เนื้อหาจากการบรรยายในยูทูบ
หัวข้อ “ตัฟซีร ซูเราะฮฺอัล-อันฟาล 52-53 ผลจากการไม่ขอบคุณ ไม่รักษาเนียะอฺมะฮฺ” สอนโดย เชคริฎอ อะหมัด สมะดี
“นั่นก็เพราะว่า อัลลอฮฺมิได้ทรงเป็นผู้เปลี่ยนแปลงความกรุณาใด ๆ ที่พระองค์ทรงประทานมันแก่กลุ่มชนหนึ่งกลุ่มชนใด จนกว่าพวกเขาจะได้เปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ในตัวของพวกเขาเอง และแท้จริงนั้นอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงรอบรู้” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัล-อันฟาล 53)
ความกรุณาเขาได้มาจากสภาพของตัวเองที่ทำให้อัลลอฮฺโปรดปรานเขา กรุณาเขา พอเขาได้เปลี่ยนสภาพของตัวเอง อัลลอฮฺก็ได้เปลี่ยนความกรุณาเป็นความโกรธกริ้ว ก็คือเป็นการลงโทษ แสดงว่าก่อนที่จะเปลี่ยนจากความกรุณาเป็นการลงโทษ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุวะตะอาลา ได้กรุณาเนื่องจากว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยน พวกเขาสอดคล้องกับความประสงค์ของอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺจะไม่เปลี่ยนเนียะอฺมะฮฺ จนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เนียะอมะฮฺ (ความโปรดปราน ความกรุณา) หมายถึง ความสุข ความมั่นคง วิถีชีวิตที่ไม่ลำบาก อยู่ดีกินดี อัลลอฮฺจะไม่เปลี่ยนสภาพจนกว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
อัลลอฮฺได้ยกอุทาหรณ์ในอายะฮฺอื่น อุปมาเมืองที่เคยอยู่ในวิถีชีวิตที่มีความสุข แล้วเขาปฏิเสธมัน มีตัวอย่างมากมายทั้งในอดีต ปัจจุบัน
ในช่วงโควิดที่ต้องใช้แมสก์ปิดหน้า ก่อนหน้านั้นเคยมีนักสิทธิเสรีภาพของประเทศหนึ่ง ประท้วงที่รัฐบาลอนุญาตให้มุสลิมะฮฺปิดหน้า และเมื่อถึงตอนโควิดทุกคนต้องปิดหน้ากันหมด
เมืองเบรุต ประเทศเลบานอน เป็นเมืองที่ได้รับฉายาว่า “ปารีสตะวันออก” มีความสวยงาม มีช่วงหนึ่งที่เมืองรุ่งเรืองมาก และมีช่วงหนึ่งมีความแตกแยก มีสงครามกลางเมือง สู้รบกัน
หรือบางคนกินแซนวิช กัดคำหนึ่งแล้วทิ้ง บางคนจาม ไม่กล่าวว่า อัลฮัมดุลิลลาฮฺ แต่กลับกล่าวถึงพระองค์ไม่ดี
แทนที่จะเห็นเนียะอฺมะฮฺแล้วขอบคุณ กลับปฏิเสธเนียะอฺมะฮฺที่อัลลอฮฺให้ ยกตัวอย่างสิ่งที่อัลลอฮฺได้ตอบแทนมนุษย์ แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ปฏิเสธพระเจ้า แต่ไม่ปฏิเสธเนียะอฺมะฮฺ
