ระบบหายใจ ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร และระบบขับถ่าย
ระบบหายใจ (Respiratory System) องค์ประกอบของระบบหายใจ
ประกอบไปด้วยอวัยวะ 2 ส่วน
• ส่วนที่เป็นทางผ่านของลมหายใจเข้า-ออก ได้แก่ จมูก ปาก หลอดคอ หลอดเสียง หลอดลม
•ส่วนที่ทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊ส คือ ปอด
แผนภาพแสดงกระบวนการทำงานของระบบหายใจ
1.จมูก (Nose)
ภายในรูจมูกจะมีเยื่อบุจมูกและขนจมูก ทำหน้าที่เป็นทางผ่านของอากาศที่หายใจเข้าไปและกรองฝุ่นละออง
2.หลอดเสียง (Larynx)
อยู่ติดใต้หลอดคอ ขณะกลืนอาหารหรือเครื่องดื่มจะมีแผ่นเนื้อเยื่อขนาดเล็กที่เรียกว่า “ฝากล่องเสียง” คอยปิดหลอดลมเพื่อไม่ให้อาหารลงไปผิดช่อง
3.หลอดคอ (Pharynx)
เป็นหลอดตั้งตรงยาวประมาณ ๕ นิ้ว ติดต่อทั้งทางช่องปากและช่องจมูกทำหน้าที่เป็น ตัวแยกระหว่างหลอดลมกับหลอดอาหาร (Esophagus) ประกอบด้วยกระดูกอ่อน ๙ ชิ้น โดยชิ้นที่ใหญ่ที่สุด คือ กระดูกธัยรอยด์ หรือที่เรียกว่า “ลูกกระเดือก” (Adam’s apple)
4.หลอดลม (Trachea)
เป็นส่วนที่ต่อจากหลอดเสียงยาวลงไปในทรวงอก ประกอบด้วยกระดูกอ่อนรูปวงแหวนวางอยู่ทางด้านหลังของหลอดลมทำให้หลอดลมเปิดอยู่ตลอดเวลา ไม่แฟบเข้าหากัน โดยแรงดันจากภายนอก ส่งผลให้อากาศเข้าได้ตลอดเวลา
5.ปอด (Lung)
ถูกห่อหุ้มด้วยกระดูกซี่โครง ภายในปอดจะมีถุงลม ทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนแก๊สออกซิเจนกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
กระบวนการทำงานของระบบหายใจ
เริ่มต้นตั้งแต่ เราหายใจผ่านเข้าทางจมูกโดยอากาศจะถูกส่งต่อไปยัง
วัตถุประสงค์ของการหายใจ
การนำแก๊สออกซิเจนจากอากาศไปยังเซลล์ต่างๆและกำจัดของเสีย เพื่อนำอากาศบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกายและปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการ เผาผลาญสารอาหารภายในร่างกายออกสู่ภายนอกร่างกายในรูปของลมหายใจออก
การถ่ายเทอากาศในปอด เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อสำหรับหายใจ โดยกลไกของการหายใจ เข้า-ออกจะเกิดขึ้นสลับต่อเนื่องกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักของความดันบรรยากาศ
ขณะหายใจเข้า
ขณะหายใจออก
เกิดจากกล้ามเนื้อกะบังลมหดตัว ทำให้แผ่นกะบังลมเลื่อนตํ่าลงมาทางช่องท้อง เป็นการเพิ่มปริมาตรของช่องอกในแนวตั้ง เนื่องจากเนื้อเยื่อปอดอยู่ติดกับกะบังลม และช่องว่างระหว่างเนื้อเยื่อปอดกับกะบังลมเป็นสุญญากาศ เมื่อกะบังลมเลื่อนตํ่าลงจึงดึงเนื้อเยื่อปอดให้ขยายตัวตามแนวตั้งด้วย ความดันภายในปอดจึงลดลง อากาศจากภายนอกจึงเข้ามาแทนที่ได้
เมื่อกล้ามเนื้อกะบังลมหรือกล้ามเนื้อยึดระหว่างซี่โครงด้านนอกคลายตัว เนื่องจากผนังช่องอกและเนื้อเยื่อปอดมีความยืดหยุ่นทั้งผนังช่องอกและเนื้อเยื่อปอดจะหดตัวกลับสู่ปริมาตรเดิม ทำให้ความดันภายในปอดเพิ่มสูงขึ้นกว่า ความดันบรรยากาศ อากาศจึงไหลออกจากปอดสู่บรรยากาศภายนอก
การสร้างเสริมและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบหายใจ
แนวทางเสริมสร้างและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบหายใจ
1.อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์และหลีกเลี่ยงการอยู่ในบริเวณที่มีมลภาวะ เพราะอาจทำให้มีโอกาสติดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรมีอุปกรณ์สำหรับป้องกันตนเอง เช่น หน้ากากอนามัย
2.หากิจกรรมนันทนาการต่างๆ ทำเพื่อเป็นการผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดมีผลทำให้หายใจเร็ว ซึ่งเป็น การหายใจที่ไม่ถูกต้อง
3.งดสูบบุหรี่ หรือใกล้ชิดกับบุคคลที่กำลังสูบบุหรี่ เพราะบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจต่างๆ เช่น โรคถุงลมโป่งพอง โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง โรคมะเร็งปอด เป็นต้น
4.เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของอากาศ ควรรักษาความอบอุ่นของร่างกายอยู่เสมอหลีกเลี่ยงการตากน้ำค้างหรือตากฝน เพราะอาจทำให้เป็นหวัดได้
5.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของปอดได้ดีขึ้น
6.หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ป่วยเป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด วัณโรค เป็นต้น
7.หมั่นดูแลรักษาสุขภาพตนเอง เพื่อป้องกันการเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และควรตรวจสอบสมรรถภาพในการทำงานของปอดโดยการเอกซเรย์ปอด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
8.เมื่อเกิดความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพและทำการรักษา
ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulatory System)
ภาพแสดงระบบไหลเวียนโลหิต
หน้าที่สำคัญ
•ลำเลียงอาหาร และแก๊สออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่างๆ ในเวลาเดียวกันก็นำแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียต่างๆ ที่ร่างกายใช้แล้วออกจากเซลล์ผ่านทางระบบหายใจ
•ช่วยรักษาสมดุลของร่างกายผ่านทางระบบขับถ่ายปัสสาวะ ควบคุมอุณหภูมิ และนำแอนติบอดี (Antibody) ไปให้เซลล์ เพื่อช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน
องค์ประกอบของระบบไหลเวียนโลหิต
เลือด (Blood)
•ประกอบด้วยส่วนที่เป็นของเหลวเรียกว่า “นํ้าเลือด” หรือ “พลาสมา” (Plasma) และส่วนที่เป็นของแข็งคือ เซลล์เม็ดเลือดชนิดต่างๆ ซึ่งจำแนกออกเป็น ๓ ชนิดใหญ่ๆ
หัวใจ (Heart)
•เป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในระบบไหลเวียนโลหิต มีขนาดเท่ากำปั้นของบุคคล ผู้เป็นเจ้าของ
•ตั้งอยู่ในทรวงอกระหว่างปอดทั้ง 3 ข้าง ซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของร่างกาย มีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ
“เยื่อหุ้มหัวใจ”
มีลักษณะเป็นถุงหุ้มอยู่รอบๆ หัวใจ มีหน้าที่ป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น กับหัวใจ และช่วยให้หัวใจมีการเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก ไม่เสียดสีกัน
“ผนังหัวใจ”
ประกอบไปด้วยผนัง 3 ชั้น คือ เอ็พพิคาร์เดียม (Epicardium) จะอยู่ชั้น นอกสุด มัยโอคาร์เดียม (Myocardium) อยู่ชั้นกลาง และเอนโดคาร์เดียม (Endocardium) อยู่ชั้นในสุด
