เนื้อหาจากการบรรยายในยูทูบ
หัวข้อ “การพัฒนานิสัยตนเอง แบบทำได้จริง (อัคลาก นิสัย ตัวตนที่พัฒนาได้ ตอนที่ 5)” สอนโดย อ.อิลยาส วารีย์
มีหลายคนคิดว่า ถ้าอายุ 40 ปีขึ้นไป จะปรับปรุงตัวเองไม่ได้แล้ว แต่ในภาคปฏิบัติเป็นไปได้ เพราะบรรดาศอฮาบะฮฺมาเข้ารับอิสลาม หลายๆ ท่านอายุเกิน 40 ปีแล้ว พอได้รับทางนำ หลายๆ คนเปลี่ยนแปลงไปแบบก้าวกระโดด เช่น ความอดทนและภาวะความเป็นผู้นำของท่านอุมัร บินคอฏฏ็อบ มาปรับปรุงได้ตอนเข้ารับอิสลาม และพวกเขาก็ตั้งใจที่จะปรับปรุงตนเองอย่างแท้จริง
“แท้จริงอัลลอฮฺจะมิทรงเปลี่ยนแปลงสภาพของชนกลุ่มใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาพของพวกเขาเอง และเมื่ออัลลอฮฺทรงปรารถนาความทุกข์แก่ชนกลุ่มใดก็จะไม่มีผู้ตอบโต้พระองค์ และสำหรับพวกเขาไม่มีผู้ช่วยเหลือนอกจากพระองค์” (ส่วนหนึ่งจากอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดฺ 11)
นิสัยของคนเรามีการพัฒนาดีขึ้น และต่ำต้อย ในบางช่วงชีวิต บางบททดสอบกลายเป็นคนสุขุมขึ้น บางคนเมื่อได้ทำงานที่ละเอียดอ่อน เขาก็เป็นคนที่ละเอียดอ่อนมากขึ้น
แต่ละคนอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถึงเวลาที่ต้องเริ่มได้แล้ว อย่าไปโทษปัจจัยภายนอก เพราะส่งผลแค่ส่วนหนึ่ง แต่หลักๆ สาเหตุอยู่ที่ตัวตนของเรา บางคนอยู่กับคนไม่ดีก็ยังเป็นคนดีได้ เช่น ภรรยาของฟิรเอาน์ บางคนอยู่กับคนดีมากๆ แต่ก็ไม่ได้ดีตาม เช่น ภรรยาของนบีนูห์
เราต้องมั่นใจว่า นิสัย ตัวตน เกี่ยวพันกับศาสนกิจ บางคนอาจจะมีความอดทนในการละหมาด บางคนอาจจะเป็นคนอ่อนโยนในการปฏิบัติศาสนกิจ แต่พอเป็นเรื่องการดำเนินชีวิต กลับเป็นคนละคน เช่น โกหก ใส่ร้าย หรือบางคนเป็นคนดีในการดำเนินชีวิต แต่กลับไม่ดีในการปฏิบัติศาสนกิจ เพราะพลาดที่เราไปแยกกัน คิดว่าไม่เกี่ยวข้องกัน
คนที่มีตัวตนภายในที่ดีนั้น เขาต้องมีตัวตนภายในที่ดีทั้งกับอัลลอฮฺ ครอบครัว คนทั่วไป และกับตัวของเขาเอง
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “การจะได้ความรู้นั้น ก็ต้องขวนขวายให้ได้ความรู้ การจะเป็นคนที่สุขุมนั้น ก็ต้องด้วยกับการพยายามทำตนให้มีความสุขุม” คือต้องศึกษาฝึกฝน ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ไม่ได้มีความอดทนสมบูรณ์ตั้งแต่เด็ก ท่านเริ่มจากการเลี้ยงแพะ-แกะ
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มิได้ส่งนบีท่านใดมา เว้นแต่เขาจะมีอาชีพเลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี) เพราะการเลี้ยงแพะเป็นบททดสอบที่ฝึกฝนอัคลาคได้ดีอย่างหนึ่ง ฝึกความอดทน เรียนรู้การรับมือกับปัญหา ซื่อสัตย์ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ผ่านประสบการณ์อันยาวนานและหนักหน่วงจากการสูญเสียพ่อแม่ ลูก ภรรยา และลุง ซึ่งประสบการณ์หล่อหลอมให้ท่านกลายเป็นคนดี
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวถึงตัวท่านเองว่า “แท้จริง ฉันถูกแต่งตั้งมาเพื่อให้จรรยามารยาทนั้นครบถ้วนสมบูรณ์” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยฮะกีม) เพื่อทำให้เรื่องราวการพัฒนาตนนั้นสมบูรณ์ เพราะภายในที่มีความสงบ สุขุม อดทน เห็นอกเห็นใจ มีความรักเสียสละที่ดีนั้น มีผลต่อการละหมาดที่มีคุณภาพ ภายในนั้นส่งผลออกมาเป็นความคิด คำพูด และการกระทำ เพราะฉะนั้นตัวตนภายในต้องมีการพัฒนาตลอดเวลา เพราะมันพร้อมที่จะเสียคน วัลอิยาซุบิลลาฮฺ
อัลลอฮฺทรงสั่งใช้ให้พัฒนาตนในรูปแบบที่หลากหลาย รวมทั้งให้ห่างไกลสิ่งที่เป็นข้อห้าม (หะรอม) เช่น บททดสอบที่หนักที่สุดสำหรับผู้ชาย “และพวกเจ้าอย่าเข้าใกล้การผิดประเวณี แท้จริงมันเป็นการลามกและทางอันชั่วช้า” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลอิสรออฺ 32) เพราะการเข้าใกล้ซีนา (การผิดประเวณี) เป็นสาเหตุให้ทำบาปหลายต่อ วัลอิยาซุบิลลาฮฺ เกือบ 8 ข้อ เช่น
การจีบเป็นบาป
เรามีคู่ครองไปจีบคนอื่นเป็นบาป
ไปจีบคนอื่นที่มีคู่ครองเป็นบาป
ทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยกเป็นบาป
หักหลังภรรยาเป็นบาป
อ้างว่ามีสิทธิ์ตามที่อัลลอฮฺบอกที่สามารถมีภรรยาได้หลายคน (แต่ใช้วิธีจีบซึ่งเป็นบาป) เป็นการโกหกต่อพระองค์
บอกว่าอาจจะแต่ง แต่แต่งหรือเปล่าไม่รู้ เป็นบาป
ใช้วิธีการที่ผิดแล้วอ้างความรับผิดชอบก็บาป
เป็นตัวตนนิสัยที่ไม่ดี การไม่ห้ามนิสัยที่ไม่ดีของตนเอง เอานิสัยไม่ดีไปใช้กับคนอื่น ถึงเวลาเอามาโยงเรื่องศาสนาทำให้ตัวเองดูเป็นคนดี มีข้ออ้างในการทำสิ่งที่หะรอมต่อไป
อัลลอฮฺทรงสั่งในสิ่งที่เป็นไปได้ ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม จึงสั่งให้ห้ามเข้าใกล้ซีนา ไม่ใช่แค่ห้ามทำซีนา (ผิดประเวณี) ถ้าสนใจผู้หญิงคนใดก็ขอเลย แต่หากคิดว่า เรายังไม่รู้นิสัยของเขา ก็ให้ดูที่ศาสนาของเขา เป็นคนดี เชื่อฟัง ทำให้มันเปิดเผย ชัดเจน แสดงว่าทำตามซุนนะฮฺจริงๆ ที่จะมีภรรยามากกว่า 1 ไม่เกิน 4 และดูแลอย่างยุติธรรม ถ้ายังแอบอยู่ เป็นสิ่งที่หะรอม
คนทุกคนมีความต้องการ ปรารถนา แต่ก็ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจ ต้องเรียนรู้ที่จะฝืนใจตนเองในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืน สิ่งที่ไม่ดี
คำสอนที่สั่งใช้ และห้ามอะไร ล้วนมีผลต่อการพัฒนาตัวเราเป็นอย่างดี จากอัลกุรอาน พระองค์ทรงบอกให้รู้ถึงสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัวตน นิสัยของเรามันแย่ ซึ่งตัวตนที่แย่ส่งผลให้เราไม่เป็นบ่าวที่ดีของอัลลอฮฺ
