ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการปฐมพยาบาล
การปฐมพยาบาล
การให้ความช่วยเหลือต่อผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุให้พ้นจากอันตรายหรือลดอันตรายให้น้อยลง โดยใช้อุปกรณ์เท่าที่ จะสามารถหาได้ในขณะนั้น ก่อนที่จะนำผู้ป่วยส่งต่อไปยังสถานพยาบาลต่อไป
วัตถุประสงค์ของการปฐมพยาบาล
•เพื่อช่วยชีวิต และลดความรุนแรงของการเจ็บป่วยให้น้อยลง
•เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตามมา
•ป้องกันความพิการที่อาจเกิดขึ้นตามมาภายหลัง
•จัดเตรียมหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วยได้อย่างถูกวิธี
หลักสำคัญในการปฐมพยาบาล
1.ความปลอดภัยของสถานที่เกิดเหตุ ผู้ปฐมพยาบาลจะต้องคำนึงถึงอันดับแรกก่อนเข้าไปให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
2.เมื่อมีผู้ได้รับอุบัติเหตุ ควรให้ผู้ป่วยนอนพักนิ่งๆ ในท่าที่สบายที่สุด หรือในท่าที่ถูกต้องต่อการปฐมพยาบาล
3.ทำให้บริเวณนั้นมีอากาศถ่ายเท ปลอดโปร่ง ไม่มีคนมุงดู มีแสงสว่างเพียงพอที่จะทำการปฐมพยาบาลได้สะดวก
4.สำรวจระบบที่สำคัญของร่างกายอย่างรวดเร็ว และวางแผนการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม คอยสังเกตอาการชีพจร และการหายใจของผู้ป่วยตลอดเวลา
5.ห้ามเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทันทีโดยที่ยังไม่ได้เตรียมการ เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการบาดเจ็บมากขึ้น
6.ถ้าสถานที่นั้นไม่ปลอดภัย เช่น อยู่ในน้ำ กลางถนน ไฟไหม้ หรือสถานที่นั้นไม่สะดวก ให้ทำการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยก่อนให้การปฐมพยาบาล
7.การนำส่งหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าจะนำส่งในลักษณะใดและนำส่งในท่าอย่างไรให้เหมาะสมกับสภาพของผู้ป่วยและผู้ป่วยได้รับความปลอดภัยมากที่สุด
8.ในการนำส่งสถานพยาบาล ควรมีการรายงานเรื่องราวของผู้ป่วยเกี่ยวกับเหตุการณ์อาการต่างๆ เพื่อแพทย์จะได้วินิจฉัยทำการรักษาได้อย่างถูกต้องต่อไป
9.ผู้ปฐมพยาบาลควรให้การช่วยเหลือผู้ป่วยตามลำดับความรุนแรงของอาการหรือความรุนแรงที่ผู้ป่วยได้รับ โดยเรียงตามลำดับความสำคัญ
1.การหยุดหายใจ
2.ทางเดินหายใจอุดตัน
3.หัวใจหยุดเต้น
4.การเสียเลือดจำนวนมากอย่างรวดเร็ว
5.หมดความรู้สึก
6.ความเจ็บปวด
7.กระดูกหัก
วิธีการปฐมพยาบาลอย่างปลอดภัย
การปฐมพยาบาลบาดแผล
บาดแผล การช้ำ ฉีกขาดของผิวหนัง และ/หรือเนื้อเยื่อของร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการต่างๆ แทรกซ้อนขึ้นได้
•หลักสำคัญของการปฐมพยาบาลบาดแผล
1.ถ้ามีเลือดไหล จะต้องห้ามเลือดโดยวิธีใดวิธีหนึ่งตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นก่อนเสมอ
2.ถ้ามีอาการช็อกหรือเป็นลม ควรรักษาอาการช็อกหรือเป็นลมเสียก่อน ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นให้รีบนำส่งสถานพยาบาลทันที
