หลักฐานอ้างอิงจากหะดีษเศาะฮีหฺ ดังนี้
จากยะฮฺยา : ฉันได้ถามอบูสะละมะฮฺว่า “ซูเราะฮฺใดของคัมภีร์กุรอานถูกประทานลงมาก่อน?”ใดของคัมภีร์กุรอานถูกประทานลงมาก่อน?” เขาตอบว่า “อัลมุดดัซซิรฺ” ฉันกล่าวว่า “หรือซูเราะฮฺ อัลอะลัก?” เขากล่าวว่า “ฉันได้ถามญาบิรฺ บินอับดุลลอฮฺว่า “ซูเราะฮฺใดถูกประทานลงมาก่อน?” เขากล่าวว่า “อัลมุดดัซซิรฺ” ฉันกล่าวว่า “ฉันบอกท่านให้รู้ถึงสิ่งที่ท่านรอซูลุลลอฮฺพูด
ท่านรอซูลุลลอฮฺกล่าวว่า “ฉันปลีกตัวอยู่ตามลำพังในถ้ำฮิรอเป็นเวลาหนึ่งเดือน และเมื่อครบเวลาปลีกตัว ฉันได้ลงมาจนกระทั่งถึงก้นหุบเขา ฉันได้ยินเสียงหนึ่งเรียกฉัน ดังนั้น ฉันจึงมองไปที่ข้างหน้า ข้างหลัง ทางด้านขวาและด้านซ้าย แต่ฉันไม่พบผู้ใด หลังจากนั้น ฉันถูกเรียกอีก ฉันจึงหันมองไปรอบตัว แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใด
เมื่อฉันถูกเรียกอีกครั้งและฉันเงยหน้าขึ้นไป ฉันได้เห็นมลาอิก๊ะฮฺองค์หนึ่ง (ญิบรีล) นั่งอยู่บนบัลลังก์กลางท้องฟ้า ฉันตกใจจนตัวสั่นอย่างรุนแรง ดังนั้น ฉันจึงไปหาเคาะดียะฮฺและบอกเธอให้เอาผ้ามาห่มตัวฉัน หลังจากนั้น พวกเขาก็เอาผ้ามาห่มตัวฉันและเทน้ำลงบันตัวฉัน หลังจากนั้น อัลลอฮฺได้ประทานอายะฮฺลงมาว่า
“โอ้ผู้ถูกคลุมกายอยู่ จงลุกขึ้นและตักเตือน และจงประกาศความยิ่งใหญ่ของพระผู้อภิบาลของเจ้า และทำความสะอาดเสื้อผ้าของเจ้า” (อัลกุรอาน อัลมุดดัซซิรฺ 1-4)
(หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดย บุคอรี เลขที่ 4924 และมุสลิม เลขที่ 161)
หลักฐานอ้างอิงจากหะดีษเศาะฮีหฺ ดังนี้
อุรฺวะฮฺ บินซุเบรฺ รายงานว่า ท่านหญิงอาอิชะฮฺภรรยาของท่านนบีมุฮัมมัดได้บอกเขาว่า การประทานวะฮีย์แก่ท่านรอซูลุลลอฮฺเริ่มต้นด้วยภาพที่ท่านเห็นจริงในความฝัน เมื่อใดก็ตามที่ท่านเห็นในความฝัน การอธิบายความหมายของมันเป็นที่กระจ่างชัดเหมือนกับตอนเช้า
หลังจากนั้น ท่านชอบที่จะปลีกตัวออกไปอยู่อย่างเงียบๆ ท่านเคยปลีกตัวออกไปอยู่ในถ้ำฮิรอหลายคืน เพื่อใช้ความคิดตรึกตรองก่อนที่จะกลับมายังครอบครัว หลังจากนั้น ท่านจะกลับไปหาท่านหญิงเคาะดีญะฮฺเพื่อมาเอาเสบียงอาหารกลับไปอีก
จนกระทั่งสัจธรรมได้มายังท่านในขณะที่ท่านอยู่ในถ้ำฮิรอ มลาอิก๊ะฮฺองค์หนึ่งได้มาหาท่าน และขอให้ท่านอ่าน ท่านกล่าวว่า “ฉันอ่านไม่ได้” ท่านนบีกล่าวว่า “หลังจากนั้น มลาอิก๊ะฮฺได้กอดรัดฉันแน่นขึ้นจนฉันเหนื่อย หลังจากนั้นก็ปล่อยฉันและขอให้ฉันอ่านและฉันก็ตอบว่า ‘ฉันอ่านไม่ได้’ ดังนั้น มลาอิก๊ะฮฺจึงกอดรัดฉันเป็นครั้งที่สองจนกระทั่งฉันเหนื่อย หลังจากนั้น เขาก็ปล่อยฉันและขอให้ฉันอ่าน แต่ฉันก็ตอบไปอีกว่า ‘ฉันอ่านไม่ได้ (หรือจะให้ฉันอ่านอะไร?)’ ดังนั้น เขาจึงกอดรัดฉันเป็นครั้งที่สามและกล่าวว่า
