ข้อสันนิษฐาน
เกี่ยวกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
สำหรับข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ผู้ถวายวิสัชนาปัญหาธรรม ที่ปรากฏในบานแผนกของ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์นายกกรรมการหอสมุดวชิรญาณนั้น ผู้เขียนมีความเห็นที่แตกต่างออกไป โดยอาศัยข้อความที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ได้ปรารภกับสมเด็จพระเพทราชา ในตอนท้ายของการตอบพระอัฏฐธรรมปัญหานี้ว่า “…ด้วยอาตมาภาพได้รับพระราชกระแสรับสั่งว่าจะขอความรู้ อาตมาภาพยินดีนักหนา ด้วยอาตมาภาพได้วิสัชนาถวายมาแต่ก่อนบ้างแล้ว บัดนี้อาตมาภาพชราแล้ว จะขอถวายครั้งนี้เป็นปริโยสาน…” จากข้อความนี้มีข้อสังเกตว่าที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านปรารภว่าได้เคยวิสัชนาถวายมาแต่กาลก่อน และจะขอถวายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเพราะเหตุว่าชรามากแล้วนั้น
พระเพทราชา
(ภาพจากวารสารเมืองโบราณ)
เมื่อคำนวณระยะเวลาระหว่างปีที่ ตรัสน้อย พระราชโอรสของสมเด็จพระเพทราชาประสูติ คือ พ.ศ.๒๒๓๗ และกว่าที่ตรัสน้อยจะได้บรรพชาเป็นสามเณรและเป็นศิษของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดพุทไธสวรรย์เมื่อพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา คือราว พ.ศ.๒๒๕๐ เมื่อเทียบกับปีที่มีการปุจฉาวิสัชนาอัฏฐธรรมปัญหานี้ คือ พ.ศ.๒๒๓๓ แล้ว สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์นี้คงจะชราไปอีกอย่างน้อย ๑๖ ปี ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์นี้จะเป็นองค์เดียวกันกับพระอาจารย์ของตรัสน้อย จึงยังไม่อาจเห็นตามข้อสันนิษฐานของนายกกรรมการหอสมุดวชิรญาณได้
จากการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ในรัชสมัยของสมเด็จพระเพทราชามีข้อมูลหนึ่งที่น่าสนใจปรากฏอยู่ในหนังสือ ในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์ ของ อ.ประมวลวิทย์ ความตอนหนึ่งว่า …บรรดาครูบาอาจารย์และบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่กล่าวขวัญกันเป็นอันดับหมายเลข ๑ ที่สามารถเทศนาสอนพระราชาและสมเด็จพระนารายณ์ทรงยกย่องมากที่สุดคือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดเดิม สมเด็จพระเถระองค์นี้ปรากฏว่าทรงภูมิรู้แตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎกโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวแก่เชี่ยวชาญในคาถาอาคมทางไสยศาสตร์ หรือแม่นยำโหราศาสตร์ดังอาจารย์อื่นๆ…เอาแต่เรื่องในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง…คำเทศนาที่ทำชื่อเสียงโด่งดังจนได้ชื่อว่าเป็นครูผู้สอนพระราชา ที่ปรากฏอยู่คือ ได้เทศนาเรื่อง “ราโชวาทชาดก ถวายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช…นอกจากเทศนาราโชวาทชาดกถวายแล้ว ปรากฏว่าสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ยังได้เทศนา ถวายวิสัชนาตอบแก้พระราชปุจฉาคำถาม ข้อสงสัยของสมเด็จพระนารายณ์หลายเรื่อง…" จากข้อความนี้จะเห็นได้ว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดเดิม องค์นี้เป็นผู้ทรงภูมิรู้ในพระไตรปิฎกและเป็นพระอาจารย์ของ สมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งสอดคล้องกับคุณลักษณะของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์องค์ที่ตอบอัฏฐธรรมปัญหาทั้ง ๘ ข้อนี้ โดยพิจารณาจากข้อธรรมะ การยกตัวอย่างเรื่องราวในคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์ชั้นอรรถกถาฎีกาต่างๆ เห็นได้ว่าจะต้องเป็นผู้ที่ทรงภูมิรู้เชี่ยวชาญในคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์ชั้นอรรถกถาฎีกาเป็นอันมาก ที่สำคัญคือน่าจะเป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระเพทราชาเมื่อครั้งยังเป็นสามัญชนด้วย เนื่องจากทั้ง ๒ พระองค์ทรงเป็นพระสหายกันมาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์
สมเด็จพระนารายณ์
(ภาพจาก Oknation)
จากข้อความนี้ยังสามารถให้ข้อสันนิษฐานได้อีกหลายประการ เช่น เมื่อปรากฏหลักฐานว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดเดิมองค์นี้เคยเทศนาถวายวิสัชนาตอบแก้พระราชปุจฉาข้อสงสัยของสมเด็จพระนารายณ์หลายเรื่อง สมเด็จพระเพทราชาซึ่งเวลานั้นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่และเป็นพระสหายของสมเด็จพระนารายณ์ก็น่าจะได้ร่วมรับฟังอยู่ด้วย จึงทรงทราบดีว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดเดิมองค์นี้มีปรีชาสามารถในด้านนี้ จึงทรงแต่งอัฏฐธรรมปัญหาทั้ง ๘ ข้อนี้ขึ้นถาม เมื่อพิจารณาจากคำปรารภของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ที่ว่า “อาตมาภาพได้วิสัชนาถวายมาแต่ก่อนบ้างแล้ว” ก็เห็นจะเป็นไปได้ และพระพุทธโฆษาจารย์องค์นี้ก็อยู่ในวัยชรามากแล้ว จึงมีเหตุให้สันนิษฐานได้ว่า สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดเดิม องค์นี้อาจจะเป็นองค์เดียวกันกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ที่ถวายวิสัชนาอัฏฐธรรมปัญหา ของสมเด็จพระเพทราชาในครั้งนั้นก็เป็นได้
ภาพตำหนักของพระพุทธโฆษาจารย์
พระเถระผู้เป็นอาจารย์ของสมเด็จพระเพทราชา
(ภาพจากหอมรดกไทย)