3.เมื่อเลือดหยุด ให้ทำความสะอาดบาดแผล โดยสิ่งที่ใช้ทำความสะอาดแผลก็สามารถหาได้ง่ายๆ เช่น น้ำต้ม น้ำเกลือ น้ำยาด่างทับทิม แอลกอฮอล์ เป็นต้น จากนั้นใช้ผ้าก๊อซหรือสำลีที่สะอาดปิดแล้วพันผ้าไว้ ถ้าบริเวณรอบๆ บาดแผลยังสกปรกอยู่ให้ล้างแผลด้วยสบู่ก่อน
4.ขณะทำความสะอาด ควรตรวจบาดแผลด้วยว่ามีลักษณะอย่างไร ความกว้าง ความลึก มีอะไรหักคาติดอยู่ที่แผลหรือไม่
5.รีบนำส่งสถานพยาบาลโดยด่วน
6.บันทึกเหตุการณ์ และเรื่องราว ตลอดจนการปฐมพยาบาล เพื่อเป็นข้อมูลให้กับแพทย์ในการรักษาต่อไป
บาดแผลตัด
แผลฉีกขาดที่มีขอบแผลเรียบ เช่น มีดบาด กระจกบาด ฝากระป๋องบาด เป็นต้น อาจเป็นบาดแผลตื้นๆ หรือบาดแผลตัดลึกก็ได้ มักจะ มีเลือดออกมากเนื่องจากเส้นเลือดถูกตัดขาดบริเวณขอบแผล
วิธีการปฐมพยาบาล
•ถ้าบาดแผลเล็กและเลือดออกน้อย ให้ทำการห้ามเลือด โดยการใช้ผ้าสะอาดกดลงบนบาดแผลประมาณ 15-20 นาที
•ถ้าเลือดหยุดแล้วให้ล้างน้ำทำความสะอาดบาดแผล
•ถ้าเป็นบาดแผลกว้างและลึกมีเลือดออกมาก ไม่ต้องล้างแผล ให้ใช้ผ้าสะอาดกดห้ามเลือด แล้วรีบส่งสถานพยาบาลทันที
บาดแผลช้ำ
เป็นอาการบวม แดง คล้ำ หรือเขียว ไม่มีบาดแผล ซึ่งอาจเกิดจากการกระแทกจากของแข็งที่ไม่มีคม แต่อาจมีอาการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ และเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนัง
วิธีการปฐมพยาบาล
•ใน 24 ชั่วโมงแรกให้ประคบด้วยความเย็น เช่น ถุงใส่น้ำแข็ง หรือเจลแช่เย็นแล้วนำไปประคบเพื่อห้ามเลือดและเพื่อระงับความเจ็บปวด
•หลัง 24 ชั่วโมง สามารถประคบด้วยความร้อนได้ เพื่อลดอาการ ปวดบวมถ้ายังมีอาการปวดมาก อาจให้ยาระงับปวดช่วย
บาดแผลถูกแทง
เป็นแผลที่เกิดจากวัตถุปลายแหลมแทงเข้าไปทำให้เกิดบาดแผลที่มีความลึกมากกว่าความยาว ถ้าลึกลงไปถูกอวัยวะสำคัญจะมีเลือดออกได้มากและเป็นสาเหตุทำให้เกิดการตกเลือดภายในซึ่งบาดแผลที่ถูกแทงนี้ หากมีสิ่งใดหักคาอยู่ไม่ควรดึงออก แต่ให้พันผ้ารอบสิ่งที่หักคาเพื่อให้อยู่นิ่ง แล้วรีบนำส่งสถานพยาบาล
การห้ามเลือดบาดแผล
การห้ามเลือดบาดแผลทั่วไป มีวิธีปฐมพยาบาล ดังนี้
ใช้ผ้าสะอาดวางบนแผล แล้วใช้นิ้ว
กดลงบนผ้านั้น
ยกส่วนที่มีเลือดออกให้สูงกว่าระดับ
หัวใจ ยกเว้นส่วนที่มีกระดูกหัก ร่วมด้วย
ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณบาดแผล
เพื่อให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น
การห้ามเลือดตามตำแหน่งต่างๆ ของร่างกาย
•ศีรษะ
ใช้ผ้าสะอาดทับกันหนาๆ แทนผ้าพันแผลหรือผ้าก๊อซ หรืออาจใช้สำลีหนาๆ วางบนตำแหน่งที่เลือดออกแล้วใช้ผ้าพันแผลพันทับอีกทีให้แน่น
•ลิ้นหรือริมฝีปาก
ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้บีบที่สองข้างของแผล
•บริเวณคอ
ใช้นิ้วมือกดบนหลอดโลหิต หรือใช้ผ้าหนาๆ หรือสำลีหนาๆ วางซ้อนกัน แล้วกดด้วยนิ้วมือ ซึ่งอาจใช้ผ้าพันแผลพันทับด้วยก็ได้
•บริเวณต้นแขนหรือปลายแขน
ใช้นิ้วมือกดบนหลอดโลหิต หรือใช้ผ้าหนาๆ หรือสำลีหนาๆ วางซ้อนกัน แล้วกดด้วยนิ้วมือ ซึ่งอาจใช้ผ้าพันแผลพันทับด้วยก็ได้
•ข้อมือ
