ลักษณะที่น่าสนใจของผู้จำอดีตชาติได้

ลักษณะที่น่าสนใจของผู้จำอดีตชาติได้


จากรายการจำแนกผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหมู่บ้านตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์ จะเห็นได้ว่ามีลักษณะพิเศษของผู้ที่จำอดีตชาติได้ที่น่าสนใจอยู่หลายประการ ซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้อาจเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เรา ได้รู้และเข้าใจถึงธรรมชาติการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ได้ ซึ่งผู้เขียนได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลและแสดงข้อที่น่าสังเกตไว้ดังต่อไปนี้ คือ

สาเหตุการเสียชีวิต (Previous Personality’s Mode of Death)

จากรายการจำแนกผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ(Natural Death) เพียง ๓ ราย แต่มีผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ คือเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตเพราะถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า ตายโหง(Violent Death) มากถึง ๑๓ ราย ซึ่งสอดคล้องกันกับข้อมูลกรณีศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ในต่างประเทศ ที่พบว่ามีจำนวนของผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติ มากกว่าผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติป่วยเสียชีวิตหรือเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ

Table 1-1. Previous Personality’s Mode of Death(Actual or Presumed) in solved and Unsolved Casea

ในทางวิชาการ มีนักทฤษฎีจิตวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน ได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะค้นหาปริศนาแห่งความฝัน เช่น ซิกมันด์ ฟอยด์(Sigmund Freud) คาร์ล กุสตาฟ จุง(Carl Gustav Jung) เป็นต้น ซึ่งพวกเขาก็ยังไม่สามารถเข้าถึงคำตอบที่แน่นอนแท้จริงได้ แต่พวกเขาก็มีสมมุติฐานเกี่ยวกับความฝันหลายประการ เช่น ความฝันคือขบวนการของความพยายามที่จะแก้ปัญหาของจิต ความฝันคือความกังวลในใจถ้าไม่มีความกังวลก็จะไม่ฝัน ความฝันสำหรับเด็กคือความกลัว ความดีใจ ความเสียใจ ความอยากได้หรือความต้องการ ความฝันคือการแสดงออกถึงอุปนิสัยของผู้ฝันความฝันเกิดจากแรงจูงใจหรือสิ่งเร้าทั้งจากภายในและภายนอกร่างกายและจิตใจ ความฝันคือขบวนการแจกแจงปัญหาหรือการขจัดสิ่งที่กังวลในใจ ความฝันคือการตอบสนองอารมณ์ในด้านต่าง เป็นต้น ลักษณะของความฝันที่หลายๆคนเคยประสบมาจะมีทั้ง ฝันที่เป็นไปตามความชอบความปรารถนา ฝันที่ขัดแย้งหรือตรงข้ามกับความชอบความปรารถนา ฝันถึงสิ่งที่เคยได้พบเห็นเคยได้ประสบมาก่อน ฝันถึงสิ่งที่ไม่เคยพบเคยเห็นหรือเคยได้ประสบมาก่อน ฝันวิจิตรพิสดาร ฝันว่าได้ไปในสถานที่ที่ไม่เคยพบเห็นหรือเคยไปมาก่อน ฝันว่าได้ไปสวรรค์ไปนรก หรือฝันเรื่อยเปื่อยจับใจความไม่ได้ไม่มีแก่นสารสาระ จะเห็นได้ว่าความฝันนั้นเป็นสิ่งที่หลากหลายละเอียดอ่อนและซับซ้อนเกินกว่าจะหาเหตุผลมาอธิบายได้เพียงพอ และด้วยความหลากหลายละเอียดอ่อนและซับซ้อนของความฝันนี้เอง ทำให้นักจิตศาสตร์บางคนถึงกับสรุปเอาเองว่า ความฝันของคนเรานั้นเป็นเพียงแค่ความฟุ้งซ่านของจิต เป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่ไร้แก่นสารสาระ

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าความฝันจะเป็นสิ่งที่หลากหลายละเอียดอ่อนซับซ้อนและยากที่จะเข้าถึงได้ เนื่องจากความฝันของคนเรานั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุดังที่กล่าวมาแล้ว และปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้อย่างชัดเจนแน่นอน ว่าความฝันในแต่ละครั้งนั้นเกิดจากสาเหตุใด แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ได้ประสบกับเหตุการณ์เชิงประจักษ์เกี่ยวกับความฝันบอกเหตุและความพิเศษของความฝันอยู่เนืองๆ มีทั้งฝันเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าและฝันที่เป็นจริง จึงทำให้ยังไม่สามารถสรุปลงไปได้ว่า ความฝันของคนเรานั้นเป็นแค่เพียงเรื่องเพ้อเจ้อไร้แก่นสารสาระ อย่างที่นักจิตศาสตร์บางคนสรุปไว้ได้

ความฝันที่แสดงถึงลางบอกเหตุล่วงหน้านี้ ท่าน ศาสตราจารย์นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน อดีตหัวหน้าคณะศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้จำอดีตชาติได้ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับความฝันบอกเหตุ และความพิเศษของความฝัน จากการติดตามศึกษาวิจัยผู้จำอดีตชาติได้ทั่วโลก ท่านเรียกความฝันลักษณะนี้ว่า “Announcing Dreams” ซึ่งมีความหมายในภาษาไทยว่า “ความฝันบอกเหตุ” เป็นความฝันลักษณะหนึ่งที่พบว่ามีความสัมพันธ์กันกับการสืบชาติมาเกิดใหม่ของผู้ที่จำอดีตชาติได้ คือ ก่อนที่เด็กที่จำอดีตชาติได้จะเกิดมานั้น พบว่ามีกรณีศึกษาจำนวนมากที่แม่ของเด็กฝันว่าผู้ที่เสียชีวิตมาบอกว่าจะขอมาเกิดด้วยหรือมาบอกว่ามาเกิดด้วยแล้ว และต่อมาปรากฏว่าเด็กที่เกิดมาจำอดีตชาติได้ว่าเป็นผู้เสียชีวิตที่มาเข้าฝันก่อนหน้านี้สืบชาติมาเกิด ซึ่งจากข้อมูลจำนวนมากที่ได้ทำให้คณะที่ทำการศึกษาวิจัยทราบว่าความฝันนั้น เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่สามารถแสดงถึงลางบอกเหตุล่วงหน้าได้ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการสืบชาติมาเกิดใหม่และการจำอดีตชาติได้

ในหมู่บ้านของผู้เขียนการสังเกตเกี่ยวกับความฝันบอกเหตุนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ปู่ย่าตายายท่านบอกต่อๆกันมานานแล้ว เนื่องจากเชื่อกันว่าความฝันนั้นบางครั้งก็สามารถบอกถึงเหตุที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าได้ โดยเฉพาะความฝันที่บอกล่วงหน้าว่าจะมีบุตร หรือความฝันที่บอกล่วงหน้าว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วจะสืบชาติมาเกิด โดยมีหลักในการสังเกตง่ายๆคือ ถ้าผู้หญิงที่กำลังจะตั้งครรภ์หรือตั้งครรภ์แล้วฝันว่าได้เห็น ได้มา รับมา ยินยอม หรือเลือกไว้ซึ่งสัญลักษณ์ สิ่งของ หรือตัวตนบุคคล ที่บ่งบอกถึงเพศชายหรือหญิง บุตรที่เกิดมาก็จะเป็นเพศนั้น เช่น กรณีที่ฝันว่าเก็บสร้อยคอ แหวน เข็มขัด นาฬิกา หรือเครื่องประดับได้ มีผู้นำมาให้ ได้รับ รับมา หรือเลือกไว้ ถ้าหากผู้ฝันจำไม่ได้ว่าสิ่งของเหล่านั้นเป็นลักษณะเครื่องประดับหรือเครื่องใช้ของผู้ชายหรือของผู้หญิงก็บอกได้เพียงว่าจะมีบุตรเท่านั้น แต่ถ้าผู้ฝันจำได้ชัดเจนว่าเป็นลักษณะของผู้ชายหรือของผู้หญิง ก็จะสามารถบอกชัดลงไปได้ว่าบุตรที่เกิดมานั้นจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง กรณีที่ฝันเห็นเป็นคู่สองอย่าง เช่น ฝันว่าเก็บต่างหูและไฟแช็กได้ ซึ่งเป็นลักษณะเครื่องประดับหรือเครื่องหมาย ทั้งของผู้ชายและของผู้หญิง บุตรที่เกิดมาก็จะเป็นแฝดชายหญิง เป็นต้น

กรณีที่ฝันเห็นเป็นตัวตนบุคคล ถ้าฝันเห็นเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ผู้ชายหรือผู้หญิง มาขออยู่ด้วย มาขอเกิดด้วย มาบอกว่ามาเกิดด้วยแล้ว หรือมีคนนำเด็กมาให้เลือก และผู้ฝันได้มา รับมา เลือกไว้ หรือยอมอนุญาต บุตรที่เกิดมาก็จะมีเพศตรงตามที่ฝัน กรณีที่ฝันเห็นเป็นคู่ เช่น คู่ชายกับชาย คู่หญิงกับหญิง หรือคู่ชายหญิง บุตรที่เกิดมาก็จะเป็นคู่แฝดที่มีเพศตรงตามที่ฝัน มีบางกรณีที่ฝันเห็นเป็นตัวตนบุคคลเพศหนึ่งแต่มีการบอกกล่าวว่าจะเกิดมาเป็นเพศตรงข้ามกัน เช่น จากชายเป็นหญิง หรือจากหญิงเป็นชาย

กรณีที่ฝันว่าเห็น ได้มา รับมา เลือกไว้ซึ่งสัญลักษณ์ สิ่งของ หรือตัวตนบุคคลที่บอกล่วงหน้าว่าจะมีบุตรและต่อมามีการตั้งครรภ์จริงๆ แล้วต่อมาได้ฝันอีกว่า สัญลักษณ์ สิ่งของ หรือตัวตนบุคคลที่เห็น ที่ได้มา รับมา เลือกไว้ นั้นได้หายไป จากไป หลุดไป ขาดไป ซึ่งเป็นเครื่องหมายของความพลัดพราก ก็ตีความหมายได้ว่าบุตรที่อยู่ในครรภ์จะแท้ง เป็นต้น ส่วนบางรายผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วมาเข้าฝันบอกว่าจะมาเกิดด้วยหรือมาขออยู่ด้วย ก็ตีความได้ว่าผู้ที่มาเข้าฝันนั้นจะมาเกิดในครรภ์และส่วนใหญ่เด็กที่เกิดมาก็จะจำอดีตชาติได้ด้วย

สำหรับข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับความฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตรนี้ ผู้เขียนได้เริ่มทำการศึกษาและเก็บข้อมูลเบื้องต้นมาบ้างแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๔๓ จนถึงปัจจุบัน โดยการสัมภาษณ์กลุ่มสตรีที่มีบุตรแล้วและกลุ่มสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาอื่นๆจำนวนหนึ่ง เกี่ยวกับความฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตร ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่สตรีที่มีบุตรแล้วหรือสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ จะมีความฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตร ส่วนที่เหลือจะจำไม่ได้ ไม่ได้สังเกต ไม่ได้สนใจ หรือเป็นเพราะไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพบว่าความฝันบอกเหตุไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับชาวไทยที่นับถือศาสนาพุทธเท่านั้น แต่กับผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็พบว่ามีความฝันบอกเหตุในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับการศึกษาความฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตรนี้ ผู้เขียนจะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป

รอยตำหนิบนผิวหนังที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด (Birthmarks)

รอยตำหนิบนผิวหนังที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดของคนเรานั้น ในทางการแพทย์พบว่ามีอยู่หลายลักษณะ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้เป็น รอยตำหนิที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด ที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับบาดแผลและรอยลักษณะอื่นๆของผู้เสียชีวิต ที่ผู้จำอดีตชาติได้ยืนยันว่าเป็นตัวของเขาในอดีตชาติ โดยเฉพาะลักษณะรอยตำหนิที่พบในกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในที่นี้ ได้แก่ รอยแผลเป็น ปาน หรือรอยผื่นแดง ตั้งแต่แรกเกิดที่ตรงกันกับ บาดแผล รอยป้ายศพ หรือรอยลักษณะอื่นๆของผู้เสียชีวิต ที่ผู้จำอดีตชาติได้ยืนยันว่าเป็นตัวของเขาในอดีตชาติ

รอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดที่ตรงกันกับบาดแผลของผู้เสียชีวิต(Scars Corresponding to Wounds on Deceased Persons) จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหนังสือเล่มนี้ มีกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้ ๔ ราย คือรายของ นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์ เด็กชายนพพรใจเร็ว นางเสงี่ยม นันกลาง และ เด็กชายวัชระ ใจเร็ว ที่นอกจากพวกเขาจะพูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติให้กับหลายๆคนได้ประจักษ์แล้ว พวกเขายังมีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดตรงกันกับลักษณะและตำแหน่งบาดแผลของผู้เสียชีวิต ที่พวกเขายืนยันว่าเป็นตัวของเขาในอดีตชาติอีกด้วย และไม่ใช่ตรงกันแค่เพียงแห่งเดียว ในที่นี้มี ๓ ราย ที่มีรอยแผลเป็นและลักษณะความผิดปกติอื่นๆตั้งแต่แรกเกิด ที่ตรงกันกับลักษณะและตำแหน่งบาดแผลของผู้เสียชีวิต มากกว่า ๑ แห่ง คือ กรณีของ เด็กชายนพพร ที่มีรอยแผลเป็นที่ศีรษะด้านหลัง ๑ แห่ง มีติ่งเนื้อคล้ายเนื้องอกในปากบริเวณกระพุ้งแก้มด้านขวา ๑ แห่ง และใบหูด้านขวาพับเข้าผิดปกติคล้ายกับใบหูขาด กรณีของ นายเทเวศน์ ที่มีรอยแผลเป็นที่ศีรษะด้านหลัง ๑ แห่ง และที่ใต้ราวนมด้านขวา ๑ แห่ง กรณีของ นางเสงี่ยม ที่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บริเวณหน้าอก ต้นแขนทั้ง ๒ ข้างและที่บริเวณลำคอมีรอยแผลเป็นรอยเกลียวเชือกรอบลำคอ ส่วนกรณีของ เด็กชายวัชระ ที่มีรอยแผลเป็นที่บริเวณศีรษะด้านหลัง ๑ แห่ง ซึ่งในทางวิชาการถือว่าเป็นกรณีศึกษาที่ น่าเชื่อถือมาก(Strongest case) เนื่องจากมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่สามารถพิสูจน์ทราบและยืนยันความมีอยู่จริงของการสืบชาติมาเกิดใหม่และการจำอดีตชาติได้ของคนเราได้

และจากรอยแผลเป็นของเด็กที่จำอดีตชาติได้ ที่สืบเนื่องมาจากบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตในอดีตชาตินี้เอง ที่ทำให้ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้ของคนเราได้ทราบว่า วิญญาณของผู้เสียชีวิตสามารถนำรอยแผลโดยเฉพาะบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตในอดีตชาติ ติดตัวมาในรูปแบบของรอยแผลเป็นเมื่อเขาได้สืบชาติมาเกิดใหม่ได้ ซึ่งลักษณะดังกล่าวนี้จากการศึกษาพบว่าไม่ได้มีเฉพาะกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ในประเทศไทย ในศาสนาพุทธ หรือในประเทศที่มีความเชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดเท่านั้น

คณะที่ทำการศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้หลายคณะในหลายประเทศทั่วโลก ก็พบเด็กในศาสนาหรือในความเชื่ออื่นๆที่จำอดีตชาติได้และมีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิด ตรงกันกับบาดแผลของผู้เสียชีวิตจำนวนมากเช่นกัน บางกรณีมีหลักฐานทางนิติเวชหรือบันทึกทางการแพทย์ยืนยันความตรงกันอย่างชัดเจน ทำให้ในปัจจุบันนี้คณะที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหลายประเทศ กำลังให้ความสนใจที่จะศึกษาวิจัยเจาะลึก เกี่ยวกับกรณีของรอยตำหนิตั้งแต่แรกเกิดลักษณะดังกล่าวนี้เป็นพิเศษ และผลจากการศึกษาเกี่ยวกับรอยตำหนิและความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดของผู้ที่จำอดีตชาติได้ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอดีตชาตินี้เอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ สามารถทำการติดตามศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ ได้ตั้งแต่แรกเกิดแล้ว โดยการสังเกตจากรอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดของเด็ก ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่าผู้ที่มีแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดเกือบทุกรายจะจำอดีตชาติได้ด้วย มีบางรายเท่านั้นที่ไม่มีข้อมูลเพียงพอเนื่องจากเด็กที่จำอดีตชาติได้เป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด จึงไม่ได้พูดอะไรให้ฟังมากพอที่จะสืบหาที่มาที่ไปของรอยแผลเป็นนั้นๆได้

ปานตั้งแต่แรกเกิดที่ตรงกันกับรอยป้ายศพ (Nevi Corresponding to Marks on Deceased person) ปานที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดนั้นในทางการแพทย์พบว่าเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากผิวหนังบริเวณนั้นมีการสร้างเม็ดสีผิวมากเกินปกติ(Hyperpigmentation) หรือ เกิดจากผิวหนังบริเวณนั้นสูญเสียการสร้างเม็ดสีผิว(Hypopigmentation) เป็นต้น ซึ่งสามารถพบได้ในคนปกติทั่วไป แต่ปานที่จะกล่าวถึงในที่นี้ เป็นปานที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดที่ตรงกันกับรอยตำหนิเครื่องหมายหรือรอยป้ายศพ ที่ญาติของผู้เสียชีวิตได้ทำไว้บนศพของผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นปานที่มีลักษณะคล้ายกันกับปานปกติที่พบทั่วไป แต่แตกต่างกันตรงที่ปานปกติทั่วไปจะมีรูปร่างตำแหน่งและขนาดที่ไม่มีรูปแบบและขอบเขตที่แน่นอน ส่วนปานที่สืบเนื่องมาจากรอยป้ายศพจะมีรูปร่างที่เป็นรูปแบบมากกว่า เช่น เป็นรูปวงกลม เป็นรูปวงรี เป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นทางยาวคล้ายกับใช้นิ้วป้ายเป็นทาง เป็นต้น และขอบรอบๆของปานก็จะไม่มีขอบคดโค้งหรือเป็นรอยหยักที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนกับเครื่องหมายที่เกิดจากความจงใจทำขึ้นมา