ประเทศอียิปต์เคยเป็นประเทศที่เรียกว่า เป็นตะกร้าเสบียงของอาณาจักรอิสลาม ในปีที่อุมัร บินค็อฏฏ็อบ เป็นคอลีฟะฮฺ ตอนนั้นอาหรับเกิดความแห้งแล้ง จนกระทั่งคนในพื้นที่ต้องกินขนมปังจิ้มน้ำมัน จนกระทั่งเป็นผิวสีเทาเนื่องจากขาดสารอาหาร ในปีนั้นเรียกว่า ปีแห่งขี้เถ้า เพราะมีแต่คนซีด ท่านอุมัรสัญญาว่าจะไม่กินอะไรนอกจากขนมปังจิ้มน้ำมัน จนกว่าประชาชนจะได้มีอาหารกิน จึงส่งจดหมายไปยังอับดุรเราะหฺมาน บินเอาฟฺ เขาบอกว่า จะส่งเสบียงคาราวานอาหารมาให้ ต้นคาราวานอยู่ที่มาดีนะฮฺ ปลายคาราวานอยู่ที่อียิปต์
อียิปต์มีความมั่นคงด้านอาหาร ปลูกข้าวสาลีเป็นเสบียงถึงขั้นที่อาณาจักรโรมัน ถ้ามีเกิดวิกฤตเรื่องอาหาร ก็จะต้องอาศัยเสบียงของอียิปต์ อียิปต์ตอนนี้เป็นประเทศที่นำเข้าข้าวสาลีอันดับหนึ่งของโลก ปลูกข้าวสาลีแต่ไม่พอ เทียบกับเมืองไทย แต่ประชากรเติบโตไม่เยอะมากนักเมื่อเทียบกับไทย ประเทศอียิปต์ใหญ่โตอยู่แล้ว และโอกาสที่จะขยายเกษตรกรรมของเขามีอยู่แล้ว ประชากรของเขา 100 ล้านคน ประชากรไทยเกือบ 70 ล้านคน แต่คนไทยไม่เคยอดอยากข้าว แต่กลับปลูกมากขึ้นๆ
คนไทยมีวัฒนธรรมเรื่องข้าว ที่ปลูกฝังให้กินข้าวให้หมด “ข้าวทุกจาน อาหารทุกอย่าง อย่ากินทิ้งขว้าง เป็นของมีค่า” เป็นอุทาหรณ์ของเมืองที่ไม่ได้เนรคุณเนียะฮฺมะฮฺที่อัลลอฮฺให้ คนไทยปลูกฝังลูกหลานว่า “ชาวนากว่าจะปลูกข้าวเป็นอย่างไร อย่าให้ข้าวหกนะ” เป็นจิตสำนึกที่ดี ระมัดระวังเวลาตักข้าว เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ที่อัลลอฮฺให้ เป็นเหตุผลเพียงพอที่อัลลอฮฺจะรักษาเนียะฮฺมะฮฺไว้ให้ ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้ศรัทธาหรือไม่ก็ตาม
ความมั่นคงในด้านวิถีชีวิต มันไม่สามารถวัดด้วยรายได้ของประเทศ หรือความเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์ของประเทศ หรือแม้กระทั่งด้านความสะดวกสบายที่มาจากเทคโนโลยี เช่น ประเทศญี่ปุ่น ก็ถือว่าเป็นประเทศที่มีรายได้อันดับที่ 3-4 ของโลก แต่ติดอันดับ 1 ของโลกเรื่องการฆ่าตัวตาย คนที่ฆ่าตัวตายไม่ได้อดอยาก แต่เขาเป็นคนที่มีฐานะดี รายได้ดี
ตัวอย่างความโปรดปรานบางอย่าง เช่น ภาพรวมบางประเทศที่เคยมีความมั่นคงทางสังคมด้านครอบครัว เมื่อเขาละเลยหน้าที่ของครอบครัว ไม่ได้รักษาหลักการศาสนาไว้ ทำให้ติดอันดับของโลกในการหย่าร้าง เป็นผลสืบเนื่องจากการเนรคุณเนียะมะฮฺของอัลลอฮฺ เช่น การไม่รักษาเนียะมะฮฺของการมีครอบครัว