อาจใช้นิ้วมือหรือผ้าหนาๆกดตรงตำแหน่งที่เลือดออก
•ฝ่ามือ
ให้ผู้ป่วยกำผ้าหรือสำลีที่สะอาดให้แน่น แล้วใช้ผ้าพันรอบมือทับไว้ เมื่อห้ามเลือดเรียบร้อยแล้ว ควรใช้ผ้าคล้องคอห้อยแขนผู้ป่วยไว้ด้วย
•ต้นขาและขา
ใช้นิ้วกดหรือใช้สายยางรัดเหนือแผล แล้วยกขาให้สูงสำหรับในกรณีที่ไม่มีกระดูกหักร่วมด้วย
•เท้า
ใช้วิธีแพดและแบนเดจ (Pad and Bandage) โดยใช้ผ้าหนาๆ พันแผลไว้ให้แน่น แล้วยกเท้าให้สูงขึ้นในกรณี ที่ไม่มีกระดูกหักร่วมด้วย
ข้อควรคำนึงในการห้ามเลือด
1.ผู้ให้ความช่วยเหลือ ควรสวมถุงมือยางก่อนจะทำการปฐมพยาบาล เพื่อป้องกันเชื้อโรคจากการติดต่อทางเลือด
2.ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลของผู้ป่วย โดยการทำความสะอาดมือและสิ่งของต่างๆ ที่ต้องใช้สัมผัสกับบาดแผลของผู้ป่วย ให้สะอาด
3.เมื่อทำการห้ามเลือดอย่างถูกวิธีแล้ว ถ้าเลือดยังไม่หยุดไหล ให้รีบนำผู้ป่วยส่งสถานพยาบาลโดยเร่งด่วนทันที
ถูกแมลงต่อย
เช่น ผึ้ง แตน ต่อ เมื่อต่อยแล้วมีเหล็กในฝังอยู่ โดยพิษจากเหล็กในมีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้เกิดอาการบวม แดง คัน และปวดได้ ถ้าถูกต่อยมากๆ บางรายอาจมีไข้สูง
การปฐมพยาบาล
•ให้รีบเอาเหล็กในออก โดยใช้ลูกกุญแจชนิดที่มีรูตรงปลายกดลงตรงที่ถูกต่อยเพื่อให้เหล็กในโผล่ขึ้นมา แล้วอาจใช้เล็บหรือคีมเล็กๆ ดึงเหล็กในออก
•ใช้สำลีชุบน้ำยาที่เป็นด่างอ่อนๆ เช่น แอมโมเนีย น้ำปูนใส หรือน้ำเกลือ ชุบปิดบาดแผลไว้สักครู่ จากนั้นใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่ถูกต่อยเพื่อลดอาการปวดบวมได้
•ถ้าในรายที่มีอาการปวดมาก อาจให้รับประทานยาระงับอาการปวด เช่น พาราเซตามอล เป็นต้น
•ถ้าถูกแมลงหลายตัวจำนวนมากรุมต่อย โดยเฉพาะถูกต่อยบริเวณลำคอหรือใบหน้า ควรรีบนำส่งสถานพยาบาลโดยเร็ว
ถูกงูกัด
งูมีพิษและงูไม่มีพิษ จะมีลักษณะบาดแผลที่แตกต่างกัน ซึ่งความรุนแรงของพิษที่เกิดขึ้น จะขึ้นอยู่กับชนิดของงู
สำหรับผู้ที่ถูกงูมีพิษกัด
•ไม่ควรรัดแบบขันชะเนาะ เพราะจะทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณที่ต่ำกว่ารอยรัดไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้บริเวณนั้นเกิดการเน่าขึ้นได้ภายหลัง
•ไม่ควรใช้ไฟจี้แผล มีดกรีดแผล หรือดูดแผล
•ผู้ที่ถูกงูกัด ไม่ควรให้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะจะไปออกฤทธิ์กดการหายใจ ไม่ควรให้ยากล่อมประสาท ยาระงับประสาท เพราะจะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการง่วงได้ ซึ่งทำให้สับสนกับอาการจากพิษงูบางชนิด
•อย่าเสียเวลาลองใช้ยาในบ้าน หรือวิธีการรักษาแบบอื่นๆ ควรรีบนำส่งสถานพยาบาลเพื่อให้แพทย์ทำการรักษา จะปลอดภัยมากกว่า
•อย่าพยายามใช้เชือกรัดบริเวณข้อกระดูกต่างๆ เช่น ข้อเท้า เข่า ข้อศอก
ถูกสุนัขบ้ากัด
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรง พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น สุนัข แมว กระรอก วัว ม้า สุกร ค้างคาว เป็นต้น สามารถติดต่อมาถึงคนได้โดยน้ำลายของสัตว์เหล่านี้ผ่านเข้ามาทางบาดแผลเปิดหรือเยื่อเมือก ได้แก่ ตา ปาก และจมูก ซึ่งจะมีอาการคันบริเวณแผลที่ถูกกัด