จากข้อมูลของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ มีกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้ ๒ ราย คือรายของ เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์ และ นางสาวส้มลิ้ม คงสะโต ที่มีการป้ายศพหรือการทำตำหนิไว้บนศพของผู้เสียชีวิต และต่อมาครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้พบเด็กที่มีปานตั้งแต่แรกเกิด ที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยที่ทำตำหนิไว้บนศพของผู้เสียชีวิต และเมื่อโตขึ้นเด็กคนนั้นก็จำอดีตชาติได้ว่าเป็นผู้เสียชีวิตที่ถูกทำตำหนิไว้สืบชาติมาเกิด ซึ่งในกรณีนี้นับว่าโชคดีที่ครอบครัวของผู้ที่เสียชีวิตได้พบกับเด็กแรกเกิดที่มีปานตรงกันกับรอยตำหนิที่ทำไว้ โดยเฉพาะกรณีของ นางสาวส้มลิ้ม คงสะโต ซึ่งหลังจากที่เสียชีวิตได้ไม่นานผู้เสียชีวิตได้มาเข้าฝันบอกกับแม่ของเธอว่าจะไปเกิดกับใคร เธอได้เกิดในหมู่บ้านเดิม และที่สำคัญคือเธอจำอดีตชาติได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากๆ

สำหรับการทำตำหนิไว้บนศพของผู้เสียชีวิต หรือ การป้ายศพ(Experimental Marking) นั้น เป็นวิธีที่นิยมทำกันมากโดยเฉพาะในประเทศไทยและในประเทศพม่า เนื่องจากมีความเชื่อว่าเมื่อผู้เสียชีวิตได้สืบชาติมาเกิดใหม่อีกครั้งเขาจะนำรอยตำหนินั้นติดตัวมาด้วย สำหรับความเชื่อเกี่ยวกับการป้ายศพนี้สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่เมื่อใดหรือชนชาติใดเป็นผู้เริ่มต้น ในประเทศไทยเรามีหลักฐานปรากฏว่ามีการป้ายศพกันมานานมากแล้ว เช่น

ในประเทศไทยเรามีหลักฐานปรากฏว่ามีการป้ายศพกันมานานมากแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่รัชสมัยของรัชกาลที่ ๓ เช่น กรณีของ จอมพลและมหาอำมาตเอกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) (พ.ศ.2394-2474) ซึ่งท่านเกิดเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2394 ก่อนที่รัชกาลที่ 3 จะเสด็จสวรรคตในวันที่ 2 เมษายน 2394 เพียง 5 วัน ก็มีการป้ายศพและมีการติดตามสังเกตรอยตำหนิบนตัวของเด็กที่เกิดใหม่กันแล้ว

จอมพลและมหาอำมาตเอกเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี

(เจิม แสงชูโต)

ในหนังสือ “ประวัติการของจอมพลและมหาอำมาตเอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี” ที่พิมพ์แจกในงานวันเกิดของท่าน เมื่อปี พ.ศ.2504 เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ได้เขียนเล่าชีวประวัติของตัวท่านเองไว้ว่า ก่อนที่ท่านจะเกิด พี่สาวของท่านที่ชื่อว่า “เหลน” ซึ่งเป็นลูกคนที่ 2 ของครอบครัวได้เสียชีวิตลงด้วยไข้ทรพิษ ขณะอายุได้ 3 ขวบเศษ และ ท่านเอี่ยม คุณยายของท่านได้ใช้เขม่าหม้อ (มินหม้อ) เจิมไว้หรือป้ายไว้ที่หน้าอก พร้อมกับพูดว่า “ถ้าหลานกลับมาเกิดใหม่ ก็ให้มีรอยเขม่าหม้อที่เจิมไว้ที่หน้าอกมาให้ยายเห็น ว่าหลานของยายกลับมาเกิดจริง” หลังจากนั้นเมื่อท่านเกิดมาเป็นลูกคนที่ 4 ของครอบครัว ปรากฏว่าท่านมีรอยปานดำที่หน้าอกตรงกันกับรอยที่คุณยายของท่านเจิมไว้ เพราะเหตุนี้ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ(ทัต บุนนาค) คุณทวดของท่านจึงตั้งชื่อให้ว่า “เจิม” ตามเหตุนิรมิตที่เป็นรอยปานดำที่หน้าอกตรงกันกับรอยที่คุณยายของท่านเจิมไว้นั้น ซึ่งรอยปานดำนั้นยังคงปรากฏให้เห็นเท่านิ้วมือเป็นตำหนิติดตัวจนกระทั่งถึงวันที่ท่านเขียนประวัติการของท่านเอง

อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 คือกรณีของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช

ศาสตราจารย์ (พิเศษ) หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช น้องชายของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ได้เขียนเล่าไว้ในหนังสือ "โครงกระดูกในตู้" ของท่านว่า ท่านพ่อของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช คือ พระองค์เจ้าคำรบ ปราโมช ทรงมีหม่อมคนแรกชื่อ หม่อมผาด ปาลกะวงศ์ มีบุตรชายด้วยกันคนหนึ่งคือ หม่อมราชวงศ์ชาย แต่ตายเสียตั้งแต่เมื่อแรกเกิด พระองค์เจ้าคำรบท่านเสียดายมาก ก็เลยเอาปูนกินหมากสีแดงป้ายไว้ที่ก้นเด็ก แล้วบอกว่า "เกิดมาเป็นลูกพ่อใหม่นะ"

ต่อมาพระองค์เจ้าคำรบท่านมีหม่อมคนที่สอง คือ หม่อมแดง บุนนาค มีบุตรชายด้วยกันคนแรกคือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พอทรงทราบว่าได้บุตรคนแรกเป็นชาย ก็ทรงรีบพลิกดูที่ก้นก็ปรากฏว่าที่ก้นของ ม.ร.ว.เสนีย์ มีปานแดงจริงๆ ตรงกับที่ท่านพ่อเอาปูนหมายไว้ที่ก้นของบุตรชายคนแรกที่ตายไป

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ตามสไตล์ของท่านว่า "เรื่องนี้ใครอยากพิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างไร ก็ขอให้ไปเปิดก้นคุณเสนีย์ดูเอาเองเถิด"

ในหมู่บ้านของผู้เขียน วิธีการทำตำหนิไว้บนศพของผู้เสียชีวิตหรือการป้ายศพนั้น ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ปู่ย่าตายายได้ทำต่อๆกันมานานแล้ว เป็นวิธีการที่ไม่ได้ปฏิบัติกันทุกครั้งที่มีผู้เสียชีวิต แต่จะขึ้นอยู่กับความเห็นและความต้องการของญาติผู้เสียชีวิตเอง ว่าจะทำตำหนิไว้บนศพของผู้เสียชีวิตหรือไม่ ซึ่งไม่มีขั้นตอนอะไรมากนัก

เท่าที่ผู้เขียนเคยเห็น คือเมื่อมีผู้เสียชีวิตญาติๆของผู้เสียชีวิตจะใช้ ปูนสำหรับกินหมากสีแดงหรือมินหม้อสีดำซึ่งหาได้ง่าย ทำตำหนิเครื่องหมายไว้บนศพของผู้เสียชีวิตให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะเชื่อว่าวิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตอาจจะยังอยู่บริเวณนั้นและจะได้รับรู้หรือเห็นการทำตำหนินั้นด้วย ขณะทำตำหนิก็ต้องมีการบอกกล่าวให้ผู้เสียชีวิตได้รับรู้ถึงการทำตำหนินั้นด้วย เช่น เรียกชื่อของผู้เสียชีวิตแล้วบอกว่า “ถ้าเกิดชาติหน้าให้เอารอยนี้ติดตัวมาด้วยนะ” และเลือกตำแหน่งในการทำตำหนิ ที่คาดว่าจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนบนร่างกายของเด็กที่เกิดมาใหม่ เช่น หลังมือ แขน ขา ลำตัว เป็นต้น แต่จะไม่นิยมทำตำหนิบนใบหน้าหรือในส่วนที่จะทำให้เด็กที่เกิดมามีปานที่ดูน่าเกลียดหรือทำให้เสียโฉม ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งที่ได้ผลและไม่ได้ผล บางรายญาติทำตำหนิไว้บนศพของผู้เสียชีวิต เด็กที่เกิดมาจำอดีตชาติได้ว่าเป็นผู้ที่เสียชีวิตสืบชาติมาเกิด แต่ไม่มีปานที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยป้ายศพในอดีตชาติ บางรายเด็กมีปานตรงกันกับรอยตำหนิที่ทำไว้บนศพของผู้เสียชีวิตแต่เด็กจำอดีตชาติไม่ได้ จึงยังไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นผู้เสียชีวิตสืบชาติมาเกิดใหม่จริงหรือไม่ เพราะอาจมีผู้เสียชีวิตรายอื่นที่ญาติทำตำหนิไว้ในตำแหน่งเดียวกันก็ได้

เกี่ยวกับวิธีการป้ายศพนี้ ท่าน อาจารย์สุตทยา วัชราภัย ซึ่งเคยทำงานร่วมกับคณะศึกษาวิจัยผู้ที่จำอดีตชาติได้จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้กรุณาให้คำแนะนำเพิ่มเติมกับผู้เขียนเกี่ยวกับวิธีการป้ายศพว่า วิธีการป้ายศพนั้นถ้าจะให้ได้ผลจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆดังต่อไปนี้คือ การเลือกใช้วัสดุที่เมื่อทำตำหนิแล้วสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ระยะเวลาที่ป้ายศพจะต้องทำหลังจากที่เสียชีวิตไม่นาน การบอกกล่าวให้วิญญาณได้รับรู้ถึงการทำตำหนินั้นๆ และการบันทึกลักษณะและตำแหน่งที่ทำการป้ายเพื่อที่จะนำไปใช้ในการพิสูจน์เปรียบเทียบต่อไปในอนาคต ซึ่งลักษณะของปานที่ปรากฏจะมีหลายลักษณะ เช่น ปานแดง ปานดำ ปานขาว เป็นต้น ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับสีของวัสดุที่ใช้ในการทำตำหนิ แต่ก็มีหลายกรณีที่เด็กมีปานที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยป้ายศพแต่สีไม่ตรงกับสีของวัสดุที่ใช้ป้าย เช่น ใช้ปูนแดงป้ายศพแต่เด็กที่จำอดีตชาติได้มีปานสีดำจางๆค่อนไปทางสีเขียว เป็นต้น ส่วนวัสดุที่ใช้ในการทำตำหนินั้นก็มีหลายชนิดตามแต่จะนิยมกัน เช่น ปูนกินหมากสีแดง มินหม้อ ลิปสติก ปากกาเคมี เป็นต้น มีอยู่รายหนึ่งญาติของผู้เสียชีวิตใช้ปูนกินหมากสีแดงป้ายไปบนศพ แต่เกรงว่าสีจะไม่ชัดเจนจึงใช้ลิปสติกสีแดงเข้มทาทับไปอีกครั้ง ปรากฏว่าเด็กที่เกิดมาจำอดีตชาติได้ว่าเป็นผู้ที่เสียชีวิตสืบชาติมาเกิด และมีปานซึ่งมีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยตำหนิที่ทำไว้บนศพของผู้เสียชีวิตพอดี คือมีสีชมพูและสีแดงเข้มซ้อนทับกัน สำหรับสีของปานที่ปรากฏนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสีของมันอาจจะจางลงได้ บางรายสีของปานนั้นจางลงจากสีดำจางๆค่อนไปทางสีเขียวจนกลายเป็นสีขาวเลยก็มี

ส่วนผู้เขียนเองเห็นว่า การป้ายศพนั้นนอกจากจะต้องคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุที่จะใช้ทำตำหนิ ระยะเวลาที่ป้ายศพ และการบอกกล่าวให้วิญญาณได้รับรู้ถึงการทำตำหนินั้นๆแล้ว ยังต้องขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่นๆอีก เช่น วิญญาณยังอยู่บริเวณนั้นหรือไม่ วิญญาณได้รับรู้การทำตำหนิหรือไม่ วิญญาณได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ เกิดในหมู่บ้านเดิมหรือไม่ เกิดมาแล้วจำอดีตชาติได้หรือไม่ เป็นต้น เพราะลำพังการป้ายศพอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตได้พบกับผู้สืบชาติมาเกิดใหม่ที่มีปานตรงกันกับรอยป้ายศพที่ทำไว้ได้ ถึงแม้ว่าจะได้พบเด็กแรกเกิดมีปานที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยที่ทำตำหนิไว้ แต่ถ้าเด็กคนนั้นจำอดีตชาติไม่ได้ เราก็คงไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นผู้ที่เสียชีวิตสืบชาติมาเกิดจริงหรือไม่ หรือถ้าเขาไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เขาไปเกิดในหมู่บ้านห่างไกลหรือไปเกิดในท้องถิ่นที่ไม่เชื่อในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็อาจจะหากันไม่พบก็ได้ แต่การทำตำหนิไว้ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะถ้าหาก ว่าเด็กที่เกิดมาสามารถจำอดีตชาติได้ และมีปานตั้งแต่กำเนิดที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยตำหนิที่ทำไว้บนศพของผู้เสียชีวิตด้วย ก็จะมีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมที่สามารถยืนยันการมีอยู่จริงของการสืบชาติมาเกิดใหม่และการจำอดีตชาติได้

รอยลักษณะอื่นๆที่ตรงกันกับบาดแผลหรือรอยอื่นๆของผู้เสียชีวิต จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ มีกรณีของเด็กที่จำอดีตชาติได้ที่มีรอยตำหนิลักษณะอื่นตั้งแต่แรกเกิดตรงกันกับบาดแผลของผู้เสียชีวิต ที่ไม่ใช่รอยแผลเป็นหรือปาน ๒ ราย คือรายของ เด็กชายพลวัฒน์จุลโพธิ์ ที่มีรอยผื่นแดงเป็นจุดๆบริเวณใบหน้า ตรงกันกับลักษณะผื่นแดงที่ใบหน้าของนายเหยย ขณะที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และ เด็กชายวรวัฒน์ เจริญพร้อม ที่มีรอยผื่นแดงเป็นรูปตัว “V” ที่บริเวณหน้าผากตั้งแต่แรกเกิดตรงกันกับบาดแผลที่กะโหลกศีรษะแตกจากอุบัติเหตุในอดีตชาติที่เป็น พลฯสมหมาย เจริญพร้อม ซึ่งกรณีของเด็กชายวรวัฒน์นี้มีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่พบคือ เขามีขวัญอยู่ที่บริเวณหน้าผากด้านขวาตำแหน่งเดียวกันกับรอยแผลเป็นของ พลฯสมหมาย ซึ่งเป็นบาดแผลที่พลฯสมหมายเคยจำอดีตชาติได้ว่าเป็นรอยแผลที่เขาถูกยิงเสียชีวิตเมื่อชาติก่อนหน้านี้ นับว่าเป็นข้อมูลใหม่ที่ปรากฏว่ามีลักษณะเครื่องหมายความผิดปกติที่สามารถภพข้ามชาติมาถึง ๒ ชาติได้ ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนลักษณะรูปแบบไปจากเดิมก็ตาม

นอกจากรอยตำหนิและความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดในลักษณะต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ จากการศึกษาวิจัยในต่างประเทศยังพบว่ามีรอยตำหนิและรอยแผลเป็นลักษณะอื่นอีก ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับอดีตชาติ เช่น ปานที่สืบเนื่องมาจากรอยฟกช้ำในอดีตชาติ ปานที่สืบเนื่องมาจากรอยเลือดที่ปรากฏบนศพของผู้เสียชีวิตในอดีตชาติ หรือรอยแผลเป็นหรือปานที่ไม่ได้สืบเนื่องมาจากรอยแผลที่เกิดขึ้นขณะที่เสียชีวิต บาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตในอดีตชาติ หรือรอยป้ายศพ แต่เป็นรอยแผลเป็นที่ตรงกันกับรอยแผลเป็น ปาน รอยสัก ที่ผู้เสียชีวิตเคยมีอยู่ก่อนแล้ว และผู้เสียชีวิตมีความตั้งใจว่าถ้าเขาเสียชีวิตไปแล้วและได้สืบชาติมาเกิดใหม่ เขาจะนำเอาแผลเป็นหรือปานที่อยู่บนตัวเขานั้นติดตัวมาด้วย เพื่อให้คนในครอบครัวได้รู้ว่าเป็นตัวเขาสืบชาติมาเกิด เหมือนอย่างกรณีของ นายวิลเลียม ยอร์ช จูเนียร์ ผู้จำอดีตชาติได้จากรัฐอลาสก้าสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

มีกรณีหนึ่งในหมู่บ้านตะคร้อซึ่งเป็นกรณีที่ครอบครัวทั้งในอดีตชาติและครอบครัวในปัจจุบันชาติ ไม่อนุญาติให้ผู้เขียนเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ เด็กมีรอยตำหนิตรงกันกับร่องรอยที่ศพของผู้เสียชีวิตถึง 6 รอย 6 ตำแหน่ง 5 รอยตรงกันกับบาดแผลกระสุนปืนที่เขาถูกยิงจากด้านหลัง และด้านข้างลำตัว ส่วนอีก 1 รอยนั้นเกิดจากหมึกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเผลอทำเลอะไว้ที่บริเวณหน้าผากของศพผู้เสียชีวิต เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่ปรากฏว่ารอยบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตนั้น มีความชัดเจนน้อยกว่ารอยหมึกที่ติดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

และมีหลายกรณีที่ผู้เสียชีวิตมีร่องรอยต่างๆและร่องรอยบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิตหลายแห่ง แต่พบว่าเด็กที่จำอดีตชาติได้ไม่ได้มีรอยต่างๆดังกล่าวติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิดครบทุกรอย เช่น ผู้เสียชีวิตมีรอยกระสุนปืนเข้าและรอยแผลออก แต่เด็กที่จำอดีตชาติได้มีรอยตำหนิแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด ตรงกันกับรอยบาดแผลกระสุนเข้าเพียงรอยเดียว แต่รอยกระสุนออกไม่มี เป็นต้น และจากประเพณีการป้ายศพในประเทศพม่าและในบางประเทศ ที่นิยมป้ายหรือทำเครื่องหมายไว้บนร่างกายของผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บที่ยังสามารถรับรู้ได้ ก่อนที่จะเสียชีวิต และปรากฏว่ามีรอยนั้นติดตัวเด็กที่จำอดีตชาติได้มาตั้งแต่แรกเกิดได้ด้วย

เมื่อทำการวิเคราะห์จากข้อมูลลักษณะของการสืบทอดข้ามชาติของร่องรอยต่างๆ ทั้งกรณีศึกษาในประเทศไทยและในต่างประเทศดังกล่าว ผู้เขียนมีสมมุติฐานเกี่ยวกับรอยตำหนิที่สืบทอดข้ามชาติว่า

