เรื่องที่ 1.1 วิธีการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก

และคัมภีร์ศาสนาอื่น ๆ

การศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก

ได้กล่าวแล้วว่า พระไตรปิฎกนั้น แบ่งออกเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก โดยลําดับ พระโบราณาจารย์ฝ่ายไทยได้ใช้วิธีย่อหัวข้อสําคัญในแต่ละปิฎก เพื่อจําง่ายเป็นอักษรย่อ ในการใช้อักษรย่อนั้น วินัยปิฎกมี 5 คํา สุตตันตปิฎก 5 คํา อภิธัมมปิฎก 7 คําดังต่อไปนี้


http://www.thammasapa.com/index.php?mo=28&id=1765420

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=117448&page_no=1

พระวินัยปิฎก

       อักษรย่อในปิฎกอื่น ๆ ไม่มีปัญหา คงมีปัญหาเฉพาะวินัยปิฎก คือ อา, ปา, ม, จุ, ป อา = อาทิกัมม์ (การกระทําที่เป็นต้นบัญญัติ) หมายเฉพาะรายการพระวินัย ตั้งแต่อาบัติปาราชิกลงมาถึงสังฆาทิเสส, ปา = ปาจิตตีย์ เป็นชื่อของอาบัติในปาฏิโมกข์ เฉพาะตั้งแต่ถัดสังฆาทิเสสลงมา ทั้งสองหัวข้อนี้เป็นการย่ออย่างจับความมากกว่าย่อตามชื่อหมวดหมู่ จึงไม่ตรงกับชื่อที่ใช้เป็นทางการในวินัยปิฎก ส่วนอีก 3 ข้อท้ายตรงตามชื่อ หมวดหมู่ ฉะนั้น ถ้าจะจัดตามชื่อ จึงควรเป็นดังนี้

       1. มหาวิภังค์ หรือภิกขุวิภังค์ ว่าด้วยศีลของภิกษุที่มาในปาฏิโมกข์ (คําว่า ปาฏิโมกข์ คือ ศีลที่เป็นใหญ่เป็นสําคัญ อันจะต้องสวดทบทวนในที่ประชุมสงฆ์ทุกกึ่งเดือน)

       2. ภิกขุนีวิภังค์ ว่าด้วยศีลของภิกษุณี

       3. ม = มหาวัคค์ แปลว่า วรรคใหญ่ แบ่งออกเป็นขันธกะ คือหมวดต่าง ๆ 10 หมวด

       4. จุ = จุลลวัคค์ แปลว่า วรรคเล็ก แบ่งออกเป็นขันธกะ คือหมวดต่าง ๆ 12 หมวด

       5. ป= ปริวาร หมายถึงหัวข้อเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เป็นการย่อหัวข้อสรุปเนื้อความ วินัยฉัยปัญญาใน 4 เรื่องข้างต้น

       แต่ความเข้าใจของชาวอังกฤษที่ตั้งสมาคมบาลีปกรณ์ขึ้นพิมพ์พระไตรปิฎกในประเทศอังกฤษ แบ่งวินัยปิฎก ออกเป็น 3 ส่วน คือ

       1. สุตตวิภังค์ หมายรวมทั้งศีลของภิกษุและภิกษุณี

       2. ขันธกะ หมายรวมทั้งมหาวัคค์และจุลลวัคค์

       3. ปริวาร คือหัวข้อเบ็ดเตล็ด

    ปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้ทําให้เกิดการผิดพลาดหรือบกพร่องในวินัยปิฎกแต่ประการใด ต้นฉบับก็ตรงกัน เป็นแต่การเรียกชื่อหัวข้อ หรือวิธีแบ่งหัวข้อต่างกันออกไปเท่านั้น