การปฐมพยาบาล
•เมื่อถูกกัด ให้รีบล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาด และฟอกสบู่หลายๆ ครั้งเพื่อล้างเมือกน้ำลายที่อาจมีเชื้อโรคออกให้หมด
•ทำความสะอาดบาดแผลที่ถูกกัดซ้ำด้วยแอลกอฮอล์ 70% จากนั้นให้ทายาฆ่าเชื้อรอบบาดแผล เช่น ทิงเจอร์ไอโอดีน เป็นต้น
•ควรรีบนำส่งสถานพยาบาลเพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าจากแพทย์ทันที
•ถ้ากักขังสัตว์ไม่ได้ ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยหรือหน่วยกู้ภัยที่อยู่ใกล้เพื่อดำเนินการต่อไป
•ถ้าหากติดตามสัตว์ที่กัดไม่ได้ไม่ว่าจะด้วยกรณีใด ก็จำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ส่วนกรณีที่ถูกเลียผิวหนังที่ไม่มีแผลหรือเพียงแค่อุ้มสัตว์ ไม่ต้องฉีดวัคซีนป้องกันเพราะไม่ทำให้ติดเชื้อโรค
•นำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
ข้อสังเกตสำหรับสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
•สัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ตื่นเต้น / กระวนกระวาย / ไล่กัดคนและสัตว์อื่นๆ / ลิ้นห้อยออกมานอกปาก / น้ำลายไหลยืด / เดินเซ
กลืนน้ำกลืนอาหารไม่ได้ / เป็นอัมพาตและตายในที่สุด
การปฐมพยาบาลเมื่อถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก
ผิวหนังที่ถูกทำลายด้วยความร้อนจนเกิดเป็นแผลไหม้ จะทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงเสียชีวิต โดยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อน ช็อกจากการเสียน้ำและของเหลวและติดเชื้อได้ง่าย ส่วนผิวหนังที่ถูก น้ำร้อนลวกจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณผิวหนังส่วนบนและพุพองขึ้นมา
แผลที่ถูกไฟไหม้และน้ำร้อนลวก มีอยู่ 2 ลักษณะ
•แผลแบบตื้นๆ
การบาดเจ็บเกิดขึ้นที่บริเวณผิวหนังชั้นนอก โดยผิวหนังจะมีสีเข้ม เกรียม ดำหรือพอง และเจ็บตรงบริเวณแผล
•แผลแบบลึก
ผิวหนังทุกชั้นจะถูกทำลาย มีสีแดงเข้มไหม้เกรียมหรือพุพองขึ้นมา แต่ไม่ค่อยรู้สึกเจ็บบริเวณแผลเพราะปลายประสาทถูกทำลาย
การปฐมพยาบาล
•สำหรับผู้ป่วยที่มีแผลไหม้หรือถูกลวกเล็กน้อยให้ใช้น้ำเย็นราดตรงบริเวณแผลอย่างน้อย 10 นาที เพื่อให้บริเวณที่ไหม้หรือถูกลวกนั้นเย็นลง
•ห้ามใช้น้ำกับผู้ป่วยที่ตัวยังติดโยงอยู่กับแหล่งกระแสไฟฟ้า และไม่ควรใช้น้ำมันครีม หรือน้ำยาทาผิว ทาที่บริเวณแผล
•ใช้ผ้าสะอาดปิดบริเวณแผล และใช้ผ้าเช็ดตัวนุ่มๆ คลุมทับไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บมากขึ้น
•ถ้าแผลไหม้หรือถูกลวกนั้นรุนแรงมาก ห้ามให้แผลถูกน้ำ แต่ให้ใช้ผ้าปิดแผลที่ฆ่าเชื้อโรคแล้ว ปิดแผลไว้หลวมๆ แล้วให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเพื่อชดเชยการเสียน้ำของร่างกาย และรีบนำส่งสถานพยาบาลโดยเร็ว