"รอยป้ายศพ ร่องรอยบาดแผลรอยฟกช้ำต่างๆบนร่างกายหรือบนศพของผู้เสียชีวิต ที่สามารถสืบทอดหรือสามารถปรากฏเป็นรอยตำหนิบนผิวหนัง(Birthmarks) หรือความบกพร่องทางร่างกาย(Birth Defects) ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของเด็กทารกนั้น เกิดจากพลังอำนาจหรือความสามารถของจิตหรือวิญญาณ ที่สามารถทำให้เกิดร่องรอยและความบกพร่องทางร่างกายต่างๆขึ้นกับร่างกายของเด็กทารก ซึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ ความคิด ความเข้าใจ ความสะเทือนใจ ความฝังใจ ความตั้งใจ ความจงใจ หรือการเลือกที่จะจดจำ ของจิตหรือวิญญาณผู้เสียชีวิตโดยตรง"

หลักฐานที่สนับสนุนสมมุติฐานนี้ ก็คือ การพรางตัวเพื่อหลบซ่อนหรือเพื่อล่าเหยื่อของสัตว์ชนิดต่างๆ เช่น ตั๊กแตนใบไม้ กิ้งก่า ตุ๊กแก อีกัวน่า กบ เขียด หมึก ปลา เป็นต้น สัตว์เหล่านี้ใช้ความคิด ใช้ภาพที่มันมองเห็นจากสภาพแวดล้อม มาเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของร่างกายให้มีสีสันและลักษณะเหมือนหรือใกล้เคียงกับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของพวกมัน เหล่านี้คือหลักฐานที่สนับสนุนสมมุติฐานที่ว่า ความคิด จิต หรือวิญญาณนั้น มีอิทธิพลเหนือร่างกาย สามารถทำให้เกิดร่องรอยบนผิวหนัง ทำให้เกิดความบกพร่องทางร่างกาย หรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อยีน ต่อโครโมโซมได้

ความบกพร่องที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด (Birth Defects)

สำหรับอาการหรือโรคที่เกิดจากความบกพร่องและความผิดปกติทางร่างกายที่มีมาตั้งแต่แรกเกิดในเด็กนั้น ทางการแพทย์พบว่ามีอยู่หลายลักษณะ แต่ที่จะกล่าวถึงในที่นี้เป็นอาการความผิดปกติทางร่างกายตั้งแต่แรกเกิดของผู้ที่จำอดีตชาติได้ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้เสียชีวิตในอดีตชาติ โดยเฉพาะอาการความผิดปกติที่พบจาก ๑๖ กรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ในที่นี้ ได้แก่ อาการบาดเจ็บและอาการป่วยของผู้ที่จำอดีตชาติได้ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับอาการบาดเจ็บหรืออาการป่วยที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เสียชีวิตในอดีตชาติ

จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหนังสือเล่มนี้ มีกรณีที่เด็กมีอาการความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับลักษณะอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ทำให้เสียชีวิตในอดีตชาติ ๑ ราย คือรายของ เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย ที่บริเวณตาตุ่มเท้าขวาด้านในยุบลงไปผิดปกติและมีอาการปวด เหมือนกับลักษณะอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่ทำให้ นายสายนต์ เต็มหัตถ์ เสียชีวิตในอดีตชาติ และมีกรณีที่เด็กมีความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับอาการป่วย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตในอดีตชาติ ๑ ราย คือรายของ เด็กชายเจษฎา เต็มหัตถ์ ที่มีอาการท้องอืด ท้องบวม ตัวเขียวคล้ำตั้งแต่แรกเกิด เหมือนกับอาการป่วยของที่ทำให้ นายน้อย ใจเกื้อ เสียชีวิตในอดีตชาติ

จากการศึกษาวิจัยผู้จำอดีตชาติได้ในต่างประเทศพบว่า อาการความผิดปกติเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับบุคคลในอดีตชาติหรือผู้เสียชีวิตจริง เนื่องจากพบผู้ที่จำอดีตชาติที่มีอาการความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดคล้ายกันกับ อาการบาดเจ็บหรืออาการป่วยของผู้ที่เสียชีวิตในอดีตชาติจำนวนมาก

จำเหตุการณ์หลังจากเสียชีวิตได้

จากข้อมูลการศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ มีผู้ที่จำอดีตชาติได้ถึง ๗ รายที่จำเหตุการณ์หลังจากเสียชีวิตได้ คือ

กรณีของ นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์ ซึ่งหลังจากเสียชีวิตเขาได้เห็นว่าใครคือคนร้ายที่ซุ่มยิงเขา

กรณีของ เด็กชายนพพร ใจเร็ว ซึ่งหลังจากที่เขาถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเขาเห็นว่าคนร้ายทั้ง ๒ คนเป็นใครและวิ่งหนีไปทางไหน หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหนแต่มีบ้าน มีผู้คนอยู่กันมาก บางคนแต่งตัวดี มีบ้านหลังใหญ่ มีบริวารคอยรับใช้ และมีอาหารการกินเพียบพร้อม แต่ตัวเขาเองเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ใส่เสือผ้าเก่าๆขาดๆ อาศัยอยู่ในห้องแถวเก่าๆสกปรกและไม่มีอาหารกิน เวลาหิวก็ต้องแอบไปขโมยอาหารของคนอื่นมากิน เขาจับได้ก็นำตัวไปขังล่ามโซ่ไว้ให้อดข้าวอดน้ำทั้งหิวทั้งทรมาน เมื่อเขาปล่ก็แย่งไม่ทันพวกนกกับพวกสุนัขอีก จึงต้องไปหากินเศษอาหารที่เขาเททิ้งตามบ้านเรือน ความเป็นอยู่ในขณะนั้นแสนจะลำบากและทรมาน เขามีชีวิตอยู่ในสภาวะนั้นนานถึง ๑๘ ปี จึงได้มาเกิดใหม่

กรณีของ เด็กชายอดิศร สุขโภชน์ ซึ่งหลังจากที่เขาถูกคนร้ายรุมทำร้ายทุบตีจนเสียชีวิต เขาได้เห็นว่ากลุ่มคนร้ายได้นำร่างของเขายัดใส่กระสอบแล้วช่วยกันหามไปไว้ท้ายรถกระบะแล้วขับออกจากหมู่บ้านไป กลุ่มคนร้ายได้ขับรถวกไปเวียนมาอยู่เป็นเวลานานจนมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งกลุ่มคนร้ายได้นำร่างของเขาทิ้งไว้ เขาบอกว่าก่อนที่กลุ่มคนร้ายจะจากไปคนร้ายคนหนึ่งได้ใช้มีดปาดคอของเขาเลือดไหลเย็นเจี๊ยบเลย จากนั้นคนร้ายก็พากันออกไป และในคืนต่อมาคนร้ายก็ได้กลับมาอีกครั้งและทำการเผาศพของเขาเพื่อทำลายหลักฐาน

กรณีของ เด็กชายฤทธิ์ไกร โนนน้อย ซึ่งหลังจากเสียชีวิตเขาได้เห็นร่างของตัวเองนอนอยู่ เห็นเพื่อนมาช่วยยกรถจักรยานยนต์ที่ทับร่างของเขาออก ได้เห็นแม่ของเขาพาร่างของเขาส่งโรงพยาบาลและเห็นแม่ร้องไห้ด้วย จากนั้นเขาได้ไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งเขาถูกจับไปขังและล่ามโซ่ไว้ มีคนใช้มีดเฉือนเนื้อของเขาออกทีละชิ้นๆแล้วเอาเกลือทา ตอนนั้นเขาไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนใดๆได้เลย เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานมาก ต่อมาคนพวกนั้นได้เอาเนื้องูมาปะแทนเนื้อของเขาที่ถูกเฉือนออกไป แล้วจึงปล่อยให้เขามาเกิดใหม่

กรณีของ นางเสงี่ยม นันกลาง ซึ่งหลังจากที่เธอเสียชีวิตเธอได้เห็นว่าสามีของเธอเช็ดทำความสะอาดเลือดที่ร่างของเธอและรอยเลือดบนพื้นบ้านออก เพื่ออำพรางว่าเธอฆ่าตัวตายเอง จากนั้นก็จัดหาบข้าวเปลือกไว้ทำทีว่าเธอกำลังจะตามไปทุ่งนาทีหลัง จากนั้นสามีของเธอก็ต้อนควายออกจากบ้านไป

กรณีของ เด็กชายวรวัฒน์ เจริญพร้อม ซึ่งหลังจากเสียชีวิต เขาได้ไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งไม่ใช่โลกมนุษย์นานถึง ๔ ปี เป็นเพิงพักเล็กๆ มีคนเอาข้าวมาให้กินพอเขาจับมันกลายเป็นผัดกะเพรา มีคนเอาลาบมาให้กินแต่พอเขาจะกินมันก็กลายเป็นหนอน เมื่อกินข้าวเสร็จแล้วมีคนนำเขาไปลงกระทะทองแดงน้ำเดือดร้อนแต่ไม่ตาย แล้วมีคนใหญ่มาดึงเขาขึ้นมาจากกระทะทองแดง แล้วขับให้เขาปีนต้นงิ้วซึ่งมีอีกาบินอยู่ข้างบนเต็มไปหมด เขาได้ไปเห็นญาติที่เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว ได้ไปเล่นกับเพื่อนที่เสียชีวิตพร้อมกัน เขาเคยไปเข้าฝันขอมาเกิดกับเพื่อนบ้านแต่เขาไม่ให้เกิดด้วย และ

กรณีของ นางสุรางคนา วันที ซึ่งหลังจากเสียชีวิตวิญญาณของพวกเธอก็ได้สิงสถิตอยู่ที่ซากเรือนั้นมานานหลายร้อยปี ต่อมาลำน้ำบริเวณนั้นตื้นเขินขึ้นก็ได้มีต้นมะม่วงเกิดขึ้นมา ซึ่งเกิดจากลูกมะม่วงที่พวกเธอเคยใช้เป็นเสบียงอาหารระหว่างเดินทางในครั้งนั้นนั่นเอง ตอนนั้นวิญญาณของเธอและครอบครัว ได้สิงสถิตอยู่ที่ต้นมะม่วงต้นนั้นต่อมาอีกหลายร้อยปี ต่อมาพ่อของเธอได้จุติไปเกิดก่อน จึงเหลือแต่เธอน้องชายและแม่ของเธอที่ยังเป็นวิญญาณสิงสถิตอยู่ที่ต้นมะม่วงต้นนั้น ขณะที่เธอเป็นวิญญาณอยู่นั้น มีอยู่คืนหนึ่งมีคนพาหมอผีมาทำพิธีเพื่อที่จะขุดสมบัติของพวกเธอพวกเขามากัน ๓ คน เป็นพวกกำนันจากหมู่บ้านอื่นตอนนั้นหมอผีได้เสกน้ำมนต์สาดใส่หน้าแม่ของเธอจนเสียโฉมเน่าเฟะไปหมด แต่พวกเธอก็ได้ทำให้พิธีนั้นล่ม และต่อมาเธอกับแม่ของเธอก็ไปบีบคอ ๒ ในสามคนนั้นจนตาย สำหรับสภาพความเป็นอยู่ของพวกเธอ ตอนที่ยังเป็นวิญญาณอยู่นั้นลำบากมาก ทุกวันพระหรือวันทำบุญตามประเพณีต่างๆแม่ของเธอจะพาเธอกับน้องชายมารอรับส่วนบุญและอาหารที่คนทำบุญโดยโดยไม่เจาะจงว่าจะอุทิศให้ใครที่วัดในหมู่บ้าน วันหนึ่งขณะที่พวกเธอมารอรับส่วนบุญที่วัดเหมือนเคย เธอได้เห็นพ่อในปัจจุบันชาติของเธอ ยืนพูดไมโครโฟนอยู่บนศาลาวัดก็รู้สึกชอบและอยากมาเกิดกับพ่อ ต่อมาเธอเห็นพ่อในปัจจุบันชาติมานอนหลับอยู่ใต้ต้นมะม่วงที่เธอสิงสถิตอยู่ วิญญาณของเธอจึงเกาะท้ายรถจักรยานยนต์ของพ่อไปที่บ้านพักครู แต่ตอนนั้นเธอตามเข้าไปในบ้านไม่ได้เพราะมีคนตัวใหญ่ ๒ คนยืนถือกระบองอยู่หน้าบ้าน เธอจึงเข้าไปอยู่ในโพรงต้นมะขามซึ่งอยู่หน้าบ้าน ต่อมาเธอเห็นแม่ในปัจจุบันชาติของเธอตามกระรอกตัวหนึ่งออกมาที่หน้าบ้าน กระรอกตัวนั้นได้วิ่งเข้าไปในโพรงต้นมะขามที่เธออยู่ แม่ของเธอเอามือล้วงเข้ามาในโพรงไม้ แม่ล้วงมาโดนตัวของเธอแม่ตกใจคิดว่าเป็นงู จังหวะนั้นเธอก็โดดเกาะหลังแม่ของเธอแล้วก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกครั้งก็เกิดมาเป็นลูกของแม่ในปัจจุบันชาติแล้ว

สำหรับประสบการณ์และความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายนั้น จากข้อมูลการศึกษาพบว่าไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ที่จำอดีตชาติได้ทุกคน บางรายไม่มีการพูดถึงประสบการณ์หลังความตายเลยคือหลังจากเสียชีวิตพวกเขาก็ไม่รู้สึกตัวมารู้สึกตัวอีกทีก็เกิดมาแล้ว บางรายมีประสบการณ์ชีวิตหลังความตายเป็นเวลานาน บางรายได้ไปในสถานที่ซึ่งไม่มีอยู่บนโลกมนุษย์ และบางรายก็มีประสบการณ์วิจิตรพิสดารเกินกว่าที่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะสามารถตามไปพิสูจน์ให้รู้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมได้

ซึ่งประสบการณ์และความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายนี้ไม่ได้มีเฉพาะแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ในต่างประเทศก็พบผู้จำอดีตชาติได้ที่พูดถึงประสบการณ์ชีวิตหลังความตายให้ฟังเช่นกัน เช่น

กรณีของ นางมาร์ธา ลอเรนซ์ (Marta Lorenz) ผู้จำอดีตชาติได้จากประเทศบราซิล ซึ่งหลังจากเสียชีวิตแล้วเธอได้เห็นว่าศพของเธอใส่ชุดสีขาว และมีของบางอย่างวางอยู่เหนือศีรษะ และเธอเห็นพ่อในปัจจุบันชาติของเธอไปร่วมงานศพของเธอในอดีตชาติด้วย

กรณีของ นายเอช เอ วิชรัตนี (H.A.Wijeratne) ผู้จำอดีตชาติได้จากประเทศศรีลังกา ซึ่งเขาจำได้ว่าในชาติก่อนเขาได้ฆ่าเจ้าสาวของตัวเองในวันแต่งงาน ต่อมาเขาถูกลงโทษประหารชีวิต เขาจำได้ว่าเมื่อเขาถูกแขวนคอเชือกรัดแน่นขึ้น แล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวเองตกลงไปกลางหลุมเพลิง จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกทีก็อายุได้ประมาณ ๒ ขวบแล้ว

กรณีของ นายระวี ชางการ์ (Ravi Shankar) ผู้จำอดีตชาติได้จากประเทศอินเดีย ซึ่งเขาจำได้ว่าเมื่อชาติก่อนเขาถูกคนร้าย ๒ คน ฆ่าตายตัดคอแล้วเอาตัวไปฝังที่หาดทราย และ

กรณีของ นายชาสพีระ ลาล ชัต (Jasbir) ซึ่งกรณีนี้แปลกกว่ากรณีอื่นๆที่พบคือเป็นการที่วิญญาณของหนุ่มวัย ๒๒ ปี ที่เสียชีวิตเพราะถูกลูกหนี้วางยาพิษจนหน้ามืดตกจากเกวียนลงมาเสียชีวิตแล้วเข้ามาสวมร่างของเด็กวัย ๓ ขวบ ๖ เดือน ที่เสียชีวิตด้วยโรคไข้ทรพิษหรือฝีดาษ เขาเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เขาเสียชีวิตเขาได้ไปพบกับพระรูปหนึ่ง พระรูปนั้นบอกให้เขาไปเข้าร่างของเด็กชายชาสพีระ

สำหรับรายละเอียดเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของทั้ง ๔ กรณีนี้เป็นข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในหนังสือ ชื่อ Twenty Cases Suggestive of Reincarnation เป็นรายงานการศึกษาวิจัยผู้จำอดีตชาติได้ เขียนโดย ศาสตราจารย์นายแพทย์ เอียน สตีเวนสัน แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย และพบอยู่ในหนังสือ 23 ผู้กลับมาเกิดใหม่ ซึ่งแปลความมาจากหนังสือ Twenty Cases Suggestive of Reincarnation และผู้เรียบเรียงได้เพิ่มเรื่องราวกรณีของผู้จำอดีตชาติได้ในประเทศไทยอีก ๓ ราย รวมเป็น ๒๓ ราย ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดย คุณเต็ม สุวิกรม

สำหรับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายในทางพุทธศาสนานั้นมีมานานกว่า ๒๕๐๐ ปี แล้ว โดยมีคำสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าในยามที่มีชีวิตปกติจิตหรือวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายนั้นมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีเว้นว่างแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว คือมีการเกิดดับต่อเนื่องกันอย่างไม่ขาดสาย เมื่อจิตดวงหนึ่งดับจิตดวงใหม่ก็เกิดขึ้นในทันทีโดยอาศัยเหตุปัจจัยของจิตดวงเก่าในการสืบเกิด ต่อๆกันไป นับแสนนับล้านครั้งต่อวินาที จิตดวงใหม่นั้นไม่ใช่เป็นอันเดียวกันกับจิตดวงเก่าเพียงแต่อาศัยเหตุปัจจัยจากจิตดวงเก่าจึงเกิดมีเกิดเป็นขึ้นมาได้ และเมื่อสัตว์ทั้งหลายได้จุติตายดับจากภพหรือสภาวะนั้นๆแล้ว จิตหรือวิญญาณจะถือกำเนิดขึ้นในทันทีอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายไม่สภาวะใดก็สภาวะหนึ่ง หรือในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่ง ในกรณีที่มีความเข้าใจกันว่าขณะที่เสียชีวิต ผู้เสียชีวิตรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณได้ออกจากร่างนั้น ในทางพุทธศาสนาถือว่าลักษณะดังกล่าวเป็นการเกิดใหม่ในสภาวะหนึ่ง เรียกว่า “โอปปาติกะ” คือ พวกที่มีกำเนิดเป็นตัวตนขึ้นมาเองในทันทีทันใด โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เช่น เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต หรือสภาวะที่เรียกว่าภูตผีปีศาจวิญญาณ(แล้วแต่จะเรียก) เป็นต้น

กำเนิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายในภพหรือสภาวะต่างๆนั้น ในทางพุทธศาสนาว่า มี ๔ ลักษณะ คือ

๑. ชลาพุชะ สัตว์ที่เกิดในครรภ์ เช่น ในครรภ์ของมนุษย์ ในครรภ์ของสัตว์เดรัจฉานที่ ออกลูกเป็นตัว เป็นต้น