ในหนังสืออรรถกถาวินัย (สมันตัปปาสาทิกาภาค 1 หน้า 17) พระอรรถกถาจารย์จัดหัวข้อย่อวินัยปิฎกไว้ว่า ชื่อวินัยปิฎก คือ “ปาฏิโมกข์ 2 (ภิกขุปาฏิโมกข์ ภิกขุณีปาฏิโมกข์) วิภังค์ 2 (มหาวิภังค์หรือ ภิกขุวิภังค์กับภิกขุณีวิภังค์) ขันธกะ 22 (รวมทั้งในมหาวัคค์และจุลลวัคค์) และบริวาร 16” เรื่องเหล่านี้คงเป็น ปัญหาในการเรียกชื่อหมวดหมู่ตามเคย ถ้ารู้ความหมายแล้วจะท่องจําหัวข้อย่อ ๆ แบบไทยว่า อา, ปา, ม, จู, ป ก็คงได้ประโยชน์เท่ากัน อนึ่ง ผู้ศึกษาจะเข้าใจยิ่งขึ้นเมื่ออ่านถึงภาค 3 อันว่าด้วยความย่อแห่งพระไตรปิฎก เพราะจะได้เห็นหัวข้อที่แบ่งออกไปเป็นหมวดหมู่รอง ๆ ลงไปจากหมวดใหญ่อย่างชัดเจน

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=117457&page_no=1

พระสุตตันตปิฎก

หัวข้อย่อแห่งสุตตันตปิฎก มี 5 คือ ที, ม, สัง, อัง, ขุ ดังต่อไปนี้

1.ที = ทีฆนิกาย แปลว่า หมวดยาว หมายถึงหมวดที่รวบรวมพระสูตรขนาดยาวไว้ส่วนหนึ่งไม่ปนกับพระสูตรประเภทอื่น ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น 34 สูตร

2. ม = มัชฌิมนิกาย แปลว่า หมวดปานกลาง หมายถึงหมวดที่รวบรวมพระสูตรขนาดกลางไม่สั้นเกินไป ไม่ยาวเกินไปไว้ส่วนหนึ่ง ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น 152 สูตร

3. สัง = สังยุตตนิกาย แปลว่า หมวดประมวล คือประมวลเรื่องประเภทเดียวกันไว้เป็นหมวดหมู่ เช่น เรื่องพระมหากัสสป เรียกกัสสปสังยุต เรื่องอินทรีย์ (ธรรมะที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน) เรียกอินทรียสังยุต เรื่องมรรค (ข้อปฏิบัติ) เรียกมัคคสังยุต ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น 7,762 สูตร

4. อัง = อังคุตตรนิกาย แปลว่า หมวดยิ่งด้วยองค์ คือจัดลําดับธรรมะไว้เป็นหมวด ๆ ตามลําดับตัวเลข เช่น หมวดธรรมะข้อเดียว เรียกเอกนิบาต หมวดธรรมะ 2 ข้อ เรียกทุกนิบาต หมวดธรรมะ 3 ข้อ เรียก ติกนิบาต ดังนี้เป็นต้น จนถึงหมวดธรรมะ 10 ข้อ เรียก ทสกนิบาต หมวดธรรมะเกิน 10 ข้อ เรียก อติเรกทสกนิบาต ในหมวดนี้มีพระสูตรรวมทั้งสิ้น 9,557 สูตร

5. ขุ = ขุททกนิกาย แปลว่า หมวดเล็กน้อย รวบรวมข้อธรรมที่ไม่จัดเข้าใน 4 หมวดข้างต้นมารวมไว้ ในหมวดนี้ทั้งหมด เมื่อจะแบ่งโดยหัวข้อใหญ่ก็มี 15 เรื่อง คือ

5.1 ขุททกปาฐะ แปลว่า บทสวดเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยมากเป็นบทสวดสั้น ๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

5.2 ธรรมบท แปลว่า บทแห่งธรรม คือธรรมภาษิตสั้น ๆ ประมาณ 300 หัวข้อ (ส่วนเรื่องพิสดารมี ท้องเรื่องประกอบปรากฏในอรรถกถา)

