หะดีษ รายงานโดย อัตติรมีซีย์ และ อัลฮากิม
เมื่อทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ของชาติถูกถ่ายโอนสู่กลุ่มบุคคลบางกลุ่ม
เมื่ออมานะฮฺ (ความรับผิดชอบที่ได้รับมอบหมาย) เป็นเครื่องมือแสวงหาประโยชน์
ซะกาตกลายเป็นหนี้สิน
สามีตามใจภรรยาจนเกินขอบเขต
ลูกทรยศต่อสองผู้บังเกิดเกล้า แต่กลับทำดีและเชิดชูเพื่อน
เสียงสูงและดังเกิดขึ้นในมัสญิด
ผู้ที่ไร้เกียรติได้รับเลือกเป็นผู้นำ
บุคคลหนึ่งถูกยกย่องและให้เกียรติเพราะกลัวความร้ายกาจของเขา (อิทธิพล)
ของมึนเมา (สุรา) ถูกดื่มอย่างกว้างขวาง
ผู้ชายใช้ผ้าไหมมากขึ้น
ศิลปินถูกยกย่องเป็นแบบตัวอย่างที่ดี
ดนตรีเกิดขึ้นมากมาย
ซินา (มีเพศสัมพันธ์โดยไม่แต่งงาน)มากขึ้น
ดอกเบี้ยบานสะพรั่งในชุมชน
“และเรามิได้ส่งนบีคนใดไปในเมืองหนึ่งเมืองใด นอกจากเราได้ลงโทษชาวเมืองนั้น ด้วยความแร้นแค้น และการเจ็บป่วย เพื่อว่าพวกเขาจะได้นอบน้อม”
อัลกุรอาน ซูเราะอัล-อะอฺรอฟ 94
หมู่ชนในอดีตที่ได้รับบทลงโทษ มีลักษณะคล้ายกัน ดังนี้
ได้รับความโปรดปรานจากอัลลอฮฺ แต่ไม่นอบน้อม และไม่ขอบคุณ
นบีเตือนให้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ พระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น แต่กลับเคารพสิ่งอื่น และทำความผิดอื่นๆ ด้วย
หมู่ชนในอดีตที่ได้รับบทลงโทษ เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัว เตือนให้เรากลับเนื้อกลับตัว (คลิกอ่านเรื่องที่สนใจแต่ละหัวข้อได้เลย)
1. สมัยนบีนูหฺ (เรือได้จอดเทียบอยู่ใกล้ภูเขาญูดีย์ใกล้กับเมืองอัลมูศิล ในประเทศอิรักปัจจุบัน)
ปฏิเสธศรัทธา นบีนูห์เผยแผ่หมู่ชนของเขา 950 ปี
น้ำท่วมโลก
มีพละกำลัง
หยิ่งผยอง
พายุหนาวเหน็บเสียงดัง
สร้างวัง สกัดภูเขาเป็นบ้าน
ไม่เชื่อเรื่องอูฐ ที่เป็นสัญญาณการมีพระเจ้าองค์เดียว ตามที่พวกเขาขอ และฆ่าอูฐของอัลลอฮฺ
เสียงกัมปนาท
ปล้นสดมภ์ โกงตาชั่ง
แผ่นดินไหว
5. ซะดูม-สมัยนบีลูฏ (ทะเลเดดซี-ปัจจุบัน)
สมสู่เพศชาย ปล้น
เสียงกัมปนาท พลิกแผ่นดิน พายุหินจากนรก
อุดมสมบูรณ์ ชุมชนอยู่ใกล้
ไม่พอใจ ขอเดินทางไกล
น้ำท่วม แห้งแล้ง ชุมชนกระจัดกระจาย
“และจงปฏิบัติตามสิ่งที่ดียิ่งที่ได้ถูกประทานลงมายังพวกท่าน จากพระเจ้าของพวกท่านก่อนที่การลงโทษจะมายังพวกท่านโดยฉับพลัน โดยที่พวกท่านไม่รู้สึกตัว“
(ตัฟซีร: จงปฏิบัติตามอัลกุรอาน ด้วยการปฏิบัติตามข้อใช้ของพระองค์ และปลีกตัวจากข้อห้ามของพระองค์ และจงยึดมั่นต่อคัมภีร์ที่ดียิ่งที่ได้ถูกประทานให้พวกท่านซึ่งจะนำความสุข และความสำเร็จให้แก่พวกท่าน ก่อนที่การลงโทษจะเกิดขึ้นแก่พวกท่านโดยกระทันหันในขณะที่พวกท่านลืมตัว ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด เพื่อที่พวกท่านจะได้เตรียมตัว)
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัซซุมัร 55
(ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย)
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลเกาะมัร 9-17 ระบุเหตุการณ์น้ำท่วมสมัยนบีนูหฺอย่างชัดเจน เตือนใจเราอย่างดี
“ก่อนหน้าพวกเขานั้น หมู่ชนของนูหฺได้ปฏิเสธ พวกเขาได้ปฏิเสธบ่าวของเราโดยกล่าวว่าเขา (นูหฺ) เป็นคนบ้า และถูกขู่บังคับ
เขาจึงวิงวอนขอต่อพระเจ้าของเขาว่า แท้จริงข้าพระองค์ถูกพิชิตเสียแล้ว ได้โปรดช่วยเหลือ(ข้าพระองค์)ด้วย
ดังนั้น เราจึงได้เปิดประตูแห่งชั้นฟ้าให้น้ำฝนเทลงมาอย่างหนัก
และเราได้ทำให้แผ่นดินแยกออกเป็นตาน้ำไหลพุ่ง ดังนั้น น้ำฝนและตาน้ำได้มาบรรจบกันตามกิจการที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
และเราได้บรรทุกเขาไว้บนเรือที่ทำด้วยแผ่นไม้กระดาน และตอกติดด้วยตะปู
มัน (เรือ) ได้แล่นไปต่อหน้าเรา (ภายใต้การคุ้มครองของเรา) เป็นการตอบแทนแก่ผู้ที่ถูกปฏิเสธ
และโดยแน่นอนเราได้ทิ้งมันไว้เป็นสัญญาณหนึ่ง แต่มีผู้ใดบ้างที่รับข้อตักเตือนนั้น
ดังนั้น การลงโทษของเราและการตักเตือนของเราเป็นเช่นใดบ้าง?