๒. อัณฑชะ สัตว์ที่เกิดในไข่ เช่น ไก่ นก เป็ด งู เป็นต้น

๓. สังเสทชะ ในพระไตรปิฎก แปลว่า สัตว์ที่เกิดในไคล คือ เกิดในของชื้นแฉะหมักหมมเน่าเปื่อย (ผู้เขียน แปลว่า เป็นการเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันกับเหงื่อของคนเรา คือ แบ่งแยกออกจากกายเดิม เกิดจากกายเดิม มาจากกายเดิม เป็นส่วนหนึ่งของกายเดิม เช่น การแบ่งตัวของแบคทีเรีย การแบ่งตัวของไฮดร้า การเพาะเนื้อเยื่อ การโคลนนิ่ง เป็นต้น)

๔. โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้น คือ พวกที่มีกำเนิดเป็นตัวตนขึ้นมาเองในทันทีทันใด โดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เช่น เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต สภาวะที่เรียกว่า ภูต ผี ปีศาจ วิญญาณ เป็นต้น (บาลีว่า : รวมทั้งมนุษย์บางพวก อาจหมายถึง กรณีของการเกิดแบบการสวมร่าง หรืออาจหมายถึงมนุษย์ใน ชมพูทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป และอมรโคยานทวีป เป็น ๔ ทวีปที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก)

มีคำถามว่าแล้วเราจะนับชีวิตหลังความตายในขณะที่อยู่ในสภาวะวิญญาณหรือในสภาวะอื่นๆ เป็นชาติกันอย่างไร ? การนับชาติในทางพุทธศาสนานั้นจะไม่นิยมนับตามการเกิดดับของวิญญาณชั่วขณะจิต แต่จะนับชาติในขณะถือกำเนิดอยู่ในภพใดภพหนึ่งใน ๓๑ ภพภูมิ เช่น เกิดเป็นมนุษย์นับตั้งแต่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาจนถึงวินาทีที่เสียชีวิต นับเป็นหนึ่งชาติ เมื่อตายไปแล้วถือกำเนิดเป็นเปรตหรือโอปปาติกะซึ่งเกิดมีเกิดเป็นขึ้นทันทีทันใดโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่เป็นสภาวะหนึ่งในอบายภูมิจนกระทั่งจุติดับจากเปรต ก็นับเป็นอีกชาติหนึ่ง เมื่อดับจากสภาวะเปรตไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ซึ่งเป็นโอปปาติกะเหมือนกันจนกระทั่งจุติดับจากเทวดา ก็นับเป็นอีกชาติหนึ่ง เมื่อดับจากสภาวะเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์จนกระทั่งเสียชีวิต ก็นับเป็นอีกชาติหนึ่ง เป็นต้น ในสมัยพุทธกาลนั้นมีแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์และพระสงฆ์ที่ได้องค์ฌานขั้นสูงเท่านั้น ที่บอกได้ว่าบุคคลผู้นั้นมีกำเนิดในสภาวะหรือภพภูมิอื่นใดบ้างที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ ต่อมาภายหลังจนถึงปัจจุบันพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติจนได้องค์ฌานขั้นสูงมีน้อยลง จึงหาผู้ที่รู้เห็นผู้ที่ถือกำเนิดในภพอื่นๆที่ไม่ใช่โลกมนุษย์ได้ยาก จึงไม่นิยมนับชาติของผู้ที่ไปเกิดในสภาวะหรือในภพอื่นที่ไม่ทราบแน่ชัด จะนับก็แต่เฉพาะกรณีที่ตายเกิดอยู่ในโลกนี้เท่านั้น

ส่วนในทางวิชาการนั้นเนื่องจาก กระบวนการ เครื่องมือ และเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตามไปพิสูจน์สภาวะ(ภพภูมิ)เหล่านั้นได้เช่นกัน จึงกำหนดการนับชาติตามที่มีกำเนิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้เท่านั้น เช่น นาย “ก” เกิดมาแล้วเสียชีวิต ไปเกิดอยู่ในสภาวะ(ภพ)อื่นซึ่งอาจเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ระยะหนึ่ง แล้วสืบชาติมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งเป็น นาย “ข” ในชาตินี้ ในกรณีนี้เราไม่ได้นับว่าเขาเกิดมาแล้ว ๓ ชาติ แต่เรานับแค่เพียง ๒ ชาติ คือชาติที่เคยเกิดเป็นนาย “ก” และที่เกิดเป็น นาย “ข” เท่านั้น ส่วนช่วงที่อยู่ในสภาวะวิญญาณนั้นไม่นับเป็นชาติเพราะไม่ทราบว่าเป็นภพภูมิใด

จากข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ที่จำอดีตชาติที่จำเรื่องราวชีวิตหลังความตายได้ พบว่าชีวิตหลังความตายของแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกัน คือ มีความเป็นอยู่ มีกำเนิด ไปอยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน และมีอายุในแต่ละสภาวะไม่เท่ากัน บางรายเมื่อเสียชีวิตไปแล้วก็ไปเกิดเป็นทารกในครรภ์เลยทันทีโดยไม่ผ่านช่วงที่เป็นโอปปาติกะ บางรายเสียชีวิตไปแล้วได้ไปเกิดในอีกสภาวะ(ภพ)หนึ่งที่เรียกว่าโอปปาติกะ หรือสภาวะที่เรียกว่าภูต ผี ปีศาจ วิญญาณ แล้วแต่จะเรียกกัน และมีอายุหรือมีเวลาในสภาวะนั้นนานบ้างไม่นานบ้าง โอปปาติกะบางรายเป็นวิญญาณสิงสถิตอยู่บริเวณที่เสียชีวิตนั้นเป็นเวลานาน บางรายนานนับพันปี จึงได้สืบชาติมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง บางรายล่องลอยท่องเที่ยวไปเรื่อยๆ บางรายก็เที่ยวไปปรากฏตัวให้คนอื่นเห็น บางรายมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี มีบ้านมีอาหารการกินสมบูรณ์มีข้าทาสบริวาร แต่บางรายมีชีวิตอยู่อย่างลำบากทรมานในสภาวะ(ภพ)นั้นไม่มีอาหารกินต้องหากินอาหารที่มีคนเททิ้งตามบ้านเรือนของมนุษย์ตามงานศพหรือในงานบุญหรือที่ที่มีผู้ทำทานด้วยอาหารโดยไม่เจาะจงว่าจะอุทิศให้ใคร ซึ่งลักษณะที่เขาเล่าให้ฟังนั้น คล้ายกับลักษณะของเปรตหรือผีเปรต ที่เราชาวพุทธรู้จักกันดี บางรายได้ไปเห็นเมืองสวรรค์ บางรายได้ไปเห็นเมืองนรก

ในโลกของโอปปาติกะหรือโลกวิญญาณที่ผู้จำอดีตชาติได้หลายๆคนเคยได้สัมผัสมาแล้วนั้น บางอย่างคล้ายๆกัน แต่บางอย่างต่างกัน จากคำบอกเล่าของพวกเขารู้สึกว่าจะเป็นสภาวะที่หาคำอธิบายได้ยาก ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เวลา สถานที่ ระยะทาง ขนาด ความเร็ว สภาวะต่างๆ การได้ยิน การมองเห็น การได้กลิ่น การรู้รส หรือการสัมผัสทางกาย ล้วนแล้วแต่วิจิตรพิสดารเกินกว่าที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวไปถึงได้ บางครั้งก็ดูเหมือนจะอยู่ที่เดียวกันกับโลกมนุษย์ บางครั้งก็ไม่ใช่ บางครั้งก็ดูเหมือนจะเป็นเวลาเดียวกันกับเวลาบนโลกมนุษย์ บางครั้งก็ไม่ใช่ คือ เร็วกว่าบ้าง ช้ากว่าบ้าง ช้ากว่ามากๆก็มี เร็วกว่ามากๆก็มี บางครั้งก็มีตัวตนเท่ากับมนุษย์ทั่วไป บางครั้งก็ตัวเล็กจนสามารถอยู่ในศาลพระภูมิเล็กๆได้ บางคนบอกว่าในสภาวะนั้นการได้ยินการมองเห็นดีกว่ามนุษย์มาก บางคนบอกว่าอยู่เป็นสุขสบายมีบ้านอยู่มีรถใช้ การเดินการไปการมาก็ไม่ขึ้นกับแรงโน้มถ่วงของโลก บางคนบอกว่าแค่นึกก็ถึงแล้ว บางคนบอกว่าไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์ แต่มีแสงสว่าง และอบอุ่น ตลอดเวลา บางคนยังอยู่แถวๆบ้านคอยต้อนรับแขกที่มางานศพตัวเอง บางคนเดินไปเดินมาตามถนนแถวบ้านตัวเอง บางคนไปเจอกับญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว บางคนมาเข้าฝันคนธรรมดาได้ บางคนมาบอกหวย บางคนมาขอส่วนบุญ บางคนไปเห็นสวรรค์ไปเห็นนรกซึ่งมีความแตกต่างกัน ฝรั่งก็เห็นสวรรค์เห็นนรกแบบฝรั่ง คนจีนก็เห็นสวรรค์นรกแบบจีนๆ คนไทยก็เห็นสวรรค์นรกแบบไทยๆ ผีฝรั่งกลัวไม้กางเขนกลัวกระเทียม ผีจีนกลัวพระพุทธรูปกลัวผ้ายันต์ ผีไทยกลัวพระเครื่อง พระพุทธรูป กลัวผ้ายันต์ ผีแขกกลัวคัมภีร์อัลกุรอ่าน ผีบางตัวเกเรเที่ยวหลอกหลอนผู้คน ผีบางตัวเห็นแก่เครื่องเซ่น และอื่นๆอีกมากมายหลายรูปแบบ สังเกตได้ว่าความเชื่อของแต่ละบุคคลขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นมีอิทธิพลสูงมากต่อชีวิตหลังความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อทางศาสนา มีความเป็นไปได้ว่าในสภาวะนั้นวิญญาณสามารถจินตนาการสร้างสิ่งต่างๆ เช่น สถานที่ บ้าน เครื่องใช้ รถยนต์หรือสิ่งต่างๆขึ้นมาได้เสมือนจริง คล้ายกับความฝันหรือจินตนาการของคนเรา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะไม่ทราบแน่ชัดว่าจริงๆแล้วในสภาวะนั้นมันมีสภาพอย่างไรกันแน่ แต่จากหลักฐานคำบอกเล่าของผู้ที่จำอดีตชาติได้จำนวนมากที่มีประสบการณ์ชีวิตหลังความตาย มีความเป็นไปได้ว่ามันน่าจะมีสภาวะนั้นอยู่จริงๆ

เคยเกิดมาแล้วมากกว่า ๑ ชาติ

จากข้อมูลการศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ มีผู้ที่จำอดีตชาติได้ ๒ ราย ที่มีข้อมูลว่าเคยเกิดมาแล้วก่อนหน้านี้มากกว่า ๑ ชาติ คือกรณีของ เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย และกรณีของ เด็กชายวรวัฒน์ เจริญพร้อม

ในกรณีของ เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย นั้นมีข้อมูลว่ามีการจำอดีตชาติได้ถึง ๒ ชาติ แต่ไม่ต่อเนื่องกัน คือ เมื่อครั้งที่เคยเกิดมาเป็น นายสายนต์ เต็มหัตถ์ นั้นนายสายนต์จำอดีตชาติได้ว่าเคยเกิดเป็นบุตรคนแรกของพ่อแม่นายสายนต์เอง แต่เสียชีวิตตั้งแต่แรกคลอดยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก ต่อมานายสายนต์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต และได้เกิดมาอีกชาติหนึ่งเป็น เด็กชายฤทธิไกร เขามีรอยยุบที่ตาตุ่มเท้าตั้งแต่แรกเกิดซึ่งเป็นร่องรอยที่สืบเนื่องจากในอดีตชาติเขาถูกที่พักเท้าของรถจักรยานยนต์ทับขณะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เด็กชายฤทธิไกรจำอดีตชาติได้ว่าเคยเกิดมาเป็นนายสายนต์ ซึ่งเป็นการจำอดีตชาติได้ทีละชาติไม่ต่อเนื่องกัน จากกรณีนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ในชาติก่อนโน้นถึงแม้ว่าจะเสียชีวิตตั้งแต่แรกคลอดยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลกแต่ก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง รู้ว่าผู้เป็นพ่อเอาศพทารกนั้นไปฝังที่ไหน ซึ่งก็แสดงว่าหลังจากเสียชีวิตวิญญาณของเขาได้รู้เห็นโดยตลอด

ส่วนในรายของ เด็กชายวรวัฒน์ เจริญพร้อม ก็มีข้อมูลว่ามีการจำอดีตชาติได้ถึง ๒ ชาติ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นการจำอดีตชาติได้แบบต่อเนื่องกันคือจำได้ทีเดียวทั้ง ๒ ชาติหรือจำได้แบบทีละชาติไม่ต่อเนื่องกัน เหมือนกับกรณีของ เด็กชายฤทธิไกร กรณีของเด็กชายวรวัฒน์นั้น ในชาติก่อนโน้นเขาเป็นคนหมู่บ้านอื่นที่ถูกยิงเสียชีวิตและมีบาดแผลที่มุมหน้าผากด้านขวา เมื่อเขาเกิดมาอีกชาติหนึ่งเป็น พลฯสมหมาย เจริญพร้อม รอยแผลนั้นได้ติดตัวเขามาด้วย พลฯสมหมายมีรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดที่มุมหน้าผากด้านขวาตรงกับบาดแผลในอดีตชาติ และพลฯสมหมายก็จำอดีตชาติได้ด้วย ต่อมาพลฯสมหมายประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนกับท้ายรถบรรทุก ศีรษะของพลฯสมหมายปะทะเข้ากับฝาปิดท้ายรถบรรทุกทำให้กะโหลกศีรษะแตกเสียชีวิตทันที เมื่อ พลฯสมหมาย เกิดมาอีกชาติหนึ่งเป็น เด็กชายวรวัฒน์ เจริญพร้อม รอยแตกของกะโหลกศีรษะของพลฯสมหมายได้ติดตัวมาด้วย เด็กชายวรวัฒน์ มีรอยผื่นแดงเป็นรูปตัว “V” ที่กลางหน้าผากตั้งแต่แรกเกิด ตรงกับรอยแตกของกะโหลกศีรษะในอดีตชาติ และมีขวัญอยู่ที่มุมหน้าผากด้านขวาตรงกันกับรอยบาดแผลที่ถูกยิงในชาติก่อนโน้น และตรงกันกับรอยแผลเป็นตั้งแต่แรกเกิดของพลฯสมหมาย ซึ่งเป็นกรณีที่ผู้เขียนเพิ่งจะพบเป็นครั้งแรก ว่ามีร่องรอยจากอดีตชาติปรากฏข้ามมาถึง ๒ ชาติ เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้ง ๒ ชาตินั้น มีสาเหตุการเสียชีวิตเกิดที่บริเวณศีรษะเหมือนกัน ซึ่งอาจเกิดจากวิบากกรรมที่เคยทำไว้ในชาติก่อนๆ

จากข้อมูลเรื่องราวของผู้จำอดีตชาติได้ทั้งสองรายนี้แสดงให้เห็นว่าคนเรานั้นอาจจะสามารถเวียนเกิดเวียนตายได้มากกว่า ๑ ครั้งหรือ ๑ ชาติ การเวียนว่ายตายเกิดของคนเรานั้นมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะมีอยู่จริง และเวรกรรมอาจสามารถส่งผลได้หลายชาติ อย่างกรณีของพลฯสมหมายและเด็กชายวรวัฒน์ถึงแม้ว่าเหตุการณ์การเสียชีวิตจะแตกต่างกัน แต่ก็เกิดกับอวัยวะเดียวกัน แสดงว่าการให้ผลของกรรมนั้นอาจจะไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นเหตุเดียวกัน เช่น ในอดีตชาติเคยฆ่าคนด้วยการใช้ไม้ตีที่ศีรษะ กรรมนั้นอาจจะไม่ได้ให้ผลอย่างเดียวกันคือถูกผู้อื่นฆ่าด้วยการใช้ไม้ตีศีรษะ แต่อาจจะถูกยิงที่ศีรษะหรือศีรษะกระทบกับอย่างอื่นทำให้เสียชีวิต หรือในอดีตชาติจงใจขับเกวียนให้ล้อเกวียนทับคนตาย เมื่อเกิดมาอีกชาติหนึ่งเป็นยุคที่ไม่มีเกวียนอยู่แล้ว กรรมอาจให้ผลเป็นว่าถูกล้อรถทับเสียชีวิตหรือสิ่งอื่นทับเสียชีวิตก็ได้ สำหรับเรื่องกรรมและผลของกรรมนั้นพระพุทธองค์ท่านเคยตรัสไว้ว่าเป็น “อจินไตย” คือเป็นเรื่องที่เกินกว่าที่คนธรรมดาอย่างเราๆจะสามารถนึกคิดตริตรองเอาเองด้วยเหตุผลทางตักกะทั่วๆไปได้ สิ่งที่เป็นอจินไตยมี ๔ อย่าง คือ ๑.พุทธวิสัย ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๒.ฌานวิสัย ของผู้ได้องค์ฌาน ๓.กรรมวิสัย กรรมและผล(วิบาก)กรรม ๔.โลกวิสัย เรื่องกำเนิดโลกและความดับแห่งโลก

มีกรณีของการเกิดมาแล้วมากกว่า ๑ ชาติ ในประเทศไทยที่น่าสนใจ คือกรณีของ ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว ซึ่งเขาจำอดีตชาติได้ว่าเคยเกิดเคยตายมาแล้วก่อนหน้านี้ถึง ๓ ชาติ ส่วนชาติปัจจุบันนี้เป็นชาติที่ ๔ เท่าที่เขาจำได้ คือ ชาติแรก เขาเคยเกิดเป็นลูกคนที่ ๒ ของ นายพรหมา และ นางจันหอม สลางสิงห์(พ่อแม่ของครูในปัจจุบัน) ชื่อว่า “ฮ้วง” และได้เสียชีวิตลงขณะอายุได้ ๑๒ ปี ชาติที่สอง ครูได้กลับมาเกิดกับพ่อแม่เดิมอีกครั้ง ชื่อว่า “มั่น” คราวนี้เกิดมาเป็นทารกได้เพียงเดือนเศษก็เสียชีวิต ชาติที่สาม ครูได้เกิดมาเป็นลูกของ นายฮิบ และ นางส้ม ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านอื่นห่างจากหมู่บ้านเดิมประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ชาตินี้มีชื่อว่า “เฮ้า” แต่มีชีวิตอยู่ได้เพียง ๒ ปีเศษ ก็เสียชีวิตอีก และ ชาติที่สี่ ได้กลับมาเกิดกับพ่อแม่ในชาติแรกเหมือนเดิม ชื่อว่า “ประสิทธิ์” หรือก็คือ ครูประสิทธิ์ วังโคตรแก้ว ในปัจจุบันนั่นเอง สำหรับลักษณะของการจำอดีตชาติได้ของครูประสิทธิ์นี้แปลกกว่าผู้จำอดีตชาติได้รายอื่นๆที่ผู้เขียนเคยพบ คือเป็นการระลึกถึงชาติแต่ปางก่อนได้จากความฝันซึ่งเป็นการฝันเป็นเรื่องราวติดต่อกันเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี ตั้งแต่เขาอายุประมาณ ๔-๕ ขวบจนกระทั่งเขาอายุ ๑๗ ปี และที่สำคัญคือเขายังสามารถจำอดีตชาติได้จนถึงทุกวันนี้

