ปริศนาธรรมข้อที่ ๖
ถ้าจะให้เป็นลูก ให้เอาไฟสุมต้น
อาตมาภาพขอถวายวิสัชนาในฉัฏฐมปัญหาปริศนาคำรบ ๖ ซึ่งว่า ถ้าจะให้เป็นลูกให้เอาไฟสุมต้น นั้น อันว่าลูกนั้นคือผลทั้ง ๔ คือ โสดาผล ๑ สกิทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหัตตผล ๑ อันว่าไฟนั้นคือมรรคญาณทั้ง ๔ คือ โสดามรรค ๑ สกิทาคามิมรรค ๑ อนาคามิมรรค ๑ อรหัตตมรรค ๑ อันว่าต้นนั้นคือกิเลสธรรม อันมีอวิชชา ตัณหาเป็นมูลนั้นแล เหตการณ์ดังนั้น
อันว่าโยคาวจรผู้ปรารถนา จะข้ามสมุทรสาครคือสังสารวัฏ จะเอาโสดาผลให้ได้ดุจใจปรารถนา อันว่าโยคาวจรผู้นั้น ก็พึงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน แลเผาเสียซึ่งกิเลสธรรมเป็นสังโยชน์* ๓ ประการ คือ สักกายทิฏฐิสังโยชน์ ๑ วิจิกิจฉาสังโยชน์ ๑ สีลัพพตปรามาสสังโยชน์ ๑ ให้ไหม้เสียด้วยเพลิง คือโสดาปัตติมรรคญาณแล้ว ก็จะได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล บังเกิดเป็นอริยสาวก อันเป็นประถมเหตุเผาเสียซึ่งสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสนั้นแล เหตุว่าสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสนี้เป็นต้นแห่งโสดาปัตติผล เหตุว่าสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสยังอยู่ในสันดานนั้น โสดาปัตติผลมิได้บังเกิด เมื่อใดสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสหามิได้ในสันดาน โสดาปัตติผลจึงบังเกิดได้ ก็มีอุปมัยดุจชาติไม้อันเผาไฟสุมต้นแล้วจึงเป็นลูกนั้นแล
อันว่าโยคาวจรผู้ได้โสดาผลแล้ว จะปรารถนาเอาสกิทาคามิผลนั้น ก็พึงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เผากามราคะ พยาบาทอันหยาบนั้นเสีย ให้ขาดด้วยเพลิงคือ สกิทาคามิมรรคญาณ ก็จะได้สกิทาคามิผลนั้นแล เหตุว่ากามราคะ พยาบาทอันหยาบยังอยู่ในสันดาน สกิทาคามิผลจะบังเกิดมิได้ เมื่อใดกามราคะ พยาบาทอันหยาบหามิได้ในสันดาน สกิทาคามิผลจึงบังเกิดได้ ดุจชาติไม้อันเผาไฟสุมต้นจึงเป็นลูกนั้นแล อันว่าโยคาวจรได้สกิทาคามิผลแล้ว แลปรารถนาจะเอาอนาคามิผล ก็พึงเจริญวิปัสนากรรมฐานเผากามราคะ พยาบาทอันสุขุมนั้นเสีย ด้วยเพลิงคืออนาคามิมรรคญาณก็จะได้อนาคามิผล เหตุว่า เมื่อกามราคะ พยาบาทอันสุขุม ยังไปมิขาดจากสันดานอนาคามิผลจะบังเกิดมิได้ เมื่อใดกามราคะ พยาบาทอันสุขุมนั้น ขาดจากสันดานแล้วนั้น อนาคามิผลจึงบังเกิดได้ ก็มีดุจชาติไม้อันเผาไม้สุมต้นจึงเป็นลูกนั้นแล