และโดยแน่นอน เราได้ทำให้อัลกุรอานนี้เป็นที่เข้าใจง่ายแก่การรำลึก แล้วมีผู้ใดบ้างที่รับข้อตักเตือนนั้น”
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺนูหฺ 1-20 ระบุถึงการเรียกร้องเชิญชวนสู่การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ พระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น ผู้ทรงประทานความโปรดปรานมาให้มนุษย์อย่างมากมาย (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับแห่งประเทศไทย)
แท้จริงเราได้ส่งนูหฺไปยังหมู่ชนของเขา (โดยบัญชาว่า) เจ้าจงกล่าวตักเตือนหมู่ชนของเจ้า ก่อนที่การลงโทษอันเจ็บปวดจะมาถึงพวกเขา
เขากล่าวว่า โอ้ หมู่ชนของฉัน! แท้จริงฉันคือผู้ตักเตือนอันชัดแจ้งของพวกท่าน
พวกท่านจงเคารพภักดีอัลลอฮฺเถิด และจงยำเกรงพระองค์ และจงเชื่อฟังปฏิบัติตามฉัน
พระองค์จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกท่านในความผิดของพวกท่าน และจะทรงผ่อนผัน พวกท่านจนกระทั่งถึงวาระที่ถูกกำหนดไว้ แท้จริงวาระของอัลลอฮฺนั้น เมื่อมาถึงแล้วมันจะไม่ยืดเวลาต่อไปอีก หากพวกท่านได้รู้
เขากล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนหมู่ชนของข้าพระองค์ทั้งกลางคืนและกลางวัน
แต่การเรียกร้องเชิญชวนของข้าพระองค์มิได้เพิ่มพูนสิ่งใดแก่เขานอกจากการหลบหนี
และแท้จริงทุกครั้งที่ข้าพระองค์เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาเพื่อที่พระองค์ท่านจะได้อภัยโทษให้แก่พวกเขา พวกเขาก็เอานิ้วมืออุดรูหูของพวกเขา และเอาเสื้อผ้าของพวกเขาคลุมโปง และพวกเขายังดื้อรั้น และหยิ่งยะโสด้วยความจองหอง
ครั้นแล้วข้าพระองค์ได้เรียกร้องเชิญชวนพวกเขาอย่างเปิดเผย
แล้วข้าพระองค์ก็ได้ประกาศแก่พวกเขาอย่างเปิดเผยอีกทั้งข้าพระองค์ยังได้บอกกล่าวแก่พวกเขาอย่างลับ ๆ อีกด้วย
ข้าพระองค์ได้กล่าวว่า พวกท่านจงขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกท่านเถิด เพราะแท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัยโทษอย่างแท้จริง
พระองค์จะทรงหลั่งน้ำฝนอย่างมากมายแก่พวกท่าน
และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนทรัพย์สินและลูกหลานแก่พวกท่าน และจะทรงทำให้มีสวนมากหลายแก่พวกท่าน และจะทรงทำให้มีลำน้ำมากหลายแก่พวกท่าน
ทำไมพวกท่านจึงไม่สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ
และโดยแน่นอน พระองค์ทรงสร้างพวกท่านตามลำดับขั้นตอน
พวกเจ้าไม่เห็นดอกหรือว่าอัลลอฮฺทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งเจ็ดเป็นชั้นๆ อย่างไร?
และทรงทำให้ดวงจันทร์ในชั้นฟ้าเหล่านั้นมีแสงสว่าง และทรงทำให้ดวงอาทิตย์มีแสงจ้า
และอัลลอฮฺทรงบังเกิดพวกท่านจากแผ่นดินเช่นพืชผัก
แล้วจะทรงให้พวกท่านกลับคืนสู่ในแผ่นดิน และจะทรงให้พวกท่านออกมาอีกเพื่อคืนชีพ
และอัลลอฮฺทรงทำให้แผ่นดินนี้ราบเรียบกว้างใหญ่สำหรับพวกท่าน
เพื่อพวกท่านจะได้สัญจรไปมาตามพื้นที่โล่งกว้างนั้น
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺนูหฺ 21-28 ระบุถึงคำวิงวอนของท่านนบีนูหฺต่ออัลลอฮฺ เนื่องจากหมู่ชนของท่าน จากรุ่นพ่อแม่จนถึงลูกหลาน เคารพรูปปั้นที่พวกเขาประดิษฐ์ขึ้นมาเอง ไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง ปฏิเสธศรัทธาเป็นเวลา 950 ปี และดุอาอฺขออภัยโทษแก่ผู้ศรัทธา (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับแห่งประเทศไทย)
นูหฺได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงพวกเขาได้ฝ่าฝืนข้าพระองค์และเชื่อฟังผู้ที่ทรัพย์สินของเขา และลูกหลานของเขามิได้เพิ่มพูนอันใดแก่เขานอกจากการขาดทุน
และพวกเขาได้วางแผนร้ายอันยิ่งใหญ่
และพวกเขาได้กล่าวว่า พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่านเป็นอันขาด พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งวัดดฺ และสุวาอฺ และยะฆูษ และยะอู๊ก และนัซรฺ เป็นอันขาด
และโดยแน่นอน พวกเขาได้ทำให้หมู่ชนจำนวนมากหลง ดังนั้นขอพระองค์ท่านอย่าได้เพิ่มอันใดแก่พวกอธรรมเหล่านั้น นอกจากกการหลงผิดเท่านั้น (ตัฟซีร: พวกเขาได้กล่าวเตือนว่า พวกท่านอย่าได้ทอดทิ้งพระเจ้าทั้งหลายของพวกท่าน ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมให้มีความรังเกียจต่อการเรียกร้องของนบีนูหฺขึ้นในจิตใจของพวกเขา และได้เจาะจงกล่าวถึงชื่อบรรดาเจว็ด เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้เกิดความรู้สึกขึ้นในจิตใจของหมู่ชนทั่วไป บรรดาผู้นำที่หลงผิดจะรวบรวมพลพรรคให้เรียงรายล้อมรอบรูปปั้นและเจว็ดที่เป็นกรวดหินดินทราย รูปปั้นที่เป็นตัวบุคคลและรูปปั้นเจว็ดทางแนวความคิด ทั้งหมดนี้อยู่ในสภาพเดียวกันหมด เพื่อจะปิดกั้นมิให้หันหน้าเข้าหาการเรียกร้องสู่อัลลอฮฺ และเพื่อโน้มน้าวจิตใจให้หันห่างจากการเรียกร้องเชิญชวนด้วยการวางแผนร้ายอันยิ่งใหญ่ ด้วยเล่ห์กลและการผนึกกำลัง ดังนั้นขอพระองค์ท่านได้โปรดให้พวกอธรรมเหล่านั้นจมอยู่แต่ในการหลงผิดเท่านั้น)
อันเนื่องมาจากความผิดมากหลายของพวกเขา พวกเขาจึงถูกจมน้ำตาย และจะถูกให้เข้าอยู่ในไฟนรก ดังนั้นพวกเขาจะไม่ได้พบผู้ช่วยเหลือสำหรับพวกเขาอื่นจากอัลลอฮฺ
และนูหฺได้กล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงอย่าปล่อยให้พวกปฏิเสธศรัทธาหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินนี้เลย
เพราะแท้จริง หากพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขาหลงเหลืออยู่ พวกเขาก็จะทำให้ปวงบ่าวของพระองค์หลงผิด และพวกเขานั้นนะให้กำเนิดแต่พวกเลวทราม พวกปฏิเสธศรัทธาเท่านั้น
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ และพ่อแม่ของข้าพระองค์ และผู้ที่เข้ามาในบ้านของข้าพระองค์เป็นผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ศรัทธาชาย และบรรดาผู้ศรัทธาหญิง และพระองค์ท่านอย่าได้เพิ่มอันใดแก่พวกอธรรมเหล่านั้น นอกจากความพินาศหายนะเท่านั้น
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺฮูด 36-43 ระบุถึงผู้ที่โดยสารเรือ และสาเหตุที่ลูกชายของนบีนูห์ไม่ได้โดยสารเรือ (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับแห่งประเทศไทย)
และได้มีวะฮีแก่นูห์ว่า “แท้จริงจะไม่มีผู้ใดจากหมู่ชนของเจ้าศรัทธา เว้นแต่ผู้ที่ได้ศรัทธาแล้ว ดังนั้น เจ้าอย่าเศร้าหมองในสิ่งที่พวกเขากระทำ"
และเจ้าจงสร้างเรือต่อหน้าเราและตามคำบัญชาของเรา และอย่ามาพูดกับข้า ถึงบรรดาผู้อธรรม แท้จริงพวกเขาจะถูกจมน้ำตาย
และเขาได้สร้างเรือ และคราใดที่บุคคลชั้นนำจากหมู่ชนของผ่านเขา(นูห์) พวกเขาก็เยาะเย้ยเขา เขาก็จะกล่าวว่า “หากพวกท่านเยาะเย้ยพวกเรา แท้จริงเราก็จะเยาะเย้ยพวกท่านเช่นเดียวกับที่พวกท่านเยาะเย้ย"
