หนานเฉาเหว่ย

สรรพคุณทางยา

ประโยชน์ของการกินใบหนานเฉาเหว่ย

1 ต่อต้านโรคเก๊าต์

2 ต่อต้านโรคเบาหวาน

3 รักษาโรคความดันต่ำ "ไม่เหมาะสำหรับความดันสูง"

4 เพิ่มสมรรถนะทางเพศ

5 รักษาหูด กินใบแล้วประมาณ1เดือน หูดจะเป็นสะเก็ดร่อน และเกิดอาการคัน

บริเวณที่เป็นหูด เมื่อเกาหูดก็จะหลุดออกมา และอาจขึ้นซ้ำที่เดิมอีก

แต่ขนาดจะเล็กลงเรื่อยๆ

และก็จะเกิดอาการคันและเกาหลุดออกมาอีก

จนในที่สุดหูดก็จะหายไปจนหมดนั่นเอง

6 ป้องกันมะเร็ง ถ้าเป็นมะเร็งก็จะยุบและฝ่อ หายได้ในที่สุด

7 แก้โรคไขมันสูง

8 ลดความอ้วน น้ำหนักลด กล้ามเนื้อกระชับ

9 แก้อาการปวดข้อ และ ปวดเมื่อยตามร่างกาย

10 รักษาริดสีดวง กินใบไม่กี่วันริดสีดวงจะยุบและหายไปในที่สุด

11 รักษาโรคไทรอยด์ต่ำ ไม่เหมาะกับโรคไทรอยด์สูง

12 รักษาโรคใจสั่น เหมาะกับคนหัวใจเต้นช้า ไม่เหมาะกับคนที่หัวใจเต้นเร็ว

เพราะใบหนานเฉาเหว่ยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น

13 ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย

14 รักษาเนื้องอก ถ้ากินใบเป็นประจำจะทำให้เนื้องอกยุบและหายไปในที่สุด

"หนานเฉาเหว่ย" หรือ "หนานเฝยเฉ่า" (Nan fui chao) ,หนานเฟยซู่,ป่าเฮ่อหมอง(ป่าช้าเหงา),บิสมิลลาฮ

ชื่อวิทยาศาสตร์ Gymnanthemum extensum

เป็นสมุนไพรจีน ใบมีรสขมจัด ใช้ต้มกับน้ำแล้วดื่ม

ตำรายาจีนระบุว่า สามารถช่วยลดเบาหวาน แก้อาการของโรคเกาต์และลดความดันโลหิตสูงได้ ไม้ต้นนี้ มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว นิยมปลูกเฉพาะตามสวนสมุนไพรจีนและสวนสมุนไพรไทยเพื่อใช้ประโยชน์เป็นยา โดยใบสดของ “หนานเฉาเหว่ย” มีรสขมจัด เมื่อเคี้ยวกินสดตอนแรกจะขมในปากมาก แต่พอกินไปได้สักพักจะรู้สึกว่ามีรสหวานในปากและลำคอ ซึ่งใบสดดังกล่าว

ตำรายาจีนระบุว่า

-สามารถช่วยลดเบาหวาน

-แก้อาการของโรคเกาต์และ

-ลดความดันโลหิตสูงได้

มีวิธีกินแบบง่ายๆคือ

เอาใบสด 5-7 ใบ ต้มกับน้ำจนเดือด แล้วดื่มครั้งละ 1 ถ้วยกาแฟ วันละ 2 เวลา ก่อนอาหารเช้าเย็น จะสังเกตได้ว่าประมาณ 1 อาทิตย์ อาการที่เป็นจะดีขึ้น จากนั้นต้มดื่มบ้างหยุดบ้าง เพื่อควบคุมอาการ

ส่วนใครที่มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือปวดตามข้อเพราะทำงานหนักต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานานๆ ไม่ใช่ปวดที่เกิดจากกระดูกเสื่อม ให้เอาใบสดของ “หนานเฉาเหว่ย” 1-2 ใบ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วเคี้ยวกินได้เลย วันละครั้ง ประ– มาณ 1 อาทิตย์ อาการปวดเมื่อยจะดีขึ้น จากนั้นเคี้ยวกินบ้างหยุดบ้างเพื่อควบคุมอาการเช่นเดียวกัน

หนานเฉาเหว่ย เป็นไม้ยืนต้น สูง 6-8 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี ปลายแหลม โคนป้านหรือเกือบมน ใบอ่อนและใบแก่มีรสขมจัดตามที่กล่าวข้างต้น ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ดอกเป็นสีขาว “ผล” ทรงกลม มีเมล็ด