สำหรับข้อมูลในต่างประเทศนั้นก็มีลักษณะของการจำอดีตชาติได้มากกว่า ๑ ชาติเช่นเดียวกัน เช่นกรณีของ นางสวารณลทา(Swarnlata) ผู้จำอดีตชาติได้จากประเทศอินเดีย ซึ่งเธอจำอดีตชาติก่อนหน้านี้ได้ถึง ๒ ชาติ(แบบต่อเนื่องกัน) ว่าชาติก่อนโน้นเธอชื่อ กมเลศ เกิดที่เมืองเบงกอล เธอร้องเพลงเบงกอลและแสดงท่ารำแบบเบงกอลได้ เมื่อเธอเสียชีวิตเธอก็มาเกิดที่เมืองกัตนี ซึ่งในชาตินั้นเธอชื่อว่า พิยา เมื่อพิยาเสียชีวิตเธอก็ได้เกิดมาเป็น สวารณลทา ในชาตินี้ สำหรับเรื่อราวการจำอดีตชาติได้ของนางสวารณลทาหรือเด็กหญิงสวารณลทาในขณะนั้น ดร.เอียนสตีเวนสัน ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นการจำอดีตชาติก่อนได้ถึง ๒ ชาติ ซึ่งมีน้อยมากในหมู่ของผู้ที่จำอดีตชาติได้ด้วยความทรงปกติ

เกิดก่อนที่จะเสียชีวิต

จากข้อมูลการศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ มีผู้ที่จำอดีตชาติ ๔ ราย ที่เกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนที่จะเสียชีวิต คือรายของ เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย ( เกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนเสียชีวิต ๔ เดือน ) , เด็กชายพงศธร ศรชัย (เกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนเสียชีวิต ๒ เดือน ) , เด็กชายวัชระ ใจเร็ว ( เกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนเสียชีวิต ๗ เดือน ) , เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์ ( เกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนเสียชีวิต ๙ เดือน ) และมี ๑ ราย ที่คลอดจากครรภ์แล้วก่อนที่จะเสียชีวิต คือรายของ เด็กชายโสภณ ขำพาลี ( เด็กคลอดแล้ว ๖ วัน จึงเสียชีวิต ) สำหรับผู้ที่จำอดีตชาติทั้ง ๕ ราย นี้แตกต่างจากผู้จำอดีตชาติได้รายอื่นๆ คือพวกเขาเกิดก่อนที่จะเสียชีวิต คือ แม่ในปัจจุบันชาติของพวกเขาตั้งครรภ์อยู่ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต อย่างเช่นกรณีของ เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย แม่ของเขาตั้งครรภ์ได้ ๔ เดือนแล้ว นายสายนต์ เต็มหัตถ์ จึงเสียชีวิต และเมื่อ เด็กชายฤทธิไกร เกิดมาก็จำอดีตชาติได้ว่าเป็นนายสายนต์สืบชาติมาเกิด และกรณีของ เด็กชายพงศธร ศรชัย แม่ของเขาตั้งครรภ์ได้ ๒ เดือนแล้ว นายสามารถ สุวรรณราช จึงได้เสียชีวิต และเมื่อเด็กชายพงศธรเกิดมาก็จำอดีตชาติได้ว่าเป็นนายสามารถสืบชาติมาเกิด แต่กรณีของเด็กชายพงศธรนี้ นายสามารถได้มาเข้าฝันบอกกับ นางสาวมานัส ใจเกื้อ ก่อนว่าเขาได้มาเกิดกับนางสาวมานัสแล้ว ซึ่งขณะที่นางสาวมานัสฝันนั้น นายสามารถยังมีชีวิตอยู่และยังไม่มีอาการป่วยเลย และอีกกรณีหนึ่ง คือกรณีของ เด็กชายโสภณ ขำพาลี ที่เด็กคลอดออกจากครรภ์มารดาแล้ว ๖ วัน นายสำคัญ นาคตระกูล จึงเสียชีวิต ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ที่นายสำคัญจะสืบชาติมาเกิดเป็นเด็กคนนี้ได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้เขียนอยากให้พิจารณากรณีที่เมื่อเสียชีวิตแล้ว มีการสวมร่างเปลี่ยนวิญญาณอยู่ ๒ กรณี คือกรณีที่ท่าน ศ.ดร.เอียน สตีเวนสัน ศ.ดร.คลุ้ม วัชโรบล และ ท่านอาจารย์นาซิบ สิโรรส เคยได้เดินทางไปพิสูจน์ กรณีของ น.ส.สัญญา กาญจนจำนงค์ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช มีปรากฏอยู่ในหนังสือของท่าน ศาสตราจารย์ ดร.คลุ้ม วัชโรบล ที่เธอเป็นลมสลบไปเพราะเสียใจที่หลานสาวที่เธอรักมากเสียชีวิต เมื่อตื่นฟื้นขึ้นมา ปรากฏว่าเธอกลายเป็นอีกคนหนึ่ง จากเด็กชาวใต้ที่พูดกลางไม่เป็น กลายเป็นว่าพูดกลางได้คล่อง เธอบอกว่าเธอเป็นคนกรุงเทพฯไม่ใช่คนใต้ ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดที่เคยเกิดขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทย อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย คือกรณีของ นายชาสพีระ(Jasbir) ซึ่งกรณีนี้แปลกกว่ากรณีอื่นๆที่ ดร.เอียน สตีเวนสัน เคยพบในการศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ คือเป็นการที่วิญญาณของหนุ่มวัย ๒๒ ปี ที่เสียชีวิตแล้ววิญญาณของเขาได้เข้ามาสวมร่างของเด็กวัย ๓ ขวบ ๖ เดือน ที่เสียชีวิตด้วยโรคไข้ทรพิษหรือฝีดาษ เขาเล่าให้ฟังว่า หลังจากที่เขาเสียชีวิตเขาได้ไปพบกับพระรูปหนึ่ง พระรูปนั้นบอกให้เขาไปเข้าร่างของเด็กชายชาสพีระ

ส่วนกรณีของการเกิดก่อนเสียชีวิตในประเทศไทยนั้น มีกรณีหนึ่งที่น่าสนใจคือกรณีของ ท่าน เจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ (โชติ คุณสัมปันโน) อดีตเจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณ์ฯ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ซึ่งท่านจำอดีตชาติได้ว่าในชาติก่อนท่านมีชื่อว่า "นายเล็ง" เมื่อครั้งที่นายเล็งยังมีชีวิตอยู่ก่อนเสียชีวิตขณะที่นายเล็งกำลังป่วยหนัก เขาได้ทราบว่าน้องสาวคลอดลูกก็อยากไปเยี่ยมแต่ไม่มีแรงจะลุกไป จึงได้แต่ทำใจให้สงบแล้วเคลิ้มหลับไป เมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกว่าตัวเองสบายดีไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ยังลุกขึ้นมานั่งคุยกับญาติๆที่มาเยี่ยมอาการของเขาแต่เขารู้สึกแปลกใจที่ไม่มีใครพูดด้วยและไม่มีใครสนใจเขาเลย เหมือนกับพวกเขาไม่ได้ยินหรือไม่เห็นเขา ต่อมาจึงรู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว เมื่อร่างถูกเผาและพิธีต่างๆสิ้นสุดแล้ว นายเล็งก็คิดอยากจะไปเยี่ยมน้องสาวที่ทราบข่าวว่าคลอดลูกกำลังอยู่ไฟอยู่ พอเขาคิดเท่านั้นก็ปรากฏว่าไปถึงบ้านของน้องสาวทันที เมื่อไปถึงบ้านของน้องสาวเขาเห็นน้องสาวกำลังนอนกกลูกน้อยอยู่ เมื่อเห็นทารกน้อยนายเล็งก็รู้สึกชอบใจมากอยากจะเข้าไปกอดจูบให้สมใจ แต่ในขณะที่เขายืนมองทารกอยู่นั้น น้องสาวของเขาก็ตื่นลืมตามาเห็นวิญญาณของเขาพอดี น้องสาวของนายเล็งได้พูดกับวิญญาณของนายเล็งว่า “พี่ไปคนละทิศละทางแล้ว บ้านไหนสบายก็เชิญไปตามสบายเถอะ อย่ามารบกวนน้องเลย” นายเล็งรู้สึกน้อยใจว่าน้องสาวไม่ให้การต้อนรับจึงตัดสินใจกลับ แต่ยังรู้สึกชอบทารกนั้นมาก เขาคิดว่าไหนๆจะกลับแล้วขอดูหน้าทารกให้เต็มตาสักครั้ง จึงจ้องมองดูทารกจนพอใจแล้วก็หันกลับจะออกไป แต่พอกลับตัวก็รู้สึกว่าตัวเองหมุนติ้วเหมือนลูกข่างแล้วก็หมดความรู้สึกไป เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นทารกลูกชายของน้องสาวคนนั้นเสียแล้ว ซึ่งก็คือ เจ้าคุณพระเทพสุทธาจารย์ (โชติ คุณสัมปันโน) ในปัจจุบันชาตินี้เอง

สำหรับกรณีของการเกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนจะเสียชีวิตและการที่วิญญาณเข้าสวมร่างนี้ ผู้เขียนเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่ท่านบอกเล่ากันมาว่า คนเรานั้นมีขวัญอยู่ทุกคน บางครั้งคนเรายังมีชีวิตอยู่แต่ขวัญได้ไปเกิดในครรภ์ก่อนแล้ว ซึ่งเรื่องของขวัญนั้นมีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก เช่นคำว่า ขวัญอ่อน(พระนางมัททรี) พิธีเชิญขวัญ(ติรัจฉานวิชา) ค่าขวัญข้าว(หมอชีวกกุมาร) เป็นต้น หรืออาจจะเป็นการเกิดรูปแบบหนึ่งที่ศาสนาพุทธเรียกว่า “โอปปาติกะ” คือ สัตว์ที่เกิดผุดเต็มตัวในทันใด ได้แก่พวก เทวดา สัตว์นรก และเปรตบางพวก บาลีว่า รวมทั้งมนุษย์บางจำพวก ซึ่งอาจหมายถึงลักษณะการเกิดของ มนุษย์ในปุพพวิเทหทวีป ในอุตรกุรุทวีป ในอมรโคยานทวีป หรือการเกิดเป็นตัวตนขึ้นมาทันทีโดยไม่ต้องผ่านการเป็นทารกในครรภ์ โดยอาศัยร่างของผู้อื่นที่เสียชีวิตไปแล้วของมนุษย์ในชมพูทวีปอย่างพวกเรานี้ก็เป็นได้

รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า (Precognition)

ท่านผู้อ่านหลายๆท่านอาจจะเคยได้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าในระยะใกล้ๆหรือเหมือนเคยเห็นเหตุการณ์นั้นๆมาก่อน คือเมื่อเราเห็นเหตุการณ์หนึ่งเราเกิดความรู้สึกขึ้นมาในทันทีว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร เหมือนเคยได้เห็นเหตุการณ์นั้นๆมาก่อนแล้ว หรือที่ฝรั่งเขารู้จักกันว่าเป็นประสบการณ์ “เดจาวู” (Deja-Vu) ซึ่งจากการศึกษาพบว่าคนเราส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์ เดจาวู อย่างน้อย ๑ ครั้งในชีวิต แต่กรณีของการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้แตกต่างออกไป เป็นการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าของผู้ที่จำอดีตชาติได้ ที่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างกับบุคคลอื่น คือบุคคลใกล้ชิดหรือบุคคลที่เคยมีเหตุสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอยู่ก่อน

จากข้อมูลการศึกษาผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ มีผู้ที่จำอดีตชาติรายหนึ่งคือรายของ เด็กชายฤทธิไกร โนนน้อย ที่รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าเพื่อนในอดีตชาติของเขา คือ นายสกุล สวัสดี จะเสียชีวิต วันนั้นเป็นวันออกพรรษาเด็กชายฤทธิไกรบอกกับแม่ของเขาตั้งแต่ก่อน ๘ โมงเช้า ขณะที่แม่ของเขากำลังเตรียมเครื่องกัณฑ์เทศมหาชาติอยู่ เขาบอกว่า “แม่ ๆ วันนี้ไอ้กุลมันตายแน่ ตายแน่ๆไอ้กุลวันนี้ มันเมา ...” แม่ของเขาได้ยินก็ตบปากไม่ให้พูด แต่เด็กชาย ฤทธิไกรก็ยังพูดย้ำอีกว่า “จริงๆ นะแม่” เมื่อเตรียมเครื่องกัณฑ์เทศเสร็จแม่ของเขาก็เดินทางไปวัด ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ ๘.๓๐ น. จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น. แม่ของเด็กชายฤทธิไกรก็ทราบข่าวการเสียชีวิตของนายสกุลจากเพื่อนบ้าน นายสกุล สวัสดี เสียชีวิตขณะเดินทางกลับจากไปสู่ขอภรรยาให้กับน้องชายที่หมู่บ้านใกล้เคียง เนื่องจากรถจักรยานยนต์ของเขาเสียหลักข้ามเลนไปชนประสานงากับรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่งที่วิ่งสวนทางมา เป็นเหตุให้คู่กรณีเสียชีวิตทันที่ ส่วนนายสกุลเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล แม่ของนายสกุลเคยถามเด็กชายฤทธิไกรว่า ทำไมรถจักรยานยนต์ของนายสกุลจึงเสียหลักไปชนกับรถที่วิ่งสวนทางมา เด็กชายฤทธิไกรบอกว่า “ก็มันมัวแต่หันมามองไอ้ก้าน" (นายก้านน้องชายนายสกุล) จากการสอบถามผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ความว่า ก่อนเสียชีวิตตอนนั้นนายกุลหันกลับมามองข้างหลังจริง แต่ไม่ทราบว่าหันมามองใคร แล้วรถก็เสียหลักข้ามไปชนประสานงากับรถที่วิ่งสวนทางมา เด็กชายฤทธิไกรพูดเหมือนกับว่าได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยตัวของเขาเองจริงๆ ทั้งๆที่เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แล้วเขารู้เหตุการณ์ล่วงหน้าที่จะเกิดกับนายสกุล ได้อย่างไร

นอกจากกรณีของเด็กชายฤทธิไกรแล้วยังมีกรณีของผู้จำอดีตชาติได้ที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้เหมือนกัน คือกรณีของ นางสาวรัตนา อรรถพรพิศาล ซึ่งเคยปรากฏเป็นข่าวครึกโครมในหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐประจำวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ว่าพบเด็กหญิงอายุ ๑๔ ปีจำอดีตชาติได้ จากเรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเธอนั้นมีตอนหนึ่ง พ่อบุญธรรมของเธอเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งขณะที่พ่อบุญธรรมของเธอกำลังเตรียมตัวจะเดินกลับจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯด้วยรถโดยสารประจำทางซึ่งจะออกจาก ท่ารถบขส.เชียงใหม่ในตอนหัวค่ำและจะถึงกรุงเทพฯในตอนเช้าของอีกวันหนึ่ง แต่ก่อนจะถึงเวลาที่จะต้องไปขึ้นรถโดยสารประจำทาง บ่ายวันนั้นเด็กหญิงรัตนา(ขณะอายุ ๗ ขวบ)รีบวิ่งมาบอกกับพ่อบุญธรรมของเธอว่า “พ่อ นาต้องไปกรุงเทพฯกับพ่อด้วย ถ้านาไม่ไปด้วยชีวิตพ่อจะไม่รอด นาต้องไปด้วย” พ่อบุญธรรมของเธอถามว่าทำไมถึงพูดอย่างนั้น มีอะไรหรือ ตอนนั้นเธอไม่ตอบอะไร แต่แสดงอาการวิตกกังวลตลอดเวลาแล้วก็ไปหยิบธูปมาจุดไหว้ๆอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเธอก็แสดงอาการดีใจกระโดดโลดเต้นและบอกว่า “พ่อไม่ตายแล้ว พ่อไม่ตายแล้ว” ตอนนั้นพ่อบุญธรรมของเธอคิดว่าเธอพูดเพราะเป็นห่วงการเดินทางพ่อจึงพูดและแสดงออกมาตามภาษาเด็ก ตกลงค่ำวันนั้นพ่อบุญธรรมพาเด็กหญิงรัตนากลับกรุงเทพฯด้วย เมื่อรถประจำทางออกจากเชียงใหม่มาจอดเติมน้ำมันที่ลำปาง ระหว่างที่รถเติมน้ำมัน เด็กหญิงรัตนาบอกกับพ่อบุญธรรมของเธอว่า “พ่อระวังนะ รถจะคว่ำ” แต่พ่อบุญธรรมของเธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมากคิดว่าเธอพูดไปตามประสาเด็ก ได้แต่บอกให้เธอนอนหลับ พอรถออกจากลำปางเด็กหญิงรัตนาก็พูดขึ้นมาอีกว่า “พ่อระวังตัวนะ รถจะคว่ำ” รถวิ่งผ่านมาเรื่อยๆจนกระทั่งเข้าเขตอำเภอเถิน จู่ๆเด็กหญิงรัตนาซึ่งกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเบาะที่ปรับเอนไปด้านหลังก็ลุกขึ้นมานั่งเต็มตัวแล้วบอกว่า “พ่อ เตรียมตัวระวัง รถกำลังจะคว่ำแล้ว” เมื่อได้ฟังคำเตือนครั้งที่ ๓ พ่อบุญธรรมของเธอก็รู้สึกสังหรณ์จึงตั้งสติมองออกไปดูเหตุการณ์บนถนนด้านหน้ารถ เมื่อรถวิ่งมาถึงโค้งด้วยความเร็วปรากฏว่ามีควาย ๔ ตัวเดินนำหน้าอยู่ในช่องทางที่รถวิ่ง ด้วยความเร็วขนาดนั้นรถไม่สามารถเบรกหรือหักหลบควายได้พ้น เมื่อเห็นดังนั้นด้วยความตกใจพ่อบุญธรรมของเด็กหญิงรัตนาได้คว้าตัวของของเธอกดลงกับตักแล้วเอามือยันพนักพิงข้างหน้า พ่อบุญธรรมของเธอตะโกนบอกคนขับรถว่า “ควาย” พร้อมกับมีความรู้สึกลางๆว่ามีผู้หญิงมาฉุดเอาร่างของเด็กหญิงรัตนาออกจากอ้อมแขนไป พร้อมกับเสียงรถชนควายดังสนั่น จากนั้นก็หมดสติไป อุบัติเหตุในครั้งนั้นทำให้พ่อบุญธรรมของเด็กหญิงรัตนาบาดเจ็บต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า ๒ เดือน ส่วนตัวของเด็กหญิงรัตนาไม่ปรากฏแม้แต่รอยฟกช้ำใดๆเลย ทั้งๆที่รถโดยสารคันนั้นชนควายแล้วพลิกคว่ำล้อชี้ฟ้าเสียหายยับเยินเป็นที่น่าประหลาดใจ และที่สำคัญคือเธอรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้อย่างไร