“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ที่จริงสุราและการพนันและแท่นหินสำหรับเชือดสัตว์บูชายัญ และการเสี่ยงติ้ว นั้น เป็นสิ่งโสมมอันเกิดจากการกระทำของชัยฏอน ดังนั้นพวกเจ้าจงห่างไกลจากมันเสียเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ ที่จริงชัยฏอนนั้นเพียงต้องการที่จะให้เกิดการเป็นศัตรูกันและการเกลียดชังกันระหว่างพวกเจ้าในสุราและการพนัน (ตัฟซีร: คือในการดื่มสุราและการเล่นการพนัน เพราะทั้งสองนั้นก่อให้เกิดวิวาทกัน และผูกใจเจ็บกัน) เท่านั้น และมันจะหันเหพวกเจ้าออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺ และการละหมาด (ตัฟซีร: เพราะผู้ที่มึนเมานั้นง่ายแก่การที่ชัยฏอนจะจูงเขาให้ไปทางไหนก็ได้ เฉพาะอย่างยิ่งในการหันเหออกจากการรำลึกถึงอัลลอฮฺและการละหมาด ส่วนการพนันนั้นก็ทำให้ผู้เล่นมุ่งที่จะได้รับกำไร จึงไม่มีช่องที่รำลึกถึงอัลลอฮฺ และไม่มีเวลาไปทำละหมาด) แล้วพวกเจ้าจะยุติไหม” (ตัฟซีร: เป็นคำถามในเชิงปรามให้มีการยุติในการดื่มสุราและการพนัน) (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัล-มาอิดะฮฺ 90-91 ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ ประเทศไทย)
ยิ่งการพนันออนไลน์ ยิ่งอันตราย เพราะเขาจะใส่สูตร ใส่โค้ดลงไปในเว็บ เช่น อาจจะให้ถูก 1 ครั้ง จากนั้นก็เสียทั้งหมด ซึ่งการพนันปกติส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ เวลาที่เมา เกิดอุบัติเหตุ การทำร้าย ทำซีนา เป็นสิ่งที่มาจากการดื่มสุราทั้งสิ้น
“แล้วพวกเจ้าจะยุติไหม” หลังจากอายะฮ์นี้ถูกประทานลงมา ชาวมุสลิมในสมัยนบีมุฮัมมัดก็เลิกดื่มสุราทันที และมีการเทสุราทิ้งตามท้องถนน นิสัยส่วนใหญ่พัฒนาได้ ขอแค่หยุดทำนิสัยไม่ดี พฤติกรรมไม่ดี หยุดทำซินา หยุดโกหก หยุดเมื่อไหร่ ตัวตน นิสัยเปลี่ยนทันที แค่นี้ก็จะกลายเป็นคนที่ดีขึ้น นิสัยพัฒนาแบบก้าวกระโดด
รายงานจากอบูบุรดะฮฺ จากพ่อของเขาคือ ท่านอบูมูซา อัลอัชอะรีย์ ว่า : ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ส่งท่านอบูมูซาไปที่เยเมน แล้วท่านอบูมูซาก็ได้ถามท่านนบีเกี่ยวเครื่องดื่มที่ผลิตที่นั่น ท่านนบีจึงถามว่า “มันคืออะไร?” ท่านอบูมุซาก็ตอบว่า “อัลบิตอฺและอัลมิซรฺ” มีคนถามอบูบุรดะฮฺว่า “อัลบิตอฺคืออะไร?” อบูบุรดะฮฺตอบว่า ” (อัลบิตอฺ) คือน้ำหมักที่ใส่น้ำผึ้ง ส่วนอัลมิซรฺคือน้ำหมักที่มาจากข้าว (บาร์เลย์หรือข้าวโอ๊ต)” แล้วท่านนบีก็กล่าวว่า “ทุกสิ่งที่ทำให้มึนเมานั้นเป็นที่ต้องห้าม (หะรอม)” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6214 และมุสลิม เลขที่ 1733)
รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า : ฉันได้ยินท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงมุอฺมินที่มีคุณลักษณะนิสัยที่ดีนั้นย่อมบรรลุถึงระดับขั้นของผู้ที่ถือศีลอดและลุกขึ้นทำอิบาดะฮฺในยามค่ำคืนอย่างแน่นอน” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอบูดาวูด เลขที่ 4798) คือคนที่ปฏิบัติฟัรฎูครบ คนที่ถือศีลอดผลบุญมหาศาล คนที่ถือศีลอดเป็นประจำกับอีกคนหนึ่งอาจไม่ได้ถือศีลอดสุนัตเป็นประจำ แต่เขามีนิสัยที่ดี ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า สองคนนี้อยู่ระดับเดียวกัน
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “บ่าวคนหนึ่งด้วยกับการที่เขามีนิสัยที่ดี ทำให้ในโลกหน้า อัลลอฮฺยกระดับขั้นเขาสูงลิ่วและให้เกียรติเขาอย่างสูงส่ง ทั้งๆ ที่เขาทำอิบาดะฮฺน้อย” (หะดีษหะสัน บันทึกในหะดีษมุกตาเราะฮ์) ในกรณีนี้ ทำฟัรฎูครบ ทิ้งสิ่งหะรอม แต่อาจทำภาคเสริม (สุนัต) น้อย
อะไรบ้างที่เป็นอัคลาก ตัวตน นิสัยที่ดี ที่ผู้ศรัทธาต้องมี นักวิชาการได้สรุปจำแนกได้ดังนี้
1. ความซื่อสัตย์ (อัศศิดกุ)
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “จำเป็นแก่พวกเจ้าที่จะต้องมีความสัตย์จริง เพราะว่าความสัตย์จริงจะนำไปสู่สิ่งที่ดี และความดีจะนำไปสู่สวรรค์ และชายคนหนึ่งยังคงเป็นผู้ซื่อสัตย์ และดำเนินไปในสิ่งที่เป็นความจริง จนกระทั่งอัลลอฮฺทรงบันทึกให้เป็นคนสัตย์จริง พวกเจ้าพึงระวังเรื่องการโกหกเพราะว่าการโกหกมันจะนำไปสู่ความชั่วต่างๆ และความชั่วนั้นจะนำสู่นรกและชายคนหนึ่งที่ยังถือการโกหกและยังมีพฤติกรรมโกหกอยู่ จนกระทั่งอัลลอฮ์ได้บันทึก ณ ที่เขาว่าเป็นคนโกหก” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยมุสลิม เลขที่ 2607 และบุคอรี)
2. การมีความรับผิดชอบ (อะมานะฮฺ)
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “พวกท่านทุกคนเป็นผู้ดูแล และรับผิดชอบ ในสิ่งที่พวกท่านดูแล ผู้ปกครองที่มีอำนาจเหนือประชาชน คือผู้ดูแลและรับผิดชอบต่อประชาชน ผู้ชายเป็นผู้ดูแลครอบครัวของเขาและรับผิดชอบครอบครัวของเขา ผู้หญิงเป็นผู้ดูแลบ้านและลูกๆ ของสามีของนาง และเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งเหล่านั้น ทาสเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินของนายของตนและรับผิดต่อสิ่งนั้น ดังนั้น พวกท่านทุกคนเป็นผู้ดูแล และรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้อยู่ภายใต้การดูแลของตน” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 2554) ทุกคนมีความรับผิดชอบและต้องถูกสอบสวนในหน้าที่นั้น ไม่ว่าจะเป็น พ่อบ้าน แม่บ้าน
จากอนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮ์ อันฮุ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มิได้ปราศรัยกับเรา เว้นแต่ท่านกล่าวว่า “ไม่มีความศรัทธา(อีหม่าน)ที่สมบูรณ์สำหรับผู้ที่ไม่มีความรับผิดชอบ (อะมานะฮฺ) และไม่มีศาสนาที่สมบูรณ์สำหรับผู้ที่ไม่รักษาสัญญา” (หะดีษหะสัน บันทึกโดยอะห์มัด เลขที่ 12383)
3. ความสุขุม (อัลฮิลมุ)
ความสุขุม คือ การไม่ด่วนตัดสิน ไม่พูดหยาบ ไม่พูดเร็วเกินไป ไม่ด่วนทำอะไรไม่กลับมาเสียใจทีหลัง