แล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าผู้ใดที่การลงโทษอันอัปยศจะมายังเขา และการลงโทษอันยั่งยืนจะประสบแก่เขา
จนกระทั่งเมื่อคำบัญชาของเราได้มา และบนพื้นแผ่นดินน้ำได้พวยพุ่งขึ้น เรากล่าวว่า "จงบรรทุกไว้ในเรือจากทุกชนิดเป็นคู่ ๆ (ตัฟซีร: ทุกชนิดของสิ่งที่มีชีวิต ชนิดละ 1 คู่ เพศผู้และเพศเมีย) และครอบครัวของเจ้าด้วย เว้นแต่ผู้ที่พระดำรัสได้กำหนดแก่เขาไว้ก่อน และผู้ศรัทธา แต่ไม่มีผู้ศรัทธาร่วมกับเขานอกจากจำนวนเล็กน้อย"
และเขากล่าวว่า “พวกท่านจงลงในเรือด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ทั้งในยามแล่นของมันและในยามจอดของมัน แท้จริงพระเจ้าของฉันเป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตาเสมอ"
และมันแล่นพาพวกเขาไปท่ามกลางคลื่นลูกเท่าภูเขา และนูห์ได้ร้องเรียกลูกชายของเขาซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยว “โอ้ ลูกของฉัน ! จงมาโดยสารเรือกับเราเถิด และเจ้าอย่าอยู่ร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาเลย”
เขา(ลูกชาย) กล่าวว่า “ฉันจะไปอาศัยภูเขาลูกหนึ่ง มันจะคุ้มครองฉันจากน้ำนี้ได้” เขา(นูห์) กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดคุ้มครองในวันนี้จากพระบัญชาของอัลลอฮฺ เว้นแต่ผู้ที่พระองค์ทรงเมตตา” และคลื่นได้ซัดเข้ามาระหว่างเขาทั้งสอง และเขา(ลูกชาย) ได้อยู่ในหมู่ผู้จมน้ำ
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺฮูด 44-49 ระบุเหตุการณ์น้ำหยุดท่วม โดยพระบัญชาจากอัลลอฮฺ (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับแห่งประเทศไทย)
และได้มีเสียงกล่าวว่า “โอ้ แผ่นดิน! จงกลืนน้ำของเจ้า และ โอ้ ฟ้า ! จงหยุด” และน้ำได้ลดลงและกิจการได้ถูกตัดสิน และมันได้จอดเทียบอยู่ที่ภูเขาญูดีย์ (ตัฟซีร: เรือได้จอดเทียบอยู่ใกล้ภูเขาญูดีย์ใกล้กับเมืองอัลมูศิล ในประเทศอิรักปัจจุบันนี้) และได้มีเสียงกล่าวว่า “ความหายนะจงประสบแก่หมู่ชนผู้อธรรมเถิด”
และนูห์ได้ร้องเรียนต่อพระเจ้าของเขาโดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของพระองค์แท้จริงลูกชายของข้าพระองค์เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของข้าพระองค์ และแท้จริงสัญญาของพระองค์นั้นเป็นความจริง และพระองค์ท่านนั้นทรงตัดสินเที่ยงธรรมยิ่ง ในหมู่ผู้ตัดสินทั้งหลาย
พระองค์ทรงตรัสว่า “โอ้ นูห ! แท้จริงเขามิได้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้า แท้จริงการกระทำของเขาไม่ดี ดังนั้นเจ้าอย่าร้องเรียนต่อข้าในสิ่งที่เจ้าไม่มีความรู้ แท้จริงข้าขอเตือนเจ้าที่เจ้าจะอยู่ในหมู่ผู้งมงาย"
เขากล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ท่าน ให้พ้นจากการร้องเรียนต่อพระองค์ท่านในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่มีความรู้ในเรื่องนั้น และหากพระองค์ไม่ทรงอภัยแก่ข้าพระองค์ และไม่ทรงเมตตาข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็จะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน”
ได้มีเสียงกล่าวว่า “โอ้ นูหฺ ! จงลงไป(จากเรือ) ด้วยความศานติจากเรา และความจำเริญแก่เจ้า และแก่กลุ่มชนที่อยู่กับเจ้า และกลุ่มชนอื่นที่เราจะให้พวกเขาหลงระเริง แล้วการลงโทษอย่างเจ็บปวดจากเราก็จะประสบแก่พวกเขา"
เหล่านั้นคือส่วนหนึ่งจากเรื่องราวอันเร้นลับที่เราได้วะฮีมายังเจ้า(มุฮัมมัด) เจ้าไม่รู้เรื่องนี้และกลุ่มชนของเจ้าก็ไม่รู้มาก่อนเลย ดังนั้นเจ้าจงอดทนแท้จริงบั้นปลายที่ดีนั้นสำหรับบรรดาผู้ยำเกรง
"อ่านเรื่องของอ๊าดและษะมูด"
ในหัวข้อ “พิบัติภัยในอดีต” <คลิก>
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลหากเกาะฮฺ 4-7 ระบุไว้ความว่า
พวกษะมูดและพวกอ๊าดได้ปฏิเสธวันกิยามะฮฺ
พวกษะมูด ถูกทำลายด้วยเสียงกำปนาทที่น่ากลัว
ส่วนพวกอ๊าด ถูกทำลายด้วยลมพายุที่หนาวเหน็บ และเสียงดังก้อง
พระองค์ทรงให้อภัยนั้นเกิดขึ้นแก่พวกเขา เจ็ดคืนกับแปดวันต่อเนื่องกัน แล้วเจ้าจะเห็นหมู่ชนนั้นนอนตายอยู่เช่นนั้นประหนึ่งต้นอินทผลัมที่กลางล้มระเนระนาด
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺฟุศศิลัต 13-18 ระบุไว้ความว่า
แต่ถ้าพวกเขาผินหลังให้ก็จงกล่าวเถิดมุฮัมมัดว่า ฉันขอเตือนพวกท่าน (ให้ระลึกถึงความหายนะเยี่ยงความหายนะของพวกอ๊าดและพวกษะมูด)
จงรำลึกเมื่อบรรดาร่อซูลได้มายังพวกเขา (เรียกร้องเชิญชวน) จากทางข้างหน้าพวกเขาและจากทางข้างหลังพวกเขา (โดยกล่าว)ว่า พวกท่านอย่าได้เคารพภักดีผู้ใดนอกจากอัลลอฮฺ พวกเขากล่าวว่า หากพระเจ้าของเราทรงประสงค์ แน่นอนพระองค์จะต้องส่งมะลาอิกะฮฺลงมา ดังนั้นเราจึงปฏิเสธศรัทธาในสิ่งที่พวกท่านถูกส่งมา
ส่วนพวกอ๊าดนั้น พวกเขาได้หยิ่งผยองในแผ่นดินโดยไม่เป็นธรรม และพวกเขากล่าวว่า ผู้ใดจะมีพลังเข้มแข็งกว่าพวกเรา? พวกเขาไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺผู้ทรงสร้างพวกเขานั้นทรงพลังเข้มแข็งกว่าพวกเขาแต่พวกเขาก็ยังคงปฏิเสธสัญญาณต่างๆ ของเรา
ดังนั้นเราได้ส่งลมพายุที่หนาวเหน็บมีเสียงกึกก้องมายังพวกเขาในหลายวันแห่งความหายนะ เพื่อเราจะให้พวกเขาลิ้มการลงโทษอันน่าอับยศในชีวิตแห่งโลกนี้ และแน่นอนการลงโทษแห่งปรโลกนั้นย่อมอัปยศยิ่งกว่า และพวกเขาจะไม่ได้รับความช่วยเหลือ
และส่วนพวกษะมูดนั้นเราได้ชี้แนะทางให้แก่พวกเขา แต่พวกเขาชอบเลือกเอาการตาบอดมากกว่าการอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง ดังนั้นความหายนะแห่งการลงโทษที่น่าอดสูก็ได้คร่าพวกเขาตามที่พวกเขาได้แสวงหาเอาไว้
และเราได้ช่วยบรรดาผู้ศรัทธา และบรรดาผู้ยำเกรงให้รอดพ้น (จากการลงโทษนั้น)
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวไว้ว่า “ยุคสุดท้ายของประชาชาตินี้จะเกิดธรณีสูบ แผ่นดินถล่ม และแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง” ท่านหญิงอาอีชะฮฺถามขึ้นว่า “พวกเราจะล่มจมทั้งๆ ที่ยังมีคนดีๆ อยู่ด้วยกระนั้นหรือ?" ท่านศาสดาตอบว่า “ใช่แล้ว เมื่อความชั่วปรากฏขึ้นเต็มไปหมด”
(หะดีษ บันทึกโดยอิหม่ามติรมีซียฺ)
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัล-อะอฺรอฟ 65, 69-72 ระบุไว้ความว่า
“และยังประชาชาติอ๊าดนั้น เราได้ส่งฮูด ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไปเขากล่าวว่า โอ้ประชาชาติของฉัน! จงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด ไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใดๆ สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์ พวกท่านไม่ยำเกรงดอกหรือ?”