ภายในหัวใจแบ่งออกเป็น 4 ห้อง คือ ข้างบน 2 ห้อง และข้างล่าง 2 ห้อง โดยมีลิ้นหัวใจ กั้นระหว่างห้องบนและห้องล่าง
แผนภาพแสดงส่วนประกอบและหน้าที่ของหัวใจทั้ง 4 ห้อง
1.หัวใจห้องบนขวา (Right Atrium)
•เป็นช่องที่รับเลือดเสียหรือเลือดดำจากทุกส่วนของร่างกาย
2.หัวใจห้องบนซ้าย (Left Atrium)
•รับเลือดดีหรือเลือดแดงจากปอด ซึ่งถูกส่งมาทางหลอดเลือดดำจากปอด สู่หัวใจและเปิดเข้าสู่หัวใจห้องล่างซ้าย
3.หัวใจห้องล่างซ้าย (Left Ventricle)
•รับเลือดดีจากหัวใจห้องบนซ้าย แล้วส่งไปเลี้ยงทั่วร่างกาย หัวใจห้องนี้ จะทำงานหนักที่สุด จึงมีผนังหัวใจหนาที่สุด
4.หัวใจห้องล่างขวา (Right Ventricle)
•รับเลือดจากหัวใจห้องบนขวา แล้วส่งเลือดไปฟอกที่ปอด
หลอดเลือด (ฺBlood Vessels)
(แบ่งออกเป็น ๓ ชนิด)
นํ้าเหลืองและหลอดนํ้าเหลือง (Lymph And Lymphatic Vessels)
•หลอดน้ำเหลือง ทำหน้าที่นำน้ำและโปรตีนกลับเข้าสู่เลือด
•ภายในหลอดน้ำเหลืองประกอบด้วยน้ำเหลือง ซึ่งได้จากเลือดมีลักษณะใสคล้ายน้ำ
•หลอดน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่ขนาบข้างเป็นระยะๆ ภายในต่อมน้ำเหลืองจะมีลิมโฟไซด์ (Lymphocyte) ทำให้น้ำเหลืองไหลซึมผ่านได้ และยังทำหน้าที่ผลิตเม็ดเลือดขาวและกักเก็บวัตถุแปลกปลอมที่จะเข้า สู่น้ำเหลือง
•การไหลเวียนของน้ำเหลืองจะช่วยลำเลียงของเหลวและสารอาหารจากทางเดินอาหารกลับสู่ระบบไหลเวียนเลือด รวมถึงถ่ายเทของเหลวและโปรตีนส่วนเกินออกจากเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการบวมน้ำ
กระบวนการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต
กระบวนการทำงานของหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิตใน 1 รอบ
การเสริมสร้างและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต
1.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
2.ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันหรือคอเลสเตอรอล (Cholesterol) สูง
3.หมั่นดูแลสุขภาพตนเองอย่างสม่ำเสมอ ควรตรวจวัดความดันโลหิต หรือตรวจเลือดเพื่อค้นหาโรคเบาหวานโดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
4.ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงการเสพสารเสพติดทุกชนิด
5.หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งหรือเต้นแบบแอโรบิกก็ตามจะช่วยทำให้กระบวนการทำงานของหัวใจดีขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง
6.ควรพักผ่อนให้เพียงพอ และหากิจกรรมนันทนาการที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อผ่อนคลายความเครียด
7.ควรทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ เพราะจะส่งผลให้มีสุขภาพกายที่ดี
8.เมื่อเกิดความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ และทำการรักษาอย่างทันท่วงที
ระบบย่อยอาหาร (Digestive System)
ภาพแสดงระบบย่อยอาหาร
การย่อยอาหารมี 2 วิธี
“การย่อยเชิงกล”
การบดเคี้ยวอาหารโดยฟัน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหารให้มีขนาดเล็กลง
“การย่อยเชิงเคมี”
การเปลี่ยนแปลงขนาดโมเลกุลของสารอาหาร โดยใช้เอนไซม์ ที่เกี่ยวข้องทำให้โมเลกุลของสารอาหารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ทำให้ได้โมเลกุลที่มีขนาดเล็กลง
