เนื้อหาจากการบรรยายในยูทูบ
หัวข้อ “อิสลามคือทางรอด
สอนโดย อ.อัสมัน มีสมบูรณ์
อัลลอฮฺ (ซ.บ.) ไม่ได้ให้เราใช้ชีวิตอยู่โดยลำพัง หรือปล่อยให้เราจะทำอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่นะ แต่อัลลอฮฺทรงสร้างพวกเรา และส่งบรรดารอซูล/นบี (ศาสดา) มีหน้าที่เรียกร้องเชิญชวนตามบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า
มีอยู่หลายศาสนา เป็นศาสนาที่มาจากพระเจ้าเหมือนกัน นับตั้งแต่ท่านนบีอาดัม มนุษย์คนแรกเรื่อยมา ล้วนเป็นศาสนาอิสลามทั้งสิ้น หลักการปฏิบัติแต่ละยุคสมัยจะมีข้อแตกต่างกัน แต่หลักความเชื่อมั่น หรือหลักศรัทธาเหมือนกัน ตั้งแต่ท่านนบีอาดัมจนกระทั่งนบีท่านสุดท้าย
อัลลอฮฺตะอาลาได้กำหนดให้แต่ละยุคสมัยมีหลักคำสอน หลักปฏิบัติที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพความเหมาะสมของคนในยุคสมัยนั้นๆ
เราจึงพบว่า ในยุคสมัยสุดท้ายมีอัลกุรอานเป็นบทบัญญัติที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุด และมายกเลิกทุกๆ บทบัญญัติก่อนหน้าท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.)
เป็นทางนำว่าเราจะใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างไร
เป็นความเมตตา ให้เราได้ปฏิบัติตาม และรู้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร จะเดินไปทางไหน และพระผู้เป็นเจ้าจะประทานคุณงามความดีตอบแทนแก่เรา
เป็นรัศมี เป็นแสงสว่าง ชี้ทางนำในการดำเนินชีวิต เพื่อไม่ให้เราใช้ชีวิตอยู่ในความมืด คือชีวิตที่มีแต่ปัญหา สำคัญที่สุดคือปัญหาที่เกิดขึ้นในหัวใจ เมื่อหาทางออกไม่ได้จะทุกข์
เป็นยารักษา ทั้งโรคทางกาย และโรคที่มีอยู่ในหัวใจ เช่น ความทุกข์ เศร้าโศก
ศาสดาแต่ละยุคสมัยจะถูกแต่งตั้งให้มาเรียกร้องเชิญชวนกลุ่มชนของท่านเป็นการเฉพาะ (นบีเป็นหนึ่งในกลุ่มชนของท่าน)
กลุ่มชนอ๊าด อัลลอฮฺส่งท่านนบีฮูด
กลุ่มชนษะมูด อัลลอฮฺส่งท่านนบีซอและห์
ท่านนบีมูซา (โมเสส) ถูกส่งมายังกลุ่มบนีอิสรออีล บนีอิสรออีลเป็นลูกหลานของท่านนบียะกู๊บ (เจคอป)
ท่านนบีอีชา (เยซู) ถูกส่งมายังกลุ่มชนของท่านนบีมูซา ลูกหลานท่านนบียะกู๊บ
เช่น คัมภีร์เตารอต (โทราห์) หรือคัมภีร์อินญีล (ใบเบิล พันธสัญญาใหม่) ถูกบิดเบือนไปเกือบทั้งหมด มีความจริงอยู่เล็กน้อย หลักความเชื่อบางอย่างยังคงอยู่
ในคัมภีร์อินญีล อัลลอฮฺทรงห้ามไม่ให้กินหมูเหมือนกัน แต่พวกเขาบิดเบือนคำสอน มีบางกลุ่มที่ยังคงรักษาคำสอนนี้
บทบัญญัติของประชาชาติยุคก่อนๆ ถูกบิดเบือนไปหมด เพราะอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ยังไม่ได้ทรงสัญญาว่า พระองค์จะทรงรักษาบทบัญญัตินั้น เพราะบทบัญญัติก่อนหน้าอัลกุรอานนั้น เป็นบทบัญญัติที่ยังไม่สมบูรณ์
ทำไมพระผู้เป็นเจ้าไม่ประทานบทบัญญัติที่สมบูรณ์ลงมา เพราะอัลลอฮฺทรงประทานบทบัญญัติให้กับคนแต่ละยุคสมัยตามความเหมาะสม
บทบัญญัติที่สมบูรณ์ที่สุดจะเหมาะสมที่สุดกับคนในยุคสุดท้ายนี้
ก่อนที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) จะได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี ท่านอยู่ในนครมักกะห์ ก่อนที่ท่านรอซูลจะอพยพไปที่นครมาดีนะห์ คนยิวอพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่นครมาดีนะห์
เพราะเขาเคยเรียนรู้ในคัมภีร์ของเขามาก่อนแล้วว่า พระผู้เป็นเจ้าจะส่งนบีท่านสุดท้ายมา เพราะชื่อของท่านนบีมุฮัมมัดเคยถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์ก่อนหน้านี้แล้ว
เรียกว่า อะหฺหมัด เช่น ในคัมภีร์โทร่าห์ (พันธสัญญาเก่า) อินญีล (พันธสัญญาใหม่)
ระบุว่า “นบีท่านสุดท้ายจะถูกส่งมายังดินแดนหนึ่ง ที่มีต้นอินทผาลัมมาก และมีหินภูเขาไฟปิดล้อมอยู่”
เขาศึกษาหาความรู้จากบาทหลวงของพวกเขา จนทราบว่าสมัยก่อน ดินแดนนี้เรียกว่า “ยัษริบ” (นครมาดีนะห์ปัจจุบัน)
ยุคท่านนบีมูซา เป็นยุคที่ไสยศาสตร์เฟื่องฟู
ในลักษณะใช้ภาพลวงตา ทำให้คนตาลาย เห็นสิ่งหนึ่งเป็นวัตถุเคลื่อนที่ เหมือนกับที่นักไสยศาสตร์ของฟาโรห์ (ฟิรเอาน์) โยนเชือกแล้วร่ายมนต์ คนอื่นเห็นว่าเป็นงู
พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งท่านนบีมูซา (โมเสส) โดยให้มัวะอฺญิซาต (อัลลอฮฺให้ความสามารถที่เกินกว่ามนุษย์ทั่วไป) เป็นสิ่งที่คนในยุคสมัยนั้นคุ้นเคย แต่ของท่านนบีมูซาเป็นความจริง ไม่ลวงตา โยนไม้เท้าที่กลายเป็นงูจริงๆ กินงูตัวเล็กๆ (เชือก)
คนทั่วไปแยกไม่ออก นอกจากนักไสยศาสตร์ เพราะของตัวเองเป็นแค่เชือก พวกเขาเกิดความศรัทธา จึงก้มสุญูด
ยุคสมัยท่านนบีอีซา การแพทย์เจริญรุ่งเรือง
ท่านนบีอีซารักษาคนที่เป็นโรคเรื้อน ตาบอดตั้งแต่กำเนิดให้หาย เพียงแค่ลูบเท่านั้น คนตายฟื้นคืนชีพ ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ และบอกได้ว่าในบ้านมีอะไรซ่อนไว้
ยุคสุดท้ายเป็นยุคสมัยที่มีคนเก่งภาษา บทกวี คำโคลงกลอน อัลลอฮฺทรงแต่งตั้งท่านนบีมุฮัมมัดที่อ่านไม่ออก และเขียนไม่เป็น (ถูกเรียกว่า “อุมมี”) เพื่อจะได้ไม่มีคนว่าท่านนบีไปลอก หรือไปอ่านจากคัมภีร์ก่อนหน้านี้
นักกวีที่มีชื่อเสียงของชาวมักกะห์ ได้ฟังอัลกุรอาน ก็รู้ได้ทันทีว่า ไม่ใช่มนุษย์แต่งขึ้น เป็นดำรัสของพระเจ้า
รอซูลเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เคยโกหกแม้แต่ครั้งเดียว มีเหตุการณ์น้ำท่วม คนอาหรับให้ความศักดิ์สิทธิ์กับหินดำ ตกลงกันไม่ได้ว่าเผ่าใดจะเป็นคนย้ายหินดำ จึงตัดสินใจว่า ใครเข้าประตูเมืองเป็นคนแรกจะให้เขาคนนั้นเป็นคนตัดสิน
ท่านนบีมุฮัมมัดก็เข้าประตูเมืองเป็นคนแรก (โดยพระประสงค์ของอัลลฮฺ) เผ่าต่างๆ ยอมรับในคำตัดสินที่ท่านรอซูลเสนอให้นำผ้ามาวางแล้ววางหินดำ จากนั้นให้หัวหน้าเผ่าแต่ละเผ่ายกมุมผ้าคนละมุม ย้ายหินดำพร้อมกัน
นับตั้งแต่วันนั้นจนกระทั่งวันกิยามะฮฺ ไม่มีใครสามารถแต่งให้เหมือนอัลกุรอานได้
อัลลอฮฺทรงรักษาอัลกุรอานเอาไว้ 1. ในหัวใจ ผ่านความจำตั้งแต่เด็ก 2.คัมภีร์รูปเล่ม
คนที่มีชีวิตอยู่ในยุคสุดท้ายนี้ จะต้องศรัทธา ปฏิบัติตาม และเรียกร้องไปสู่คัมภีร์อัลกุรอาน ตามที่ท่านนบีมุฮัมมัด (ซ.ล.) ทรงเรียกร้องไปสู่ความศรัทธา
ท่านรอซูลบอกว่า หลักการของศาสนาอิสลาม หนทางที่เป็นสัจธรรม หนทางที่จะนำไปสู่การรู้จักอัลลอฮฺ มีทางเดียว หนทางที่นำไปสู่การหลงทางมีมาก อิสลามมีคำตอบในทุกเรื่อง
คนที่มีศรัทธา (อีมาน) สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธา โดยไม่มีข้อสงสัย หากมีข้อสงสัย แสดงว่าเขามีอีมานที่ยังไม่สมบูรณ์