“และพวกท่านแปลกใจกระนั้นหรือ? การที่ได้มีข้อตักเตือนจากพระเจ้าของพวกเจ้ามายังพวกเจ้าโดยผ่านชายคนหนึ่งในหมู่พวกท่าน เพื่อเขาจะได้ตักเตือนพวกท่าน และพวกท่านจงรำลึกเถิด ขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผู้สืบช่วงแทน มาหลังจากประชาชาติของนูหฺ และได้ทรงเพิ่มพละกำลังแก่พวกท่านในการบังเกิด ดังนั้นพวกท่านถึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮฺเถิดเพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความสำเร็จ”
“พวกเขากล่าวว่า ที่ท่านมาหาพวกเรานั้น เพื่อว่าเราจะได้เคารพสักการะอัลลอฮฺแต่เพียงองค์เดียว และละทิ้งสิ่งที่บรรดาบรรพบุรุษของพวกเราเคยเคารพสักการะมากระนั้นหรือ? จงนำสิ่งที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเรามายังพวกเราเถิดหากท่านอยู่ในหมู่ผู้พูดจริง”
“เขากล่าวว่า แน่นอนได้เกิดขึ้นแล้วแก่พวกท่าน ซึ่งการลงโทษ และความกริ้วโกรธจากพระเจ้าของพวกท่าน พวกท่านจะโต้เถียงฉันในบรรดาชื่อ ที่พวกท่านและบรรพบุรุษของพวกท่านได้ตั้งมันขึ้นมาเอง โดยที่อัลลอฮฺมิได้ทรงประทานหลักฐานใดๆ มาสำหรับชื่อเหล่านั้น กระนั้นหรือ? ดังนั้นพวกท่านจงรอคอยเถิดแท้จริงฉันร่วมกับพวกท่านด้วยในหมู่ผู้รอคอย”
“แล้วเราได้ช่วยเขา และบรรดาผู้ที่ร่วมอยู่กับเขาให้รอดพ้น ด้วยความเอ็นดูเมตตาจากเรา และเราได้ตัดขาด ซึ่งคนสุดท้ายของบรรดาผู้ที่ปฏิเสธโองการทั้งหลายของเรา และมิเคยปรากฏว่าพวกเขาเป็นผู้ศรัทธา”
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัซซาริยาต 41-42 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับแห่งประเทศไทย) ระบุไว้ความว่า
และในเรื่องของอ๊าด เมื่อเราได้ส่งลมพายุที่ทำลายล้างมายังพวกเขา
มันมิได้เหลืออะไรทิ้งไว้เลย เมื่อมันได้พัดกระหน่ำมา นอกจากนี้จะทำให้สิ่งนั้นพินาศย่อยยับ (ในเรื่องของอ๊าดเราได้ทำให้เป็นข้อเตือนสติแก่ผู้ที่ใคร่ครวญเมื่อเราส่งลมพายุที่ทำลายล้างมายังพวกเขาซึ่งมันไม่มีความดีเลย เพราะมันไม่ได้อุ้มฝนมา และมิได้ทำให้ต้นไม้ผสมพันธุ์กัน แต่มันเป็นลมพายุที่ทำลายล้างนำความพินาศสู่พวกเขา นักตัฟซีรกล่าวว่า ลมพายุที่อัลลอฮฺส่งไปยังพวกเขา คือลมพายุที่หนาวเหน็บและเสียงดังก้อง เป็นเวลาถึง 8 วันติดต่อกัน ทำลายบ้านเรือน หอบเอาผู้คนขึ้นไปข้างบน และตกลงมาเป็นร่างศพ และจะนอนตายอยู่เช่นนั้นประหนึ่งต้นอินทผาลัมที่กลวงล้มระเนระนาด)
ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัล-อะอฺรอฟ 73-74, 77-79 ระบุไว้ความว่า
“และยังประชาชาติษะมูดนั้น เราได้ส่งซอและฮฺซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน! จงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด ไม่มีผู้ที่ควรได้รับการเคารพสักการะใด ๆ สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์ แน่นอนได้มีหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านแล้วนี้คืออูฐตัวเมีย ของอัลลอฮฺในฐานะเป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน ดังนั้นพวกท่านจงปล่อยมันกินในแผ่นดินของอัลลอฮฺเถิด และจงอย่าแตะต้องมันด้วยการทำร้ายใดๆ เลยจะเป็นเหตุให้การลงโทษอันเจ็บแสบคร่าพวกท่านเสีย”
“และพวกท่านจงรำลึกขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผู้สืบช่วงแทนมา หลังจากชาวอ๊าด และได้ทรงให้พวกท่านตั้งหลักแหล่งอยู่ในแผ่นดินส่วนนั้น โดยยึดเอาจากที่ราบของมันเป็นวัง และสกัดภูเขาเป็นบ้าน พวกท่านพึงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮฺเถิด และจงอย่าก่อกวนในแผ่นดินในฐานะผู้บ่อนทำลาย”
“และพวกเขาก็ตัดขาดอูฐตัวเมียตัวนั้นและได้ละเมิดคำสั่ง แห่งพระเจ้าของพวกเจ้า และได้กล่าวว่าโอ้ซอและฮฺ! จงนำสิ่งที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเราไว้มาให้แก่พวกเราเถิด ถ้าหากท่านอยู่ในหมู่ผู้ที่ถูกส่งมาเป็นร่อซูล"
“และความไหวอย่างแรงของแผ่นดิน ก็ได้คร่าพวกเขา แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้นั่งคุกเข่าตายในบ้านของพวกเขา”
“แล้วเขาก็หันออกไปจากพวกนั้น และกล่าวว่า โอ้ประชาชาติของฉัน แท้จริงฉันได้ประกาศแก่พวกท่านแล้ว ซึ่งสารแห่งพระเจ้าของฉัน และฉันก็ได้ชี้แจงแนะนำแก่พวกท่านด้วย แต่ทว่าพวกท่านไม่ชอบบรรดาผู้ชี้แจงแนะนำ”
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺฮูด 64-68 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย) ระบุไว้ความว่า
และ โอ้ กลุ่มชนของฉัน! นี่คืออูฐตัวเมียของอัลลอฮฺ (ตัฟซีร: เป็นการให้เกียรติแก่อูฐที่ว่า "อูฐตัวเมียของอัลลอฮฺ" เพราะอูฐตัวนี้ออกมาจากก้อนหินด้วยเดชานุภาพของอัลลอฮฺตามคำเรียกร้องของพวกเขา) เป็นสัญญาณหนึ่งแก่พวกท่านดังนั้นพวกท่านจงปล่อยมันให้หากินตามลำพังในแผ่นดินของอัลลอฮฺ และอย่าก่อความทุกข์ยากแก่มัน มิฉะนั้นแล้ว การลงโทษอันรวดเร็วจะประสบแก่พวกท่าน”
ต่อมาพวกเขาได้ฆ่า ดังนั้นเขา(ศอและฮฺ) กล่าวว่า “พวกท่านจงสุขสำราญในบ้านของพวกท่านสามวัน นั่นคือสัญญาที่ไม่โกหก”