ในกระบวนการย่อยอาหาร วิธีการทั้ง 2 วิธี จะดำเนินการควบคู่และต่อเนื่องกัน เพื่อให้สารอาหารสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และถูกพาไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกายเพื่อสร้างเป็นพลังงานต่อไป
องค์ประกอบของระบบย่อยอาหาร
ส่วนที่ 1 เริ่มตั้งแต่อวัยวะในช่องปาก
คือ ริมฝีปาก แก้ม เพดานปาก ฟัน เหงือก ลิ้น จนถึงคอหอย โดยอวัยวะภายในช่องปากจะมีอวัยวะเสริมที่มีส่วนช่วยในการย่อยอาหาร ได้แก่
เป็นอวัยวะที่แข็งแรงที่สุด มีหน้าที่สำคัญ คือ การย่อยเชิงกล โดยการบดเคี้ยวของฟันจะทำให้อาหารมีขนาดเล็กลง
มีส่วนช่วยในการคลุกเคล้าอาหาร การกลืน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับรส เนื่องจากบริเวณเยื่อบุผิวของลิ้นนั้นจะมีตุ่มนูนเล็กๆ เรียกว่า “พาพิลลา”(Papilla) ซึ่งสามารถรับรสได้ เมื่ออวัยวะรับรสที่ลิ้นได้รับการกระตุ้น จะ ทำให้ต่อมน้ำลายขับน้ำลายเพิ่มมากขึ้น โดยในน้ำลายจะมีเอนไซม์ (Enzyme) ที่ชื่อว่า “อะไมเลส” (Amylase) ทำหน้าที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาลมอลโทส (Maltose)
ส่วนที่ 2 อวัยวะในส่วนของท่อทางเดินอาหาร
มีลักษณะเป็นท่อกล้ามเนื้อ เริ่มตั้งแต่หลอดอาหาร ลงไปยังกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่
หลอดอาหาร (Esophagus)
มีลักษณะเป็นท่อกล้ามเนื้อเรียบ มีความยาวประมาณ 10 นิ้ว อยู่ระหว่างคอหอยและกระเพาะอาหาร ในบริเวณนี้จะมีการสร้างเมือกเพื่อให้เกิดการหล่อลื่น และมีการย่อยเชิงกลโดยการบีบตัวของกล้ามเนื้อทางเดินอาหารเป็นช่วง ๆ ทำให้อาหารสามารถเคลื่อนที่ลงสู่กระเพาะอาหารได้
กระเพาะอาหาร (Stomach)
มีลักษณะรูปร่างคล้ายตัวเจ (J) เป็นท่อที่มีลักษณะโป่งพองทางด้านบน ส่วนบนของกระเพาะอาหารจะต่ออยู่กับหลอดอาหาร ปลายส่วนล่างจะต่อกับลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัม (Duodenum) รูปร่างและขนาดของกระเพาะอาหารจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล และในแต่ละมื้อของอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยเมื่อรับประทานอาหารเข้าไปกระเพาะอาหารสามารถขยายตัวได้อีก 10-40 เท่า
ลำไส้เล็ก (Small Intestine)
อยู่ระหว่างกระเพาะอาหารกับลำไส้ใหญ่ที่มีความยาวมากที่สุดประมาณ 21 ฟุต หรือประมาณ 3.4 เมตร และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 1 นิ้ว มีลักษณะขดพับทบไปทบมา เพื่อให้สามารถบรรจุอยู่ในช่องท้องได้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
•ลำไส้เล็กเป็นบริเวณที่มีการย่อยและการดูดซึมมากที่สุด โดยเอนไซม์ในลำไส้เล็กจะทำงานได้ดีในสภาพที่เป็นด่าง ซึ่งเอนไซม์ที่ลำไส้เล็กสร้างขึ้น ได้แก่ มอลเทส (Maltase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลมอลโทสให้เป็นกลูโคส (Glucose) ซูเครส (Sucrase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลทรายหรือน้ำตาลซูโครส (Sucrose) ให้เป็นกลูโคสกับฟรุกโทส (Fructose) และแล็กเทส (Lactase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้ำตาลแล็กโทส (Lactose) ให้เป็นกลูโคสกับกาแล็กโทส (Galactose)