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ความสุขุมไม่รีบร้อนต่อทุกๆ การงานนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เว้นแต่การงานที่เกี่ยวข้องกับอาคิเราะฮฺ” (หะดีษ บันทึกโดย อบูดาวูด เลขที่ 4810)
4. ความใจเย็น (อัลอะนะฮฺ)
มีรายงานจากอบูฮุร็อยเราะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้ถ่ายปัสสาวะในมัสยิด ผู้คนจึงกรูเข้าหาหมายจะทำร้ายเขา ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวกับพวกเขาว่า “จงปล่อยเขา(ให้ถ่ายปัสสาวะจนเสร็จก่อน) และจงนำน้ำถุงหนึ่ง หรือถังหนึ่งมาราดปัสสาวะเขา เพราะแท้จริงแล้วพวกเจ้าถูกบังเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นผู้อำนวยความสะดวกและไม่ได้ถูกบังเกิดให้เป็นผู้สร้างความลำบาก” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6128 และมุสลิม เลขที่ 284)
5. ความกล้าหาญ
มุสลิมต้องกล้าหาญในสิ่งที่ต้องกล้าหาญ
ความกล้าหาญของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม
รายงานจากอะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ฉันได้เห็นพวกเราในวันสงครามบัดรฺ โดยพวกเราต่างหลบไปกำบังหลังท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งท่านเป็นคนที่ประชิดศัตรูมากที่สุดในหมู่พวกเรา และท่านเป็นคนที่ห้าวหาญที่สุดในวันนั้น (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์มัด เลขที่ 654)
6. การรักษาบุคลิกให้ดูดี
การรักษาบุคลิกให้ดูดี การวางตัวดี เหมาะสม ผู้ศรัทธาไม่ได้อวดใคร แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ keep look ด้วย ไม่ใช่เป็นคนที่พูดหยาบคาย ด่าทอคนอื่น สาปแช่ง หรือทำพฤติกรรมที่ไม่งาม เช่น ขากเสมหะตามท้องถนน
อับดุลลอฮฺ บินอัมร์ เราะฎิยัลลอฮุมา กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่เคยเป็นคนหยาบช้าและไม่เคยเป็นคนที่พูดจาหยาบคาย และท่านก็เคยพูดว่า “แท้จริง ผู้ที่ดีที่สุดในหมู่สูเจ้า คือ ผู้ที่มีอุปนิสัยดีที่สุด” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 3559 และมุสลิม)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “หาใช่ผู้ศรัทธา(มุอฺมิน)ไม่ สำหรับผู้ที่ด่าทอใส่ร้าย ผู้ที่ด่าทอสาปแช่ง ผู้ที่หยาบโลน ผู้ที่หยาบคาย” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี ในอัลอะดับ อัลมุฟร็อด กิตาบ 15 เลขที่ 4 และเลขที่ 24, อัลอะดับ อัลมุฟร็อด เลขที่ 237]
อะนัส บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่ใช่เป็นผู้ที่ชอบด่าทอ ไม่ใช่เป็นผู้ที่ชอบพูดจาหยาบคาย ไม่ใช่เป็นผู้ที่ชอบสาปแช่ง ท่านจะกล่าวแก่คนหนึ่งในหมู่พวกเราในตอนที่จะตำหนิว่า “เขาเป็นอะไร หน้าผากของเขาจึงติดดิน” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6031)
7. การมีความรักให้กันและกัน
หัวใจที่มีความรัก ถือว่าเป็นนิสัยที่งดงามเช่นเดียวกัน ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ผู้ใดรักใครเพื่ออัลลอฮฺ เกลียดเพื่ออัลลอฮฺ ให้เพื่ออัลลอฮฺ หักห้ามเพื่ออัลลอฮฺ ก็ถือว่ามีอีมานที่สมบูรณ์แล้ว” (หะดีษหะสัน บันทึกโดยอบูดาวูด)
8. ความอดทน (อัศศอบรุ)
อดทนทุกเรื่องในชีวิต ไม่มีอะไรที่เราไม่อดทน จะทำความดีก็ต้องอดทน มุสลิมที่รักในการเป็นมุสลิม รักในการทำอิบาดะฮฺ เขาจะไม่รู้สึกว่าต้องอดทนในการทำอิบาดะฮฺ
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “แท้จริง ความอดทนอยู่ที่ตอนประสบเคราะห์กรรมครั้งแรก” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี)
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ผู้ใดที่พยายามทำตัวเป็นผู้อดทน อัลลอฮฺจะทำให้เขาสามารถอดทนได้ และผู้ใดที่ไม่ต้องการจะพึ่งพาใคร อัลลอฮฺก็จะให้เขาเพียงพอ และพวกเขาจะไม่ได้รับการให้สิ่งใดที่ดีไปกว่าและสะดวกกว่าการให้มีความอดทน” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6470 และมุสลิม เลขที่ 1053)
9. การทำดีกับผู้อื่น
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “การทำดี คือ การมีจรรยามารยาทที่ดีงาม ส่วนความผิด นั้นคือ สิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในจิตใจของท่าน และท่านไม่ชอบให้ใครรู้เห็น” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยมุสลิม เลขที่ 2553)
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ท่านจงยำเกรงต่ออัลลอฮฺไม่ว่าท่านจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม และจงตามความชั่วด้วยการทำความดีชดใช้ ซึ่งความดีนั้นจะไปลบล้างความชั่วได้ และจงปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยจรรยามารยาทที่ดีงาม” (หะดีษหะสัน บันทึกโดยอัตติรมิซีย์)
10. การยุติธรรม
ยุติธรรมทั้งในบ้านและนอกบ้าน จะพูดถึงใครก็ต้องให้ความยุติธรรมกับเขา
ความยุติธรรมของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
มีรายงานจากท่านหญิงอาชิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮฺ อันฮา ความว่า ชาวกุร็อยชฺต่างพากันเป็นห่วงกรณีผู้หญิงตระกูลมัคซูมที่ขโมยของ …(พวกเขาจึงไปขอร้องให้อุสามะฮฺ บิน ซัยด์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ช่วยพูดกับท่านนบีเพื่อไม่ให้ท่านลงโทษตัดมือ) อุสามะฮฺ บิน ซัยด์ ก็ไปพูด ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮิอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าว(ตำหนิ)ว่า “เจ้าจะมาให้ความช่วยเหลือในบทลงโทษที่เป็นบทบัญญัติของอัลลอฮฺกระนั้นหรือ?” หลังจากนั้นท่านก็ได้ลุกขึ้นกล่าวเทศนาและกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ชนก่อนหน้าพวกเจ้าต้องล่มสลายไปก็เพราะว่า เมื่อพวกเขาเห็นคนชั้นสูงขโมยพวกเขาก็ปล่อยตัว แต่เมื่อคนธรรมดาต้อยต่ำขโมยพวกเขากลับลงโทษ ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ หากว่า ฟาฏิมะฮฺ บุตรสาวของมุฮัมมัดขโมย แน่นอนฉันก็จะตัดมือนาง” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 3475 และมุสลิม เลขที่ 1688)