5.3 อุทาน แปลว่า คําที่เปล่งออกมา หมายถึงคําอุทานที่เป็นธรรมภาศิต มีท้องเรื่องประกอบเป็นเหตุปรารภในการเปล่งอุทานของพระพุทธเจ้า

5.4 อิติวุตตกะ แปลว่า “ข้อความที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้” เป็นการอ้างอิงว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัส ข้อความไว้อย่างนี้ ไม่มีเรื่องประกอบ มีแต่ที่ขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้ยินมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระอรหันต์ ตรัสไว้อย่างนี้

5.5 สุตตนิบาต แปลว่า รวมพระสูตร คือรวบรวมพระสูตรเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน มีชื่อสูตรบอกกํากับไว้

5.6 วิมานวัตถุ แปลว่า เรื่องของผู้ได้วิมาน แสดงเหตุดีที่ให้ได้ผลดีตามคําบอกเล่าของผู้ได้ผลดีนั้น ๆ

5.7 เปตวัตถุ แปลว่า เรื่องของเปรตหรือผู้ล่วงลับไปที่ทํากรรมชั่วไว้

5.8 เถรคาถา ภาษิตต่าง ๆ ของพระเถระผู้เป็นอรหันตสาวก

5.9 เถรีคาถา ภาษิตต่าง ๆ ของพระเถรีผู้เป็นอรหันตสาวิกา

5.10 ชาดก แสดงภาษิตต่าง ๆ เกี่ยวโยงกับคําสอนประเภทเล่านิทาน (ท้องเรื่องพิสดารมีในอรรถกถา เช่นเดียวกับธรรมบท)

5.11 นิทเทส แบ่งออกเป็นมหานิทเทสกับจูฬนิทเทส คือมหานิทเทสเป็นคําอธิบายพระพุทธภาษิตในสุตตนิบาต (หมายเลข 5) รวม 16 สูตร ส่วนจูฬนิทเทส เป็นคําอธิบายพระพุทธภาษิตในสุตตนิบาต (หมายเลข 5) ว่าด้วยปัญหาของมาณพ 16 คน กับ ขุคควิสาณสูตร กล่าวกันว่าเป็นภาษิตของพระสารีบุตรเถรเจ้า

5.12 ปฏิสัมภิทามัคค์ แปลว่า ทางแห่งปัญญาอันแตกฉาน เป็นคําอธิบายหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งกล่าวกันว่าพระสารีบุตรเถระเจ้าได้กล่าวไว้

5.13 อปทาน แปลว่า คําอ้างอิง เป็นประวัติส่วนตัวที่แต่ละท่านเล่าไว้ ซึ่งอาจแบ่งได้ คือเป็นอดีต ประวัติของพระพุทธเจ้าของพระเถระอรหันตสาวก ของพระเถรีอรหันตสาวิกา ส่วนที่เป็นประวัติการทําความดีของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น มีคําอธิบายว่า เป็นพุทธภาษิตตรัสเล่าให้พระอานนท์ฟัง

5.14 พุทธวังส แปลว่าวงศ์ของพระพุทธเจ้า หลักการใหญ่เป็นการแสดงประวัติของพระพุทธเจ้า ในอดีต 24 องค์ รวมทั้งของพระโคตมพุทธเจ้าด้วยจึงเป็น 25 องค์ นอกจากนั้นมีเรื่องเบ็ดเตล็ดแทรกเล็กน้อย

5.15 จริยาปิฎก แปลว่า คัมภีร์แสดงจริยา คือการบําเพ็ญบารมีต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งแบ่งหลักใหญ่ออกเป็นทาน (การให้) ศีล (การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย) และเนกขัมมะ (การออกบวช)