ลำไส้ใหญ่ (Large Intestine)
•เป็นส่วนปลายของทางเดินอาหารที่ต่อมาจากบริเวณไอเลียมของลำไส้เล็ก ยาวประมาณ ๑.๕ เมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓ นิ้ว ซึ่งประกอบด้วยส่วนที่เรียกว่า “ซีกัม” “โคลอน” และส่วนไส้ตรงที่ต่อกับส่วนที่เป็นท่อทวารหนักเพื่อทำการขับอุจจาระออกสู่ภายนอกร่างกาย
•ส่วนของลำไส้ใหญ่มีอวัยวะที่เรียกว่า “ไส้ติ่ง” ซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกมาจากบริเวณของซีกัมอยู่ส่วนล่างขวาของช่องท้อง ปลายตัน แต่มีรูที่สามารถ ทำให้เศษอาหารหรือเศษของอุจจาระตกเข้าไปได้ส่งผลทำให้เกิดการอักเสบที่เรียกว่า “ไส้ติ่งอักเสบ”
•หน้าที่ของลำไส้ใหญ่ในส่วนครึ่งแรก คือ ดูดซึมของเหลว น้ำ เกลือแร่ และน้ำตาลกลูโคสที่ยังเหลืออยู่ในกากอาหาร สำหรับลำไส้ใหญ่ส่วนครึ่งหลัง จะเป็นที่พักกากอาหารซึ่งมีลักษณะกึ่งของแข็ง
ลำไส้ใหญ่จะขับเมือกออกมาหล่อลื่นเพื่อให้กากอาหารเคลื่อนไปตามลำไส้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ถ้าลำไส้ใหญ่ดูดน้ำมากเกินไปจะทำให้กากอาหารแข็ง เนื่องจากกากอาหารตกค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่หลายวัน ทำให้เกิดความลำบากในการขับถ่าย เรียกอาการนี้ว่า “ท้องผูก”
ส่วนที่ 3 อวัยวะเสริมในการย่อยอาหารอื่นๆ
มีหน้าที่หลั่งสารที่เรียกว่า “เอนไซม์” (Enzyme) ซึ่งเป็นสารประกอบประเภทโปรตีนที่ร่างกายสร้างขึ้น ทำหน้าที่เร่งอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีในร่างกาย เอนไซม์ที่ใช้ในการย่อยสารอาหารนั้น เรียกว่า “นํ้าย่อย” ประกอบด้วย ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน และต่อมน้ำลาย
ตับ (Liver)
ประกอบด้วยต่อมมีท่อเรียงตัวกันอยู่มากมาย มีน้ำหนักประมาณ 1.36 กิโลกรัม อยู่ในช่องท้องด้านหน้าเยื้องไปทางขวาติดกับเยื่อกะบังลม เซลล์ตับทำหน้าที่หลั่งน้ำดี (Bile) โดยน้ำดีจะมีประโยชน์ช่วยการย่อยไขมันในบริเวณลำไส้เล็ก
ถุงน้ำดี (Gallbladder)
เป็นที่เก็บน้ำดีที่ผลิตมาจากตับ น้ำดีจะมีสีน้ำตาลปนเหลือง หรืออาจเป็นสีเขียวมะกอกใสๆ มีรสขม ลักษณะเป็นด่าง ทำหน้าที่ย่อยโมเลกุลไขมันให้เล็กลง แล้วน้ำย่อยจากตับอ่อนจะย่อยต่อ ทำให้ได้อนุภาคที่เล็กที่สุดที่สามารถแพร่เข้าสู่เซลล์ได้
ตับอ่อน (Pancreas)
ทำหน้าที่ในการผลิตน้ำย่อยสำหรับย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ซึ่งมีท่อเปิดอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้นใกล้กับท่อเปิดของท่อน้ำดี
ต่อมน้ำลาย (Salivary Gland)
มีจำนวน 3 คู่ ได้แก่
•ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น 1 คู่ มีขนาดเล็กที่สุด อยู่ใต้ลิ้นแต่ละข้าง มีท่อเปิดที่พื้นบนปากที่อยู่ใต้ลิ้น
•ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร 1 คู่ อยู่บริเวณมุมกระดูกขากรรไกร มีท่อเปิดไปสู่ช่องปากระหว่างใต้ปลายลิ้นกับพื้นปาก
•ต่อมน้ำลายใต้กกหู 1 คู่ มีขนาดใหญ่ที่สุด มีท่อเปิดไปสู่กระพุ้งแก้ม