•ถ้าแผลไหม้หรือถูกลวกนั้นมีบริเวณกว้าง ให้ผู้ป่วยนอนยกขาทั้ง 2 ข้างให้สูงกว่าลำตัว แต่ถ้าแผลไหม้เกิดบริเวณศีรษะ หน้าท้อง หน้าอก ให้ใช้ผ้าห่มหนุนไหล่ผู้ป่วยไว้
•ห้ามเจาะถุงน้ำที่พองบริเวณแผล เพราะจะทำให้ติดเชื้อโรคได้ง่ายขึ้น
การปฐมพยาบาลเมื่อเลือดกำเดาไหล
พบได้บ่อยในวัยเด็กและวัยกลางคน ส่วนใหญ่ไม่มีสาเหตุแน่ชัด อาจเกิดจากการเป็นหวัด สั่งน้ำมูกหรือจามแรงมากเกินไป แคะจมูก หรือศีรษะได้รับการบาดเจ็บ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง โพรงจมูกอักเสบ หรืออาจพบในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงโดยจะมีอาการเลือดออกทางจมูกข้างเดียวหรือสองข้าง แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ
การปฐมพยาบาล
•ให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรงบนเก้าอี้และก้มศีรษะไปข้างหน้าเล็กน้อย
•บีบจมูกให้แน่นประมาณ 10 นาที ระหว่างนี้ให้กลืนเลือดที่ออกจากทางด้านหลังจมูก และหายใจทางปาก
•พอครบ 10 นาที ให้ปล่อยมือที่บีบจมูก แล้วนั่งนิ่งๆ ถ้าเลือดยังออกอีกให้บีบต่ออีก 10 นาที
•วางน้ำแข็ง หรือผ้าเย็นๆ บนสันจมูก หรือหน้าผาก
•เมื่อเลือดหยุด ให้นั่งนิ่งๆ หรือนอนลงสักพัก ระหว่างนี้ห้ามสั่งน้ำมูกอย่างน้อย 3 ชั่วโมง และไม่ควรแคะจมูกหรือ ใส่สิ่งแปลกปลอมเข้าไป
•ถ้าเลือดออกมากจนซีด และปวดศีรษะ หรือไม่สามารถห้ามเลือดด้วยวิธีธรรมดา(โดยเฉพาะผู้สูงอายุ) หรือถ้าเป็นบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์
การปฐมพยาบาลคนเป็นลม
เกิดขึ้นเนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอชั่วคราวทำให้ผู้ป่วยหมดสติไปชั่วครู่(มักไม่เกิน ๕ นาที) แล้วกลับฟื้นคืนสติได้เหมือนเดิม
การเป็นลม
1. ลมแดด
•เป็นการหมดสติที่เกิดจากความร้อน เกิดจากการเสียเหงื่อมากเมื่อเล่นกีฬานานๆ หรือทำงานในที่ร้อนจัด โดยไม่ได้รับการชดเชยน้ำหรือเกลือแร่ที่เสียไปอย่างเพียงพอ ผู้ป่วยจะมีอาการกระหายน้ำมาก ปวดศีรษะ มึนงง วิงเวียน คลื่นไส้ หายใจเร็ว ตัวจะร้อนขึ้นเรื่อยๆ อาเจียน และหมดสติได้ในเวลาต่อมา ซึ่งหากไม่ได้รับการปฐมพยาบาลและรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
1. นำผู้ป่วยเข้าไปในที่เย็นให้เร็วที่สุด โดยจัดให้นอนราบ
2.. ถอดเสื้อของผู้ป่วยออก คลุมตัวของผู้ป่วยด้วยผ้าเย็นและเปียก พรมน้ำให้เปียกตลอดเวลาหรือใช้ผ้าเย็นเช็ดตัวให้ทั่วเพื่อให้อุณหภูมิของร่างกายผู้ป่วยลดลงสู่ระดับปกติ
3. เมื่ออุณหภูมิของร่างกายผู้ป่วยลดลงสู่ระดับปกติแล้วให้เปลี่ยนผ้าคลุม ที่เปียกออกเป็นผ้าแห้ง แล้วสังเกตอาการผู้ป่วยต่อไปอย่างใกล้ชิดถ้าอาการไม่ดีขึ้นให้รีบนำส่งสถานพยาบาล
2. การเป็นลมเนื่องจากการสูญเสียเหงื่อมากเกินไป
พบได้บ่อยในผู้ที่มีอาการ เช่น ท้องเสียและอาเจียน หรือออกกำลังกายในที่ร้อนชื้น โดยจะมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ เหงื่อออก เป็นตะคริวบริเวณแขน ขา หรือหน้าท้อง ชีพจรและการหายใจเบาและเร็ว
การปฐมพยาบาล
•ให้ผู้ป่วยนอนราบในที่เย็น
•คลายหรือถอดเสื้อผ้าออกเท่าที่จำเป็น