ดังนั้น เมื่อพระบัญชาของเราได้มาถึง เราได้ช่วยศอและฮฺและบรรดาผู้ศรัทธาร่วมกับเขาให้รอดพ้น ด้วยความเมตตาจากเรา และจากความอดสูของวันนั้น แท้จริงพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงพลัง ผู้ทรงอำนาจ
และเสียงกัมปนาท ได้คร่าบรรดาผู้อธรรม แล้วพวกเขาได้กลายเป็นผู้นอนพังพาบตายในบ้านของพวกเขา
ประหนึ่งว่า พวกเขามิได้เคยอยู่ในนั้นมาก่อน พึงทราบเถิด! แท้จริงษะมูดนั้นปฏิเสธศรัทธาพระเจ้าของพวกเขา พึงทางเถิด! จงห่างไกลจากความเมตตาเถิดสำหรับษะมูด
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัชชัมซฺ 10-12 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย) ระบุไว้ความว่า
และแน่นอนผู้หมกมุ่นมัน (ด้วยการทำชั่ว) ย่อมล้มเหลว (ตัฟซีร: ผู้ที่ขัดเกลาจิตใจของเขาด้วยการจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ และขัดเกลาจากความสกปรกต่างๆ เช่น การดื้อดึงและการทำบาปย่อมจะได้รับความสำเร็จและมีชัยชนะ ส่วนผู้ที่ทำให้จิตใจของเขาตกต่ำหรือไร้คุณค่าด้วยการปฏิเสธศรัทธาและการฝ่าฝืนย่อมจะประสบกับความขาดทุน)
พวกษะมูดได้ปฏิเสธด้วยการละเมิดขอบเขตของพวกเขา
เมื่อคนเลวทรามที่สุดของพวกเขาได้รีบรุดไป (ฆ่าอูฐตัวเมีย) (ตัฟซีร: อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงยกอุทาหรณ์สำหรับผู้ทีล่วงละเมิดขอบเขตด้วยการฝ่าฝืนข้อใช้ข้อห้ามของพระองค์ คือพวกษะมูดหมู่ชนของนบีซอและฮฺ และคนที่เลวทรามชั่วช้าที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือ "กุดารอิบนฺ ซาลิฟ" ซึ่งอัลลอฮฺทรงกล่าวเกี่ยวกับเขาว่า "แต่พวกเขาได้เรียกร้องเพื่อนของพวกเขา (กุดาร) เขาได้จับมัน (อูฐ) ฆ่าด้วยดาบอย่างทารุณ"
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลเกาะมัร 27-31 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย) ระบุไว้ความว่า
แท้จริงเราจะส่งอูฐตัวเมียตัวหนึ่งมาเพื่อเป็นการทดสอบแก่พวกเขา ดังนั้น (ซอและฮฺ) จงคอยดูพวกเขาและจงอดทน (ตัฟซีร: เราได้ให้อูฐตัวเมียตัวหนึ่งออกมาจากก้อนหิน เพื่อเป็นการทดสอบแก่พวกเขาตามที่พวกเขาต้องการและขอร้อง ดังนั้น เจ้า (ซอและฮฺ) จงคอยดูพวกเขาในสิ่งที่พวกเขากระทำ และสิ่งที่พวกเขาจะถูกกระทำ (คือการลงโทษ) และจงอดทนต่อการทำร้ายของพวกเขา เพราะอัลลอฮฺเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าอย่างแน่นอน)
และจงบอกพวกเขาว่า น้ำนั้นถูกแบ่งส่วนระหว่างพวกเขา ทุก ๆ ส่วนของน้ำดื่มถูกจัดไว้แล้ว
แต่พวกเขาได้ร้องเรียกเพื่อนของพวกเขา เขาได้จับมันฆ่าด้วยดาบอย่างทารุณ (ตัฟซีร: และเจ้าจงแจ้งแก่พวกเขาว่าน้ำที่ไหลผ่านหุบเขาของพวกเขานั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 วัน วันหนึ่งสำหรับพวกเขาใช้ดื่ม และอีกวันหนึ่งสำหรับอูฐ เมื่อวันเวลาได้ล่วงเลยมาพวกเขาเบื่อหน่ายต่อการจัดสรรดังกล่าวนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงได้ร้องเรียกเพื่อนของเขา คือ "กุดาร อิบนฺ ซาลิฟ" ให้ฆ่าอูฐตัวเมียตัวนั้น เขาจึงฆ่าด้วยดาบของเขาด้วยการตัดขาสองข้าง และฆ่าอย่างทารุณโดยไม่คำนึงถึงคำสั่งห้ามมิให้ทำร้ายอูฐตัวนั้น)
ดังนั้น การลงโทษของเรา และการตักเตือนของเราเป็นเช่นใดบ้าง
แท้จริง เราได้ส่งเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียวลงบนพวกเขา แล้วพวกเขากลายเป็นเช่นเศษไม้แห้ง (ตัฟซีร: ดังนั้นการลงโทษของเราแก่พวกเขาหลังจากการฆ่าอูฐเป็นอย่างไร? คือเป็นการลงโทษอย่างเจ็บปวด และการตักเตือนของเราเป็นอย่างไรบ้าง? คือเป็นจริง และแน่นอนความหายนะย่อมประสบแก่บรรดาผู้ปฏิเสธ เราได้ให้ญิบรีล อะลัยอิสสลาม ส่งเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียว ร่างของพวกเขาก็แตกกระจุยเป็นเสียงเหมือนเศษไม้แห้งเป็นอาหารสัตว์)
"และเมืองเหล่านั้น เราได้ทำลายพวกเขาเมื่อพวกเขาอยุติธรรม และเราได้กำหนดกำหนดเวลาสำหรับความพินาศของพวกเขาไว้แล้ว"
(อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลกะฮฺฟฺ 59)
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัล-อะอฺรอฟ 85-91 ระบุถึงการลงโทษชาวมัดยันที่มีการปล้นสดมภ์และโกงตาชั่งในสมัยนั้น
“และยังประชาชาติมัดยันนั้น เราได้ส่งชุอัยบ์ ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน! จงเคารพสักการะอัลลอฮฺเถิด ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะสำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์ แท้จริงหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านนั้นได้มายังพวกท่านแล้ว ดังนั้นจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งเถิด และจงอย่าให้ขาดแก่เพื่อนมนุษย์ซึ่งบรรดาสิ่งของของพวกเขา หลังจากที่มีการแก้ไขมันแล้ว นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งแก่พวกท่านหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา”
“และพวกท่านอย่านั่งในทุกหนทาง โดยทำการขู่และสกัดกั้นให้ออกจากทางของอัลลอฮฺผู้ซึ่งศรัทธาต่อพระองค์ และพวกท่านยังปรารถนาให้ทางของอัลลอฮฺคด และจงรำลึกถึงขณะที่พวกท่านมีจำนวนน้อย แล้วพระองค์ได้ทรงให้พวกท่านมีจำนวนมากขึ้น และพวกท่านจงดูเถิดว่าผลสุดท้ายของบรรดาผู้ก่อความเสียหายนั้นเป็นอย่างไร?”
