จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม แสงวิจิตร
ไวยาวัจกรวัดคุ้งตะเภา คนที่ ๒
จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม แสงวิจิตร
ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง ๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ - ปัจจุบัน
จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม
แสงวิจิตร
จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม แสงวิจิตร เกิดที่บ้านเลขที่ ๔๔ หมู่ที่ ๔ บ้านท่าหาดตำบลธรรมมูล อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๘๗ เป็นบุตรของนายเขียว -นางสวิง แสงวิจิตร มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๓ คน คือ นายบุญรอด แสงวิจิตร, จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม แสงวิจิตร, อาจารย์ปัญา แสงวิตร ปัจจุบันสมรสกับ นางเครือ สิงห์ประพันธ์ มีบุตรด้วยกัน ๑ คนคือ ดร.ประภากรณ์ แสงวิจิตร (ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์)
จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม เข้ารับการศึกษาขั้นต้นที่ โรงเรียนวันพิกุลงาม จนจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ และได้เข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนพยุหะวิทยา อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒
จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม ขณะรับมอบใบตราตั้งไวยาวัจกรวัดคุ้งตะเภา
วันที่ ๑๒ ส.ค. ๔๙
วาระ
ดำรงตำแหน่ง
เกิด
สมรสกับ
การศึกษา
อาชีพ
ที่อยู่
อิสริยาภรณ์
- ชัยสมรภูมิ
- พิทักษ์เสรีชน
- ราชการชายแดน
อยู่ในตำแหน่ง
๑๒ สิงหาคม ๒๕๔๙
๗ กรกฎาคม ๒๔๘๗
นางเครือ สิงห์ประพันธ์
โรงเรียนนายสิบทหารบก
ทหาร (เกษียณอายุราชการ)
บ้านคุ้งตะเภา จังหวัดอุตรดิตถ์
ในปี ๒๕๐๘ จ.ส.อ.บุญเลี่ยม แสงวิจิตร ได้เข้ารับราชการเป็นทหารเกณฑ์โดยฝึกทหารใหม่ที่ค่ายธนะรัชต์ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และออกร่วมรบในสงครามเวียดนาม จนได้รับ เหรียญชัยสมรภูมิ (ช.ส.) ต่อมาได้ปลดประจำการและอุปสมบทที่วัดบ้านเกิด ในปี ๒๕๑๔ ได้เข้ารับราชการทหารอีกครั้ง ได้รับประดับยศในขั้นแรกที่สิบตรี ต่อมาได้ร่วมรบเพื่อรักษาอธิปไตยและเพื่อประเทศชาติในหลายเหตุการณ์เช่น การปราบปรามคอมมิวนิสต์ที่จังหวัดน่าน, เหตุการณ์ ๓ หมู่บ้าน จังหวัดอุตรดิตถ์, การรบ ณ ภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ และที่สงครามไทย-ลาว ที่บ้านร่มเกล้า จากนั้นได้รับราชการทหารเรื่อยมาจนเกษียณอายุราชการในปี ๒๕๔๖
หลังจากเกษียณ จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม ได้ช่วยงานทางด้านศาสนพิธี และสาธารณูปการของวัดคุ้งตะเภามาโดยตลอด จนในปี ๒๕๔๙ จ่าสิบเอกบุญเลี่ยม ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไวยาวัจกรวัดคุ้งตะเภา (คนที่ ๒) เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของไวยาวัจกรวัดคุ้งตะเภาคนที่ ๑ (พันเอกสิงหนาท โพธิ์กล่ำ) และช่วยในการศาสนพิธี สาธารณะประโยชน์ และสาธารณูปการของวัดคุ้งตะเภามาจนถึงปัจจุบัน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ :
- พ.ศ. ๒๕๑๕ เหรียญบำเหน็จกล้าหาญชัยสมรภูมิ (การรบสงคราม ณ สาธารณรัฐเวียดนาม)
- พ.ศ. เหรียญพิทักษ์เสรีชน ชั้นที่ ๒
- พ.ศ. เหรียญราชการชายแดน
เล่าประวัติ-ความในใจของ จ.ส.อ.บุญเลี่ยม แสงวิจิตร
หมายเหตุ
*ไวยาวัจกรฝ่ายศาสนพิธี
จำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมหน้านี้