•เช็ดเหงื่อด้วยผ้าชุบน้ำ หรือเปิดพัดลมเบาๆ
•ถ้าผู้ป่วยรู้สึกตัวดีแล้วให้ผู้ป่วยดื่มน้ำส้มหรือน้ำผลไม้เย็นๆ หรือจิบเครื่องดื่มผสมเกลือแร่เจือจาง (เกลือแร่ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 ลิตร)
•ถ้าปฐมพยาบาลแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้รีบนำส่งสถานพยาบาล
ข้อสังเกตลักษณะผู้ป่วย
•ลมแดด จะมีอาการตัวร้อน หน้าแดง ตัวแดง และจะไม่มีเหงื่อออก อุณหภูมิในร่างกายจะร้อนจัด และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องใช้ความเย็นช่วยประคบ
•การเป็นลมเนื่องจากการสูญเสียเหงื่อมากเกินไป จะมีเหงื่อออก ตัวเย็น หน้าซีด และเป็นตะคริวตามแขน ขา หรือหน้าท้อง
การปฐมพยาบาลเมื่อกระดูกหัก
กระดูกหัก หมายถึง กระดูกร้าว แตก หรือหัก ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการถูกแรงกระทบโดยตรงหรือทางอ้อมสามารถพบได้ 2 ลักษณะ คือ กระดูกหักแผลปิด กระดูกหักแผลเปิด
สามารถสังเกตอาการได้ ดังนี้
•ส่วนมากผู้ป่วยจะได้ยินเสียง หรือรู้สึกว่าปลายกระดูกหักครูดกัน ซึ่งบางครั้งจะดังออกมาให้ได้ยิน
•ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดบริเวณที่กระดูกหักเมื่อสัมผัส มีอาการบวม ช้ำ และไม่สามารถใช้อวัยวะส่วนนั้นได้
•รูปร่างของกระดูกเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจอยู่ในท่าที่ผิดปกติจากเดิมหรือผิดรูปเมื่อเทียบกับข้างที่ไม่หัก
ตัวอย่างการปฐมพยาบาลผู้ป่วยกระดูกหักที่ขา
1. ขยับเขยื้อนบริเวณที่บาดเจ็บน้อยที่สุด จัดให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในท่าที่สบาย ถ้ามีบาดแผล เลือดออก ควรใช้ผ้ากดแล้วห้ามเลือดก่อน เพื่อให้เลือดหยุดไหลและสะดวกต่อการ ปฐมพยาบาลในขั้นตอนต่อไป
2. ให้จับขาข้างที่หักนิ่งไว้ แล้วจับขาข้างที่ดีมาวางชิดขาข้างที่หัก ผูกยึดชั่วคราว เพื่อความสะดวกในการพลิกตัวเพื่อวางเฝือก โดยผูกเปลาะที่ 1 ตรงตำแหน่ง ข้อเท้าเปลาะที่ 2 ที่หัวเข่า และเปลาะที่ 3 ที่สะโพก
3. เตรียมเฝือกที่มีความกว้างยาวเหมาะสมกับขา ถ้าเฝือกเป็นไม้ควรใช้ผ้ารองที่เฝือก ก่อน แล้วพลิกตะแคงขาข้างที่บาดเจ็บขึ้น เพื่อสอดเฝือกให้รองรับขาตั้งแต่ส้นเท้า จนถึงสะโพก
4. แกะผ้าที่ผูกยึดขาทั้ง 2 ข้างออกยกขาข้างที่หักพร้อมเฝือกขึ้นวางบนเข่าผูกยึดเฝือก ติดกับขา ให้ปมผูกอยู่นอกลำตัวโดยผูกที่ข้อเท้า ชิดเข่า และข้อสะโพก
5. วางขาที่มัดติดกับเฝือกลงกับพื้น สอดผ้าระหว่างขาทั้งสองข้างและรวบขาทั้งสองข้าง เข้าด้วยกัน พร้อมกับยกขึ้นตั้งบนเข่า แล้วผูกยึดขาทั้ง ๒ ข้างให้ติดกันที่ข้อเท้าเหนือเข่า เหนือเปลาะเดิม สะโพกเหนือเปลาะเดิม และปลายเฝือกบริเวณเชิงกราน
6. กรณีกระดูกหักที่แขน เมื่อปฐมพยาบาลแล้วอาจจะใช้ผ้าสามเหลี่ยมคล้องแขน เพื่อปกป้องแผลอีกชั้นหนึ่งและช่วยพยุงไม่ให้ส่วนที่มีบาดแผลเคลื่อนไหว
การเคลื่อนย้ายโดยผู้ช่วยเหลือคนเดียว
ใช้ในกรณีที่เราพบผู้ป่วยคนเดียว และไม่สามารถที่จะหาผู้อื่นมาช่วยได้ เหมาะสำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งมีด้วยกันหลายวิธี