11. ใจบุญ
ความใจบุญของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม
อิบนุอับบาสกล่าวว่า ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นคนใจดีที่สุดต่อผู้คน และความใจบุญสุนทานของท่านจะถึงจุดสูงที่สุดในเดือนรอมฎอน เมื่อญิบรีลพบท่าน ญิบรีลได้มาพบท่านทุกคืนในเดือนรอมฎอนเพื่อทบทวนกุรอานกับท่าน เมื่อญิบรีลพบท่าน ท่านจะเป็นคนใจบุญสุนทานยิ่งกว่าลมเย็นพัดโชยที่บอกถึงการมาของฝนเสียอีก (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6 และมุสลิม เลขที่ 2308)
12. เป็นคนสบายๆ มองคนด้านบวก
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “พวกท่านจงหลีกเลี่ยงการคิดในแง่ร้าย เพราะมันคือถ้อยคำที่เป็นเท็จที่สุด จงอย่าสอดแนม อย่าสอดรู้สอดเห็น อย่าปั่นราคาสินค้า อย่าอิจฉาริษยา อย่าเกลียดชัง อย่าหันหลังให้กัน และพวกท่านจงเป็นบ่าวของอัลลอฮฺอย่างฉันท์พี่น้อง” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6066 และมุสลิม เลขที่ 2563)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “พวกเจ้าจงทำให้ง่าย อย่าทำให้ยาก และจงทำให้สบายใจ อย่าทำให้ตื่นตระหนก” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6125 และมุสลิม เลขที่ 1734)
13. ให้อภัยคนอื่น ต้องมีการอภัยซึ่งกันและกัน
ให้อภัยคนอื่น หัวอกไม่บรรจุความเคียดแค้นใคร
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “พวกท่านจงอย่าโกรธกัน อย่าอิจฉากัน อย่าหันหลังให้กัน อย่าตัดสัมพันธ์กัน และจงเป็นบ่าวของอัลลอฮฺฉันท์พี่น้อง ไม่อนุญาตให้มุสลิมคนใดหมางเมินพี่น้องของเขาเกินกว่าสาม(วัน)” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม)
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้กล่าวว่า เมื่อท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิ วะสัลลัม ถูกเสนอให้เลือกระหว่างสองสิ่ง ท่านจะเลือกสิ่งที่ง่ายกว่าเสมอ ตราบใดที่สิ่งนั้นไม่เป็นบาป เพราะหากสิ่งนั้นเป็นบาปท่านจะเป็นคนที่ห่างไกลจากมันมากกว่าใครๆ และท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่เคยแก้แค้นเอาคืนให้กับตัวเอง นอกจากเมื่อเกียรติของอัลลอฮฺถูกลบหลู่ ท่านก็จะแก้แค้นเพื่อเรียกร้องเกียรติของอัลลอฮฺกลับคืนมา (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 3560 และมุสลิม เลขที่ 2327)
ท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวแก่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า ‘โอ้ ท่านรอซูล ท่านเคยเจอวันใดที่หนักยิ่งกว่าวันสงครามอุฮุดไหม?’ ท่านตอบว่า “แท้จริงแล้ว ฉันเคยเจอกับ (การต่อต้าน) จากเผ่าพันธุ์ (กุเรชมักกะฮฺที่ปฏิเสธศรัทธา) พวกของเจ้า และที่รุนแรงที่สุดที่ฉันได้รับ (การต่อต้าน) จากพวกเขาก็คือในวันอัล-อะเกาะบะฮฺ ตอนที่ฉันเสนอตัวฉันต่อบุตรอิบนุ อับดิยาลีล บินอับดิกุลาล (คือ ผู้กว้างขวางแห่งเมืองฏออิฟคนหนึ่ง เป็นชาวอาหรับเผ่าษะกีฟ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนเชาวาล ปีที่ 10 ของการประกาศศาสนาอิสลามที่มักกะฮฺ หลังจากการเสียชีวิตของอบูฏอลิบ และท่านหญิงเคาะดีญะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ภริยาผู้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่อิสลาม, ดู ฟัตหุล บารีย์ : 6/363 – ผู้แปล) แล้วเขาไม่ตอบรับต่อข้อเรียกร้องของฉัน แล้วฉันก็ผละตัวออกไปด้วยใบหน้าที่เศร้าหมอง แล้วฉันก็มาหยุดที่ควน “ก็อรนุลซะอาลิบ” ฉันจึงเงยศีรษะขึ้นและพบว่าฉันได้ถูกเมฆก้อนหนึ่งลอยมาบัง ฉันจึงเพ่งมองออกไป ปรากฏว่ามีมลาอิกะฮฺญิบรีลอยู่ในนั้น ท่านเรียกฉันและบอกว่า 'แท้จริง อัลลอฮฺทรงได้ยินคำพูดของกลุ่มชนพวกท่าน (พวกกุเรชที่ปฏิเสธศรัทธา) ต่อท่าน และสิ่งที่พวกเขาต่อต้านท่าน และพระองค์ทรงส่งมลาอิกะฮฺที่คอยดูแลภูเขาเพื่อให้ท่านสั่งการให้เขาทำสิ่งที่ท่านประสงค์ต่อพวกเขาเหล่านั้น'” ท่านรอซูลเล่าต่อว่า “แล้วมะลาอิกะฮฺภูเขาก็เรียกฉันและให้สลามแก่ฉัน แล้วกล่าวว่า ‘โอ้ มุฮัมมัด แท้จริงอัลลอฮฺทรงได้ยินคำพูดของกลุ่มชนของท่านต่อท่าน และข้าคือมลาอิกะฮฺที่คอยดูแลภูเขา ซึ่งพระผู้อภิบาลของท่านได้ส่งตัวข้าให้ท่านสั่งข้าในงานของท่าน แล้วท่านต้องการอะไร? หากท่านต้องการให้ฉันนำสองภูเขามาทับพวกเขา (ฉันก็จะทำ)’ ท่านรอซูลตอบว่า : “ทว่าฉันหวังว่าอัลลอฮฺจะให้กำเนิดทายาทของพวกเขาที่กราบไหว้อัลลอฮฺแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ตั้งภาคีใดๆ กับพระองค์ออกมาจากก้นหลัง (หมายถึงที่กำเนิดอสุจิในร่างกายมนุษย์-ผู้แปล) ของพวกเขา” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 3231 และมุสลิม เลขที่ 1795)
14. ความอ่อนโยน
ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “โอ้ อาอิชะฮ์ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้อ่อนโยนและทรงโปรดปรานความอ่อนโยน และทรงประทานบนความอ่อนโยนในสิ่งที่ไม่ประทานบนความแข็งกร้าว และสิ่งอื่นๆ นอกเหนือจากมัน” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกบุคอรี เลขที่ 6927 และมุสลิม เลขที่ 2593)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “แท้จริงความอ่อนโยนจะไม่ปรากฏอยู่ในสิ่งใด เว้นแต่จะทำให้สิ่งนั้นงดงามขึ้น และจะไม่ถูกดึงออกจากสิ่งใด เว้นแต่จะทำให้สิ่งนั้นมีตำหนิ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยมุสลิม เลขที่ 2594)