ข้อสังเกตท้ายสุตตันตปิฎก

พระสุตตันตปิฎกซึ่งแบ่งออกเป็น 5 นิกายดังกล่าวมาแล้ว คือ ทีมนิกายจนถึงขุททกนิกายนั้น บางครั้ง พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า 5 นิกายนี้จะเรียกว่าประมวลได้ครบทั้งสามปิฎกก็ได้ คือถือว่านอกจากพระพุทธวจนะ ที่อยู่ใน 4 นิกายข้างต้นแล้ว พระพุทธวจนะที่เหลือจัดเข้าในขุททกนิกาย คือหมวดเบ็ดเตล็ดทั้งหมด คือทั้ง วินัยปิฎกและอภิธรรมปิฎก จัดเข้าในขุททกนิกายทั้งสิ้น คําว่า นิกายนี้ ในที่บางแห่งใช้คําว่า อาคม แทน พระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทที่ปรากฏแปลในฉบับจีน ชาวจีนใช้คําว่า อาคม หมายรวมแทนพระไตรปิฎกของ ฝ่ายเถรวาท

https://www.mebmarket.com/index.php?action=BookDetails&book_id=12010&page_no=1

พระอภิธรรมปิฎก

หัวข้อย่อแห่งอภิธัมมปิฎก มี 7 คือ สัง, วิ, ธา, ปุ. ก, ย, ป, ดังต่อไปนี้

1. สัง = สังคณี ว่าด้วยการรวมหมู่ธรรมะ คือธรรมะแม้จะมีมากเท่าไร ก็อาจรวมหรือจัดเป็นประเภท ๆ ได้เพียงไม่เกิน 3 อย่าง

2.วิ= วิภังค์ ว่าด้วยการแยกธรรมะออกเป็นข้อ ๆ เช่น เป็นขันธ์ 5 เป็นต้น ทั้งสังคณีและวิภังค์นี้ เทียบด้วยคําว่าสังเคราะห์ (Synthesis) และวิเคราะห์ (Analysis) ในวิทยาศาสตร์ เป็นแต่เนื้อหาในทางศาสนา กับทางวิทยาศาสตร์ มุ่งไปคนละทาง คงลงกันได้ในหลักการว่า ควรเรียนรู้ทั้งในทางรวมกลุ่มและแยกกลุ่ม เช่น รถคันหนึ่งควรรู้ทั้งการประกอบเข้าเป็นคันรถ และแยกส่วนต่าง ๆ ออก ฉะนั้น

3. ธา = ธาตุถกา ว่าด้วยธาตุ คือธรรมะทุกอย่าง อาจจัดเป็นประเภทได้โดย ธาตุ อย่างไร

4. ปุ = บุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบัญญัติ 6 ประการ เช่น บัญญัติขันธ์ บัญญัติอายตนะ จนถึงบัญญัติเรื่อง บุคคล พร้อมทั้งแจกรายละเอียดเรื่องบัญญัติบุคคลต่าง ๆ ออกไป

5. ก = กถาวัตถุ ว่าด้วยคําถาม คําตอบ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา (เพราะอรรถกถาจารย์กล่าวว่า เป็นคําถาม 500 คําตอบ 500 แต่ตัวเลข 500 นี้ อาจหมายเพียงว่าหลายร้อย เพราะเท่าที่นับกันดูแล้ว ได้คําถาม คําตอบ อย่างละ 219 ข้อ)

6. ย = ยมก ว่าด้วยธรรมเป็นคู่ ๆ บางทีจัดคู่ก็มีลักษณะเป็นตรรกวิทยา ซึ่งจะได้กล่าวถึงใน 3 ภาค ย่อความแห่งพระไตรปิฎก

7. ป = ปัฏฐาน ว่าด้วยปัจจัย คือสนับสนุน 24 ประการ

เป็นอันว่า หัวใจย่อแห่งพระไตรปิฎก คือ อา ปา ม จุป ทีม สัง อัง ขุสังวิธา ปุก ยป

https://slideplayer.in.th/slide/17167288/

https://www.slideshare.net/AnchaleeBuddhaBucha/ss-26643925

ลําดับชั้นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา

แม้ว่าพระไตรปิฎกจะนับว่าเป็นคัมภีร์สําคัญ และเป็นหลักฐานทางพระพุทธศาสนา แต่ก็มีคัมภีร์อื่นอีกที่เกี่ยวข้องด้วย จึงควรทราบลําดับชั้นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาไว้ดังต่อไปนี้

