ตอนที่ 1 ประวัติความเป็นมาของพระพุทธศาสนา

  ก่อนพุทธศักราช 80 ปี พระพุทธเจ้าถือกําเนิดขึ้น มีพระนามเดิมว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราช โอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางสิริมหามายา พระพุทธเจ้าประสูติในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ณ สวนลุมพินีวัน ปัจจุบันอยู่ในประเทศเนปาล เมื่อพระกุมารประสูติได้ 5 วันพระเจ้าสุทโธทนะโปรดให้มี พิธีขนานพระนามและทํานายลักษณะของพระกุมาร โดยเชิญพราหมณ์ 108 คนมาทําพิธี ได้ถวายพระนามว่า สิทธัตถะและทํานายว่าพระกุมาร จะเสด็จออกบวช

หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้ 7 วัน พระราชมารดาก็สวรรคต พระองค์จึงได้รับการดูแลจาก พระนางปชาบดีโคตมี เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเจริญวัย พระราชบิดาทรงให้ศึกษาศิลปวิทยาการในสํานักครู วิศวามิตร เจ้าชายได้ศึกษาวิชาความรู้ที่ควรจะศึกษาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อถึงประเพณีแรกนาขวัญประจําปี เจ้าชายสิทธัตถะได้ตามเสด็จพระราชบิดาไปด้วย พระองค์ได้ทรงพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ที่พบเห็น และทรงมี ความเห็นว่า “ความทุกข์อันใหญ่หลวงกําลังครอบงําคนและสัตว์จํานวนมากอยู่ตลอดเวลา” พระเจ้าสุทโธทนะ ทรงทราบว่าพระโอรสทรงเริ่มคิดไปในทางธรรม พระองค์จึงโปรดให้สร้างปราสาทอันสวยงามขึ้น 3 หลัง สําหรับให้พระโอรสประทับในแต่ละฤดู เพื่อให้พระโอรสเกิดความรื่นรมย์ ซึ่งเป็นการโน้มน้าว จิตใจของพระโอรสให้เพลิดเพลินในทางโลก

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเข้าสู่วัยหนุ่ม พระองค์ได้อภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา(ยโสธรา) แต่พระองค์ ยังทรงต้องการทราบความเป็นไปภายนอกพระราชวังว่า ประชาชนมีความเป็นอยู่อย่างไร จึงได้ทูลขอพระราชานุญาตเสด็จประพาสพระนคร ทรงพบเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ทั้ง 4 นี้ รวม เรียกว่า “เทวทูต” เจ้าชายทรงสลดพระทัยที่ทรงเห็น คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงพอพระทัยที่เห็น นักบวช พระองค์ทรงนําสิ่งที่พบเห็นมาพิจารณาไตร่ตรอง หาทางแก้ไขให้ตนเองและผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์ และทรงคิดได้ว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะคิดค้นหาทางพ้นทุกข์ได้คือ การออกบวช จนกระทั่งเจ้าชายสิทธัตถะ พระชนมายุได้ 29 พรรษา พระนางพิมพาประสูติประโอรส นามว่า ราหุล แม้ว่าพระองค์จะทรงห่วงใย พระโอรส แต่ด้วยมีพระประสงค์ที่จะหาทางช่วยเหลือชาวโลกให้พ้นทุกข์ พระองค์จึงตัดสินพระทัยออกบวช จึงเสด็จออกจากพระนครพร้อมนายฉันนะ มหาดเล็ก และม้ากัณฐกะ จนกระทั่งเสด็จถึงริมฝั่งแม่น้ำอโนมา พระองค์จึงทรงเปลื่องเครื่องประดับเพื่อให้นายฉันนะนํากลับพระนครพร้อมกับม้าทรง พระองค์ทรงใช้พระขรรค์ ตัดพระเมาลี (มวยผม) และทรงอธิษฐานเป็นนักบวช พระสิทธัตถะได้ทรงศึกษากับอาฬารดาบสและอุทกดาบส แต่พระองค์ไม่ทรงพบหนทางที่จะดับทุกข์ที่แท้จริงได้จึงเลิกเสาะแสวงหาวิชาความรู้จากสํานักลัทธิต่าง ๆ