เนียะอฺมะฮฺของอัลลอฮฺไม่ใช่เรื่องความสุขสบายในการกินอยู่อย่างเดียว มีเรื่องอื่นด้วย เช่น เรื่องโรคระบาดโควิด มัสญิดเป็นเนียะมะฮฺที่ยิ่งใหญ่มาก การที่มาละหมาดที่มัสญิด คนที่มาละหมาดจะรู้คุณค่าเมื่อเวลาที่เขาประสบกับความยากลำบาก เขามาที่นี่ สงบและสบายใจ เขาจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ จนกระทั่งโรคระบาดมา เริ่มเห็นคุณค่า อยากจะมาละหมาดที่มัสญิด บางพื้นที่สร้างมัสญิดอย่างดี ติดแอร์ แต่ไม่ค่อยไปละหมาดกันในเวลาปกติ บางคนคิดไม่ได้ว่าอันนี้เป็นบทลงโทษหรือเปล่า
“พระองค์อัลลอฮฺจะไม่เปลี่ยนเนียะอฺมะฮฺใดๆ ที่อัลลอฮฺให้ไปแล้ว ที่อัลลอฮฺโปรดปรานไปแล้ว จนกว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเอง” เปลี่ยนจากอะไร จากคนที่ต้องกตัญญู สวามิภักดิ์ ไม่ฝ่าฝืน ยอมรับในหลักการ
การที่สังคมมนุษย์อยู่ในรูปแบบชีวิตที่มันอิสระเสรีทุกเรื่อง จนกระทั่งประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศเสรีนิยม ใครจะทำอะไรก็ทำ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นเสรี เช่น ท่องเที่ยว ดื่มสุรา บ่อนคาสิโน สนามมวย พอโควิดมา ล็อคหมด
เนียะอฺมะฮฺเรื่องนามธรรมที่คนส่วนมากไม่ค่อยเห็นข้อแตกต่าง เช่น คนเราเวลาทำบาป ทำความผิดอะไรสักอย่าง เรามักจะผูกพันบทลงโทษในการทำความผิดกับเรื่องการกินอยู่ เช่น เราไปทำไม่ดีกับพ่อแม่ พออยู่ที่ทำงานเจ้านายไล่ออก คือเรามักจะเห็นว่าเรื่องที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตที่มันสุขสบาย นั่นคือ รางวัลที่อัลลอฮฺให้มา อัลลอฮฺรักเรา อัลลอฮฺจึงให้เราสุขสบาย ในเรื่องรายได้ การกินอยู่ ถ้าเราบกพร่องเรื่องนี้ แสดงว่านี่คือเรื่องลงโทษ แต่ที่จริง..ไม่ใช่
บางทีเราทำบาป โทษที่อัลลอฮฺจะให้มาก็คือ ทำบาปอีก เช่น ไม่ละหมาดซุบฮฺ ตั้งนาฬิกาจะตื่น 8 โมง ไม่ละหมาดซุบฮฺ นี่คือบทลงโทษนะ ถ้าหากว่าคนที่เคยชินกับเรื่องนี้ ตลอดชีวิตเขาอาจจะไม่ค่อยตื่นละหมาดซุบฮฺ เขาอาจจะไม่รู้สึกว่ามันจะเป็นบทลงโทษอย่างไร ก็เหมือนคนทุกคน ถ้าหากว่าถูกลงโทษด้วยโรคบางอย่าง เขาเคยชินที่ต้องไปฉีดยาทุกวัน กินยาทุกวัน เขาก็ไม่รู้สึกเดือดร้อน แต่เทียบกับคนอื่นที่สุขภาพแข็งแรง ต้องไปฉีดยาเดือนละครั้ง เขารู้สึกเดือดร้อน
ไม่ละหมาด สำหรับคนที่เขารู้คุณค่าของการละหมาด และรู้ว่าการที่อัลลอฮฺไม่เตาฟีก ไม่ช่วยเหลือ ไม่เอื้ออำนวยให้เข้าเฝ้าอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่คือการลงโทษ นี่คือการยึดเนียะอฺมะฮฺอันยิ่งใหญ่ คนที่ละหมาดสม่ำเสมอ พอพลาดละหมาดวันศุกร์ (ละหมาดญุมอะฮฺ) ไป 1 ครั้ง มาละหมาดต้องมาก่อนคุฏบะฮฺ พอมาตอนอิหม่ามคุฏบะฮฺไปแล้วครึ่งชั่วโมง เขาจะรู้สึกว่า เรามีสิ่งที่เราบกพร่องหรือเปล่า