15. มีความละอาย (อัลฮะยาอ์)
ความละอายของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม
จากอบูสะอีด อัลคุดรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เป็นผู้ที่ละอายยิ่งกว่าหญิงสาวที่อยู่หลังม่านเสียอีก ซึ่งเมื่อท่านเห็นสิ่งใดที่ไม่พอใจ เราจะทราบได้จากสีหน้าของท่าน (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6102 และมุสลิม เลขที่ 2320)
16. รู้จักที่จะขอบคุณคนอื่น (อัชชุกกรู)
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ไม่ขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ผู้ที่ไม่รู้จักขอบคุณมนุษย์” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอบูดาวูด เลขที่ 4811)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “ผู้ใดที่ได้รับการปฏิบัติสิ่งที่ดีจากผู้อื่น เเล้วเขากล่าวแก่ผู้ที่ปฏิบัติว่า ‘ญะซากัลลอฮุค็อยร็อน’ (ขออัลลอฮฺทรงตอบเเทนสิ่งดีงามให้เเก่ท่าน) แท้จริงเขาได้สรรเสริญอย่างที่สุดเเล้ว” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยติรมิซีย์ เลขที่ 1958 เเละนะซาอีย์)
17. รู้จักพูดเวลาที่ควรพูด
รู้จักระงับคำพูดจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง เป็นการเรียนรู้ที่จะรักษาลิ้นของเรา
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ใครที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายต้องทำดีกับเพื่อนบ้านของเขา และใครที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายต้องโอบอ้อมอารีต่อแขกของเขา และใครที่ศรัทธาในอัลลอฮฺและวันสุดท้ายต้องพูดในสิ่งที่ดีหรือไม่ก็เงียบเสีย” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6019 และมุสลิม 48)
รายงานจากอบูฮุรอยเราะฮฺ รอฎิยัลลอฮุอันฮุ ว่า ครั้งหนึ่ง ท่านนบี ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั่งอยู่กับอบูบักร อัศศิดดีก รอฎิยัลลอฮุอันฮู มีชายคนหนึ่งกล่าวหาว่าร้ายต่อท่านอบูบักร ท่านอบูบักรไม่โต้ตอบอะไร ท่านนบียิ้มและพอใจ ครั้นเมื่อชายผู้นั้นว่าร้ายมากขึ้น ท่านอบูบักรจึงตอบโต้ ท่านนบีไม่พอใจและลุกออกมา เมื่อท่านอบูบักรมาหาท่านนบี รีบถามว่า 'โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮฺ เขาว่าร้ายฉัน ท่านก็นั่งอยู่กับฉัน จนกระทั่งพอมันมากไป และฉันตอบกลับ ท่านก็โกรธและลุกขึ้นไปทำไมหรือ?’ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตอบว่า “ตอนแรกมลาอิกะฮฺโต้ตอบแทนท่าน และเมื่อท่านสวนตอบเขาไป ชัยฏอนก็มาแทนที่ และฉันก็ไม่ชอบนั่งร่วมกับชัยฏอน” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอะห์หมัด)
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ฉันรับประกันด้วยกับบ้านหลังหนึ่งข้างๆ สวรรค์ สำหรับคนละทิ้งการโต้เถียง ทั้งๆ ที่เขาสมควรเถียง (เพราะเขาถูกต้อง) และฉันรับประกันด้วยบ้านหลังหนึ่งใจกลางสวรรค์ สำหรับผู้ละทิ้งการโกหก แม้ว่าจะเป็นการพูดเล่น และฉันรับประกันด้วยบ้านหลังหนึ่งสูงสุดในสวรรค์ สำหรับคนที่มารยาทดี” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอบูดาวูด เลขที่ 4800)
18. การรักนวลสงวนตน
ไม่ใช่แค่ผู้หญิง ผู้ชายก็ต้องระวังไว้ เราเป็นสิทธิ์ของคู่ครองของเรา
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “โอ้คนหนุ่มทั้งหลาย ผู้ใดในหมู่พวกเจ้ามีความสามารถที่จะแต่งงานได้ จงแต่งงานเถิด แท้จริงการแต่งงานนั้น เป็นการดีที่สุดในการทำให้สายตาลดต่ำ (เป็นการป้องกันที่ดีที่สุดให้พ้นจากมองสิ่งหะรอม) และเป็นการดีที่สุดในการปกปักรักษาอวัยวะเพศ (และเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดให้พ้นจากการทำซินา)” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 5066 และมุสลิม เลขที่ 1400)
ชายหนุ่มคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พร้อมกล่าวว่า ‘โอ้รอซูลุลลอฮฺ ได้โปรดอนุญาตให้ฉันซินาด้วยเถิด’ บรรดาเศาะฮาบะฮฺต่างก็โกรธเคืองและแสดงอาการไม่พอใจ ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า “พาเขาให้เข้าใกล้ฉัน” ชายคนนั้นก็เข้าใกล้ท่านนบีและนั่งลงต่อหน้าท่านนบี ท่านจึงถามว่า “เจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับแม่เจ้าไหม” ชายหนุ่มตอบว่า ‘ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน’ ท่านนบีจึงตอบว่า “คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับแม่ของเขาเช่นเดียวกัน” ท่านนบีจึงถามอีกว่า “เจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับลูกสาวเจ้าไหม” ชายหนุ่มตอบว่า ‘ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน’ ท่านนบีจึงตอบว่า “คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับลูกสาวของเขาเช่นเดียวกัน” ท่านนบีจึงถามอีกว่า “เจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับน้องสาวเจ้าไหม” ชายหนุ่มตอบว่า ‘ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน’ ท่านนบีจึงตอบว่า “คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับน้องสาวของเขาเช่นเดียวกัน” ท่านนบีถามอีกว่า “เจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับป้าเจ้าไหม” ชายหนุ่มตอบว่า ‘ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน’ นบีจึงตอบว่า “คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับป้าของเขาเช่นเดียวกัน” ท่านนบีถามอีกว่า “เจ้าพอใจให้คนอื่นกระทำซินากับน้าเจ้าไหม” ชายหนุ่มตอบว่า ‘ไม่ ขอสาบานด้วยนามของอัลลอฮฺ ขอพระองค์ได้ให้ฉันเป็นสิ่งพลีแก่ท่าน’ ท่านนบีจึงตอบว่า “คนอื่นก็ไม่ชอบที่มีคนกระทำซินากับน้าของเขาเช่นเดียวกัน” ท่านนบีจึงวางมือของท่านบนร่างหนุ่มคนนั้น พร้อมกล่าวดุอาอฺว่า “โอ้อัลลอฮฺ ขอทรงให้อภัยในความผิดพลาดของเขา ได้โปรดให้หัวใจของเขาใสสะอาด และได้โปรดปกป้องอวัยวะเพศของเขา (จากการกระทำซินา)” หลังจากนั้น ชายหนุ่มคนนั้นก็ไม่สนใจอะไรเลย (เว้นแต่อยู่ในครรลองศาสนาเท่านั้น) (หะดีษ บันทึกโดยอะห์มัด เลขที่ 22265)
“และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัดแก่บรรดามุอฺมินะฮ์ให้พวกเธอลดสายตาของพวกเธอลงต่ำ และให้พวกเธอรักษาทวารของพวกเธอ และอย่าเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่สิ่งที่พึงเปิดเผยได้ และให้เธอปิดด้วยผ้าคลุมศรีษะของเธอลงมาถึงหน้าอกของเธอ และอย่าให้เธอเปิดเผยเครื่องประดับของพวกเธอ เว้นแต่แก่สามีของพวกเธอ หรือบิดาของสามีของพวกเธอ หรือลูกชายของพวกเธอ หรือลูกชายสามีของพวกเธอ หรือพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่ชายน้องชายของพวกเธอ หรือลูกชายของพี่สาวน้องสาวของพวกเธอ หรือพวกผู้หญิงของพวกเธอ หรือที่มือขวาของพวกเธอครอบครอง (ทาสและทาสี) หรือคนใช้ผู้ชายที่ไม่มีความรู้สึกทางเพศ หรือเด็กที่ยังไม่รู้เรื่องเพศสงวนของผู้หญิง และอย่าให้เธอกระทืบเท้าของพวกเธอ เพื่อให้ผู้อื่นรู้สิ่งที่พวกเธอควรปกปิดในเครื่องประดับของพวกเธอ และพวกเจ้าทั้งหลายจงขอลุแก่โทษต่ออัลลอฮฺเถิด โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับชัยชนะ” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอันนูรฺ 31)
19. ต้องทำตามที่พูด แม้จะเป็นการพูดกับลูกก็ตาม
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “พวกท่านจงรับประกันหกสิ่งให้แก่ฉัน แล้วฉันจะรับประกันสวรรค์ให้แก่พวกท่าน ซึ่งหนึ่งจากหกสิ่งนั้น : พวกท่านจงรักษาสัญญาเมื่อพวกท่านให้สัญญา” (หะดีษหะสัน บันทึกโดยอะห์มัด เลขที่ 22757
20. การรับฟังความคิดเห็นคนอื่น (อัชชูรอ)
การพูดคุย ประชุมปรึกษาหารือ ขอความคิดเห็นกันและกัน
“และบรรดาผู้ตอบรับต่อพระเจ้าของพวกเขา และดำรงละหมาด และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวกเขา และเขาบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เครื่องปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา” (ตัฟซีร: อัลบัยฏอวีย์กล่าวว่าอายะฮฺนี้ถูกประทานลงมาเพราะชาวอันศอร เมื่อท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เรียกร้องเชิญชวนไปสู่การศรัทธา พวกเขาก็ตอบรับปฏิบัติละหมาดครบถ้วนตามเงื่อนไขและรักษาเวลา ปรึกษาหารือกันในเรื่องดุนยาและศาสนา และบริจาคในสิ่งที่อัลลอฮฺประทานให้แก่พวกเขาไปในทางของอัลลอฮฺ) (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัชชูรอ 38 ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ ประเทศไทย)
21. การให้การตักเตือน (นะศีหะฮฺ)
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดเรียกร้องไปสู่ทางนำ เขาจะได้รับผลบุญเท่ากับผลบุญของผู้ที่ปฏิบัติตามมัน โดยที่ผลบุญดังกล่าวของพวกเขาจะไม่ลดน้อยลงเลยแต่อย่างใด” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยมุสลิม เลขที่ 2674)
“บ่าวของข้า(อัลลอฮฺ) จะทำตัวใกล้ชิดข้าอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการปฏิบัติ “กิจอาสา” จนกระทั่งข้ารักเขา แล้วข้าก็เป็นหูซึ่งเขาใช้ฟัง เป็นตาที่เขาใช้ดู เป็นลิ้นที่เขาใช้พูด และเป็นใจที่เขาใช้คิดคำนึง ครั้งเมื่อเขาวอนขอต่อข้า ข้าก็จักสนองตอบเขา และเมื่อเขาขอสิ่งใดต่อข้า ข้าก็ให้เขา และหากเขาขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าก็จักช่วยเหลือเขา และสิ่งที่บ่าวของข้าได้นำมาปฏิบัติการนมัสการ ที่ข้าโปรดที่สุดก็คือการตักเตือนกันเพื่อข้า” (หะดีษกุดซีย์ ฉบับแปลไทย ลำดับที่ 102/221 รายงานโดย อัตตอบรอนี จากอะบีอุมามะฮ์)
22. การส่งเสริมในเรื่องของการทำความดี
จากอบูมัสอูด อัลอันศอรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า มีชายคนหนึ่งมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วกล่าวว่า แท้จริงอูฐของฉันตาย ดังนั้นโปรดมอบให้ฉันสักตัวเพื่อฉันได้ขี่มัน ท่านตอบว่า “ฉันไม่มี” แล้วมีชายคนหนึ่งกล่าวว่า ‘โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮฺ ฉันจะชี้แนะเขาไปยังผู้ที่สามารถนำเขาไปได้’ ดังนั้น ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า: “ผู้ใดที่ชี้แนะสู่ความดี ดังนั้น เขาก็จะได้รับผลบุญเช่นเดียวกับผู้กระทำความดีนั้นด้วย” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยมุสลิม เลขที่ 1893)
23. การนอบน้อมถ่อมตน
ความถ่อมตัวของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “พวกเจ้าจงอย่ากล่าวยกย่องฉัน (จนเกินเลย) อย่างที่ชาวคริสเตียนได้ยกย่อง(อีซา)บุตรของนางมัรยัม เพราะแท้จริง ฉันนี้คือบ่าวของพระองค์ ดังนั้น พวกท่านจงกล่าวว่า บ่าวของอัลลอฮฺและรอซูลของพระองค์” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 3445)
24. รักษาเกียรติยศ
ไม่ใช่หยิ่งยะโส แต่มีจุดยืนของตนเองชัดเจน
