พิธีบวงสรวงวางศิลาฤกษ์พระบรมราชานุสาวรีย์คู่บารมีกู้แผ่นดิน ณ วัดคุ้งตะเภา

โดยแนวคิดในการออกแบบประดิษฐานที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก จะจัดสร้างในบริเวณด้านหน้าสี่แยกคุ้งตะเภา ซึ่งจะพัฒนาเป็นต้นทางเชื่อมโยงไปยังแหล่งโบราณสถานสำคัญของจังหวัด คือ วัดพระฝางสวางคบุรีนุนีนาถ, โบราณสถานบ่อเหล็กน้ำพี้, ต้นสักใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเขื่อนสิริกิติ์ ซึ่งจะมีการพัฒนาให้เป็นจุดแวะพัก เพื่อให้บริเวณพื้นที่โครงการเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดอุตรดิตถ์ในอนาคตอีกด้วย

และเมื่อถึงเวลาฤกษ์เททองนำฤกษ์ เวลา ๑๔.๒๙ น. สจ.ภีมเดช อมรสุคนธ์ นายกสโมสรจังหวัดระยอง และอดีตรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดระยอง เชิญประธานในพิธีและผู้มีเกียรติจับสายสูตรเททอง จำนวน ๔๙ เบ้านำฤกษ์ คณะนายช่างเททองนำฤกษ์ นำโดยอาจารย์สงกรานต์ กุณารบ นายช่างศิลปกรรมชำนาญการ จากสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลากร ควบคุมการเททองจนแล้วเสร็จใน เวลา ๑๔.๔๙ น. โดยหลังเสร็จพิธีเททองนำฤกษ์ ได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการและนายทหารตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในจังหวัดอุตรดิตถ์ พร้อมทั้งประชาชนคณะศรัทธาวัดคุ้งตะเภาชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ที่เข้าร่วมพิธี รับวัตถุมงคลจากพระเกจิเถราจารย์ที่นั่งปรกอธิษฐานจิตตามลำดับ เป็นเสร็จพิธี

ทั้งนี้พื้นที่โครงการจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ ตั้งอยู่ริมทางหลวงแผ่นดินหมายเลขที่ ๑๑(พิษณุโลก-เด่นชัย) หน้าวัดคุ้งตะเภา อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ โดยโครงการดังกล่าว ริเริ่มและดำเนินการโดยวัดคุ้งตะเภา ซึ่งจะทำการจัดสร้างพระบรมรูปหล่อโลหะสัมฤทธิ์ในขนาดความสูง ๓.๐ เมตร ประดิษฐานบนแท่นประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ความสูง ๘ เมตร โดยการควบคุมการจัดสร้างอย่างถูกต้องจากนายช่างศิลปกรรมชำนาญการ สำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร ในพื้นที่ก่อสร้างที่มีความสอดคล้องกับพระราชประวัติ และพระมหาวีรกรรมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และพระยาพิชัยดาบหัก เป็นส่วนหนึ่งของดินแดนทุ่งสมรภูมิรบปราบชุมนุมก๊กเจ้าพระฝาง ชุมนุมอิสระสุดท้าย บนพื้นที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำน่าน ของอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ และอยู่ในเขตพื้นที่เดินทัพหน้าและทัพหลวงของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทั้ง ทางบกและทางน้ำ ที่อยู่ในเขตต่อเนื่องกับเมืองสวางคบุรีโดยทางบก อันถือเป็นการสำเร็จพระราชภารกิจสำคัญของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในการรวบรวมพระราชอาณาเขตให้เป็นหนึ่งเดียวดังเดิมหลังภาวะจลาจลเสียกรุง ศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี ๒๓๑๐ และสถาปนากรุงธนบุรีได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อสำเร็จศึกสมรภูมิสวางคบุรี ในปี ๒๓๑๓ พื้นที่ดังกล่าวจึงถือเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ตามหลักฐานในพระราชพงศาวดาร

เวลา ๑๔.๑๙ น. มี การแสดงระบำมิ่งมังคละสวางคปุระเภรีถวายราชสักการะ ณ มณฑลพิธีบวงสรวงหน้าพระบรมสาทิศลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ หัวทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี วัดคุ้งตะเภา จ.อุตรดิตถ์ (โดยวงมังคละจากโรงเรียนป่าขนุนเจริญวิทยา ซึ่งเป็นผลจากการร่วมกันสืบทอดดนตรีพื้นบ้านมังคละของสวางคบุรี-คุ้งตะเภา ซึ่งสืบวงจากปู่ประชุม วงพินิต แห่งบ้านพระฝาง และได้ประดิษฐ์ท่ารำมังคละขึ้นใหม่ในชุด “ระบำพุทธบูชามิ่งมังคละ สวางคปุระเภรี” โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากการนำของดีเมืองสวางคบุรี-คุ้งตะเภา มาผสมผสานกับวิถีความเป็นอยู่และดนตรีมังคละ ดนตรีพื้นบ้านดั้งเดิมของสวางคบุรี-คุ้งตะเภา มาประดิษฐ์เป็นท่ารำต่าง ๆ)