วิญญาณมีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ ดังปรากฏใน มหานิทานสูตร ความว่า
พระพุทธเจ้า : “ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักก่อตัวขึ้น**ในท้องแห่ง
มารดาได้บ้างไหม ฯ”
พระอานนท์ : “ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ”
พระพุทธเจ้า : “ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิด
เพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ”
พระอานนท์ : “ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ”
พระพุทธเจ้า : “ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่จักขาดความสืบ
ต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ”
พระอานนท์ : “ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ”
พระพุทธเจ้า : “เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูปก็คือวิญญาณนั่นเอง ฯ”
อ้างอิง : (สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค / มหานิทานสูตร ข้อ ๖๐)
อ้างอิง : (สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค / ข้อ ๗๗) ที่มีการเกิดในครรภ์มารดาลักษณะคล้ายกัน
** หมายเหตุ : เฉพาะคำว่า "ก่อตัวขึ้น" ของเดิมในพระไตรปิฎก(ฉบับออนไลน์)ที่ใช้อ้างอิงในที่นี้ ใช้คำว่า "ขาด" ในพระสูตรเดียวกันนี้ ในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านแปลว่า "นามรูปจักก่อตัวขึ้นในท้องมารดาได้หรือ" ในอรรถกถาท่านอธิบายคำบาลีคำว่า "สมุจฺฉิสฺสถ" ไว้ว่า "เมื่อปฏิสนธิวิญญาณไม่มี นามรูปส่วนที่เหลือบริสุทธิ์เป็นนามรูปที่ตัดขาดเจือปน จักเป็นไปด้วยความเป็นกลละเป็นต้น ภายในท้องของมารดาได้บ้างไหม" ผู้เขียนคิดว่าประโยคนี้ น่าจะแปลตามที่พระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่านแปลไว้จะดีกว่าใช้คำว่า "ขาด" แบบของเดิมในพระไตรปิฎก(ฉบับหลวงออนไลน์)ที่ใช้อ้างอิงในที่นี้ ซึ่งอาจจะแปลหรือพิมพ์คลาดเคลื่อนไป
อ้างอิง : อรรถกถา ทีฆนิกาย มหาวรรค มหานิทานสูตร
การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ดังปรากฏใน มหาปรินิพพานสูตร ความว่า
พระพุทธเจ้า : “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ เราและพวกเธอ จึงเร่ร่อน
ท่องเที่ยวไปสิ้นกาลนานอย่างนี้”
(สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค / มหาปรินิพพานสูตร ข้อ ๘๖)
หรือที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับพระอานนท์ ดังปรากฏใน ภวสูตร ความว่า
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ตรัสว่า ภพ ภพ ดังนี้ภพย่อมมีได้ด้วยเหตุเพียงไร พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ก็กรรมที่อำนวยผลให้ในกามธาตุจักไม่มีแล้ว กามภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ ท่านพระอานนท์ทูลว่า ไม่พึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า ฯ
พระพุทธเจ้า : ดูกรอานนท์ เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว เพราะธาตุอย่างเลวของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วยประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก ดูกรอานนท์ ก็กรรมที่อำนวยผลให้ในรูปธาตุจักไม่มีแล้ว รูปภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ ฯ
พระอานนท์ : ไม่พึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า ฯ
พระพุทธเจ้า : ดูกรอานนท์ เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว เพราะธาตุอย่างกลางของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจ ด้วยประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก ดูกรอานนท์ ก็กรรมที่อำนวยผลให้อรูปธาตุจักไม่มีแล้ว อรูปภพพึงปรากฏบ้างหรือหนอ ฯ
พระอานนท์ : ไม่พึงปรากฏเลย พระเจ้าข้า ฯ
พระพุทธเจ้า : ดูกรอานนท์ เหตุนี้แล กรรมจึงชื่อว่าเป็นไร่นา วิญญาณชื่อว่าเป็นพืช ตัณหาชื่อว่าเป็นยาง เจตนา ความปรารถนาประดิษฐานแล้ว เพราะธาตุอย่างประณีตของสัตว์พวกที่มีอวิชชาเป็นเครื่องสกัดกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูกใจด้วยประการฉะนี้ จึงมีการเกิดในภพใหม่ต่อไปอีก ดูกรอานนท์ ภพย่อมมีได้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล ฯ
(สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาตร / ภวสูตร ข้อ ๕๑๗)
การระลึกชาติได้มีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ดังปรากฏใน พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๑ ข้อ ๓ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ความว่า
พระพุทธเจ้า : “เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้”
ทำไมบางคนจำอดีตชาติได้และบางคนจำอดีตชาติไม่ได้ ?
