ภาวะการเจริญเติบโตและปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ภาวะการเจริญเติบโตของวัยรุ่น
•มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะน้ำหนักและส่วนสูงที่เพิ่มขึ้น
•เริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ หรือการมีวุฒิภาวะทางเพศ คือ ในวัยรุ่นชายจะมีการเคลื่อนตัวของอสุจิ ที่เรียกว่า ฝันเปียก ส่วนในวัยรุ่นหญิงนั้นจะมีประจำเดือน
•เริ่มมีการค้นหาตัวเองชอบเก็บตัวอยู่ตามลำพังเมื่ออยู่บ้านแต่ชอบรวมกลุ่มเมื่ออยู่กับเพื่อน
•เริ่มมีวิจารณญาณในการคิด และตัดสินใจมากขึ้น สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรดี หรืออะไรไม่ดี
•ยึดถือตัวเองเป็นสำคัญ มีความคิด ความเข้าใจที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น จนทำให้ในบางครั้งเป็นผลทำให้เกิดช่องว่างระหว่างวัยกับผู้ใหญ่ขึ้นได้
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของวัยรุ่น
ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 กลุ่ม
1….ปัจจัยภายใน
พันธุกรรม≫ เป็นการถ่ายทอดลักษณะเฉพาะต่างๆ จากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน มี 2 ลักษณะ
1. ลักษณะทางกาย : สัดส่วนร่างกาย, กลุ่มเลือด, ความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรม
2. ลักษณะทางสติปัญญา : ระดับสติปัญญา, พัฒนาการทางสติปัญญา
พื้นฐานทางอารมณ์ จิตใจ≫ บุคคลที่มีพื้นฐานทางอารมณ์ จิตใจที่มั่นคง จะทำให้มีพัฒนาการด้านต่างๆ ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย สังคม บุคลิกภาพ หรือสติปัญญา
2….ปัจจัยภายนอก
•การอบรมเลี้ยงดูและสัมพันธภาพภายในครอบครัว
•สภาพแวดล้อมทางสังคม
•อาหารที่บริโภค
•การออกกำลังกายที่เหมาะสมกับวัย
•การเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ
เกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโตของเด็กไทย
ความหมายและคำจำกัดความของนํ้าหนักและส่วนสูง
น้ำหนัก : น้ำหนักรวมที่ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ ไขมัน กล้ามเนื้ออวัยวะต่างๆ โครงกระดูก และของเหลวภายในร่างกาย
•น้ำหนักปกติ
น้ำหนักของบุคคลที่สัมพันธ์กับอายุ ส่วนสูง และโครงสร้างของร่างกาย ซึ่งผู้ที่มีสุขภาพดีย่อมมีน้ำหนักตัวใกล้เคียง กับน้ำหนักปกติตามเกณฑ์มาตรฐาน
•น้ำหนักผิดปกติ น้ำหนักของบุคคลที่ไม่สัมพันธ์กับอายุ ส่วนสูง และโครงสร้างของร่างกายตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ มี ผลทำให้ร่างกายผิดปกติ คือ อ้วนหรือผอมเกินไปและส่งผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคลได้
ส่วนสูง :ความยาวของร่างกายตั้งแต่ส่วนบนสุดของศีรษะลงมาจนถึงฝ่าเท้าส่วนสูงของร่างกายเป็นเครื่องชี้วัดกาเจริญเติบโต และพัฒนาการทางด้านร่างกาย ส่วนสูงนั้นจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหยุดการเจริญเติบโตเมื่ออยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย
น้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ
มีอยู่ 2 รูปแบบ
•เกณฑ์มาตรฐานที่เป็นข้อมูลตัวเลข
เป็นการแสดงข้อมูลเป็นตัวเลขว่า ในกลุ่มอายุต่างๆ นั้น ควรมีน้ำหนักและส่วนสูงอยู่ในระดับใดจึงจะเหมาะสม โดยใช้ข้อมูลเกณฑ์มาตรฐานการเจริญเติบโต ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2543 ซึ่งได้กล่าวถึงน้ำหนักและส่วนสูงของเด็กวัยเรียน และวัยรุ่น โดยนับตั้งแต่อายุ 7-19 ปี เป็นสำคัญ เนื่องจากช่วงอายุดังกล่าวถือเป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางด้านต่างๆ ที่ต่อเนื่องกันมา
•เกณฑ์มาตรฐานที่เป็นกราฟแสดงเกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต
เป็นการนำข้อมูลตัวเลขมาแสดงด้วยกราฟ โดยจุดข้อมูลต่างๆ ลงบนกราฟ แล้วเชื่อมโยงข้อมูลแต่ละจุดเพื่อแสดงถึงระดับ การเจริญเติบโตและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป
การประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางร่างกาย มีวิธีการ 3 วิธี