อันว่าโยคาวจรได้อนาคามิผลแล้ว แลจะปรารถนาเอาอรหัตตผล ก็พึงเจริญวิปัสนากรรมฐานเผาเสียซึ่งสังโยชน์ทั้ง ๕ ประการ คือรูปราคะสังโยชน์ ๑ อรูปราคะสังโยชน์ ๑ มานะสังโยชน์ ๑ อุทธัจจะสังโยชน์ ๑ อวิชชาสังโยชน์ ๑ ด้วยเพลิงคืออรหัตตมรรคญาณแล้วนั้น จึงจะได้อรหัตตผลเป็นอริยบุคคลคำรบ ๔ อันประเสริฐยิ่ง ยิ่งกว่าอริยบุคคลทั้ง ๓ จำพวกนั้น เหตุเผาเสียได้แล้วซึ่งกิเลสธรรม คืออวิชา ตัณหา อันเป็นต้นเป็นมูลแห่งวัฏสงสารนั้นขาดสิ้นทุกประการแล้ว อรหัตตผลจึงบังเกิดได้ ดุจชาติไม้อันเอาไฟสุมต้นจึงเป็นลูกนั้นแล อธิบายว่าเมื่อกิเลสธรรมอันเป็นมูลแห่งสงสารนั้น ยังมั่นคงอยู่ในสันดานผลทั้ง ๔ ประการนั้นก็จะบังเกิดมิได้ สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าตรัสเทศนาดังนี้
ฯ ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทเฬฺหฉินฺโนปิ รุกฺโข ปุนเรว รูหติ เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต นิพฺพตฺตติ ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํ ฯ…สวนฺติ สฺพพธี โสตา ลตา อุพฺภิชฺช ติฏฺฐติ ตญฺจ ทิสฺวา ลตํ ชาตํ มูลํ ปญฺญาย ฉินฺทถ ฯ๒๓ ภิกฺขเว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อรากไม้นั้นหาอันตรายมิได้ แลยังมั่นคงอยู่ อันว่าไม้นั้นแม้นบุคคลตัดขาดแล้ว ไม้นั้นก็งอกขึ้นเล่า แลมีดุจใด ในเมื่อตัณหานุสัย*แลยังไปมิขาดเสียได้นั้น อันว่าทุกข์ทั้งปวงก็บังเกิดเนือง ๆ ก็มีดุจไม้อันตัดแต่กิ่ง แลลำ แลมิได้ขุดรากนั้นเสีย แลงอกขึ้นได้นั้นแล
ภิกฺขเว ดูกรภิกษุทั้งหลายอันว่าน้ำอันไหลไปในสถานที่ใด อันว่าเครือเชือกเขาก็งอกขึ้นในสถานที่นั้น แลมีดุจใด อันว่าตัณหาอันไหลไปในอารมณ์ทั้ง ๖ นั้น มีรูปารมณ์เป็นอาทินั้น อันว่ามูลแห่งตัณหาก็งอกในอารมณ์ทั้ง ๖ นั้น แลท่านทั้งหลายเล็งเห็นมูลแห่งตัณหา อันเกี่ยวพันธ์รัดรึงผ่านขึ้นไปในอารมณ์ทั้ง ๖ ดุจเครือเชือกเขาอันเกี่ยวพันธ์รัดรึงผ่านขึ้นไปในต้นไม้ทั้งหลายนั้น ก็พึงตัดพึงเผามูลแห่งตัณหานั้นเสียให้ขาด ด้วยปัญญาแห่งท่านทั้งหลายนั้นเถิด สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าตรัสเทศนา สั่งสอนภิกษุทั้งหลายให้ตัดให้เผามูลแห่งตัณหา เสียด้วยปัญญาดังนี้ ก็มีดุจว่าให้เอาไฟสุมต้นไม้นั้นเสียแล
อาตมาภาพถวายวิสัชนาในฉัฏฐมปัญหาปริศนาด้วยพระธรรมเทศนานี้ ขอจงเป็นต้นหน แลนายเข็มสำเภาเภตรา คือบวรอาตมาพระองค์ผู้ประเสริฐ วิสัชนาฉัฏฐมปัญหาปริศนาคำรบ ๖ สำเร็จเท่านี้ ฯ