“และถ้าหากว่ามีกลุ่มหนึ่งในหมู่พวกท่านศรัทธาต่อสิ่งที่ฉันถูกส่งให้นำสิ่งนั้นมา และอีกกลุ่มหนึ่งมิได้ศรัทธาแล้วก็จงอดทนไปเถิดจนกว่าอัลลอฮฺจะทรงชี้ขาดระหว่างเรา และพระองค์นั้นคือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ชี้ขาดทั้งหลาย”
“บรรดาชนชั้นนำที่แสดงโอหังจากประชาชาติของเขา ได้กล่าวว่า แน่นอนเราจะขับไล่ท่านออกไปโอ้ชุอัยบ์! และบรรดาผู้ที่ศรัทธากับท่านด้วยจากเมืองของเรา หรือไม่ก็แน่นอนท่านจะต้องกลับมาในลัทธิของเรา เขากล่าวว่า แม้ว่าพวกเราจะเกลียด ก็ตามกระนั้นหรือ?
“แน่นอนพวกเราก็ได้อุปโลกน์ความเท็จให้แก่อัลลอฮฺ หากพวกเรากลับไปในลัทธิของพวกท่านหลังจากที่อัลลอฮฺได้ทรงช่วยพวกเราให้พ้นจากลัทธินั้นมาแล้ว และไม่บังควรแก่พวกเราที่จะกลับไปในลัทธินั้นอีก นอกจากอัลลอฮฺผู้เป็นพระเจ้าของพวกเราจะทรงประสงค์เท่านั้น พระเจ้าของพวกเรานั้นทรงมีความรู้กว้างขวางทั่วทุกสิ่งทุกอย่าง แด่อัลลอฮฺเท่านั้นที่พวกเราได้มอบหมายโอ้พระเจ้าของเราโปรดชี้ขาดระหว่งพวกเราและประชาชาติของเราด้วยความจริงเถิด และพระองค์นั้นคือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ชี้ขาดทั้งหลาย”
“และบรรดาบุคคลชั้นนำที่ปฏิเสธศรัทธา จากหมู่ประชาชาติของเขา ได้กล่าวว่า แน่นอนถ้าหากพวกเจ้าปฏิบัติตามชุอัยบ์แล้ว แน่นอนพวกท่านก็เป็นผู้ขาดทุนในทันที”
“แล้วความไหวอย่างแรงของแผ่นดินก็ได้คร่าพวกเขา แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้นั่งคุกเข่าตายในบ้านของพวกเขา”
ทะเลเดดซี (DEAD SEA) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่ทางชายแดนประเทศจอร์แดน ดูสวยงาม แต่ในประวัติศาสตร์เคยเป็นเมืองที่ถูกลงโทษ เพราะชาวเมือง ในสมัยนบีลูฏ ทำความผิดอันน่ารังเกียจ คือ สมสู่เพศชายและปล้น มีระบุในอัลกุรอาน ดังนี้
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอันนัมลฺ 54-58
และ (จงรำลึกถึง) ลูฏ เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขา ว่า “พวกท่านกระทำการลามก ทั้งๆ ที่พวกท่านรู้เห็นอยู่กระนั้นหรือ ?
“แท้จริงพวกท่านสมสู่พวกผู้ชายด้วยตัณหา แทนพวกผู้หญิงกระนั้นหรือ ? ยิ่งกว่านั้นพวกท่านเป็นหมู่ชนที่โง่เขลา”
ดังนั้น คำตอบของหมู่ชนของเขาไม่เป็นอย่างอื่น นอกจากกล่าวว่า “จงให้ตระกูลของลูฏออกจากหมู่บ้านของพวกท่าน แท้จริงพวกเขาเป็นหมู่ชนผู้บริสุทธิ์”
แล้วเราได้ช่วยเขาและบริวารของเขา ให้รอดพ้น เว้นแต่ภรรยาของเขา เราได้กำหนดให้นางอยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย
และเราได้ให้ห่าฝน ตกลงมาบนพวกเขา ดังนั้น ฝนของบรรดาผู้ถูกตักเตือนมันชั่วช้าเสียนี่กระไร
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลอังกะบูต 28-29
และ (จงรำลึกถึง) ลูฏ เมื่อเขากล่าวแก่หมู่ชนของเขาว่า แท้จริงพวกท่านได้กระทำการลามกซึ่งไม่มีผู้ใดในหมู่มวลชนกระทำมาก่อนพวกท่านเลย
แท้จริงพวกท่านสมสู่พวกผู้ชาย และปล้นบนทางหลวงกระนั้นหรือ ? และกระทำอนาจารในที่ชุมชนของพวกท่าน แต่คำตอบของหมู่ชนของเขามิใช่อื่นใดนอกจากกล่าวว่า จงนำการลงโทษของอัลลอฮฺมาให้แก่พวกเราซิ หากท่านอยู่ในหมู่ผู้สัตย์จริง
มลาอิกะฮฺมาหานบีลูฏ ภรรยานบีลูฏกลับไปแจ้งข่าวให้หมู่ชนของพวกเขาให้มาต้อนรับแขกด้วย มีระบุในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺฮูด 77-79 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย) ดังนี้
และเมื่อบรรดาทูตของเรา(มะลาอิกะฮ์) ได้มายังลูฏ เขาเป็นทุกข์ต่อพวกเขาและหนักใจในพวกเขา และกล่าวว่า “นี่เป็นวันอันชั่วร้ายที่สุด”
และกลุ่มชนของเขาได้มาหาเขา พวกเขารีบร้อนมายังเขา และก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยทำความชั่ว (ตัฟซีร: ก่อนหน้านั้นพวกเขาเคยสมสู่กับพวกผู้ชายด้วยกัน และกระทำสิ่งที่น่าเกลียด อัลกุรฎบีย์กล่าวว่า สาเหตุของการรีบร้อนมาหาลูฏ ก็เพราะภริยาของลูฏได้ไปแจ้งแก่พวกเขาเหล่านั้นว่า ลูฏมีแขกที่เป็นเด็กหนุ่มหลายคน ฉันไม่เคยเห็นความงามของแขกหนุ่มมาก่อนเลย พวกเขาจึงรีบร้อนไปหาลูฏอย่างปราศจากความกระดากอาย) เขากล่าวว่า “โอ้ กลุ่มชนของฉัน! เหล่านี้คือลูกสาวของฉัน พวกนางนั้นบริสุทธิ์สำหรับพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺเถิดและอย่าทำให้ฉันขายหน้าต่อแขกของฉันเลย ไม่มีคนที่มีสติสัมปชัญญะในหมู่พวกท่านบ้างหรือ?”