“จงอ่านด้วยพระนามของพระผู้อภิบาลของเจ้าผู้ทรงสร้าง ทรงสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด จงอ่าน และพระผู้อภิบาลของเจ้าเป็นผู้ทรงเกียรติสูงยิ่ง ผู้ทรงสอนด้วยปากกา ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้” (อัลกุรอาน อัลอะลัก 1-5)
(ส่วนหนึ่งจากหะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดย บุคอรี และมุสลิม เลขที่ 160)
หลักฐานระบุในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอันนัจมฺ 2-12
“สหาย(มุฮัมมัด) ของพวกเจ้ามิได้หลงผิดและเชื่อมั่นในทางที่ผิด
และเขามิได้พูดตามอารมณ์
อัลกุรอานมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นวะฮียฺที่ถูกประทานลงมา
ผู้ทรงพลังอำนาจอันมากมาย (ญิบรีล) ได้สอนเขา
ผู้ทรงพลังอันแข็งแรง ดังนั้นเขาจึงปรากฏในสภาพที่แท้จริง
ขณะที่เขาอยู่บนขอบฟ้าอันสูงส่ง
แล้วเขาได้เข้ามาใกล้ และเข้ามาใกล้จนชิด
เขาเข้ามาใกล้ (จนอยู่) ในระยะของปลายคันธนูทั้งสอง หรือใกล้กว่านั้นอีก
ดังนั้นเขา (ญิบรีล) จึงนำวะฮียฺมาให้แก่บ่าวของพระองค์ (มุฮัมมัด) สิ่งที่เขาจะนำวะฮียฺมา
จิตใจ (ของมุฮัมมัด) มิได้ปฏิเสธสิ่งที่เขาได้เห็น
แล้วพวกเจ้าจะโต้เถียงกับเขาเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เห็นอีกหรือ"
หลักฐานระบุในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัลเกาะมัร 1-8 (ตัฟซีรโดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับแห่งประเทศไทย)
“วันกิยามะฮฺ ได้ใกล้เข้ามาแล้ว และดวงจันทร์ได้แยกออก (ตัฟซีร: อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงแจ้งให้ทราบว่า วาระแห่งการสิ้นสุดของดุนยา และความพินาศของมันอีกทั้งวันกิยามะฮฺนั้นได้ใกล้เข้ามาแล้ว ดวงจันทร์ได้แยกออกเป็นสองซีก ในคืนวันเพ็ญมีจันทร์เต็มดวง ซีกหนึ่งมองเห็นทางด้านภูเขาศ่อฟา อีกซีกหนึ่งมองเห็นได้ทางด้านภูเขาก็อยก็อาน ซึ่งอยู่ตรงข้าม นักตัฟซีรกล่าวว่า พวกกุฟฟารมักกะฮฺได้กล่าวแก่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ว่า หากพวกท่านเป็นคนจริงตามคำพูดก็จงทำให้ดวงจันทร์แยกออกเป็นสองซีก และพวกเขาสัญญาว่าจะศรัทธา ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ขอต่อพระเจ้าตามที่พวกเขาขอร้อง เมื่อดวงจันทร์ได้แยกออกเป็นสองซีกแล้ว และพวกเขาได้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้ว ก็กล่าวว่า มุฮัมมัดได้แสดงมายากลแก่เรา)
และหากพวกเขาเห็นสัญญาณ (ปาฏิหาริย์) พวกเขาก็ผินหลังให้และกล่าวว่า นี่คือมายากลที่มีมาก่อนแล้ว
และพวกเขาได้ปฏิเสธและปฏิบัติตามอารมณ์ใฝ่ต่ำของพวกเขา และกิจการทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกำหนด
และโดยแน่นอน ได้มีข่าวคราว (ในอดีต) มายังพวกเขาแล้ว ซึ่งในนั้นมีข้อตักเตือน (แก่พวกเขา)
(อัลกุรอานนี้) เป็นฮิกมะฮฺอันลึกซึ้ง แต่การตักเตือนนั้นไม่บังเกิดผล (แก่พวกเขา)
ดังนั้นเจ้า (มุฮัมมัด) จงผินหลังให้แก่พวกเขา วันซึ่งผู้เรียกร้อง (อิสรอฟีล) จะร้องเรียกไปสู่สิ่งที่น่ากลัวสยองขวัญ
สายตาของพวกเขาจะลดต่ำลงขณะที่พวกเขาออกจากกุบูร เสมือนหนึ่งพวกเขาเป็นตั๊กแตนที่บินว่อน
รีบวิ่งไปยังผู้เรียกร้อง พวกปฏิเสธศรัทธาจะกล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่ลำบากยิ่ง”
"หลักฐานการแยกของดวงจันทร์จากนาซ่า"
เรื่องจริงที่ทำให้ชาวยุโรป รับอิสลามเพิ่มมากขึ้น
โฆษกขององค์การอวกาศของอเมริกากล่าวว่า ความจริงถูกค้นพบเมื่อนักบินอวกาศผู้ต้องการปักธงของอเมริกาบนดวงจันทร์ ไม่สามารถปักธงได้สำเร็จ เพื่อหาต้นเหตุของปัญหานี้ นักบินอวกาศได้วิจัยทางธรณีวิทยาและผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้เกิดขึ้นกับพวกเขาว่านานมาแล้วดวงจันทร์ได้ถูกแยกออกเป็นสองซีกและทั้งสองซีก ก็ถูกประกบกันเหมือนเดิม
มีหลักฐานอ้างอิงจากหะดีษเศาะฮีหฺ ดังนี้
อนัส รายงานว่า ชาวมักก๊ะฮฺได้ขอให้ท่านรอซูลุลลอฮฺแสดงปาฏิหาริย์ให้พวกเขาได้เห็น ดังนั้น ท่านจึงได้แสดงการแยกดวงจันทร์ให้พวกเขาได้เห็น (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดย บุคอรี เลขที่ 3637 และมุสลิม เลขที่ 2802)
อ้างอิงจาก อนัส บิน มาลิก: ชาวเมกกะขอให้ท่านนะบีแสดงปาฏิหาริย์ ดังนั้นนะบีจึงแสดงการแยกดวงจันทร์ออกเป็นสองส่วนระหว่างภูเขาฮิรออ์ให้พวกเขาดู (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 208)
อ้างอิงจาก อะบิน มาซูด: ระหว่างช่วงชีวิตของท่านนะบี ดวงจันทร์ได้แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกอยู่เหนือภูเขา และอีกส่วนอยู่ถัดจากภูเขา ตอนนั้นท่านนบีกล่าวว่า จงเป็นพยานให้กับปาฏิหาริย์นี้ (หะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดยบุคอรี เลขที่ 387)
หลักฐานระบุในหะดีษเศาะฮีหฺ บันทึกโดย บุคอรี เลขที่ 7517 และมุสลิม เลขที่ 162 ดังนี้
จากอนัส บินมาลิก : ท่านรอซูลุลลอฮฺ เล่าว่า “อัลบุร้อก (สัตว์พาหนะสีขาว ตัวใหญ่กว่าลา แต่เล็กกว่าฬ่อ และมันก้าวเท้าทีเดียวได้ไกลเท่าที่สายตาไปถึง) ได้ถูกนำมายังฉัน ฉันได้ขึ้นขี่หลัง มันมายังบัยตุลมักดิศ (สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเยรูซาเล็ม) เมื่อมาถึง ฉันได้ผูกมันไว้กับห่วงที่บรรดานบีเคยใช้
หลังจากนั้น ฉันได้เข้าไปในมัสญิดและนมาซสองร็อกอัตในนั้น เมื่อออกมา ญิบรีลได้นำเอาภาชนะใส่เหล้าองุ่นและนมมาให้ฉัน ฉันเลือกภาชนะใส่นม ญิบรีลจึงกล่าวว่า “ท่านเลือกสิ่งที่เป็นธรรมชาติ”
