เรื่องที่ 2.3 

มหาชนกชาดก

ที่มา : Google.com

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภมหาภิเนกขัมมบารมีของพระองค์ 

ได้ตรัสอดีตนิทาน มากล่าวว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพระราชาพระนามว่า มหาชนก ผู้ครองเมืองมิถิลาเคว้นวิเทหะมีพระโอรส2 พระองค์ คือ พระอริฏฐชนก ผู้พี่และพระโปลชนก ผู้น้องต่อมาเมื่อพระมหาชนกสวรรคตแล้วพระอริฏฐชนกขึ้นครองราชย์เทนและทรงตั้งพระโปลชนกเป็นพระอุปราช

ในสมัยนั้นพระโพธิสัตว์กํานิดในครรภ์ของพระเทวี เพราะทรงเชื่อคําของอํามาตย์ผู้ใกล้ชิดพระอริฏฐชนกจึงจับพระโปลชนกขังไว้ด้วยเกรงจะชิงบัลลังก์ ต่อมาพระโปลชนก หนีออกไปได้จึงรวบรวมกําลังพลยกทัพมาชิงบัลลังก์คืน ในขณะที่เกิดภัยสงครามชิงราชบัลลังก์กัน พระเทวีมเหสีของพระอริฏฐชนกปลอมพระองค์เป็นคนสามัญเสด็จหนีออกจากพระนครได้ทันเวลาก่อนที่พระเจ้าโปลชนกจะยกทัพเข้ายึดพระนคร พระอินทร์ได้จําแลงเพศเป็นคนขับเกวียนนําส่งเสด็จพระนางจนถึงเมืองกาลจัมปากะภายในวันเดียว พระนางเข้าพักที่ศาลาริมทางแห่งหนึ่ง ขณะนั้นอาจารย์ทิศาปาโมกข์พร้อมกับศิษย์ 500 คน เดินทางมาพบเข้า เกิดความเมตตาสงสารจึงรับพระนางไว้เป็นน้องสาวแล้วพาไปอยู่กับครอบครัวตน

ต่อมาไม่นานพระนางก็ประสูติพระราชโอรสทรงระลึกถึงความหลังจึงเอาพระนามของพระเจ้าปู่มาตั้งให้พระโอรสว่า “มหาชนก” มหาชนกกุมารเจริญวัยแล้วได้ไปเล่นกับเด็กอื่นๆ เมื่อคราวทะเลาะกับเด็กเหล่านั้น ก็ถูกเรียกว่า “เจ้าลูกกําพร้า” ทําให้พระองค์ทูลถามเรื่องชาติกําเนิดกับพระมารดาอยู่เนืองๆ เมื่อพระมารดาไม่ บอก จึงคิดอุบายโดยทูลขอเสวยน้ํานมแล้วกัดเต้านมพระมารดาไว้แน่นพร้อมทั้งขอให้พระมารดาบอกความ จริงเกี่ยวกับชาติกําเนิดของพระองค์ในที่สุดพระมารดาก็บอกความจริงให้ทรงทราบ

เมื่อพระองค์ทรงทราบความจริงแล้ว จึงคิดจะไปแย่งชิงราชสมบัติอันเป็นของพระบิดาคืนมาให้ได้ เพื่อแก้แค้นให้พระบิดา จากนั้นจึงทรงตั้งพระทัยศึกษาศิลปวิทยาทุกอย่างที่จะทําให้งานของพระองค์สําเร็จในภายหน้า พระองค์ได้ศึกษาจบเมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา

เมื่อศึกษาศิลปวิทยาจบแล้ว พระมหาชนกมีพระประสงค์จะแสวงหาทรัพย์เพื่อเป็นกําลังในการชิงเอา ราชสมบัติ และคิดจะขึ้นเรือสําเภาไปแสวงหาโชคทางสุวรรณภูมิ จึงเข้าไปปรึกษาพระมาดาแต่ถูกห้ามไว้ เพราะเห็นว่าการเดินทางออกทะเลนั้นมีอันตรายมาก แต่ในที่สุดพระมารดาก็ไม่อาจห้ามความตั้งใจจริงของ พระโอรสได้ จึงประทานแก้ววิเชียร แก้วมณี แก้วมุกดาเป็นทุนทรัพย์สําหรับค้าขายให้แก่พระราชกุมาร

พระมหาชนกได้จัดซื้อสินค้าต่างๆ ลงบรรทุกเรือออกไปค้าขายทางทะเลพร้อมกับพ่อค้าประมาณ 700 คน มุ่งหน้าไปยังเมืองมิถิลา ในระหว่างแล่นสําเภาอยู่กลางทะเลนั้น พายุได้พัดกระหน่ําจนเรือสําเภาอับปางลง พ่อค้าและผู้คนจมน้ำตายกลายเป็นเหยื่อของสัตว์ทะเลจนหมดสิ้น พระมหาชนกว่ายน้ำอยู่ในทะเลถึง 7 วัน โดยอธิษฐาน สมาทานศีลอุโบสถไปด้วยนางมณีเมขลาเทพธิดารักษามหาสมุทรได้ปรากฎกายและทูลพระมหาชนกว่า “ท่านตายแน่เพราะมัวว่ายน้ําในทะเลลึกที่มองไม่เห็นฝั่งเลย” พระมหาชนกกล่าวว่า “เราพยายามแล้วอย่างนี้ แม้ตายก็ไม่ถูกติเตียน การไม่พยายามรักษาชีวิตไว้ก็เหมือนคนเกียจคร้านนั่นแหละ” นางมณีเมขลาได้ฟังเกิดความเลื่อมใสในความพยายามของพระมหาชนกจึงได้อุ้มพระมหาชนกเกาะลอยไปที่อุทยานเมืองมิถิลา