พวกเขากล่าวว่า “โดยแน่นอน ท่านรู้ดีว่า เราไม่มีสิทธิ์ในลูกสาวของท่าน และแท้จริงท่านรู้ดีถึงสิ่งที่เราปรารถนา” (ตัฟซีร: ท่านรู้ดีถึงสิ่งที่พวกเราต้องการ คือการสมสู่เพศชาย โดยเปิดเผยเจตนาอันชั่วช้าของพวกเขา)
มลาอิกะฮฺบอกให้นบีและครอบครัวเดินทางตอนกลางคืน โดยอย่าหันกลับมา เมื่อถึงเวลาเช้า การลงโทษมาถึง เสียงกัมปนาท ถูกพลิกแผ่นดิน และหินนรกหล่นลงมา ภรรยานบีถูกลงโทษด้วย มีระบุในอัลกุรอานดังนี้
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺฮูด 81-83
พวกเขา(มะลาอิกะฮ์) กล่าวว่า “โอ้ ลูฏ! พวกเราเป็นทูตของพระเจ้าของท่าน พวกเหล่านั้นจะไม่ถึงท่านได้เลย ดังนั้น ท่านจงเดินทางไปในเวลากลางคืนพร้อมกับครอบครัวของท่านและคนใดในหมู่พวกท่านอย่าได้เหลียวหลังมองเว้นแต่ภริยาของท่าน แท้จริงจะประสบแก่นางเช่นเดียวกับที่ได้ประสบแก่พวกเขา แท้จริงสัญญาของพวกเขาคือเวลาเช้า เวลาเช้านั้นใกล้เข้ามาแล้วมิใช่หรือ?
ดังนั้น เมื่อพระบัญชาของเราได้มาถึง เราได้ทำให้ข้างบนของมันเป็นข้างล่าง และเราได้ให้ก้อนหินแกร่งหล่นพรูลงมา
ถูกตราเครื่องหมายไว้ ณ ที่พระเจ้าของท่าน และมันไม่ไกลไปจากบรรดาผู้อธรรม
อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลฮิจรฺ 73-77
ดังนั้น เสียงกัมปนาทได้คร่าพวกเขาเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น
แล้วเราได้พลิกกลับส่วนบนของมันเป็นส่วนล่าง และได้ให้หินจากนรกหล่นลงมาทับพวกเขา
แท้จริงในการนั้น แน่นอนเป็นสัญญาณแก่บรรดาผู้พินิจพิเคราะห์
และแท้จริง มัน(สถานที่นั้น)ยังคงเป็นเส้นทางที่พักอาศัยอย่างแน่นอน
แท้จริงในการนั้น แน่นอนย่อมเป็นสัญญาณแก่บรรดามุอฺมิน
“และโดยแน่นอน เราได้ทำให้อัลกุรอานนี้เป็นที่เข้าใจง่ายแก่การรำลึก แล้วมีผู้ใดบ้างที่รับข้อตักเตือนนั้น” (ตัฟซีร: เราได้ทำให้อัลกุรอานเป็นที่ง่ายดายแก่การท่องจำและการเข้าใจ แต่มีผู้ใดบ้างที่จะยึดถือเป็นข้อตักเตือนและเป็นบทเรียน)
อัลกุรอาน ซูเราะอัลเกาะมัร 17
(ตัฟซีรโดย ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย)
ก่อนการลงโทษ นบีลูฏเตือนแล้ว แต่ไม่ฟัง มีระบุในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัชชุอะรออฺ 160-166, 170, 173-174 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย) ดังนี้
หมู่ชนของลู๊ฏ ได้ปฏิเสธบรรดาร่อซูล
ขณะที่พี่น้องคนหนึ่งของพวกเขาคือลู๊ฏได้กล่าวแก่พวกเขาว่า โอ้พวกท่านไม่ยำเกรงบ้างหรือ?
แท้จริงฉันคือร่อซูลผู้ซื่อสัตย์สำหรับพวกท่าน
ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และเชื่อฟังฉัน
และฉันมิได้ขอค่าตอบแทนในการนี้จากพวกท่าน ค่าตอบแทนของฉันมิได้มาจากผู้ใด นอกจากพระเจ้าแห่งสากลโลก
พวกท่านเข้าหาผู้ชายในหมู่ผู้คนทั้งหลายกระนั้นหรือ? (ตัฟซีร: คือพวกท่านร่วมสังวาสกับบรรดาผู้ชายทางทวารหนักกระนั้นหรือ พวกท่านเท่านั้นที่กระทำการอันน่าเกลียดในหมู่มนุษยชาติทั้งหลาย)
และพวกท่านปล่อยทิ้ง สิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านทรงบังเกิดมาสำหรับพวกท่าน คือภรรยาของพวกท่าน แน่นอนพวกท่านเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน (ตัฟซีร: พวกท่านไม่ปฏิบัติในสิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านได้อนุมัติให้ คือการหาความสุขกับบรรดาภรรยาของพวกท่าน)
ดังนั้นเราได้ช่วยเขา และบริวารของเขาทั้งหมดให้รอดพ้น
และได้ให้ห่าฝนตกลงมาบนพวกเขา ดังนั้นฝนของบรรดาผู้ถูกตักเตือนมันชั่วร้ายเสียนี่กระไร!
แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณหนึ่งอย่างแน่นอน แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่เป็นผู้ศรัทธา
การลงโทษหนึ่ง ที่มีหินตกใส่ชาวเมืองนั้น หินแต่ละก้อนระบุชื่อไว้แล้ว เมืองนี้กลายเป็นสถานที่เตือนใจในประวัติศาสตร์ ปัจจุบันคือ ทะเลเดดซี มีระบุในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัซซาริยาต 31-37 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย) ดังนี้
เขากล่าวว่า ดังนั้นความมุ่งหมายของพวกท่านคืออะไรเล่า โอ้ บรรดาทูต?