หลังจากนั้น ญิบรีลกับฉันได้ขึ้นสู่ชั้นฟ้า ญิบรีลได้ขอให้เปิดประตู เขาถูกถามว่า “เจ้าเป็นใคร?” เขาตอบว่า “ญิบรีล” เขาจึงถูกถามอีกว่า “ใครที่มาด้วยกับท่าน?” เขาตอบว่า “มุฮัมมัด” ญิบรีลถูกถามต่อว่า “เขาถูกให้มาตามตัวใช่ไหม?” ญิบรีลตอบว่า “ใช่” ดังนั้น ประตูจึงเปิดออกและเราได้เห็นอาดัม เขาต้อนรับฉันและวิงวอนขอพรให้ฉัน
หลังจากนั้น ญิบรีลกับฉันได้ขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่สอง ญิบรีลได้ขอให้ประตูเปิดออกและเขาถูกถามว่า “เจ้าเป็นใคร?” เขาตอบว่า “ญิบรีล” เขาจึงถูกถามอีกว่า “ใครที่มาด้วยกับท่าน?” เขาตอบว่า “มุฮัมมัด” ญิบรีลถูก ถามต่อว่า “เขาถูกให้มาตามตัวใช่ไหม?” ญิบรีล ตอบว่า “ใช่” ดังนั้น ประตูจึงเปิดออก เมื่อฉันเข้าไป อีซา บุตรของนางมัรยัมและยะฮฺยา บิน ซะกะรียาลูกพี่ลูกน้องจากทางฝ่ายแม่ ได้กล่าวต้อนรับเราและวิงวอนขอพรให้ฉัน
หลังจากนั้น ญิบรีลกับฉันได้ขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่สาม ญิบรีลได้ขอให้ประตูเปิดออกและเขาถูกถามว่า “เจ้าเป็น ใคร?” เขาตอบว่า “ญิบรีล” เขาจึงถูกถามอีกว่า “ใครที่มาด้วยกับท่าน?” เขาตอบว่า “มุฮัมมัด” ญิบรีลถูกถามต่อว่า “เขาถูกให้มาตามตัวใช่ไหม?” ญิบรีลตอบว่า “ใช่” ดังนั้น ประตูจึงเปิดออก ฉันเห็นยูซุฟที่ได้รับครึ่งหนึ่งของความสวยงาม
หลังจากนั้น ญิบรีลกับฉันได้ขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่สี่ ญิบรีลได้ขอให้ประตูเปิดออกและเขาถูกถามว่า “เจ้าเป็น ใคร?” เขาตอบว่า “ฌิบริล” เขาจึงถูกถามอีกว่า “ใครที่มาด้วยกับท่าน?” เขาตอบว่า “มุฮัมมัด” ผู้บรีลถูกถามต่อว่า “เขาถูกให้มาตามตัวใช่ไหม?” ญิบรีลตอบว่า “ใช่” ดังนั้น ประตูจึงเปิดออกและฉันได้เห็นอิดรีสอยู่ที่นั่น เขากล่าวต้อนรับฉันและวิงวอนขอพรให้ฉัน อัลลอฮฺทรงกล่าวถึงเขาว่า "เราได้ยกย่องเขา (อิดรีส) ให้อยู่ในตำแหน่งอันสูงส่ง” (กุรอาน 19:57)
หลังจากนั้น ญิบรีลกับฉันได้ขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่ห้า ญิบรีลได้ขอให้ประตูเปิดออกและเขาถูกถามว่า "เจ้าเป็นใคร?" เขาตอบว่า “ฌิบริล” เขาจึงถูกถามอีกว่า “ใครที่มาด้วยกับท่าน?” เขาตอบว่า "มุฮัมมัด” ญิบรีลถูกถามต่อว่า "เขาถูกให้มาตามตัวใช่ไหม?” ญิบรีล ตอบว่า “ใช่” ดังนั้น ประตูจึงเปิดออกและฉันได้อยู่กับฮารูน เขาต้อนรับฉันและวิงวอนขอพรให้ฉัน
หลังจากนั้น ญิบรีลกับฉันได้ขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่หก ญิบรีลได้ขอให้ประตูเปิดออกและเขาถูกถามว่า “เจ้าเป็นใคร?" เขาตอบว่า "ญิบรีล" เขาจึงถูกถามอีกว่า “ใครที่มาด้วยกับท่าน?” เขาตอบว่า “มุฮัมมัด” ญิบรีลถูกถามต่อว่า “เขาถูกให้ มาตามตัวใช่ไหม?” ญิบรีลตอบว่า “ใช่” ดังนั้น ประตูจึงเปิดออกและฉันเห็นมูซาที่นั่น เขาต้อนรับฉันและวิงวอนขอพรให้ฉัน