1. วิธีพยุงเดิน ใช้กับผู้ป่วยที่รู้สึกตัวมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
•ให้ผู้ช่วยเหลือยืนเคียงข้างผู้ป่วย หันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน แล้วจับแขนข้างหนึ่งของผู้ป่วยพาดไว้ที่คอ มือผู้ช่วยเหลือข้างหนึ่งอ้อมไปข้างหลังรัดบั้นเอวของผู้ป่วยไว้ และพาเดินไปทิศทางเดียวกัน
2. วิธีอุ้มกอดด้านหน้า เหมาะสำหรับในกรณีที่ผู้ป่วยมีรูปร่างเล็กกว่า มีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
•ให้ผู้ช่วยเหลือคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ใช้มือทั้งสองข้างช้อนตัวผู้ป่วยบริเวณหลังและเข่า แล้วยกผู้ป่วยขึ้นโดยใช้กำลังขาถ้าผู้ป่วยยังมีสติ ให้ใช้แขนด้านในคล้องคอผู้ช่วยเหลือไว้
3. วิธีอุ้มทาบและกอดหลัง ใช้ในกรณีที่คนเจ็บ เดินไม่ได้ ข้อเท้าแพลงหรือข้อเท้าเคล็ด
•ให้ผู้ป่วยยืนทาบทางด้านหลังและกอดคอผู้ช่วยเหลือ โดยผู้ช่วยเหลือย่อเข่าลงพร้อมทั้งสอดมือไว้ใต้เข่าของผู้ป่วยทั้งสองข้าง จากนั้นยึดฝ่ามือทั้งสองข้างของผู้ป่วยไว้
4. วิธีอุ้มแบก ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว หรือรู้สึกตัวก็ได้ แต่ไม่ใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่กระดูกสันหลังหัก ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้
•ก่อนการเคลื่อนย้าย ผู้ช่วยเหลือต้องตรวจดูร่างกายผู้ป่วยและจัดให้อยู่ในท่านอนคว่ำ
•ผู้ช่วยเหลือยืนคร่อมลำตัวผู้ป่วย เอามือดึงไหล่ผู้ป่วยขึ้นมา
•สอดแขนและมือใต้รักแร้ของผู้ป่วย แล้วประสานมือยึดกันไว้
•ดึงตัวผู้ป่วยจากท่าคุกเข่าให้ยืนขึ้น มือข้างหนึ่งจับข้อมือผู้ป่วยไว้ อีกข้างโอบเข้าที่เอว
•ย่อตัวลงเพื่อให้ผู้ป่วยพาดอยู่ที่บ่าใช้มือที่โอบเอวรวบเข่าทั้งสองข้างของผู้ป่วยไว้
•ผู้ช่วยเหลือยืนขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งจับขาบริเวณข้อพับ ส่วนมืออีกข้างยึดมือผู้ป่วยไว้
•ใช้มือข้างที่จับขาผู้ป่วยจับยึดข้อมือของผู้ป่วยไว้ แล้วจึงพาเคลื่อนย้าย
การเคลื่อนย้ายโดยใช้ผู้ช่วยเหลือ 2 คน
1. วิธีอุ้มเคียง ผู้ช่วยเหลือต้องยืนด้านเดียวกัน โดยให้คนใดคนหนึ่งอุ้มบริเวณศีรษะและไหล่ ส่วนอีกคนอุ้มสะโพกและขา แล้วออกเดินพร้อมๆ กัน
2. วิธีพยุง วิธีนี้จะต้องให้แขนทั้ง 2 ข้างของผู้ป่วย พาดที่ไหล่ของผู้ช่วยเหลือทั้งสอง แล้วจับมือผู้ป่วยไว้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งให้พยุงผู้ป่วยไว้
3. วิธีอุ้มแบบนั่งสองมือ ผู้ช่วยเหลือทั้งสองคุกเข่าหันหน้าเข้าหากัน โดยให้ผู้ป่วย อยู่ตรงกลาง ผู้ช่วยเหลือใช้มือประสานกันแล้วยกผู้ป่วยยืนขึ้นพร้อมๆ กัน แล้วจึง พาเคลื่อนย้ายไปยังจุดหมาย
4. วิธีอุ้มแบบใช้ 2 คนหาม ซึ่งวิธีนี้จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บไม่รุนแรงและผู้ป่วยสามารถช่วยตัวเองได้ โดยให้ผู้ช่วยเหลือทั้งสองลุกขึ้นและเดินพร้อมๆ กัน วิธีนี้ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่สงสัยว่ากระดูกสันหลังหัก