  หลังจากที่พระสิทธัตถะศึกษาความรู้จากสํานักต่างๆ แล้วไม่ทรงพบหนทางที่จะดับทุกข์ได้ พระองค์ ทรงคิดที่จะศึกษาหาทางพ้นทุกข์ด้วยพระองค์เอง จึงได้ทรงบําเพ็ญทุกรกิริยา คือการทรมานกายด้วยวิธีต่างๆ เช่น กัดฟัน กลั้นลมหายใจ อดอาหาร เป็นต้น ในช่วงเวลาของการบําเพ็ญทุกรกิริยาของพระองค์ มีปัญจวัคคีย์ เฝ้าปรนนิบัติดูแลด้วยความศรัทธาเลื่อมใส แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่ทรงค้นพบวิธีพ้นทุกข์ได้ ซ้ำยังทําให้พระวรกายทรุดโทรม พระองค์จึงเลิกทรมานพระวรกายและหันกลับมาบริโภคอาหารจากการบิณฑบาต เช่นเดิม เป็นเหตุให้ปัญจวัคคีย์เสื่อมศรัทธาและลาจากไปเมื่อพระองค์มีพระกําลังอย่างเดิมแล้ว พระองค์ทรง เริ่มบําเพ็ญเพียรทางจิตตามหลักการของฌานหรือสมาธิ โดยทรงยึดทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทาเช้าวันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6 ขณะที่พระสิทธัตถะกําลังประทับอยู่ใต้ต้นไทร ริมแม่น้ำเนรัญชรา นางสุชาดา ได้นําข้าวมธุปายาสมาถวายด้วยเข้าใจว่าพระองค์เป็นเทวดา เมื่อพระองค์ฉันข้าวมธุปายาสแล้ว ทรงนําถาดเปล่าไปลอยที่แม่น้ำเนรัญชรา แล้วพระองค์ได้ทรงประทับนั่ง ณ โคนต้นโพธิ์ โดยตั้งพระทัยแน่ว แน่ว่าถ้าไม่ค้นพบทางดับทุกข์แล้ว จะไม่ยอมลุกไปไหนโดยเด็ดขาด เมื่อจิตของพระองค์เป็นสมาธิแล้วจึง เกิดปัญญาในการพิจารณาถึงความเป็นไปของธรรมชาติทั้งหลาย พระองค์ทรงเกิดปัญญารู้แจ้งและตรัสรู้ อริยสัจ 4 หรือความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค รวมเวลาตั้งแต่เสด็จ ออกผนวชจนถึงตรัสรู้เป็นเวลา 6 ปี ขณะนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 35 พรรษาหลังจากตรัสรู้แล้วพระพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะเผยแผ่พระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงระลึกถึง อาฬารดาบสและอุทกดาบส ทรงทราบว่าสิ้นชีวิตแล้ว จึงทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ก็ทรงทราบว่า ขณะนี้อยู่ที่ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จึงได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในวันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 8 พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมชื่อ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์ การแสดงธรรมครั้งนี้เรียกว่า ปฐมเทศนา ซึ่งส่งผลให้โกณฑัญญะเกิดดวงตาเห็นธรรม และบวชเป็นพระภิกษุ รูปแรกในพระพุทธศาสนา จากนั้นวัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ หลังจากได้ฟังธรรมแล้วเกิดความ เข้าใจในธรรม กราบทูลขอบวชกับพระพุทธเจ้าในเวลาต่อมา หลังจากพระพุทธองค์ทรงได้แสดงธรรมอบรม พระภิกษุทั้ง 5 จนได้สําเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงเกิดพระรัตนตรัยทั้ง3 คือ พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ณ ตําบลอุรุเวลาเสนานิคม ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา มีสํานักของชฏิล 3 พี่น้อง ซึ่งเป็นนักบวชที่บูชาไฟ มีบริวารรวมทั้งสิ้น 1,000 คน พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังสํานักของชฏิล 3 พี่น้อง ทั้งนี้ด้วยเห็นว่า ชฏิล 3 พี่น้อง เป็นที่เคารพนับถือของพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ ถ้าทําให้ชฏิลเหล่านี้ นับถือคําสั่งสอนของพระองค์ได้ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นมคธจะทําได้ง่ายขึ้น

พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในสํานักชฏิล 3 พี่น้องเป็นเวลาประมาณ 2 เดือน ได้ทรงแสดงธรรมแก่ชฏิล 3 พี่น้องและบริวารจนสําเร็จ ทั้งหมด ได้เห็นแจ้งว่าสิ่งที่ตนเชื่อและปฏิบัตินั้นไร้สาระ ได้หันมานับถือคําสั่งสอน ของพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลขอบวชยอมเป็นพระสาวก พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมอบรมจนทั้งหมดได้ สําเร็จเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยชฏิล 3 พี่น้อง