อีกรายหนึ่งคือกรณีของ นายทองสุก(จุก) เชาว์ฉลาด ซึ่งมีเรื่องน่าประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง คือคราวที่เกิดไฟไหม้ที่ตำบลบางแพ จังหวัดราชบุรี(เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๔๗๘-๒๔๗๙) ซึ่งบ้านของ นายคุนโหมวและนางอิน พ่อแม่ในอดีตชาติของ นายจุก หรือ เด็กชายจุก วัยประมาณ ๓ ขวบในขณะนั้น ก็ไหม้ไปด้วย ตอนนั้นเด็กชายจุกไปนอนค้างอยู่กับนายคุนโหมวและนางอินพ่อแม่ในอดีตชาติที่บ้าน ซึ่งโดยปกติแล้วเขามักจะนอนค้างที่นี่คราวละหลายๆวัน แต่ตอนกลางวันก่อนที่จะเกิดไฟไหม้ในคืนนั้น เด็กชายจุก บอกว่าจะต้องกลับบ้าน ไม่ยอมนอนค้างคืนที่นี่อีก เด็กชายจุกบอกกับนางอินว่า อยู่ไม่ได้ เขาเห็นไฟไหม้บนยอดไผ่ที่อยู่หน้าบ้าน แต่นางอินและคนอื่นๆมองไม่เห็นและไม่ได้เฉลียวใจ เด็กชายจุกรบเร้าจะกลับบ้านที่ดอนกระเบื้องให้ได้ นางอินก็ตามใจ และได้ให้คนไปส่งที่บ้านดอนกระเบื้อง พอตกกลางคืนได้เกิดไฟไหม้ที่ตลาดบางแพขึ้นจริงๆ และไฟได้ลุกลามมาไหม้บ้าน นายคุนโหมวและนางอิน ไปด้วย สำหรับบ้านที่นางอินอยู่ปัจจุบันนี้(พ.ศ.๒๕๐๙) เป็นบ้านหลังใหม่ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเดิมประมาณ ๓๐๐ เมตร เด็กชายจุกรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดไฟไหมได้อย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจ

จากกรณีตัวอย่างของการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๓ กรณีนี้ มีคำถามว่า ถ้าหากคนเราสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นล่วงหน้าได้จริง ก็แสดงว่าเหตุการณ์เหล่านั้นได้ถูกกำหนดไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าต้องเกิดขึ้นใช่หรือไม่ และเหตุการณ์เหล่านั้นถูกกำหนดโดยใครหรือสิ่งใดกัน ? สำหรับคำถามนี้ในทางพุทธศาสนามีคำอธิบายปรากฏการในลักษณะนี้ว่า

ในกรณีของการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าหรือการที่สามารถล่วงรู้ในส่วนที่เป็นอนาคตนี้ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “อนาคตังสญาณ” คือญาณหยั่งรู้ส่วนอนาคต ซึ่งผู้ที่ฝึกสมถกัมมัฏฐานหรือวิปัสสนากัมมัฏฐานจนสำเร็จจุตูปปาตญาณสามารถรู้ได้ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดังปรากฏใน จูฬสกุลุทายิสูตร ว่า

“...ผู้ใดพึงเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังเกิด ทั้งชั้นต่ำชั้นสูง งามและไม่งาม เกิดดีและเกิดไม่ดี ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ รู้ชัดถึงหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกับเราหรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกับผู้นั้น ผู้นั้นจะทำให้เรายินดีด้วยการตอบปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต หรือเราจะพึงทำจิตของผู้นั้นให้ยินดีด้วยการตอบปัญหาปรารภขันส่วนอนาคต ”

(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ / จูฬสกุลุทายิสูตร)

จากพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้จะเห็นได้ว่า ผู้ที่สำเร็จ “จุตูปปาตญาณ” สามารถรู้อนาคตได้ คืออยู่ในภูมิหรือสภาวะที่รู้ได้ และขันธ์ส่วนอนาคตนั้นบางส่วนถูกกำหนดโดยกรรมในอดีต เหตุที่บอกว่าบางส่วนก็เพราะ ในทางพุทธศาสนาท่านบอกไว้ว่า ผู้ที่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในชาตินี้ล้วนเกิดจากกรรมในอดีตเป็นผลของกรรมในอดีตแต่เพียงส่วนเดียวนั้น เป็นความเชื่อที่ผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ แล้วลักษณะของกรรมในพุทธศาสนานั้นเป็นอย่างไร คำว่า “กรรม” ในพุทธศาสนาหมายถึงความเคลื่อนความดำเนินไปของ ความคิด คำพูด และการกระทำ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มโนกรรม วจีกรรมและกายกรรม โดยมีกระบวนการเริ่มต้นขึ้นจากการกระทบกันของสิ่งเร้าภายนอก(อายตนะภายนอก) ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สภาวะที่รู้ได้ด้วยใจ กับอวัยวะหรือส่วนที่รองรับรับรู้ในร่างกายของเรา(อายตนะภายใน) ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า “ผัสสะ” คือ รูปหรือภาพต่างๆกระทบ(ผัสสะ)กับตา เสียงต่างๆกระทบกับหู รสต่างๆกระทบกับลิ้น กลิ่นต่างๆกระทบกับจมูก สิ่งต่างๆกระทบกับร่างกาย อารมณ์หรือสภาวะต่างๆกระทบกับใจ เมื่อมีการกระทบกันแล้วถ้าเราไม่มีเจตนาคือไม่เอาอารมณ์ไปจับไปยึดไปตั้งอยู่ที่นั้นๆ เราก็จะไม่รับรู้อารมณ์หรือรู้สึกอะไร แต่ถ้าเราเอาอารมณ์ไปตั้งไว้ที่นั้นๆ เราก็จะรู้สึก เมื่อเราเอาความจงใจ เอาเจตนา หรือเอาความตั้งใจไปตั้งไปจับไปยึดเอาอารมณ์นั้นๆไว้ การดำเนินไปของการรับรู้อารมณ์(มโนวิญญาณ) ความปรุงแต่งทางใจ(มโนสังขาร) ความเคลื่อนความดำเนินไปของความคิด(มโนกรรม) จึงเกิดขึ้นพร้อม ดังที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่า “เรากล่าวเจตนาว่าเป็นกรรม บุคคลคิดแล้วจึงกระทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจาด้วยใจ” ในกรรมทั้ง ๓ คือมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม นั้นมีมโนกรรมเป็นผู้นำเป็นหัวหน้า ลองพิจารณากรรมจากกรรมลักษณะต่างๆ ดังนี้คือ

กรรมจำแนกตามเวลาที่ให้ผล (ว่าโดยปากกาล)

๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันชาติ

๒. อุปปัชชเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า(ถัดจากชาตินี้ไป ๑ ชาติ)

๓. อปราปริยเวทนียกรรม คือ กรรมที่ให้ผลในชาติต่อๆไปไม่จำกัดหลังจาก อุปปัชชเวทนียกรรม

๔. อโหสิกรรม คือ กรรมที่ไม่ให้ผลอีก หรือกรรมที่ให้ผลไปแล้ว

กรรมจำแนกการให้ผลตามหน้าที่ (ว่าโดยกิจ)

๕. ชนกกรรม คือ กรรมที่ทำหน้าที่นำไปเกิด

๖. อุปัตถัมภกกรรม คือ กรรมที่สนับสนุนกรรมอื่น

๗. อุปปีฬกกรรม คือ กรรมที่เบียดเบียนกรรมอื่น ให้เลื่อนการให้ผลออกไป หรือให้กรรมอื่นให้ผลได้ยาก

๘. อุปฆาตกกรรม คือ กรรมที่ตัดรอนกรรมอื่น ให้ลดลง

กรรมจำแนกตามความรุนแรงของการให้ผล (ว่าโดยปากทานปริยาย)

๙. ครุกกรรม คือ กรรมหนัก กรรมที่ให้ผลรุนแรง ยากที่กรรมอื่นจะเบียดเบียนจะตัดรอน ไม่ให้เกิดผลได้

๑๐. อาจิณณกรรม คือ กรรมที่ระลึกถึงอยู่เสมอ กรรมที่ทำอยู่เป็นประจำ

๑๑. อาสันนกรรม คือ กรรมที่ระลึกถึงเมื่อใกล้ตา

๑๒. กตัตตากรรม คือ กรรมเล็กน้อย สักแต่ว่าทำ

จะเห็นได้ว่ากรรมและการให้ผลของกรรม(วิบาก)นั้นมีหลายลักษณะ คือกรรมที่เราทำในปัจจุบันนั้น อาจจะให้ผลในชาติปัจจุบัน อาจให้ผลในชาติหน้า อาจให้ผลในชาติต่อไป หรืออาจให้ผลไปแล้วไม่ให้ผลอีกแล้ว กรรมที่เราทำในปัจจุบัน อาจจะทำให้เราไปเกิดในภพภูมิต่างๆ อาจจะไปสนับสนุนกรรมอื่นให้หนักขึ้นเพิ่มขึ้น อาจจะไปเบียดเบียนกรรมอื่นให้เลื่อนการให้ผลออกไปหรือให้ผลได้ยาก หรืออาจจะไปตัดรอนไปลดความรุนแรงของกรรมอื่นให้ลดน้อยลง เป็นต้น ซึ่งกรรมและผลของกรรม(วิบากกรรม)นั้นเป็น “อจินไตย” เราไม่สามารถล่วงรู้ หรืออนุมานเอาเองตามเหตุตามผลได้ว่ามันจะให้ผลเมื่อไหร่ อย่างไร รู้แต่ว่าการทำกรรมดีในปัจจุบัน กรรมดีนั้นอาจจะส่งผลให้มีสภาวะที่ดีหรือมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีมีความสุขในปัจจุบันหรือนำพาให้ไปเกิดในสภาวะ(ภพ)ที่ดีในชาติต่อๆไป กรรมดีนั้นอาจจะให้ผลในปัจจุบันชาติหรือในชาติต่อๆไป

โดยไปสนับสนุนกรรมดีที่กำลังจะให้ผลให้มีผลมากขึ้นหรือแรงขึ้น เช่น เราทำกรรมดีคือทำการงานด้วยความขยันตั้งใจใฝ่ศึกษาพัฒนาความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการงานนั้นๆ ทำให้สามารถทำการงานนั้นๆให้ประสบผลสำเร็จยิ่งๆขึ้นไป แทนที่กรรมในกาลก่อนจะกำลังจะให้ผล ทำให้เราเลื่อนขึ้นเป็นหัวหน้างานตามสายงานตามอายุงานปกติ กรรมดีที่เราทำให้ยิ่งก็อาจไปสนับสนุนให้เราได้เลื่อนเป็นผู้จัดการแทนผู้จัดการคนก่อนที่ต้องออกไปเพราะไม่มีความสามารถ ไม่ศึกษาพัฒนาความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการงานนั้นๆ ทำให้การงานไม่ประสบความสำเร็จหรือไม่พัฒนาก้าวหน้าทันคู่แข่งทันโลก เป็นต้น

โดยไปตัดรอนกรรมชั่วในอดีตที่กำลังจะให้ผลให้ลดความรุนแรงลง เช่น เมื่อเราทำกรรมดีคือขับรถด้วยความไม่ประมาท มีสติ ไม่มึนเมาขณะขับรถ เมื่อเกิดอุบัติเหตุแทนที่กรรมอันเกิดจากความประมาทของผู้อื่นจะต้องให้เกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บอย่างหนัก ก็ทำให้บาดเจ็บเล็กน้อยเพราะเราไม่ประมาท มีสติ และไม่มึนเมา เป็นต้น

โดยไปเบียดเบียนไม่ให้กรรมชั่วในอดีตที่กำลังจะให้ผลให้เลื่อนการให้ผลออกไป หรือไม่เปิดโอกาสให้กรรมชั่วให้ผลได้ คือ สร้างเหตุปัจจัยในปัจจุบันที่ดีจนไม่มีเหตุปัจจัยที่จะทำให้กรรมชั่วมาให้ผลได้ เช่น กรรมชั่วในอดีตกำลังจะให้ผลคือทำให้ต้องเสียทรัพย์สินเงินทอง แต่เราทำเหตุปัจจัยในปัจจุบันดีคือไม่เล่นการพนัน รู้จักประหยัดอดออม ทำกิจการงานด้วยความรอบคอบ จนทำให้กรรมชั่วไม่มีปัจจัยไม่มีช่องทางที่จะให้ผลได้ เป็นต้น

ซึ่งการทำกรรมดีในปัจจุบันนั้น ทำให้เราได้อุ่นใจสบายใจถึง ๔ ประการ คือ

๑. ถ้าปรโลกคือโลกอื่นหรือโลกหน้ามีจริง หรือถ้าชาติหน้ามีจริง เมื่อตายไปแล้ว การได้ไปเกิดในสภาวะที่ดี ในฐานะที่ดี ในภพภูมิที่ดี หรือการเข้าถึงสุคติสวรรค์ก็เป็นอันหวังได้ นี่เป็นความอุ่นใจสบายใจประการที่ ๑

๒. ถ้าปรโลกคือโลกอื่นหรือโลกหน้าไม่มีจริง หรือถ้าชาติหน้าไม่มีจริง เราไม่คิดชั่วร้ายกับใคร ไม่ก่อเวรกับใคร ไม่เบียดเบียนใคร เราก็อยู่อย่างเป็นสุขในชาติปัจจุบัน นักปราชญ์หรือผู้รู้ผิดชอบชั่วดีในโลกนี้ก็พากันสรรเสริญ นี่เป็นความอุ่นใจสบายใจประการที่ ๒

๓. ถ้าผลของกรรมชั่วมีจริง เราไม่คิดชั่วร้ายกับใคร ไม่ก่อเวรกับใคร ไม่เบียดเบียนใคร ผลวิบากของกรรมชั่วก็จะไม่มีแก่เรา นี่เป็นความอุ่นใจสบายใจประการที่ ๓

๔. ถ้าผลของกรรมชั่วไม่มีจริง เราก็ไม่ต้องประสบกับผลวิบากของกรรมชั่ว กรรมดีที่เราทำก็จะทำให้เราเป็นครองชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข กรรมชั่วที่เราทำก็ไม่มีผลอะไร นี่เป็นความอุ่นใจสบายใจประการที่ ๔

จะเห็นได้ว่ากรรมในปัจจุบันนั้นสำคัญกว่ากรรมในอดีต เพราะกรรมในอดีตนั้นได้เกิดขึ้นแล้วและเราไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่กรรมในปัจจุบันนั้นอาจช่วยแก้ไขกรรมในอดีตที่กำลังจะให้ผลในปัจจุบันได้ และยังอาจจะช่วยแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงกรรมในอดีตหรือกรรมในปัจจุบันที่จะให้ผลในอนาคตได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าอนาคตได้ถูกกรรมในอดีตกำหนดไว้บ้างแล้ว แต่กรรมในปัจจุบันก็สามารถที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลกับอดีตที่ผ่านมาแล้วและอนาคตที่ยังมาไม่ถึง เพียงแค่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดก็พอ

บอกหวยถูก

จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหนังสือเล่มนี้ มีผู้จำอดีตชาติได้ ๒ รายที่บอกหวยถูก คือรายของ เด็กชายพลวัฒน์ จุลโพธิ์ ที่บอกหวยให้แม่และป้าสะใภ้ของเขา ถูก ๑ งวด จากนั้นก็ไม่บอกหวยใครอีกเลย และ นายธีระพันธ์ วงษ์คำภา ที่ตอนเด็กๆเขาบอกตัวเลขว่าหวยจะออกเลขอะไรกับแม่ของเขา พี่สาวของแม่ และเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง เขาบอกตัวเลข ๔-๕ งวดติดต่อกัน ในงวดแรกๆเขาบอกกับแม่ของเขาเอง แต่แม่ของเขาแทงหวยไม่เป็นจึงไม่ได้สนใจ พอหวยออกตรงกับตัวเลขที่เขาบอก ๒-๓ งวดติดต่อกัน ก็เริ่มสนใจเพื่อนบ้านก็เริ่มมาสอบถาม พอได้ตัวเลขไปก็นำไปแทงหวยใต้ดินถูกหวยกันไปหลายคน หลังจากนั้นเขาก็ไม่หลังจากนั้นเขาก็ไม่เคยบอกหวยกับใครอีกเลย

เกี่ยวกับการรู้ล่วงหน้าว่าหวยจะออกอะไรนี้ คล้ายกับกรณีการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า คือ เป็นการรู้ในส่วนของอนาคต มีหลายๆกรณีที่วิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตมาเข้าฝันบอกตัวเลขให้ไปแทงหวย แล้วก็เป็นจริงตามนั้น เป็นการบอกส่วนของอนาคต มีความเป็นไปได้ว่าในโลกวิญญาณหรือในโลกของพวกโอปปาติกะนั้นน่าจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ เหมือนกับการที่พวกโอปปาติกะรู้ล่วงหน้าว่าใครจะเกิดหรือใครจะตาย หรือมาเข้าฝันเตือนให้ระวังอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นต้น แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าวิญญาณแต่ละดวงก็รู้ได้ไม่เท่ากัน คือ รู้เฉพาะในเรื่องและในบุคคลผู้ที่ “เขา” ต้องการให้รู้เท่านั้น “เขา” ที่ว่านี้ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเป็นใครหรือสิ่งใด อาจจะเป็นวิบากกรรมของตัวเราแต่ละคนเอง พระเจ้า พระพรหม เทวดา หรือพญายม ก็ไม่อาจทราบได้ รู้แต่ว่า “เขา” นั้นมีอำนาจมากและเป็นผู้ที่จัดการให้เป็นไปตามกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งในขณะที่ยังเป็นมนุษย์นั้นยังพอขัดขืนได้ แต่ถ้าอยู่ในสภาวิญญาณแล้วละก็ ยากที่จะขัดขืนได้