1. พระไตรปิฎก เป็นหลักฐานชั้น 1 เรียกว่า บาลี

2. คําอธิบายพระไตรปิฎก เป็นหลักฐานชั้น 2 เรียกว่า อรรถกถา หรือวัณณนา

3. คําอธิบายอรรกถา เป็นหลักฐาน 3 เรียกว่า ฎีกา

4. คําอธิบายฎีกา เป็นหลักฐานชั้น 4 เรียกว่า อนุฎีกา

นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ที่แต่งขึ้น ว่าด้วยไวยากรณ์ภาษาบาลีฉบับต่าง ๆ และอธิบายศัพท์ต่าง ๆ เรียกรวมกัน ว่า สัททาวิเสส เป็นสํานวนที่เรียกกันในวงการนักศึกษาฝ่ายไทย ปรากฏในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ว่า เมื่อทําการสังคายนา ในรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ. 2331 เพื่อชําระพระไตรปิฎกนั้น ได้มีการชําระคัมภีร์สัททวิเสสต่าง ๆ ด้วย โดยมีพระพุฒาจารย์เป็นแม่กอง

การจัดชั้นของบาลีอรรถกถา ก็เนื่องด้วยกาลเวลานั้นเอง พระไตรปิฎกเป็นของมีมาก่อน ก็จัดเป็นหลักฐานชั้น 1 คําอธิบายพระไตรปิฎกแต่งขึ้นประมาณ 956 ปี ภายหลังพุทธปรินิพพาน จึงจัดเป็นชั้น 2 ส่วน ฎีกานั้นแต่งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1587 จึงนับเป็นหลักฐานชั้น 3 อนึ่ง คัมภีร์อนฎีกานั้นแต่งขึ้นภายหลัง ฎีกาในยุคต่อ ๆ มา เป็นคําอธิบายฎีกาอีกต่อหนึ่ง จึงนับเป็นหลักฐานชั้น 4

อย่างไรก็ตาม แม้พระไตรปิฎกจะเป็นหลักฐานชั้น 1 เมื่อพิจารณาตามหลักพระพุทธภาษิตในกาลามสูตร ท่านก็ไม่ให้ติดจนเกินไป ดังคําว่า มาปิฎกสมฺปทาเนน อย่าถือโดยอ้างตํารา เพราะอาจมีผิดพลาดตกหล่นหรือ บางตอนอาจเพิ่มเติมขึ้น แสดงว่าพระพุทธศาสนาสอนให้ใช้ปัญญาพิจารณาเหตุผล สอบสวนดูให้ประจักษ์ แก่ใจตนเอง เป็นการสอนอย่างมีน้ำใจกว้างขวาง และให้เสรีภาพแก่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ นอกจากนั้นยังเป็นการยืนยันให้นําไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อได้ประจักษ์ผลนั้น ๆ ด้วยตนเองแม้จะมีพระพุทธภาษิต เตือนไว้มิให้ติดตําราจนเกินไป แต่ก็จําเป็นต้องรักษาตําราไว้ เพื่อเป็นแนวทางแห่งการศึกษา เพราะถ้าไม่มีตําราเลยจะยิ่งซ้ำร้าย เพราะจะไม่มีแนวทางให้รู้จักพระพุทธศาสนาเลย ฉะนั้น การศึกษาให้รู้และเข้าใจในพระไตรปิฎก จึงเป็นลําดับแรก เรียกว่า ปริยัติ การลงมือกระทําตามโดยควรแก่จริตอัธยาศัย เรียกว่า ปฏิบัติ การได้รับผลแห่งการปฏิบัตินั้น ๆ เรียกว่า ปฏิเวธ