พวกเราจะต้องพยายามค้นหาในชีวิตของเรา การลงโทษที่มันไม่ใช่การลงโทษทั่วไป เช่น เป็นโรค อุบัติเหตุ ขาดรายได้ เป็นบะลาอฺทั่วไป แต่สิ่งที่พวกเราขาดโอกาสในการทบทวน เช่น ไม่มีโอกาสอ่านอัลกุรอาน ศึกษาอัลกุรอาน กี่มากน้อยประชาชนที่เขาผ่านพ้นเป็นเดือนๆ ไม่ได้อ่านอัลกุรอาน แต่เขาไม่รู้สึกอะไรเลย ที่จริงมันคือการลงโทษอย่างหนึ่ง การลงโทษที่มนุษย์มีชีวิตทั้งที แต่ไม่เคยเข้าไปอ่านดูว่าอัลลอฮฺทรงตรัสอะไรไว้ในอัลกุรอาน อยู่ทั้งวันทั้งคืน เล่นมือถือ ดูทีวีได้
การที่เราได้มีโอกาสเห็นอะไรสวยงามหลายอย่าง และชื่นชมคนที่ประดิษฐ์ทำสิ่งสวยงามเหล่านั้น ได้เห็นสิ่งสวยงามที่อัลลอฮฺสร้างขึ้นมาแล้วก็ไม่รำลึกถึงผู้สร้าง นี่คือการลงโทษอย่างหนึ่ง เช่น เห็นมือถือ แล้วชมคนที่ทำเก่ง คนที่ทำรถสวย คนทำกับข้าวเก่ง ชื่นชมตลอด แต่เราไปเห็นธรรมชาติ กลับไม่ชื่นชมผู้สร้าง
“อัลลอฮฺจะไม่เปลี่ยน จนกว่าเขาจะเปลี่ยนตัวเอง” นั่นหมายรวมว่า โดยสัญชาตญาณ อัลลอฮฺบันดาลใจให้ทุกคนได้อยู่ในสภาพที่กตัญญูต่ออัลลอฮฺ นึกถึงอัลลอฮฺเสมอ ศรัทธาต่ออัลลอฮฺเสมอ แต่การเปลี่ยนสภาพเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ สอดคล้องกับหะดีษ ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ทุกคนเกิดมาพร้อมความสะอาดด้านความศรัทธา สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนเขา แล้วเขาคล้อยตาม” แต่ทุกคน เมล็ดความดีของเขาสามารถทำให้เขาฝืนกระแสได้
เฉกเช่นโครงสร้างของมนุษย์ ถ้ามนุษย์ไปเกิดกับหมาป่า เห็นพี่น้องของมันที่เป็นหมาใช้ขาสี่ข้างไว้เดิน แล้วมนุษย์ยังพอมีสติที่จะดูโครงสร้างของร่างกายตัวเองว่า แขนกับขามันไม่เหมือนกัน ไม่ควรจะเดินเหมือนหมาป่า และมันไม่สะดวกด้วย คือสัญชาตญาณที่เราสามารถค้นหาในตัวเองได้
แต่ก็ต้องมานั่งคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม พ่อแม่จะเปลี่ยนศาสนาเขา หรือจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองที่จะเบี่ยงเบนในเรื่องสิ่งที่ถูกต้องไปยังสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เช่น บิดพลิ้วจากสภาพคนที่ต้องรำลึกถึงเหตุผลต่างๆ ที่จะทำให้สติปัญญาใคร่ครวญกับสิ่งธรรมชาติที่อัลลอฮฺสร้างไว้ ซึ่งมันชวนคิดแน่นอน แต่เราพยายามที่จะเบี่ยงเบนว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่พอเห็นรถเบนซ์ ชมว่าคนเยอรมันเก่ง ทำไมไม่คิดว่าเป็นธรรมชาติบ้าง โครงสร้างธรรมชาติทั้งหมด พยายามที่จะหนีสัญชาตญาณของตัวเองว่า จะต้องมีผู้สร้าง นี่คือการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่เปลี่ยนจากน้ำมือของตัวเอง