สำหรับคำถามนี้ผู้เขียนมีสมมุติฐาน เกี่ยวกับการจำอดีตชาติได้และการจำอดีตชาติไม่ได้ว่า การที่บางคนสามารถจำอดีตชาติได้นั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้นยังอยู่ในระดับของวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ(Consciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือมีความฝังใจ หรือมีเจตนาที่แรงกล้า หรือมีความหนักแน่นมั่นคง หรือมีความชัดเจน หรือเพราะจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือขณะคลอดจากครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกันกับวิถีจิตหรือจิตสำนึกปกติ จึงทำให้สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก
ส่วนการที่บางคนจำอดีตชาติไม่ได้ด้วยความทรงจำปกตินั้น อาจมีสาเหตุมาจากการที่ความทรงจำในอดีตชาตินั้น ถูกดึงเข้าไปอยู่ในระดับของภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก(Subconciousness) เพราะความทรงจำในอดีตชาตินั้น ไม่ได้ถูกระลึกถึงอยู่เสมอ หรือไม่ได้ถูกทบทวนอยู่บ่อยๆ หรือไม่มีความฝังใจ หรือไม่มีเจตนาที่แรงกล้า หรือไม่มีความหนักแน่นมั่นคง หรือไม่มีความชัดเจน หรือเพราะจิตวิญญาณของผู้เสียชีวิตขาดสติสัมปชัญญะไม่รู้สึกตัว ขณะเสียชีวิต หรือหลังจากเสียชีวิต หรือขณะที่วิญญาณก้าวลงสู่ครรภ์มารดา หรือขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา หรือหลังคลอดจากครรภ์มารดา ทำให้ความทรงจำในอดีตชาตินั้นถูกดึงเข้าไปเก็บไว้ในระดับเดียวกันกับภวังคจิตหรือจิตใต้สำนึก จึงทำให้ไม่สามารถจำอดีตชาติได้ด้วยความทรงจำปกติตั้งแต่เด็ก
โลกหน้าหรือโลกอื่น(ปรโลก)มีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ ดังปรากฏใน อปัณณกสูตร ความว่า
พระพุทธเจ้า : “ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าววาจาว่า โลกหน้าไม่มีวาจาของเขานั้นเป็นมิจฉาวาจา ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขากล่าวว่า โลกหน้าไม่มี ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ผู้รู้แจ้งโลกหน้า”
(สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ / อปัณณกสูตร ข้อ ๑๐๖)
เวรกรรมมีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้า ทรงตรัสกับเหล่าภิกษุที่เกิดความสงสัย เมื่อพระลักขณะเห็นพระโมคคัลลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้าย ได้แย้มยิ้มขึ้น ณ.ที่แห่งหนึ่งขณะกำลังลงจากเขาคิชฌกูฏ ดังปรากฏใน อัฏฐิสูตร โดยพระโมคคัลลานะได้กล่าวว่า
พระโมคคัลลานะ : “เมื่อผมลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏ ได้เห็นโครงกระดูกลอยอยู่ในเวหาส พวกแร้งบ้าง กาบ้าง นกตะกรุมบ้าง ต่างก็โผถลาตามเจาะ จิก ทึ้งโครงกระดูกนั้น ได้ยินว่า โครงกระดูกนั้นส่งเสียงร้องครวญคราง ผมคิดว่า อัศจรรย์จริงหนอ ไม่เคยมีมาหนอ สัตว์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี ยักษ์แม้เห็นปานนี้ก็จักมี การได้อัตภาพแม้เห็นปานนี้ก็จักมี ฯ”
ครั้งนั้นแลพระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา แล้วตรัสว่า
พระพุทธเจ้า : “ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุหนอ เป็นผู้มีญาณหนอ เพราะว่า แม้สาวกก็จักรู้ จักเห็นสัตว์เช่นนี้ หรือจักเป็นพยาน เมื่อก่อนเราได้เห็นสัตว์ตนนั้นเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้พยากรณ์ไว้ หากว่าเราพึงพยากรณ์สัตว์นั้นไซร้ คนอื่นๆก็จะไม่พึงเชื่อถือเรา ข้อนั้นพึงเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อความทุกข์สิ้นกาลนาน แก่ผู้ไม่เชื่อถือเรา ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์นี้เป็นคนฆ่าโคอยู่ในพระนครราชคฤห์นี้เอง ด้วยผลของกรรมนั้น เขาจึงหมกไหม้อยู่ในนรกสิ้นปี สิ้นร้อยปีพันปี แสนปี เป็นอันมาก ด้วยผลของกรรมนั่นแหละยังเหลืออยู่ เขาจึงต้องเสวยการได้อัตภาพเห็นปานนี้ ฯ”
นรกมีจริงหรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับภิกษุ ดังปรากฏใน เทวทูตสูตร ความว่า
พระพุทธเจ้า : “ดูกรภิกษุทั้งหลาย และมหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝาด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านใต้ พลุ่งจากฝาด้านใต้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด ฯ”
(สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ / เทวทูตสูตร)
คนเราตายแล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานได้หรือไม่ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงการเวียนว่ายตายเกิดของพระองค์ว่า พระองค์เองได้เวียนว่ายตายเกิดมาแล้วหลายภพหลายชาติ มีช่วงหนึ่งนับเวลาได้ ๔ อสงขัย แสนกัป ท่านได้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้า และมีบางชาติที่พระองค์มีกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดังปรากฏใน สโมธานกถา ความว่า
“ การบำเพ็ญบารมีอันเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณเหล่านี้ จัดเป็นบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ คือ การบำเพ็ญทานในภพที่เราเป็น พระเจ้าสิวิราช...ในภพที่เราเป็น เวสสันดร...ในภพที่เราเป็น เวลามพราหมณ์...ในภพที่เราเป็น อกิตติดาบส...ในภพที่เราเป็น พญาไก่ป่า(ไม่มีชื่อ)...ในภพที่เราเป็น สีลวนาค...ในภพที่เราเป็น พญากระต่าย(ไม่มีชื่อ)...ในภพที่เราเป็น พญาวานร(ไม่มีชื่อ)...ในภพที่เราเป็น ช้างฉัททันต์...ในภพที่เราเป็น ช้างเลี้ยงมารดา(ไม่มีชื่อ) ...ในภพที่เราเป็น จัมเปยยนาคราช...ในภพที่เราเป็น ภูริทัตตนาคราช...ในภพที่เราเป็น สังขปาลบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น ยุธัญชัยกุมาร...ในภพที่เราเป็น มหาโควินทพราหมณ์...ในภพที่เราเป็น คนเลี้ยงช้าง...ในภพที่เราเป็น อโยฆรราชโอรส...ในภพที่เราเป็น ภัลลาติ...ในภพที่เราเป็น สุวรรณสาม...ในภพที่เราเป็น มฆเทพ...ในภพที่เราเป็น มโหสถ...ในภพที่เราเป็น กุณฑล...ในภพที่เราเป็น ตัณฑิละ...ในภพที่เราเป็น นกกระทา...ในภพที่เราเป็น วิธูรบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น สุริยพราหมณ์...ในภพที่เราเป็น มาตังคพราหมณ์...ในภพที่เราเป็น พระราชาผู้มีศีล...ในภพที่เราเป็น พระราชาผู้มีความบากบั่น...ในภพที่เราเป็น ธรรมปาลกุมาร...ในภพที่เราเป็น ธรรมิกเทพบุตร...ในภพที่เราเป็น ขันติวาทีดาบส...ในภพที่เราเป็น สสบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น นกคุ่ม(ไม่มีชื่อ) ...ในภพที่เราเป็น ปลา(ไม่มีชื่อ) ...ในภพที่เราเป็น สุปารบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น กัณหทีปายนดาบส...ในภพที่เราเป็น วานร(ไม่มีชื่อ) ...ในภพที่เราเป็น สุตโสมราชา...ในภพที่เราเป็น มาตังคชฎิล...ในภพที่เราเป็น ช้างมาตังคะ...ในภพที่เราเป็น มูคปักขกุมาร...ในภพที่เราเป็น มหากัณหฤษี...ในภพที่เราเป็น พระเจ้าโสธนะ...ในภพที่เราเป็น พระเจ้าพรหมณ์ทัตต์...ในภพที่เราเป็น คัณฑิติณฑกะ...ในภพที่เราเป็น โสณนันทบัณฑิต...ในภพที่เราเป็น พระเจ้าเอกราช...ในภพที่เราเป็น นกแขกเต้า ...ในภพที่เราเป็น โลมหังสบัณฑิต บารมีของเรา ๑๐ ประการนี้เป็นส่วนแห่งพระโพธิญาณอันเลิศ...
(สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก สโมธานกถา)
ทำกรรมใดจึงจะได้ขึ้นสวรรค์ และทำกรรมใดจึงตกนรก ?
มีครั้งหนึ่ง พราหมณ์ชานุสโสนิได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเหตุที่ทำให้สัตว์หลังตายไปแล้วไปเกิดในนรกหรือในสวรรค์ ดังปรากฏใน ทุกนิบาต อังคุตตรนิกาย ปฐมปัณณาสก์ ความว่า
พระพุทธเจ้า : “ดูกรพราหมณ์ บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมทำแต่กายทุจริต มิได้ทำกายสุจริต ย่อมทำแต่วจีทุจริต มิได้ทำวจีสุจริต ย่อมทำแต่มโนทุจริต มิได้ทำมโนสุจริต ดูกรพราหมณ์ เพราะกระทำด้วย เพราะไม่กระทำด้วย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก ดูกรพราหมณ์ ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมทำแต่กายสุจริต มิได้ทำกายทุจริต ย่อมทำแต่วจีสุจริต มิได้ทำวจีทุจริต ย่อมทำแต่มโนสุจริต มิได้ทำมโนทุจริต ดูกรพราหมณ์ เพราะกระทำด้วย เพราะไม่กระทำด้วย สัตว์บางพวกในโลกนี้ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ฯ”
(พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต อธิกรณวรรค ข้อ ๒๖๓)
ทำไมบางครั้งพระพุทธเจ้าทรงตอบคำถามเรื่องอดีตชาติและอนาคตชาติ แต่บางครั้งไม่ทรงตอบ ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับสกุลุทายีปริพาชก ดังปรากฏใน จูฬสกุลุทายิสูตร ความว่า
พระพุทธเจ้า : “ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ พึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีตกะเรา หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีตกะผู้นั้น ผู้นั้นจะพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีต หรือเราจะพึงยังจิตของผู้นั้นให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันส่วนอดีต
ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะเรา หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะผู้นั้น ผู้นั้นพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต หรือเราจะพึงยังจิตของผู้นั้นให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต ”
(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ / จูฬสกุลุทายิสูตร ข้อ ๓๗๑)
พระพุทธเจ้าทรงไม่ตอบปัญหาอะไร และทรงตอบปัญหาอะไร ?
พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับมาลุงกยบุตร ดังปรากฏใน จูฬมาลุงโกยวาทสูตร ความว่า
พระพุทธเจ้า : “ ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่าที่เราไม่พยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตร ทิฏฐิว่า โลกเที่ยง โลกไม่เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพอย่างหนึ่ง สรีระอย่างหนึ่ง สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่มีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้เราไม่พยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตร ก็เพราะเหตุไร ข้อนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ เพราะข้อนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่พยากรณ์ข้อนั้น. ดูกรมาลุงกยบุตร อะไรเล่า ที่เราพยากรณ์ ดูกรมาลุงกยบุตร ความเห็นว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้ เราพยากรณ์. ก็เพราะเหตุไร เราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะข้อนั้น ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงพยากรณ์ข้อนั้น เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายจงทรงจำปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราไม่พยากรณ์ และจงทรงจำปัญหาที่เราพยากรณ์ โดยความเป็นปัญหาที่เราพยากรณ์เถิด”
(พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ / มหามาลุงกยสูตร ข้อ ๑๒๕)