  เสด็จเข้าเมืองราชคฤห์ ทรงพักอยู่ที่ลัฏฐิวันหรือสวนตาลหนุ่ม พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบข่าวจึงได้พาข้าราชบริพารไปเข้าเฝ้า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟัง พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยข้าราชบริพารและประชาชนที่เข้าเฝ้าเกิดความเลื่อมใสศรัทธาประกาศตนขอนับถือ พระพุทธศาสนา และพระเจ้าพิมพิสารได้สําเร็จมรรคผลเป็นโสดาบันพระเจ้าพิมพิสารได้กราบทูลอารธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปฉันอาหารในพระราชนิเวศน์พร้อมด้วย สาวก หลังจากถวายอาหารเสร็จแล้วพระเจ้าพิมพิสารทรงหลั่งน้ำใส่พระหัตถ์ พระพุทธเจ้า ยกอุทยานสวนป่าไผ่ที่เรียกว่า พระเวฬวัน ถวายให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์สาวก พระเวฬวันจึงเป็น วัดในพระพุทธศาสนาแห่งแรกของโลก ในเมืองราชคฤห์ มีชายหนุ่ม 2 คน เป็นเพื่อนรักกัน ชื่ออุปติสสะ และโกลิตะ ได้พาพรรคพวกบริวาร 250 คน ไปบวชอยู่ในสํานักหนึ่งเพื่อแสวงหาหนทางตรัสรู้ แต่เรียนจบความรู้ของสํานักแล้วก็ยังไม่พบทาง ตรัสรู้ จึงลาจากสํานักแยกย้ายกันไปแสวงหาหนทางตรัสรู้ด้วยตนเอง แต่ก็ได้สัญญากันว่า ถ้าใครพบหนทาง ตรัสรู้ก่อนให้มาบอกด้วย อุปติสสะได้พบกับพระอัสสชิ หนึ่งในปัญจวัคคีย์เกิดความเลื่อมใสในอิริยาบท ได้เข้าไปหาและ ขอให้แสดงธรรมให้ฟัง พระอัสสชิได้แสดงธรรมให้ฟังจนอุปติสสะเกิดความเข้าใจในธรรม บรรลุมรรคผล เป็นโสดาบัน จากนั้นได้ลาพระอัสสชิและกลับไปบอกโกลิตะเพื่อนรัก โกลิตะได้ฟังธรรมที่อุปติสสะนํามาบอกก็ได้บรรลุ มรรคผลเป็น โสดบันเช่นกัน จึงได้พาพรรคพวกบริวารไปเข้าเฝ้าขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าอุปติสสะ เมื่อบวชแล้วได้ชื่อใหม่ว่า สารีบุตร บวชได้ 15 วันจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ ต่อมาได้รับการยกย่องจาก พระพุทธองค์ให้เป็นอัครสาวกฝ่ายขวา ผู้มีความเป็นเลิศด้านปัญญา ส่วน โกลิตะได้ชื่อใหม่ว่า โมคคัลลานะ บวชได้ 7 วัน ก็บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ และได้รับการยกย่อง ให้เป็น อัครสาวกฝ่ายซ้าย ผู้มีความเป็นเลิศด้านมีฤทธิ์ คือ มีความสามารถพิเศษที่ได้จากการทําสมาธิ เช่น เหาะเหินเดินอากาศได้ เป็นต้น

  ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีถัดมาหลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ พระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ที่ออกไปเผยแผ่พระธรรมยังที่ต่างๆ ได้ กลับมาเฝ้าพระพุทธองค์อย่างพร้อมเพรียงกัน โดยมิได้นัดหมาย จํานวน 1,250 รูป พระพุทธเจ้าทรงเห็นเป็น โอกาสเหมาะ จึงทรงให้จัดประชุมพระสาวกขึ้นในวันนั้น และทรงแสดงธรรมที่เรียกว่า “โอวาทปาฏิโมกข์” ซึ่งเป็นธรรมที่ถือว่าเป็นหลักการของพระพุทธศาสนา คือสอน ให้ละเว้นการทําความชั่วให้กระทําแต่ความ ดี และทําจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส การประชุมพระสาวกครั้งนี้มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ 4 ประการคือ

  1. เป็นวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงเดือน 3

  2. พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนมากัน โดยไม่ได้นัดหมาย

  3. พระสงฆ์ทั้งหมดเป็นพระอรหันต์

  4. พระสงฆ์ทั้งหมดพระพุทธเจ้าทรงบวชให้

ด้วยเหตุนี้การประชุมครั้งนี้จึงเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต พระพุทธเจ้าทรงได้กําลังจากพระสงฆ์ สาวกเผยแผ่พระศาสนาไปยังเมืองและแคว้นต่างๆ ทั้งแคว้นเล็กแคว้นใหญ่ พระพุทธศาสนาเริ่มเป็นปึกแผ่น มั่นคง โดยมีบุคคลที่เป็นกําลังสําคัญ 4 กลุ่ม ที่เรียนกว่า พุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกาพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาโดยมีพุทธบริษัท 4 ดังกล่าวช่วยเป็นกําลังสําคัญเป็นเวลา ทั้งหมด 45 พรรษา รวมพระชนมายุได้ 80 ปี จึงได้ปรินิพพานที่เมืองกุสินาราในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อน ปรินิพพานได้เทศนาแก่ สุภัททปริพาชก จนได้สําเร็จอรหันต์และบวชเป็นสาวกองค์สุดท้าย เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนตัวแทนของพระองค์คือพระธรรมวินัย และมี พระสงฆ์ต่างก็เข้ารับหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อเนื่องกันมา จนพระพุทธศาสนาได้รับการเผยแผ่ไปยัง ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย

สรุปสาระสําคัญ

  พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สําคัญศาสนาหนึ่งของโลกที่กําเนิดมามากกว่า 2,500 ปี มีแหล่งกําเนิด ในประเทศอินเดีย มีพระพุทธเจ้าเป็นศาสดา คนไทยส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาและถือว่าเป็นศาสนาที่ มีอิทธิพลต่อการดําเนินชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมาก การศึกษาพุทธประวัติทําให้เกิดความเข้าใจ และเป็น แบบอย่างในการดําเนินชีวิต ทําให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคม