นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์

ข้อมูลเบื้องต้น

กรณีของ นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์

ปัจจุบันชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นายเทเวศน์(เท่) เรียบสัมพันธ์ ชื่อเล่น : เอ็ด

วันเดือนปีเกิด : ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๒๑

รอยแผลเป็นตั้งแต่กำเนิด : มีแผลเป็นคล้ายรูกระสุนปืนที่ศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวา

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๔๒/๒ หมู่ ๓ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๒ คน คือ

๑. นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์

๒. เด็กหญิงจีระพันธ์ เรียบสัมพันธ์

อดีตชาติ

ชื่อ-นามสกุล : นายศิริ ใจเร็ว ชื่อเล่น : ริ

วันเดือนปีเกิด : ๑๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๐๓

ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๕/๒ หมู่ ๕ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์

พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๕ คน คือ

๑. นายศิริ(ริ) ใจเร็ว ๔. นายสุพจน์(พจน์) ใจเร็ว

๒. นายเสถียร(รัก) ใจเร็ว ๕. นายมนตรี(เพิ่ม) ใจเร็ว

๓. นางทองหล่อ(นู) แย้มสัจจา

วันเดือนปีที่เสียชีวิต : ๒๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๙ ขณะอายุได้ : ๑๖ ปี

สาเหตุที่เสียชีวิต : ถูกฆาตกรรม

บาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต : มีบาดแผลกระสุนปืนที่ศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวา

สถานที่เสียชีวิต : ริมถนนระหว่างหมู่บ้านตะคร้อกับหมู่บ้านวังกระโดนน้อย

แผนที่ประกอบ : บ้านนางสมพร,บริเวณที่ถูกยิง,บ้านนายประทุม,บ้านงานบวช,บ้านของนายศิริ ฯลฯ (คลิ๊กที่บอลลูนสีแดง)

นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์ จำอดีตชาติได้

ผู้ที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียน รายแรกนี้ มีชื่อว่า นายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์ เดิมชื่อว่า “นายเท่” เพิ่งเปลี่ยนชื่อ เป็น “นายเทเวศน์” เมื่อไม่นานมานี้เอง นายเทเวศน์ เป็นบุตรชายคนโตของ นายประทุม เรียบสัมพันธ์ ซึ่งเป็นชาวหมู่บ้านตะคร้อ กับ นางสมพร เรียบสัมพันธ์(หงษ์ทอง) ชาวหมู่บ้านวังกระโดนน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตะคร้อไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๒ กิโลเมตร(ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านหนึ่งในตำบลตะคร้อ) นายเทเวศน์จบการศึกษาชั้น ปวช. แผนกช่างไฟฟ้ากำลัง จากวิทยาลัยเทคนิคชัยนาท ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ นายเทเวศน์ประกอบอาชีพขับรถสองแถวรับจ้างอยู่ที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี

นางสมพร นายประทุม เรียบสัมพันธ์

นายเทเวศน์จำอดีตชาติได้ว่า ชาติก่อนเขามีชื่อว่า นายศิริ ใจเร็ว เป็นบุตรของ นายเยื้องและ นางทอง ใจเร็ว สำหรับข้อมูลการจำอดีตชาติได้ของนายเทเวศน์นี้เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นใกล้ตัวของผู้เขียนมากที่สุด เนื่องจาก นายศิริ ใจเร็ว หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า “น้าริ” มีศักดิ์เป็นทั้งน้าและอาของผู้เขียนเพราะ นายเยื้อง ใจเร็ว พ่อของน้าริเป็นน้องแท้ๆของย่าของผู้เขียน และนางทอง ใจเร็ว(พัตตาสิงห์) ก็เป็นน้องแท้ๆของยายของผู้เขียน ซึ่งผู้เขียนเรียกท่านทั้งสองว่า “พ่อเฒ่าเยื้องและแม่เฒ่าทอง” หรือ “เฒ่าเยื้อง เฒ่าทอง” ตามที่พ่อแม่สอนให้เรียก

เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของนายเทเวศน์หรือเด็กชายเท่ในขณะนั้นได้ถูกเปิดเผยขึ้น ในงานอุปสมบทของ นายบุญส่ง พัตตาสิงห์ หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า “น้าส่ง” ซึ่งเป็นบุตรชายคนโตของ นายเสวียน พัตตาสิงห์ หรือ “เฒ่าเหวียน” น้องชายคนที่ ๓ ของยายผู้เขียน วันนั้นนางสมพรแม่ของเด็กชายเท่ ได้พาเด็กชายเท่ซึ่งขณะนั้นอายุประมาณ ๒ ขวบมาร่วมงานด้วย เนื่องจาก นายไก่ หงษ์ทอง พ่อของนางสมพรเป็นเพื่อนสนิทของเฒ่าเหวียนพ่อของน้าส่ง ในงานขณะที่หลายคนกำลังจัดเตรียมอาหารเพื่อเลี้ยงรับรองแขกที่มาช่วยงาน เฒ่าทองแม่ของน้าริก็มาช่วยงานด้วย ตอนนั้นเฒ่าทองกำลังทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน นางสมพรได้พาเด็กชายเท่เดินเข้าไปหลังบ้านบริเวณที่เฒ่าทองกำลังทำกับข้าวอยู่ ทันทีที่เด็กชายเท่มองเห็นเฒ่าทองจากทางด้านหลัง ก็วิ่งเข้าไปกอดและเรียกเฒ่าทองว่า “แม่” ท่ามกลางความประหลาดใจของผู้ที่อยู่บริเวณนั้น โดยเฉพาะเฒ่าทองก็รู้สึกตกใจที่จู่ๆมีเด็กที่ไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักมาก่อนมาเรียกว่าแม่ เฒ่าทองรู้สึกสงสัยจึงถามเด็กชายเท่ว่า “หนูเป็นลูกใครล่ะ” เด็กชายเท่บอกว่า “แม่จำผมไม่ได้หรือ ผมไอ้ริไง” เฒ่าทองรู้สึกตกใจ นางสมพรได้ยินดังนั้นจึงถามเฒ่าทองว่า “ป้าชื่อทองใช่ไหม” เฒ่าทองตอบว่า “ใช่”

นางทอง ใจเร็ว

(นามสกุลเดิม พัตตาสิงห์)

เมื่อนางสมพรทราบดังนั้น ก็บอกกับเฒ่าทองว่า เด็กชายเท่ลูกชายของเธอร้องไห้หาพ่อหาแม่มาหลายวันแล้ว ตอนนั้นเธอปลอบว่า “พ่อกับแม่อยู่นี่ไง”เขาบอกว่า “ไม่ใช่ พ่อผมชื่อเยื้องแม่ผมชื่อทอง” แต่ตอนนั้นเธอไม่รู้จักเพราะเธอไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้ และเมื่อตอนเช้าวันนี้เธอได้สอบถามคนแถวบ้านของนายประทุมสามีของเธอ ซึ่งเพื่อนบ้านแถวนั้นก็บอกว่านายเยื้องนางทองที่เด็กชายเท่บอกนั้นมีอยู่จริงเป็นคนในหมู่บ้านนี้และบอกทางที่จะไปบ้านให้ด้วย ตอนนั้นเธอตั้งใจว่าเมื่อเสร็จงานบวชแล้วเธอจะพาเขาไปตามหา ไม่คิดว่าจะได้พบกันในงานนี้

เมื่อทราบดังนั้น เฒ่าทองก็สอบถามเด็กชายเท่ต่อไปว่า “หนูชื่ออะไร” เด็กชายเท่ตอบว่า “ผมชื่อริ” เฒ่าทองชี้ให้ดูญาติๆที่รู้จักและสนิทกับน้าริที่อยู่ในงานแล้วถามเด็กชายเท่ว่ารู้จักคนเหล่านั้นหรือไม่ เด็กชายเท่ก็สามารถบอกชื่อของญาติๆเหล่านั้นได้ ทั้งๆที่ไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน ต่อมานางสมพรชี้ให้เฒ่าทองดูรอยแผลเป็นที่บริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวาที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของเด็กชายเท่ เมื่อเฒ่าทองเห็นก็ถึงกับตะลึง เพราะรอยแผลเป็นนั้นตรงกับรอยแผลกระสุนปืนที่น้าริถูกยิงพอดี

แต่เพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจ เฒ่าทองได้พาเด็กชายเท่ไปพบกับเฒ่าเยื้องซึ่งนั่งดื่มเหล้าอยู่กับญาติๆ ที่บ้านของ นางเทียม ไผ่ประการ(พัตตาสิงห์) น้องสาวคนสุดท้องของยายผู้เขียน ซึ่งอยู่ ติดกันกับบ้านของผู้เขียนและอยู่ใกล้ๆกันกับบ้านของน้าบุญส่งโดยไม่มีนางสมพรไปด้วย เมื่อไปถึงเด็กชายเท่มองเห็นเฒ่าเยื้องก็แสดงอาการดีใจวิ่งเข้าไปกอดและเรียกเฒ่าเยื้องว่า “พ่อ” เฒ่าเยื้องตกใจถามว่า “ลูกใครล่ะเนี่ย” เด็กชายเท่บอกว่า “พ่อ...ผมไอ้ริไง” เฒ่าเยื้องรู้สึกงงกับคำพูดของเด็กชายเท่

เฒ่าทองจึงเล่าเรื่องราวเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาให้ฟัง และชี้ให้เฒ่าเยื้องดูรอยแผลเป็นบริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวาของเด็กชายเท่ เฒ่าเยื้องเห็นรอยแผลเป็นทั้งสองแห่งก็ถึงกับน้ำตาไหล เด็กชายเท่เห็นดังนั้นก็พูดว่า “พ่อจะร้องไห้ทำไม ผมมาเกิดแล้วนี่ไง” เด็กชายเท่พูดพร้อมกับเช็คน้ำตาให้ เด็กชายเท่บอกกับเฒ่าเยื้องว่า “พ่อกลับบ้านเราเถอะ” เด็กชายเท่พูดพร้อมกับจูงมือเฒ่าเยื้องจะให้พาไปบ้านในอดีตชาติ

ขณะนั้น ทวดสวน พัตตาสิงห์ ทวดของผู้เขียนได้สอบถามเด็กชายเท่ว่า “รู้จักแม่ไหม” เด็กชายเท่ ตอบอย่างไม่ลังเลว่า “รู้จัก...แม่ใหญ่(ยาย) ผมจำได้ แม่ใหญ่นะทีไอ้รักละก็ให้กินแต่ปลาตัวใหญ่ๆ ทีผมละก็ให้กินแต่ตัวเล็กๆ” เด็กชายเท่ต่อว่าทวดสวนว่าลำเอียง รักหลานไม่เท่ากัน รักนายเสถียร ใจเร็ว หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า “น้ารัก” น้องชายในอดีตชาติมากกว่าเขา เมื่อทวดสวนได้ยินดังนั้นก็ถึงกับร้องไห้ เพราะเหตุการณ์ที่เด็กชายเท่พูดถึงนั้นเคยเกิดขึ้นจริงเมื่อครั้งที่น้าริยังมีชีวิตอยู่

จากนั้นเฒ่าเยื้อง เฒ่าทองและญาติๆก็ได้สอบถามเด็กชายเท่ถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขาอีกหลายเรื่อง เช่น ถามถึงชื่อน้องๆของน้าริ ถามชื่อของญาติสนิทบางคน เด็กชายเท่ก็สามารถบอกชื่อ(ชื่อเล่น)และใช้คำนำหน้าชื่อของแต่ละคน(ไอ้,อี) เหมือนที่น้าริเคยใช้เรียกคนเหล่านั้น ได้อย่างไม่น่าเชื่อ เขาทราบเรื่องราวเหล่านั้นได้อย่างไร

พาไปพิสูจน์ที่บ้านในอดีตชาติ

วันนั้น...หลังจากทำการพิสูจน์สอบถามจนแน่ใจในระดับหนึ่งแล้ว เฒ่าเยื้องและเฒ่าทองได้พาเด็กชายเท่ไปพิสูจน์ต่อที่บ้านในอดีตชาติตามลำพัง พ่อแม่ลูก เฒ่าเยื้องและเฒ่าทองได้ทดลองให้เด็กชายเท่ชี้สิ่งของที่เป็นของน้าริ และสิ่งของที่น้าริคุ้นเคย เด็กชายเท่ก็สามารถชี้ได้ถูกต้อง ทดลองให้ชี้ภาพถ่ายของพ่อแม่ปู่ย่าและน้องๆ ของน้าริ เด็กชายเท่ก็สามารถชี้ได้ถูกต้องและบอกด้วยว่าเป็นใครชื่ออะไร เฒ่าทองถามว่า “ปู่ชื่ออะไร” เด็กชายเท่ ตอบว่า “ชื่อปู่ขาว” เฒ่าทองถามว่า “แล้วย่าชื่ออะไร” เด็กชายเท่ตอบว่า “ย่าจิบ” ซึ่งก็ถูกต้องตามนั้น

เฒ่าทองถามว่าพี่น้องของเฒ่าเยื้องมีใครบ้าง เด็กชายเท่ก็สามารถบอกชื่อได้ถูกต้องทุกคน ถามถึงญาติสนิททั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ของน้าริ เด็กชายเท่ก็รู้จักชื่อทั้งหมด เมื่อเฒ่าเยื้องและเฒ่าทองสอบถามจนแน่ใจแล้วจึงพากันกลับมาช่วยงานบวชต่อ

เมื่อได้เวลาพอสมควรนางสมพรจะพาเด็กชายเท่กลับบ้าน แต่เด็กชายเท่ไม่ยอมกลับร้องไห้จะขออยู่กับเฒ่าทองและเฒ่าเยื้องให้ได้ นางสมพรต้องบอกว่าวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันนำนาคเข้าโบสถ์จะพามาใหม่เด็กชายเท่จึงยอมกลับบ้านอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

วันต่อมานางสมพรได้พาเด็กชายเท่มาร่วมพิธีแห่นาคเข้าโบสถ์ วันนั้นเด็กชายเท่เกาะแขนเดินตามเฒ่าทองไม่ยอมห่างจนกระทั่งพิธีบวชเสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้น นางสมพร เฒ่าเยื้อง เฒ่าทอง และญาติๆอีกหลายคน รวมทั้งผู้เขียนได้พากันไปพิสูจน์การจำอดีตชาติได้ของเด็กชายเท่ที่บ้านของเฒ่าเยื้องอีกครั้ง ทุกคนพยายามสอบถามและหาวิธีพิสูจน์มากมายหลายหลาก เท่าที่จะคิดขึ้นมาได้ในขณะนั้น เช่น นำเสื้อผ้าและของใช้ของน้าริคละรวมกันกับเสื้อผ้าและสิ่งของคนอื่นแล้วให้เด็กชายเท่เลือก เด็กชายเท่ก็สามารถเลือกเสื้อผ้าและสิ่งของที่เป็นของน้าริได้ถูกต้องทุกชิ้น ทดลองให้เด็กชายเท่ชี้ภาพถ่ายของพ่อแม่ปู่ย่าตายายและน้องๆของน้าริ เด็กชายเท่ก็ชี้ได้ถูกต้องทุกภาพ และบอกด้วยว่าคนในภาพเป็นใครชื่ออะไร ทดลองให้ชี้น้องๆเด็กชายเท่ก็สามารถชี้ได้ถูกต้องทุกคนและบอกด้วยว่าเป็นใครชื่ออะไร เป็นต้น

เฒ่าทองเฒ่าเยื้องและคนอื่นๆพากันสอบถามเด็กชายเท่อีกหลายเรื่องเด็กชายเท่ก็สามารถตอบคำถามได้เหมือนกับว่าเขาเป็นตัวของน้าริเองจริงๆ นางสมพรเองก็รู้สึกทึ่งกับคำพูดและการแสดงออกของบุตรชายเป็นอย่างมาก และเมื่อได้เห็นภาพถ่ายของน้าริที่อยู่ในกรอบรูปบนบ้าน นางสมพรก็นึกขึ้นมาได้ว่าหน้าตาคล้ายกันกับชายหนุ่มที่เธอเคยฝันเห็น ก่อนที่เธอจะตั้งท้องเด็กชายเท่ นางสมพรได้สอบถามเฒ่าทองถึงลักษณะและสีของกางเกงที่น้าริใส่ในวันที่เสียชีวิต เฒ่าทองก็จำไม่ค่อยได้ แต่มีญาติๆหลายคนจำได้ว่าเป็นกางเกงขายาวสีน้ำตาลใส่เสื้อลายคล้ายตารางหมากรุก เมื่อนางสมพรทราบดังนั้นก็มั่นใจว่าชายหนุ่มที่เธอเคยฝันเห็นนั้น จะต้องเป็นวิญญาณของน้าริอย่างแน่นอน เพราะชายหนุ่มที่เธอเห็นในฝันคนนั้น อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับน้าริ หน้าตาคล้ายกันและใส่กางเกงขายาวสีน้ำตาลเหมือนกันอีกด้วย

นางสมพรได้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งเกี่ยวพันกับการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายเท่บุตรชาย เริ่มตั่งแต่ก่อนตั้งท้องจนกระทั่งถึงวันที่เขาได้พบกับพ่อแม่ในอดีตชาติให้ฟังโดยลำดับว่า

ฝันบอกเหตุก่อนตั้งท้อง

นางสมพรเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่เธอจะตั้งท้องนายเทเวศน์หรือเด็กชายเท่ในขณะนั้น คืนหนึ่งเธอฝันว่ามีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง มายืนเรียกเธอที่หน้าบันไดบ้านของเธอที่หมู่บ้านวังกระโดนน้อย ชายหนุ่มคนนั้นใส่กางเกงขายาวสีน้ำตาลไม่ใส่เสื้อ ในฝันเธอเรียกให้ชายหนุ่มคนนั้นขึ้นมาบนบ้าน แต่ชายหนุ่มคนนั้นบอกว่า “ผมขึ้นไม่ได้ ลงมารับผมหน่อย ผมมาขออยู่ด้วยไม่รู้จะไปเกิดกับใคร” จากนั้นเธอก็รู้สึกตัวตื่น ในตอนนั้นเธอจำหน้าตาและลักษณะของชายหนุ่มคนนั้นได้ติดตา และในเดือนนั้นเองเธอก็ตั้งท้องเด็กชายเท่

เหตุการณ์ประหลาด

นางสมพรเล่าให้ฟังต่อไปว่า ขณะที่เธอตั้งท้องเด็กชายเท่ได้ประมาณ ๒ เดือนได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นในคืนวันหนึ่ง ตอนนั้นเธออยู่ที่บ้านของเธอที่หมู่บ้านวังกระโดนน้อยคืนนั้นเธอมีอาการแพ้ท้องคลื่นไส้จะอาเจียน จึงออกมาอาเจียนที่หน้าต่างบ้าน โดยมีนายประทุมสามีคอยลูบหลังให้ ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอเห็นดวงแก้วดวงหนึ่งส่องแสงเป็นประกายหลายสี ลอยอยู่ไม่ห่างจากหน้าต่างบ้านนัก เธอหันกลับไปจะบอกให้นายประทุมดู นายประทุมซึ่งเห็นดวงแก้วนั้นเช่นกันก็จับศีรษะเธอกดลงไม่ให้มองและไม่ให้พูดอะไร ในขณะนั้นเธอและนายประทุมรู้สึกประหลาดใจมาก ไม่ทราบว่าดวงแก้วดวงนั้นคืออะไรกันแน่

เหตุการณ์ต่อมาเกิดขึ้นที่บ้านของนายประทุมที่หมู่บ้านตะคร้อ ขณะที่เธอกำลังปวดท้องใกล้คลอด นายประเทืองพี่ชายของนายประทุมบอกกับเธอว่า เขาเห็นดวงแก้วมีแสงเป็นประกายหลายสีตกลงมาที่หลังคาบ้านขณะที่เธอมีอาการปวดท้องใกล้คลอด เธอรู้สึกประหลาดใจกับเหตุการณ์ทั้ง ๒ เหตุการณ์เป็นอย่างมาก ไม่ทราบว่าดวงแก้วประหลาดที่ปรากฏให้เธอและพี่ชายของนายประทุมเห็นนั้นคืออะไรกันแน่ หลังจากนั้นเธอก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลและคลอดเด็กชายเท่ในเวลาต่อมา

รอยแผลเป็นที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด

นางสมพรคลอดเด็กชายเท่ ที่โรงพยาบาลตากฟ้า อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ แรกเกิดเด็กชายเท่มีรอยแผลเป็น ๒ แห่ง มีลักษณะกลมๆไม่ใหญ่นักคล้ายรอยกระสุนปืนที่บริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวา มองเห็นได้อย่างชัดเจน เด็กชายเท่เป็นคนลายมือขาด ครั้งแรกที่ยายของเขาสังเกตเห็นก็พูดขึ้นมาเล่นๆว่า “หัวก็ด่าง ลายมือก็ขาด สงสัยชาติปางก่อนคงถูก เขายิงตายมั้ง” วันนั้นหลังจากที่ยายของเขาพูดแบบนั้น เด็กชายเท่ก็ร้องไห้งอแงทั้งวันโดยไม่ทราบสาเหตุ เหมือนกับจะล่วงรู้และเข้าใจคำพูดของผู้เป็นยาย นางสมพรกล่าวว่า ตอนนั้นเธอและแม่ของเธอเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตจากลักษณะที่ผิดปกติของเด็กชายเท่ ตามที่ปู่ย่าตายายท่านเคยบอกเล่ากันมาเท่านั้น ไม่คิดว่าเมื่อเขาโตขึ้นเขาจะจำอดีตชาติได้ และรอยแผลเป็นนั้นก็ตรงกับรอยแผลกระสุนปืน ที่นายศิริถูกยิงเสียชีวิตพอดี

เริ่มพูดถึงความทรงจำในอดีตชาติ

มีครั้งหนึ่ง ขณะที่เด็กชายเท่อายุได้ประมาณ ๑ ขวบเศษ เริ่มหัดพูด ญาติของนางสมพรที่ดูแลเด็กชายเท่ในขณะนั้นเล่าให้ฟังว่า คำแรกที่เขาพูดได้คือคำว่า “ตายโหง” โดยที่ไม่มีใครสอนให้พูด แทนที่จะพูดคำว่า “พ่อ” หรือ “แม่” เหมือนเด็กคนอื่นๆทั่วไป แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครสนใจคำพูดนั้นมากนัก

ต่อมาเมื่อเขาอายุได้ประมาณ ๒ ขวบพูดได้ชัดเจนขึ้น เขามักจะตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกและบอกว่า “จะกลับบ้าน.. จะไปหาพ่อหาแม่” นางสมพรพยายามปลอบว่า “พ่อกับแม่อยู่นี่ลูก บ้านเราก็อยู่นี่ไง หนูจะไปบ้านไหนล่ะ” เขาร้องไห้ และพูดแบบนี้อยู่หลายคืนจนกระทั่งนางสมพรและนายประทุมไม่เป็นอันนอน

กลางดึกของคืนวันหนึ่ง เด็กชายเท่ตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกบอกว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่เหมือนเคย นางสมพรและนายประทุมพยายามปลอบอย่างไรเขาก็ไม่ยอมหยุด จนนายประทุมโมโหและได้ใช้ผ้าห่มอุดปากไม่ให้บุตรชายร้อง แต่เขาก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้และร้องเสียงดังกว่าเดิม

นางสมพรกล่าวว่า ตอนนั้นเธอรู้สึกสงสารลูกและน้อยใจสามีที่ใช้ผ้าห่มอุดปากลูกชาย จึงพาเด็กชายเท่ไปนั่งนอกบ้าน เวลาในขณะนั้นประมาณ ๒ นาฬิกาของวันใหม่ ตอนนั้นเธอรู้สึกสงสัยในคำพูดของบุตรชายมาก จึงทดลองสอบถามเขาว่า “บ้านหนูอยู่ที่ไหนลูก” เขาชี้มือไปทางทิศเดียวกับบ้านของนายศิริซึ่งตอนนั้นเธอยังไม่ทราบ เธอจึงพาลูกชายเดินไปตามทิศนั้นเพื่อที่จะตามใจให้เขาหยุดร้องไห้ พอเธอเริ่มเดินไปเขาก็เริ่มสงบลงและหยุดร้องไห้ เธอพาเขาเดินออกจากบ้านพ่อแม่ของนายประทุมไปไม่ไกลนัก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดร้องไห้แล้ว จึงหยุดเดิน แล้วบอกกับเขาว่า “บ้านหนูอยู่ที่ไหนแม่ไปไม่ถูกหรอกลูก” เขาบอกว่า “ไปเถอะเดี๋ยวผมจะพาไป” เธอบอกว่า “มันดึกแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้แม่จะพาไปนะลูก” เขาพยักหน้ารับ เธอถามว่า “หนูเป็นลูกใครพ่อแม่หนูชื่ออะไร” เขาตอบว่า “พ่อผมชื่อเยื้อง แม่ผมชื่อทอง” ตอนนั้นเธอยังไม่ทราบเนื่องจากเธอไม่ใช่คนในหมู่บ้านตะคร้อ จึงไม่ทราบว่าคนที่เขาพูดถึงนั้น เป็นใคร อยู่ที่ไหน ตอนนั้นเธอเริ่มสงสัยว่าเด็กชายเท่จะจำอดีตชาติได้ และคิดว่าตอนเช้าจะลองสอบถามเพื่อนบ้านแถวนั้นดู ว่ามีคนชื่อนายเยื้องและนางทองอยู่ในหมู่บ้านนี้หรือไม่ จะได้พิสูจน์ในสิ่งที่เด็กชายเท่พูด

พบกับพ่อแม่ในอดีตชาติ

เช้าวันต่อมาเธอได้สอบถามคนแถวบ้านของนายประทุมว่ามีคนชื่อนายเยื้องและนางทองในหมู่บ้านนี้หรือไม่ เพื่อนบ้านก็บอกว่ามีและบอกทางไปบ้านของนายเยื้องและนางทองให้ด้วย ซึ่งปรากฏว่าเป็นทิศเดียวกันกับที่เด็กชายเท่บอกเมื่อตอนกลางดึกที่ผ่านมา วันนั้นเธอตั้งใจว่าจะพาเด็กชายเท่ไปสืบหาพ่อแม่ในอดีตชาติของเขาเพื่อพิสูจน์ความจริง แต่เนื่องจากติดธุระจะต้องไปงานบวชของนายบุญส่ง พัตตาสิงห์ บุตรชายของนายเสวียน พัตตาสิงห์ เพื่อนสนิทของนายไก่พ่อของเธอ จึงคิดว่าเมื่อไปช่วยงานบวชแล้วจึงจะพาเด็กชายเท่ไปสืบหาพ่อแม่ในอดีตชาติ เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับนายเยื้องและนางทองในงานวันนั้น นางสมพรกล่าว

พูดถึงเหตุการณ์วันที่เสียชีวิต

นอกจากคำพูด และการแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตดังที่กล่าวมาแล้ว เด็กชายเท่ยังพูดถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่น้าริถูกยิงเสียชีวิต ให้กับหลายคนได้ทราบ เหมือนกับว่าเขาได้ประสบกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยตัวของเขาเองจริงๆ เขาพูดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า ในคืนที่เขา(น้าริ)ถูกยิงเสียชีวิต เขาซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของ นายวุฒิ(นายวุฒิ เจริญพร้อม) ไปเที่ยวจีบสาวที่บ้านวังกระโดนน้อย ขากลับระหว่างทาง ได้ถูกคนร้ายซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านวังกระโดนน้อย(เด็กชายเท่บอกชื่อคนร้ายด้วย) ใช้ปืนยิงถูกบริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวา เขาตกจากรถจักรยานยนต์ลงมานอนที่ถนนตอนนั้นเขายังไม่เสียชีวิต แต่คนร้ายได้ลากเขาลงไปในหนองน้ำที่อยู่ข้างถนน จมูกเขาจมน้ำ เขาพยายามที่จะลุกขึ้นแต่ไม่มีแรง เขาหายใจไม่ออกและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นายวุฒิ เจริญพร้อม

จากคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันที่น้าริถูกยิงเสียชีวิต พอประมวลความได้ว่า หัวค่ำของคืนวันแรม ๑๕ ค่ำเดือนสิบ(๒๓ กันยายน) พ.ศ. ๒๕๑๙ น้าริและเพื่อนๆในหมู่บ้านได้พากันไปเที่ยวจีบสาวที่หมู่บ้านวังกระโดนน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตะคร้อไปทางทิศตะวันตกประมาณ ๒ กิโลเมตร มีพรรคพวกไปด้วยกัน ๖ คน รถจักรยานยนต์ ๓ คัน ซ้อนท้ายกันไปคันละสองคนโดยน้าริซ้อนท้ายไปกับนายวุฒิ เจริญพร้อม ตอนนั้นน้าริเพิ่งเริ่มเป็นหนุ่มยังไม่เคยเที่ยวจีบสาวที่ไหนมาก่อน เมื่อเห็นเพื่อนๆไปเที่ยวจีบสาวที่หมู่บ้านข้างเคียงก็ขอตามไปด้วย โดยขณะที่เพื่อนๆคุยสาวอยู่น้าริก็นั่งคุยกับพี่ชายของสาวคนนั้น

จนกระทั่งได้เวลาพอสมควรจึงขอตัวกลับ ก่อนจะลงจากบ้านของสาวคนนั้นน้าริได้บอกลากับพี่ชายของสาวคนนั้นเหมือนเป็นลางว่า “พี่ผมไปก่อนนะ เราคงไม่ได้เจอกันอีกนานละนะทีนี้” เมื่อเพื่อนๆได้ยินก็ปรามว่าพูดเป็นลาง จากนั้นทั้งหมดก็พากันขับรถจักรยานยนต์ออกมาจากหมู่บ้านวังกระโดนน้อย มุ่งหน้ากลับเข้าหมู่บ้านตะคร้อ โดยรถจักรยานยนต์ของนายวุฒิซึ่งมีน้าริซ้อนท้ายอยู่ตรงกลางระหว่างรถของเพื่อนๆทั้ง ๒ คัน

เมื่อรถวิ่งออกจากหมู่บ้านวังกระโดนน้อยไปได้ประมาณ ๓๐๐ เมตร บริเวณนั้นมีกองลูกรังที่ยังไม่ได้เกลี่ยวางกองอยู่บนถนนเป็นแถวยาวประมาณ ๑ กิโลเมตร ขณะที่รถจักรยานยนต์ของนายวุฒิซึ่งมีน้าริซ้อนท้ายผ่านกองลูกรังกองหนึ่ง มีเสียงปืนดังขึ้น ๒ นัดติดๆกัน หลังเสียงปืนรถจักรยานยนต์ของนายวุฒิก็เสียหลักล้มลง จากนั้นก็มีเสียงปืนดังตามมาอีก ๕-๖ นัด ทุกคนต่างพากันเร่งเครื่องออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

นายโฉมยงค์ ใจเร็ว หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า “อายง” ลูกชายของ “ปู่ยศ” ซึ่งเป็นพี่ชายของเฒ่าเยื้องและเป็นน้องของย่าผู้เขียนอีกคนหนึ่ง ซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยเล่าให้ฟังว่า ในคืนนั้นขณะเดินทางกลับออกมาจากหมู่บ้านวังกระโดนน้อย รถของอายงอยู่ด้านหลังรถของนายวุฒิซึ่งมีน้าริซ้อนท้าย ขณะที่รถของนายวุฒิผ่านกองลูกรังกองหนึ่ง อายงได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ๒ นัด จากนั้นก็เห็นน้าริ ก้มลงเหมือนจะเก็บรองเท้าแล้วรถของนายวุฒิก็เสียหลักล้มลง ตอนนั้นอายงคิดว่าทั้ง ๒ คนถูกยิงจึงเร่งเครื่องผ่านบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผ่านกองลูกรังกองนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังติดๆกันอีก ๕-๖ นัด อายงจึงรีบเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อแจ้งข่าวกับญาติๆให้รีบรุดไปยังที่เกิดเหตุทันที

นายวุฒิ เจริญพร้อม ผู้ที่ขับรถจักรยานยนต์พาน้าริซ้อนท้ายไปในคืนนั้นเล่าให้ฟังว่า คืนนั้นขณะที่รถของตนผ่านลูกรังกองหนึ่งมีเสียงปืนดังขึ้น ๒ นัด ตนได้ยินเสียงนายศิริ ร้อง “โอ๊ย” ตัวของนายศิริเอียงลงแล้วรถของตนก็เสียหลักล้มลง เมื่อลุกขึ้นมาได้ตนก็วิ่งหนีออกจากบริเวณนั้นทันที เนื่องจากมีเสียงปืนดังไล่หลังมาอีกหลายนัด ตนวิ่งไปได้ประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เมตร ก็ได้พบกับชาวบ้านที่เดินส่องไฟหาจับกบอยู่ข้างถนน จึงเข้าไปบอกว่าให้เขาช่วยไปดูเพื่อนหน่อยเพื่อนถูกยิง ตนอธิบายอยู่นานชายหากบคนนั้นจึงยอมไปกับตน ขณะที่ตนกับคนหากบกำลังเดินกลับไปยังที่เกิดเหตุได้มีรถกระบะคันหนึ่งขับออกมาจากในหมู่บ้านตะคร้อ ตนจึงโบกมือและยืนขวางทางให้จอด เมื่อรถจอดคนในรถถือปืนเดินออกมา ตนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟังจากนั้นตนและคนหากบก็พากันขึ้นรถกระบะตรงไปยังที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงตนไม่พบรถจักรยานยนต์และร่างของนายศิริ พบแต่รอยเลือด เมื่อเดินตามรอยเลือดไปก็พบร่างของนายศิรินอนเสียชีวิตอยู่ในหนองน้ำข้างถนนในสภาพนอนหงาย นายศิริถูกยิงบริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ สักครู่ต่อมาญาติๆของนายสิริก็มาถึงที่เกิดเหตุ ตอนนั้นตนและญาติๆของนายศิริไม่กล้าเคลื่อนย้ายศพเนื่องจากต้องรอการชันสูตรพลิกศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก ส.ภ.อ.ไพศาลี ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านตะคร้อถึง ๒๒ กิโลเมตร ตนและญาติๆของนายศิริรอเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่จนถึงตอนเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเดินทางมาถึง นายวุฒิกล่าวว่า คนร้ายที่ยิงนายศิรินั้นความจริงแล้วตั้งใจจะยิงตนมากกว่า ซึ่งตนก็พอจะเดาออกว่าคนร้ายเป็นใครเพราะก่อนหน้านั้นไม่นานมีคนในหมู่บ้านวังกระโดนน้อยคนหนึ่งขโมยเครื่องขยายเสียงของวัดวังกระโดนน้อยมา และได้ว่าจ้างให้ตนนำไปขายในตัวอำเภอแต่ตนปฏิเสธ ชายคนนั้นจึงกล่าวอาฆาตตนไว้และมาดักซุ่มยิงตนเพื่อต้องการจะฆ่าปิดปาก แต่นายศิริมารับเคราะห์แทน

น้าริได้ถูกคนร้ายซุ่มยิงจนเสียชีวิต ทั้งๆที่ไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใครที่ไหนมาก่อน การจากไปของน้าริยังความเศร้าโศกเสียใจให้กับพ่อแม่และญาติๆของน้าริเป็นอย่างยิ่ง น้าริเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๙ ขณะอายุได้ ๑๖ ปี

เหตุการณ์ในความทรงจำของผู้เขียน

ก่อนที่น้าริจะถูกยิงเสียชีวิตตอนนั้นผู้เขียนอายุประมาณ ๖ ขวบ จำได้ว่าช่วงนั้นเป็นช่วงปลายฤดูฝน ที่ไร่ของผู้เขียนกำลังลงแขกเก็บข้าวโพด น้าริได้มารับจ้างเก็บข้าวโพดที่ไร่ของผู้เขียน พร้อมกับน้าและอาของผู้เขียนอีกหลายคน ทุกคนช่วยกันเก็บข้าวโพดเข้าไปเก็บไว้ในยุ้งตั้งแต่เช้าจรดเย็นหนีฝนที่ตกลงมาเกือบทุกวันอย่างเร่งรีบ เนื่องจากหากปล่อยไว้เมล็ดข้าวโพดอาจจะงอกเสียได้ พอตกกลางคืนทุกคนก็จะนอนค้างกันที่ห้างไร่ เนื่องจากการเดินทางในสมัยนั้นค่อนข้างจะยากลำบากมากไม่มีถนนหนทางเหมือนอย่างในปัจจุบันนี้ พาหนะที่ดีที่สุดในตอนนั้นก็คือรถจักรยานยนต์และเกวียน การเดินทางจากหมู่บ้านตะคร้อมายังไร่ของผู้เขียนซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดลพบุรี หรือจากที่ไร่กลับไปยังหมู่บ้านต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง ทั้งๆที่ระยะทางห่างกันเพียง ๒๐ กว่ากิโลเมตรเท่านั้น

ผู้เขียนยังจำเหตุการณ์ก่อนหน้าที่น้าริจะถูกยิงเสียชีวิตได้ดี วันนั้นเป็นวันแรม ๑๓ ค่ำเดือนสิบ(๒๑ กันยายน) พ.ศ.๒๕๑๙ น้าริและน้าอาคนอื่นๆได้ขออนุญาตพ่อของผู้เขียนกลับไปทำบุญวันสารทไทยในหมู่บ้าน ซึ่งจะมีการทำบุญตักบาตรในตอนเช้าของวันแรม ๑๕ ค่ำ พ่อของผู้เขียนก็อนุญาต คืนนั้นผู้เขียนนอนในมุ้งเดียวกันสองคนกับน้าริ พอรุ่งเช้าของวันแรม ๑๔ ค่ำ(๒๒ กันยายน) น้าริและน้าอาคนอื่นๆออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า ก่อนจะไปแม่ของผู้เขียนบอกว่าเมื่อตักบาตรทำบุญเสร็จแล้วก็ให้ทุกคนรีบกลับมา แต่เวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงตอนเช้าของวันขึ้น ๑ ค่ำ(๒๔ กันยายน)ก็ยังไม่มีใครกลับมาที่ไร่เลยสักคน

สายๆของวันนั้น ผู้เขียนเห็นญาติคนหนึ่งขับรถจักรยานยนต์เข้ามาที่ไร่ มาบอกกับพ่อและแม่ของผู้เขียนว่า น้าริถูกยิงเสียชีวิตแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา พ่อกับแม่ของผู้เขียนรู้สึกตกใจและเสียใจมาก ทุกคนพากันเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านด้วยจิตใจที่เศร้าหมองเมื่อมาถึงบ้านของน้าริ สิ่งแรกที่ผู้เขียนได้ยินก็คือเสียงร้องไห้เสียใจที่ดังระงมไปทั่ว ผู้เขียนรู้สึกเสียใจจนอดที่จะร้องไห้ไม่ได้ ผู้เขียนกับพ่อเดินเข้าไปดูศพของน้าริพบว่า น้าริถูกยิงบริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวา นอนสงบนิ่งอยู่ในโลงศพซึ่งห้อมล้อมไปด้วยพ่อแม่และบรรดาญาติพี่น้อง ที่พากันร้องไห้เสียใจต่อการจากไปก่อนวัยอันควรของน้าริ

เสียงประหลาด

นางเสวียน สีชน(ใจเร็ว) หรือที่ผู้เขียนเรียกว่า “อาเหวียง” บุตรสาวของ “ปู่ท้วง” ซึ่งเป็นพี่ชายของเฒ่าเยื้องและเป็นน้องของย่าผู้เขียนอีกคนหนึ่ง บ้านของอาเหวียงเป็นบ้านที่มีใต้ถุนสูงมีบันไดขึ้นลงบ้านเป็นแบบที่ลากขึ้นลงได้ และอยู่ห่างจากบ้านของน้าริไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ ๒๐๐ เมตร อาเหวียงเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในคืนที่น้าริถูกยิงเสียชีวิตให้ฟังว่า คืนวันนั้นก่อนที่จะทราบว่าน้าริเสียชีวิต อาเหวียงกับสามีได้ยินเสียงคนลากบันไดซึ่งอยู่บนบ้านลงมาแล้วเดินขึ้นมาบนบ้าน จึงตั้งใจฟังเสียงอยู่ว่าเป็นใคร จากนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินชนโต๊ะที่อยู่บนบ้าน ตอนนั้นอาเหวียงกับสามีรู้สึกสงสัยจึงออกจากห้องนอนมาดู ปรากฏว่าบนบ้านไม่มีใครและบันไดบ้านก็ไม่ได้ถูกลากลง จึงรู้สึกแปลกใจเพราะตั้งใจนอนฟังอยู่ตลอด ได้ยินแต่เสียงดึงบันไดลงแต่ไม่ได้ยินเสียงลากบันไดขึ้นแต่อย่างใด และถ้ามีใครขึ้นมาบนบ้านก็ไม่น่าจะลงไปรวดเร็วอย่างนี้ เมื่อออกมาดูแล้วไม่พบอะไรจึงกลับไปนอนต่อ สักครู่ต่อมาก็ได้ยินเสียงคนทางบ้านของน้าริตะโกนบอกกันว่าน้าริถูกยิงเสียชีวิตแล้ว เมื่ออาเหวียงกับสามีได้ยินก็นึกถึงน้าริขึ้นมาทันที

อาเหวียงกล่าวว่า ตอนนั้นอาเหวียงกับสามีคิดว่าเสียงที่ได้ยินอาจจะเป็นเสียงวิญญาณของน้าริขึ้นมาบนบ้านก็ได้ เพราะเมื่อตอนหัวค่ำของคืนนั้นน้าริกับเพื่อนๆ ได้ขึ้นมาหวีผมแต่งตัวกันบนบ้าน ก่อนที่จะพากันออกไปเที่ยว

วิญญาณส่งเสียงเรียก

เฒ่าทองแม่ของน้าริเล่าถึงเหตุการณ์ประหลาดที่วิญญาณของน้าริมาส่งเสียงเรียกให้ฟังว่า หลังจากทำบุญ ๗ วันของน้าริแล้ว คืนหนึ่งคู่สามีภรรยาแถวบ้านทะเลาะกันแล้วยิงปืนขึ้นฟ้า ตอนนั้นเฒ่าทองกับเฒ่าเยื้องยังไม่หลับ หลังเสียงปืนเฒ่าทองได้ยินเสียงใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “แม่..แม่..ผมกลัว” เฒ่าทองลุกขึ้นนั่งและถามเฒ่าเยื้องว่าได้ยินเสียงนั้นไหม เฒ่าเยื้องก็บอกว่าได้ยิน สักครู่เสียงนั้นก็ดังขึ้นมาอีก “แม่..แม่..ผมกลัว” ทั้งสองคนมองตากัน และหันไปมองดูลูกๆที่นอนหลับอยู่ในมุ้งเดียวกันทุกคนก็ยังหลับอยู่ เฒ่าทองจำเสียงนั้นได้ดีมันคือเสียงของน้ารินั่นเอง เฒ่าทองจึงพูดไปว่า “ริไม่ต้องกลัวหรอกลูก” แล้วเดินออกมานอกห้องนอนด้วยความอยากเห็นวิญญาณของน้าริ แต่เมื่อออกมาก็พบแต่ความมืดและความว่างเปล่า ตอนนั้นเฒ่าทองเชื่อว่าเสียงที่ได้ยินนั้นจะต้องเป็นเสียงของวิญญาณน้าริอย่างแน่นอน เพราะเฒ่าทองจำเสียงของน้าริได้ดี

หลังจากวิญญาณของน้าริมาส่งเสียงให้ได้ยินในครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆอีกจนกระทั่ง ๔ ปีต่อมา ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเฒ่าทองและเฒ่าเยื้องได้พบกับ นางสมพรและบุตรชายคือเด็กชายเท่ ในงานอุปสมบทของน้าบุญส่ง และเหตุการณ์ในครั้งนั้นเองที่ทำให้หลายๆคนรวมทั้งผู้เขียนได้ทราบว่าน้าริได้สืบชาติมาเกิดอีกครั้ง ซึ่งก็คือเด็กชายเท่ในขณะนั้น หรือนายเทเวศน์ เรียบสัมพันธ์ ในปัจจุบันนั่นเอง

พูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติ

หลังจากที่เด็กชายเท่ได้พบกับเฒ่าทองและเฒ่าเยื้องซึ่งเป็นพ่อแม่ในอดีตชาติในงานบวชวันนั้น เด็กชายเท่มักจะขอให้นางสมพรพามาที่บ้านของเฒ่าทองและเฒ่าเยื้องอยู่เสมอ และเมื่อได้มาแล้วก็จะไม่ยอมกลับบ้าน นางสมพรและนายประทุมต้องบังคับให้กลับจึงยอมกลับ แต่อยู่ได้ไม่นานก็จะร้องไห้ขอร้องให้นางสมพรและนายประทุมพามาหาเฒ่าทองและเฒ่าเยื้องอีก บางครั้งนางสมพรและนายประทุมไม่ยอมให้ไป เด็กชายเท่ก็จะหนีไปเอง เป็นอย่างนี้เสมอตั้งแต่เขาอายุได้ประมาณ ๒ ขวบจนกระทั่งเขาอายุได้ประมาณ ๗ ขวบเริ่มเข้าโรงเรียนจึงเริ่มห่างได้บ้าง แต่ถ้ามีเวลาหรือช่วงปิดเทอมเขาก็จะไปอยู่กับเฒ่าทองและเฒ่าเยื้องไม่ยอมอยู่กับนางสมพรและนายประทุม ซึ่งในระหว่างที่เด็กชายเท่อยู่กับเฒ่าเยื้องและเฒ่าทองพ่อแม่ในอดีตชาติของเขานั้น เด็กชายเท่ได้พูดและแสดงออกให้เห็นว่าตัวเขาคือน้าริสืบชาติมาเกิดอีกหลายครั้ง กับหลายบุคคลเท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้

จำป้าในอดีตชาติได้.....มีครั้งหนึ่งเด็กชายเท่ได้พบกับ ย่าแป่ม ใจเร็ว ซึ่งเป็นพี่สาวของเฒ่าเยื้องและเป็นน้องของย่าผู้เขียนอีกคนหนึ่งเป็นครั้งแรก เด็กชายเท่เรียกย่าแป่มว่า “ป้าแป่มไปไหนมา” ย่าแป่มเป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้ร่วมพิสูจน์ความทรงจำในอดีตชาติของเด็กชายเท่ในครั้งนั้น และไม่เชื่อว่าการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายเท่จะเป็นความจริง ก็ถึงกับตะลึง เด็กชายเท่รู้จักย่าแป่มได้อย่างไร ทั้งๆที่ไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน

ย่าแป่ม ใจเร็ว

จำเพื่อนสนิทได้....มีครั้งหนึ่งเด็กชายเท่ได้พบกับ อาสวง ใจเร็ว บุตรชายของ ปู่ท้วง ใจเร็ว น้องชายของย่าผู้เขียนอีกคนหนึ่ง อาสวงถามเด็กชายเท่ว่า “รู้จักกูหรือเปล่า” เด็กชายเท่ก็ตอบว่า “รู้จัก...ไอ้หวง แต่ก่อนเวลานอนด้วยกัน มึงชอบแย่งหมอนกูไปหนุน” อาสวงรู้สึกทึ่งในคำพูดของเด็กชายเท่มาก เพราะสิ่งที่เด็กชายเท่พูดออกมานั้นเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นและเป็นที่รู้กันระหว่างอาสวงกับน้าริสองคนเท่านั้น

แสดงความคุ้นเคยกับสถานที่ในอดีต....มีครั้งหนึ่งเฒ่าเยื้องพาเด็กชายเท่ไปที่ไร่ของเฒ่าเยื้องเป็นครั้งแรก เด็กชายเท่แสดงออกให้เห็นว่าเขาคุ้นเคยกับไร่ของเฒ่าเยื้องเป็นอย่างดี โดยบอกกับเฒ่าเยื้องว่า “พ่อ...ผมเคยเลื่อยไม้ฟืนกับไอ้รักตรงนั้น ผมเคยต่อยกับไอ้รักตรงโน้น” เด็กชายเท่พูดพร้อมกับชี้มือบอก ซึ่งเมื่อสอบถามเรื่องนี้จากน้ารักน้องชายของน้าริ ก็ได้รับคำยืนยันว่าเป็นความจริงตามที่เด็กชายเท่พูด

จำต้นกระถินที่ทุ่งนาในอดีตชาติได้....มีครั้งหนึ่งนายประทุมได้พาเด็กชายเท่ไปที่ทุ่งนาของเฒ่าเยื้องและเฒ่าทองที่แบ่งส่วนหนึ่งให้นายประทุมทำ เมื่อถึงเวลากินข้าวกลางวันนายประทุมบ่นว่า “จะกินข้าวกับอะไรกันดีนะ ผักแถวๆนี้ก็ไม่มี” เด็กชายเท่ได้ยินดังนั้นก็บอกกับนายประทุมว่า “มี..ยอดกระถินที่โคกห้างนาผมนั่นไง” เด็กชายเท่พูดพร้อมกับพานายประทุมไปที่ต้นกระถินต้นนั้น นายประทุมไม่ทราบมาก่อนว่ามีต้นกระถินอยู่บริเวณนั้นและไม่ทราบมาก่อนว่าบริเวณนั้นเคยเป็นห้างนา(เถียงนา)ของเฒ่าเยื้องและเฒ่าทองมาก่อน เพราะตอนนั้นไม่มีห้างนาอยู่แล้ว เด็กชายเท่ทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่เขาไม่เคยไปที่บริเวณต้นกระถินต้นนั้นและไม่มีใครเคยบอกกับเขาว่าบริเวณนั้นเคยเป็นห้างนามาก่อน

จำชื่อควายที่เคยเลี้ยงได้....มีครั้งหนึ่งเฒ่าทองถามเด็กชายเท่ว่า “จำได้ไหม ว่าควายเรามีชื่ออะไรบ้าง” เด็กชายเท่ตอบว่า “ชื่อไอ้เหลือง ไอ้ม่วง แล้วก็ไอ้สมชาย” เด็กชายเท่สามารถบอกชื่อควายทั้ง ๓ ตัว ที่น้าริเคยเลี้ยงได้ ทั้งๆที่เฒ่าทองได้ขายควายทั้ง ๓ ตัวนั้นไปนานแล้ว เด็กชายเท่ทราบได้อย่างไร

น้อยใจที่ถูกเพื่อนทิ้งให้เสียชีวิต....มีครั้งหนึ่งเด็กชายเท่ได้พบกันอายงและนายวุฒิ เฒ่าทองถามเด็กชายเท่ว่า “หนูรู้จักไหมว่าใคร” เด็กชายเท่ตอบว่า “รู้จัก..แต่ไม่อยากพูดกับมัน พวกมันอยากทิ้งผม ถ้าพวกมันไม่ทิ้งผม ผมก็ไม่ตายหรอก” เด็กชายเท่พูดออกมาด้วยความน้อยใจ เด็กชายเท่ต่อว่านายวุฒิกับนายโฉมยงค์ว่าทิ้งเขาไม่ยอมกลับมาช่วย ถ้ากลับมาช่วยเขาตอนนั้นเขาอาจจะไม่เสียชีวิตก็ได้

นอกจากคำพูดและการแสดงออกเหล่านี้แล้ว เด็กชายเท่ยังพูดและแสดงออกให้เห็นว่าตัวเขาคือน้าริสืบชาติมาเกิดอีกหลายครั้งกับหลายๆบุคคล โดยเฉพาะกับ นายสุพจน์ ใจเร็ว น้องชายของน้าริเพื่อนของผู้เขียน ซึ่งมักจะถูกใช้ให้ดูแลเด็กชายเท่เวลาที่เขามาหาและพักอยู่กับเฒ่าเยื้องและเฒ่าทอง นายสุพจน์ได้ฟังเด็กชายเท่พูดถึงอดีตชาติอยู่บ่อยๆขณะที่อยู่กันตามลำพังสองคน จนกระทั่งเขาไม่กล้าที่จะอยู่ตามลำพังกับเด็กชายเท่ ตอนนั้นผู้เขียนเองก็เคยได้สอบถามเด็กชายเท่ถึงเรื่องราวในอดีตชาติหลายครั้ง แต่เขาจะไม่ค่อยตอบคำถามหรือพูดให้ฟัง ผู้เขียนต้องคอยหาโอกาสถามในขณะที่อยู่ด้วยกันลำพังสองคนหรือต้องคอยแอบฟังเวลาที่เขากำลังเล่นอยู่คนเดียวเพลินๆ ซึ่งเด็กชายเท่มักจะพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติขึ้นมาลอยๆเหมือนกับรำพึงรำพันกับตัวเอง โดยเฉพาะเวลาที่เขาเล่นอยู่ลำพังคนเดียว

ความผูกพันจากอดีตชาติถึงปัจจุบัน

นายเทเวศน์หรือเด็กชายเท่ มีความผูกพันกับพ่อแม่ในอดีตชาติของเขามากตั้งแต่ที่ได้พบกันครั้งแรกจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ซึ่งความผูกพันที่เขามีให้กับพ่อแม่ในอดีตชาตินั้น บางครั้งก็ทำให้พ่อแม่ในปัจจุบันชาติรู้สึกน้อยใจอยู่เหมือนกัน

นางทองกับ ด.ช.เท่(เทเวศน์) ตอนที่พบกันแรกๆ

นางสมพรกล่าวกับผู้เขียนว่า เมื่อตอนเด็กๆเวลาที่เด็กชายเท่โกรธเธอบางครั้งเขาจะพูดกับเธอว่า “กูมาอาศัยท้องมึงเกิดเฉยๆนะ กูไม่ใช่ลูกมึง” ซึ่งเธอได้ยินก็รู้สึกน้อยใจและเสียใจ โดยส่วนตัวแล้วเธอไม่อยากให้ลูกชายพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติของเขา เพราะเกรงว่าเขาจะอายุสั้น และเกรงว่าถ้าเกิดว่าคนร้ายที่ยิงนายศิริทราบ ว่าลูกชายของเธอคือนายศิริสืบชาติมาเกิด คนร้ายอาจจะมาทำร้ายลูกชายของเธอได้ จึงทั้งห้ามทั้งตีเพื่อไม่ให้เขาพูดถึงอดีตชาติของเขาอีก และพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้เขาลืมอดีตชาติโดยบังคับให้เขากินไข่บ้าง พาเขารอดใต้บันไดบ้าง ใช้ไม้ขัดหม้อตีบ้าง แต่เขาก็ไม่ยอมลืมอดีตชาติง่ายๆ จนกระทั่งเขาอายุได้ประมาณ ๗-๘ ขวบ เริ่มเข้าโรงเรียน ความทรงจำเหล่านั้นจึงค่อยๆเลือนหายไป แต่ความผูกพันที่มีกับพ่อแม่ในอดีตชาติของเขายังคงเหมือนเดิม เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๙ นายเยื้องพ่อในอดีตชาติของเขา ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากหัวใจล้มเหลว นายเทเวศน์ก็ไปร่วมงานศพและได้บวชหน้าไฟให้กับนายเยื้องด้วย วันนั้นทางบ้านนางทองโทรมาบอกว่านายเยื้องเสียชีวิต ตอนนั้นเธอและครอบครัวอยู่ที่พัทยา พอนายเทเวศน์ทราบข่าวก็ถึงกับร้องไห้โฮและเตรียมตัวจะเดินทางไปงานศพของนายเยื้องทันที เธอบอกกับลูกชายว่า “จะไปเหรอลูก แม่ไม่ค่อยมีเงินนะ” นายเทเวศน์พูดกับเธอว่า “แม่ไม่ไปผมไปคนเดียวก็ได้ พ่อผมทั้งคนนะแม่” จากนั้นเขาก็โทรศัพท์ไปบอกกับนางทองว่า เขาจะกลับไปบวชหน้าไฟให้พ่อในอดีตชาติของเขา ด้วยความสงสารลูกเธอและนายประทุมจึงยอมหยุดงานเพื่อพานายเทเวศน์ไปงานศพของนายเยื้อง และเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๐ เธอและนายประทุมได้จัดงานอุปสมบทให้กับ นายเทเวศน์ นางทองและญาติๆก็มาร่วมงานบวชด้วย เหมือนกับว่าได้บวชลูกชายของตัวเอง เพราะนายศิริเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังไม่ครบบวช

นางทอง กำลังโกนศีรษะนายเทเวศน์ พระเทเวศน์ กับโยมพ่อ โยมแม่

นางสมพรกล่าวว่า จนถึงปัจจุบันนี้(พ.ศ.๒๕๔๒)นายเทเวศน์ ยังคงบ่นคิดถึงและเป็นห่วงแม่ในอดีตชาติของเขาอยู่เสมอ เธอรู้สึกว่าเขามีความผูกพันกับพ่อแม่ในอดีตชาติของเขามากเหลือเกิน ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานมากแล้วก็ตาม

ความรู้สึกของนายเทเวศน์

นายเทเวศน์พูดถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขาให้ฟังว่า เมื่อก่อนเวลาที่เขาคิดถึงเรื่องราวในอดีตชาติภาพความทรงจำจะผุดขึ้นมาเหมือนกับว่าเหตุการณ์นั้นเพิ่งผ่านมาไม่นาน แต่ปัจจุบันนี้ภาพความทรงจำในอดีตชาติของเขาได้ลบเลือนไปเกือบหมดแล้ว ยังเหลือก็แต่ภาพที่เขาเห็นพ่อกับแม่ในปัจจุบันชาติของเขา ยางรถจักรยานยนต์ระเบิดบริเวณที่เขา(น้าริ)ถูกยิงเสียชีวิตเท่านั้นที่ยังฝังอยู่ในใจของเขามาจนถึงปัจจุบันนี้

นางสมพรเล่าเหตุการณ์ที่นายเทเวศน์พูดถึงให้ฟังว่า เป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริง คือคืนหนึ่งก่อนที่เธอจะทราบว่าตัวเองตั้งท้อง เธอกับนายประทุมขับรถจักรยานยนต์เดินทางจากหมู่บ้านตะคร้อ กำลังจะไปที่บ้านของเธอที่หมู่บ้านวังกระโดนน้อย เวลาในขณะนั้นประมาณ ๕ ทุ่มเศษ ระหว่างทางจะต้องผ่านบริเวณที่นายศิริถูกยิงเสียชีวิต เมื่อมาถึงบริเวณนั้นรถจักรยานยนต์ของเธอเกิดยางระเบิดขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ นายประทุมกับเธอจึงช่วยกันเดินจูงรถเข้าหมู่บ้านวังกระโดนน้อยไป โดยไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใดๆ ถ้านายเทเวศน์เห็นเหตุการณ์ในครั้งนั้นและจำได้จริง ก็แสดงว่าเหตุการณ์ในคืนนั้นต้องอยู่ในสายตาของวิญญาณนายศิริอย่างแน่นอน และเขาอาจจะตามเธอมาเกิดตั้งแต่ตอนนั้นก็เป็นได้

ขณะสัมภาษณ์ นายเทเวศน์ได้ชี้ให้ผู้เขียนดูรอยแผลเป็นที่บริเวณศีรษะด้านหลังและใต้ราวนมด้านขวา ที่ติดตัวของเขามาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งยังคงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน เสมือนกำลังบอกเล่าเรื่องราวชีวิตในอดีตชาติของเขา ให้หลายๆคนได้ตระหนักว่า ......ชีวิตข้างหน้ามีจริง เวรกรรมมีจริง อย่าได้ประมาทในการกระทำของตน......

ภาพถ่ายของ นางทอง และ นายเทเวศน์

ถ่ายเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๒

รอยแผลเป็นที่ใต้ราวนมด้านขวา

รอยแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด

รอยแผลเป็นที่ศีรษะด้านหลัง

ภาพขณะบันทึกเทปโทรทัศน์

รายการ วีไอพี ช่อง 9 เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๒