ในภาพรวมเรื่องคดีใหญ่ๆ ในสังคมที่เราควรจะคิดบ้าง หรือเชิญชวนคุยกับเพื่อน บางทีไม่ต้องไปโต้เถียงอะไร เพราะมนุษย์เหมือนดิน พอโยนเมล็ดไป รดน้ำ หรือได้น้ำจากที่อื่น ดินถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มันก็จะเป็นดินอย่างเดียว แต่ถ้าเราโยนเมล็ด ชวนคิดเรื่องเล็กๆ ก็ได้ เพราะเมล็ดแห่งความดี ทุกคนมีอยู่แล้ว มันก็จะพาเขาไปสู่สัจธรรมในตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย
การเปลี่ยนแปลง มีการเคลื่อนไหวของมนุษย์ในหลายรูปแบบ ที่จะทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงสภาพความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างชัดเจน คือ เรื่องการเรียนรู้ การศึกษา
มนุษย์ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวในด้านการเรียนรู้ การศึกษา แน่นอนมันต้องส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา ในที่นี้ไม่ใช่การเข้าชั้นเรียนปกติทั่วไป แต่หมายถึงการค้นหาความจริง ศึกษาเรียนรู้สัจธรรมด้วยตัวเอง ในรูปแบบทุกรูปแบบ นี่คือส่วนหนึ่งที่พวกเราจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง และมันเป็นตัวชี้วัดคุณค่าของมนุษย์ทุกคน
มนุษย์ที่ไม่ยอมให้ตัวเองได้พัฒนาการเรียนรู้ การศึกษาของตัวเอง แน่นอน อดความโปรดปราน (เนียะอฺมะฮฺ) ต่างๆ มากมาย เราได้เห็นในสังคม คนที่ไม่ได้เรียน คนที่ไม่พยายามแข่งขันในการศึกษาเรียนรู้ ก็มีโอกาสสูงที่จะอดเรื่องอาชีพ รายได้ มันเป็นรูปแบบแข่งขันสูงมาก ความแตกต่างระหว่างประเทศชาติ อารยธรรม เห็นจากประเทศที่ให้ความสำคัญกับการศึกษา เปอร์เซ็นต์ด้านการพัฒนาการศึกษามันบ่งชี้ถึงคุณภาพชีวิตของมนุษย์อย่างปฏิเสธไม่ได้
แต่ในทำนองเดียวกัน สิ่งที่มันไม่ได้อยู่ในมาตรฐานที่เขาตรวจสอบกัน การศึกษาที่พวกเขาพูดกันคือด้านวัตถุ เทคโนโลยี แต่การที่จะให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงเรื่องศีลธรรม เหมือนเขาไม่อยากจะยอมรับว่า มนุษย์ที่ไม่ยอมค้นหาเหตุผลที่จะให้เขาเปลี่ยนแปลง พัฒนาตนเองให้ดีขึ้นอย่างเช่นที่เขาพัฒนาตัวเองเรื่องการศึกษา ไม่ค้นหาศึกษาพัฒนาเรียนรู้ในด้านศีลธรรม คะแนนสูงในเรื่องรายได้เพราะศึกษาวิชาการ เทคโนโลยีสูง รายได้สูง แต่ประเทศชาติสอบตกด้านศีลธรรม เพราะขาดการเรียนรู้เรื่องศีลธรรมในมุมกว้าง ไม่ใช่เรื่องศาสนาอย่างเดียว