ข้อควรทราบ

1. ยังไม่พบข้อมูลในเชิงงานวิจัย ส่วนใหญ่เป็นประสบการณ์การใช้

2. ไม่แนะนำให้ทานต่อเนื่องนานๆ ถึงแม้ยังไม่ทราบวิธีรับประทานที่แน่นอนชัดเจน แต่ควรมีช่วงหยุดพักยาบ้าง เนื่องจากไม่มีข้อมูลความปลอดภัยในระยะยาว เช่น กินวันเว้นวัน หรือ 10 วัน เว้นพักซัก 3 วัน

3. ไม่แนะนำให้ใช้ในรายที่คุมความดัน คุมน้ำตาลได้ดีอยู่แล้ว หรือเสี่ยงน้ำตาลต่ำ ความดันต่ำ

4. ไม่แนะนำให้ใช้ในรายที่ตับไตผิดปกติขั้นรุนแรง ไม่แนะนำให้ใช้ในหญิงตั้งครรภ์

5. ไม่แนะนำให้หยุดการรักษาแผนปัจจุบัน เพราะโรคเบาหวานความดัน ยังต้องอาศัยการตรวจจากแพทย์ และเครื่องมือตรวจเลือด ถึงโรคแทรกซ้อนต่างๆ

6. ควรมั่นใจว่าการปลูกไม่มีสารพิษ หรือสารเคมีเจือปน หรือตกค้าง

ผมเป็นต้นไม้ที่เด่นดังโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าชื่อผมจะฟังไม่ไพเราะ แต่ก็มีความหมายเป็นมงคลกับคนที่ยังไม่ตาย ชื่อผมวนเวียนแถวๆ ป่าช้า เพราะคำว่า ป่าช้าเหงา ก็หมายถึงไม่มีคนตายเข้าป่าช้า คำว่า “ป่าเฮ่ว” ก็เป็นภาษาล้านนา และไทใหญ่ แปลว่า ป่าช้าเช่นกัน และสำหรับคนจีนจะรู้จักผมในชื่อ หนานเฉาเหว่ย เป็นอย่างดี สำหรับ 3 จังหวัดภาคใต้ก็เรียกผมว่า บิสมิลลาฮ (เป็นภาษาอาหรับ)

ชาวโลกรู้จักผมตั้งแต่ แอฟริกา ที่เค้าใช้กินเป็นผักและใช้รักษาโรคมาเลเรีย, ที่อเมริกาก็ขายเป็นยาเพิ่มภูมิคุ้มกัน เกี่ยวกับมะเร็งเต้านม เบาหวาน และต่อมลูกหมาก รวมทั้งควบคุมน้ำตาล ที่พม่าและมาเลเซียก็รู้จักผม แต่ผมดังจากเมืองจีนก่อนจะมาดังในเมืองไทยไม่นาน แม้ว่าก่อนหน้านี้มีแต่พ่อหมอไทใหญ่เขาใช้แก้โหลง คือ ยาแก้พิษ สำหรับชาวกะเหรี่ยงจะใช้เป็นยาแก้หวัด และเรียกยาแก้ขม ทั้งๆ ที่ใบขมมากๆ ส่วนตำหรับยาล้านนาใช้รักษาโรคเรื้อรังที่เรียกว่า โรคสาน คือโรคที่มีก้อนเนื้อผิดปกติรวมทั้งฝีต่างๆ และโรคขาง คือแผลเปื่อยเรื้อรังตามอวัยวะต่างๆ

ผมภูมิใจและเป็นเกียรติมากที่สุดคือ ถูกจัดเป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมาก เพราะตั้งแต่ปี 2547 ที่ทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จัดทำโครงการ “ชลอวัยไกลโรค” ได้สืบหาสมุนไพรสำหรับผู้สูงอายุ ก็ได้พบผมที่ “บ้านสามขา” จังหวัดลำปาง เริ่มวิจัย จัดทำข้อมูล สรรพคุณพบว่า ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายโดยอัลฟาท็อกซิน ป้องกันสารพิษไม่ให้ตับเสียจากเบาหวาน และไตวาย ปัจจุบันมีขายทั้งต้น สด แห้ง และแบบผง