1.การประเมินน้ำหนักตามเกณฑ์อายุ เป็นการเปรียบเทียบน้ำหนักที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุต่างๆ หากนักเรียนมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์อายุ ก็จะบ่งชี้ถึงปัญหาการขาดสารอาหารประเภทโปรตีนและพลังงาน ซึ่งมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตโดยรวม
2.การประเมินส่วนสูงตามเกณฑ์อายุ เป็นการเปรียบเทียบส่วนสูงที่ควรจะเป็นตามช่วงอายุต่างๆ หากนักเรียนมีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์อายุ ก็จะบ่งชี้ว่านักเรียนมีการขาดสารอาหารอย่างยาวนานซึ่งส่วนใหญ่การขาดสารอาหารมักจะมีความสัมพันธ์กับฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว
3.การประเมินน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูงในวงการแพทย์ โดยส่วนใหญ่จะนิยมใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI) ในการประเมิน ซึ่งใช้ประเมินภาวะอ้วนและผอมในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป โดยมีสูตร การคำนวณดังนี้
การดูแลและควบคุมน้ำหนักตนเองให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
1.การลดน้ำหนัก
การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไปเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้การลดน้ำหนักเพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรปฏิบัติให้ถูกต้อง
การควบคุมอาหาร
เป็นการควบคุมอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อให้มีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วนไม่เกินต่อความต้องการของร่างกาย
•รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์ที่ติดมัน
•รับประทานอาหารที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ผัก และผลไม้ที่ไม่หวานจัด นมพร่องมันเนย เป็นต้น
•ลดอาหารประเภทแป้งขัดสี น้ำตาล ไขมัน และไขมันคุณภาพต่ำ เช่น เนย ไขมันปาล์ม ไขมันสัตว์ เป็นต้น
•หลีกเลี่ยงการอดอาหาร เพราะการอดอาหารอาจทำให้เกิดการสูญเสียระบบสมดุลในร่างกายได้
•หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ลดประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมัน
2.การใช้ยาลดน้ำหนัก
หรือที่เรียกกันว่า ยาลดความอ้วน พบว่ามีผลข้างเคียงและส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายอย่าง ซึ่งในการใช้ยาลดความอ้วนมีหลักที่ควรทราบ ดังนี้
•ยาที่ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรักษาโรคอ้วนให้หายไป โดยเมื่อมีการหยุดยาก็จะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เรียกว่า โยโยเอฟเฟกต์ (Yoyo Effect) ตามมา คือ จะทำให้มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเหมือนเดิม ซึ่งก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้
•ยาลดความอ้วนจะใช้ได้ผลดี ก็ต่อเมื่อมีการใช้ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพด้านการบริโภค และมีการออกกำลังกายร่วมด้วยอย่างสม่ำเสมอ
•ไม่ควรซื้อยาลดความอ้วน หรือตัดสินใจนำมารับประทานเอง ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
•ยาบางชนิดไม่ใช่ยาลดความอ้วน เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาระบาย เป็นต้น เป็นยาที่ทำให้น้ำหนักตัวลดลงชั่วขณะ การใช้ยาประเภทนี้ หากรู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายได้
•ไม่ควรใช้ยาลดน้ำหนักในเด็ก
3.การออกกำลังกาย
เป็นวิธีที่ช่วยให้ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานที่ได้รับจากอาหารออกไปจากร่างกาย โดยหลักการออกกำลังกาย ดังนี้
•ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก ควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก สัปดาห์ละ 5-6 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที ร่วมกับการควบคุมอาหาร
•ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัยของตนเอง
•หากไม่มีเวลาออกกำลังกาย อาจทำกิจกรรมทดแทน เช่น เดินแทนการนั่งรถ การขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์
•ไม่ควรที่จะหักโหมต่อการออกกำลังกายมากจนเกินไป
4.การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
การลดน้ำหนักให้ได้ผลดีนอกเหนือไปจากการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายแล้ว
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็นับว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยทำให้การลดน้ำหนักเกิดประสิทธิผล
มากยิ่งขึ้น
การเพิ่มน้ำหนัก
แม้ว่าความผอมจะไม่ทำให้เกิดความวิตกกังวลได้เท่ากับความอ้วน แต่ความผอมก็ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพได้เช่นกัน ดังนั้นหากบุคคลใดที่ผอมจึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มน้ำหนัก ดังนี้
1.ปรับค่านิยมและความเชื่อผิดๆที่ว่าคนที่มีรูปร่างปกติคือคนที่มีรูปร่างผอมเพราะแท้ที่จริงการมีน้ำหนักน้อยเกินไปนั้น
เป็นสาเหตุของการทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคได้ง่าย
2.ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานที่ว่าคนที่มีรูปร่างปกติคือคนที่มีรูปร่างผอมเพราะแท้ที่จริงการมีน้ำหนักน้อยเกินไปนั้นเป็นสาเหตุของการทำให้ร่างกายอ่อนแอ เกิดโรคได้ง่าย
3.การออกกำลังกายควรออกกำลังกายทุกวัน หรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที
4.สร้างสุขภาพจิตที่ดีโดยการทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ รวมถึงนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่หมกมุ่น หรือวิตกกังวลเรื่องใดมากเกินไป
การควบคุมน้ำหนัก
เป็นวิธีการรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่คงที่ อยู่ในระดับที่เหมาะสม
1.ด้านโภชนาการและพฤติกรรมการบริโภค
•รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและครบทั้ง 3 มื้อ
•รับประทานให้พออิ่มและเคี้ยวช้าๆ
•รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเน้นผักและผลไม้ที่มีใยอาหารและแป้งไม่ขัดขาวในมื้ออาหาร
•หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และไขมัน รวมถึงอาหารสำเร็จรูป
•ควรดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
•ควรมีการคำนวณพลังงานในการรับประทานอาหาร
2.ด้านการออกกำลังกาย
•ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง อย่างน้อยครั้งละ 30 นาที โดยเลือกให้เหมาะสมกับ เพศและวัย
•หากไม่มีเวลาในการออกกำลังกาย ควรทำกิจกรรมอื่นทดแทน
•กำหนดตารางเวลาในการออกกำลังกายอย่างเคร่งครัด
การส่งเสริมและพัฒนาตนเองให้เจริญเติบโตสมวัย
การรู้จักพฤติกรรมของมนุษย์การเรียนรู้ ค่านิยม เจตคติแรงจูงใจ ฯลฯ ต่อพัฒนาการของคน จะช่วยทำให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติและพฤติกรรมที่แสดงต่อกัน ทั้งในพฤติกรรมที่ดีและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น
การรู้จักตนเองและผู้อื่นการเข้าใจตนเอง การรู้จักปรับปรุงแก้ไขตนเอง การพัฒนาบุคลิกภาพ การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น ฯลฯ เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้เราสามารถเข้าใจตนเองและผู้อื่น ตลอดจนยอมรับผู้อื่นได้
การทำงานร่วมกันนอกจากจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาตนเองให้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้แล้ว ยังเป็นการช่วยพัฒนาบุคคลในสังคมให้เกิดการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
การพัฒนากายและจิตต้องพัฒนากายและจิตควบคู่กัน ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การตรวจสุขภาพร่างกายประจำปี การออกกำลังกาย การหลีกเลี่ยงสารเสพติด เป็นต้น
สุขบัญญัติแห่งชาติเพื่อการเจริญเติบโตที่สมวัย
แนวทางการปฏิบัติตนตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติ
หลักสุขบัญญัติแห่งชาติมีทั้งหมด 10 ประการด้วยกัน ซึ่งในแต่ละประการก็มีแนวทางการปฏิบัติตนตามหลักสุขบัญญัติแห่งชาติกำหนดไว้
1.ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด
•อาบน้ำให้สะอาดทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง และสระผมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
•ตัดเล็บมือ เล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ
•ถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน
•ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และเหมาะสมกับสภาพอากาศ
•จัดเก็บของใช้ให้เป็นระเบียบ
2.รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง
•แปรงฟันและลิ้นให้สะอาดอย่างทั่วถึง อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งหลังตื่นนอน และก่อนเข้านอน
•บ้วนปากให้สะอาดทุกครั้งหลังกินอาหาร
•ล้างแปรงสีฟันให้สะอาดทุกครั้งหลังการแปรงฟัน และตั้งหรือแขวนไว้ในที่อากาศถ่ายเท
•กินผัก ผลไม้เป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างฟันให้แข็งแรง
•ตรวจสุขภาพในช่องปากด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ และไปพบทันตแพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
•หลีกเลี่ยงการกินลูกอม ทอฟฟี่ หรือขนมหวานที่เหนียว
•ไม่ใช้ฟันกัด ขบของแข็งๆ หรือใช้ฟันผิดหน้าที่
3.ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย
•ล้างมือให้สะอาดอย่างถูกวิธี ด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งจนเป็นสุขนิสัย ทั้งก่อน-หลัง เตรียม/ปรุง กินอาหาร และการสัมผัสผู้ป่วย
•ล้างมือทุกครั้งหลังการใช้ห้องน้ำ ห้องส้วม หลังหยิบจับสิ่งสกปรก จับต้องสัตว์ทุกชนิด และหลังกลับจากโรงเรียน ทำงาน หรือกลับจากนอกบ้าน
•ห้ามใช้มือที่ยังไม่ได้ล้าง จับต้องบริเวณใบหน้าเพราะจะทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุจมูกและตา รวมทั้งทำให้ใบหน้าสกปรก มีโอกาสเกิดสิวได้
4.กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตรายและหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด
•เลือกซื้ออาหารที่สะอาดปลอดภัย
•กินอาหารที่สุก สะอาด โดยหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่สุกๆ ดิบๆ
•กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลาย เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
•กินผักและผลไม้เป็นประจำ
•ดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย สำหรับผู้ที่แพ้นมวัว สามารถดื่มนมธัญพืช นมงา หรือน้ำเต้าหู้แทนได้ โดยเด็กควร ดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว
•ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
•หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด อาหารหมักดอง และอาหารที่มีสารเคมี แต่งสี แต่งรส แต่งกลิ่น
5.หลีกเลี่ยงบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ
•หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และเสพสารเสพติด
•ไม่เล่นการพนัน •สร้างเสริมค่านิยม รักเดียวใจเดียว รักนวลสงวนตัว ไม่ชิงสุกก่อนห่าม (มีคู่ครองเมื่อถึงเวลาอันควร)
6.สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
•พยายามหาโอกาสทำกิจกรรมร่วมกัน โดยสร้างบรรยากาศในการอยู่ร่วมกันให้สนุกสนาน และมีความสุขเสมอ
•สมาชิกในครอบครัวช่วยกันทำงานบ้าน เพื่อสานสัมพันธ์ภายในครอบครัวให้อบอุ่น
•มีเวลาให้กันอยู่เสมอ โดยอาจจัดให้มีวันพิเศษสำหรับครอบครัว
•มีน้ำใจ เป็นห่วงเป็นใย ถนอมน้ำใจ และให้เกียรติซึ่งกันและกัน
•เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ควรพูดคุยปรึกษาหารือ และช่วยกันแก้ไขปัญหา
7.ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท
•จัดวางของเล่น ของใช้ อุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นระเบียบ
•จัดให้มีแสงสว่างเพียงพอภายในบริเวณบ้าน
•ระมัดระวังเมื่ออยู่ในบริเวณที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น บันได ระเบียง พื้นกระเบื้องที่เปียกน้ำ เป็นต้น
•เก็บของมีคม ยา วัตถุไวไฟ หรือสารมีพิษ ให้เป็นที่และพ้นมือเด็ก
•ปิดสวิตช์ ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า และปิดวาล์วแก๊สหุงต้มทุกครั้งหลังใช้งาน
•ระมัดระวังตนเองในการเดินทาง การทำกิจกรรมในสถานที่ต่างๆ และพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่เสี่ยงอันตราย เช่น บริเวณที่มีการก่อสร้าง บริเวณที่สูง เป็นต้น
•ฝึกทักษะเบื้องต้นในการดูแลตนเอง หลีกเลี่ยงการกระทำที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย และอุบัติเหตุ
8.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี
•ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย และสภาพร่างกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-5 วัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที
•เคลื่อนไหวออกแรงในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินขึ้นลงบันไดอย่างน้อยวันละ 30 นาที การทำงานบ้าน เป็นต้น
•ตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี
9.ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ
•มองโลกในแง่ดี คิดในแง่บวก รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้จักการให้อภัย
•แบ่งเวลาในแต่ละวันให้เหมาะสม จัดเวลาสำหรับคลายเครียดและพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละวัน
•รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง และฝึกการจัดการหรือควบคุมอารมณ์ตนเอง
•จัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้าน ห้องนอน หรือที่ต้องอยู่เป็นประจำให้น่าอยู่
•เมื่อเกิดความเครียด หรือมีปัญหา ต้องหาทางผ่อนคลาย อย่าเก็บไว้คนเดียว ควรปรึกษาพ่อแม่ ครู ญาติผู้ใหญ่ เพื่อน หรือคนสนิทที่ไว้ใจได้
•หมั่นหากิจกรรมที่แปลกใหม่ เพื่อสร้างเสริมความร่าเริงสดใสให้ตนเอง
•ศึกษาธรรมะ และนำหลักธรรมมาใช้ในการดำเนินชีวิต
10.มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม
•ช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียน บ้าน ที่ทำงานชุมชน และที่สาธารณะต่างๆ
•อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยใช้อย่างประหยัดและคุ้มค่า หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุอุปกรณ์ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม เช่น โฟม พลาสติก สเปรย์ เป็นต้น
•แยกขยะ เพื่อลดปริมาณขยะ และนำวัสดุบางอย่างหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่
•มีสำนึกในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค เช่น สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเป็นหวัด ใช้ส้วมอย่างถูกสุขลักษณะ ทิ้งขยะในภาชนะที่รองรับ กำจัดน้ำทิ้ง และกำจัดขยะอย่างถูกต้อง
•ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆ ยินดีสละทรัพย์สินความคิด แรงกาย เวลา และความสุขสบายส่วนตัว เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมตามกำลังและความสามารถ
ประโยชน์และคุณค่าของสุขบัญญัติแห่งชาติต่อสุขภาพ
•สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงให้เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ต่อสุขภาพที่ควรปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
•สามารถนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ซึ่งก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพของตนเองครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ
•เป็นการสร้างความตระหนัก และการมีจิตสำนึกในการรู้จักพึ่งตนเองทางสุขภาพ
•เป็นการปลูกฝังการเรียนรู้ทางสุขภาพอย่างต่อเนื่องในทุกเพศทุกวัย
•เป็นการเสริมสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง นำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีทั้งทางร่างกาย จิตใจ ปัญญา และสังคม