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สอนเราด้วยคำสอนหนึ่งที่ทำให้จิตใจหวาดหวั่นและน้ำตาเอ่อล้น แล้วพวกเราก็กล่าวว่า ‘โอ้ท่านรอซูลุลลอฮฺ ประหนึ่งว่ามันคือคำสอนของผู้จะจากลา ฉะนั้นขอท่านจงสั่งเสียแก่เราเถิด’ ท่านนบีกล่าวว่า “ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺ ผู้ทรงเกียรติและสูงส่งยิ่ง และขอให้พวกท่านเชื่อฟังและปฏิบัติตาม แม้นผู้บังคับบัญชาของพวกท่านจะเป็นทาสคนหนึ่งก็ตาม เพราะแน่นอนหากใครจากหมู่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาก็จะได้พบความขัดแย้งอย่างมากมาย ดังนั้นพวกท่านจงยึดมั่นต่อแบบฉบับ (ซุนนะฮฺ) ของฉัน และแบบฉบับของบรรดาคอลีฟะฮฺผู้ทรงธรรมที่ได้รับทางนำทั้งหลาย โดยกัดมัน (ซุนนะฮฺ) ไว้ ด้วยฟันกราม และพวกท่านพึงระวังเรื่องต่างๆ ที่อุตริขึ้นมาใหม่ เพราะแท้จริงเรื่องที่อุตริขึ้นมาใหม่ทุกอย่างล้วนคือความหลงผิด และทุกๆ ของความหลงผิดนั้นอยู่ในไฟนรก” (หะดีษหะสันเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอบูดาวูด เลขที่ 4607 และติรมิซีย์ เลขที่ 266)
25. ปกปิดสิ่งที่น่าละอาย ไม่พูดไปซะทุกเรื่อง
“โอ้ ลูกหลานอาดัม แท้จริงเราได้ให้ลงมาแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งเครื่องนุ่งห่ม ที่ปกปิดสิ่งอันน่าละอายของพวกเจ้าและเครื่องนุ่งห่มที่ให้ความสวยงาม และเครื่องนุ่งห่มแห่งความยำเกรง นั่นคือสิ่งที่ดียิ่ง นั่นแหละคือส่วนหนึ่งจากบรรดาโองการของอัลลอฮฺ เพื่อที่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้รำลึก” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัล-อะอฺรอฟ 26)
ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า “และผู้ใดที่ปกปิดความผิดของมุสลิม อัลลอฮฺจะทรงปิดบังความผิดบาปของเขาในวันกิยามะฮฺ” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 2452 และมุสลิม เลขที่ 2580)
26. มีการช่วยเหลือกัน
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “มุสลิมเป็นพี่น้องของมุสลิมด้วยกัน ดังนั้น เขาต้องไม่กดขี่ข่มเหงเขา และต้องไม่ส่งเขาให้ศัตรู ใครที่ช่วยมุสลิมในยามสิ้นหวัง อัลลอฮฺจะทรงช่วยเขาในวันฟื้นคืนชีพ และใครที่รักษาความลับของมุสลิม จะได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺในโลกหน้า” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 2442 และมุสลิม เลขที่ 2580)
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ใครที่ช่วยบรรเทาทุกข์ยากลำบากของพี่น้องของเขาจากเคราะห์กรรมในโลกนี้ อัลลอฮฺจะทรงช่วยบรรเทาความทุกข์ยากลำบากของเขาในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ ใครที่บรรเทาทุกข์คนที่ตกทุกข์ได้ยาก อัลลอฮฺจะทรงทำสิ่งต่างๆ ให้ง่ายสำหรับเขาในโลกหน้า และใครที่ปิดบังความผิดของมุสลิมคนหนึ่ง อัลลอฮฺจะทรงปิดบังความผิดของเขาในโลกหน้า อัลลอฮฺจะทรงสนับสนุนบ่าวของพระองค์ตราบใดที่บ่าวคนนั้นสนับสนุนพี่น้องของเขา” (ส่วนหนึ่งจากหะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยมุสลิม เลขที่ 2699)
นบีมุฮัมมัดให้ความช่วยเหลือแบบครบวงจร ช่วยเต็มที่ ให้อาหาร ให้งาน ให้สติ
หะดีษรายงานจากท่านอนัส บินมาลิก เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีชาวอันศอรมาหาท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วบอกท่านว่า ‘ยารอซูลุลลอฮฺ ผมเป็นคนยากไร้ ท่านนบีช่วยผมหน่อย’ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ช่วยเขาคิดและถามว่า “ที่บ้านคุณมีอะไรบ้าง” ศอฮาบะฮฺคนนั้นก็บอกว่า ‘ผมมีทรัพย์สินในบ้านแค่ 2 อย่าง ผมมีผ้าปูหลังอูฐ และหม้อใบหนึ่ง’ ท่านนบีบอกว่า “คุณไปเอาผ้าปูมา” เมื่อเขาเอาผ้าปูมา (บางสายรายงานท่านนบีให้เขาเอามาทั้งผ้าและหม้อ) ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ถามว่า “ใครจะซื้อบ้าง” ศอฮาบะฮฺท่านหนึ่งบอกว่า ‘ผมขอซื้อหนึ่งเหรียญเงิน’ ท่านนบีบอกว่า “ใครจะให้มากกว่านี้” ท่านนบีพูด 2-3 ครั้ง มีศอฮาบะฮฺท่านหนึ่งบอกว่า ‘ผมให้สองเหรียญเงิน’ ท่านนบีก็ขายให้กับคนๆ นั้น
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บอกกับชายคนนั้นว่า “สองเหรียญเงินนั้น เหรียญหนึ่งคุณเอาไปซื้อหัวขวาน อีกหนึ่งเหรียญคุณเอาไปซื้ออาหารให้ครอบครัวคุณกิน” เมื่อชายคนนั้นไปซื้อหัวขวานได้แล้ว ก็มาท่านนบี ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็ไปหาไม้มาเหลาให้ทำเป็นด้ามขวาน ใส่ด้ามขวานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม บอกว่า “คุณเข้าไปในที่แห่งนี้ ไปตัดฟืนมา อย่าให้เราเห็นหน้าจนกว่าจะผ่านไป 15 วัน” (หมายความว่าให้ทำให้เต็มที่)
ผ่านไป 15 วัน พอมาเจออีกที ชายคนนี้เขาก็เข้ามาหาท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วก็พบว่า ตอนนี้เขามีทั้งเสื้อผ้าสวมใส่แบบปกติและก็เริ่มมีเงินบ้าง ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ใครก็ตามที่ชอบไปขอคนอื่น ในวันกิยามะฮฺ พระองค์อัลลอฮฺจะให้มีใบหน้าของเขามีความอัปลักษณ์ การไปขอผู้คน ไม่สมควรไปขอนอกจาก 3 กรณี 1.คนยากจนที่ยากจนจริงๆ 2.คนที่มีหนี้สินแบบล้นตัวไปไม่รอดจริงๆ 3.คนที่ต้องจ่ายค่าชดเชยเนื่องจากไปฆ่าหรือทำร้ายคน”
27. มีความเมตตา (อัรเราะฮฺมะฮฺ)
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า: “บรรดาผู้มีความเมตตาจะได้รับความเมตตาจากพระผู้ทรงเมตตา จงเมตตาต่อผู้ที่อยู่ในแผ่นดิน ผู้ที่อยู่บนท้องฟ้าจะเมตตาพวกเจ้า” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยอบูดาวูด เลขที่ 4941)
ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า “เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดได้ละหมาดนำผู้อื่น เขาจงละหมาดให้สั้นๆ เพราะในหมู่คนเหล่านั้นมีผู้อ่อนแอ คนป่วย และคนชรา แต่เมื่อเขาละหมาดเพื่อตัวเขาเอง (ละหมาดคนเดียว) เขาก็จงละหมาดนานๆ ตามแต่เขาประสงค์” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 703 และมุสลิม เลขที่ 467)
28. ดำรงไว้ซึ่งคุณงามความดี
“ผู้ใดปฏิบัติความดีไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็ตาม โดยที่เขาเป็นผู้ศรัทธา ดังนั้นเราจะให้เขาดำรงชีวิตที่ดี (ตัฟซีร: ในโลกนี้ เป็นการดำรงชีวิตด้วยความพอใจและริสกีที่ฮะลาล และความสำเร็จแห่งการงานที่ดี อัลหะซันกล่าวว่า การดำรงชีวิตของคนหนึ่งคนใดจะดีขึ้นไม่ได้ เว้นแต่ในสวนสวรรค์ เพราะมันเป็นการมีชีวิตอยู่ที่ไม่ตาย ความมั่งมีที่ไม่มีการจนลง ความสุขสบายที่ไม่มีการเจ็บป่วย และความสุขที่ไม่มีทุกข์) และแน่นอนเราจะตอบแทนพวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา ที่ดียิ่งกว่าที่พวกเขาได้เคยกระทำไว้” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอันนะหฺลฺ 97 ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ ประเทศไทย)
“เมื่อเหตุการณ์ (วันกิยามะฮฺ) ได้เกิดขึ้น ไม่มีผู้ปฏิเสธคนใดปฏิเสธต่อเหตุการณ์ของมัน ต่อเหตุการณ์นั้นทำให้ชนกลุ่มหนึ่งต่ำต้อย ชนอีกกลุ่มหนึ่งสูงส่ง เมื่อแผ่นดินถูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และบรรดาภูเขาได้แตกสลาย และมันกลายเป็นผุยผงปลิวว่อน และพวกเจ้าจะแยกออกเป็นสามกลุ่ม คือกลุ่มทางขวา (ผู้ได้รับบันทึกด้วยมือขวา) เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มทางขวาคือใคร? และกลุ่มทางซ้าย (ผู้ได้รับบันทึกด้วยมือซ้าย) เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มทางซ้ายคือใคร? และกลุ่มแนวหน้า คือกลุ่มแนวหน้า” (ตัฟซีร: สำหรับกลุ่มแนวหน้า คือ บรรดาผู้ที่มีตำแหน่งชั้นสูงในสวรรค์ ส่วนกลุ่มทางขวา คือ บรรดาผู้ที่มีฐานะ หรือตำแหน่งรองลงมาของชาวสวรรค์ ส่วนกลุ่มทางซ้าย คือ ชาวนรก) และกลุ่มแนวหน้า คือกลุ่มแนวหน้า (ตัฟซีร: นี่คือกลุ่มที่สาม คือบรรดาผู้ที่รีบรุดไปสู่ความดี ความโปรดปราน และสวนสวรรค์) เขาเหล่านั้น คือบรรดาผู้ใกล้ชิด (ตัฟซีร: บุคคลเหล่านั้น คือบรรดาผู้ใกล้ชิด กับอัลลอฮฺ อยู่เคียงข้างพระองค์ ภายใต้บัลลังก์ของพระองค์ และคฤหาสน์อันมีเกียรติของพระองค์) ในสวนสวรรค์หลากหลายแห่งความสุขสำราญ เป็นกลุ่มชนจำนวนมาก จากชนรุ่นก่อนๆ และเป็นกลุ่มชนจำนวนน้อย จากชนรุ่นหลังๆ” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลวากิอะฮฺ 1-14 ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย)
29. มีความพอเพียง
ท่านสะฮลฺ บินสะอดฺ อัสสาอิดีย์ กล่าวว่า : ชายคนหนึ่งได้มาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วกล่าวว่า 'ท่านรอซูลุลลอฮฺครับ โปรดแนะนำการงานหนึ่งแก่ผม ที่เมื่อผมทำมันแล้ว จะทำให้อัลลอฮฺรักผมและทำให้ผู้คนรักผมด้วย' ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตอบว่า “ท่านจงมีสมถะต่อโลกใบนี้ แล้วอัลลอฮฺจะรักท่าน และจงมีสมถะ (ไม่อยากได้) ต่อสิ่งที่อยู่ในมือ (การครอบครอง) ของผู้คน แล้วพวกเขาจะรักท่าน” (หะดีษหะสัน บันทึกโดยอิบนุมาญะฮฺ เลขที่ 4102)
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ใครก็ตามที่ละเว้นจากการขอคนอื่น อัลลอฮฺจะทรงให้เขาพอเพียง และใครก็ตามที่พยายามทำให้ตัวเองเพียงพอ อัลลอฮฺจะทรงทำให้เขาเพียงพอ และใครก็ตามที่ยังคงอดทน อัลลอฮฺจะทรงทำให้เขาอดทน ไม่มีใครได้รับความโปรดปรานอะไรที่ดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่าความอดทน” (ส่วนหนึ่งจากหะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดย บุคอรี เลขที่ 1469 และมุสลิม เลขที่ 1053)
30. ยอมรับในสิ่งที่อัลลอฮฺให้ (อัรริฎอ)
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “คนที่รับอิสลามคือผู้ได้รับความสำเร็จและได้รับปัจจัยที่เพียงพอ และอัลลอฮฺจะทรงทำให้เขาพอใจกับสิ่งที่พระองค์ประทานแก่เขา” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยมุสลิม เลขที่ 1054)
31. มีความสงบ
“พึงทราบเถิด! ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮฺเท่านั้นทำให้จิตใจสงบ” (อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัรเราะอฺดฺ 28)
รายงานจากท่านวาบิเศาะฮฺ บิน มะอฺบัด เล่าว่า วันหนึ่ง ฉันได้ไปหาท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และท่านก็ได้ถามฉันว่า “ท่านจะมาถามเรื่องการทำดี ใช่ไหม?” ฉันตอบว่า ‘ใช่ครับ’ ท่านจึงตอบว่า “ท่านจงถามใจของท่านเองเถิด ความดีคือ สิ่งที่ทำให้ตัวและหัวใจสงบ ส่วนความผิดนั้นคือ สิ่งที่ทำให้วุ่นวายขึ้นในตัวเรา และลังเลในจิตใจ แม้นว่าผู้คนจะได้ให้คำตอบแก่ท่านแล้วก็ตาม พวกเขาก็ตอบไปอย่างนั้นเอง (คือไม่ถูกต้องที่สุดตามความจริง เช่นมโนธรรมของท่านเองก็รู้สึกได้)” (หะดีษหะสัน บันทึกโดยอะห์มัด และอัด-ดาริมีย์)
32. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
ความปรานีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่มีต่อคนรับใช้ ท่านกล่าวถึงคนรับใช้ว่า ความว่า “พวกเขาคือพี่น้องของท่าน ซึ่งอัลลอฮฺได้ทำให้พวกเขาอยู่ใต้อำนาจของท่าน ดังนั้น พวกท่านจงให้เขาได้กินในสิ่งที่พวกท่านกิน และจงสวมเสื้อผ้าให้พวกเขาในสิ่งที่พวกท่านสวมใส่ และจงอย่าได้ใช้งานพวกเขาในสิ่งที่เกินความสามารถของพวกเขา และหากพวกท่านจำเป็นต้องใช้พวกเขาให้ทำงานหนัก พวกท่านก็จงช่วยเหลือพวกเขา” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 30 และมุสลิม เลขที่ 1661)
33. คบกับคนอื่นง่าย
ความเป็นกันเองของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
จากอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม นั้น ชอบที่จะคลุกคลีอย่างเป็นกันเองกับพวกเรามาก ถึงขนาดท่านได้ทักทายน้องชายคนเล็กของฉันว่า “โอ้ พ่อ อุมัยร์ นกน้อยนุฆ็อยร์ได้ทำอะไรบ้างล่ะ?” (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 6129 และมุสลิม เลขที่ 2150)