สุภาษิต “ขมเป็นยา” ใช้ได้ตรงกับผม เคี้ยวใบสดก็ขม แต่หลังจากอมแล้วกลืนจะรู้สึกหวานคอ แต่ถ้าหากใช้ใบสด 4-5 ใบ ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร 3 เวลา หรือตากใบแห้งทำเป็นผงชาชงก็ลดความขมได้ หรือสะดวกซื้อที่เป็นแคปซูลจากโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จะได้ไม่ต้องทนขม ถ้าอยากจะปลูกก็แค่เสียบกิ่งปักดิน 1 เดือน ได้กิน รับรอง เก๊าต์ เบาหวาน ความดัน ไม่เข้ามาใกล้เลย

แต่…แหม! ถ้าปลูกไว้ที่บ้านทุกคนแล้ว ทนเคี้ยว-กลืน ต้ม-ดื่ม ลืมคำว่าขม รับรองป่าช้าเหงา กลัวแต่ว่า “สัปเหร่อตกงาน” แน่ๆ

ส่วนประกอบของชาสมุนไพรหนานเฉาเหว่ย สูตร 9 เทพ #เทพที่1คือสมุนไพรต้นหนานเฉาเหว่ย "หนานเฉาเหว่ย" หรือ "หนานเฝยเฉ่า" (Nan fui chao) ,หนานเฟยซู่,ป่าเฮ่อหมอง(ป่าช้าเหงา),บิสมิลลาฮ ชื่อวิทยาศาสตร์ Vernonia amygdalina Family name ชื่อวงศ์ ASTERACEAE English (vernonia tree,bitter leaf) หนานเฉาเหว่ย เป็นไม้ยืนต้น สูง 6-8 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปรี ปลายแหลม โคนป้านหรือเกือบมน ใบอ่อนและใบแก่มีรสขมจัดตามที่กล่าวข้างต้น ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด ดอกเป็นสีขาว “ผล” ทรงกลม มีเมล็ด เป็นสมุนไพร ใบมีรสขมจัด ใช้ต้มกับน้ำแล้วดื่ม ตำรายาจีนระบุว่า สามารถช่วยลดเบาหวาน แก้อาการของโรคเกาต์และลดความดันโลหิตสูงได้ ไม้ต้นนี้ มีถิ่นกำเนิดจากทวีปแอฟริกา ประเทศไนจีเรีย ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว นิยมปลูกเฉพาะตามสวนสมุนไพรจีนและสวนสมุนไพรไทยเพื่อใช้ประโยชน์เป็นยา โดยใบสดของ “หนานเฉาเหว่ย” มีรสขมจัด เมื่อเคี้ยวกินสดตอนแรกจะขมในปากมาก แต่พอกินไปได้สักพักจะรู้สึกว่ามีรสหวานในปากและลำคอ ซึ่งใบสดดังกล่าว สรรพคุณของหนานเฉาเหว่ย -ใบอุดมไปด้วยโปรตีนวิตามินและเกลือแร่ -มีβ-Carotene ควบคุมการสังเคราะห์ฮอร์โมนเพศหญิงช่วยให้แข็งแรง อายุยืนยาว -ช่วยรักษาต้านติดเชื้อรา และแบคทีเรีย -ช่วยรักษาโรคผิวหนัง เช่น กลาก -สามารถช่วยลดเบาหวาน -ช่วยเพิ่มการผลิตน้ำนมในมารดาให้นมบุตร -แก้ไอ -ช่วยรักษาอาการผื่นคัน -ช่วยขับล้างสารพิษในร่างกาย -ช่วยรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบี -ช่วยบำรุงและฟื้นฟู ตับ และ ไต -ช่วยลดความอ้วน -ช่วยรักษาโรคติดเชื้อปรสิตในลำไส้ -ช่วยการหดตัวของมดลูกระหว่างคลอด -ช่วยโรคการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ -ช่วยแก้อาการปวดฟัน และอาการเหงือกอักเสบ -ใช้ผลิตยาป้องกันหอบหืด -ช่วยการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย -ช่วยรักษาอาการสูญเสียความทรงจำ -ช่วยลดอาการนอนไม่หลับ -ช่วยป้องกันและต่อต้านมะเร็ง -ช่วยในโรคกระเพาะ และอาหารไม่ย่อย -ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร -ช่วยรักษาโรคไข้มาลาเรีย -ช่วยแก้อาการของโรคเกาต์และไทฟอยด์ -ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ -ช่วยในการลดอาการอักเสบ -ช่วยลดอาการเบื่ออาหาร -ช่วยลดอาการเมื่อยหล้า