เมื่อกล่าวถึงโชคลาภจากหวยนั้นที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีผู้ที่ถูกหวยแล้วมีความเป็นอยู่ที่ลำบากกว่าเดิม หรือที่เรียกกันว่า “ทุกขลาภ” ให้เห็นจำนวนมาก ทำไมพวกเขาจึงไม่มีความสุขกับลาภที่ได้นั้น ถ้ามองในในแง่มุมหนึ่งอาจมองได้ว่า เป็นการใช้เงินไม่เป็นหรือบริหารจัดการเงินไม่เป็น มีปัญญาความสามารถน้อย หรือมองอีกแง่มุมหนึ่งว่าเป็นลาภที่ควรได้และลาภที่ไม่ควรได้ คือผู้ที่ควรได้เขาก็จะอยู่ดีมีสุขและได้รับประโยชน์จากลาภที่ได้มานั้น แต่ผู้ที่ไม่ควรได้ก็จะอยู่ไม่เป็นสุขและได้รับโทษจากลาภที่ได้มานั้น เช่น มีญาติมาขอหรือมาขอยืมแล้วไม่คืน ถูกโจรปล้น ถูกหลอก ถูกโกง เป็นต้น ที่กล่าวว่าลาภที่ควรได้และลาภที่ไม่ควรได้นั้น ถ้ามองในแง่มุมของกรรม คือ เขาควรได้รับกรรมไม่ดี หรือกรรมไม่ดีมีความกำลังมากและกำลังให้ผลจึงไม่สามารถรับสิ่งที่ดีๆได้ หรือไปช่วยเสริมกรรมไม่ดีให้เพิ่มขึ้นหรือให้รุนแรงขึ้นได้ เช่น บางคนถูกหวย ๒,๐๐๐ บาท แต่เลี้ยงเพื่อนหมดไป ๓,๐๐๐ บาท กลับกลายเป็นลำบากกว่าเดิม เป็นต้น หรือพวกสัตว์ที่อยู่ในนรกภูมิเขาควรได้รับกรรมไม่ดีคือกรรมไม่ดีมีกำลังมากและกำลังให้ผลจึงไม่สามารถรับสิ่งที่ดีๆ อาหารดีๆ ที่อยู่ดีๆ ที่ญาติทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ได้ เป็นต้น อย่างที่บอกว่ากรรมและผลของกรรมนั้นมันมีวิธีในการให้ผลของมัน ซึ่งเราไม่สามารถคิดคะเนเอาเองตามหลักตักกะเหตุผลตามปกติธรรมดาได้ ดังนั้นจึงควรตระหนักว่าการเสี่ยงโชค เพื่อให้ได้ลาภมานั้น อาจเป็นสิ่งที่ไม่ควรได้ซึ่งอาจจะนำพาความทุกข์มาให้ก็เป็นได้

มีระยะเวลานับจากที่เสียชีวิตถึงวันที่คลอดแตกต่างกัน

จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหนังสือเล่มนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ที่จำอดีตชาติได้แต่ละรายนั้น จะมีช่วงระยะเวลานับจากวันที่เสียชีวิตจนถึงวันที่คลอดออกมาจากครรภ์แตกต่างกัน ไม่แน่นอน บางรายเกิดเป็นทารกในครรภ์ตั้งแต่ยังไม่เสียชีวิต บางรายเมื่อเสียชีวิตแล้วได้มีชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณไม่นานก็ได้สืบชาติมาเกิดใหม่ บางรายเมื่อเสียชีวิตแล้วได้มีชีวิตอยู่ในโลกวิญญาณยาวนานหลายร้อยปีจึงได้สืบชาติมาเกิดใหม่ และบางรายเด็กเกิดมาก่อนแล้วเมื่อเสียชีวิตจึงเข้าไปสวมร่างแทน สำหรับกรณีของการเกิดเป็นทารกในครรภ์ก่อนจะเสียชีวิตและการที่วิญญาณเข้าสวมร่างนี้ ยังเป็นปริศนาที่ผู้เขียนยังไม่สามารถหาหลักฐานหรือเหตุผลคำอธิบายใดๆ ในทางวิทยาศาสตร์ ในทางวิชาการ หรือในคำสอนทางพุทธศาสนามาอธิบายได้ คงจะต้องติดตามศึกษาหาข้อมูลกันต่อไป

มีคำถามว่า สิ่งใดหนอ ที่ทำให้คนเรามีชีวิตปกติ และชีวิตหลังความตายที่แตกต่างกัน ?

ในทางพุทธศาสนามีคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ดังที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ ดังปรากฏใน จูฬกัมมวิภังคสูตร ว่า

“ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็น

เผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลาย ให้เลว ให้ดี ต่างกัน ด้วยประการฉะนี้”

(สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ / จูฬกัมมวิภังคสูตร)

ตัวอย่างของกรรมและวิบากกรรมที่ส่งผลให้คนเรามีชีวิตที่แตกต่างกัน หลังจากตายแล้วก็มีชีวิตหลังความตายที่แตกต่างกัน และมีเวลาอยู่ในสภาวะนั้นแตกต่างกัน เราจะเห็นถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคล เช่น กรณีของ เด็กชายนพพร ใจเร็ว ที่ในอดีตชาติเขาได้เคยกระทำสิ่งที่ไม่ดีบางอย่างไว้ กรรมนั้นจึงส่งผลให้เขาถูกยิงเสียชีวิต และหลังจากเสียชีวิตการกระทำที่ไม่ดีขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ของเขา ก็ยังส่งผลให้เขาได้ไปอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากเป็นเวลานานถึง ๑๘ ปี(ไม่ใช่โลกมนุษย์) ก่อนที่จะสืบชาติมาเกิดใหม่ และกรณีของ นางสุรางคนา วันที ที่ในอดีตชาติเธอและครอบครัวอาจเคยมีส่วนร่วมในการตั้งเสาหลักเมือง โดยการนำคนเป็นๆโยนลงไปในหลุม เอาเสาหลักเมืองลงแล้วฝังทั้งเสาทั้งคนให้ตายทั้งเป็นอยู่ก้นหลุมนั้น ซึ่งเธอบอกว่าเธอมักจะฝันเห็นเหตุการณ์เหล่านี้อยู่เสมอ ตัวของเธอเองคิดว่าอาจเป็นเพราะผลกรรมนั้นจึงส่งผลให้เธอและครอบครัวต้องสิงสถิตอยู่ในบริเวณที่เสียชีวิต และมีความเป็นอยู่ที่ลำบากอยู่ในสภาวะนั้นนานนับพันปี ซึ่งระยะเวลาที่แตกต่างของทั้ง ๒ กรณีนี้ อาจเป็นไปได้ว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งวิบากกรรมนั้นทำให้มีสภาวะ มีอายุ มีความเป็นอยู่ของชีวิตหลังความตายที่แตกต่างกัน

มีการทำนายถึงการสืบชาติมาเกิดใหม่โดยคนทรงหรือผู้สูงอายุ

จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ ราย ในหนังสือเล่มนี้ มีกรณีหนึ่ง คือ กรณีของ เด็กชายอดิศร สุขโภชน์ ที่มีการทำนายถึงการสืบชาติมาเกิดใหม่โดยคนทรงเจ้า ตั้งแต่เมื่อครั้งที่นางมาลีผู้เป็นแม่กำลังตั้งท้องเด็กชายอดิศรได้ประมาณ ๗-๘ เดือนใกล้คลอด ตอนนั้นนางมาลีเคยให้คนทรงเจ้าซึ่งเป็นคนหมู่บ้านอื่นคนหนึ่งทำนายดวงชะตาให้ มีตอนหนึ่งคนทรงบอกกับนางมาลีว่า “ลูกที่อยู่ในท้องให้สังเกตให้ดีเขาเป็นคนที่หายตัวไปมาเกิด เขาเป็นคนไม่มีพ่อแม่มีแต่พี่สาวคนเดียว...ถ้าเขาเกิดมาอย่าเพิ่งให้กินไข่ แล้วเขาจะบอกเองว่าเขาเป็นใคร” นางมาลีและนายเทิ้มพ่อแม่ของเด็กชายอดิศรรู้สึกประหลาดใจกับคำทำนายนั้นมาก จึงเฝ้ารอสังเกตดูบุตรชายที่เกิดมาใหม่ จนกระทั่งทราบว่าบุตรชายจำอดีตชาติได้ ว่าเป็น นายเมฆ สว่างยิ่ง สืบชาติมาเกิด จากคำพูดและการแสดงออกของบุตรชาย

สำหรับกรณีศึกษาผู้จำอดีตชาติได้ในต่างประเทศ นั้นมีประเพณีการทำนายถึงการสืบชาติมาเกิดใหม่โดยคนทรงเจ้าเช่นเดียวกัน เช่น ในประเทศธิเบต นอกจากนี้ยังมีประเพณี การทำนายถึงการสืบชาติมาเกิดใหม่โดยผู้สูงอายุ (Prediction of rebirth by an elderly person) ในหลายชนเผ่าในทวีปอเมริกาเหนือ ในประเทศอินเดีย ในประเทศธิเบต ในประเทศพม่า เป็นต้น โดยเฉพาะในประเทศธิเบต มีประเพณีการทำนายถึงการสืบชาติมาเกิดใหม่(อวตาร)ของ องค์ดาไลลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของพวกเขาโดยลามะชั้นสูง ซึ่งสืบทอดประเพณีกันมายาวนานหลายร้อยปี เช่น กรณีการสืบชาติมาเกิดใหม่ของดาไลลามะองค์ที่ ๑๓ คือ เมื่อ สมเด็จพระทุบเท็น กยัตโส ดาไลลามะองค์ที่ ๑๓ แห่งธิเบต ได้สวรรคตลง เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๖ ได้เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นคือ พระศพซึ่งเดิมหันพระพักตร์ไปทางทิศใต้ กลับหันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จากนั้นไม่นานผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเป็นลามะชั้นสูงได้นั่งสมาธิกัมมัฏฐาน จนกระทั่งเห็นภาพจากสมาธิขณะเพ่งลงไปในทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ในธิเบตตอนใต้ ซึ่งเป็นการเพ่งกสิณน้ำตามหลักการปฏิบัติของพุทธศาสนา โดยในสมาธิลามะได้เห็นเป็นอักษรธิเบต ๓ ตัว สมมุติให้เป็นตัวอักษร ไทยคือ อ , ก และ และเห็นภาพวัดเป็นตึก ๓ ชั้นมีหลังคาสีฟ้าประดับลายทอง จากนั้นก็ปรากฏภาพทางเดินที่ขึ้นไปจากเชิงเขา สุดท้ายปรากฏเป็นภาพบ้านหลังเล็กๆที่มีรางน้ำรูปร่างแปลกๆ หลังจากนั้นรัฐบาลธิเบตได้จัดคณะค้นหาขึ้น เพื่อค้นหาสถานที่และแปลความหมายตัวอักษรทั้ง ๓ ตัวที่ปรากฏในสมาธิของลามะชั้นสูง การค้นหาองค์อวตารของดาไลลามะองค์ที่ ๑๓ จึงเริ่มขึ้น ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ปรึกษากับคณะค้นหาและลงความเห็นว่า อักษร “อ” น่าจะหมายถึง แคว้นอัมโด ซึ่งเป็นแคว้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของธิเบต ซึ่งเป็นทิศที่พระพักตร์หันไป จึงส่งคณะค้นหาไปตามทิศทางนั้น เมื่อมาถึง วัดกุมบุม ซึ่งตรงกับอักษรตัวที่สองคือ “ก” คณะผู้ค้นหาก็เริ่มมั่นใจว่ามาถูกทาง เมื่อเห็นลักษณะของวัดกุมบุมซึ่งมีลักษณะเป็นตึก ๓ ชั้น มีหลังคาสีฟ้าตรงตามที่เห็นในสมาธิ และสิ่งที่พวกเขาต้องค้นหาต่อไปคือบ้านหลังเล็กๆที่มีรางน้ำรูปร่างแปลกๆ ซึ่งน่าจะอยู่ไม่ไกลจากวัดกุมบุมนัก พวกเขาเริ่มค้นหาในหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงกับวัดกุมบุม จนกระทั่งมาถึงบ้านหลังเล็กๆหลังหนึ่งมีไม้สนคดงอเป็นรูปร่างแปลกๆใช้ทำเป็นรางน้ำตรงกับที่เห็นในสมาธิ จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับ เด็กชายลาโม ทอนดุป ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นกับครอบครัว ซึ่งต่อมาเด็กชายลาโมได้ถูกพิสูจน์ถึงความทรงจำในอดีตชาติ จนกระทั่งได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นดาไลลามะองค์ที่ ๑๓ อวตารหรือสืบชาติมาเกิดนั่นเอง และต่อมาได้รับการสถาปนาให้เป็นดาไลลามะองค์ที่ ๑๔ ซึ่งก็คือ ดาไลลามะองค์ที่ ๑๔ ที่ลี้ภัยไปอยู่ในประเทศอินเดียในปัจจุบันนั่นเอง

จะเห็นได้ว่าการทำนายถึงการสืบชาติมาเกิดใหม่นั้น ถูกต้องและได้ผลจริง เกี่ยวกับการทำนายในทางพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ปฏิเสธ ในเรื่องของการทำนาย เพราะในสมัยที่ท่านยังเป็น สิทธัตถกุมาร ท่านก็ได้รับการทำนายลักษณะจากอสิตดาบสว่า “พระกุมารนี้มีพระลักษณะพระโพธิสัตว์เจ้าบริบูรณ์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าโดยแท้” จากนั้นได้มีการเลือกสรรเอาพราหมณ์ผู้ทรงคุณวิทยา ๘ คน คือ รามพราหมณ์ ลักษณพราหมณ์ ยัญญพราหมณ์ ธุชพราหมณ์ โภชพราหมณ์ สุทัตตพราหมณ์ สุยามพราหมณ์ และโกณฑัญญพราหมณ์ เพื่อพิจารณาพยากรณ์พระลักษณะของ สิทธัตถกุมาร พราหมณ์ ๗ คนยกเว้น โกณฑัญญพราหมณ์ ยกนิ้วขึ้น ๒ นิ้วทำนายว่ามีคติ ๒ ประการ คือ “พระกุมารนี้ ผิว่าสถิตอยู่ในฆราวาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผิว่าออกบรรพชาจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” แต่มี โกณฑัญญพราหมณ์ ที่ยกนิ้วเดียว คือ ทำนายเป็นคติเดียวว่า “พระราชกุมารบริบูรณ์ด้วยพระมหาบุรุษพุทธลักษณะโดยส่วนเดียว จะอยู่ครองฆารวาสนิสัยไม่ได้ จะเสด็จออกบรรพชา และจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้” ซึ่งในที่สุดคำทำนายก็เป็นจริงตามนั้น จะเห็นได้ว่าในบรรดาพวกพราหมณ์เอง ก็มีวิชาการทำนายลักษณะอยู่ก่อนแล้ว จึงสามารถทำนายลักษณะได้อย่างถูกต้อง

แต่พระพุทธองค์ท่านทรงให้พระภิกษุสงฆ์ เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา โดยการเป็นหมอทำนายทายทัก เป็นหมอดูฤกษ์ยาม เช่น หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นหมอดูฤกษ์ยาม ทายนิมิต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะสิ่งของ ดูลักษณะสถานที่ เป็นหมอทายอายุ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะสัตว์ ให้ฤกษ์ยาตราทัพ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้ายพยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภัย จักเกิดโรค เป็นต้น เพราะถึงแม้ว่าวิชาเหล่านี้จะมีอยู่จริงเช่นเดียวกันกับวิชาไสยศาสตร์แต่ก็ไม่ใช่วิถีทางที่จะนำไปสู่ความดับทุกข์ได้

a The data in this table derive from an analysis made in 1982 and were published in Cook et al. (1983).

b For unsolved cases , figures are based on the mode of death mentioned by the subject.

ตารางแสดงสาเหตุการเสียชีวิตเมื่อในอดีตชาติ ของกรณีศึกษาทั้งหมด ๗๒๕ ราย จาก ๖ ประเทศ จากหนังสือ

REINCARNATION AND BIOLOGY (Volume 1 : Birthmarks) เขียนโดย Ian Stevenson,M.D.


จากตารางด้านบนจะเห็นได้ว่า มีผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตด้วยสาเหตุ จากการป่วยไข้ซึ่งเป็นการเสียชีวิตตามปกติธรรมชาติ (Natural Death) จำนวน ๒๗๙ ราย ส่วนผู้จำอดีตชาติได้ที่ในอดีตชาติเสียชีวิตด้วยสาเหตุ รุนแรง กะทันหัน อุบัติเหตุ ถูกฆาตกรรม หรือที่เรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่าตายโหง (Violent Death) มีมากถึง ๔๔๖ ราย จากทั้งหมด ๗๒๕ ราย ในจำนวนนี้ ๒๗๔ ราย สามารถพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตในอดีตชาติได้ (Solved) ส่วนอีก ๑๗๒ ราย ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อย่างแน่ชัด แต่ได้รับคำบอกเล่าจากตัวของผู้จำอดีตชาติได้เอง (Unsolved)

จากสถิติที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดดังกล่าว อาจเป็นที่มาของความเชื่อของคนไทยที่ว่า ผู้ที่จำอดีตชาติได้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เสียชีวิตแบบผิดปกติธรรมชาติหรือตายโหง เนื่องจากพวกเขายังไม่หมดอายุไข จึงต้องเกิดมาอีกครั้งเพื่อใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ และคิดกันไปว่าชีวิตที่เหลืออยู่ดังกล่าวคงจะเหลืออยู่ไม่มาก ทำให้เชื่อกันว่าผู้ที่จำอดีตชาติได้จะอายุสั้น อันเป็นที่มาของความพยายามที่จะไม่ให้เด็กพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติ หรือพยายามทำให้เด็กหยุดพูดถึงอดีตชาติโดยเร็วนั่นเอง

มีคำถามว่า ทำไมคนที่ในอดีตชาติเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดปกติธรรมชาติ หรือตายโหง จึงมักจะจำอดีตชาติได้ ?

