปิดโอกาสให้ประชาชนสักการะเป็นการถาวรจนถึงปัจจุบัน
ด้วยฤทธานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ขององค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี และพระพุทธศิลปะแบบสุโขทัย-เชียงแสน ที่หาชมได้ยากยิ่ง ทำให้ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุตรดิตถ์ จึงได้ยกย่ององค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีเป็นพระพุทธรูปโบราณศักดิ์สิทธิ์สำคัญคู่บ้านคู่เมือง ๑ ใน ๙ องค์ ของจังหวัดอุตรดิตถ์ และวัดคุ้งตะเภาถูกบรรจุให้เป็นหนึ่งในเส้นทางทำบุญไหว้พระ ๙ วัด ของจังหวัดอุตรดิตถ์อีกด้วย
และเนื่องในมหาศุภวาระมงคลดิถีสัมพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี (การฉลอง ๒๖ พุทธศตวรรษ แห่งการตรัสรู้) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก องค์พระสังฆบิดรแห่งคณะสงฆ์ไทย จึงได้มีพระเมตตาธิคุณเปลี่ยนถวายพระนามองค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีใหม่ให้สอดคล้องกับชื่อจังหวัดอุตรดิตถ์ จากพระนามเดิม หลวงพ่อสุโขทัยสัมฤทธิ์ เป็น พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี
โดยปรากฏข้อความทรงยกย่องในหนังสือตอบการประทานพระนามจากสำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ว่า
...เป็นพระพุทธรูปโบราณสำคัญของจังหวัดอุตรดิตถ์
ปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสน-สุโขทัย
เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดอุตรดิตถ์...
และการที่ทรงมีพระเมตตาธิคุณประทานเปลี่ยนพระนามใหม่ให้เป็น พระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี นั้น เพื่อให้คล้องกับพระนามเดิมที่รู้จักกันทั่วไป และต่อสร้อยให้คล้องกับนามจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนีจึงมีพระนามใหม่ตั้งแต่นั้นมา
องค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ จึงนับเป็นพระพุทธรูปโบราณ ทรงพลานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตั้งมั่นในพระพุทธศาสนามาช้านานนับ ๘๐๐ ปี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์หลวงพ่อสุโขสัมฤทธิ์ ยังนับเป็น พระพุทธรูปศิลปะผสมเชียงแสน-สุโขทัย ศิลปะชั้นครู แบบที่หาพบได้น้อยมากและหายากที่สุดในประเทศไทย และในโลก จึงนับเป็นนิมิตหมายและสิริมงคลยิ่งของชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ อันเป็นจังหวัดที่ประกอบด้วยกลุ่มชนพหุวัฒนธรรม ทั้งไทยกลาง และไทยล้านนา ดุจเดียวกับพุทธศิลป์แห่งองค์หลวงพ่อ ได้มีบารมีแห่งองค์หลวงพ่อพระพุทธสุโขสัมฤทธิ์อุตรดิตถ์มุนี ประดิษฐานเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง เป็นมิ่งขวัญสิริมงคล และเป็นหลักชัยแห่งชนชาวอุตรดิตถ์มาช้านาน