พวกเขากล่าวว่า แท้จริงเราถูกส่งมายังหมู่ชน ผู้กระทำผิด
เพื่อเราจะได้โยนก้อนหินทำด้วยดินเหนียวแข็งลงบนพวกเขา
ถูกตราเป็นเครื่องหมายไว้แล้ว ณ ที่พระเจ้าของเจ้าสำหรับพวกที่ละเมิดขอบเขต (ตัฟซีร: พวกเขากล่าวว่า อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงส่งพวกเรามาเพื่อทำลายหมู่ชนลูฏ ซึ่งพวกเขาได้กระทำบาปอันยิ่งใหญ่และน่าเกลียด เช่นการสมสู่ระหว่างเพศชาย การปฏิเสธศรัทธาและการฝ่าฝืนบัญญัติศาสนา เป็นต้น โดยเราจะทำลายพวกเขาด้วยก้อนหินที่ทำจากดินเหนียวถูกเผาจนแข็ง นอกจากนี้ ก้อนหินทุกก้อนจะถูกทำเป็นเครื่องหมายมีชื่อกำกับของผู้ที่จะได้รับโทษ คือผู้ที่ละเมิดกระทำบาป อัศศอวีย์ กล่าวว่า ในหมู่บ้านของลูฏนั้นมีพลเมืองอยู่ 6 แสนคน ญิบรีลได้ใช้ปีกของเขาขุดลงไปในใต้แผ่นดิน แล้วถอนรากหมู่บ้านของพวกเขา แล้วได้ยกขึ้นจนกระทั่งทุกสิ่งทุกอย่างอยู่บนฟ้าได้ยินเสียงของพวกเขา แล้วได้พลิกคว่ำลง จากนั้นได้ส่งก้อนหินขว้างมาโดนพวกเขา)
ดังนั้น เราได้นำผู้ที่อยู่ในเมืองนั้นจากหมู่ผู้ศรัทธาออกมาให้พ้น
และเราไม่พบผู้ใดในเมืองนั้น นอกจากบ้านหลังหนึ่งของปวงผู้นอบน้อม (ตัฟซีร: คือเราได้นำเอาผู้ศรัทธาที่อยู่ในหมู่บ้านของลูฏออกมาเพื่อมิให้ถูกทำลาย มุญาฮิดกล่าวว่า บรรดาผู้ศรัทธานั้นคือ ลูฏ และบุตรสาวของเขาทั้งสองเท่านั้น จุดมุ่งหมายของอายะฮฺคือ ชี้แจงถึงบรรดามุอฺมินจำนวนน้อยที่รอดพ้นจากการลงโทษ และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาจำนวนมากที่คู่ควรแก่การลงโทษและความพินาศ)
และเราได้เหลือสัญญาณหนึ่งไว้ สำหรับบรรดาผู้ที่กลัวต่อการลงโทษอันเจ็บปวด (ตัฟซีร: ณ หมู่บ้านลูฏนั้นเราได้เหลือทิ้งสัญญาณหนึ่งไว้หลังจากหมู่บ้านนั้นถูกทำลาย นั่นคือทะเลสาปเดดซี (DEAD SEA) ทั้งนี้เพื่อเป็นข้อเตือนสติแด่บรรดามุอฺมินที่กลัวการลงโทษอย่างเจ็บปวด เพื่อจะมิได้ปฏิบัติเยี่ยงการกระทำของหมู่ชนลูฏ คือกระทำผิดเพศ)
การลงโทษอันน่าสะพรึงกลัว ที่มีพายุหิน อัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลเกาะมัร 33-39 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย) ระบุไว้ความว่า
หมู่ชนของลูฏได้ปฏิเสธต่อการตักเตือน
แท้จริง เราได้ส่งพายุหินจากท้องฟ้าลงบนพวกเขา นอกจากวงศ์วานของลูฏ เราได้ช่วยพวกเขาให้รอดพ้นในยามรุ่งสาง
เป็นความโปรดปรานจากเรา เช่นนั้นแหละเราตอบแทนผู้กตัญญู (ตัฟซีร: หมู่ชนของลูฏคือ ชาวเมืองซะดูม และอะมูเราะฮฺ ได้ปฏิเสธต่อการเรียกร้องเชิญชวน และการตักเตือนของนบีลูฏ ซึ่งเป็นบุตรของน้องชายนบีอิบรอฮีม มีชื่อว่า ฮารอน หลังจากที่พวกเขาปฏิเสธต่อการตักเตือน พร้อมกับยืนกรานต่อการปฏิเสธศรัทธา และกระทำการลามก เราได้ส่งลมพายุหอบก้อนหินจากท้องฟ้าลงมาบนพวกเขา อิบนุกระซีรกล่าวว่า อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงบัญชาให้ญิบรีลยกเมืองของพวกเขาขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพลิกคว่ำลงมา และส่งก้อนหินหล่นมาทับพวกเขา เว้นแต่วงศ์วานของนบีลูฏ และผู้ที่ศรัทธาต่อเขา เราได้ให้พวกเขารอดพ้นจากการลงโทษในยามรุ่งสาง ทั้งนี้เป็นความโปรดปรานและเมตตาจากเราแก่พวกเขาและนั่นคือการตอบแทนของเราแก่ผู้ที่กตัญูต่อความโปรดปรานของเราด้วยการศรัทธาและการเชื่อฟังปฏิบัติตาม)
และโดยแน่นอนเขา (ลูฏ) ได้ตักเตือนพวกเขาถึงการลงโทษของเรา แต่พวกเขาได้โต้แย้งข้อตักเตือน (ของเรา)
และโดยแน่นอน พวกเขาได้ขอร้อง (แกมบังคับ) เขาให้ส่งมอบแขกของเขา (แก่พวกเขา) ดังนั้นเราจึงทำให้นัยน์ตาของพวกเขาบอดลง ฉะนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของเรา และการตักเตือนของเรา
และโดยแน่นอน การลงโทษอันต่อเนื่องก็ได้เกิดขึ้นแก่พวกเขาในเวลาเช้า
ฉะนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของเรา และการตักเตือนของเรา (ตัฟซีร: นบีลูฏได้กล่าวตักเตือนพวกเขาถึงการลงโทษของเรา แต่พวกเขาได้ปฏิเสธข้อตักเตือนและสัญญาร้ายของเรา คือพวกเขาได้ขอร้องต่อลูฏให้ส่งมอบแขกของเขา คือมลาอิกะฮฺ ที่จำแลงรูปเป็นเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงาม เพื่อเอาไปทำการลามก ญิบรีลได้ใช้ปีกของเขาตีไปที่ใบหน้าของพวกเขาทำให้นัยน์ตาของพวกเขาบอด ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของเรา และการตักเตือนที่ลูฏได้กล่าวตักเตือนพวกเจ้าเถิด การลงโทษอย่างต่อเนื่องของเราในโลกดุนยาจะมีไปจนกระทั่งโลกอาคิเราะฮฺ ดังนั้นพวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษและการตักเตือนของเราเถิด)
เมืองสะบะอฺเป็นเมืองที่อัลลอฮฺทรงประทานสวนอันอุดมสมบูรณ์ แต่ชาวสะบะอฺกลับไม่พอใจและไม่ขอบคุณ พระองค์จึงทรงให้น้ำท่วมและเปลี่ยนเป็นสวนที่ไม่ร่มรื่นที่ต่อไป (ระบุในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺสะบะ 15-17)
โดยแน่นอน สำหรับพวกสะบะอฺนั้นมีสัญญาณหนึ่งในที่อาศัยของพวกเขา มีสวนสองแห่งทางขวาและทางซ้าย พวกเจ้าจงบริโภคจากปัจจัยยังชีพของพระเจ้าของพวกเจ้า และจงขอบคุณต่อพระองค์ อันเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และมีพระเจ้าผู้ทรงอภัย
แต่พวกเขาได้ผินหลัง ดังนั้น เราจึงปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ท่วมพวกเขา และเราได้เปลี่ยนให้พวกเขาสวนสองแห่งของพวกเขา แทนสวนอีกสองแห่ง มีผลไม้ขมและต้นไม้พุ่ม และต้นพุทราบ้างเล็กน้อย
เช่นนั้นแหละ เราได้ตอบแทนพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเนรคุณ และเรามิได้ลงโทษผู้ใด (ด้วยการลงโทษอย่างรุนแรงเช่นนี้) นอกจากพวกเนรคุณ
การเดินทางที่ง่ายดาย ปลอดภัย ชุมชนอยู่ใกล้ ชาวสะบะอฺกลับขอให้เดินทางไกล ระบุในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺสะบะ 18-19
ระหว่างพวกเขาและระหว่างหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งเราได้ให้ความจำเริญในนั้น เราได้ให้มีขึ้นซึ่งหัวเมืองที่เด่นชัด และเราได้กำหนดการเดินทางไว้ในนั้น พวกเจ้าจงเดินทางไปตามนั้นเถิด ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างปลอดภัย
แล้วพวกเขาได้พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้าของเรา! ขอพระองค์ได้ทรงทำให้การเดินทางของเรายืดยาวขึ้น” และพวกเขาได้อธรรมต่อตัวพวกเขาเอง ดังนั้น เราจึงได้ทำให้พวกเขาเป็นเรื่องเล่าขานติดต่อกันมา และเราได้ทำให้พวกเขาแตกสลายกระจัดกระจายกันออกไป แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณมากหลายอย่างแน่นอนแก่ทุกคนผู้อดทน ผู้กตัญญู