ผู้เขียนมีสมมุติฐานว่าด้วยการจำอดีตชาติได้และการจำอดีตชาติไม่ได้ดังนี้คือ การที่บางคนสามารถจำอดีตชาติได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้น ยังอยู่ในระดับของ วิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ (Consciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือมีความฝังใจ หรือมีเจตนาที่แรงกล้า หรือมีความหนักแน่นมั่นคง หรือมีความชัดเจน หรือเพราะจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตมีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะวิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะอยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ จึงทำให้สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก

ส่วนผู้ที่จำอดีตชาติไม่ได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกดึงเข้าไปอยู่ในระดับของ ภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก (Subconsciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ไม่ได้ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือไม่ได้ถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือไม่มีความฝังใจ หรือไม่มีเจตนาที่แรงกล้า หรือไม่มีความหนักแน่นมั่นคง หรือไม่มีความชัดเจน หรือเพราะจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตขาดสติสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัว ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะอยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกดึงเข้าไปเก็บไว้ในระดับเดียวกันกับภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก จึงทำให้ไม่สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก

จากสมมุติฐานดังกล่าวสามารถอธิบายได้ว่า สาเหตุที่ทำให้ผู้ที่เสียชีวิตด้วยเหตุที่ผิดธรรมชาติ รุนแรง กะทันหัน อุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม(Violent Death) เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่พวกเขามักจะจำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ ก็อาจเนื่องมาจากผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุดังกล่าวนั้น พวกเขาได้ประสบกับเหตุการณ์ที่รุนแรงน่ากลัว เกิดขึ้นกะทันหันไม่ทันตั้งตัว เกิดอุบัติเหตุ หรือถูกฆาตกรรม ในทางพุทธศาสนาเรียกอารมณ์ที่แจ่มชัดมาก รุนแรงมาก มีผลกระทบมาก ที่เกิดขึ้นทางหู ตา จมูก ลิ้น และทางกาย ว่า "อติมหันตารมณ์" และเรียกอารมณ์ที่แจ่มชัดมาก รุนแรงมาก มีผลกระทบมาก ที่เกิดขึ้นทางใจว่า "วิภูตารมณ์" ซึ่งอารมณ์ที่แจ่มชัดมาก รุนแรงมาก มีผลกระทบมาก จะทำให้จำได้แม่น จำได้นาน หรือจำฝังใจ เหมือนกับที่บุคคลทั่วไปได้ประสบเหตุการณ์ลักษณะเหล่านี้แล้วจำได้จนวันตาย อาจประกอบด้วยความคั่งแค้นที่หนักแน่นมั่นคง อาจประกอบด้วยความเป็นห่วงหรือเสียดาย ในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำหรือสิ่งที่ตั้งใจไว้ ทำให้เกิดความคิดถึงระลึกถึงอยู่เสมอ จึงทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นๆถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ (Consciousness) เมื่อสืบชาติมาเกิดใหม่จึงมีโอกาสที่จะจำอดีตชาติได้มากกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุธรรมชาติ เช่น เสียชีวิตเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะเหตุว่าก่อนจะเสียชีวิต ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรับรู้ถึงอาการผิดปกติต่างๆที่เกิดกับร่างกายมาก่อนแล้ว จึงมีเวลาทำใจให้พร้อมรับกับความตายที่กำลังจะมาถึง อีกทั้งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีความรุนแรง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของแต่ละบุคคลไม่มีใครทำให้เกิด จึงไม่เป็นเหตุให้เกิดความฝังใจแค้นใจความทรงจำนั้นๆจึงไม่ค่อยจะมั่นคงหนักแน่นหรือไม่ถูกระลึกอยู่เสมอจึงถูกเก็บไว้ในระดับของภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก(Subconsciousness) ทำให้โอกาสที่จะจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติ จึงมีน้อยกว่าผู้ที่เสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ผิดธรรมชาติ

ในพระไตรปิฎก มีการแสดงถึงการมีสติระลึกรู้สึกตัว ขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ขณะอยู่ในครรภ์ และขณะคลอดจากครรภ์มารดา ดังปรากฏใน สัมปสาทนียสูตร ความว่า

พระสารีบุตร ได้กราบทูลสรรเสิรญธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม คือ

พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในการก้าวลงสู่ครรภ์ การก้าวลงสู่ครรภ์ ๔ เหล่านี้

คือ

สัตว์บางชนิดในโลกนี้ ไม่รู้สึกตัว(ขณะ)ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัว(ขณะ)อยู่ใน

ครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัว(ขณะ)คลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์

ข้อที่ ๑

ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัว(ขณะ)ก้าวลงสู่ครรภ์มารดาอย่าง

เดียว แต่ไม่รู้สึกตัว(ขณะ)อยู่ในครรภ์มารดา ไม่รู้สึกตัว(ขณะ)คลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์

ข้อที่ ๒

ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัว(ขณะ)ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา รู้สึก

ตัว(ขณะ)อยู่ในครรภ์มารดา แต่ไม่รู้สึกตัว(ขณะ)คลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์

ข้อที่ ๓

ยังอีกข้อหนึ่ง สัตว์บางชนิดในโลกนี้ รู้สึกตัว(ขณะ)ก้าวลงสู่ครรภ์มารดา

รู้สึกตัว(ขณะ)อยู่ในครรภ์มารดา รู้สึกตัว(ขณะ)คลอดจากครรภ์มารดา นี้เป็นการก้าวลงสู่ครรภ์

ข้อที่ ๔

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้ก็เป็นข้อธรรมที่เยี่ยม ในการก้าวลงสู่ครรภ์

(สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค สัมปสาทนียสูตร)

จากข้อมูลที่ปรากฏในพระไตรปิฎกในพระสูตรนี้ มีความเป็นไปได้ว่าการมีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว ขณะก้าวลงสู่ครรภ์มารดา ขณะอยู่ในครรภ์มารดา และขณะคลอดจากครรภ์มารดา อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้สามารถจำอดีตชาติได้ เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ยังอยู่ในระดับของ วิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือมีความฝังใจ หรือมีเจตนาที่แรงกล้า หรือมีความหนักแน่นมั่นคง หรือมีความชัดเจน ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ จึงทำให้สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก

ส่วนการเผลอสติ เช่น มีเด็กที่จำอดีตชาติได้บางคนเล่าว่า หลังตายไปมีนายนิรยบาลบังคับให้กินยาหรืออะไรบางอย่างเพื่อให้ลืมอดีตชาติ แต่เขาไม่กิน เขาคายออก หรือบ้วนทิ้ง เขาก็เลยยังจำอดีตชาติได้ หรือมีเด็กที่จำอดีตชาติได้บางคนเล่าว่า หลังตายไปแล้วได้ไปพบตายายคู่หนึ่งที่ทางสามแพ่ง แล้วตายายให้กินน้ำหรือให้กินผลไม้แต่เขาไม่กินเพราะเขารู้ว่ากินแล้วจะทำให้ลืมอดีตชาติ เป็นต้น ถ้าเหตุการณ์หลังความตายที่พวกเขาเล่าเป็นความจริง ก็มีความเป็นไปได้ว่า ในโลกหลังความตายนั้นมีความพยายามที่จะไม่ให้มีการจำอดีตชาติได้ และ ยา น้ำ หรือผลไม้เหล่านั้นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้มีอาการเผลอสติและทำให้จิตหรือวิญญาณส่วนใหญ่ที่สืบชาติมาเกิดใหม่จำอดีตชาติไม่ได้ก็เป็นได้

จากพระพุทธพจน์ในพระสูตรดังกล่าว มีกรณีศึกษาหลายกรณี ที่เด็กที่เกิดมาในครอบครัวเดิมมีปานบนผิวหนัง ที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยป้ายศพที่พ่อแม่หรือญาติของผู้เสียชีวิตป้ายไว้ แต่เด็กจำอดีตชาติไม่ได้ มีบางกรณีที่พ่อแม่หรือญาติของผู้เสียชีวิตป้ายศพไว้ เด็กเกิดมาจำอดีตชาติได้ว่าเป็นผู้เสียชีวิตมาเกิด แต่ไม่มีปานบนผิวหนัง ที่มีลักษณะและตำแหน่งตรงกันกับรอยป้ายศพ เป็นไปได้หรือไม่ว่า

๑. คนที่ตายแล้วเกิดใหม่ และจำอดีตชาติไม่ได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก คือคนที่เมื่อตายไปแล้วเผลอสติ ไม่มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว หลังตายจำอะไรไม่ได้ ขณะก้าวลงสู่ครรภ์ ขณะอยู่ในครรภ์ และขณะคลอดจากครรภ์ ก็จำอะไรไม่ได้ไม่รู้สึกตัว เหมือนดังเช่นการการก้าวลงสู่ครรภ์ในแบบที่ ๑ ในพระพุทธพจน์นี้

๒. คนที่ตายแล้วเกิดใหม่ และมีรอยปานหรือรอยคล้ายรอยแผลเป็นหรือความบกพร่องทางร่างกาย ที่มีลักษณะและตำแหน่งที่ตรงกันกับรอยป้ายศพ หรือรอยบาดแผล หรือลักษณะอวัยวะบางส่วนของร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บ ที่ช้ำ ที่เปรอะเปื้อน ที่ขาด ที่เสียหาย ที่ผิดรูป ฯลฯ ของผู้เสียชีวิต แต่จำอดีตชาติไม่ได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก คือคนที่เมื่อตายไปแล้วขณะก้าวลงสู่ครรภ์ หรือขณะอยู่ในครรภ์ มีสติสัมปชัญญะ รู้สึกตัวจำรอยป้ายศพได้ จำร่องรอยบาดแผล จำลักษณะอวัยวะบางส่วนของร่างกาย ที่ได้รับบาดเจ็บ ที่ช้ำ ที่เปรอะเปื้อน ที่ขาด ที่เสียหาย ที่ผิดรูป ฯลฯ ของผู้เสียชีวิตได้ ก็เลยทำให้เกิดร่องรอยบนผิวหนังหรือทำให้เกิดความบกพร่องทางร่างกายเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับผู้เสียชีวิตตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์ แต่ไม่มีสติสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัวจำอะไรไม่ได้ขณะคลอดจากครรภ์ จึงทำให้เขามีร่องรอยบนผืวหนังหรือมีความบกพร่องางร่างกายที่ตรงกันกับผู้เสียชีวิต แต่จำอดีตชาติไม่ได้ เหมือนดังเช่นการการก้าวลงสู่ครรภ์ในแบบที่ ๒ และ ๓ ในพระพุทธพจน์นี้

๓. คนที่ตายแล้วเกิดใหม่ และจำอดีตชาติได้ และก็คือคนที่หลังตาย หรือขณะก้าวลง ขณะอยู่ในครรภ์ และขณะคลอดจากครรภ์ มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัวจำได้ เหมือนดังเช่นการการก้าวลงสู่ครรภ์ในแบบที่ ๔ ในพระพุทธพจน์นี้

๔. ส่วนคนที่ตายแล้วเกิดใหม่ จำอดีตชาติได้ แต่ไม่มีปานหรือร่องรอยหรือความบกพร่องทางร่างกายเหมือนกับผู้เสียชีวิตหรือเหมือนกับรอยป้ายศพ เป็นไปได้หรือไม่ว่า เพราะหลังเสียชีวิตจิตหรือวิญญาณของเขาไม่ได้รับรู้ ไม่ได้เห็น การป้ายศพ หรือลักษณะศพของผู้เสียชีวิต ก็เลยแค่จำอดีตชาติได้ แต่ไม่ได้จดจำเอาร่องรอยต่าง ๆ มาด้วย

คำสอนของพระพุทธเจ้า ในพระสูตรนี้ เป็นทฤษฎีหรือเป็นสมมุติฐานที่เป็นไปได้มากที่สุด ที่สามารถใช้อธิบายลักษณะที่แตกต่างกันของแต่ละกรณีศึกษาได้อย่างลงตัว

ความฝันบอกเหตุ (Announcing Dreams)

จากข้อมูลเรื่องราวของผู้ที่จำอดีตชาติได้ทั้ง ๑๖ รายในหนังสือเล่มนี้ จะเห็นได้ว่ามีผู้จำอดีตชาติได้ถึง ๗ ราย ที่มีลักษณะของความฝันบอกเหตุว่าผู้เสียชีวิตจะสืบชาติมาเกิดใหม่หรือฝันบอกเหตุว่าจะมีบุตร ซึ่งมีทั้งแม่ของผู้ที่เสียชีวิตเป็นผู้ฝัน บุคคลอื่นเป็นผู้ฝัน และแม่ของผู้ที่จำอดีตชาติได้เป็นผู้ฝันเอง แต่ในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ของผู้ที่จำอดีตชาติได้เป็นผู้ฝันเอง และจะมีลักษณะของความฝันบอกเหตุอยู่ ๒ ลักษณะ คือ ลักษณะที่ฝันว่าผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วมาปรากฏให้เห็นในฝันและพูดหรือแสดงให้รู้ว่าจะมาเกิดใหม่ และลักษณะที่ฝันว่าเก็บเครื่องประดับหรือของมีค่าได้หรือมีคนนำมามอบให้ เช่น สร้อยคอ ต่างหู ไฟแช็ก เป็นต้น

มีคำถามว่า ความฝันบอกเหตุคืออะไร และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันกับการจำอดีตชาติได้และการสืบชาติมาเกิดใหม่อย่างไร ?

ลางบอกเหตุ ในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “บุพนิมิต” หรือ “บุรพนิมิตต์” (portend) คือ ลักษณะ สภาวะ อาการ เหตุปัจจัย หรือเครื่องหมายที่แสดงให้รู้ล่วงหน้าก่อนที่ปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ใดๆจะเกิดขึ้น เช่น ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นในตอนเช้าเราจะมองเห็นแสงสว่างที่ขอบฟ้าก่อน หรือก่อนที่ฝนจะตกเราจะเห็นเมฆฝนก่อน อย่างนี้เรียกว่าเป็นบุพนิมิต ซึ่งจะมีสิ่งที่เป็น สัญลักษณ์ หรือ เครื่องหมายที่แสดงให้เห็นล่วงหน้า (Presages) ว่าสิ่งนั้นๆ เหตุการณ์นั้นๆ หรือปรากฏการณ์นั้นๆกำลังจะเกิดมีเกิดเป็นขึ้นมา สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นล่วงหน้านี้มีอยู่หลายประเภท เช่น ลักษณะของคน สัตว์ สิ่งของ พืช ปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความฝัน เป็นต้น ความฝัน เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายอย่างหนึ่งที่สามารถแสดงถึงลางบอกเหตุล่วงหน้าได้

ในทางพุทธศาสนา มีหลายคัมภีร์ที่กล่าวถึงมูลเหตุแห่งความฝันไว้ เช่น คัมภีร์ทุติยสมันตปาสาทิกา และ คัมภีร์สารัตถสังคหะ เป็นต้น ในพระไตรปิฎกฉบับอรรถกถาแปล มีการกล่าวถึงลักษณะการเกิดขึ้นของความฝันว่ามี ๔ ลักษณะ คือ

๑. ธาตุโขภะ เกิดจากธาตุวิปริต คือ ความฝันที่เกิดจากความเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงของสสารและพลังงานในร่างกาย ร่างกายมีความผิดปกติ หรือป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น บางคนนอนทับแขนตัวเองทำให้เลือดเดินไม่ได้ ทำให้เกิดอาการชาหรือเจ็บที่แขน จึงฝันว่ามีคนมาตีแขนบ้างประสบอุบัติเหตุและบาดเจ็บที่แขนบ้าง หรือบางคนเป็นหวัดคัดจมูกจึงฝันว่ามีคนมาปิดปากปิดจมูกทำให้หายใจไม่ออกบ้าง อยู่ในที่แคบที่ไม่มีอากาศหายใจบ้าง หรือขณะนอนหลับได้ยินเสียง ได้กลิ่น มีบางสิ่งมาสัมผัส หรือมีบางสิ่งมาทำให้เกิดความรู้สึกร้อนเย็น ก็นำสิ่งที่มากระทบขณะนั้นๆมาฝันเป็นเรื่องเป็นราวได้ เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าความฝันที่เกิดจากธาตุวิปริต

๒. อนุภูติบุพพะ เกิดจากอารมณ์ในกาลก่อน คือ ความฝันที่เกิดจากอารมณ์หรือความรู้สึกที่เกิดขึ้น ที่เก็บไว้ หรือยังค้างคาใจอยู่เมื่อก่อนที่จะนอนหลับ เช่น บางคนก่อนนอนได้คุยกับเพื่อนเรื่องการเรียน จึงเก็บมาฝันว่าทำข้อสอบได้คะแนนสูงหรือฝันว่าถูกครูต่อว่าหรือฝันว่าทำการบ้านถูกหมดทุกข้อ บางคนทำจานใบที่แม่ชอบแตกในตอนกลางวัน จึงเก็บมาฝันในตอนกลางคืนว่าได้ซื้อจานใบใหม่ที่เหมือนกันทุกประการกับใบที่แม่ชอบมาไว้แทนที่เรียบร้อยแล้ว บางคนมีความตั้งใจว่าจะบวชทดแทนคุณพ่อแม่นานมาแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสและเวลาที่จะบวชเนื่องจากติดภารกิจการงาน และตอนกลางวันเขาได้เห็นพระสงฆ์ คืนนั้นเขาจึงเก็บเอาอารมณ์ความตั้งใจในกาลก่อนมาฝันว่าได้บวชให้พ่อแม่ เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าความฝันที่เกิดจากอารมณ์ในกาลก่อน

๓. เทวโตปสังหรณ์ เกิดจากเทวดาหรือพวกโอปปาติกะ (เทวดา,พรหม,สัตว์นรก,เปรต,ภูตผีปีศาจวิญญาณ (แล้วแต่จะเรียกกัน) มาดลสังหรณ์หรือมาเข้าฝัน เช่น

วิญญาณคนตายมาเข้าฝันขอให้อุทิศส่วนบุญไปให้ มาเข้าฝันบอกหวย เทวดามาเข้าฝันบอกสิ่งที่เป็นมงคล เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าความฝันที่เกิดจากโอปปาติกะดลสังหรณ์

๔. บุพพนิมิตกิดจากบุพนิมิตหรือความฝันบอกเหตุ คือ ความฝันที่บอกล่วงหน้าว่าจะเกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นในภายหน้า ซึ่งอาจเกิดจากญาณรู้ของเราเองหรือพวกโอปปาติกะมาดลสังหรณ์ เช่น ฝันว่าผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วมาขอเกิดด้วยและต่อมาบุตรที่เกิดมาจำอดีตชาติได้ว่าเป็นคนที่เคยมาเข้าฝันมาเกิด , ฝันว่าไฟจะไหมบ้านและต่อมาได้เกิดไฟไหม้บ้านจริงๆ เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่าความฝันบอกเหตุ


ในพุทธประวัติ มีการกล่าวถึงความฝันบอกเหตุไว้ว่า คืนหนึ่งก่อนที่จะตั้งพระครรภ์ เจ้าชายสิทธัตถะ พระนางเจ้ามายาราชเทวี พระมารดาของเจ้าชายสิทธัตถะ ได้ทรงพระสุบิน(ฝัน)ว่า มีช้างเผือกชูดอกบัวบุณฑริก(บัวขาว)มาเข้าเฝ้าพระนาง ทำประทักษิณ(เดินเวียนขวา)เวียนพระแท่นที่บรรทม(นอน) ๓ รอบ แล้วปรากฏเสมือนเข้าไปสู่พระอุทร(ท้อง)เบื้องขวาของพระราชเทวี จากนั้นพระนางเจ้าก็เสด็จตื่นจากบรรทม พวกพราหมณ์ทำนายความฝันของพระนางว่า พระสุบิน(ฝัน)ของพระราชเทวีเป็นมงคลนิมิตปรากฏ พระนางจะได้พระโอรส ผู้มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่ในโลก ซึ่งต่อมาพระนางก็ตั้งพระครรภ์และให้กำเนิดพระโอรส คือเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้าในกาลต่อมานั่นเอง