แต่เรื่องที่เราสามารถสัมผัสได้ในโลกปัจจุบัน ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศที่กำลังพัฒนา และประเทศยากจน ประเทศบางประเทศยากจนก็จริง แต่ประเทศของเขา ไม่มีตึกสูง ไม่มีโรงงานเยอะ ไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่สภาพชีวิตของเขา ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีความขัดแย้งด้านความคิดอันที่จะนำมาซึ่งความแตกแยกและความทุกข์ทรมานระหว่างมนุษย์ด้วยกัน เพราะเขาไม่มีเงื่อนไขของการศึกษาที่ยึดเรื่องวัตถุอย่างเดียว เขามีความเพียงพอในเรื่องศีลธรรม
ประเทศชาด ประเทศมาลี และประเทศไนเจอร์ ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ภาคกลาง และตะวันตกของทวีปแอฟริกา สังคมมุสลิมที่นั่น ไม่มีอัตราการหย่าร้าง อัตราการขโมย อาชญากรรม ไม่มีเลย
เพราะมุสลิมที่นั่น ส่วนมากท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่ม โรงเรียนฮาฟิซในประเทศไนเจอร์ และประเทศมาลี ไม่รองบประมาณเพื่อสร้างอาคารเป็นสิบๆ ล้าน เขาใช้อาคารห้องเดียว ตอนกลางคืนเป็นคอกแพะ เจ้าของแพะ ช่วงกลางวันตั้งแต่เช้ามืด เอาแพะไปกินหญ้า คอกแพะก็จะว่าง เด็กก็จะมาใช้ห้องนี้ในการท่องจำอัลกุรอาน พอห้องไม่พอ ล้นมาที่ถนน เขาปูผ้าซาญาดะห์ (ผ้าปูละหมาด) ตามถนน และครูก็สอน ถ้าบ้านเรามีโรงเรียนนี้ ดูถูกเลยนะ แต่เด็กที่เขาเรียนท่องจำอัลกุรอาน เขาไม่รู้สึกทุกข์อะไร และเขาก็ไม่ได้บ่น เขาไม่เคยบ่นเลย มีคนที่เขาไปดะวะห์ (เผยแพร่ เชิญชวนสู่อิสลาม) และไปเจอโดยบังเอิญ เขาไม่เคยเขียนจดหมายว่าเขาแย่มาก ต้องเรียนตามถนน ขอทุนหน่อย เขามีความสุขของเขาอย่างนั้น
การเรียนรู้ศีลธรรมขั้นสูง ถึงแม้ว่าประเทศที่เน้นด้านวัตถุเทคโนโลยีจะถูกมองว่าเป็นประเทศที่ทันสมัย บางทีเราแพ้เรื่องมาตรฐานศีลธรรม จนไปเน้นเรื่องวัตถุเกินไป ดังนั้น สังคมของเราจะแย่เรื่องศีลธรรม ครอบครัวสนใจให้ลูกเรียนสูงๆ โรงเรียนดังๆ แต่ไม่ได้สนใจว่าเขาจะละหมาดเป็นไหม โรงเรียนนี้จะละหมาดได้ไหม ให้ลูกติวทุกวิชา แต่อ่านอัลกุรอานไม่ออก มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากน้ำมือของเรา ทำให้สภาพสังคม/โลกมุสลิมตกต่ำ โดยเฉพาะคนที่ตามประวัติศาสตร์ ถูกสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพื้นที่ปกป้องศาสนานั้นไม่ใช่แล้ว จำนวนคนที่ท่องจำอัลกุรอานมากที่สุดไม่ได้อยู่ในเชื้อชาติอาหรับ อยู่ในเชื้อชาติอาจัม (ไม่ใช่อาหรับ) เช่น ประเทศที่เป็นอันดับหนึ่งของโลกในการอนุรักษ์อักษรอาหรับ ที่เรียกว่า วิชาคอตต์ (ศิลปะการเขียนภาษาอาหรับ) คือประเทศตุรกี