5. วิธีอุ้มแบบประสานแคร่ จะใช้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่ยังมีสติ ให้ผู้ช่วยเหลือ 2 คน
ปฏิบัติดังนี้
•ใช้มือสอดประสานกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม คุกเข่าลง •ให้ผู้ป่วยนั่งลงบนมือของผู้ช่วยเหลือ โดยผู้ป่วยใช้มือทั้งสองข้างกอดคอผู้ช่วยเหลือ ทั้งสองไว้ จากนั้นผู้ช่วยเหลือทั้งสองลุกขึ้นพร้อมๆ กันและพาเคลื่อนย้าย
การเคลื่อนย้ายโดยใช้ผู้ช่วยเหลือ 3 คน
ใช้ในกรณีที่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในท่านอน และผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว โดยระยะทางที่เคลื่อนย้ายจะต้องไม่ไกลมาก ซึ่งมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้
•ผู้ช่วยเหลือ 3 คนยืนเรียงกันข้างตัวผู้ป่วย หันหน้าเข้าหาผู้ป่วย จากนั้นคุกเข่าข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งควรเป็นเข่าข้างเดียวกัน โดยผู้ช่วยเหลือคนแรกใช้แขนข้างหนึ่งสอดใต้ศีรษะ ตรงบริเวณคอ และไหล่ของผู้ป่วย มืออีกข้างสอดเข้าที่หลัง ส่วนคนที่สองสอดแขนข้างหนึ่งที่บริเวณเอวและสะโพก อีกข้างสอดเข้าที่ขาท่อนบน และคนที่สามสอดแขนข้างหนึ่งใต้เข่า อีกข้างสอดที่ข้อเท้า
•ให้สัญญาณยกผู้ป่วยพร้อมๆ กันโดยยังอยู่ในท่าคุกเข่า
•ให้สัญญาณยืนขึ้นพร้อมๆ กันแล้วทำการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังจุดหมาย
การเคลื่อนย้ายโดยใช้เปลหาม
ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการช็อก หมดสติ บาดเจ็บรุนแรง กระดูกขาหัก หรืออื่นๆ โดยจะต้องใช้ผู้ช่วยเหลือ 4 คน หรือแค่ 2 คนก็ได้ ในการเคลื่อนย้าย ซึ่งอาจทำได้ง่ายโดยดัดแปลงวัสดุ แต่จะยุ่งยากบ้างในขณะที่อุ้มผู้ป่วยวางบนเปลหรืออุ้มออกจากเปล
กางผ้าห่มออก วางไม้ยาวที่แข็งแรง
บนผ้า ประมาณสองในสามของผ้าแล้วพับชายผ้าตลบขึ้นไป
วางไม้ยาวบนเก้าอี้อีกด้านหนึ่ง ใต้ผ้าที่ ตลบขึ้นไป
ตลบผ้าด้านซ้ายให้เลยทับไม้ด้านขวามือ
การเคลื่อนย้ายโดยใช้เก้าอี้
วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รู้สึกตัวดี ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ทรวงอกและท้อง แขน หรือตา แต่ต้องไม่มีการบาดเจ็บ ที่กระดูกสันหลัง หรือต้องการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยขึ้นลงบันได ผ่านมุม หรือช่องทางแคบๆ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 วิธี
•ให้ผู้ป่วยนั่งพิงเก้าอี้ที่แข็งพอที่จะรับน้ำหนักของผู้ป่วย ผู้ช่วยเหลือทั้งสองคนต้องอยู่ด้านข้างของผู้ป่วยทั้งสองข้าง หันหน้าเข้าหากัน ให้มือข้างหนึ่งจับพนักเก้าอี้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับขาเก้าอี้ แล้วยกขึ้นพร้อมๆ กัน
•ให้ผู้ป่วยนั่งพิงเก้าอี้ที่แข็งพอที่จะรับน้ำหนักของผู้ป่วย ผู้ช่วยเหลือคนหนึ่ง จับพนักเก้าอี้เอียงไปทางด้านหลัง ผู้ช่วยเหลืออีกคนหนึ่งจับขาเก้าอี้ด้านหน้า แล้วยกขึ้นพร้อมๆ กัน