หลังจากนั้น ญิบรีลกับฉันได้ขึ้นไปยังฟ้าชั้นที่เจ็ด ญิบรีลได้ขอให้ประตูเปิดออกและเขาถูกถามว่า “เจ้าเป็นใคร?” เขาตอบว่า “ญิบรีล” เขาจึงถูกถามอีกว่า “ใครที่มาด้วยกับท่าน?” เขาตอบว่า “มุฮัมมัด” ญิบรีลถูกถามต่อว่า “เขาถูกให้มาตามตัวใช่ไหม?” ญิบรีล ตอบว่า “ใช่” ดังนั้น ประตูจึงเปิดออกและฉันเห็น อิบรอฮีมเอนตัวพิงบัยตุลมะอ์มูรฺที่มลาอิกะฮฺเจ็ดหมื่นองค์เข้าไปทุกวันและไม่กลับมาอีก
หลังจากนั้น ฉันได้ถูกนำตัวไปยัง ซิดเราะตุน มุนตะฮา ที่ไบของมันเหมือนหูช้างและผลของมันเหมือนภาชนะใส่น้ำขนาดใหญ่ที่ทำมาจากดิน และเมื่อคำบัญชาของอัลลอฮฺมายังมัน มันได้เปลี่ยนไป ไม่มีสิ่งถูกสร้างอันใดของอัลลอฮฺสามารถอธิบายมันได้เนื่องจากความสวยงามของมัน หลังจากนั้น อัลลอฮฺได้ประทานวะฮีย์แก่ฉันและกำหนดหน้าที่ให้ฉันต้องนมาซห้าสิบเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
เมื่อฉันกลับลงมายังมูชา เขาถามว่า “พระเจ้าของท่านสั่งอะไรแก่อุมมะฮฺของท่าน?" ฉันตอบว่า "นมาซห้าสิบครั้งในกลางวันและกลางคืน” เขากล่าวว่า “กลับไปหาพระเจ้าของท่านและขอพระองค์ให้ทรงลดจำนวนเวลานมาชลงมา เพราะอุมมะฮฺของท่านไม่สามารถปฏิบัติ เพราะฉันได้ทดสอบพวกบนูอิสรออีลแล้ว (และพบว่าพวกเขาอ่อนแอ เกินกว่าที่จะแบกรับภาระอันหนักนี้)”
ฉันจึงได้กลับไปหาพระผู้อภิบาลของฉันและกล่าวว่า “ข้าแต่พระผู้อภิบาล โปรดทำให้มันเบาลงสำหรับอุมมะฮฺของฉัน” พระองค์จึงได้ทรงลดให้แก่ฉัน ห้าครั้ง ฉันลงมาหามูซาอีกและกล่าวว่า “พระองค์ทรงลดให้ฉันห้าครั้ง” มูซากล่าวว่า “อุมมะฮฺจะไม่สามารถแบกรับภาระนี้ได้ กลับไปหาพระผู้อภิบาลของท่านและขอให้พระองค์ทรงลดลงกว่านี้อีก”
ดังนั้น ฉันจึงขึ้นไปและลงมาระหว่างพระผู้อภิบาลของฉันกับมูซาจนกระทั่งพระองค์ทรงกล่าวว่า “มุฮัมมัด มีการนมาซห้าเวลาทุกกลางวันและกลางคืน การนมาซแต่ละครั้งเท่ากับสิบเพื่อที่จะเป็นห้าสิบครั้ง ใครที่มีเจตนาทำความดีและยังไม่ได้ทำ มันจะถูกถือว่าเป็นหนึ่งความดี และถ้าเขาทำตามที่เจตนา มันจะถูกบันทึกไว้เป็นสิบเท่า ส่วนใครที่มีเจตนาทำชั่ว แต่ไม่ได้ทำ มันจะไม่ถูกบันทึกไว้ แต่ถ้าเขาทำชั่วตามที่เจตนา มันจะถูกบันทึกไว้เป็นหนึ่งความชั่ว”
หลังจากนั้น ฉันได้ลงมาและเมื่อมายังมูชา เขากล่าวว่า “กลับไปหาพระผู้อภิบาลของท่านและขอให้พระองค์ทรงลดลงกว่านี้อีก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่านรอซูลุลลอฮฺจึงกล่าวว่า “ฉันกลับไปหาพระผู้อภิบาลของฉัน ครั้งแล้วครั้งเล่าจนฉันรู้สึกละอายพระองค์แล้ว”