ข้าพเจ้า เกิดที่บ้านเลขที่ ๔๔ หมู่ที่ ๔ บ้านท่าหาด ตำบลธรรมมูล
อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๘๗
เข้ารับการศึกษาที่ โรงเรียนวันพิกุลงาม จนจบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ และได้เข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนพยุหะวิทยา อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๒
เมื่อปี ๒๕๐๒ ข้าพเจ้าติดตามครอบครัวไปทำไร่ข้าวโพด ไร่ถั่วที่ตำบลตากฟ้า ต่อมาก็ได้ย้ายไปทำที่ อำเภอชัยบาดาน จังหวัดลพบุรี
เมื่อปี ๒๕๐๘ ข้าพเจ้าได้รับเกณฑ์ทหารเข้ารับการฝึกทหารใหม่ที่ค่ายธนะรัชต์ อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา ๔ เดือน และต่อมาได้เข้ารับการฝึกกำลังทดแทนที่ ตำบลลาดหญ้า จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปลายปี ๒๕๑๑ เป็นเวลา ๖ เดือน ได้เดินทางไปร่วมรบในสงครามเวียดนามทางเรือ รุ่นที่ข้าพเจ้าไปนั้น เป็นรุ่นผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๒ (รุ่นเสือดำ) เป็นกำลังไปผลัดเปลี่ยน (รุ่นจงอางศึก) ในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในเวียดนามนั้น ได้เข้ากวาดล้างและทำลายต่อพื้นที่เป้าหมายหลายครั้ง ไม่สามารถกล่าวในที่นี้ได้ จนหมดภารกิจ ครบวาระ ๑ ปี ได้รับเหรียญราชอิสริยาภรณ์ชัยสมรภูมิ (ช.ส.) จึงได้เดินทางกลับ
เมื่อปลดประจำการข้าพเจ้าได้เข้าบรรพชาอุปสมบท ๑ พรรษาที่วัดพิกุลงาม เมื่อลาสิกขาบทมาก็ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการทหารที่ กองพันทหารม้าที่ ๗ เมื่อ ๔ กรกฎาคม ๒๕๑๔ ได้รับประดับยศเป็นสิบตรี เงินเดือน ๖๐๐ บาท ในระหว่างที่ข้าพเจ้ารับราชการอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้ไปปฏิบัติงานปราบปรามคอมมิวนิสต์แทบจะทุกตารางนิ้วในจังหวัดน่าน และครั้งสุดท้ายที่เขตงาน ๔ และเขตงาน ๕ นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังได้เข้าปฏิบัติหน้าที่ ในเหตุการณ์ ๓ หมู่บ้าน จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่ภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก-เพชรบูรณ์ ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าเข้าร่วมรบคือที่บ้านร่มเกล้า เมื่อครั้งเครื่องบิน F-105 ตกเมื่อปี ๒๕๓๐ และได้รับราชการทหารเรื่อยมาจนเกษียณอายุราชการในปี ๒๕๔๖
ในระหว่าง ข้าพเจ้าปฏิบัติหน้าที่ หากจะถามว่ามีช่วงใดที่ข้าพเจ้าภูมิใจที่สุดและดีใจที่สุด ก็ขอตอบว่าในช่วงที่ข้าพเจ้าได้ประดับเหรียญชัยสมรภูมิ ซึ่งนับเป็นช่วงที่ข้าพเจ้าภูมิใจที่สุดในชีวิตนับแต่เกิดมา
เมื่อ ข้าพเจ้าได้ลาออกจากราชการมา ข้าพเจ้าก็ได้อยู่ที่บ้านระยะหนึ่ง ก็มองเห็นว่าสมควรที่จะได้มีส่วนช่วยเหลือชาวบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกันที่เขามี ความเดือดร้อน ก็เลยเข้าวัดช้วยเหลืองานของวัด ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้างก็ดี งานศาสนพิธีก็ดี จนในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไวยาวัจกรเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ ถ้าจะถามว่าข้าพเจ้ามีความคิดอย่างไรจึงมาทำงานด้านนี้ ก็ขอตอบว่า ข้าพเจ้าเกิดมาชาติหนึ่งเรามีโอกาสได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามแต่ที่เราจะ ทำได้ ข้าพเจ้าดีใจ ภูมิใจ และมีความสุขที่เราได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือผู้ที่เขาเดือดร้อน เป็นความภูมิใจ เป็นความสุข
ตั้งแต่ :: ๑๙ ธันวาคม ๕๑