ต่อมน้ำลายจะผลิตน้ำลายได้วันละ 1-1.5 ลิตร จะช่วยคลุกเคล้าอาหาร ทำให้อาหารอ่อนนุ่ม สะดวก ในการกลืน ซึ่งในน้ำลายจะมีเอนไซม์อะไมเลส มีหน้าที่ย่อยสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและไกลโคเจน (Glycogen) ให้มีโมเลกุลขนาดเล็กลง
กระบวนการทำงานของระบบย่อยอาหาร
1.การย่อยอาหารในปาก อาหารจะถูกบดเคี้ยวให้มีขนาดเล็กลง และทำให้อ่อนนุ่มด้วยนํ้าลาย ภายในนํ้าลายจะมีเอนไซม์อะไมเลส ทำหน้าที่ย่อยอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและ ไกลโคเจน ให้มีขนาดเล็กลง
2.กล้ามเนื้อบริเวณหลอดคอบังคับให้อาหารเคลื่อนไปยังหลอดอาหาร โดยมีลิ้นไก่ปิดกั้นไม่ให้อาหารตกลงไปในหลอดลม จากนั้นอาหารจะเคลื่อนไปตามหลอดอาหาร โดยอาศัยการบีบตัวของหลอดอาหาร
3.การย่อยในกระเพาะอาหาร อาหารที่ถูกย่อยส่วนใหญ่จะเป็นโปรตีน โดยเอนไซม์เปบซิน
4.การย่อยและดูดซึมสารอาหารในลำไส้เล็ก จะมีการย่อยอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน โดยคาร์โบไฮเดรตจะมีการย่อยด้วยเอนไซม์อะไมเลสจากตับอ่อนจนกลายเป็นนํ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว และถูกดูดซึมไปใช้ในการสร้างพลังงานต่อไป โปรตีนจะถูกย่อยด้วยเอนไซม์เปบซินอย่างต่อเนื่องจนได้กรดอะมิโน ส่วนไขมันจะถูกย่อยโดยเอนไซม์ไลเปสจนได้โมโนกลีเซอไรด์(Monoglyceride) กรดไขมัน และกลีเซอรอล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในร่างกายต่อไป
5.การดูดซึมในลำไส้ใหญ่ จะมีการดูดซึมนํ้าออก เหลือเป็นกากอาหาร ที่จะถูกขับออกนอกร่างกายในรูปของอุจจาระทางทวารหนักต่อไป
การสร้างเสริมและดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบย่อยอาหาร
1.รับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุกใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับวัย และควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย
รสไม่จัด
2.ไม่ควรรับประทานอาหารมากเกินความต้องการของร่างกาย เพราะจะทำให้อาหารย่อยไม่หมดและ
ส่งผลให้เกิดอาการท้องเฟ้อได้ รวมถึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทหมักดองซึ่งอาจไม่สะอาดและทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหาร
3.เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน เพื่อทำให้อาหารเล็กลงและช่วยลดภาระในการย่อยอาหาร
4.รับประทานอาหารให้เป็นเวลา เพราะหากรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา จะทำให้กรดในกระเพาะอาหารที่ ขับออกมาเพื่อช่วยย่อย จะย่อยกระเพาะอาหารของเราเอง ส่งผลทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ในที่สุด
5.ดูแลรักษาสุขภาพของช่องปากและฟันอย่างสม่ำเสมอ เพราะการมีฟันที่แข็งแรง จะช่วยทำให้
การบดเคี้ยวอาหารเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
6.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานได้อย่าง มีประสิทธิภาพ
7.พยายามหากิจกรรมนันทนาการต่างๆ ทำ เพื่อผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดทำให้ระบบการย่อยอาหารเกิดความแปรปรวน และอาจเกิดปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อตามมา