ประเทศชาด ประเทศมาลี และประเทศไนเจอร์ ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ภาคกลาง และตะวันตกของทวีปแอฟริกา สังคมมุสลิมที่นั่น ไม่มีอัตราการหย่าร้าง อัตราการขโมย อาชญากรรม ไม่มีเลย
เพราะมุสลิมที่นั่น ส่วนมากท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่ม โรงเรียนฮาฟิซในประเทศไนเจอร์ และประเทศมาลี ไม่รองบประมาณเพื่อสร้างอาคารเป็นสิบๆ ล้าน เขาใช้อาคารห้องเดียว ตอนกลางคืนเป็นคอกแพะ เจ้าของแพะ ช่วงกลางวันตั้งแต่เช้ามืด เอาแพะไปกินหญ้า คอกแพะก็จะว่าง เด็กก็จะมาใช้ห้องนี้ในการท่องจำอัลกุรอาน พอห้องไม่พอ ล้นมาที่ถนน เขาปูผ้าซาญาดะห์ (ผ้าปูละหมาด) ตามถนน และครูก็สอน ถ้าบ้านเรามีโรงเรียนนี้ ดูถูกเลยนะ แต่เด็กที่เขาเรียนท่องจำอัลกุรอาน เขาไม่รู้สึกทุกข์อะไร และเขาก็ไม่ได้บ่น เขาไม่เคยบ่นเลย มีคนที่เขาไปดะวะห์ (เผยแพร่ เชิญชวนสู่อิสลาม) และไปเจอโดยบังเอิญ เขาไม่เคยเขียนจดหมายว่าเขาแย่มาก ต้องเรียนตามถนน ขอทุนหน่อย เขามีความสุขของเขาอย่างนั้น
การเรียนรู้ศีลธรรมขั้นสูง ถึงแม้ว่าประเทศที่เน้นด้านวัตถุเทคโนโลยีจะถูกมองว่าเป็นประเทศที่ทันสมัย บางทีเราแพ้เรื่องมาตรฐานศีลธรรม จนไปเน้นเรื่องวัตถุเกินไป ดังนั้น สังคมของเราจะแย่เรื่องศีลธรรม ครอบครัวสนใจให้ลูกเรียนสูงๆ โรงเรียนดังๆ แต่ไม่ได้สนใจว่าเขาจะละหมาดเป็นไหม โรงเรียนนี้จะละหมาดได้ไหม ให้ลูกติวทุกวิชา แต่อ่านอัลกุรอานไม่ออก มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากน้ำมือของเรา ทำให้สภาพสังคม/โลกมุสลิมตกต่ำ โดยเฉพาะคนที่ตามประวัติศาสตร์ ถูกสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นพื้นที่ปกป้องศาสนานั้นไม่ใช่แล้ว จำนวนคนที่ท่องจำอัลกุรอานมากที่สุดไม่ได้อยู่ในเชื้อชาติอาหรับ อยู่ในเชื้อชาติอาจัม (ไม่ใช่อาหรับ) เช่น ประเทศที่เป็นอันดับหนึ่งของโลกในการอนุรักษ์อักษรอาหรับ ที่เรียกว่า วิชาคอตต์ (ศิลปะการเขียนภาษาอาหรับ) คือประเทศตุรกี
การปฏิเสธเนียะอฺมะฮฺ มีผลคือ อัลลอฮฺจะยึดเนียะอฺมะฮฺ จะเปลี่ยนแปลงไป มีอายะฮฺอื่นๆ ที่อัลลอฮฺได้เตือนคนที่ได้เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะเรื่องราวของศาสนาและศีลธรรมว่า ถ้าเขาทำแบบนั้น อัลลอฮฺก็จะปฏิเสธเขาไป แล้วก็จะเชิญชวนกลุ่มอื่นมาทำหน้าที่ดูแลศาสนา
“บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ากลับออกจากศาสนาของพวกเขาไป อัลลอฮฺก็จะทรงนำมาซึ่งพวกหนึ่ง ที่พระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขาก็รักพระองค์ เป็นผู้นอบน้อมถ่อมตนต่อบรรดามุมิน ไว้เกียรติแก่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะเสียสละและต่อสู้ในทางของอัลลอฮฺ และไม่กลัวการตำหนิของผู้ตำหนิคนใดนั่นคือความโปรดปรานของอัลลอฮฺซึ่งพระองค์จะทรงประทานมันแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงกว้างขวาง ผู้ทรงรอบรู้” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺ 54)
อีกซูเราะฮฺหนึ่ง “พึงรู้เถิดว่าพวกเจ้านี้แหละคือหมู่ชนที่ถูกเรียกร้องให้บริจาคในทางของอัลลอฮฺ แต่มีบางคนในหมู่พวกเจ้าเป็นผู้ตระหนี่ ดังนั้น ผู้ใดตระหนี่เขาก็ตระหนี่แก่ตัวของเขาเอง เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงมั่งมี แต่พวกเจ้าเป็นผู้ขัดสน และถ้าพวกเจ้าผินหลังออก พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนหมู่ชนอื่นแทนพวกเจ้า แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะไม่เป็นเช่นพวกเจ้า” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺมุฮัมมัด 38)
“สำหรับเขามีมะลาอิกะฮฺผู้เฝ้าติดตามทั้งข้างหน้าและข้างหลังเขา รักษาเขาตามพระบัญชาของอัลลอฮฺ แท้จริงอัลลอฮฺจะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง และเมื่ออัลลอฮฺทรงปรารถนาความทุกข์แก่ชนกลุ่มใดก็จะไม่มีผู้ตอบโต้พระองค์ และสำหรับพวกเขาไม่มีผู้ช่วยเหลือนอกจากพระองค์” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดฺ 11)
อายะฮฺนี้เป็นอุทาหรณ์สำคัญสำหรับคนทุกคนที่อยากจะเรียนรู้คุณค่าของความโปรดปรานที่อัลลอฮฺให้มากับชีวิต เราลองใช้เวลาค้นหาเนียะอฺมะฮฺที่อัลลอฮฺให้มาทุกอย่าง ทุกประเภท ทุกชนิด โดยเฉพาะในยามวิกฤต มีโรคระบาด เป็นโอกาสที่จะให้เราทบทวนเยอะๆ สิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงแล้วในเวลา 1 ปี ในชีวิตมีอะไรบ้าง ไม่ต้องทบทวนอายุขัยนานถึง 30 ปีขนาดนั้น แค่ทบทวนก่อน-หลังโควิด มันมีอะไรที่น่าศึกษาเรียนรู้ ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ แม้กระทั่งเด็กก็เห็นความแตกต่าง เนียะอฺมะฮฺเวลาอยู่กับโรงเรียน มีเพื่อน แต่พอมาเรียนออนไลน์ บ่นว่าที่เรียนอยู่ในห้องก็เรียนไม่ค่อยเข้าใจ แล้วมาเรียนออนไลน์ รู้สึกแย่ไปกันใหญ่
ใช้โอกาสนี้ในการไตร่ตรอง ทบทวนอายะฮฺนี้ ถูกหยิบยกมาเตือนสังคมโดยรวม แต่ที่จริงก็หมายถึงตัวเราด้วย เราเคยมีอะไรดีๆ ที่อัลลอฮฺให้มา เราเคยละหมาดมีความสุข เราเคยอ่านอัลกุรอานมีความสุข เราเคยทำความดีอะไรมีความสุข แล้วก็มันหลุดไปจากมือเราไหม มันหายไปไหม เราเสียดายไหม มันก็อยู่ในข่ายของอายะฮฺนี้ ที่ควรจะมาเตือนสติพวกเรา