ในช่วงเวลานั้น ที่เมืองมิถิลาพระเจ้าโปลชนกก็ประชวรหนัก จนไม่สามารถเสด็จลุกขึ้นจากพระแท่น บรรทมได้ และสวรรคตไปในที่สุด พระราชธิดาพระนามว่า “สิวลี” จึงทรงหาคู่มาอภิเษกสมรสตามพระราช ประสงค์ของพระราชบิดาที่ทรงตรัสไว้ โดยราชปุโรหิตได้ปรึกษากันแล้วบวงสรวงเทพยดาเสี่ยงทายราชรถตาม โบราณราชประเพณี เมื่อถึงพิธี ม้ามงคลได้วิ่งไปในพระราชอุทยาน และวนไปรอบๆ พระมหาชนก พร้อมทั้งหยุดอยู่ตรงปลายเท้าของพระองค์

พระราชปุโรหิตจึงทูลเชิญพระมหาชนก ไปครองเมือง เมื่อเข้าสู่พระบรมมหาราชวังแล้ว พระราชธิดาสิวลีใคร่จะลองพระทัย ได้ทรงวางอุบายให้ราชบุรุษทูลพระมหาชนกว่าพระราชธิดาให้เข้าเฝ้าแต่พระมหาชนก ไม่สนพระทัย กลับเดินชมปราสาทจนพอพระทัยจึงเสด็จเข้าเข้าตําหนักหลวง พระราชธิดาออกมาต้อนรับพร้อมยื่นพระหัตถ์ให้สัมผัสด้วยเกรงพระบรมเดชานุภาพ

ราชปุโรหิตได้กราบทูลว่าพระราชาทรงรับสั่งเงื่อนไขไว้ 4 ข้อ คือ ข้อหนึ่งพระนางสิวลีทรงยินดีที่ จะมอบนครให้แก่ผู้นั้นปกครอง ข้อสองผู้ใดครองบัลลังก์ได้ต้องรู้จักด้านศีรษะและด้านเท้าของบัลลังก์สี่เหลี่ยม ข้อสามต้องโก่งคันธนูของเมืองได้ ข้อสุดท้ายต้องค้นหาขุมทรัพย์ 16 แห่งให้ได้

ราชปุโรหิตกราบทูลว่าข้อแรกพระราชธิดาทรงยื่นพระหัตถ์ให้แสดงว่าทรงยินดีแล้ว พระมหาชนกจึงถอดปิ่นทองคําจากพระเศียรส่งให้พระธิดา ซึ่งนางก็ทรงเปี่ยมด้วยปัญญา นําปืนทองคําไว้ด้านหนึ่งของบัลลังก์ พระมหาชนกตรัสว่าร้านนั้นแหละคือด้านหัวของบัลลังก์ ซึ่งตรัสได้ถูกต้อง จากนั้นทรงหยิบธนูน้ำหนักถึงหนึ่งพันคนจึงยกได้ แต่พระองค์ทรงยกได้อย่างคล่องแคล่ว ทรงโก่งคันธนูน้าวสายธนูได้ด้วยพลังประดุจช้างสาร ส่วนขุมทรัพย์ 16 แห่ง พระมหาชนกได้ค้นหาจนครบทุกแห่ง ไพร่ฟ้าจึงพากันโห่ร้องด้วยความยินดีในพระอัจฉริยะของพระองค์

พระมหาชนกโปรดให้เชิญพระมารดา และพราหมณ์ทิศาปาโมกข์สู่มิถิลานคร พร้อมทั้งสักการะสมโภช ประกาศความจริงในพิธิเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ และได้ทรงระลึกถึงความเพียรพยามของพระองค์ที่ว่ายน้ำอยู่กลางมหาสมุทร

ต่อมาเจ้าหญิงสิวลีทรงประสูติพระราชโอรส พระนามว่า “ทีฆาวุราชกุมาร” พระมหาชนกได้ทรง แต่งตั้งเป็นอุปราชเพื่อสืบราชบัลลังก์ต่อไป

ครั้งหนึ่งพระมหาชนกเสด็จประพาสอุทยาน ทรงเห็นต้นมะม่วง 2 ต้น ต้นหนึ่งผลดกอีกต้นไม่มีผล ทรงพิจารณาด้วยปัญญาว่า ต้นที่มีผลกิ่งก้านจะหัก ใบร่วงและไม่เหลือผลแม้แต่ต้นเดียวในที่สุด ส่วนต้นที่ไม่มีผลจะยังคงยืนต้น ไม่บอบช้ําใด ๆ เหมือนราชสมบัติของพระองค์ซึ่งจะต้องทําลายตนเอง คิดดังนั้นพระองค์จึงมีพระทัยน้อมไปในทางสงบ และตัดสินพระทัยออกบวช นําความเศร้าโศกมาสู่พระมเหสีเป็นอย่างมาก แต่พระองค์ก็ไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย จนในที่สุดพระนางได้ตามเสด็จออกบวชตลอดพระชนมชีพบรรลุฌาน ณ อุทยานนั่นเอง




สรุปสาระสําคัญ

ชาดก เป็นเรื่องราวในอดีตของพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ และได้บําเพ็ญทานบารมีอันยิ่งใหญ่ การศึกษาเรื่องราวในชาดกเป็นคติสอนใจสําหรับพุทธศาสนิกชน สามารถนําไปเป็นแนวทางการดําเนินชีวิตที่ถูกที่ควรได้ 

ที่มาจาก https://minimore.com/b/tyZJF/6