8.ฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลาอย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง ช่วยทำให้การทำงานของระบบย่อยอาหารดีขึ้น และยังช่วยป้องกันปัญหาโรคริดสีดวงทวาร
9.เมื่อเกิดปัญหากับระบบย่อยอาหารในร่างกายของตนเอง ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาโดยทันที
ระบบขับถ่าย (Excretory System)
องค์ประกอบของระบบขับถ่ายปัสสาวะ
•ระบบขับถ่ายปัสสาวะมีองค์ประกอบของอวัยวะที่สำคัญ ดังนี้
ไต (Kidneys)
•มีจำนวน ๑ คู่ อยู่ด้านหลังของช่องท้องบริเวณเอว รูปร่างคล้ายเม็ดถั่วแดง มีลักษณะโค้งออกด้านข้างและด้านในเว้าเข้า
•เนื้อไตทั้งหมดมีเนื้อเยื่อบางๆ คลุมอยู่เรียกว่า “เยื่อไต” (Renal Capsule) ในแต่ละข้างจะประกอบด้วยหน่วยไตหรือเนฟรอน (Nephrons) ประมาณ 1-2 ล้านหน่วย
•ระบบขับถ่ายปัสสาวะ เป็นระบบการขับถ่ายของเสียในรูปของเหลว คือ น้ำปัสสาวะ การทำงานของระบบปัสสาวะจึงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต โดยโลหิตที่เป็นของเหลวที่อยู่ภายนอกเซลล์จะเป็นตัวพาสารต่าง ๆ ที่ร่างกายต้องการขับออกไปที่ไต เพื่อให้ไตกรองสารที่ไม่ต้องการออก
หน้าที่สำคัญของไต
•สร้างน้ำปัสสาวะที่เกิดจากการกรองน้ำโลหิตที่ไต และขับออกทางหลอดไตไปยังกระเพาะปัสสาวะ
•ขับของเสียจากกระบวนการเมแทบอลิซึมของร่างกาย ได้แก่ ยูเรีย (Urea) ครีเอตินิน (Creatinine) แอมโมเนีย (Ammonia) กรดยูริก (Uric Acid) และสารพิษที่ร่างกายไม่สามารถทำลายได้
•กักเก็บสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ เช่น กลูโคส กรดอะมิโนฮอร์โมน วิตามินต่างๆ เป็นต้น
•รักษาสมดุลของน้ำภายในร่างกาย และเป็นตัวทำละลายสำหรับสารต่าง ๆ ที่เป็นของเสียจากขบวนการเมแทบอลิซึมที่ร่างกายขับออก
•ควบคุมสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย ขับแร่ธาตุที่มีมากเกินความต้องการออก และดูดกลับแร่ธาตุส่วนที่ร่างกายต้องการเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผนังของท่อไต
•รักษาสมดุลของกรด-ด่างในน้ำโลหิต โดยทั่วไปโลหิตจะมีค่า pH ประมาณ 7.4 ซึ่งเป็นระดับที่เซลล์ในร่างกายสามารถทำหน้าที่ได้ การที่โลหิตมีค่า pH เป็นด่าง (Alkalosis) หรือมีค่า pH เป็นกรดมากเกินไป (Acidosis) จะส่งผลให้การทำงานของเซลล์มีประสิทธิภาพลดลง
•สร้างและหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง และสร้างสารเรนิน (Renin) ที่ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับคงที่
ท่อไต (Ureters)
มี 2 ท่อ ต่อจากไตข้างละท่อ แต่ละท่อมีความยาวประมาณ 10-12 นิ้ว ทำหน้าที่รับน้ำปัสสาวะที่ไหลจากไตไปยังกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder)
มีหน้าที่รับน้ำปัสสาวะที่กรองจากไตและเป็นที่พักชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ปัสสาวะไหลออกทางท่อปัสสาวะตลอดเวลา และเมื่อกระเพาะปัสสาวะรวบรวมปัสสาวะมากเท่าที่สามารถบรรจุได้ก็จะขับถ่ายออกมาเป็นครั้งคราว
ท่อปัสสาวะ (Urethra)
เป็นส่วนที่ต่อจากกระเพาะปัสสาวะ เพื่อนำนํ้าปัสสาวะออกสู่ภายนอก ในเพศหญิงท่อปัสสาวะจะมีความยาวประมาณ ๔ ซม. และเพศชายมีความยาวประมาณ 20 ซม.
กระบวนการทำงานของระบบขับถ่ายปัสสาวะ
การทำงานของระบบขับถ่ายปัสสาวะเริ่มขึ้นเมื่อโลหิตหรือพลาสมาไหลผ่านไตและหน่วยไตซึ่งในบริเวณนี้จะมีการกรองและการดูดซึมสารที่มีประโยชน์และน้ำบางส่วนกลับเข้าไปใช้ใหม่ในร่างกาย
สารที่ร่างกายไม่ได้ใช้ประโยชน์และน้ำบางส่วนจะถูกผลิตออกจากไตในรูปของปัสสาวะ และถูกขับออกมาจากไตไปเก็บยังกระเพาะปัสสาวะผ่านท่อไต เมื่อปริมาณของน้ำปัสสาวะภายในกระเพาะปัสสาวะมีมากพอ ระบบประสาทที่ควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะจะกระตุ้นให้ร่างกายขับน้ำปัสสาวะออกมาทางท่อปัสสาวะต่อไป
เมื่อร่างกายนำน้ำเข้าสู่ร่างกายน้อยจะส่งผลให้การทำงานของระบบขับถ่ายปัสสาวะด้อยประสิทธิภาพลง เพราะไตจะไม่มีน้ำที่นำเข้าไปให้ขับออกมา จึงต้องใช้น้ำในร่างกาย ซึ่งอาจเป็นน้ำเลือดที่ไตดึงออกมาเพื่อจะได้มีการขับถ่ายที่ปกติ ดังนั้นปัสสาวะที่ขับออกมาจึงมีสีเหลืองเข้ม
การสร้างเสริมดำรงประสิทธิภาพการทำงานของระบบขับถ่ายปัสสาวะ
1.ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย คือ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อทดแทนปริมาณน้ำที่ขับออกมาทางปัสสาวะ
2.ไม่ควรรับประทานผักที่มีปริมาณของสารออกซาเลต (Oxalate) สูง เนื่องจากผักเหล่านี้จะทำให้เกิดการสะสมของผลึกสารแคลเซียมออกซาเลต (Calcium Oxalate) ในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งส่งผลอาจทำให้เกิดเป็น“นิ่ว” ได้
3.ควรรับประทานอาหารประเภทโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่างๆ เป็นต้น ซึ่งมีปริมาณของสารฟอสเฟตสูง เพราะจะช่วย ลดอัตราการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะได้
4.ควรหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดี
5.ควรทำกิจกรรมนันทนาการ เพื่อผ่อนคลายความเครียด เพราะความเครียดมีผลต่อการทำงานของระบบร่างกายทุกระบบ ซึ่งรวมไปถึงระบบขับถ่ายปัสสาวะด้วย
6.ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้มีโอกาสเกิดการอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะได้ง่าย
7.เมื่อมีอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะขัด ปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปัสสาวะมีสีผิดปกติ เป็นต้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที